กว่าจะเป็น "21 Bridges เผด็จศึกยึดนิวยอร์ก"
“การเข้าออกแมนฮัตตัน มีสะพานทั้งหมด 21 แห่ง ปิดไปให้หมด
แม่น้ำ 3 สาย ปิดมันซะ
อุโมงค์ 4 แห่ง สกัดกั้นเอาไว้
หยุดรถไฟทุกขบวนที่จะออกจากแมนฮัตตัน ไล่เคลียร์ทางใต้ดิน
จากนั้นเราก็จะปูพรมกวาดล้างด้วยตำรวจ”
- อังเดร เดวิส
21 Bridgesเป็นการเรื่องราวของนักสืบนิวยอร์ค(NYPD) นามว่า อังเดร เดวิส (แชดวิก โบสแมน) เขาเป็นหัวหน้าหน่วยทีมตามล่าอาชญากรที่ได้ก่อคดีอุกฉกรรย์ด้วยการฆ่าตำรวจไปถึง 8 นาย การค้นหาได้เข้มข้นจนถึงขีดสุดเมื่อเขาได้สั่งการปิดทั้ง 21 สะพานที่จะเข้าหรือออกจากเกาะแห่งนี้ แต่เรื่องราวไม่ได้ง่ายเพียงแค่นั้น เพราะเมื่อเขายิ่งสาวเข้าใกล้ตัวคนร้ายมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้รู้ความจริงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น จากการตามล่ากลับกลายเป็นว่าเขาอาจถูกล่าเสียเอง เขาจะสามารถจับตัวคนร้ายได้หรือ แล้วภยันตรายที่ค่อยๆ เผยออกมาจะทำให้เขารอดออกจากเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร
STXFilms, MWN STUDIOSและ HUAYI BROTHERSได้ร่วมมือกันสร้างภาพยนตร์เรื่อง 21 Bridgesนำแสดงโดย แชดวิก โบสแมน, เซียนน่า มิลเลอร์, สเตแฟน เจมส์, คีธ เดวิด ร่วมด้วย เทย์เลอร์คิช และ เจเคซิมมอนส์ ผ่านผลงานการกำกับของ ไบรอัน เคิร์ก โดยได้บทจาก อดัมเมอร์วิส และ แมททิว ไมเคิล คานาฮาน
ภาพยนตร์เรื่อง 21 Bridgesเป็นการนำเสนอส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมของ แอ็คชั่นมันส์ระห่ำ ที่ไร้การหยุดพัก รวมไปถึงเรื่องราวที่ต้องแข่งขันกับเวลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในค่ำคืนเดียว หลังจากที่เกิดเหตุการณ์จี้ปล้นที่ผิดแผนของกลุ่มอาชญากร ซึ่งเป็นผลให้เกิดตำรวจตายในที่เกิดเหตุ 8 ราย นักสืบ อังเดร เดวิส ต้องใช้ความหลักแหลมของตนเองในการเร่งและสั่งการในการปิดแมนฮัตตัน เพื่อให้เขาและทีมได้สามารถไล่ล่ามือฆาตกรทั้งสองราย
“ไอเดียของการปิดเมืองแมนฮัตตัน เพื่อการไล่ล่าคน เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และ มันจะยิ่งใหญ่มากเมื่อมันได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์”แชดวิก โบสแมน ในฐานะของการเป็นนักแสดงนำ และ ควบหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ด้วย ได้กล่าวไว้ “เรายังไม่เคยเห็นจากหนังเรื่องไหนมาก่อน”
โลแกน โคล หนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ ได้กล่าวเสริมว่า “ผมมองเห็น ตัวอย่างภาพยนตร์ แล่นมาในหัวทันที ตั้งแต่ตอนที่ผมได้อ่านบท ผมคิดว่ามันเป็นคอนเซ็ปต์ที่ดีในการสร้างหนังแอ็คชั่น ในเรื่องของการที่ตำรวจสั่งปิดเกาะทั้งเกาะเพื่อที่จะไล่ล่าอาชญากร มันคือความลุ้นระทึกแบบสุดๆ ไปเลย”
อีกหนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ ที่ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ แชดวิก โบสแมน และ ไบรอัน เคิร์ก ก็คือ แอนโทนี่ และ โจรุซโซ่ ผู้ที่เป็นหนึ่งในทีมผู้สร้างสรรค์ “จักรวาลมาร์เวล”(Marvel Cinematic Universe) ขึ้นมา ผ่านผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่อง Captain America: The Winter Soldier, Captain America: Civil War, Avengers: Infinity War และ Avengers: Endgame “โจ และ แอนโทนี่ ได้ช่วยผมเป็นอย่างมากในการสร้างภาพยนตร์ที่มีความใหญ่ของโปรดักชั่นขนาดนี้”ไบรอัน เคิร์ก กล่าว “พวกเขาได้ช่วยผมในการสร้างบรรยากาศที่ว่าไอเดียใครดีที่สุดคนนั้นชนะ ผมเลยเก็บเอาแรงบันดาลใจ และ ไอเดีย จากพวกเขาทั้งสองมาใส่ในทุกขั้นตอนของการสร้างภาพยนตร์ ตั้งแต่การพัฒนาบท เริ่มถ่ายทำ และโดยเฉพาะกับขั้นตอนหลังการถ่ายทำ”
โจรุซโซ่ ได้กล่าวเอาถึงภาพยนตร์ 21 Bridges ว่าเป็นเรื่องราวและความใฝ่ผันที่เขาและแอนโทนี่ ฝันเอาไว้ “เราโตมากับภาพยนตร์แอ็คชั่น โดยเฉพาะกับภาพยนตร์ที่ค่อยๆ เร่งเร้าอารมณ์ แล้วเรื่องนี้ก็ยังมีความซับซ้อนของตัวละครอย่างหลากหลาย “ไบรอัน เคิร์ก เป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกของเราที่เราอยากร่วมงานด้วย เขาสามารถทำความเข้าใจกับธีมหนังได้เป็นอย่างดี เขาสามารถเล่าเรื่องราวแบบหักมุมได้น่าทึ่ง และ ท้ายสุด เขาสามารถเข้าใจถึงความหมายที่ทับซ้อนต่อการวิพากย์สังคมที่เราอยากเล่าได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่เราต้องการวิพากย์สังคมคือเรื่อง มุมมองต่อการกระทำใดใน “มุมมองเดียว” เสมอ ซึ่งมันต่างกับความเป็นจริงของมนุษย์เรา เหรียญยังมี “สองด้าน” หนังเล่าเรื่องด้วยการที่ อังเดร เริ่มทำการไล่ล่า แล้วเมื่อเขาได้เข้าใกล้กับเหยื่อ เขาเริ่มเข้าใจเหตุและผลของสิ่งต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาได้เข้าใกล้ความจริง บางสิ่งบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงในตัวเขา แล้วมันจึงส่งผลมาให้เราได้เห็น
แอนโทนี่ รุซโซ่ อธิบายให้เราฟังว่า “การเผยให้เห็นความจริงจะกลายมาเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ให้คนดู เมื่อคนดี กับ คนร้าย เริ่มทำให้เราแยกไม่ออกว่าใครดี หรือ เลว ปกติแล้วคนทั่วไปจะมองหาตัวร้ายของเรื่องอยู่เสมอ ด้วยอารมณ์ที่โกรธแค้น และไม่มองถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงร้าย แต่มุมมองของหนังเรื่องนี้ เราจะให้คุณได้เห็นมากกว่านั้น”
“เราอยากนำเรื่องของคุณธรรม และ อารมณ์ มาเป็นส่วนสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้” เคิร์ก กล่าว “มันมีความซับซ้อนมากกว่าแค่เรื่องของ คนดี ปะทะ คนเลว ในท้ายสุดแล้ว อังเดร ต้องการที่จะรักษาชีวิตของคนที่เขาไล่ล่า เขาไม่ได้เคียดแค้น เขาแค่ต้องการความยุติธรรม แล้วถ้าหากจะมีเหตุการณ์บางอย่าง ที่ทำให้ไม่เกิดความยุติธรรม เขาจำต้องสะสางปัญหาตรงนั้น”
โปรดิวเซอร์ อย่าง มัลคอม เกรย์ ได้กล่าวไว้ว่า “เราต้องการให้ตำรวจและคนร้ายนั้น มีความน่าเชื่อถือทั้งสองฝ่าย ถึงขั้นที่ว่าเราต้องการให้ผู้ชม เชียร์ให้คนร้ายทั้งสองสามารถหนีรอด พอๆ กับอยากให้อังเดรจับคนร้ายได้สำเร็จ ตัวละครทุกตัวมีจุดบกพร่อง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เพราะทุกคนนั้นเป็นมนุษย์ และด้วยเพราะสถานการณ์พาไป ทำให้พวกเขากระทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ”
โบสแมน ยืนยันว่าบท อังเดร ของตนเองนั้นมีความซับซ้อนอยู่มาก “เขาได้เตรียมตัวมาทั้งชีวิตเพื่อที่จะมาเป็นตำรวจ” นักแสดงจากแบล็คแพนเธอร์ ได้กล่าว “พ่อของอังเดรเป็นตำรวจ แล้วถูกยิงในการปฏิบัติหน้าที่เมื่อเขาอายุเพียง 13 แล้วเขาก็ต้องโตมาด้วยความสะเทือนใจนั้นมาตลอด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขามุ่งมั่นที่จะล้างแค้นให้กับพ่อของเขา ไม่ใช่เพียงกับอาชญากรเท่านั้น แต่รวมไปถึงตำรวจเลวที่อาจมีเอี่ยวกับการตายของพ่อของเขาด้วยเช่นกัน”
ผู้สร้างภาพยนตร์ได้โฟกัสในการพัฒนาตัวละครอย่าง อังเดร เดวิส ใส่รายละเอียดของตัวละครให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ “แชดวิกอยากให้ตัวเดวิสที่มีซับซ้อนของตัวละครและกลายมาเป็นฮีโร่ที่ไม่มีคาดคิด”เคิร์ก กล่าว “เราได้ร่วมกับ คานาฮาน แก้ไขบทจากร่างแรกของ อดัมเมอร์วิส ใส่รายละเอียดเพิ่มเติมไปถึง ความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ และ ความเฉลียวฉลาดของอังเดร เขาเป็นนักรบที่มีเป้าหมาย ตำรวจที่เคารพกฎเกณฑ์ แชดวิกเรียนรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวละครตัวนี้ แล้วทำความเข้าใจกับมันได้อย่างดีเยี่ยม”
แอนโทนี่ รุซโซ่ ได้กล่าวเสริมว่า “แชดวิกเป็นศิลปินที่ยอดเยี่ยม เขาสามารถทำหน้าที่แสดงได้ดีไม่น้อยไปกว่าหน้าที่การเป็นโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้ เขาไม่ได้เพียงแค่เข้าใจคาแรกเตอร์ แต่เขาสามารถมองเห็นภาพรวมของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ เขากล้าที่จะยอมให้เราใส่แง่มุมบางอย่าง เช่นความสกปรกบางประการลงไปในตัวละคร ทำให้เขาไม่ได้ขาวใสสะอาดไปเสียทั้งหมด ไม่ใช่ฮีโร่ในแบบที่เราเคยเห็นในหนังทั่วไปแน่นอน”
หนีให้รอด
เทย์เลอร์คิช และ สเตแฟน เจมส์ รับบท เรย์ และ ไมเคิล เพื่อนสนิท ที่เป็นเพียงแค่โจรมือสมัครเล่น แต่การปล้นล่าสุดเขาได้พบกับยาเสพติดล็อตใหญ่ และได้ฆ่าตำรวจไปหลายนายระหว่างการหลบหนี จึงเป็นเหตุให้เกิดการไล่ล่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ชะตากรรมของ เรย์ และ ไมเคิล ได้ถึงฆาตเมื่อเขาตัดสินใจหนีพร้อมกับยาเสพติดและเงินจำนวนมหาศาล โบสแมนกล่าว“ถ้าคุณตัดสินใจที่จะขโมยโคเคนกว่า 50 กิโลกรัม ให้มั่นใจได้เลยว่าคุณไม่มีทางรอดแน่ แต่เรย์มองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการเปลี่ยนชีวิต ดังนั้นทั้งเขาและไมเคิลจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ แต่การขโมยครั้งนี้ทำให้เขาต้องเจอกับการเผชิญหน้ากับตำรวจหลายนายทำให้เขาทั้งสองต้องสู้กับตำรวจอย่างไม่มีทางเลือก สุดท้ายพวกเขาเป็นต้นเหตุให้เกิดการตายของตำรวจถึง 8 นาย
เรย์เป็น อดีตนายทหารที่โตขึ้นมาในถิ่นที่ยากลำบากแถวบร็องซ์ เขาได้ไปสู้รบในสงครามแล้วมีชีวิตรอดกลับมาได้ แต่เขากลับสูญเสียเพื่อนสนิทไปหนึ่งคน ซึ่งคนๆ นั้นคือพี่ชายแท้ๆ ของไมเคิล
ตัวคาแรกเตอร์ของเรย์ เป็นพวกที่หุนหันและออกจะไปทางประสาทเสียด้วยซ้ำ แต่เทย์เลอร์คิช ได้ทำให้ตัวละครตัวนี้ดูอ่อนโยน และ มีเหตุมีผลมากขึ้น “มันมีความซับซ้อนในการเล่นบทนี้สูงมาก คิช รู้ว่าเขาจะเล่นเป็นทหารได้อย่างไรเพราะเขาเคยฝึกกับหน่วยซีลมาแล้ว จากภาพยนตร์เรื่อง Lone Survivor” ไมค์ลาลอคคา หนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง กล่าว
โจรุซโซ่ และพี่ชายของเขา เป็นแฟนคลับของคิช มาตั้งแต่สมัยที่เขาแสดงในซีรีส์Friday Night Lights “เทย์เลอร์ดูโดดเด่นเสมอเมื่ออยู่บนหน้าจอ และในภาพยนตร์ของเขา เขาสามารถแสดงถึงความซับซ้อนในตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี”
คิช กล่าวว่า “การได้รับบทเป็นคาแรกเตอร์ไหน ก็เหมือนกับเราได้สวมร่างและหายใจเข้าออกเป็นตัวละครนั้น ผมชอบการรับบทเป็นเรย์ ไมเคิลเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ แล้วเมื่อเขาได้มีโอกาสได้ทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาและเพื่อนของเขาได้ เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำมัน เรย์ทำทุกอย่างเพื่อที่จะปกป้องไมเคิล”
เขากล่าวเสริมอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกไล่ล่า ตัวละครในเรื่อง ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดว่าเขามาอยู่จุดๆ นั้นได้อย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจ”
คิช ยืนยันว่าหนังเรื่องนี้ “ไร้ความประนีประนอม และเต็มไปด้วยการหักมุมอย่างคาดไม่ถึง อย่างไรก็ตามเราจะได้เห็นแรงผลักดันของตัวละครว่าพวกเขาเลือกที่จะทำสิ่งต่างๆ นั้น เพราะอะไร หนังเล่าเรื่องผ่านการกระทำของตัวละคร ที่ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นจากหนังเรื่องไหนมากนัก ทุกคนต่างถูกตัดสินด้วยการกระทำและการตัดสินใจของตนเอง
ความสัมพันธ์ของไมเคิล และ เรย์ รวมไปถึงการตัดสินใจทุกสิ่งนั้น มาจากการตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเพื่อดำเนินรอยตามพี่ชายของเขา แต่การเข้าไปนั้นทำให้เขาได้พบเพียงแค่การเสียชีวิตของพี่ชายในขณะที่ออกไปรบ
สเตแฟน เจมส์ กล่าวว่า “ไมเคิลตกที่นั่งลำบาก เขาต้องการเงินมากขึ้น เขาจึงใช้ความสามารถจากการฝึกทหารมาใช้ในการทำงานปัจจุบัน นั่นคือการลักเล็กขโมยน้อย แต่ครั้งนี้การได้พบยาเสพติดจำนวนมหาศาล กำลังจะกลายเป็นหนทางไปสู่การรวยทางลัดที่น่าหอมหวาน เมื่อถึงเวลาที่ตัดสินใจทำในสิ่งอันตราย เขาตัดสินใจที่จะเชื่อใจเรย์ เพราะคิดว่าถ้าหากพี่ชายของเขาเชื่อใจเรย์ เขาก็ควรทำแบบนั้นเช่นกัน”
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมเสมอไป เพราะไมเคิล และ เรย์ นั้นต่างมีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไมเคิลนั้นเป็นคนฉลาดและมีระเบียบมากกว่า ต่างกับเรย์ที่เป็นคนหุนหันและชอบแก้ไขสถานการณ์ต่อหน้า อย่างไรก็ตามทั้งคู่จะต้องใช้ความต่างนี้ เพื่อเป็นวิธีเอาชีวิตรอดจากที่นี่ให้ได้”
การติดสอยห้อยตามของไมเคิลที่พึ่งเรย์อยู่เสมอ ทำให้เขาเข้าสู่สถานการณ์คับขันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ “ในฉากเริ่มต้นของการปล้น เราต้องการที่จะให้ผู้ชมได้เห็นและเข้าใจการกระทำของไมเคิล” ไบรอัน เคิร์ก กล่าว “เราจะได้เห็นความฉลาดเฉลียวของเขาแต่ขณะเดียวกัน เขาก็ทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยการช่วยเหลือเรย์ คุณจะเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของไมเคิลเลยแม้แต่น้อย ความจำเป็นทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก”
ไบรอัน เคิร์ก กล่าวว่าการคัดเลือกนักแสดง เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดในการสร้างหนังเรื่องนี้ “ผมต้องรวบรวมกล้าไปให้สุดในการเล่าเรื่อง ดังนั้นผมต้องคัดเลือกนักแสดงให้ดีที่สุดเพื่อที่คนดูจะได้เชื่อในสิ่งที่ผมจะเล่า เราต้องการนักแสดงหนุ่มที่มีฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงเขาควรมีชื่อเสียงมากในระดับหนึ่งเช่นกัน สุดท้ายแล้วเราได้มาพบกับ สเตแฟน เขาเป็นนักแสดงที่ฉลาด และสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกที่จริงจังออกมาได้ โดยเฉพาะเมื่อการเปิดเรื่องของหนังเรานั้นเป็นการขโมยยาเสพติด ฆ่าตำรวจ แต่ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนดูได้ ให้เขารู้สึกเอาใจช่วยกับตัวละครที่เป็นโจร
แอนโทนี่ กล่าวว่า “สเตแฟน นำมาซึ่งอารมณ์และความลึกของตัวละครอย่างไมเคิล เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ได้ผลักดันให้เขาได้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ทันที”
มันเป็นเรื่องสำคัญ และ ท้าทาย ในเวลาเดียวกันเมื่อเราต้องพยายามนำเสนอความสัมพันธ์ที่อยู่ต่างขั้วกันอย่างตำรวจ และ อาชญากร ของ อังเดร และ ไมเคิล เมื่อตำรวจได้เข้าใกล้ตัวและเรียนรู้ความจริงต่างๆ ตำรวจกลายเป็นคนที่ต้องปกป้องชีวิตของไมเคิล“นี่เป็นแก่นหลักของหนังเรา” เคิร์ก กล่าว “ตัวละครทั้งสองตัวเริ่มการเดินทางด้วยความต่างขั้ว แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาจะมาพบกันบนเหรียญด้านเดียวกัน”
คู่หูไล่ล่า
อังเดร ต้องมาร่วมงานกับคู่หูคนใหม่อย่างไม่ยินดีนัก กับตำรวจคดียาเสพติด อย่าง แฟรงกี้ เบิร์นส์ รับบทโดย เซียนน่า มิลเลอร์“เดวิส เป็นตำรวจคดีฆาตกรรม ส่วนแฟรงกี้ นั้นเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่ทั้งสองจะต้องมาร่วมงานกัน” มิลเลอร์กล่าว “แต่ทั้งสองต้องมาทำตามหน้าที่เพราะมันเป็นคดีที่เกี่ยวข้องทั้งเรื่องการฆาตกรรม และ ยาเสพติด การร่วมงานกันเป็นเรื่องของการไว้ใจซึ่งกันและกัน และนั่นเป็นสิ่งที่หลอมทั้งคู่เอาไว้ด้วยความเป็นมืออาชีพในสายงานของตัวเอง”
มิลเลอร์กล่าวว่า บทและคาแรกเตอร์ของเธอนั้น ไม่เหมือนกับเรื่องไหนที่เธอเคยเจอมาก่อน “แฟรงกี้ เบิร์นส์ เป็นตำรวจและเป็นคุณแม่ เธอเป็นตำรวจกวาดล้างยาเสพติด ดังนั้นตารางเวลาทำงานของเธอนั้นค่อนข้างสะเปะสะปะ รวมไปถึงเธอได้รับความกดดันจากทุกทาง ทำให้เธอแทบจะไม่มีทางเลือกในการทำงาน ดังนั้นการตัดสินใจของเธอจึงถูกกำหนดด้วยสิ่งเหล่านี้” เธอกล่าวเสริมว่า “การได้รับบทบาทใหม่ๆ พร้อมกับการรายล้อมไปด้วยทีมงานที่ยอดเยี่ยมทำให้เธอปฎิเสธที่จะรับบทนี้ไม่ได้”
ไบรอัน เคิร์ก กล่าวว่า “ผมเป็นแฟนผลงานของเซียนน่า มาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Foxcatcher, American Sniper มานานหลายปี รวมไปถึงการที่เธอเป็นนักกีฬา ทำให้เธอสามารถเข้าร่วมฉากแอ็คชั่นได้อย่างง่ายอีกด้วย”
มันไม่ใช่เรื่อง่ายที่เราจะหาคนมารับบท ที่เราจะเชื่อได้ว่าเขาเป็นได้ทั้งแม่คน และ แข็งแกร่งมากพอที่จะมาเป็นผู้นำหน่วยกวาดล้างยาเสพติด” เกรย์ กล่าวเสริม “เราโชคดีมากที่ได้เธอมาร่วมงาน
“มันเป็นความซับซ้อนของตัวละครที่เซียนน่า สามารถดึงคาแรกเตอร์เหล่านั้นออกมาได้อย่างครบถ้วน” โคล กล่าว “เธอมีความอบอุ่นจากความเป็นแม่ แต่การได้เห็นเธอจับปืนและไล่ต้อนคนร้ายด้วยแล้ว เรายิ่งประทับใจมากขึ้นไปอีก”
หน่วย NYPD
อังเดร และ แฟรงกี้ ต้องรายงานต่อผู้กองแมคเคนน่า เขาเป็นผู้นำที่รักการเป็นตำรวจ และ ทุ่มเทชีวิตให้กับการดูแลลูกทีม ตัวละคร แมคเคนน่า เป็นการผสมผสานระหว่างความอบอุ่น และ ความเป็นผู้นำ ได้อย่างลงตัว ไบรอัน เคิร์ก ตั้งใจที่จะสร้างบทบาทนี้ขึ้นมาเพื่อนักแสดงระดับ ออสการ์ อย่าง เจเคซิมมอนส์ โดยเขานิยามตัว เจเค ไว้ว่าคือ “นักแสดงเกรดระดับ โรลส์รอยส์”
ซิมมอนส์ ที่ได้รับรางวัลออสการ์จากบทครูสติแตกในเรื่อง Whiplash นั้นได้แสดงฝีมือการแสดงไว้อย่างมากมายหลากหลายตั้งแต่ภาพยนตร์ตลก, ดราม่า จนไปถึงระดับหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง ทำให้เขาได้รับบท แมคเคนน่า ที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง
เราจะได้พบเรื่องราวที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สีขาวหรือดำ ในภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความซับซ้อนในตัวละครทุกตัว ไม่มีใครเป็นพ่อพระ หรือ ไม่มีใครเป็นผู้ร้าย เราจะได้เข้าไปศึกษาความดำมืดของตัวละคร แม้กระทั่งคนที่เป็นฮีโร่ก็ตามที
ในหน่วย NYPD ยังประกอบไปด้วย คีท เดวิส ในบท หัวหน้าหน่วยสเปนเซอร์ ที่เป็นดั่งเพื่อนและอาจารย์ที่เคยสั่งสอนอังเดรมา สเปนเซอร์เคยทำงานกับพ่อของอังเคร ที่ซึ่งถูกฆ่าตายในหน้าที่ตั้งแต่อังเดรยังเป็นเด็ก เดวิดกล่าวว่า “สเปนเซอร์มีความสัมพันธ์อย่างพิเศษกับอังเดร เพราะว่าเขารู้จักอังเดรมาตั้งแต่เด็ก เราทั้งสองต่างไว้อาลัยให้กับการจากไปของเขา”
ปิดเมืองกวาดล้าง
21 Bridges เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในค่ำคืนหนึ่งหลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ในย่านที่คึกคักและผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่แห่งนั้นคือ แมนฮัตตัน ในขณะที่ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ได้ถ่ายทำที่ฟิลาเดลเฟีย แต่โบสแมนยืนยันว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นิวยอร์กทั้งสิ้น “มันคือนิวยอร์กที่แท้จริงเลย ตั้งแต่บทพูด จังหวะ และ การดำเนินเรื่อง” เขาอธิบาย “ผมอยู่ที่นิวยอร์กมาหลายปี แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
ทีมผู้สร้างต้องการความสมจริงมาเป็นอันดับแรก ทั้งการศึกษาเรื่อง กลยุทธ์ของตำรวจ อาวุธ และคำพูดคำจา ในท้ายที่สุดพวกเขาได้ร่วมมือกับตำรวจ NYPD ที่เกษียณแล้ว อย่าง จิม บอดนาร์ และ เดวิด อดัมส์ มาเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค ทั้งสองมีประสบการณ์การทำงานมากว่า 30 ปี ในแผนกคดีอาชญากรรม และ ภัยฉุกเฉิน ทั้งสองต้องมาเป็นทีมงานอยู่เบื้องหลังทุกวันเพื่อให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาทีมงานทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเป็นตำรวจนิวยอร์ก ไมค์ลาลอคคา กล่าวว่า “เราทำงานอย่างใกล้ชิดกับตำรวจนิวยอร์ค และ เราโชคดีมากที่ได้จิม และ เดฟ มาช่วยเรา พวกเขาให้คำแนะนำกับเราหลายเรื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่บทพูด ไปจนถึงท่าทางการจับปืน หรือแม้กระทั่ง ใครบ้างที่จะได้เข้ามาพื้นที่เกิดเหตุ เราต้องการให้มันมีความสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความตื่นเต้น และ การแข่งขันกับเวลา”
ไม่มีใครรู้มากไปกว่า บอดนาร์ และ อดัมส์ ในเรื่องของการปิดเมืองทั้งเมือง ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากแค่ไหน สิ่งที่หนังได้ยกตัวอย่างและนำมาเสนอก็คือการแข่งกับเวลา หนังได้มอบสถานการณ์ที่รุนแรง นั่นก็คือการที่ตำรวจจะต้องจับคนร้ายให้ได้ภายในเวลา 05.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่การเดินทางทั่วทั้งเกาะจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง แล้วจะทำให้การไล่ตามจับคนร้ายนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
ในช่วงก่อนการถ่ายทำ บอดนาร์ และ อดัมส์ ได้ฝึกสอนนักแสดงว่าจะทำอย่างไรให้เหมือนกับว่านักแสดงนั้นเป็นตำรวจจริงๆ นักแสดงต้องฝึกฝนการยิงปืนกว่า 500 นัด ในแต่ละวัน เพื่อที่จะได้เรียนรู้ถึงการเคลื่อนที่ของตำรวจกันเป็นทีม ทั้งการบรรจุกระสุนปืนใหม่ หาที่กำบัง และสุดท้ายคือการยิง
โบสแมน กล่าวว่า “จิม และ เดฟ อยู่ที่สถานที่ถ่ายทำเสมอ เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตำรวจนิวยอร์ก เราจะถามเสมอว่าทำอย่างนี้ถูกต้องมั้ย ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราจะต้องทำอะไรเป็นอย่างแรก ถ้าหาก อังเดร กำลังไล่ตามใครสักคน เขาจำเป็นต้องควักปืนออกมามั้ย เขาจะชี้ปืนไปที่ไหน แล้วอังเดร จะแสดงตราตำรวจในสถานการณ์ไหนได้บ้างถ้าหากเขากำลังไล่ล่าใครบางคนอยู่”
ส่วน คิช และ เจมส์ ที่รับบทเป็นสองโจรร้ายที่กำลังหนี ทั้งคู่ได้รับการฝึกฝนจากหน่วยสวาท จากบรูคลิน เขาได้เรียนรู้กลยุทธ์การต่อสู้ คิช กล่าวว่า “ผมเป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางภูเขา เล่นบทคาวบอย และ อินเดียนแดงตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่วันหนึ่งผมก็มีโอกาสได้มาฝึกโดยหน่วยเนวี่ซีล จากบทที่ผมได้รับ กลายเป็นว่าผมเริ่มสบายใจกับการฝึกโดยทหาร”
เจมส์ กล่าวว่า “ผมปรึกษาทั้งหน่วย NYPD และ SWAT ว่าจริงๆ แล้วเขาทำงานกันอย่างไร แล้วสภาพร่างกายและจิตใจของพวกเขานั้นเป็นอย่างไร”
ผู้ออกแบบงานสร้าง เกรก เบอร์รี ได้ออกแบบงานสร้างไปในแนวทางดิบ และ สมจริง เขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับภาพอย่าง พอล คาแมรอน หนึ่งในฉากที่ใหญ่ที่สุดของเรื่องนั้นเกิดขึ้นที่ร้านอาหาร ที่ซึ่ง เรย์ และ ไมเคิล ได้พบกับยาเสพติดโคเคน และตามมาด้วยการดวลปืนกับตำรวจอย่างสนั่นเมือง กระสุนนับร้อยได้ตกลงในที่เกิดเหตุรวมไปถึงการตายของตำรวจอีกหลายนาย ทั้ง เกรก และ พอล ได้ประสานงานกันเพื่อทำให้สถานที่ดูอึดอัด และเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า
เบอร์รี ได้สร้างสี่แยกบรูคลินจำลองขึ้นมาในเมืองฟิลาเดลเฟีย รายละเอียดของสถานที่นั้นเยอะมาก มากเสียจนทำให้คนพื้นที่ต้องหันหลังกลับมาดูอีกทีว่านี่ยังใช่ฟิลาเดลเฟียอยู่หรือเปล่า เพราะสถานที่แห่งนี้ได้รับการตกแต่งให้เหมือนนิวยอร์ก ทั้งรูปแบบถังขยะ ถังดับเพลิง และ ร้านขายของที่ตกแต่งให้ดูหรูหราเหมือนกับร้านที่นิวยอร์ก
“เรารักงานเล่าเรื่อง การทำให้ผู้ชมเซอร์ไพรส์ แล้วมอบประสบการณ์ที่เต็มอิ่มให้แก่คนดู คือหน้าที่หลักของเขา” โจรุซโซ่ ได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้
“มันมีฉากแอ็คชั่นและความเข้มข้นของเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างมากมายใน 21 Bridges ถ้านั่นคือสิ่งที่ค้นหา เราจึงภูมิใจที่จะเสนอมันให้กับผู้ชมทุกท่าน” ไบรอัน เคิร์ก กล่าว “ผู้ชมทุกคนต่างตอบสนองต่อการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวละครระหว่าง ผู้ล่าอย่าง อังเดร และ เหยื่อที่กำลังถูกไล่ล่าอย่าง ไมเคิล นี่เป็นภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์ในยุคสมัยใหม่ อีกทั้งมันคือหนังแอ็คชั่นแห่งการไล่ล่า ที่มักจะถูกเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่ต่างขั้ว ที่ต่างคิดว่าพวกเขาไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย แต่ความจริงแล้ว เขามีทุกสิ่งเหมือนกันแทบทุกประการ”
เกี่ยวกับนักแสดง
แชดวิก โบสแมนรับบท อังเดร เดวิส
เขาเป็นคนอเมริกัน เกิดและโตที่ เซ้าท์ แคโรไลน่า จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยโฮวาร์ด จากนั้นไปเรียนการแสดงที่ British American Dramatic Academy ที่ อ็อกซ์ฟอร์ด จากนั้นเขาจึงเข้าสู่เส้นทางอาชีพการแสดง เขียนบท และ กำกับภาพยนตร์ ผลงานเรื่องแรกใน The Express เขาเริ่มมีผลงานสร้างชื่อจากภาพยนตร์ของค่าย Warner Bros จากเรื่อง 42 ซึ่งเป็นเรื่องราวของกีฬาเบสบอล ทำลายสถิติการเปิดตัวรายได้สูงที่สุดของหนังกีฬาเบสบอล ในปี 2013
ในปี 2014 เขาได้รับคำชมชื่นจากนักวิจารณ์จากการแสดงในบท เจมส์บราวน์ ในเรื่อง Get On Up เขาได้รับคัดเลือกให้เป็น Top 10 การแสดงยอดเยี่ยมที่สุดชองนิตยสาร Time
แชดวิก โบสแมน เข้าร่วมกับ จักรวาลภาพยนตร์มาเวล ครั้งแรกในบท Black Panther ในภาพยนตร์เรื่อง Captain America: Civil War ในปี 2016 จากนั้นไม่นานเขาก็ได้มีภาพยนตร์เดี่ยวในเรื่อง Black Panther ทำลายสถิติรายได้หลายประเภท และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 7 สาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกด้วย เหล่านักแสดงได้รับรางวัลนักแสดงกลุ่มยอดเยี่ยมในรางวัล Screen Actors Guild Awards
เซียนน่า มิลเลอร์รับบทแฟรงกี้ เบิร์นส์
เธอเกิดที่นิวยอร์ค และไปศึกษาต่อที่อังกฤษ แล้วกลับมาเรียนการแสดงที่นิวยอร์ค ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เธอแสดงคือ Layer Cake ของผู้กำกับ แมททิว วอห์น จากนั้นเธอแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องอย่าง Factory Girl, Casanova, GI Joe: Rise of Cobra
ในปี 2015 แสดงในภาพยนตร์รางวัลอย่าง Foxcatcherในปีเดียวกันเธอแสดงในภาพยนตร์เรื่อง American Sniper ของ คลิ้นท์ อีสวูด ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
สเตแฟน เจมส์ รับบท ไมเคิล
นักแสดงที่ได้ร่วมงานกับ จูเลีย โรเบิตส์ ในภาพยนตร์เรื่อง Homecoming และเคยรับบทในภาพยนตร์เรื่อง If Beale Street Could Talk ของผู้กำกับ แบร์รี เจนกินส์ เขาเคยรับบท เจซซี่ โอเว่นส์ ในภาพยนตร์เรื่อง Race ของผู้กำกับ สตีเฟ่นฮอพกินส์