xs
xsm
sm
md
lg

จุดกำเนิด "Little Monsters"

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จุดกำเนิด "Little Monsters"

Little Monsters (ซอมบี้มาแล้วงับ) มีจุดเริ่มต้นมาจากฟาร์มกิจกรรมเด็ก ในปลายปี 2016 ผู้เขียนบท และ กำกับ อย่าง “เอป ฟอร์ไซท์” ได้เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนกับลูกชายในวัย 5 ขวบของเขา ลูกชายของเขามีชื่อว่า “สไปค์” ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมกับเด็กนักเรียนอีกกว่า 24 คน และ คุณครูอีก 1 คน

“ลูกของผมแพ้อาหารหลายอย่างมาก” ฟอร์ไซท์ อธิบาย “ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษกับอาการภูมิแพ้ขั้นรุนแรง มันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผมในการที่จะต้องพยายามควบคุมสิ่งต่างๆ เขาไม่เคยไปศูนย์เลี้ยงเด็ก เขาแทบจะไม่เคยคลาดจากสายตา จนกระทั่งในวันนี้”
“คุณครูอนุบาลของเขานั้นสุดยอดมาก การที่ได้เห็นเธออยู่ในคลาสเรียน และเห็นเธอขณะที่กำลังทำงาน ทำให้เข้าใจอย่างแท้จริงเลยว่าการเป็นครูอนุบาลนั้นยากขนาดไหน และครูนั้นเป็นบุคคลสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาคนนั้นกำลังจะกลายเป็นคนแรกๆ ในชีวิตของเราที่จะส่งผลต่อเราในอนาคต เขากลายมาเป็นผู้มีอิทธิพลต่อเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือเรื่องดี”

ในช่วงของการเข้ากิจกรรมของโรงเรียน กลุ่มเด็กๆ ได้นั่งรถแทรคเตอร์ แล้วช่วงขณะนั้น คนขับได้หยุดรถลง แล้วเดินออกไปตรวจตราว่ามีสิ่งของหรืออะไรมากีดขวางทางหรือไม่ วินาทีนั้นเอง ฟอร์ไซท์ ได้ผุดไอเดียตั้งคำถามขึ้นมาว่า
“แล้วถ้าคนขับเห็นสิ่งที่ขวางทางอยู่ข้างหน้าเป็นซอมบี้ล่ะ”
“ผมยังคงคิดเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมจะทำอย่างไร ถ้าต้องติดอยู่ในสถานการณ์นี้พร้อมกับเหล่าครูและเด็กอนุบาล“ ฟอร์ไซท์ กล่าว “ผมและครูจะปกป้องเด็กในสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร” เขาเก็บไอเดียนี้ไปคิดอย่างจริงจัง และหลังจากนั้นสองสัปดาห์ เขาถึงได้รู้ว่านี่เป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมในการสร้างเป็นภาพยนตร์

ประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องราวอย่างรวดเร็ว เอป ตัดสินใจที่จะนำเรื่องราวนี้ไปคุยกับโปรดิวเซอร์ที่เขาสนิทกันมาอย่างยาวนาน อย่าง โจดิ แมทเทอร์สัน
“ฉันได้รู้จักกับ เอป มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เขาเป็นนักแสดงอนาคตไกล” แมทเทอร์สัน กล่าว “เขาทำให้ฉันประทับใจด้วยความโตเกินกว่าวัยในทุกครั้งที่เราได้คุยกัน เขาไม่มีทางหยุดเพียงแค่การเป็นนักแสดง เพราะเขานั้นมีเรื่องราวมากมายที่อยากเล่า และมีจิตวิญญาณของความเป็นผู้กำกับอยู่ในตัว”

“เราสามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้ทำด้วยกันอย่าง Down Under เมื่อตอนหนังเรื่องนี้กำลังอยู่ในขั้นตั้งต้น ฉันได้มีโอกาสได้เข้ามาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับหนัง แล้วเราก็ได้พบกับช่วงเวลาอันแสนวิเศษในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนั้น และ ฉันอยากที่จะเจอกับประสบการณ์แบบนั้นอีกครั้งหนึ่ง”

เมื่อฟอร์ไซท์ บอกเล่าเรื่องราวและไอเดียของหนังเรื่องนี้ “มันไม่เหมือนเรื่องไหนที่ฉันเคยได้ยินมาก่อนเลย” เธอกล่าว “ไอเดียของการเอาชั้นเรียนอนุบาลมาอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ซอมบี้โลกแตกนั้นฉันชอบมันมาก ไอเดียมันสดใหม่และไม่ซ้ำใคร ฉันตื่นเต้น ณ วินาทีนั้นเลย”

ทั้งสองเริ่มพัฒนาบทภาพยนตร์ โดยได้รับการสนับสนุนจาก Screen Australia และ Snoot Entertainment โดยฟอร์ไซท์ ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักเขียนบทจากเรื่อง US อย่างไมค์ ไซม่อนส์ ที่เป็นดั่งผู้ที่ช่วยเหลือเขาในทุกรายละเอียดของเรื่องราว
สิ่งสำคัญในการสร้างเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง และ หาแรงผลัก ของตัวละครหลัก ทั้ง เดฟ, มิส แคโรไลน์, เฟลิกซ์ บทนั้นต้องเป็นเรื่องราวที่สัมพันธ์กัน และเกิดสิ่งใหม่ที่เรียกมันว่า “รอมซอมคอม - โรแมนติก ซอมบี้ คอมเมดี้”

ฟอร์ไซท์ อธิบายว่า หนังเรื่องนี้คือ Life is Beautiful ที่มีซอมบี้ในเรื่อง “มันเป็นเรื่องราวการพัฒนาของตัวละคร ที่มีเรื่องราวความรักในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงความตลกของ 2 คู่หู “เดฟ-เฟลิกซ์” ที่นำเอาเนื้อหาของละครเพลงที่มีใจความและนัยยะสำคัญมาสอนใจในการใช้ชีวิต”
ส่วน โจดิ แมทเทอร์สัน กล่าวเสริมว่า “มันเป็นเรื่องราวของความไร้เดียงสา และ ความไร้เดียงสานั้นได้หายไป”

ภาพยนตร์เรื่อง Little Monsters เป็นเรื่องราวหรือภาพยนตร์ที่มีความหลากหลาย และ ได้เป็นการสะท้อนความสามารถของผู้กำกับที่สามารถเล่าเรื่องได้ตั้งแต่ ความตลกบันเทิงขั้นสุด ไปจนถึงความน่ากลัวและความรุนแรง ได้เช่นกัน
ความหลงใหล และ ความคิดสร้างสรรค์ ได้ กระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ยั้งในบทภาพยนตร์ และมันได้ส่งผลอย่างยอดเยี่ยมกับผู้ออกทุนสร้าง บทเรื่องนี้ใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น ตั้งแต่เริ่มต้นเขียน ไปจนถึงการเริ่มถ่ายทำ

อเล็กซานเดอร์ อิงแลนด์ ผู้ที่เคยร่วมงานกับเอป มาตั้งแต่เรื่อง Down Under ได้รับเลือกให้กลับมารับบทนำอีกครั้ง เขาแสดงในบท เดฟ เขาเป็นคนแรกๆ ที่ได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้
“เอป เล่าให้ผมฟังในขณะที่เราไปดื่มเบียร์กันอยู่ ว่าเขาได้เริ่มโปรเจคหนังจากไอเดียหนังที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ผมสนใจมันมาก” อิงแลนด์ กล่าว “วันหนึ่งบทหนังได้เข้ามาในอีเมลของผม แล้วผมก็เริ่มอ่าน แล้วผมก็หยุดหัวเราะไม่ได้ มันมีเรื่องราวหลายสิ่งที่สวยงามมากในหนัง แต่ด้วยความที่มีอารมณ์ขันแบบร้ายๆ ของ เอป มันกลับทำให้ผมหัวเราะหนักยิ่งขึ้นไปอีก แล้วการที่เราได้หัวเราะมากขนาดนี้ในบทดราฟท์แรก ผมถือว่าเป็นสัญญานที่ดีสำหรับหนังเรื่องนึงเลยล่ะ”

ในช่วงเวลาเดียวกัน เราได้ทีมงานเพิ่มเข้ามาอีกคนและถือเป็นกำลังสำคัญอย่างมากในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นก็คือการได้โปรดิวเซอร์อย่าง บรูน่า พาพันเดรีย มาร่วมงาน ผลงานของเธอนั้นมีภาพยนตร์ที่โด่งดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Gone Girl, Milk, Big Little Lies แต่ผลงานที่มีความสำคัญที่สุดกับภาพยนตร์เรื่อง Little Monsters ที่สุดคือ เธอนั้นเคยผ่านงานซอมบี้มาแล้วอย่างเรื่อง Warm Bodies
“บรูน่า ไม่ชอบการทำหนังซอมบี้ แม้ว่าเธอจะประสบความสำเร็จอย่างมากกับภาพยนตร์เรื่อง Warm Bodies” แมทเทอร์สัน กล่าว “ดังนั้นฉันเลยพูดกับบรูน่าตรงๆ ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบหนังซอมบี้ แต่ลองอ่านบทเรื่องนี้ดู แล้วมาบอกฉันว่าคิดอย่างไร”

ผลการตอบรับดียิ่งกว่าแมทเทอร์สันคาดไว้
“ตอนที่ฉันได้อ่านบท ฉันหลงรักมันเข้าเต็มๆ” บรูน่ากล่าว “ฉันเคยคิดว่าฉันไม่อยากที่จะทำหนังซอมบี้เรื่องใหม่อีกต่อไปแล้ว แต่บทมันยอดเยี่ยมและมีความแปลกประหลาด ฉันรู้สึกว่ามันจะต้องมีอะไรแน่ๆ ฉันเป็นแฟนตัวยงของ อเล็กซานเดอร์ อิงแลนด์ และเขาก็ตกลงที่จะเล่นหนังเรื่องนี้แล้ว อีกทั้งคอนเซปของบทมันไปไกลกว่าความคาดหวังเดิมๆ และสุดท้ายฉันอยากที่จะสร้างภาพยนตร์ที่จะสามารถกลายเป็นภาพยนตร์ที่คนทั่วโลกสามารถมีโอกาสได้ชม”

บรูน่า มองว่าหนังเรื่อง Little Monsters เป็นหนังที่มีแนวคิดไอเดียใหม่ๆ ในการผสมผสานหนังหลายแนวเข้าไว้ด้วยกัน แต่เธอประทับใจกับภาพยนตร์ที่ดำเนินเรื่องด้วยมุมมองของเดฟมากที่สุด
“โทนของหนังดูเผินๆ มันแทบจะไม่มีอะไรที่เข้ากันได้เลย แต่แล้วมันก็มีบางสิ่งที่คนเราทุกคนสามารถเชื่อมโยงกับมันได้” เธออธิบาย “ฉันชอบเรื่องราวดราม่า แต่แล้วมันก็มีความตลกที่ขับเคลื่อนโดยตัวละคร Little Monsters เป็นหนังที่ดาร์คและรุนแรงมาก ฉันมองเห็นว่า เอป มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เขาสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจน ใครก็ตามที่มองเห็นภาพได้ชัดเจนอย่างเขาได้นั้นทำให้ฉันมั่นใจได้ว่าจะสามารถนำพาภาพยนตร์เรื่องนี้ไปสู่ความสำเร็จ

ในช่วงแรกของการเขียนบทภาพยนตร์ เอป ฟอร์ไซท์ ได้แอบจินตนาการถึงสิ่งภัยอันตรายอื่นๆ ถ้าไม่ใช่ซอมบี้แล้ว จะเป็นอะไรได้อีก
“ถ้าผมเขียนมันให้ความอันตรายดูสมจริงหรือรุนแรงมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากมันเป็นเรื่องราวของการเอาชีวิตเด็กๆ เป็นตัวประกันล่ะ เรื่องราวมันก็เป็นเพียงแค่หนังเรียกค่าไถ่ธรรมดา” เขาอธิบาย “เราอยู่ในโลกที่ซอมบี้ได้ถูกจินตนาการไว้อย่างมากมายในปัจจุบัน มันสามารถสื่อความหมายได้หลายสิ่ง แล้วมันก็เป็นส่วนผสมที่ทำให้หนังสนุกได้อีกด้วย”

คีธ คาลเดอร์ และ เจสส์ วู คาลเดอร์ แห่ง Snoot Entertainment ทำหน้าที่มากกว่าการร่วมพัฒนาบท และได้กลายมาเป็น ผู้ร่วมทุนสร้าง
ผลงานของ Snoot นั้นมีผลงานที่โด่งดังของผู้กำกับชื่อดังอย่าง อดัม วิงการ์ด จาก You’re Next, The Guest, Blair Witch และภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง Anomalisa
“เจส และ ผม ต่างเป็นแฟนตัวยงของ เอป จากเรื่อง Down Under เราทึ่งในการเขียนบทของเขามาก” คีธ กล่าว

บรูน่า กล่าวถึงทั้งสองคนนี้ว่า “ทั้งสองนั้นมีความสามารถสูงมาก พวกเขาเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงานต่างๆ และพวกเขาเข้าใจในปัญหาของการสร้างภาพยนตร์ พวกเขามาพร้อมกับวิธีแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เพียงแค่มาดูงบการเงิน หรือมาแค่เช็คคิวว่าถ่ายไปได้ตามกำหนดการหรือไม่” ทั้งสองเป็นคู่หูที่น่าเหลือเชื่อ ฉันหวังว่าเราจะได้ทำงานร่วมกันอีกในอนาคต เรารู้สึกดีเสมอเมื่อฝ่ายการเงินเข้าใจปัญหาของการทำงานในแต่ละวัน”

เมื่อเราได้นักแสดงในบท เดฟ แล้ว ทีนี้ก็เหลือว่าเราจะคัดเลือกใครให้มารับบทนำในบทของ มิส แคโรไลน์ มีนักแสดงคนหนึ่งที่อยู่ในลิสท์มาอันดับหนึ่ง นั่นก็คือ
“ลูพิต้า ยองโก ได้เป็นตัวเลือกแรกที่ทีมงานทุกคนมองเห็นตั้งแต่แรก จากนั้นเราก็คิดว่า มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะหนังเราเป็นหนังเล็ก อีกทั้ง ลูพิต้า เพิ่งจะได้รับรางวัลออสการ์ เมื่อปีก่อน” แต่ บรูน่าก็มีคำขวัญประจำใจอยู่ นั่นก็คือ
“ห้ามพูดคำว่า มันเป็นไปไม่ได้”

ยองโก กล่าวว่า “ฉันได้รับบทหนังเรื่องนี้จากผู้จัดการ โดยที่มีโน้ตแทรกมาด้วยว่า นี่คือบทหนังที่พร้อมสร้างแล้ว ลองอ่านดูหน่อยแล้วคิดว่ามันเป็นยังไง เมื่อฉันได้เริ่มอ่าน สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับฉันคือฉันหัวเราะหนักมาก ดังนั้นฉันจึงตอบกลับไปว่า ฉันต้องการที่จะเล่นหนังเรื่องนี้ ช่วยต่อสายผู้กำกับให้ฉันที ฉันอยากคุยกับเขา”

“บทภาพยนตร์มันเป็นการผสานผสานหลากหลายแนวเข้าไว้ด้วยกัน ในแบบที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อน มันคือความบ้าคลั่งตั้งแต่เริ่มเรื่องจนกระทั่งจบลง ซึ่งมันเป็นดั่งเช่นชีวิตเราจริงๆ ฉันเคยโศกเศร้ากับการจากไปของคนที่รัก แต่แล้วนาทีถัดมาฉันก็เผลอหัวเราะให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ปุถุชน เราสามารถที่จะรับรู้และแสดงได้ถึงอารมณ์อันหลากหลายในเวลาเดียวกัน และบางครั้งเราเองต้องรับมือกับปัญหาทั้งเล็ก และ ใหญ่ไปพร้อมๆ กัน นี่คือสิ่งที่ Little Monsters พยายามพูดถึง มันคือความตื่นเต้นเสมอเมื่อได้อ่านอะไรที่มีพลัง” ยองโก กล่าว

สำหรับ เอป ฟอร์ไซท์ “มิส แคโรไลน์ นั้นเป็นตัวละครที่มีความยากมาก เพราะเธอคือคนที่ทุกคนเชื่อและไว้ใจได้ว่าเธอเป็นครูอนุบาลแต่ก็ต้องสามารถเชื่อได้ว่าเธอจะสามารถพบเจอกับสถานการณ์ที่แสนรุนแรงที่เกิดขึ้นในเรื่องได้ เราต้องการคนที่มีความสามารถในทุกด้าน ซึ่งต้องสร้างคาแรกเตอร์ที่เราเชื่อได้ และนั่นคือสาเหตุที่ ลูพิต้า ยองโก เป็นตัวเลือกแรกของเรา ผมแทบไม่เชื่อเลยว่าเธอยินดีที่จะมาร่วมสร้างหนังเรื่องนี้กับเรา ผมดีใจมากเพราะได้รู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังอยากจะเล่า อยู่ในมือของคนที่ใช่”
โปรดิวเซอร์ อย่าง สตีฟ ฮูเทนสกี้ เสริมว่า “ลูพิต้า ยองโก นั้นเป็นดาราที่ใหญ่มาก เพราะเธอเคยแสดงในหนังระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง Star Wars: The Force Awaken และ Black Panther มาแล้ว แต่ทางฝ่ายหานักแสดงก็บอกว่า เรามาลองติดต่อเธอดูกันดีกว่า การได้นักแสดงระดับบิ๊กสตาร์ อย่าง ลูพิต้า และ จอช แกด ในบท เทดดี้ แมคกิกเกิ้ล ทั้งคู่เคยผ่านงานระดับใหญ่มาแล้วทั้งสิ้น การที่ทั้งสองตัดสินใจมาร่วมแสดงในภาพยนตร์อิสระเรื่องนี้นั้นหมายความว่า พวกเขาทั้งสองรักบทหนังเรื่องนี้มาก และ ต้องการที่จะแสดงให้ผู้กำกับเห็นว่าบทที่ดีนั้นสามารถทำให้นักแสดง ไม่ว่าจะเบอร์ระดับไหนก็ตาม อยากที่จะมาร่วมงานกัน”

จอช แกด เป็นนักแสดงที่สร้างชื่อจากบทบาทในเสียงพูดของเขา ในบท “โอลาฟ จากภาพยนตร์เรื่อง Frozen” นอกจากนั้นเขายังแสดงในภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Beauty and the Beast, Marshall และ Murder on the Orient Express
“ผมอยากกลับไปเล่นภาพยนตร์คอมเมดี้” จอช แกด กล่าว “ผมได้อ่านบทมาสอง สาม เรื่องก่อนหน้านี้ แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้ผมอยากเล่นเลยสักเรื่อง แต่แล้วผมก็ได้เจอกับบทหนังเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องราวที่แปลกมาก ทุกคนต่างชื่นชมว่ามันวิเศษมากแค่ไหน ดังนั้นผมเลยต้องอ่านมัน ผลคือผมสามารถอ่านมันรวดเดียวในหนึ่งคืน รุ่งเช้าผมถึงรู้ว่า ไอ้ตัวละคร เทดดี้ นี่มันบ้าบอวายป่วงเหลือเกิน ผมจำเป็นต้องเล่นเป็นเขาแล้วล่ะ”

ยองโก กล่าว “ฉันไม่เคยเห็นภาพยนตร์เรื่องไหน เหมือนกับเรื่อง Little Monsters เลย นั่นคือเหตุผลที่ฉันรักมัน ฉันหวังว่าคนดูจะรักมันได้เหมือนกับฉันรักหนังเรื่องนี้ เพราะมันเป็นภาพยนตร์ที่สนุกมาก มันบ้าบอมาก แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความน่ารัก เมื่อถึงบทสรุปมันก็คือ คุณจะยอมทุ่มเทแค่ไหนเพื่อรักษาความไร้เสียงสาของเด็กๆ เอาไว้”

ความไร้เดียงสาคือสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันนี้ที่ซึ่งมีเรื่องราวบ้าบอต่างๆ เกิดขึ้นรอบโลก ที่ส่งผลกระทบต่อความไร้เดียงสาของเรา เพราะอะไรความไร้เดียงสาจึงสำคัญ ความไร้เดียงสามาพร้อมความสามารถในการที่เราจะรักใครสักคนได้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงและน่ารังเกียจ สิ่งจำเป็นคือเราต้องเรียนรู้ที่จะรัก จำให้ได้ว่าความรักจะส่งผลอย่างไรกับพื้นที่ความเป็นเด็กในตัวเรา เพราะความรักมันคือสัญชาตญาณแรกของชีวิตเรา

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในหัวของ เอป ฟอร์ไซท์ ไอเดียเล็กๆ ที่ว่าถ้าหากเกิดซอมบี้อยู่ข้างหน้า ในขณะที่ลูกของเขานั่งอยู่บนรถแทรกเตอร์ เขาจะทำอย่างไร ไอเดียเล็กๆ ได้กลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันเริ่มรวมรวมผู้คนเข้ามามากมายเรื่อยๆ จากไอเดียสั้นๆ ได้กลายเป็นบทภาพยนตร์ขนาดยาว
“บทเรียนที่สำคัญที่สุดของ Little Monsters คือการที่เรายอมแพ้ต่อความกลัว” เอป กล่าว “มิส แคโรไลน์ ได้สอนสิ่งนี้กับเด็กๆ พวกเขามองโลกในมุมมองที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ มันไม่ใช่เพียงแค่มองโลกในมุมขาว หรือดำ เท่านั้น พวกเขาไม่กลัวหรือกังวลในสิ่งที่ไม่สำคัญ พวกเขาเห็นสิ่งต่างๆ ในแบบที่มันเป็น Little Monsters เป็นการยืนหยัดในคุณค่าของการเป็นเด็ก และมันก็เป็นบทเรียนให้ผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ ผู้ใหญ่ทุกคนต้องหัดร้องเพลง เปล่งเสียงไร้สาระออกไปบ้าง ทำตัวชิลบ้าง ท่ามกลางโลกที่กำลังพังทลาย














กำลังโหลดความคิดเห็น