xs
xsm
sm
md
lg

"หลิว-ดิว-ภพ" วัยรุ่น 2 ยุคที่ "ปางน้อย" !

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"หลิว-ดิว-ภพ" วัยรุ่น 2 ยุคที่ "ปางน้อย" !

ในภาพยนตร์เรื่อง “ดิว: ไปด้วยกันนะ” มีนักแสดงวัยรุ่น 2 ยุค ในยุคแรก ปี 2539 เป็นเรื่องราวสมัยที่ “ดิวกับภพ” ยังเป็นวัยรุ่น และเป็นนักเรียนอยู่ที่ปางน้อย “ดิว” แสดงโดย “โอม” ภวัต จิตต์สว่างดี และ“ภพ” แสดงโดย “นนท์” ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ และเมื่อถึงจุดที่ทั้งคู่ต้องจากกัน ในปัจจุบัน “ภพ” เติบโตเป็น “เวียร์” ศุกลวัฒน์ คณารศ และเมื่อเขาได้พบกับ “หลิว” ที่แสดงโดย “ปั๋น” ดริสา การพจน์ ในบทบาทนักเรียนในชั้นที่ภพสอนอยู่ หลายอย่างของเธอ ทำให้ภพนึกถึงภาพของ “ดิว” ตลอดเวลา ! ...
ปริศนานี้ ... ต้องชม และตีความ !
เรามาทำความรู้จักกับนักแสดงทั้ง 3 คนของภาพยนตร์เรื่องนี้กัน

“ปั๋น” ดริสา การพจน์ : หลิว
ในแวดวงศิลปะชื่อของ “ปั๋น” - ดริสา การพจน์ กำลังได้รับการจับตามองในฐานะศิลปินนักวาดภาพประกอบอายุน้อย โดยผลงานของเธอมีทั้งการวาดโปสเตอร์หนังเวอร์ชั่นไทยแสนสวยสดงดงามอย่าง White God, Embrace of the Serpent และ The Square เป็นอาทิ ผลงานของเธอได้รับการยอมรับจนสามารถจัดนิทรรศการงานศิลปะภาพวาดจากเลือด Vein/Vain โดยในฐานะศิลปินนักวาดภาพประกอบนี้ เธอใช้นามปากกาว่า “Riety” ซึ่งมียอดผู้ติดตามผลงานมากกว่า 8 หมื่นคน ...ขณะที่ในฐานะนักแสดง เธอเคยผ่านงานหนังสั้นมาก็มาก แต่ไม่เคยมีบทบาทในหนังยาวมาก่อน และ ‘ดิว: ไปด้วยกันนะ’ คือหนังเรื่องแรกที่หยิบยื่นโอกาสนั้นมาให้เธอ

“ปั๋น” - ดริสา รับบท “หลิว” ลูกศิษย์สาวหัวขบถของภพ ผู้ที่ให้ครูหนุ่มเกิดความปั่นป่วนเมื่อพบว่า หลิวมีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้ภพนึกไปถึง “ดิว” เพื่อนชายคนสนิทสมัยเรียนมัธยม ปั๋นอธิบายตัวละครหลิวในมุมของเธอว่า “หลิวเป็นเด็ก 16 ที่ก็มีปัญหาชีวิต แต่ก็มีอิสระประมาณนึง มีความแข็งกร้าวไม่แคร์คน จริงๆก็ใกล้เคียงกับตัวปั๋นมาก แต่วิธี expression อาจจะไม่เหมือนกัน โดยพื้นฐานของคาแรกเตอร์อาจคล้ายกัน แต่อาจจะด้วยที่ๆหลิวอยู่มันไม่ได้กดดันให้หลิวต้องเป็นมิตรกับทุกคนเพื่อความอยู่รอด พออยู่ในสังคมโรงเรียนต่างจังหวัดอาจไม่ได้โดนกดดันว่า จะต้องเรียนเก่งหรือต้องโน่นนี่นั่นเท่ากับอยู่กรุงเทพฯ บางทีอยู่ในกรุงเทพฯถ้ามีปัญหาอาจต้องประนีประนอมบ้างเพื่ออยู่รอดให้ได้”

การได้ร่วมงานกับผู้กำกับ “มะเดี่ยว” ในหนังยาวเป็นครั้งแรกของปั๋น ทำให้ปั๋นเลือกจะทำการบ้านอย่างหนัก ด้วยการทำความเข้าใจตัวละครอย่างทะลุปรุโปร่งในแบบของตัวเอง “ปั๋นไม่เคยถ่ายหนังยาวๆมาก่อนก็จะมีความกลัวว่าอารมณ์มันจะไม่ต่อเนื่อง ปั๋นเลยอ่านบททั้งหมดแล้วเขียนไดอารี่ของแต่ละวัน เพราะตอนถ่ายก็ไม่ได้เรียงตามเวลา ปั๋นกลัวว่าอารมณ์มันจะไม่ต่อเนื่องเช่นวันนี้ถ่ายฉากเศร้ามากๆ อีกวันถ่ายฉากที่ตลกมากๆ ปั๋นต้องเขียนลงในไดอารีเพื่อไม่ให้มันโดด...เขียนลงไปก็ได้นะพี่ว่าหนูกลัวสอบตก (หัวเราะ)”

สิ่งสำคัญที่ทำให้ปั๋นจะต้องทำการบ้านกับหลิว ราวกับทำวิทยานิพนธ์เล่มหนึ่งนี้ก็เพราะนอกจากสิ่งที่ปั๋นจะต้องทำการบ้านในส่วนของตัวเองแล้ว เธอยังต้องทำการบ้านกับบทดิวอีกด้วย เพื่อให้สองตัวละครนี้เชื่อมโยงอย่างมีนัยยะ สร้างความปั่นป่วนให้กับภพตอนโตให้ได้ “ที่ทำขนาดนั้นเพราะว่าจริงๆปั๋นไม่ค่อยเข้าใจคนเท่าไหร่ โอเคปั๋นอาจจะมองคนออกแต่ไม่ได้เข้าใจคนมากเลยต้อง input เยอะๆ ปั๋นมองคนเป็นข้อมูลได้คนนี้น่าจะเป็นคนแบบไหน ฐานะยังไง แต่ว่าอารมณ์ความรู้สึกของแต่ละคน บางทีมันขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู และสิ่งที่เขาเจอมาในอดีตด้วย”

หลิวในการตีความของปั๋นนั้นมองว่าเธอเป็นเด็กมัธยมที่น่าจะผ่านเรื่องราวหนักหนามามากมายจนทำให้เธอเป็นคนแบบนี้ “หลิวเขาน่าสงสารตรงที่ไม่ belong กับอะไรเลย คงจะเป็นเด็กที่ผ่านอะไรมาเยอะจนคนคงไม่ค่อยเข้าใจ และเขาก็ไม่ไว้ใจใครด้วย ซึ่งมันส่งผลไปถึงปัญหาพฤติกรรมว่า ถ้าไม่สามารถเจอคนที่เข้าใจได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก็อาจจะเจอปัญหาในอนาคตได้ หากไม่มีคนที่เขาไว้ใจเข้ามาในชีวิตพอดี”

การแสดงแตกต่างจากการวาดภาพประกอบตรงที่งานวาดภาพประกอบของRietyเกิดขึ้นจากการทำคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับการแสดงนั้นคือ การสร้างส่วนผสมร่วมกันกับเพื่อนนักแสดงร่วมจอ ดังนั้นมันจึงเป็นอีกหนึ่งงานที่ไม่สามารถกำหนดให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ทั้งหมด “ต่อให้ปั๋นทำการบ้านหนักแค่ไหน แต่พอถึงเวลาแสดงจริงๆปั๋นก็คิดแค่ว่าเมื่อกี๊คนนี้พูดกับเราแบบนี้แล้วเราที่เป็นหลิวจะมีปฏิกิริยายังไง เพราะถึงตอนเราอ่านบท เราจะรู้เข้าไปในใจของอีกคน แต่ในความเป็นจริงเราไม่รู้หรอกว่า อีกคนคิดยังไง ปั๋นเลยต้องปล่อยไปตามนักแสดงคนอื่นเยอะๆเลย โดยเฉพาะพี่เวียร์ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันค่อนข้างเยอะ ซึ่งมันก็จะมีอะไรนอกเหนือจากที่เราคิดมาเสมอ เพราะอารมณ์คนจริงๆมันคาดเดาอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เช่นฉากที่ครูภพมาชวนหลิวไปประกวดวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นความรู้สึกคือโหพี่เค้าสูงจัง เค้าต้องมาเอาเรื่องกูแน่ๆกูทำอะไรผิดวะ (หัวเราะ) เพราะตอนอ่านบทก็แค่อาจารย์มาชวนไปประกวดมันแปลกตรงไหน? แต่พอเอาเข้าจริงแล้วอาจารย์เดินดุ่มๆเข้ามา ความรู้สึกคือ ‘ชิบหายละ’ (หัวเราะ) หน้าตาก็จะมีความจ๋อยๆประมาณนึง เหมือนว่าพลังงานของอีกคนที่ส่งมามันมีผลมากๆในการกำหนดว่าฉากนั้นๆจะเป็นอย่างไร”

‘ดิว: ไปด้วยกันนะ’ เป็นหนังที่ให้ความสำคัญกับการเวิร์คช็อปนักแสดงเป็นอย่างมาก และกระบวนการนี้ได้ช่วยให้ปั๋นทำความรู้จักกับตัวละครมากขึ้นด้วย “ตอนเวิร์คช็อปปั๋นจะได้ทำกับน้องนนท์ที่รับบทเป็นภพตอนเด็กค่อนข้างเยอะ ซึ่งมันกลายเป็นว่าตอนที่ปั๋นเจอพี่เวียร์ครั้งแรกแล้วรู้สึกพลังงานของเขาสองคนนี้ใกล้กัน เวลาเข้าคาแรกเตอร์เลยจะเหมือนรู้จักกับภพมาตั้งแต่เด็กแล้วเหมือนเราเคยเจอกันมาก่อน”

หลิวเปรียบเสมือนตัวละครที่มีบาดแผลทางจิตใจซึ่งปั๋นให้ความเห็นว่า “มันจะมีบางคนที่มักเอาความรู้สึกผิดมาทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อยๆซ้ำๆ คนเราเมื่อรู้ว่าไฟมันร้อนก็จะไม่เอามือไปแตะมัน กลัวในการที่จะทำอะไรๆมากขึ้น สร้างแพทเทิร์นในในชีวิตขึ้นมา คนทุกคนต้องการ comfort zone โดยเฉพาะคนที่รู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัยมากๆแบบหลิว หนังเรื่องนี้มันเลยเป็น coming of age ของทุกคนในเรื่องในการที่จะพยายามก้าวผ่านอะไรบางอย่างในชีวิตไปให้ได้”

คู่จิ้น 2019 : ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ (ภพ) & ภวัต จิตต์สว่างดี (ดิว)

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 มะเดี่ยว-ชูเกียรติได้สร้างชื่อให้สองนักแสดงวัยรุ่นคู่จิ้น “มาริโอ้ เมาเร่อและวิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล” ใน “รักแห่งสยาม” มาปีนี้เขาได้สร้างสองนักแสดงวัยรุ่นคู่ใหม่นนท์-ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์และโดม-ภวัต จิตต์สว่างดี ในบท “ภพ” (วัยเด็ก) และ “ดิว” ตามลำดับ

ภพเป็นเด็กชายผู้แข็งกร้าวมีโลกส่วนตัวสูง ในขณะที่ดิวคือเด็กใหม่ที่ยังหาที่ทางของตัวเองในปางน้อยไม่ได้ ทั้งคู่ดูเป็นเคมีที่ไม่อาจเข้ากันได้เลย ทว่ากลับกลายเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน จนพัฒนาความรู้สึกเกินไปมากกว่าคำว่าเพื่อน ท่ามกลางสภาพสังคมที่ยังไม่อาจยอมรับความรักในเพศเดียวกันได้นัก

นนท์ประเดิมการแสดงครั้งแรกในหนังเรื่องนี้ และกำลังจะมีผลงาน ‘ฉลาดเกมส์โกงเดอะซีรีส์’ ที่กำลังถ่ายทำซึ่งตัวละครภพดันมีความคล้ายคลึงกับตัวตนของนนท์อยู่ไม่น้อย จึงไม่ได้เรียกร้องการทำความเข้าใจในตัวละครสูงนัก เป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับนักแสดงหน้าใหม่อย่างเขา “ภพเป็นลูกคนจีนพ่อเป็นทหารไม่ค่อยสุงสิงกับใคร บอยๆเล่นบาสมีโลกส่วนตัวสูง ซึ่งผมได้ฝึกการแสดงมาก่อนหน้านี้นิดเดียวเอง”

ประเดิมหนังเรื่องแรกนนท์ก็เจองานหิน คือตัวละครจะต้องพูดสองภาษาคือไทยและจีน แต่พื้นฐานนนท์มีเชื้อสายจีนอยู่แล้วจึงพอมีทักษะภาษาจีนอยู่บ้าง “ผมได้ไดอะล็อกภาษาจีนก่อนออกกองนิดเดียวเองแล้วเราก็ไปฝึกตอนเข้าฉาก แต่จะมีครูที่เก่งภาษาจีนอยู่ในกองด้วย มันเลยไม่ยากเท่าไหร่เพราะเรามีพื้นฐานอยู่บ้าง”

บทภพในวัยเด็กกับนนท์มีจุดร่วมกันอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคนจีนและบุคลิกส่วนตัว “ผมว่าภพค่อนข้างเหมือนผมมากต่างกันตรงที่ครอบครัวผมไม่ได้เข้มงวดเท่าบ้านของภพ ส่วนอื่นๆอย่าง personality มีความคล้ายคลึงกันอยู่เลยไม่ได้ใช้เวลาปรับตัวมาก กับอีกอย่างคือเรื่องภูมิลำเนา ภพเป็นเด็กที่โตในสังคมจีนยูนนานทางภาคเหนือ แต่ผมมีเชื้อจีนกับคนใต้ สิ่งนี้มากกว่าที่ทำให้ผมต้องปรับตัวเยอะสุด”

ส่วนสำคัญที่เรียกร้องการทำความเข้าใจในตัวภพมากขึ้นสำหรับนนท์คือ ความรักในแบบที่เขาเองไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมมาก่อน นั่นคือความรักแบบชายรักชาย “ตอนแรกเขาส่งเรื่องย่อมาให้ ว่าภพเป็นใครเป็นคนยังไงและจะสร้างความสัมพันธ์กับดิวมากขึ้น ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันเพราะไม่เคยคิดว่าจะรับเล่นบทชายรักชายมาก่อน แต่พอบทนี้มาอยู่ในมือก็คิดว่ามันเป็นความท้าทายแบบหนึ่ง เป็นตัวละครหนึ่งที่เราต้องพยายามทำความเข้าใจมากขึ้น”

ใน ‘ดิว: ไปด้วยกันนะ’ นนท์จะต้องเข้าฉากร่วมกับโอมผู้รับบทเป็นดิวมากที่สุด และนอกเหนือไปกว่านั้นคือเขาต้องมีความรู้สึกสุดพิเศษต่อกัน นนท์เล่าว่าในความเป็นจริงทั้งนนท์และโอมต่างมีบุคลิกส่วนตัวไปคนละทางโดยสิ้นเชิง เพราะในขณะที่โอมเป็นคนร่าเริงและเข้ากับคนง่าย นนท์กลับเป็นคนที่อยู่ในโลกส่วนตัวมากกว่าทว่านั่นกลับเป็นประโยชน์กับหนัง เพราะมนตร์เสน่ห์ระหว่างตัวละครภพกับดิวคือการสร้างสัมพันธ์อันดี แม้จะมีตัวตนที่ต่างกันก็ตาม “ผมว่านี่คือจุดเด่นของหนังเรื่องนี้นะ นั่นคือการเปิดกว้างเรื่องความสัมพันธ์ที่หลากหลายมากขึ้น แม้เรื่องราวในส่วนของผมจะเล่าเหตุการณ์ในอดีต แต่มันก็สะท้อนปัจจุบันมากเลย ในเรื่องภพเขาก็ประสบปัญหามามากมายถึงขั้นยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับมาเริ่มต้นใหม่ มันน่าจะทำให้คนที่ได้ดูได้หยุดคิดสักนิดนึงก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรไป”

สิ่งสำคัญจากการเล่นหนังเรื่องแรกของนนท์คือ การได้คู่หูรุ่นพี่คนใหม่ในวงการนั่นคือ เวียร์-ศุกลวัฒน์ผู้รับบทภพตอนโต ที่แม้ทั้งคู่จะไม่ได้เข้าฉากร่วมกันเลยก็ตาม แต่การได้ทำการบ้านกับตัวละครภพร่วมกัน ทำให้ทั้งคู่พบว่าต่างคนก็มีอะไรที่คล้ายกันอยู่ไม่น้อย “หนักๆเลยคือเราต้องจินตนาการว่าภพเป็นคนยังไง เราต้องสร้างตัวเขาขึ้นมาตั้งแต่เล็บเท้ายันเส้นผม จินตนาการว่าคนเชียงใหม่เมื่อก่อนใช้ชีวิตยังไง มีการทำการบ้านกับพี่เวียร์ แล้วก็ตีความตรงกันผมกับพี่เวียร์ก็เข้าขากัน เขายังบอกเลยว่าผมเหมือนพี่ชายของเขาที่เสียไปเมื่อ 18 ปีก่อน และตอนนี้ผมก็อายุ 18 พอดีด้วย ยังคุยกันอยู่เลยว่าผมทำให้พี่เวียร์คิดถึงพี่ชายของเขา”

ในขณะที่นนท์เริ่มต้นการแสดงครั้งแรกจากหนังเรื่องนี้ คู่หูของเขาอย่างโอม-ภวัตไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่แต่อย่างใด เขามีผลงานเป็นซีรีส์ที่ได้รับความนิยมมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘Make It Right the Series รักออกเดิน’ และ ‘เขามาเชงเม้งข้างๆหลุมผมครับ’ ซึ่งหนัง ‘ดิว:ไปด้วยกันนะ’ คือการเปิดตัวในวงการหนังไทยเป็นครั้งแรก และยังเป็นบทสำคัญที่เสมือนศูนย์กลางของจักรวาลในหนังเรื่องนี้

โอมอธิบายตัวละครของเขาว่า “ดิวเป็นเด็กที่อยู่กับแม่เพียงลำพังแม่ย้ายที่ทำงานบ่อย เราก็ต้องย้ายตามไปเรื่อยๆ เปลี่ยนสังคมรอบข้างไปเรื่อยๆ จนมาถึงที่ปางน้อยก็คือการที่เราย้ายจากสังคมเมืองมากๆไปอยู่ในเมืองเล็กๆ เลยมีปัญหากับการปรับตัวอยู่พอสมควร เป็นคนที่ไม่รู้ว่าความรักคืออะไร แต่พอรู้สึกดีกับใครก็จะอยากอยู่ตรงนั้นกับคนนั้น”

ในเรื่องนี่ดิวรู้สึกดีที่ได้อยู่กับภพ ดังนั้นสิ่งที่ต้องโอมต้องทำการบ้านอย่างหนักคือการทำความเข้าใจภพให้มากรวมไปถึงนนท์ผู้รับบทนั้นด้วย “โอมเป็นคนที่เปิดกับทุกคนอยู่แล้วพอรู้ว่าต้องเล่นด้วยกันก็ต้องไปเรียนรู้ว่าเขามีไลฟ์สไตล์ยังไงชอบหรือไม่ชอบอะไรนอนกี่โมงตื่นกี่โมงปรับตัวเรื่องการใช้ชีวิตกับเขาเป็นเดือนๆอยู่ด้วยกันมาตลอดจนส่งผลให้การทำงานง่ายขึ้น”

การที่นอกจอสนิทกันแล้วต้องมารับบทที่แน่นแฟ้นไปกว่านั้นนี่คือ เรื่องที่โอมจะต้องบริหารความรู้สึกตัวเอง “การอยู่ด้วยกันมันก็เหมือนเพื่อนอยู่ด้วยกัน พอทำงานก็เหมือนเราใส่หน้ากาก เหมือนเราก็คือดิวถ้าเรารู้สึกดีต่อกันก็จะรู้สึกดีกับภพด้วย แต่นอกฉากก็เป็นเพื่อนกันปกติ เรื่องนี้ยังได้เข้าฉากกับพี่อุ๋ม (อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน) ซึ่งพี่อุ๋มน่ารักมาก เจอกันครั้งแรกพี่อุ๋มอ้าแขนกอด ผมเลยรู้สึกอบอุ่นมาก จูนติดตั้งแต่โมเมนต์นั้นเลยว่า เราคือแม่ลูกกัน”

“สิ่งที่คนดูจะได้รับจากหนังเรื่องนี้คือความรู้สึกของคนคนหนึ่งไม่ได้มีด้านเดียว แต่ละคนมีจุดดีจุดด้อยเป็นของตัวเองอยู่ที่ว่าเราจะบริหารมันยังไงเพื่อที่จะอยู่ในสังคมต่อไปครับ”

และนี่คือ เรื่องราวของนักแสดงทั้ง 3 คนใน “ดิว:ไปด้วยกันนะ”

#ดิวไปด้วยกันนะ #ละครออนไลน์เดอะมูฟวี่


















กำลังโหลดความคิดเห็น