เปิดใจ "จอมขมังเวทย์ 2020"
ความเชื่อ ศรัทธา อาคม งมงาย ล้วนอยู่รายรอบตัวเรา ... คุณเชื่อมั้ยล่ะ?
..........
หลังการสูญเสียครอบครัวครั้งใหญ่ทำให้ “วิน” (หมาก ปริญ) ชายหนุ่มผู้รอดชีวิตกลับต้องเปลี่ยนความเชื่อและศรัทธาที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยมุ่งเข้าสู่ศาสตร์ลึกลับและอาคมเวทต่างๆ เพื่อสืบหาและจัดการฆาตกรด้วยตนเอง
แต่ยิ่งสืบหามากเท่าใด เขาก็ยิ่งถลำลึกสู่ด้านมืดมากขึ้นทุกที จนทำให้ต้องเข้าไปพัวพันกับ “จอมขมังเวทในตำนาน” (นก ฉัตรชัย), “ผู้คลั่งพลังทำลายล้าง” (ก๊อต จิรายุ) และ “เจ้าลัทธิใหม่แห่งยุค” (นก สินจัย) ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมด้วยกันทั้งสิ้น
การปะทะอันดุเดือดของ “เหล่าจอมขมังเวท” ที่มีศรัทธาแห่งตัวตนเป็นเดิมพันและอาคมปาฏิหาริย์เป็นตัวชี้ชะตา กำลังปะทุถึงขีดสุด
เรื่องราวของไสยเวทอาคมขลังแห่งโลกยุคใหม่กำลังเริ่มต้น... พวกเขา เหล่านี้ จะพาคุณผู้อ่านไปพบกับโลกอันเต็มไปด้วยความเชื่อ และศาสตร์เร้นลับนี้ ! ผ่านผู้ร่วมงานของภาพยนตร์เรื่องนี้
"หมาก" ปริญ สุภารัตน์ ดำดิ่งสู่ด้านมืด ทุ่มสุดตัวไม่มียั้ง !
“ภูมิใจและดีใจมากครับที่ได้มาอยู่ในภาคต่อหนังในตำนานเรื่องนี้ ก็ต้องฟิตร่างกายมากๆ เพราะว่าเรื่องนี้บู๊หนักมาก ทุกคิวคือมีบู๊ ต้องเตรียมตัวเตรียมร่างกายให้ดี ส่วนเรื่องการแสดงหนังมันก็จะ Real กว่า เราทำอะไรได้เยอะกว่า ก็สนุกมากๆ เรื่องนี้ก็เปลี่ยนลุกส์ไปเลย ต้องสักทั้งตัวครับ รอยสักเนี่ยก็ทุกคิวเหมือนกัน ก็แปลกดี ผมว่าถ้าใครได้เห็นก็คงโห...แปลกดี หายไปเลยครับความเนี้ยบ ความหน้าใส ทรงผม คาแร็กเตอร์ สายตาเปลี่ยนไปหมดเลย ก็อยากให้ดูการแสดงเรื่องนี้ด้วยครับ
ความน่าสนใจอยู่ที่ทีมนักแสดงและบทด้วย น่าสนใจตรงที่มันเป็นภาคต่อ เพราะฉะนั้นมันจะมีจอมขมังเวทรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่มาเจอกัน แอคชั่นเดือดมากเลย มันเป็นแอคชั่นที่เค้าอยากจะให้เรียลมากๆ ไอ้นี่มันก็เป็นนักต่อสู้นักมวยอยู่แล้ว เค้าก็อยากให้ดูจริง ไม่ค่อยใช้อาวุธเท่าไหร่ ก็จะเป็นมือเปล่าต่อยกันมากกว่า ความล้ำทันสมัยของเอฟเฟกต์ซีจี แล้วก็ทำให้เห็นถึงความเป็นปัจจุบันว่าคนยังมีอะไรแบบนี้อยู่ ความเป็นเมืองสมัยใหม่ แต่ของขลังมันก็ต้องมี”
นก ฉัตรชัย” จอมขมังเวทย์ตัวพ่อ
“ก็กลับมารับบทบาทเดิมที่เคยแสดงไว้เมื่อ 14-15 ปีก่อน ก็รู้สึกดีใจที่ได้กลับมารับบทนี้นะครับ ในเรื่องจริงๆ แล้วเป็นตำรวจที่หมกมุ่นอยู่กับคาถาอาคม จนกระทั่งตัวเองเข้าไปติดอยู่ในวังวนของความเป็นขมังเวท พอมาในภาคนี้ก็เป็นภาคต่อที่หลังจากเหตุการณ์มันล่วงเลยมานาน อิทธิก็ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อมาตามทวงคืนสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรื่องราวในยุคปัจจุบัน พอมาเห็นพวกขมังเวทในยุคปัจจุบันเป็นแบบไหน ตัวเองก็รู้สึกว่ามองเห็นสิ่งที่เป็นไปของโลกมากขึ้น ก็ต้องมาเจอตัวละครใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา แล้วก็เห็นว่าเด็กๆ รุ่นใหม่เป็นยังไง เราก็รู้สึกว่าเราควรจะทำยังไงดีกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน
ถ้าจะพูดถึงหนัง ‘จอมขมังเวทย์’ ในยุค 2020 นี้นะครับ มันก็อาจจะเป็นอะไรที่ไกลตัวนิดนึง เพราะว่ามันมีพวกโซเชียลต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ว่าถ้าเราสังเกตดีๆ ไอ้พลังลึกลับพวกนี้เนี่ยมันยังมีอยู่ ไม่ว่าจะมีคลื่นโทรศัพท์มาแทรกก็ตาม แต่ไอ้พลังลึกลับพวกนี้เราก็ยังเห็นอยู่เป็นประจำว่ามันยังคงอยู่ เพราะฉะนั้นคำว่าจอมขมังเวทมันก็ยังขลังอยู่ครับ”
“ก๊อต จิรายุ” ระเบิดความคลั่ง ปล่อยพลังสุดๆ
“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกอีกฝั่งหนึ่งของผู้ที่มีคาถาในตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าคนที่มีวิชาก็อยากจะเป็น The Best อยากจะเก่งที่สุด ทีนี้ไอ้ตัวนี้ก็เหมือนกัน อยากจะเป็นเดอะเบสต์ มันก็พยายามดีไซน์ทุกอย่างให้เดอะเบสต์ จากตรงนั้นตรงนี้มาคอนเนกต์กัน เพราะมันรู้สึกอยากจะเอาชนะ ไม่ใช่เอาชนะแค่ด้วยเวทมนตร์ แต่เอาชนะด้วยทัศนคติ มันพยายามจะเปลี่ยนความคิดคนอื่นให้คิดแบบมันด้วย
โดยส่วนตัวผมไม่ได้สร้างเบื้องหลังให้ตัวละครเพียงเพื่อการแก้แค้น เพราะมันจะเป็นการลงลึกสู่ตัวละครแค่ระดับตื้นไป ผมมองลึกไปจนถึงที่ว่าไอ้ตัวละครนี้เนี่ย มันเป็นเพียงร่างหนึ่งที่อาศัยของดวงวิญญาณของปีศาจ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันมีอายุอยู่เป็นพันๆ ปี แล้วมันมาใช้ร่างนี้เพื่อที่จะทำให้คนหลงผิดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งคนหลงผิด คนก็ยิ่งอยู่ในบ่วงมารมากขึ้น นี่คือสิ่งที่มันต้องการ เป้าหมายของมันก็คือทำให้คนจำนวนมากที่สุดไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่ากำลังศรัทธาในอะไร ทำให้คนมากที่สุดโง่งมงายมากขึ้นกว่าเดิม นั่นคือเป้าหมายของมัน คนโง่ปกครองง่าย”
“นก สินจัย” คืนหนังใหญ่ครั้งสำคัญ
“จอมขมังเวทย์ 2020’ ก็จะพูดถึงเรื่องราวของคนสองรุ่นที่อยู่ในสองขั้วของสังคมในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งความเชื่อและความศรัทธาในสภาวะที่แตกต่างกัน มันก็เลยมีการต่อสู้ในเรื่องของความเชื่อที่แตกต่างกัน ก็เป็นแอคชั่นแน่นอน เป็นเรื่องของความลึกลับ ความศรัทธา ไสยศาสตร์ มันมีทั้งความเชื่อและความไม่เชื่อในสิ่งเดียวกัน แต่ถูกนำมาใช้แตกต่างกันในแต่ละบุคคล มันคือการต่อสู้กันของศรัทธามากกว่า
โดยองค์รวมเราได้นักแสดงที่น่าสนใจมากๆ นี่น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดผู้ชมได้เป็นส่วนสำคัญเลย และก็แน่นอนแอคชั่นกับซีจีเป็นไฮไลต์ของเรื่องนี้ ก็อยากให้ลองดูติดตามกัน ซีจีบ้านเราในยุคหนังไทยช่วงนี้อาจจะไม่ได้ดูกันง่ายๆ นกเชื่อว่าเรื่องนี้ผู้กำกับและทีมงานก็ตั้งใจทำมากๆ ให้มันออกมาสนุกและให้อะไรกับผู้ชมด้วย”
“คิทตี้ ชิชา” สาวแกร่งเผ็ดสวยดุ
“เรื่องราวของความเชื่อที่กลับมาอีกครั้งหนึ่งในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวทันสมัยขึ้น แล้วก็ปัจจุบันมากขึ้น แต่ว่าเรื่องราวพวกนี้ก็ยังไม่ห่างหายไปจากสังคมไทย ก็เป็นเรื่องของความเชื่อต่างๆ ที่จะมาบรรจบกับเทคโนโลยี แล้วก็ทำให้เห็นว่าเรื่องบางเรื่องที่เหนือจริงก็เกิดขึ้นได้จริงค่ะ
ตื่นเต้นมากค่ะ เป็นครั้งแรกที่ได้รับบทตำรวจ เราได้ดูตั้งแต่ภาคแรกมาแล้วรู้สึกว่ามันน่าสนใจ ก็รู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้เข้ามาอยู่ในภาคนี้ ได้เห็นโลกใบนี้กลับมาอีกครั้ง เพราะคิทตี้มองว่า ‘จอมขมังเวทย์’ ภาคแรกก็เป็นหนึ่งในตำนานของหนังไทยที่รวมทั้งความแอคชั่นและความแฟนตาซีของไสยศาสตร์เข้ามาผสมอยู่รวมกัน แล้วเราก็ไม่ได้เห็นหนังแบบนี้มานานแล้ว ตอนที่ติดต่อมาแล้วได้เข้ามาเล่น และการที่ได้เห็นแต่ละฉากเกิดขึ้นจริง ได้เห็นทั้งเบื้องหลัง-เบื้องหน้า ก็รู้สึกดีใจและประทับใจมากๆ ค่ะ”
“แพร์ พิชชาภา” สร้างสีสันน่าจับตา
“ตื่นเต้นมาก หนังเรื่องแรกจะบอกว่ายาก มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นค่ะ แต่พอเราเล่นไปเรื่อยๆ พอเริ่มจับจุดได้ เริ่มเข้าใจ เริ่มจูนกับตัวละครจริงๆ เราก็สนุกกับมัน ประทับใจที่ได้มาเล่นเรื่องนี้ ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เล่นไง ภาคแรกจำได้ว่าดูแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่พอเรารู้ว่าได้เล่นเรื่องนี้ เราก็กลับไปดูอีกรอบ เรารู้สึกว่า หนังมันดูไม่เก่าทั้งๆ ที่มันผ่านมาแล้วสิบกว่าปี มันก็ยังดูคลาสสิก แล้วแพร์ก็ตื่นเต้นมาก เวอร์ชันนี้จะเป็นยังไง จะออกมาแนวไหน ภาพจะเป็นยังไง เรารู้ว่าทีมงานดีไซน์ทุกอย่างออกมาได้สุดยอด สร้างฉากอะไรหลายๆ อย่างค่ะ มันเพอร์เฟกต์สำหรับแพร์ แล้วก็อยากเห็นงานจริงๆ ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง
ตัวละครนี้เป็นพาร์ตๆ หนึ่ง แต่หนูยังไม่เห็นภาพโดยรวม แต่เรื่องนี้จุดพีกมันคือเรื่องแอคชั่น บู๊ ความเชื่อ ซึ่งเราติดตามตรงนี้มาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว แล้วเราก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นจริงๆ รอวันที่จะฉายจริงๆ”
ส่วนผู้กำกับภาพยนตร์ "จอมขมังเวทย์ 2020" ต้อม-ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์ กล่าวว่า
หนัง “จอมขมังเวทย์” จริงๆ แล้วภาคแรกที่เริ่มถ่ายทำผ่านมา 16 ปีแล้ว เริ่มจากผมไปบวชและสวดมนต์ บทสวดเยอะมากจนอยากรู้ว่าภาษาบาลีที่เราสวดแปลว่าอะไร เป็นพระมีเวลาว่างจัดก็เลยนั่งแปล โอ้โห พอแปลเท่านั้นแหละ... ถ้าเราสวดได้หมดทุกบท เราก็สามารถทำอะไรได้หมดสินะ เป็นยอดมนุษย์ได้เลยนะนี่ ก็เลยถือกำเนิดเป็นหนัง “จอมขมังเวทย์” ขึ้นมา เพราะถ้าเราท่องได้หมดและมีลายสักยันต์ เราก็จะหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน เจ๋งอะ
คำที่ดีที่สุดของคนเล่นของซึ่งทุกคนยำเกรงคือ “จอมขมังเวทย์”
ภาคแรกที่ทำไว้ไม่คิดว่าผลตอบรับจะดีขนาดนี้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากนั้นผมก็ไปทำหนังเรื่องอื่น และเก็บหนัง “จอมขมังเวทย์” เป็นความภูมิใจของตัวเองมาเรื่อยๆ
แต่นั่นก็มาพร้อมกับเสียงคำถามอยู่ตลอดว่า เมื่อไหร่จะทำภาค 2 ที่ไม่ทำไม่ใช่ว่าอยากเก็บภาคแรกไว้เป็นตำนานหรอกนะ มันคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะนำเสนออะไรให้คนดู
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานมากจนเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทำลายล้างจริงๆ ทั้งคำสอนและความเชื่อ คนมีความเชื่อใหม่เกิดขึ้น ต่างคนต่างความคิด หรือคนที่อ่อนแอก็จะถูกชักจูงความคิดได้ง่าย ถึงขนาดยอมตายก็มี เป็นความเชื่อความงมงายอีกอย่างที่ในโลกนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเกิด #จอมขมังเวทย์2020 ขึ้นมา
จากโลกของความเชื่อยุคเก่าและยุคใหม่มาปะทะกัน คิดว่าน่าจะหลากหลายความคิด หลากหลายวัยที่มาปะทะกันทางด้านคาถาอาคมและศรัทธาความเชื่อ!
สุดท้าย อังเคิล-อดิเรก วัฏลีลา ในฐานะ "โปรดิวเซอร์" กล่าวว่า
“จอมขมังเวทย์ 2020” เป็นภาพยนตร์มหาบันเทิงที่พูดถึงเรื่องศาสตราแห่งคาถาอาคมในโลกยุคดิจิทัล โลกของคนรุ่นใหม่ที่ไม่เชื่อ ไม่อิน ไม่เก็ตกับอะไรง่ายๆ แต่วันนี้เขาจำเป็นต้องสนใจเพื่อค้นหาความจริงและเบื้องลึกบางอย่าง
โลกในวันที่สารพัดศาสตราในอดีตได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบจากความงมงาย มาเป็นความรัก ความเชื่อ ความศรัทธาในร่างของ (ฮีโร่, ไอดอล) ผู้รู้หรือผู้นำทางความคิดต่างๆ รวมถึงศาสตร์ที่ฝังรากลึก วนเวียน และกระจัดกระจายอยู่รอบๆ ตัวเราอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้
การปะทะกันระหว่างศาสตราแห่งเวทมนตร์ของคน 2 รุ่น 2 ยุคสมัย เหล่า ”จอมขมังเวท” ทั้งรุ่นเล็ก-รุ่นใหญ่ และรุ่นใหม่-รุ่นเก่าต่างๆ จึงต้องงัดทุกศาสตรา ทุกคาถาอาคม และอำนาจด้านมืดออกมาห้ำหั่นกันอีกครั้ง
ภาพยนตร์แอคชั่นแฟนตาซี มีระทึกขวัญ มีโรแมนติก มีฮา มีครบทุกรสที่คุณอยากจะให้มี...
#จอมขมังเวทย์2020
14 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
#ละครออนไลน์เดอะมูฟวี่