ความรัก&ความเจ็บปวดของ "ภพ-อร"
การเดินทางของความรัก มักจะมาพร้อมกับความเจ็บปวดเสมอ .... ‘ดิว ไปด้วยกันนะ’ ได้ฉายภาพในส่วนนี้ ซึ่งซ่อนอยู่ในฉากหลังของภาพอันสวยงามเบื้องหน้า !
เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารส รับงานแสดงภาพยนตร์อีกครั้งกับ ‘ดิว: ไปด้วยกันนะ’ ในบท "ภพ" ชายหนุ่มผู้พังทลายจากชีวิตส่วนตัวและหอบหิ้วบาดแผลจากอดีตกลับมาตั้งต้นใหม่ที่บ้านเกิด ในฐานะครูประจำโรงเรียนมัธยมเล็กๆที่ทำให้เขานึกถึง "ดิว" เพื่อนชายสมัยเรียนอยู่ที่นี่ ผู้มอบประสบการณ์ความรักและความเจ็บปวดเป็นบทเรียนให้กับเขา
“ผมอ่านบทตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้อ่านเฉพาะพาร์ทของผมอย่างเดียว อ่านจบก็อยากรู้จังว่าใครจะเล่นเป็นภพตอนเด็ก เพราะเราต้องเล่นเป็นคนคนเดียวกัน เรื่องราวในพาร์ทเด็กมันเป็นยุคของผมพอดีประมาณยุค 90's ด้วยบรรยากาศเพลงต่างๆมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปสมัยยังเรียนหนังสืออยู่ที่ขอนแก่น จนมีความรู้สึกว่ายังไงผมก็ต้องเล่นเรื่องนี้ หรือขอมีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้ให้ได้”
สิ่งที่ทำให้เวียร์สนใจหนังเรื่องนี้ นอกจากบรรยากาศของหนังที่ทำให้นึกย้อนไปในอดีตที่ผูกพันแล้ว ยังรวมไปถึงตัวละคร ภพมีความเป็นมนุษย์ที่เชื่อมโยงกับคนดูได้ไม่ยากด้วย
“ภพเป็นคนเชื้อสายจีน ครอบครัวค่อนข้างมีวินัยโดยเฉพาะคุณพ่อ เราก็เลยเป็นเด็กที่อยากเรียนรู้สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน สิ่งแวดล้อม หรือโลกโซเชียล ในสมัยนั้นก็เป็นเด็กต่างจังหวัดทั่วไป ด้วยความเป็นเด็กน่ะพอบอกซ้ายก็อยากไปขวา เป็นเด็กที่อยากเรียนรู้ มีความรัก เป็นตัวละครที่จับต้องได้จริง ผมเองก็มีเพื่อนที่คล้ายๆภพ พอโตมาก็เจอเรื่องราวต่างๆเป็นเรื่องปกติ มีความผิดหวังในอดีต เกิดความรู้สึกว่าทำไมตัวเองถึงซวย และซวยได้ขนาดนี้ มีอาชีพการงานก็ซวยสุดท้ายก็ต้องกลับมาแก้ไขเรื่องที่มันไม่ดีให้กลับมาดี หรือขอแค่ได้กลับมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆแล้วทำให้มันดีขึ้น”
จากวันแรกที่อ่านบทแล้วเวียร์อยากทำความรู้จักกับผู้รับบทภพในวัยเด็ก และแล้ววันนั้นก็มาถึงเมื่อเขาได้เจอกับนนท์-ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ และสิ่งที่เขาทำก็คือใช้เวลาร่วมกับนนท์ให้มากที่สุด นอกเหนือไปจากการเวิร์คช็อปร่วมกัน
“โอเคหนังกับละครมันต่างกันแหละ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ถ้าเราเชื่อผมว่าเล่นยังไงมันก็น่าเชื่อด้วย ความที่เรามีเวลาเจอกับนนท์ค่อนข้างน้อยก่อนที่จะถ่ายทำ แต่โชคดีที่เราใช้เวลาร่วมกันในช่วงที่ถ่ายหนังค่อนข้างยาว หนังมันจะถ่ายสลับตอนเด็กตอนโต และในเรื่องเราก็มีได้เข้าฉากร่วมกันเลย แต่เราก็จะอยู่ในกองด้วยกัน วันไหนที่รุ่นเด็กถ่ายผมก็จะไปดูเขาเล่น วันไหนที่รุ่นผมถ่ายเขาก็จะมาดูผมเล่น แล้วก็จะมาแลกเปลี่ยนกันว่าคิดอะไรอยู่ จากนั้นเราจึงปรับให้คล้ายกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ ครั้งแรกที่ได้เจอนนท์คือ เขาเหมือนพี่ชายผมมากซึ่งพี่ผมเสียไปแล้ว ผมยังคุยกับเขาว่า ‘เฮ้ยนนท์หรือว่าพี่กูกลับมาเกิดเป็นมึงรึเปล่า?’ มันทำให้ผมต่อติดกับนนท์เร็วมาก และทำให้การแสดง แม้แต่การพูดการเทคไทม์การรับความรู้สึกมีความใกล้กันจนเราตกใจผมสัมผัสได้ว่าเราคล้ายกันมาก จนคนในกองยังพูดกันว่าเราเหมือนพี่น้องกันเราถูกชะตากันมาก”
จากนักแสดงนำทั้งหมดดูเหมือนเวียร์จะเป็นนักแสดงที่ผ่านประสบการณ์มามากที่สุดแล้ว “ผมบอกกับน้องๆให้คิดซะว่าเรามาเริ่มหนังเรื่องนี้ไปด้วยกันพี่มาเป็นภพครั้งแรกเหมือนที่นนท์มาเป็นภพครั้งแรกแม้แต่ผู้กำกับก็ไม่เคยทำหนังเรื่องนี้มาก่อนพวกเรามาเริ่มทำหนังเรื่องนี้พร้อมกันเรื่องบางเรื่องพี่เองต้องการคำปรึกษาจากน้องๆด้วยซ้ำอย่างภพตอนเด็กเขารู้สึกยังไงบอกพี่หน่อย”
‘ดิวไปด้วยกันนะ’ เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกของเวียร์และผู้กำกับมะเดี่ยวซึ่งเวียร์เป็นนักแสดงที่มะเดี่ยวต้องการให้มารับบทภพตั้งแต่เริ่มต้นจนเมื่อได้มาเจอกันจริงๆก็ทำให้งานออกมาราบรื่นด้วยเพราะเป็นไปตามที่มะเดี่ยวต้องการอีกทั้งเวียร์และผู้กำกับมีอายุไม่ห่างกันนักทำให้เข้าใจหนังไปในทิศทางเดียวกัน “ผมว่ามันสนุกในการทำงานผมไม่ได้ต้องทำตามเขาอย่างเดียวเราคุยกันก่อนเข้าฉากค่อนข้างเยอะก่อนเข้าฉากทำให้เรามีส่วนร่วมกับตัวละครผกก.อาจจะมองภาพรวมได้ดีกว่าเราแต่เราจะมองภาพตัวละครที่เราเล่นได้ดีกว่าเขาอาจจะมีปรับจูนนิดๆหน่อยๆเพื่อให้เป็นไปตามภาพในหัวของเขา”
ตัวละครภพในช่วงอายุที่เวียร์รับผิดชอบนั้น เผชิญภาวะกดดันต่างกันกับภพในวัยเด็กอย่างสิ้นเชิงขณะที่ภพวัยเด็กพยายามจัดการกับความรู้สึกทางเพศกับเพื่อนเพศเดียวกันท่ามกลางสภาพสังคมที่ยังไม่เปิดรับ ภพวัยผู้ใหญ่คือคนที่แบกโลกทั้งใบเอาไว้ และรอคอยการแก้ไขความผิดบาปในใจด้วยตัวเอง
“มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นกับใครหลายๆคน แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้การที่เราจะพบกัน รักกันกับใครบางคน บางทีมันอาจจะอยู่ผิดยุคในสังคมที่เขายังไม่เปิดรับแบบในปัจจุบัน ผมว่าเหตุการณ์แบบนี้มันไม่มีใครผิดนะ ผู้ใหญ่เขาก็มองอีกมุม มองอนาคตของเรา หน้าที่การงานครอบครัวในอนาคต เราเองก็ใส่ใจความรู้สึกตัวเอง อย่างภพก็คือคนที่ซวยแล้วซวยเล่า เกิดมามีความรักในแบบหนึ่งผิดที่ผิดทาง โตมาก็ซวยอีก ทะเลาะกับเมียอีก ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงๆ ถ้าผมเป็นภพ ก็คงเลือกยากเหมือนกัน ว่าจะเลือกครอบครัวหรือความรู้สึกตัวเอง”
ความรู้สึกผิดบาปเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนภพวัยผู้ใหญ่ไปตลอด ทั้งเรื่องด้วยความมุ่งมั่นที่จะสะสางอะไรบางอย่างในจิตใจ ซึ่งเราต่างก็ต้องเคยจมไปกับความรู้สึกเช่นนี้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่สำคัญคือเราจะก้าวผ่านมันไปได้อย่างไรเวียร์ให้ความเห็นว่า
“คงไม่มีใครไม่เคยทำผิดกับใคร อยู่ที่ว่าเราผ่านจุดนั้นมาได้อย่างไร เราจะกลับไปแก้ไขมันมั้ย หรือจะปล่อยให้มันเป็นปมเอาไว้อย่างนั้น หรือทำลืมมันไปเลย ผมเองก็ทำผิดมาเยอะทั้งกับตัวเองและกับคนอื่น ถ้าถามว่าเราอยากกลับไปแก้ไขอะไรรึเปล่า? คงไม่นะ ผมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันดีเสมอ อาจจะจบไม่ดีในตอนนั้น แต่วันหนึ่งก็ต้องมีอะไรสักอย่างมาเยียวยาเรา ผมว่าเราก้าวต่อไปดีกว่า แล้วเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมาสอนเรา ถ้าเรามีโอกาสก็สอนคนอื่นมันอาจเป็นสิ่งที่ต้องเกิดเพื่อให้เราแกร่ง หรือต้องเกิดเพื่อให้มันเป็นชีวิตองเราจริงๆบางอย่างอาจทำให้เราเป็นเราที่ดีในทุกวันนี้ก็ได้
“ความรักก็มีสองด้าน ความเจ็บปวดก็เช่นกัน มันก็ทำให้เราเป็นมนุษย์นี่แหละมันเป็นสิ่งที่ต้องเจอเจ็บบ้างเริ่มใหม่แล้วเจ็บอีก แต่เราจะปล่อยให้เจ็บแบบเดิมๆอีกเหรอ? ความคิดผมเองคิดว่าคนเราน่าจะขาดความรักไม่ได้ เราเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก หรือบางคนอาจจะอยู่ผมไม่รู้นะ แต่เราเป็นมนุษย์มีสังคมเล็กสุดคือครอบครัวมันก็เริ่มต้นด้วยความรักอยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอยู่ได้ในทุกวันนี้ ถ้าผมขาดความรักผมคงอยู่ยากเหมือนกัน มันเป็นจุดยึดเหนี่ยวที่ดีของผม ความเจ็บปวดก็เช่นกัน”
ญารินดา บุนนาค รับบท "อร" ในภาพยนตร์เรื่องนี้
สำหรับคนที่โตทันได้เห็นความดังของเพลง ‘แค่ได้คิดถึง’ อาจมีภาพของญารินดา บุนนาค เป็นศิลปินสาวผมสีชมพูมีสไตล์ไม่เหมือนใครก่อน ที่ต่อมาเธอจะไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์และเมื่อกลับมาเมืองไทยเธอก็ดำเนินชีวิตในสายสถาปนิกเต็มตัว ในขณะเดียวกันยังไม่ละทิ้งความเป็นศิลปินด้วยการทำเพลงอิสระทั้งอัลบั้มเดี่ยวและกับเพื่อนๆในนามวง Try to be Nice ในขณะเดียวกันญารินดายังเริ่มมาจริงจังกับงานแสดงที่ไปได้ดีอีกเช่นกัน โดยเธอเริ่มจาก ‘ความจำสั้น...แต่รักฉันยาว’ (2009, ยงยุทธ ทองกองทุนกำกับ) และตามด้วย ‘อินทรีแดง’ (2010, วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง กำกับ) แล้วจึงมาถึง ‘ดิว: ไปด้วยกันนะ’ ซึ่งเป็นการร่วมงานกับมะเดี่ยว-ชูเกียรติครั้งแรก
“จริงๆเราชอบหนังมากตั้งแต่ตอนอ่านบทแล้ว เราเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรกไปจนจบ แล้วรู้สึกคล้อยตามไปกับเรื่องราวมากๆ และทุกตัวละครในหนังเรื่องนี้มีความลึกซึ้งซับซ้อนเราก็เลยอยากเล่น”
"อร" ตัวละครที่ญารินดารับบทนั้นคือ หญิงสาว ภรรยาของภพในวัยผู้ใหญ่เธอติดตามสามีมาที่ปางน้อย และเฝ้ามองความล่มสลายของสามีลงต่อหน้า โดยที่เธอไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้ เพราะเธอเริ่มเหมือนถูกผลักออกไปเป็นคนนอกขึ้นทุกวัน
“อรเป็นผู้หญิงที่ตอนแรกเราไม่เข้าใจเขาเลย ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจหลายๆอย่าง เลยยิ่งสงสัย สนใจพยายามจะทำความเข้าใจว่า ทำไมตัดสินใจแบบนี้ๆ พอเริ่มเข้าใจเลยยิ่งรู้สึกท้าทายที่จะเล่นเป็นใครก็ตามที่เราไม่เห็นด้วย”
อรเป็นภรรยาที่แสนดีและคอยทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนที่ดีให้กับภพอยู่เสมอ นี่เองที่เป็นสิ่งซึ่งญารินดาไม่อาจเข้าใจในครั้งแรกที่อ่านบท จนกระทั่งได้เริ่มเรียนรู้และพูดคุยกับมะเดี่ยวมากขึ้น
“เราไม่เข้าใจว่าเขายอมรับ และอดทนต่อสถานการณ์ตรงหน้าโดยไม่ตั้งคำถามกับมันได้อย่างไร? แม้จะไม่เข้าใจแต่เราก็เริ่มเรียนรู้ว่า อรเลือกที่จะอดทนแค่นั้นก็เป็นการให้กำลังใจสามี ซึ่งอรเชื่อว่าสิ่งนี้คือวิธีที่จะทำให้ชีวิตคู่อยู่รอดได้”
ทางเลือกในการประคับประคองชีวิตคู่ของอรตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับทางเลือกของญารินดาผู้ที่คิดว่า “ชีวิตคู่ที่ดีสำหรับเราคือต้องซื่อสัตย์ ให้เกียรติกันและกัน ต้องเปิดเผยและถามไถ่เปิดอกกันได้ทุกเรื่องมันถึงจะไปต่อได้”
นี่อาจเป็นจุดเด่นของหนังมะเดี่ยวทุกเรื่องที่มักมีช่องว่างของตัวละครให้เกิดการตีความทั้งจากผู้ชมและนักแสดงผู้รับบทนั้นๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เย้ายวนและท้าทายการแสดงของญารินดาเป็นอันมาก
“มะเดี่ยวให้ความสนใจกับความเป็นธรรมชาติของตัวละคร ใส่ใจในความเป็นจริงของคนและปฏิสัมพันธ์ของคน จะบอกว่าหนังของมะเดี่ยวให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ก็คงไม่ผิด อย่างหนังเรื่องนี้ทำให้เข้าใจความซับซ้อนของคน และแง่มุมของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ในมุมนี้ไม่เกี่ยวด้วยเรื่องเพศหรืออายุอะไรทั้งนั้นซึ่งมันเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์มาก”
นี่คือความรู้สึกของนักแสดงรุ่นผู้ใหญ่ ในหนังเรื่องนี้ ....