เทพธิดาขนนก ตอนที่16 | สายใยสายสัมพันธ์
บทประพันธ์ : เพ็ญสิริ บทโทรทัศน์ : ปริศนา และ ทีมวันสุข
เช้านี้ เสี่ยบูรพาเดินทางมาโรงพักตามหมายเรียกของตำรวจ นักข่าวกรูกันเข้าไปหาบูรพากับปอแก้วที่กำลังเดินขึ้นโรงพัก มีทนายเดินตามมาด้วย แสงแฟลชถ่ายรูปรัวพรึ่บพรั่บ หนึ่งในนักข่าวมีศุภกฤตด้วย
นักข่าวส่งเสียงถามเซ็งแซ่ “วันนี้มาแก้ต่างเรื่องอะไรคะ” / “เสี่ยบูรพาลวนลามคุณปลายอ้อจริงหรือเปล่าครับ” / “คิดว่าบูรพาซาวด์จะได้รับผลกระทบไหมครับ” / “ช่วยตอบด้วยค่ะเสี่ย”
บูรพาหน้าเครียดไม่ตอบ จนเห็นทนายปราดออกมายืนหน้าเพื่อรับหน้านักข่าว
“วันนี้คุณบูรพามาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหานะครับ ท่านไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นอย่างแน่นอน ผมคิดว่าทางคุณปลายอ้ออาจจะให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ”
นักข่าว1 ซักทันที “คุณปลายอ้อจะทำแบบนั้นไปทำไมล่ะคะ”
“ก็คงอยากสร้างกระแสแจ้งเกิดให้ตนเองด้วยวิธีผิดๆน่ะครับ น่าจะได้รับการสนับสนุนจากบุคคลอื่น...วันนี้ที่เรามา ก็จะมาฟ้องกลับคุณปลายอ้อ กับคนที่เกี่ยวข้อง ที่ทำให้คุณบูรพากับบูรพาซาวด์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง”
นักข่าว2 ยิงคำถามต่อ “บุคคลอื่นเนี่ย หมายถึงคุณอภิวัชหรือเปล่าครับ”
ปอแก้วชะงัก บูรพาหันควับมองหน้านักข่าวคนที่ถามทันที ศุภกฤตเองก็มองเหมือนกัน
นักข่าว2 เห็นท่าทีของปอแก้วกับบูรพา ก็จี้ถามต่อ “อาจจะเป็นเพราะคุณอภิวัชโมโหที่คุณปอแก้วตัดความสัมพันธ์ไป เลยแค้น และโต้ตอบด้วยการร่วมมือกับคุณปลายอ้อ ใช่ไหมครับ”
“รู้ดีกันจังเลยนะ” บูรพาแค้นจะด่าอภิวัชออกสื่อ “เพราะไอ้เวรนั่นน่ะ...”
แต่ทนายรีบแตะตัวเสี่ยเชิงเตือนสติ บูรพาชะงัก ฮึดฮัดขัดใจตามประสา
“คุณบูรพาขออนุญาตไม่ตอบเรื่องนี้นะครับ”
นักข่าว2 หันไปไล่บี้ปอแก้วแทน “คุณปอแก้วครับ..ว่ายังไงครับ”
ปอแก้วชะงักไป
นักข่าว2 “คุณปอแก้วว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือเปล่าครับ”
ปอแก้วอ้ำอึ้ง อึกอัก เพราะยังตัดอภิวัชไม่ขาด ศุภกฤตเห็นอาการของปอแก้วจึงช่วยพูด
“ถ้าคุณปอแก้วลำบากใจที่จะตอบ คุณไม่ต้องตอบก็ได้”
ปอแก้วเหลือบมองหน้าศุภกฤต ทนายแตะให้บูรพากับปอแก้วเดินเข้าไปในโรงพักต่อ นักข่าวพยายามตามถ่ายรูปต่ออีก จนจะไปในสน.อยู่แล้ว ปอแก้วก็ทนไม่ไหวตัดสินใจหันมาเผชิญหน้ากับนักข่าวอีกครั้ง
“เค้าเป็นคนดีค่ะ แก้วไม่เชื่อว่าเค้าจะเล่นเกมสกปรกแบบนั้น”
บูรพาอึ้งที่จู่ๆ ปอแก้วก็หันไปตอบนักข่าวแบบนั้น
นักข่าว1 ซักต่อ “คุณปอแก้วพูดแบบนี้เท่ากับยอมรับว่าคุณอภิวัชกับคุณปลายอ้อไม่ได้โกหก ส่วนคนที่โกหกคือเสี่ยบูรพาใช่ไหมคะ”
ปอแก้วอึ้งไป บูรพามองหน้าปอแก้วโกรธขึ้ง
ทนายรีบตัดบท “ขอตัวก่อนนะครับ”
ทนายรีบพาปอแก้วกับบูรพาเข้าไปด้านในโรงพักทันทีแล้วปิดประตูลง นักข่าวออกันอยู่ข้างนอกตามเข้าไปไม่ได้ หันมาคุยประเมินเหตุการณ์กันเอง
“อีแบบนี้ ท่าทางพ่อลูกจะแตกคอกันเพราะผู้ชายซะละมั้ง”
ศุภกฤตมองเข้าไปในห้องสอบสวน นึกเป็นห่วงปอแก้ว
บูรพาพอเข้ามาในห้องสอบสวนได้ก็หันว่าโวยปอแก้วทันที
“แกไปพูดแบบนั้นได้ยังไง!! พูดไปอย่างงั้น ฉันก็กลายเป็นคนที่ผิดเต็มๆน่ะ”
“แก้วก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า ไม่ได้บอกว่าพ่อเป็นคนผิดซักหน่อย”
“ปัดโธ่เว้ย! แต่แกก็ไม่น่าไปพูดเข้าข้างมันแบบนั้น เห็นผู้ชายดีกว่าพ่อแท้ๆของตัวเองได้ยังไง!! แกมันหลงผู้ชายไม่ลืมหูลืมตา ไอ้ลูกไม่รักดี!”
ปอแก้วโกรธย้อนกลับ “เพราะมีพ่อเป็นตัวอย่างไงคะ”
บูรพากัดฟันคุมแค้น “ยัยแก้ว ระวังปากบ้างนี่พ่อนะ”
ปอแก้วอ่อนลง แต่ก็ยังมีอารมณ์กรุ่นๆ “พ่อนั่นแหละ ทำอะไรระวังตัวบ้างสิ ไม่งั้นมันก็ไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นแต่แรกหรอก”
บูรพาชี้หน้าปอแก้วด้วยความโมโห “ไอ้แก้ว!”
ทนายหันไปเห็นสารวัตรทะนงกำลังจะเดินเข้ามาในห้อง “พอเถอะครับ ทั้งสองคน สารวัตรจะเข้ามาแล้ว เดี๋ยวจะเผลอหลุดพูดข้อมูลอะไรที่สารวัตรไม่ควรรู้ออกไปนะครับ”
บูรพาชะงักไป ทะนงเปิดประตูห้องสอบสวนเข้ามาพอดี บูรพามองหน้าปอแก้วยังโกรธอยู่ ปอแก้วเครียด
ปอแก้วหลบออกมาสงบสติอารมณ์อยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงพัก คิดทบทวนตอนถูกนักข่าวรุมจี้ถามเมื่อครู่ และนึกภาพเหตุการณ์ตอนอภิวัชไล่เธอออกจากบริษัทผุดขึ้นมาหลอกหลอน
“ในเมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกครอบครัว เราก็ไม่ควรพบกันอีก”
รวมทั้งตอนรปภ.เข้าไปล็อคบูรพาพยายามลากออกไป บูรพายังขัดขืน
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมจะแจ้งตำรวจ
ปอแก้วยิ่งคิดยิ่งเครียด และสะเทือนใจ จนรู้สึกว่าหัวใจเต้นกระตุกแปลบขึ้นมาอย่างแรง
ปอแก้วเจ็บ กดหน้าอกไว้ รู้สึกหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม ซวนเซไป ศุภกฤตเข้ามารับไว้ได้ทันพอดี
“คุณแก้ว เป็นอะไรหรือเปล่า”
ปอแก้วเงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าเป็นศุภกฤต อึ้งๆ “ไม่....ฉันไม่เป็นไร”
ปอแก้วผละออกจากศุภกฤตจะเดินต่อเอง แต่ก็ยังเซๆ อยู่ ศุภกฤตรีบเข้ามาประคองปอแก้วอีก
“ผมว่าคุณนั่งพักก่อนดีกว่า นั่งแถวนี้แหละ เงียบๆ ดี”
ศุภกฤตประคองปอแก้วให้ไปนั่งพักที่ม้านั่ง แล้วหยิบขวดน้ำออกจากกระเป๋าส่งให้
“อ่ะนี่ น้ำผมเอง ผมยังไม่ได้เปิดเลย คุณดื่มซักหน่อย”
ปอแก้วมองหน้าศุภกฤต ไม่ยอมรับขวดน้ำมา แต่แขวะออกไป “ไหนคุณบอกว่าลาออกจากการเป็นนักข่าวแล้วไง...ข่าวนี้มันคงน่าเล่น จนคุณอดที่จะกระโจนลงมาไม่ได้สินะ”
“เปล่าเลย ผมแค่ยังออกจากงานไม่ได้ เพราะเจ้านายผมไม่ให้ออก ผมไม่ได้อยากมาทำข่าวนี้เลยซักนิด”
ปอแก้วยังไม่ค่อยเชื่อนัก ศุภกฤตเห็นท่าทีปอแก้วจึงปลดกล้องที่คล้องคออยู่ พร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาปิดแล้วเก็บใส่กระเป๋าเป้ แล้วเอากระเป๋าเป้ไปวางไว้ห่างออกไป ปอแก้วมองอึ้งๆ
“เพื่อความสบายใจของคุณนะ ผมไม่ได้จะมาขอสัมภาษณ์อะไร เห็นคุณดูไม่ค่อยโอเค เลยเข้ามาดูแล....แบบเพื่อน ก็แค่นั้น....แต่ถ้าคุณไม่สบายใจที่จะคุยกับผม...ผมไปก็ได้นะ”
ศุภกฤตวางขวดน้ำลงข้างๆ ปอแก้ว แล้วทำท่าจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อนคุณกฤต อย่าพึ่งไป...”
ศุภกฤตหันกลับมาหาปอแก้ว
“ฉัน....อยากมีคนอยู่เป็นเพื่อนเหมือนกัน”
ศุภกฤตเห็นสีหน้าปอแก้วดูแย่มาก จึงกลับมาลงนั่งข้างๆ ถามเสียงอ่อนโยน
“คุณเป็นไงบ้าง...ไหวมั้ย”
ปอแก้วอึ้งไป ศุภกฤตแตะบ่าเธอเบาๆ เท่านั้นเอง ความอาทรที่เขาส่งมามันได้ไปสะกิดความทุกข์ความอัดอั้นทั้งปวงทลายลงมา ปอแก้วปล่อยโฮ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา
“ฉัน... ฉันไม่รู้...มันหลายเรื่องเหลือเกิน ทั้งเรื่องพ่อฉัน เรื่องบริษัท ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนดี ฉันพยายามที่จะเข้มแข็งแล้ว ฉันพยายามแล้วนะคุณกฤต”
“ไม่เป็นไรนะ ผมรู้ว่าคุณพยายามแล้ว คุณเก่งมากแล้วปอแก้ว”
ปอแก้วได้ฟังคำปลอบนั้นก็ยิ่งร้องไห้ออกมาไม่หยุดหย่อน ศุภกฤตมองสงสารจับใจ
ในขณะที่อัปสรเอารูปเผ่าพงศ์ขึ้นมาวางที่เดิมในห้อง จ้องมองไปที่รูปของเผ่าพงศ์พูดกับภาพ
“ตอนนี้ลูกกลับมาอยู่บ้านเราแล้วนะพี่ แต่ภารกิจของลูกยังไม่จบง่ายๆหรอก พี่เผ่า....พี่เป็นกำลังใจให้ลูกด้วยนะ”
อัปสรมองหน้าเผ่าพงศ์นิ่งนาน จนก็ได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน อัปสรเดินไปดูที่หน้าต่าง เห็นศุภกฤตจอดรถริมรั้วบ้าน เปิดประตูลงมาจากรถ
“อ้าว..คุณกฤต”
อัปสรผละออกจากหน้าต่าง รีบเดินออกไปเปิดประตูให้ทันที
อัปสรเดินออกมาที่รั้วหน้าบ้าน ศุภกฤตยกมือไหว้
“สวัสดีครับน้าอัปสร”
“สวัสดีจ้ะ วันนี้มาแต่เช้าเลย ทานอะไรมาหรือยัง อ้อกับไอ้ทิ้งมันไปตลาดอยู่ เดี๋ยวจะได้ทานข้าวเช้าด้วยกัน”
ศุภกฤตยิ้มไม่ได้ตอบอะไร ปอแก้วเปิดประตูรถอีกข้างตามลงมาด้วย อัปสรเห็นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ปอแก้วมองหน้าอัปสร รู้สึกตื้อๆ แปลกๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ยกมือไหว้ทัก
“สวัสดีค่ะ”
อัปสรมองอึ้งๆ ปอแก้วห็นท่าทีอัปสรเลยรีบออกตัว
“หนูมาดีค่ะ ตั้งใจจะมาคุยอะไรกับปลายอ้อเค้าหน่อย”
พอได้ยินปอแก้วพูดถึงปลายอ้อ อัปสรก็ยิ่งอึ้งหนัก อยากรู้เหมือนกันว่าปอแก้วจะมาคุยเรื่องอะไร
ปอแก้วกับศุภกฤตเข้ามานั่งอยู่ในโถงบ้านแล้ว อัปสรเอาน้ำมาวางให้
“คุณน้าดูท่าทางดีขึ้นมากเลย หายดีแล้วใช่ไหมคะ”
“ก็..ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
ปอแก้วชวนอัปสรคุยต่อ “หนูพึ่งรู้ว่าคุณน้าเคยอยู่ในวงดนตรีของบูรพาซาวด์ด้วย แบบนี้คุณน้าก็น่าจะรู้จักแม่ของหนู แม่พรทิพย์น่ะค่ะ คุณน้ารู้จักใช่ไหมคะ”
อัปสรอึ้งไปที่ถูกถามตรงๆ ไม่รู้จะตอบยังไง ปอแก้วอธิบายเพิ่มว่า
“ตอนนั้น เปิดค่ายใหม่ๆ แม่กับพ่อหนู เปิดบ้านให้นักร้อง นักดนตรีเข้ามาอยู่...แม่เคยพูดถึงน้าอัปสร...”
อัปสรลุกพรวดขึ้น ตัดบทเลี่ยงๆ “ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว เดี๋ยวฉันไปดูของว่างในครัวมาให้ก่อนดีกว่า เผื่อปลายอ้อมันช้า” จากนั้นก็เดินหนีไปทางครัวหลังบ้าน
ปอแก้วมองตามอึ้งนิดๆ รับรู้สึกได้ว่าอัปสรพยายามเลี่ยงไม่ตอบคำถามใดๆ ของตน
“ดูเค้าไม่ค่อยอยากคุยกับฉันเลยนะคุณกฤต”
“น้าอัปสรเค้าพึ่งค่อยยังชั่ว ก็อาจจะยังไม่อยากนึกอะไรละมั้ง”
ปอแก้วมองไปรอบๆ บ้าน จนสายตาไปหยุดที่กรอบรูปเผ่าพงศ์ที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะ ข้างๆ จักรเย็บผ้า ปอแก้วเพ่งมองใบหน้าเผ่าพงศ์ในรูป จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบในอกขึ้นมาอย่างประหลาด
ศุภกฤตมองเป็นห่วง “เป็นอะไรรึเปล่าคุณ”
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
ปอแก้วสูดลมหายใจลึกยาว มองไปที่รูปของเผ่าพงศ์อีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจลุกเดินไปหยิบรูปนั้นมาดูใกล้ๆ บางอย่างส่งให้ปอแก้วก็รู้สึกแปลบในอกขึ้นมาอีก เอามือลูบไปที่หน้าเผ่าพงศ์ในรูปโดยไม่รู้ตัว
เสียงปลายอ้อดังก้องขึ้น “ทำอะไรน่ะ”
ปอแก้วสะดุ้ง หันไปเห็นปลายอ้อกับบุญทิ้งเดินหิ้วถุงกับข้าวเข้ามา ปลายอ้อมองปอแก้วที่ถือรูปเผ่าพงศ์อยู่อย่างไม่พอใจ ยัดถุงกับข้าวใส่มือบุญทิ้งแล้วถลันเข้ามากระชากรูปไปจากมือของปอแก้วทันที
“ถือวิสาสะอะไรเข้ามาในบ้านฉัน มาหยิบรูปพ่อฉัน”
“ขอโทษ แต่ฉันแค่จะมา...”
ปลายอ้อไม่ฟัง “ออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ออกไป!”
ปลายอ้อผลักอย่างแรงจนปอแก้วเซไป ศุภกฤตรีบเข้าไปประคองไว้
บุญทิ้งเองก็ตกใจ “ไอ้อ้อ ใจเย็นๆ”
ปลายอ้อไม่สน “ออกไปเดี๋ยวนี้ ที่นี่ไม่ต้อนรับค่ะ”
อัปสรได้ยินเสียงดังเอะอะเลยรีบออกจากครัวมาดู พอเห็นอะไรเป็นอะไรก็ตกใจดึงแขนปลายอ้อไว้
“อ้อ เดี๋ยวก่อนลูก”
“ไม่เป็นไรนะแม่ เดี๋ยวอ้อไล่พวกนี้ออกไปเอง”
ศุภกฤตเอ่ยขึ้น “คุณ ฟังก่อนสิ คุณน้าให้ผมกับคุณแก้วเข้ามาในบ้านเอง”
ปลายอ้อชะงัก นิ่งงันไป ศุภกฤตอธิบายต่อ
“คุณแก้วขอให้ผมพาเค้ามา เค้าอยากมาคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณ”
“ฉันไม่ได้จะมาแก้ตัวให้ หรือเข้าข้างพ่อหรอกนะ ฉันยอมรับว่าฉันก็รู้จักพ่อของตัวเองอยู่บ้าง แต่ฉันมาในฐานะที่ฉันเป็นเจ้านายของเธอ ฉันก็เป็นห่วง มีอะไรที่ฉันจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ก็...อะไรก็ได้ที่จะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ฉันยินดีชดใช้ให้..เช่น ถ้าเธออยากได้ค่าทำขวัญซักเท่าไหร่ก็บอกมา...”
ปลายอ้อสวนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “อ๋อ...นี่คุณคิดว่าจะใช้เงินฟาดหัวฉัน เพื่อให้ฉันปิดปากเรื่องชั่วๆที่พ่อคุณทำไว้สินะ นี่คงเป็นสันดานของผู้มีอันจะกินเค้าทำกันแบบนี้เนอะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะปลายอ้อ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วอย่างไหนคะ ก็คุณพูดออกมาเอง คุณนี่เหมือนพ่อคุณไม่มีผิด ใช้เงินแก้ปัญหา ถ้าไม่มีเงินพวกคุณก็แค่คนกระจอกๆ ธรรมดา ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ฉันจะเอาน้ำร้อนมาสาดไล่”
ปอแก้วพยายามพูดด้วยดีๆ “ฟังฉันก่อนสิ”
“ออกไปค่ะ ฉันพูดจริงทำจริงเสมอ”
ปลายอ้อไม่พูดเปล่า หันไปคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง มาสาดใส่ปอแก้วทันที ปอแก้วตกใจ บุญทิ้งพยายามช่วยห้าม
“เฮ้ย! ไอ้อ้อ อย่า เวรแล้ว”
ศุภกฤตชักโมโหขึ้นมา “คุณ ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย”
“คุณไม่ควรพาเค้าเข้ามาเหยียบที่นี่ พาเค้าออกไปเดี๋ยวนี้ ยังไม่ไปอีกใช่ไหม ได้”
พร้อมกับว่าปลายอ้อหันไปคว้าถุงของกินที่ซื้อมา หยิบผักคะน้า ต้นหอม ผักบุ้งที่อยู่ในถุงออกมาเขวี้ยงใส่หัวปอแก้วไม่ยั้ง
ศุภกฤตรีบเข้ามาบังปอแก้ว “เฮ้ย อะไรกันเนี่ย”
“ออกไปสิ ออกไป”
ปลายอ้อเขวี้ยงของใส่ปอแก้วไม่หยุด บุญทิ้งก็รีบเข้ามาดึงปลายอ้อไว้
“ไอ้อ้อ เบ๊า”
“ไปก่อนเถอะคุณ”
ศุภกฤตพยักหน้าบอกปอแก้วแล้วรีบพากันออกไปจากตรงนั้น ปลายอ้อมองตามหายใจหอบ ยังโกรธๆ อยู่
ศุภกฤตขับรถแล่นมาจอดที่หน้าบ้านบูรพา หันมามองปอแก้วที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนใจลอยคิดอะไรอยู่
“คุณ...”
ปอแก้วเพิ่งรู้สึกตัว “เอ่อ..ถึงแล้วเหรอ ขอบคุณมากนะคุณกฤตที่มาส่ง”
“ผมขอโทษนะที่พาคุณไปเจอเรื่องยุ่งๆ ผมก็ไม่คิดว่าปลายอ้อเค้าจะโมโหขนาดนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ฉันเองต่างหากที่เป็นคนดื้อจะไปหาเค้า เพราะคิดว่าน่าจะคุยกับเค้าได้...”ปอแก้วนิ่งไปนิดๆ “ฉันก็ไม่ได้มีเจตนาจะปกป้องพ่อนะ ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด”
“ผมเข้าใจคุณ แล้วนี่คุณจะเอายังไงต่อ ผมว่าปลายอ้อเค้าคงไม่กลับมาแล้วล่ะ ข้าวของเค้าก็เก็บออกไปหมดแล้ว”
ปอแก้วนิ่งไปอีกหน่อย ก่อนจะพูดออกมาอย่างปลงๆ “ก็ต้องแล้วแต่ปลายอ้อเค้า” ว่าพลางหันมามองหน้าศุภกฤต “ฉันฝากอะไรคุณอีกซักอย่างได้ไหม”
“อะไร”
“ฝากคุณไปบอกเค้าทีว่า ถ้าเค้าจะยกเลิกสัญญา ก็ให้มาคุยกันดีๆ จะได้จบเรื่องนี้ไป ส่วนเรื่องคดีความกับพ่อฉัน...ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ฉันไม่เข้าไปยุ่งแล้ว ฉันเหนื่อยแล้ว”
ศุภกฤตมองปอแก้วอย่างสงสารเห็นใจ “ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนเถอะคุณ ผมว่าชีวิตมันคงไม่แย่ไปซะทุกอย่างหรอก คนเก่งๆอย่างคุณน่ะ เดี๋ยวก็เอาตัวรอดจากปัญหาพวกนี้ได้เองแหละ”
ปอแก้วรู้สึกดีขึ้น “ขอบคุณมากนะคุณกฤต”
ศุภกฤตยิ้มให้กำลังใจ ชูมือขึ้นแล้วกำหมัดเป็นสัญลักษณ์ให้สู้ “สู้ๆ คุณ”
ปอแก้วยิ้มออกมาได้ รู้สึกดีมากขึ้น
คืนนั้น ปลายอ้อปิดประตูออกมาจากห้องอัปสร บุญทิ้งรออยู่หน้าห้อง
“น้าอัปสรหลับแล้วเหรอ”
“อือ...แล้วพี่ไม่ไปนอน มายืนเกะกะอยู่ทำไม”
“ก็จะรอคุยกับแกเนี่ย”
ปลายอ้อหน้าตึงขึ้นมาทันที รู้ว่าบุญทิ้งจะคุยเรื่องอะไร
“วันนี้ที่แกทำน่ะ ฉันว่ามันรุนแรงไปนะอ้อ”
“ก็เค้าไม่ฟังฉัน ฉันก็แค่ให้เค้าออกไปจากบ้านแค่นั้นเอง”
“แกไม่ได้แค่ไล่ แกสาดน้ำใส่เค้าแกเอาผักปาใส่เค้า ทำตัวเหมือนแม่ค้าในตลาด ถ้าเค้าเอาเรื่องขึ้นมามันจะยิ่งวุ่นวายเอานะ แค่นี้ก็อีรุงตุงนังจะแย่อยู่แล้ว”
“นี่พี่ทิ้งก็เข้าข้างศัตรูเหมือนคุณกฤตไปอีกคนแล้วเหรอ เป็นอะไรกันไปหมด หลงสเน่ห์ยายปอแก้วนั่นจนลืมไปแล้วใช่ไหมว่ามันทำอะไรกับฉันกับแม่ไว้บ้าง” ปลายอ้อพาล
“ไม่ใช่อย่างงั้น...”
“ฉันไม่คุยด้วยแล้ว”
ปลายอ้อเดินหนีเข้าห้องนอนไปเลย บุญทิ้งมองตามเพลียๆ
เช้าวันต่อมา สารวัตรทะนงนั่งอยู่ในห้องสอบสวนกับปลายอ้อ อัปสร บุญทิ้ง และทนายความ ทะนงมีสีหน้าเครียดๆ เห็นได้ชัด
“เรื่องคดีมีอะไรคืบหน้าแล้วใช่ไหมคะสารวัตร”
ทะนงถอนใจ “เจอตอเข้าให้น่ะครับ”
ปลายอ้อแลกใจ “คะ”
“คือทางผมก็ติดต่อไปที่โรงแรมที่เกิดเหตุ เพื่อจะขอภาพจากกล้องวงจรปิดไว้เป็นหลักฐาน แต่ทางโรงแรมอ้างว่ากล้องเสีย”
“ถ้าอย่างนั้น แล้วได้มีการสอบถามพยาน อย่างพวกพนักงานในโรงแรมไหมครับ”
ทะนงถอนใจเครียด “พนักงานที่อยู่ในคืนนั้น ลาออกไปหมดแล้วครับ”
“ลาออกกันหมดเลย ออกกะทันหันแบบนี้เนี่ยนะคะ” ปลายอ้อโกรธกรุ่นๆ
อัปสรโกรธ “ต้องเป็นฝีมือของไอ้เสี่ยบูรพาแน่ๆ มันต้องพยายามทำลายหลักฐานทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้สาวไปถึงตัวมัน”
อัปสรยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น หายใจหอบถี่ มือเริ่มสั่นเหมือนจะคุมอาการไม่อยู่
บุญทิ้งรีบปลอบ “ตายละวา...น้าอัปสรใจเย็นๆก่อน”
“มันจงใจทำลายอ้อ ทำลายพวกเรา”
ปลายอ้อหันมาช่วย จับมืออัปสรบีบปลอบ “แม่จ๋าแม่ ไม่เป็นไรนะ อ้อว่าเราต้องหลักฐานมาจนได้แหละจ้ะ”
“ทางผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังไงคนผิดก็ต้องได้รับโทษแน่นอนครับ”
อัปสรพยายามคุมสติ ระงับอารมณ์ลง
ไม่นานต่อมาทะนงเดินออกมาส่งปลายอ้อ อัปสร บุญทิ้งและทนายที่หน้าห้องสอบสวน
“ถ้ามีอะไรคืบหน้า หรือทางผมต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจะรีบติดต่อไปนะครับ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะสารวัตร”
ปลายอ้อยกมือไหว้ทะนง บุญทิ้งกับอัปสรก็ไหว้ด้วย ทะนงรับไหว้แล้วเดินกลับเข้าห้องไป
ปลายอ้อกำลังจะพาอัปสรกลับ แต่เห็นศุภกฤตเดินเข้ามาบนโรงพักถึงกับชะงัก
“ผมว่าแล้ว ว่าคุณต้องอยู่ที่นี่”
“คุณมาทำไม”
“สารวัตรคุยกับผมเรื่องคดีของคุณไว้เหมือนกัน ผมก็ว่าจะช่วยคุณตามหาพยานอีกแรง”
ปลายอ้อมองศุภกฤตอย่างระแวง “เมื่อวานคุณพาปอแก้วมาหาเรื่องฉันถึงบ้าน แต่วันนี้คุณมาทำดีกับฉัน กับแม่ฉัน ฉันชักไม่แน่ใจว่าคุณอยู่ข้างไหนกันแน่”
“ผมไม่ได้อยู่ข้างใครทั้งนั้นแหละ ผมอยู่ข้างความถูกต้อง ที่ผมพาคุณปอแก้วไปหาคุณ เพราะอยากปรับความเข้าใจกัน แต่ถ้าคุยกันไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้กฎหมายจัดการ”
บุญทิ้งตัดบท “เออ แกเลิกระแวงไม่เข้าเรื่องเถอะไอ้อ้อ กลับบ้านกันได้แล้ว น้าสรจะได้ไปพัก”
ปลายอ้ออ่อนลง “งั้นพี่ทิ้งกลับไปกับแม่ก่อนแล้วกัน”
“อ้อยังไม่กลับเหรอลูก” อัปสรถาม
“อ้อมีธุระที่ต้องจัดการนิดหน่อยน่ะแม่”
“ธุระอะไรวะ” บุญทิ้งงง
อัปสรสบตาลูก อ่านออกว่าปลายอ้อน่าจะทำอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องแก้แค้นบูรพาแน่
“อ้อจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะลูก แม่กลับกับไอ้ทิ้งได้”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งคุณน้ากับบุญทิ้งเอง”
ปลายอ้อปฏิเสธ “ไม่เป็นไร”
แต่บุญทิ้งไม่ฟัง “ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องหาแท็กซี่ให้วุ่นวาย ขอบใจนะ ไปน้าสร”
บุญทิ้งรีบประคองอัปสรออกไปกับศุภกฤตเลย ปลายอ้อถอนใจ หันไปหาทนายที่ยังยืนอยู่ด้วย
“คุณทนายคะ ช่วยโทร.หาคุณวัชให้หน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ครับ ผมก็กำลังจะโทรรายงานคุณวัชเรื่องความคืบหน้าของคดีพอดี” ทนายโทร.หาอภิวัช รอจนเขารับสาย “ผมเสร็จจากที่โรงพักแล้วครับคุณวัช...ยังอยู่กับคุณปลายอ้อ คุณปลายอ้ออยากคุยกับคุณวัชครับ” ทนายส่งโทรศัพท์ให้ ปลายอ้อรับไปคุยสาย
“ฉันตกลงรับข้อเสนอของคุณค่ะ...แต่ฉันมีข้อแลกเปลี่ยนนะคะ”
ด้านบูรพานั่งอยู่ในห้อง กำลังคุยโทรศัพท์เฉ่งทนายอยู่ เพียงฟ้านั่งอยู่ข้างๆ
“อะไรนะ ไอ้พวกพนักงานโรงแรมพวกนั้นมันจะเอาเงินค่าปิดปากเพิ่มเหรอ ผมให้ไปเยอะมากแล้วนะ นี่ ผมจ้างคุณมาเป็นทนายให้ผมนะ คุณก็จัดการให้ได้สิ ถ้าผมแพ้คดีนี้ ผมเอาเรื่องคุณถึงที่สุดแน่”
บูรพากดวางหูอย่างแรงแล้วโยนมือถือลงบนโต๊ะด้วยความเซ็งจัด เฉียดเพียงฟ้าไปนิดเดียว
“ฟ้าบอกเสี่ยแล้วใช่ไหมละคะ ว่าไม่ให้ไปยุ่งกับนังนั่น เห็นมั้ยว่ามันเป็นงูพิษ แว้งกัดเสี่ยจนเดือดร้อนกันไปหมดแล้ว”
“เธอจะมาพูดตอนนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา!! ถ้าช่วยคิดอะไรที่มันเป็นประโยชน์ไม่ได้ ก็ออกไปให้พ้นๆหน้าฉันไป”
“เอ่อ...ฟ้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสี่ยอารมณ์เสียนะคะ ฟ้าก็แค่เป็นห่วงเสี่ย...ไม่อยากให้เสี่ยเครียด”
“ก็หัดหุบปากบ้าง!”
เพียงฟ้าหน้ามุ่ย เห็นแสงโสมเปิดประตูผลัวะเข้ามาในห้องทำงานบูรพา
“เสี่ยคะ แย่แล้วค่ะ”
ปลายอ้อพร้อมกับทนาย นั่งเผชิญหน้ากับปอแก้วอยู่ภายในห้องประชุมบูรพาซาวด์
“เธอจะมาขอยกเลิกสัญญาเหรอปลายอ้อ”
บูรพาเปิดประตูผลัวะเข้ามา แสงโสมกับเพียงฟ้าตามมาติดๆ
“แกไม่ต้องเสนอหน้ามาหรอก เพราะคนอกกตัญญูเลี้ยงไม่เชื่องแบบแกน่ะ ทางค่ายสั่งยกเลิกสัญญาไปก่อนแล้ว”
“ยกเลิกสัญญาไปแล้วก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเจรจาเรื่องค่าปรับ”
“หึ แกรีบไปหาเงินมาสู้คดีเรื่องแจ้งความเท็จ หมิ่นประมาทฉันดีกว่า ฉันฟ้องกลับหนักแน่”
ปลายอ้อสบตาอย่างไม่กลัวเกรง บูรพากับเพียงฟ้าเห็นท่าทางผยองของปลายอ้อก็ยิ่งโกรธ
“หมดธุระแล้วก็ไสหัวออกไปสิ” เพียงฟ้าตะเพิด
“ยัง ฉันยังไม่หมดธุระกับบูรพาซาวด์ง่ายๆ หรอกค่ะ”
ขาดคำ ก็เห็นบุญทิ้งพาแววเดือน เจนนี่ เกวลี พากันเข้ามาในห้องประชุม ปอแก้วมองหน้าทุกคนอย่างอึ้งๆ สังหรณ์ใจอย่างประหลาด
แสงโสมหันไปถาม “นี่เข้ามาทำไมกันเยอะแยะ”
-แววเดือน เจนนี่ เกวลีสบตากัน แล้วแววเดือนก็ตัดสินใจพูดขึ้นก่อน
“แววกับลีมาขอยกสัญญาเหมือนกันค่ะ” แววเดือนบอก
“ส่วนเจน...ก็ขอลาออกจากค่ายค่ะ”
ปอแก้ว บูรพา แสงโสมช็อกไปตามๆ กัน
“ผมในฐานะของทนายของคุณปลายอ้อนะครับ จะเป็นตัวแทนเจรจาเรื่องค่าเสียหายที่ทางคุณแววเดือน คุณเจนนี่ คุณเกวลีต้องชดใช้ โดยจะคำนวณตามสัญญาที่ยังเหลืออยู่”
แสงโสมไม่พอใจ โพล่งด่าขึ้นมาว่า “พวกเธอมันเนรคุณ ทั้งๆที่อยู่กับเสี่ยกันมาตั้งนาน แต่กลับโดนคนที่พึ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่นานปั่นหัวเอาได้ ไม่คิดถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เสี่ยเคยเลี้ยงดูมาเลยเหรอไง”
“แววกับทุกคนไม่ลืมบุญคุณที่มันรดหัวอยู่หรอกค่ะ แต่บุญคุณมันกินไม่ได้นี่คะ อยู่ที่นี่ก็ไม่มีงาน เงินแต่ละเดือนก็แทบไม่พอกิน ยิ่งอยู่ยิ่งแย่ สู้ออกไปตายเอาดาบหน้าแบบหมาข้างถนนยัง ชีวิตยังมีคุณค่ามากกว่า”
เพียงฟ้าไม่อินังขังขอบไล่ส่ง “ดี ออกไป ไปกันให้หมด ตัวกาลกิณีอย่างพวกแกอยู่ไปก็มีแต่จะทำให้บูรพาซาวด์ตกต่ำ ออกไปซะแผ่นดินที่นี่จะได้สูงขึ้น”
แววเดือนกับเจนนี่มองหน้าเพียงฟ้าฮึดฮัดอยากจะถลันเข้าไปตบ แต่เกวลีดึงแขนเอาไว้
“พี่แวว...พี่เจน เกรงใจคุณแก้วบ้าง”
แววเดือนกับเจนนี่หันมาเห็นสีหน้าอึ้งๆ ของปอแก้วก็ชะงักไป
“ออกไปกันแล้วจะไปทำอะไรกิน”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พวกเรามีที่ไป” เจนนี่ว่า
“คุณห่วงตัวเองดีกว่า เพราะบูรพาซาวด์กำลังจะล่มจม จากเรื่องเน่าๆ ที่คนเลวๆ ก่อขึ้น ศิลปินก็จะทยอยกันออก แฟนเพลงก็เริ่มหนีหน้า ทั้งหมดมันเป็นเพราะเวรกรรมที่ทำไว้กับพ่อเผ่าพงศ์”
เพียงฟ้ากรี๊ดลั่น “อ๊ายยยย ปากดีแบบนี้ขอแม่ตบสั่งสอนหน่อยเหอะ”
ขาดคำเพียงฟ้าโผนเข้าไปจิกหัวปลายอ้อแล้วตบฉาด ปลายอ้อสะบัดหน้าขึ้นมาตบเพียงฟ้ากลับสองทีซ้อนผัวะผัวะ
บูรพาบันดาลโทสะ ปราดเข้าไปจับปลายอ้อที่กำลังง้างมือสุดแขนจะตบคืน ดันไปติดกับผนังอย่างแรง สีหน้าโกรธจัด ปลายอ้อก็ตกใจ ทุกคนในห้องก็ตกตะลึงกันไปหมด
ปลายอ้อตั้งสติได้มองท้าทาย “เอาซี่ จะตบ จะบีบคอ จะฆ่าฉันก็ทำเลย”
บูรพาโกรธสุดขีด “แก...แกมัน...แกมันบ้าไปแล้ว”
“ฆ่าฉันให้ตาย เหมือนที่เสี่ยฆ่าพ่อเผ่าพงศ์ เอาสิ! เอาเลย” ปลายอ้อตาวาวววับไม่กลัวอะไรแล้ว
บูรพาโกรธจนตัวสั่น แล้วจู่ๆ ก็ช็อก หมดสติทรุดลงไปกองแทบเท้าของปลายอ้อ
ปอแก้วตกใจ “พ่อ”
เพ็ญหน้าตาตื่นตกใจเมื่อรู้เรื่องจากสาวๆ ที่แวะมาหาที่ร้านส้มตำ
“เสี่ยถึงกับเป็นลมไปเลยเหรอวะ”
“ใช่พี่ พวกฉันตกใจกันแทบแย่แน่ะ” แววเดือนตอบ
เกวลีกังวลไม่คลาย “เสี่ยจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ปลายอ้อไม่สลด “ลีจะกลัวอะไร มันทำตัวมันเองทั้งนั้น ไม่ได้มีใครไปทำร้ายมันซะหน่อย”
เกวลียังคงหน้าจ๋อยอยู่ บุญทิ้งเห็นก็เลยตบหลังมือเกวลีปลอบๆ
“แล้วนี่พวกแกก็เลยออกจากค่ายกันหมด...เฮ้อ ต่อไปใครจะมากินส้มตำที่ร้านข้าละวะ ทิ้งข้ากันไปหมดเลย”
“โธ่ป้า เดี๋ยวพวกฉันก็แวะมาหาป้า ไม่ทิ้งไปไหนหรอกน่า” บุญทิ้งบอก
“เอาจริง ฉันก็แอบใจหายเหมือนกันนะ ที่ต้องออกจากที่นี่ไป แต่ก็ต้องตัดใจล่ะ ดีกว่าอยู่ไปวันๆแบบไม่มีอนาคตแบบนี้” แววเดือนหน้าม่อย
“แล้วจะไปอยู่ไหน ทำมาหากินอะไรกัน”
“ฉันจะพาทั้งสามคนไปอยู่ค่าย อาร์ทิสต้า ของคุณอภิวัชจ้ะ”
เพ็ญได้ฟังก็ช็อก อึ้งไปเลย
บูรพาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลประจำ หมอกำลังตรวจอาการบูรพาที่นอนซมอยู่ในห้อง ปอแก้วกับพรทิพย์ก็นั่งดูอาการอยู่อย่างเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างคะ”
“ความดันสูงนิดหน่อยนะครับ แต่หัวใจปกติดี ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ ยังไงเดี๋ยวหมอให้ยาแก้เครียดไว้ แล้วคุณบูรพาก็พักผ่อนเยอะๆ นะครับ พยายามอย่าคิดอะไรมาก”
บูรพาฟังแล้วก็ถอนใจหันหน้าหนี ปอแก้วกับพรทิพย์มองอย่างกลุ้มๆ
ปอแก้วเปิดประตูออกมาจากห้องของบูรพาพร้อมกับพรทิพย์ พรทิพย์รู้เรื่องจากปอแก้วแล้ว
“เฮ้อ...ดีนะที่พ่อเค้าไม่เป็นอะไรมาก ปลายอ้อเค้าออกจากค่ายไปก็ดีแล้วล่ะ จะได้หมดเคราะห์หมดโศกซักทีนะลูก”
พรทิพย์พูดแล้วมองลูก เห็นสีหน้าปอแก้วเหมือนยังหมกมุ่นครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าลูก”
“หนูสงสัยอะไรบางอย่างน่ะค่ะ”
“อะไรเหรอ”
“ที่คุณพ่อโกรธจนช็อกไป มันเป็นตอนที่ปลายอ้อเค้าพูดว่า พ่อเป็นคนฆ่าเผ่าพงศ์”
พรทิพย์ฟังแล้วก็อึ้งไป
“คุณพ่อเกี่ยวข้องกับการตายของเผ่าพงศ์ จริงๆหรือเปล่าคะแม่”
“แม่ว่า น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่า เผ่าพงศ์เป็นเพื่อนรักคุณพ่อนะลูก”
ปอแก้วฟังแล้วก็ยังอดครุ่นคิดติดใจสงสัยไม่ได้อยู่ดี
กลับจากโรง’บาล ปอแก้วเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของบูรพาที่ค่าย มองไปรอบๆ ห้อง แล้วเดินไปที่โต๊ะที่มีกรอบรูป ใส่รูปถ่ายเก่าๆวางอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นรูปที่เผ่าพงศ์ บูรพา มนต์รับ ถ่ายลงนิตยสารด้วยกัน
ปอแก้วหยิบรูปนั้นขึ้นมาดู ครุ่นคิดถึงคำพูดของปลายอ้อในฉาก 8
“ฆ่าฉันให้ตาย เหมือนที่เสี่ยฆ่าพ่อเผ่าพงศ์ เอาสิ! เอาเลย!”
ปอแก้วครุ่นคิด “ความสัมพันธ์ของพ่อกับพวกคุณ เป็นยังไงกันแน่”
แสงโสมเปิดประตูเข้ามาเห็นปอแก้วก็รีบปราดเข้ามาเลย
“แก้วเข้ามาทำอะไรในนี้น่ะ”
“แก้ว...ยังสงสัยที่ปลายอ้อเค้าพูดน่ะค่ะ”
แสงโสมอึ้งไป
ปอแก้วหันไปดูรูป “สุดท้ายแล้ว สามเทพขนนกแตกคอกันจนถึงขนาดฆ่าแกงกันได้เลยเหรอ? พ่อทำร้ายคุณเผ่าพงศ์จริงๆ เหรอคะ”
“ไม่จริงหรอก คนอย่างปลายอ้อ มันคิดจะทำลายเสี่ย มันก็พูดไปได้เรื่อยนั่นแหละ”
ปอแก้วฟังแล้วครุ่นคิด แสงโสมหยิบรูปออกมาจากมือปอแก้ว
“น้าว่าแก้วออกไปก่อนเถอะนะ เสี่ยเค้าไม่ค่อยอยากให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในห้องนี้”
แสงโสมค่อยๆ แตะหลังปอแก้วให้ออกไปจากห้องทำงานของบูรพาอย่างนุ่มนวล แล้วปิดประตูลง ก่อนจะมองรูปที่หยิบมาจากปอแก้ว เห็นหน้าเผ่าพงศ์ มนต์รัช บูรพา ในรูปแล้วหวนนึกถึงความหลัง
เสียงบูรพาดังก้องขึ้นในห้วงคิด “พวกเธอทำบ้าอะไรกัน!”
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 23 ปีก่อน บูรพากำลังจ้องหน้าพรทิพย์กับแสงโสมด้วยความโกรธ หลังรู้เรื่องที่เผ่าพงศ์กับอัปสรขอออกไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอก
“ทำไมต้องให้เผ่ามันพาอัปสรตะลอนๆ ออกไปหาเช่าบ้านอยู่ด้วย”
“คุณไม่น่าถามเลยนะคะว่าเพราะอะไร ที่คุณทำกับแม่อัปสรนั่น คิดว่าฉันหูหนวกตาบอดเหรอไงคะ” พรทิพย์ต่อว่าสามี
“ปัดโธ่ ฉันแค่เอ็นดูอัปสรเค้าก็เท่านั้น หึงหวงอะไรไม่เข้าท่า นั่นน่ะเมียเพื่อนฉันนะ เห็นฉันเป็นคนระยำตำยอนแบบนั้นเลย”
“แล้วเกิดวันหนึ่ง คุณพี่เกิดอดใจไม่ไหว เรื่องฉาวโฉ่แย่งเมียเพื่อนขึ้นมาละคะ” แสงโสมเสริม
บูรพาโกรธ “แสงโสม เธอพูดแบบนี้กับฉันเหรอ”
“ก็คุณพี่เป็นคนแบบนี้นี่คะ พี่ทิพย์ทำถูกแล้วค่ะ เป็นน้อง น้องก็ไม่ยอม กันไว้ดีกว่าแก้”
“เฮอะ คิดเหรอว่าทำแบบนี้แล้วจะหยุดฉันได้ คนอย่างบูรพา ถ้าอยากได้อะไร ก็ต้องมีวิธีเอามันมาได้เสมอ อย่ามาห้ามซะให้ยากเลย” บูรพาผลุนผลันออกไปทันที
พรทิพย์กลุ้มใจ “ดูเค้าทำกับฉันสิ”
“ไม่เป็นไรนะคะพี่ทิพย์ โสมจะช่วยดูแลให้ จะคุมความประพฤติคุณพี่ไม่ให้คลาดสายตาเลย”
อีกฟากหนึ่ง ศุภกฤตกดมือถือบันทึกเสียงอัปสรที่กำลังเล่าความหลังเรื่องเดียวกันนี้
“ตอนนั้น น้าไม่อยากทำให้คุณพรทิพย์ต้องลำบากใจ”
อัปสรกำลังเล่าเรื่องราวในมุมของตนให้ศุภกฤตฟังอยู่
“น้ากับพี่เผ่า ก็เลยตัดสินใจออกจากบ้านเสี่ยบูรพา มาเช่าอยู่ข้างนอกกันเอง”
“แล้วหลังจากที่ตัดสินใจออกมา เส้นทางการเป็นนักร้องของคุณเผ่าพงศ์ เป็นยังไงบ้างครับ”
อัปสรยิ้มออกมาได้ “ดีมากเลยค่ะ พี่เผ่าพงศ์ดังขึ้นเรื่อยๆ มีเพลงฮิตติดชาร์ต มีงานจ้างเข้ามาตลอด”
แววตาอัปสรตาเป็นประกายเจิดจ้าเมื่อนึกถึงช่วงที่ดีที่สุดตอนนั้น หลับตาลงดื่มด่ำกับความหลังแสนสุข
เมื่ออดีต อัปสรหลับตาอยู่เช่นกัน เธออยู่กับเผ่าพงศ์ที่หลังเวทีคอนเสิร์ตแห่งหนึ่ง
“ลืมตาได้หรือยังเนี่ยพี่เผ่า”
“เดี๋ยวๆ แป๊บนึง”
เผ่าพงศ์กำลังบรรจงสวมสร้อยทองที่คอให้กับอัปสร จนเสร็จ
“ลืมตาได้แล้วจ้ะ”
อัปสรลืมตาขึ้น แล้วก้มลงมองพบว่าที่คอมีสร้อยทองคล้องให้ก็ตกใจปนดีใจ
“อะไรกันเนี่ยพี่”
“ของขวัญจากพี่ให้สรไง พี่เก็บเงินจากที่ออกทัวร์มาซื้อให้”
“โธ่พี่เผ่า ไม่ต้องซื้ออะไรให้ฉันก็ได้ สร้อยแบบนี้ท่าจะแพง ฉันเสียดายเงิน”
เผ่าพงศ์ไม่เป็นไรหรอก พี่ยังมีงานร้องเพลงอีกตั้งหลายงาน เดี๋ยวก็ได้เงินคืน อีกอย่าง สรมาฟังพี่ร้องเพลงทุกวัน พี่ก็อยากให้แต่งตัวสวยๆ มีสร้อยมีแหวนใส่กับเค้าบ้าง จะได้ไม่น้อยหน้าใคร”
อัปสรยิ้มปลื้ม “ขอบคุณจ้ะพี่ แต่พี่ก็ต้องเก็บเงินเก็บทองไว้บ้างนะ”
“จ้ะ ของที่พี่ซื้อให้สรก็เหมือนฝากเงินให้สรช่วยเก็บไง สรอย่าห่วงเลย ยังไงพี่ก็ต้องมีเงินมีทองไว้สร้างครอบครัวของเราแน่ๆ”
เผ่าพงศ์พูดแล้วก็เข้ากอดอัปสรไว้ด้วยความรัก อัปสรกอดตอบ ได้ยินเสียงบูรพานำเข้ามา
“มาครับสาวๆ เผ่าพงศ์ จงขจร อยู่ข้างหลังเวทีนี่แหละ”
เผ่าพงศ์รีบผละออกจากอัปสรทันที
“สรหลบไปก่อนนะ”
อัปสรรู้งาน รีบเดินเลี่ยงออกไปทันที่บูรพาพาบรรดาแม่ยกเข้ามาพอดี
“อ่านี่ไง อยู่ที่นี่จริง เผ่า สาวๆ เค้าอยากเข้ามาให้กำลังใจน่ะ”
เผ่าพงศ์ยิ้มแย้มทักทายอย่างจริงใจ “ขอบคุณทุกคนมากเลยนะครับ ที่มาดูการแสดงของผม”
“แหม ยิ่งเห็นใกล้ๆ ยิ่งหล่อนะเนี่ย” แม่ยก1 วัยทอง ยิ้มแก้มแทบแตก
“จะทักทายถึงเนื้อถึงตัวก็ตามสบายนะครับ เผ่าพงศ์ยินดีบริการแฟนๆเต็มที่ ใช่ไหม” บูรพาอวย
เผ่าพงศ์จำต้องยิ้มรับ บรรดาแม่ยกได้ยินอย่างนั้นก็รีบเข้าไปแย่งกันกอดกันหอมเผ่าพงศ์เลย เผ่าพงศ์ก็ต้องยิ้มรับ แต่ก็เหลือบมองมาทางที่อัปสรแอบอยู่ อัปสรแอบมองเผ่าพงศ์ น้อยใจอยู่ลึกๆ
“เค้าโด่งดังมาก มีสาวๆเข้ามาหาไม่เว้นแต่ละวัน แต่ถึงอย่างนั้น เค้าก็ยังเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย รักเดียวใจเดียวเสมอ” เสียงอัปสรเล่าประกอบ
เผ่าพงศ์หันมาส่งยิ้มให้อัปสรที่แอบดูอยู่ อัปสรยิ้มตอบอย่างเข้าใจ
“เพราะน้าเชื่อใจเค้า น้าเลยยอมทนอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ”
ภายในห้องเช่า เผ่าพงศ์หนุนตักอัปสรที่กำลังเย็บเสื้ออยู่ นอนเขียนเพลงไปด้วย
“ถนัดเหรอจ้ะพี่ ไม่ลุกไปเขียนดีๆ ให้มันสบายๆ ล่ะ”
“ตรงนี้แหละ สบายที่สุด นุ่มที่สุด”
อัปสรยิ้มขำๆ “ตามใจ โดนเข็มเย็บผ้าฉันตำให้ไม่รู้ด้วยนะ”
อัปสรเย็บผ้าต่อ เผ่าพงศ์พึมพำฮัมทำนองเบาๆ ไล่โน้ตจบแล้วก็ตื่นเต้นกระโดดลุกขึ้นพรวดเลย
“โอ๊ย อะไรเนี่ยพี่”
เผ่าพงศ์พี่แต่งเพลงเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะเอาไปให้มนต์รัชช่วยเกลาให้อีกที แต่ตอนนี้สรช่วยฟังหน่อยนะว่าเพราะมั้ย...เพลงนี้พี่แต่งให้สรนะ”
อัปสรยิ้มเขิน “ได้จ้ะพี่”
เผ่าพงศ์ร้องเพลง “รักในรอยสาบาน” ให้ฟัง อัปสรฟังแล้วยิ้มปลื้มปริ่ม
เสียงเพลง “รักในรอยสาบาน” แว่วหวานดังลอดออกมาจากวิทยุที่อัปสรเปิดไว้ อัปสรกำลังเย็บเสื้อให้แสงโสมอยู่ ฟังเพลงไปด้วยอย่างปลาบปลื้ม แสงโสมเดินเข้ามาเร่งอัปสร
“อัปสร...เสื้อฉันเสร็จหรือยัง”
“แป๊บนึงนะจ้ะ ขอฟังเพลงพี่เผ่าก่อน”
แสงโสมแอบค้อนนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้อัปสรฟังจนเสียงเพลงจบลง พอจบดีเจก็สัมภาษณ์สดเผ่าพงศ์จากห้องส่ง
“จบลงไปแล้วนะครับ กับเพลง “รักในรอยสาบาน” จากเสียงร้องและปลายปากกาของ เผ่าพงศ์ จงขจร ทราบมาว่าเพลงนี้เผ่าพงศ์แต่งเองเลยใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“เพราะจับจิตจับใจขนาดนี้นี่ ต้องการมอบเพลงนี้เป็นพิเศษให้ใครรึเปล่าครับ”
อัปสรนั่งฟังอยู่ มีอาการขึ้นมา มองลุ้นๆ เห็นว่าเผ่าพงศ์เงียบไปนิดหนึ่ง
แต่เผ่าพงศ์ตอบเลี่ยงๆ “ไม่ได้มอบให้ใครเป็นพิเศษหรอกครับ ผมแต่งขึ้นมาเพื่อมอบให้แฟนเพลงทุกคน เป็นคำมั่นสัญญาจากเผ่าพงศ์ จงขจร”
อัปสรอึ้งไป น้อยใจลึกๆ แสงโสมเห็นสีหน้าอัปสรก็หมั่นไส้
“ทำไมต้องทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะ เธอคิดว่าเค้าจะพูดถึงเธอออกสื่อเหรอ”
“เปล่าหรอกจ้ะ”
“เป็นเมียนักร้องน่ะ ต้องทำใจ อยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนคนลักกินขโมยกินแบบนี้แหละ ถ้าคิดจะเปิดตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ อนาคตผัวเธอก็ดับเมื่อนั้น จำไว้นะ”
อัปสรฟังอึ้งๆ ไป
ศุภกฤตสัมภาษณ์อัปสรอยู่ รับรู้ได้ถึงความเศร้าของอัปสร
“นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณน้าไม่อยากอยู่ในค่ายบูรพาซาวด์ต่อไปแล้วหรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เรื่องต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ น่ะ น้าเข้าใจดี”
“แล้วสาเหตุคืออะไรล่ะครับ”
อัปสรคิดอยู่นาน ก่อนตัดสินใจเล่าต่อ “หลังๆ พี่เผ่าพงศ์ดังขึ้น ก็ต้องไปออกคอนเสิร์ตบ่อย น้าไม่อยากตามไปด้วยเพราะไม่ชอบหลบอยู่ในรถ แล้วพี่เผ่าก็ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง น้าเลยรออยู่ที่บ้านดีกว่า แต่พออยู่บ้าน เสี่ยบูรพาก็ชอบเข้ามายุ่งกับน้า...ทำเป็นมาดูแล บอกว่ากลัวน้าจะเหงา วันดีคืนดีก็แวะมาหาดึกๆ ดื่นๆ”
อัปสรพูดแล้วก็คิดไปถึงวันที่เกิดเรื่องแตกหักกับพรทิพย์
เผ่าพงศ์ทำเป็นเข้ามาคุยกับอัปสร เจ้าชู้ใส่
“ไม่นะคะเสี่ย อย่าทำแบบนี้นะคะ”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากเป็นนักร้องแล้วเหรอ”
บูรพาทำท่าหื่นกระหาย รวบตัวอัปสรไว้ แต่ยังไม่ทันกอดหอม เสียงแสงโสมก็แหวเข้ามา
“คุณพี่”
อัปสรกับบูรพาชะงักหันไปมอง เห็นแสงโสมยืนอยู่ ก็หน้าซีดเผือด รีบผละจากอัปสร
“นึกแล้วเชียวว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ถึงได้กลับมาที่บริษัทมืดๆ ค่ำๆ แต่ก็คิดว่านังเด็กหางเครื่องคนไหนมันคงรออยู่ ไม่ยักรู้ว่าช่างตัดเสื้อคุณพี่ก็จะเอา กินไม่เลือกจริงๆ นะคะ”
“แสงโสม อย่ามาพูดจาสกปรกนะ”
แสงโสมสะบัดหน้า เดินไปหาอัปสร “แกมันก็หน้าด้าน เป็นเมียนายเผ่าพงศ์ไม่ใช่เหรอแล้วมายุ่งอะไรกับผัวคนอื่น ขอทดสอบหน่อยเถอะว่าหนังหน้าทนเท่ากระเบื้องมุงหลังคาไหม”
แสงโสมจิกหัวอัปสรจนร้องโอ๊ย แล้วเงื้อมือจะตบ พรทิพย์ตามเข้ามา
“อย่านะแสงโสม หยุด อย่ามาทำร้ายตบตีกันในบริษัทของฉัน”
แสงโสมจำต้องปล่อยมือออกจากหัวอัปสร อัปสรถอยหนีร้องไห้
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ แต่เสี่ย...”
“ฉันไม่เชี่อคำแก้ตัว ฉันเชื่อที่การกระทำ ถ้าเธอไม่ได้มีเจตนาสกปรกจริง ขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเห็นเธอกับสามีฉันอยู่ด้วยกัน ไปได้แล้ว”
อัปสรสะอื้นแล้ววิ่งร้องไห้ออกไป พรทิพย์มองตาม แล้วตวัดสายตามองบูรพาอย่างรู้ทัน บูรพาไม่กล้าสู้หน้า
เผ่าพงศ์เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินตรงมาที่เตียงที่อัปสรนอนหันหลังให้อยู่
“คอนเสิร์ตวันนี้คนเยอะมากเลย ถึงกับปีนต้นไม้ดูก็มี พี่ไม่นึกเลยเหมือนกันนะว่าจะมาได้จนถึงขนาดนี้”
เผ่าพงศ์ลงนอนข้างๆ เห็นอัปสรเงียบไม่ตอบ
“สร...หลับแล้วเหรอ”
อัปสรยังเงียบไม่ตอบ เผ่าพงศ์ก็เลยยันตัวขึ้นมา ทำท่าจะไปหอมแก้มอัปสรที่นอนหันหลังอยู่ แล้วเผ่าพงศ์ก็ถึงได้เห็นว่า ที่จริงแล้วอัปสรไม่ได้นอนหลับ แต่นอนร้องไห้เงียบๆอยู่
เผ่าพงศ์มองตกใจ “สรเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
อัปสรไม่กล้าบอกความจริง “ฉัน.....ฉันคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านน่ะพี่” เธอหันมาหาเขา “ชีวิตที่กรุงเทพฯนี่มัน...วุ่นวายมากเลย สู้ตอนที่อยู่โคราชไม่ได้ เรากลับบ้านกันดีไหม”
“แต่ตอนนี้เรามาไกลมากแล้วนะ พี่กำลังได้ทำตามความฝัน และหาเงินเก็บสร้างครอบครัวของเรา ถ้าเรากลับไปตอนนี้ เราก็ต้องกลับไปเป็นนักร้องเร่ประกวดตามงานวัดแค่นั้น ไม่มีวันมีเงินมีทองเหมือนตอนนี้หรอกนะ”
อัปสรฟังแล้วก็อึ้งไป บูรพาจับมืออัปสรมาบีบให้กำลังใจ
“อดทนหน่อยนะสร เพื่ออนาคตของเรา”
อัปสรนิ่งเงียบ จำต้องกล้ำกลืน ไม่กล้าบอกว่ามีเรื่องกับบูรพาและพรทิพย์
อัปสรน้ำตาซึมๆ เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ศุภกฤตเกรงใจมาก
“เอ่อ....น้าอัปสรครับ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ครับ”
อัปสรเช็ดน้ำตา “น้า..ขอโทษทีนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
ปลายอ้อกับบุญทิ้งกลับมาที่บ้านพอดี ปลายอ้อเห็นอัปสรร้องไห้เช็ดน้ำตาอยู่
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่า? คุณกฤต คุณทำอะไรแม่ฉัน”
“คุณกฤตเค้าไม่ได้ทำอะไร แม่กำลังเล่าเรื่องเก่าๆ ให้เค้าฟังอยู่น่ะ”
“อ๋อ....แล้วไป อ้อก็นึกว่ามีใครมาทำให้แม่ร้องไห้อีก...แม่จ๋า นี่อ้อยกเลิกสัญญาที่บูรพาซาวด์เรียบร้อยแล้วนะ”
“เหรอลูก ดีมากเลยอ้อ”
“ไอ้อ้อมันไม่ได้ออกมาคนเดียวด้วยนะน้าสร มันขนพี่แวว พี่เจนนี่ ไอ้เกว ออกมากับมันด้วย”
ศุภกฤตตกใจ
เย็นแล้วปลายอ้อเดินออกมาส่งศุภกฤตหน้าบ้าน
ศุภกฤตนี่คุณคิดดีแล้วเหรอที่ชวนเค้าออกมากันหมด ไม่ได้ทำไปเพราะสะใจใช่มั้ย?
“ก็เพื่อความสะใจนั่นแหละ”
“ปลายอ้อ....”
“แต่มันก็แค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนฉันต้องการช่วยเหลือเพื่อนๆ อยู่ที่นั่นไปก็ไม่มีงาน ออกมาอยู่กับคุณวัชดีกว่า คุณวัชสัญญาว่าจะดูแลทุกคนเอง”
“ผมว่าที่อภิวัชเค้ายอมช่วยคุณ เพราะเค้าก็ตั้งใจจะใช้คุณกับเพื่อนๆเป็นเครื่องมือแก้แค้นปอแก้วเหมือนกันนะ”
“ฉันไม่แคร์หรอก ใครจะแค้นใครฉันไม่สนใจ แค่ฉันกับเพื่อนๆได้ประโยชน์ก็พอแล้ว”
ศุภกฤตอึ้งไป ที่เห็นว่าปลายอ้อดูเลือดเย็นกว่าที่คิด
อัปสรคุยกับบุญทิ้งอยู่ในบ้าน
“ไอ้ทิ้ง ลงคุณกฤตกับไอ้อ้อเนี่ย เป็นอะไรกันหรือเปล่า”
“คุณกฤตน่ะ มาชอบไอ้อ้อแน่ๆ แต่ไอ้อ้อนี่สิ มันก็ทำเฉยๆ อยู่ ฉันก็เลยไม่รู้ว่ามันคิดอะไรน่ะน้าสร”
อัปสรครุ่นคิด “ฉันคงผิดเอง ที่เลี้ยงอ้อมันมาให้มันคิดแต่จะแก้แค้นอย่างเดียว ไม่คิดไปรักใครชอบใคร ฉันว่าคุณกฤตเค้าเป็นคนดี อยากให้ไอ้อ้อมันเปิดใจให้เค้าบ้าง มันจะได้มีคนดูแล”
บุญทิ้งยิ้มแต้ “ฉันเห็นด้วยสุดๆ เลยน้าสร เฮ้อ...แต่ฉันละกลั๊วกลัว กลัวว่าความใจแข็งของไอ้อ้อ มันจะทำให้คุณกฤตเค้าถอดใจไปซะก่อนน่ะสิ”
อัปสรคิดตามที่บุญทิ้งพูดแล้วกังวลขึ้นมาเหมือนกัน
เช้าวันใหม่ อภิวัชเปิดประตูนำปลายอ้อ แววเดือน เจนนี่ เกวลี บุญทิ้ง เข้ามาภายในห้องประชุมค่ายอาร์ทิสต้า เร็คคอร์ด แววเดือน เจนนี่ เกวลีมองไปรอบๆ อย่างตื่นๆ
“Artista ยินดีต้อนรับทุกคนนะครับ ผมให้สัญญาว่า เราจะเติบโตไปด้วยกัน เพราะผมตัดสินใจแล้วที่จะเข้ามาเปิดตลาดเพลงลูกทุ่ง ตอนนี้เรามีบุคลากรเบื้องหน้าเบื้องหลังพร้อมที่จะช่วงชิงความเป็นหนึ่งมาจากบูรพาซาวด์”
“แววก็จะไม่ทำให้คุณวัชผิดหวังค่ะ”
“เจนนี่ก็พร้อมช่วยเต็มที่ค่ะ”
ปลายอ้อบอกอย่างมุ่งมั่น “พวกเราจะล้มบูรพาซาวด์ให้ได้”
อภิวัชเห็นท่าทางของทุกคนก็พอใจ หยิบเอาซองสัญญาออกมาให้
“นี่ครับ สัญญาของทุกคน เราจะได้เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ทุกคนรับสัญญามา ปลายอ้อเปิดออกแล้วเซ็นต์ลงไปเป็นคนแรกทันที ตามด้วยแววเดือนและเจนนี่
บุญทิ้งกำลังจะเซ็นแล้วเหมือนกัน แต่หันมาเห็นเกวลียืนถือสัญญานิ่งอยู่
“ลี...เป็นอะไร”
“ฉัน...ฉัน...” เกวลีลังเลแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกไป “ขอไม่เซ็นดีกว่าค่ะ”
ทุกคนงง
“ทำไมล่ะลี หรือว่า..เธออยากกลับไปที่นั่นเหรอ”
“เปล่าๆ ไม่ใช่ คือตอนนี้พอฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันก็เลยอยากค้นหาตัวเองว่าอยากทำอะไรกันแน่ ฉันเลยยังไม่พร้อมมีสังกัดตอนนี้”
“แต่แกจะไม่ได้ร้องเพลงน่ะสิ” แววเดือนทัดทาน
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ถึงจะไม่ได้ร้องเพลงตอนนี้ แต่ฉันก็ยังทำแหนมขายเลี้ยงตัวเองได้อยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกนะ”
“ผมเข้าใจ เอาที่เกวลีสะดวกใจแล้วกันครับ"
“งั้น...ลีขอตัวนะคะ”
เกวลียิ้มให้ส่งสัญญาคืนแล้วเดินออกไป
เกวลีเดินมาตามทาง แล้วได้ยินเสียงบุญทิ้งร้องเรียกตามมา
“ลี...ลี...ยายแหนม รอก่อน”
เกวลีหยุดเดินหันไปหาบุญทิ้งที่วิ่งตามมา
“เธอจะทิ้งพวกฉันไปง่ายๆแบบเนี้ยเหรอ”
“เปล่าซะหน่อย”
“แล้วทำไมไม่อยู่ด้วยกัน”
“ฉันก็แค่คิดว่า...ที่ผ่านมา ฉันไม่ค่อยได้เป็นตัวของตัวเองเลย ได้แต่คอยเกาะคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ที่ได้มาที่ค่ายนี้ ฉันก็คิดนะว่าเพราะปลายอ้อเค้าขอร้องคุณอภิวัช ลำพังคุณอภิวัชเค้าคงไม่สนใจฉันหรอก มันถึงเวลาแล้วล่ะที่ฉันต้องยืนด้วยตัวเองซะที”
“ลี... แต่ฉันเสียดายนะ ถ้าเธอจะไม่ได้ร้องเพลง”
“ยังไงฉันก็ไม่ทิ้งการร้องเพลงหรอก ฉันจะลองพยายามดิ้นรนดูเอง บุญทิ้งไม่ต้องกังวลนะ”
“แล้วเธอจะไปดิ้นรนที่ไหน อย่าบอกนะว่าจะไปร้องเพลงเปิดหมวกตามตลาดนัดแบบที่ฉันเคยบอก”
“ก็ไม่แน่นะ ดีเหมือนกัน ฉันอาจจะไปร้องเพลงขายแหนมในตลาดนัดก็ได้”
“แหนมเธอต้องขายดีแน่ๆ”
“อื้ม....แต่ตอนนี้ฉันคงกลับบ้านไปหาพ่อแม่ซักพักก่อน”
“หายเหนื่อยแล้วเธอต้องกลับมานะ อย่าพึ่งยอมแพ้กับการเป็นนักร้อง ถ้าเธอไม่กลับมา ฉันจะไปตามถึงบ้านเลย”
เกวลียิ้มขำๆ “กลับมาอยู่แล้วน่า”
บุญทิ้งยื่นนิ้วก้อยให้ “สัญญาก่อน”
เกวลีมองๆ แล้วยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวก้อยกับบุญทิ้ง “สัญญา”
ปลายอ้อนั่งอยู่กับอภิวัชในห้องทำงานตามลำพัง
“ขอบคุณคุณวัชมากนะที่ให้ความช่วยเหลืออ้อกับเพื่อนๆ”
“เรียกว่าต่างคนต่างตอบแทนกันดีกว่าครับ ในเมื่อคุณฝันอยากเป็นนักร้อง ผมก็มีฝันที่อยากเป็นที่หนึ่งในวงการนี้ เพื่อพิสูจน์ตัวเองเหมือนกัน”
ปลายอ้อมองหน้าอภิวัช ถามหยั่งเชิง
“ที่ทำเนี่ย ไม่ใช่ว่าทำเพื่อให้ปอแก้วเค้าเสียใจเหรอคะ”
“เปล่าเลยครับ ผมชอบความท้าทาย แก้วเค้าก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผมอยากทำเพลงลูกทุ่ง จริงๆแล้ว ผมตั้งใจจะให้แก้วเค้าเป็นศิลปินคนแรกด้วยซ้ำ แต่เค้าเลือกที่จะอยู่กับบูรพาซาวด์เอง ก็ไม่เป็นไร”
อภิวัชยักไหล่ตอนท้าย ปลายอ้อนิ่งฟังเก็บข้อมูล
“ฉันอาจจะไม่เก่งเท่าเค้านะคะ แต่ฉันจะทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่คุณวัชอุตส่าห์ให้โอกาส เรามาทำให้บูรพาซาวด์เห็นว่า อาร์ทิสต้า เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของเค้ากันดีกว่าค่ะ”
ปลายอ้อยื่นมือออกไป อภิวัชมองแล้วจับมือปลายอ้ออย่างมาดหมาย ระหว่างนี้แววตาปลายอ้อวาบวับ หวังใช้อภิวัชเป็นเครื่องมือ
ส่วนปอแก้วยืนอยู่ที่หน้าบ้านพักศิลปิน เห็นบ้านหลายหลังปิดเงียบ ไม่มีคนอยู่ก็แอบใจหาย
“นี่หายกันไปหมดเลยเหรอเนี่ย”
“พวกศิลปินชายบางคนก็ไม่ยอมต่อสัญญาค่ะ เพราะตอนนี้งานจ้างหลายงานก็ถูกยกเลิกด้วย”
ปอแก้วเศร้าแต่ฮึดเข้มแข็งขึ้นมา “ถ้าเค้าอยากออกกัน ก็ปล่อยเค้าไป ถึงเวลาหาคนใหม่ๆมาเสริมกำลังแทนแล้วล่ะค่ะ”
จู่ๆ แสงโสมก็เอ่ยขึ้น “จริงๆ หนูแก้วร้องเพลงเพราะนะ ไม่อยากเป็นศิลปินเองบ้างเหรอ”
“หน้าที่ของแก้วตอนนี้คือการฟื้นฟูบูรพาซาวด์ค่ะ แก้วจะไม่ยอมให้พังพินาศลงไปตามคำแช่งของใครหรอก”
“อย่าหาว่าน้ายุ่งเลยนะ หนูแก้วได้คุยกับ..อภิวัชบ้างหรือเปล่า”
ปอแก้วมีสีหน้าเศร้าลงทันที “เค้าไม่ยอมคุยกับแก้ว โทรไปเค้าก็ไม่รับสาย...แก้วไม่อยากบากหน้าไปถึงบ้านเค้าให้เค้าไล่ออกมาหรอกค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นทำเป็นเข้มแข็ง “ช่างเถอะค่ะ แก้วไม่อยากคิดเรื่องอื่นแล้ว แก้วขอโฟกัสแค่เรื่องงานอย่างเดียว”
แสงโสมมองอย่างเห็นใจ สงสารปอแก้วเหมือนกัน
วันเวลาผันผ่าน เหตุการณ์ในชีวิตแต่ละคนดำเนินไปตามครรลองใครมัน
ที่บูรพาซาวด์ ปอแก้วเข้าประชุมเครียด มีบูรพากับแสงโสมเข้าด้วย แต่บูรพาดูเบื่อๆ ไม่สนใจ
ส่วนที่อาร์ทิสต้า ปลายอ้อเริ่มเข้าห้องอัดเพลง มีอภิวัชคุมเข้มเอาใจใส่ ปลายอ้อตั้งใจร้องเพลงมาก
ด้านศุภกฤตยังคงแวะเวียนไปที่บาร์โรงแรมที่เกิดเรื่องฉาว ทำเป็นคุยกับบาร์เทนเดอร์ แล้วเอารูปปลายอ้อให้ดู พอบาร์เทนเดอร์เห็นไม่ยอมคุยด้วย แจ้งผู้จัดการมาเชิญออกไป ศุภกฤตเซ็งๆ
ที่เวทีประกวดนักร้องต่างจังหวัด นักร้องขึ้นไปร้องเพลง มีปอแก้วดูอยู่ด้วยชี้ชวนบอกแสงโสมว่าคนนี้น่าสนใจ แสงโสมถ่ายรูป และจดข้อมูลลงในมือถือไปด้วย
เวลาผ่านไปอีก ปลายอ้อเข้าห้องอัดอีกรอบร้องเพลงใส่อารมณ์อย่างมั่นใจ มีอภิวัชมองดูอย่างพอใจ รู้สึกเชื่อมั่นในตัวปลายอ้อมากๆ
อยู่มาวันหนึ่ง เพียงฟ้าเปิดประตูส่งเสียงหวานเข้ามาในห้องทำงานของบูรพา
“เสี่ยขา”
แต่แล้วเพียงฟ้าก็ต้องตกใจเพราะเห็นบูรพากำลังโวยวายโมโหหนักใส่โทรศัพท์อยู่
“เปิดกล้องวงจรปิดดูสิ หาหน้ามันมาให้ได้” เสี่ยกดวางหูโครม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ไอ้พนักงานที่โรงแรม มันบอกว่า มีนักข่าวมาสืบหาพนักงานที่ลาออกไปตอนที่เกิดเรื่อง แม่งเอ๊ย จะตามหาอะไรนักหนาวะ”
“ต๊ายตาย นักข่าวคนไหน แล้วได้ข้อมูลอะไรไปมั้ยคะ”
บูรพายังไม่ทันตอบก็ได้ยินเสียงข้อความเข้ามาในมือถือ หยิบมาดูเป็นไลน์โรงแรมส่งรูปมา กดเปิดดูก็เห็นเป็นรูปศุภกฤตกำลังคุยกับบาร์เทนเดอร์ ภาพไม่ชัดนักเพราะแคปมาจากกล้องวงจรปิด
“นี่ไง มันส่งรูปมาแล้ว ไม่ชัดเลยวะ”
เพียงฟ้าเข้ามาดูด้วย “เอ๊ะ นี่มันนักข่าวที่มากับนังปลายอ้อบ่อยๆ นี่คะ”
บูรพามองแล้วนึกๆ จำได้ว่าเคยเจอศุภกฤตอยู่กับทะนงที่บาร์คืนหนึ่ง
“นี่น้ำอะไร ฉันไม่ได้สั่ง”
“น้ำใบบัวบกน่ะครับ”
บูรพาเงยหน้าขึ้นมองเห็นทะนงเดินเข้ามากับศุภกฤต
“ผมเห็นช่วงนี้เสี่ยน่าจะช้ำในไม่ใช่เล่น ก็เลยสั่งให้ ไม่ต้องห่วงนะครับ แก้วนี้ผมเลี้ยงเอง”
บูรพานึกออก สีหน้าระแวงขึ้นมาเลย
“ไอ้นักข่าวนั่น”
“จัดการมันเลยไหมคะ เดี๋ยวฟ้าหาคนมาเก็บให้เหมือนตอนที่จ้างคนมาทำร้ายนังปลายอ้อ”
บูรพามองหน้าเพียงฟ้าอึ้งไปนิดๆ เมื่อรู้ว่าที่ปลายอ้อเจ็บเป็นฝีมือของเพียงฟ้า
“เอามั้ยคะเสี่ย”
“ไม่ล่ะ..ขืนทำอะไรไปตอนนี้ ฉันโดนเพ่งเล็งแน่”
เสียงปอแก้วดังขึ้น “นี่เธอเป็นคนทำร้ายปลายอ้อเองเหรอเนี่ย”
เพียงฟ้ากับบูรพาตกใจ เมื่อหันไปเห็นว่าปอแก้วยืนในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“คุณแก้ว”
ปอแก้วเดินเข้ามา หน้าตาเอาเรื่อง “เธอจ้างคนไปทำร้ายปลายอ้อ จนเค้าเกือบหมดอนาคต แล้วยังทำให้ฉันเดือดร้อน ฉันถูกสงสัยว่าเป็นคนบงการ ทำไมเธอถึงได้ทำเรื่องเลวๆ แบบนี้ได้ลงคอ”
เพียงฟ้าอึกอัก หันมองหน้าบูรพาขอความช่วยเหลือ
“เสี่ยคะ...ช่วยพูดกับคุณแก้วหน่อย”
“ไม่ต้องหาทางแก้ต่างให้หรอกค่ะ เพราะพ่อหน้ามืดตามัว หลงเลี้ยงคนต่ำๆแบบนี้ไว้นี่แหละ บูรพาซาวด์ถึงได้ตกต่ำ”
“แก้ว แกด่าพ่อมากไปแล้วนะ”
ปอแก้วไม่อยากเถียงบูรพา หันมาหาเพียงฟ้า “ฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ”
“นี่จะแจ้งตำรวจจับฉันเหรอ? เฮอะ...ก็เอาสิคะ แจ้งเลย”
ปอแก้วประหลาดใจที่เห็นเพียงฟ้าไม่สะทกสะท้าน
“หมดฉันไปคน บูรพาซาวด์จะเอานักร้องที่ไหนมาร้องเพลงอีก หรือคุณจะร้องเพลงเอง ถามจริง..จะมีคนฟังเหรอ”
ปอแก้วอึ้ง สะอึกไป
“เรื่องมันแล้วไปแล้ว แกนั่นแหละ จะฟื้นฝอยหาตะเข็บขึ้นมาทำไม ตอนนี้ฉันยิ่งเครียดๆ เรื่องไอ้นักข่าวเวรนั่นอยู่”
ปอแก้วยิ่งอึ้งไปอีกที่บูรพายังเข้าข้างเพียงฟ้า
ปอแก้วเดินเซ็งออกมาจากห้องของบูรพา แล้วนึกเป็นห่วงศุภกฤตขึ้นมา เลยกดโทรศัพท์ไปหาศุภกฤต
“ฮัลโหล..คุณกฤต...”
เวลานี้ ปอแก้วนั่งอยู่กับศุภกฤตในร้านกาแฟด้วยกันแล้ว
“คุณแก้วมีอะไรหรือเปล่า หน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย”
“เครียดๆเรื่องที่ค่ายนิดหน่อยน่ะค่ะ” ปอแก้วถามหยั่งเชิง “ตอนนี้คุณกฤตเล่นข่าวเรื่องอะไรอยู่เหรอ คุณ...ยังตามคดีของปลายอ้อเค้าอยู่หรือเปล่า”
“ก็ยังตามสืบอยู่ครับ ผมก็พึ่งไปถามหาหลักฐานเพิ่มเติมที่โรงแรมมา แต่ทางโรงแรมไม่ให้ความร่วมมือเลย” เขาเหล่มองปอแก้ว “สงสัยโดนเงินพ่อคุณปิดปากกันหมด”
ปอแก้วยิ่งไม่สบายใจ “คุณลองหาทางอื่นดูไหม ฉันกลัวว่า...มันจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดีกับคุณ”
ศุภกฤตรู้สึกดีที่ปอแก้วเป็นห่วง “ผมไม่กลัวหรอก หน้าที่ของนักข่าว ก็คือการค้นหาความจริง”
ปอแก้วฟังแล้วนิ่งไป
“คุณกลัวเสี่ยบูรพาถูกดำเนินคดีเหรอ”
“เปล่า....แต่พูดตรงๆนะคุณ ฉันห่วงคุณ”
ศุภกฤตอึ้ง
“พ่อฉันอิทธิพลเยอะนะคุณ ไม่รู้ว่าเค้าจะทำอะไรได้บ้าง คุณปล่อยให้ตำรวจดูแลเรื่องนี้ดีกว่า”
ศุภกฤตซึ้งใจ “แล้วคุณล่ะ ได้คุยกับอภิวัชบ้างหรือเปล่า เห็นว่ามะรืนนี้จะมีงาน”
“น่าจะเป็นงานวันครบรอบบริษัทค่ะ”
“ผมได้ยินมาว่า มีการแถลงข่าวเปิดตัวศิลปินใหม่ของค่ายด้วย....คุณน่าจะไปนะ”
ปอแก้วฟังแล้วครุ่นคิด
ปอแก้วนอนครุ่นคิดเรื่องที่ศุภกฤตบอกว่าอภิวัชกำลังจะเปิดตัวศิลปินใหม่
“ผมได้ยินมาว่า มีการแถลงข่าวเปิดตัวศิลปินใหม่ของค่ายด้วย...คุณน่าจะไปนะ”
ปอแก้วคิดแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมา เปิดไปที่ไลน์อภิวัช ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ข้อความไป
“ได้ข่าวว่าอาร์ทิสต้า จะเปิดตัวศิลปินใหม่ ฉันยินดีด้วยนะคะ ขอให้คุณประสบความสำเร็จ”
ปอแก้วชะงักไป มองข้อความที่พิมพ์ แล้วตัดสินใจกดลบข้อความ วางมือถือลง พึมพำเบาๆ
“วัช....คุณยังอยากเจอฉันอยู่ไหมนะ...”
รถปอแก้วแล่นมาจอดที่หน้าลานแถลงข่าว ปอแก้วลงมาจากรถพร้อมกับช่อดอกไม้ในมือ มองไปที่ลานแถลงข่าวเห็นมีนักข่าวมารอทำข่าวเต็มไปหมด ปอแก้วประหม่าเล็กน้อยเมื่อคิดว่ากำลังจะได้เจอกับอภิวัชอีกครั้ง แต่ก็สูดลมหายใจฮึดขึ้นมา ก่อนจะเดินถือช่อดอกไม้เข้าไปในงาน
ที่บริเวณงาน ปอแก้วเห็นนักข่าวเดินกันพลุกพล่าน มีนักข่าวคนหนึ่งถือกล้องวิดีโอ ถอยมาเกือบจะชนปอแก้ว ปอแก้วถอยหลบอย่างเร็ว จนทำให้ไปชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
“อุ้ย ขอโทษค่ะ”
“ระวังหน่อยสิคะ”
ปอแก้วคุ้นเสียงรีบหันไปมอง อึ้งเมื่อเห็นว่าคนที่ชนคือเจนนี่กับแววเดือน สองสาวก็อึ้งพอกัน
“แววเดือน เจนนี่...ทำไมมาอยู่ที่นี่”
“เอ่อ คุณแก้ว เอ่อ...”
แววเดือนจะหันไปหาเจนนี่ เห็นเจนนี่รีบเดินหนีไปแล้ว
“อีเจน ขอโทษค่ะ แววขอตัวนะคะ”
แววเดือนรีบชิ่งตามเจนนี่ไปอีกคน ปอแก้วรีบเดินตามไป
เจนนี่กับแววเดือนรีบเดินหนีปอแก้วไปอย่างเร็ว ปอแก้วเดินตามมา พยายามมองว่าสองคนเดินไปทางไหน แต่ก็มีบรรดาแดนเซอร์เดินออกมาขวางไว้ เลยคลาดสายตาไปจนได้
“ไปไหนแล้วนะ”
ปอแก้วก็ได้ยินซาวด์ตื่นเต้นขึ้นที่หน้าเวที พร้อมกับเสียงอภิวัช
“สวัสดีครับสื่อมวลชนและทุกท่านที่อยู่ที่อาร์ทิสต้า ในวันนี้”
ปอแก้วตัดสินใจเดินกลับไปที่เวที
ที่ลานแถลงข่าว ปอแก้วเดินกลับเข้ามา เจอศุภกฤตที่มารอทำข่าวอยู่เหมือนกัน
“คุณแก้ว” เขาขยับที่ให้ปอแก้ว “คุณมาจริงๆด้วย”
“ก็คุณบอกว่าฉันควรมานี่คะ”
อภิวัชกำลังพูดเปิดตัวนักลูกทุ่งเบอร์แรกอยู่
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก ที่ทุกคนให้ความสนใจกับบริษัทเล็กๆของผม เนื่องจากวันนี้ เป็นวันครบรอบของบริษัท ถือเป็นการก้าวขึ้นสู่ปีใหม่ ด้วยย่างก้าวใหม่ ที่จะเข้าสู่วงการลูกทุ่งเต็มตัว ค่ายอาร์ทิสต้า อาจจะไม่ใช่ลูกทุ่งแท้ๆ แต่เราจะเป็นลูกทุ่งที่ทันสมัยขึ้น ตระการตาขึ้น ภายใต้คอนเซป ลูกทุ่งบรอดเวย์”
ปอแก้วยืนมองอภิวัชพูดอย่างอดทึ่งไม่ได้
“และศิลปินลูกทุ่งเบอร์แรกของค่ายเรา ผมขอแนะนำ เพชรเม็ดใหม่ที่จะมาประดับวงการลูกทุ่ง คุณปลายอ้อ จงขจร”
อภิวัชกล่าวเปิดแล้วก็ถอยออกไป ปลายอ้อที่อยู่ในชุดนักร้องสวยงามเซ็กซี่สะดุดตา ก้าวขึ้นมา ปอแก้วมองตะลึงตะไล
ปลายอ้อยิ้มให้ทุกคน และเริ่มร้องเพลงขับกล่อมคนฟัง เป็นเพลงที่อภิวัชให้นักแต่งเพลงแต่งให้ใหม่
ปอแก้วมองอึ้ง หันไปมองอภิวัชที่มองปลายอ้อด้วยแววตาชื่นชมก็ยิ่งเจ็บปวด
ปลายอ้อร้องเพลงจนจบ ทุกคนปรดมือกันสนั่น นักข่าวถ่ายรูปปลายอ้อไม่หยุด
“ขอบคุณทุกคนมากค่ะ ที่ให้การต้อนรับ ปลายอ้อ จงขจรคนนี้ อ้อขอใช้นามสกุลของพ่อเผ่าพงศ์ เพราะตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าอ้อเป็นใคร อ้อไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก ขอขอบคุณคุณอภิวัชด้วย ที่สนับสนุนอ้อนะคะ”
ปลายอ้อหันไปยิ้มให้อภิวัช ปอแก้วมองอย่างเจ็บปวด
งานแถลงข่าวจบลงแล้ว อภิวัชอยู่กับปลายอ้อที่ในห้องแต่งตัว เจนนี่กับแววเดือนก็นั่งอยู่ด้วย
“แกร้องเพราะมากเลยอ้อ นักข่าวถ่ายรูปกันกระจายเลย”
“ไม่ดังตอนนี้จะไปดังตอนไหนละวะ”
“เดี๋ยวอ้อพักให้หายเหนื่อย แล้วออกไปให้สื่อสัมภาษณ์หน่อยนะ”
อภิวัชเดินออกมาจากห้องแต่งตัว ปิดประตูลง พอหันมาก็ต้องอึ้งที่เจอปอแก้วยืนดักอยู่
“คุณทำแบบนี้ทำไม เอาศิลปินของบูรพาซาวด์ไป ไม่คิดจะบอกกันซักคำ”
อภิวัชตั้งสติได้ แค่นยิ้มใส่ “ผมไม่ได้บังคับใครมาซะหน่อย ทุกคนเต็มใจมาอยู่กับผมเอง มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ที่ทุกคนต้องไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีกว่า”
ปอแก้วเห็นอภิวัชไม่มีเยื่อใยก็ยิ่งเสียใจ “ฉันไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้ คุณไม่นึกถึงเรื่องเก่าๆที่เราเคยมีความทรงจำดีๆร่วมกันเลยเหรอ ทำไม...คุณถึงหักหลังฉันได้ลงคอ”
อภิวัชสวนว่า “คุณนั่นแหละหักหลังผมก่อน คุณทำอะไรลงไป ไม่เคยนึกถึงเรื่องดีๆที่เคยมีเหมือนกัน...เพราะงั้นก็ถือว่าหายกันไปสิครับ”
ปอแก้วยิ่งฟังยิ่งอึ้ง ทนไม่ไหวฟาดดอกไม้ที่ถืออยู่ในมือใส่หน้าอภิวัช กลีบดอกไม้กระเด็นกระจาย
“คุณ...คุณทำได้ยังไง ทำได้ยังไง”
ปอแก้วยิ่งพูดยิ่งเสียใจ ฟาดๆๆ จนดอกไม้หล่นลงพื้น แล้วเอาช่อดอกไม้ที่เหลือไปฟาดหน้าอภิวัชจังๆ อภิวัชตกใจที่ปอแก้วหลุดได้แต่ปัดป้อง ตีจนช่อดอกไม้แทบพัง ทันใดนั้นประตูห้องแต่งตัวเปิดผลัวะออกมาเพราะได้ยินเสียงโวยวายจากข้างนอก เห็นปลายอ้อ เจนนี่ แววเดือน รีบออกมา
“เสียงดังอะไรกันคะ”
ทุกคนเห็นปอแก้วก็ตกใจ เจนนี่ กะ แววเดือนอึ้งทำอะไรไม่ถูก
ปอแก้วเห็นทุกคนก็ได้สติ ชะงัก ผละออกมาจากอภิวัช
ปลายอ้อมองปอแก้วลอบยิ้มสมใจ มองดอกไม้ที่เกลื่อนอยู่ แล้วก็ค่อยๆ เก็บขึ้นมาพูดประชด
“นี่คุณปอแก้วเอาดอกไม้มาแสดงความยินดีเหรอคะ ตายจริง น่าดีใจนะคะคุณวัชที่ได้รับดอกไม้จากค่ายที่เคยยิ่งใหญ่จากบูรพาซาวด์ แล้วเมื่อไหร่บูรพาซาวด์จะเปิดตัวศิลปินเบอร์ใหม่บ้างละคะ หรือจะขายของเก่าอย่างเพียงฟ้ากินไปตลอด”
“ฉันพยายามจะเข้าใจเธอมาตลอดนะ แต่กับสิ่งที่เธอทำ เธอหลอกพาคนจากบูรพาซาวด์มากับเธอ มันไม่มีสปิริตเลย”
“ฉันไม่ได้หลอกมานะคะ ทุกคนเต็มใจมาเอง ไม่เชื่อก็ถามพี่แววกับพี่เจนดูก็ได้”
ปอแก้วหันมองหน้าแววเดือนกับเจนนี่ สองคนสบตากันแล้วหันมาตอบปอแก้ว
“ค่ะ....เราตัดสินใจออกกันมาเอง”
“คุณวัชดูแลพวกเราดีค่ะ เจนว่า เจนคิดไม่ผิดที่ลาออกมา”
ปอแก้วฟังแล้วก็อึ้ง
“ขอโทษจริงๆนะคะ หวังว่าคุณปอแก้วจะเข้าใจพวกเรา”
แววเดือนไหว้ปอแก้ว เจนนี่ไหว้ด้วย ปอแก้วได้แต่มองหน้าทุกคนอย่างเจ็บปวด น้ำตาคลอ
“เจ็บใจสินะ เจ็บใจจนน้ำตาไหลเลยสิ”
ปอแก้วรีบหันหลังแล้วปาดน้ำตา แล้วรีบเดินออกไปทันที
อภิวัชอดสงสารขึ้นมาไม่ได้ “แก้ว”
ปอแก้วไม่สนใจไม่หันมามอง อภิวัชมองตามตาละห้อย ปลายอ้ออ่านออกว่าทั้งคู่ยังมีเยื่อใยต่อกันอยู่
ปอแก้วเดินปาดน้ำตาออกมา แต่มีคนยืนดักหน้าอยู่ พอเงยหน้ามองเห็นว่าเป็นศุภกฤต
“คุณแก้ว...”
“คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าศิลปินหน้าใหม่ของวัชคือปลายอ้อ”
ศุภกฤตพยักหน้า “ผมอยากให้คุณมาเห็นด้วยตาคุณเอง ดีกว่ารอฟังข่าวเสี้ยมจากสื่อ”
ปอแก้วนิ่งอึ้งไป
“ผมขอโทษนะ ถ้าทำให้คุณรู้สึกแย่”
“ฉันไม่โกรธคุณหรอก ต้องขอบคุณมากกว่า ที่ทำให้ฉันตาสว่าง...ตอนนี้วัชเค้าไม่เห็นว่าฉันเป็นคนคุ้นเคยอีกต่อไปแล้ว เค้าเห็นว่าเป็นศัตรูที่ต้องการฟาดฟัน ดีเหมือนกัน ฉันจะได้เดินต่อง่ายขึ้น”
“คุณโอเคมั้ย”
ปอแก้วทำเป็นเข้มแข็ง “โอเค ฉันมีอะไรต้องทำอีกเยอะเลยล่ะ ฉันขอตัวนะ”
อภิวัชนั่งเหม่อคิดถึงปอแก้วอยู่ จนปลายอ้อค่อยๆ เดินเข้ามาลอบมองแล้วตีหน้าสำนึกผิด
“คุณวัช...”
อภิวัชรู้สึกตัว รีบปรับอารมณ์ “สัมภาษณ์สื่อเสร็จแล้วเหรอ”
“ค่ะ...คุณวัชคะ คุณว่าฉันทำแรงไปหรือเปล่าคะ แต่ที่ฉันทำเพราะคุณปอแก้วเค้ากล่าวหาว่าฉันไม่มีสปิริต ฉันทำเพื่อปกป้องตัวเองนะคะ”
“ครับ...ผมเข้าใจ คุณไม่ต้องคิดมากหรอก”
“ถ้าคุณตัดสินใจจะเป็นคู่แข่งกับบูรพาซาวด์แล้ว คุณต้องเจอสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออกแบบนี้อีกเยอะเลย ถ้าคุณอยากชนะ คุณต้องแยกแยะอารมณ์ส่วนตัวออกให้ได้นะคะ”
อภิวัชหันมองหน้าปลายอ้อ เห็นปลายอ้อยิ้มให้กำลังใจ
ปลายอ้อพูดแหย่ “ที่สุดแล้ว คุณอาจจะพิสูจน์ตัวเองจนทำให้คุณปอแก้วเห็นคุณค่า และยอมทิ้งเสี่ยบูรพากลับมาอยู่กับคุณก็ได้นะ แบบนี้ก็เท่ากับแฮปปี้เอนดิ้งกันทุกฝ่ายเลย”
อภิวัชคล้อยตามปลายอ้อ เพราะลึกๆ ก็หวังไว้อย่างนั้น
“ขอบคุณคุณมากนะ ที่ให้กำลังใจผม”
“อ้อเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ”
ปลายอ้อพูดแล้วก็หยิบมืออภิวัชมาบีบ แล้วส่งสายตาหวานให้ บุญทิ้งเปิดประตูผลัวะเข้ามา
“คุณวัชครับ มีนักข่าวถามถึง อ้าว ไอ้อ้อ อยู่ด้วยเหรอ”
ปลายอ้อค่อยๆ ปล่อยมือจากอภิวัช
บุญทิ้งมองหน้าปลายอ้ออย่างรู้เท่าทัน แต่ปลายอ้อทำไม่รู้ไม่ชี้
อ่านต่อตอนที่ 17