เทพธิดาขนนก ตอนที่12 | ความลับไม่มีในโลก
บทประพันธ์ : เพ็ญสิริ บทโทรทัศน์ : ปริศนา และ ทีมวันสุข
ปลายอ้อ และเกวลีกลับมาถึงบ้านพากันนั่งเซ็งอยู่ตรงหน้าเจนนี่กับแววเดือน ซึ่งรับรู้เรื่องหมดแล้ว แววเดือนโวยวาย
“คุณปอแก้วทำแบบนี้ได้ยังไง ไหนว่าจะลงโทษนังเพียงฟ้า ทำแบบนี้ก็ เท่ากับให้ท้ายมัน”
“นั่นน่ะสิ ศิลปินอื่นก็อีกเยอะแยะ แกก็ยังว่าง ไอ้ลีก็ว่าง”
“คุณปอแก้วบอกฉันว่า ศิลปินแต่ละคนไม่เหมือนกัน แทนที่กันไม่ได้ แล้วดูสิ สุดท้ายก็เอาเพียงฟ้ามาร้องแทนฉัน คงจะเตี๊ยมกันไว้แล้วมั้ง”
ปลายอ้อหงุดหงิดไม่พอใจ ลุกพรวดขึ้น
“ฉันจะไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง อย่างน้อยก็ให้พี่แววกับลีไปรองอัดเสียงกับเพียงฟ้าก่อนสิว่าใครเหมาะกว่ากัน ไม่ใช่ตัดสินตามใจชอบ”
“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยอ้อ ยังไงคุณปอแก้วก็เป็นเจ้าของบริษัท เธอมีสิทธิ์ตัดสินใจตามที่เห็นเหมาะสมอยู่แล้ว”
แววเดือนฉุน “เลือกที่รักมักที่ชังแบบนี้ ลาออกประท้วงเลยดีไหมวะ”
“แล้วจะไปทำอะไรวะ เจ๊แวว”
แววเดือนฉุกคิด ตัวเองก็ไม่มีที่ไปอยู่ดี เลยทิ้งตัวนั่งลงเซ็งๆ
“ฉันเข้าใจคุณปอแก้วนะ งานนี้มันเป็นงานขายโฆษณา ก็ต้องเลือกคนดังๆ มีกระแส โนเนมอย่างฉันไม่เหมาะหรอก”
แววเดือนคิดตาม เสียงอ่อนลงแต่ยังเซ็งไม่หาย “ก็จริงของแกว่ะไอ้ลี เรามันต๊อกต๋อย ถึงนังเพียงฟ้ามันไม่ได้งานนี้ คุณปอแก้วก็ไม่มองพวกเราอยู่ดี”
ปลายอ้อมองแววเดือนกับเกวลีอย่างเห็นใจ ยังเดือนแทน
“นี่ถ้าฉันมีเงินตั้งค่ายเพลงของนะ ฉันจะปั้นพี่แววกับลีให้ดัง เอาให้คนที่มันมองจ๋อยไปเลย”
ปลายอ้อพูดจบโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นยุพา เลยกดรับ
“ฮัลโหล น้ายุ มีอะไรจ๊ะ อะไรนะ แม่เป็นอะไร”
ปลายอ้อตกใจสุดขีด รีบร้อนออกมาที่เรียกรถที่รอมถนนหน้าค่าย มองหารถแท็กซี่กับเกวลี
“ให้ฉันไปด้วยไหมอ้อ”
“ไม่ต้องหรอก ลีอยู่ที่นี่แหละ ฉันติดต่อพี่ทิ้งไมได้ ถ้าเขากลับมาฝากบอกด้วยนะว่าฉันไปเยี่ยมแม่”
เกวลีพยักหน้า ปลายอ้อออกไปที่ถนน กำลังจะโบกเรียกแท็กซี่ รถศุภกฤตแล่นมาจอดเทียบพอดี
ศุภกฤตลงมาหา “ปลายอ้อ จะไปไหน”
“แม่ฉันเข้าโรงพยาบาล ฉันต้องรีบไปดู”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
ปลายอ้อกำลังร้อนใจห่วงแม่มาก เลยไม่คิดเรื่องอื่น รีบขึ้นรถไป เกวลีกลับเข้าบ้านพักไป
บูรพาขับรถผ่านมาพอดี ทันเห็นศุภกฤตโอบหลังพาปลายอ้อขึ้นรถออกไปไกลๆ
“ปลายอ้อ”
บูรพามีสีหน้าไม่สบอารมณ์ หึงนิดๆ แล้วขับตามศุภกฤตไป
ในรถที่ศุภกฤตขับแล่นมาตามถนน มุ่งหน้าสู่ย่านชานเมือง ปลายอ้อกำลังกดโทรศัพท์หาบุญทิ้งอีก
“เกิดอะไรขึ้น คุณน้าป่วยเป็นอะไร”
“แม่ฉัน...” ปลายอ้อชะงักเหมือนไม่อยากจะเล่า แต่สุดท้ายก็พูดออกมา “แม่สภาพจิตใจไม่ค่อยปกติ เครียดง่าย น้าฉันโทร.มาบอกว่าวันนี้แม่ออกไปทำธุระนอกบ้าน แล้วอาการกำเริบขึ้นมา”
ปลายอ้อพูดเสียงเครือๆ ศุภกฤตมองอย่างเห็นใจ เอื้อมมือไปบีบมือ
“ถ้าตอนนี้ท่านอยู่โรงพยาบาลแล้ว ท่านคงไม่เป็นไรหรอก คุณอย่าเพิ่งกังวล
ปลายอ้อพยักหน้าอย่างขอบคุณ แต่สีหน้ายังวิตก พยายามโทร.หาบุญทิ้ง
ศุภกฤตจอดรถ แล้วรีบพาปลายอ้อเดินเข้าไปในโรงพยาบาล
บูรพาขับตามมามองเห็นจะร้องเรียก แต่รปภ.เป่านกหวีดไล่ให้ไปหาที่จอด เลยต้องขับเลยไปก่อน
ปลายอ้อกับศุภกฤตเข้ามาในโรงพยาบาล ปลายอ้อโทรศัพท์คุยกับยุพาเตรียมขึ้นไปที่ห้อง
บูรพาตามเข้ามา พยายามร้องเรียก แต่ไม่มีจังหวะ เพราะปลายอ้อคุยโทรศัพท์อยู่ บูรพาจะตามไป แต่ก็โดนรถเข็นคนป่วยขวางไว้ ปลายอ้อหายเข้าลิฟต์ไปแล้ว บูรพามองตามเซ็งๆ
“เธอมาเยี่ยมใครน่ะปลายอ้อ”
ปลายอ้อเปิดประตูห้องเข้ามา เห็นอัปสรนอนอยู่บนเตียง
“แม่”
ยุพาจุ๊ปากให้เงียบเพราะอัปสรหลับอยู่ ปลายอ้อไม่กล้าเสียงดัง รีบเข้าไปที่เตียง สีหน้าเป็นห่วง
“อาการแม่เป็นยังไงบ้างน้ายุ”
“หมอให้ยานอนหลับไป ตื่นขึ้นมาคงจะดีขึ้น แต่ตอนมานี่แกเอ๊ย น้าใจคอยไม่ดีเลยว่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับแม่”
“ร้านกาแฟแถวบ้านน้าเขาบอกว่า แม่แกไปสั่งโอเลี้ยง แล้วหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน พอเปิดไปได้หน้าเดียวก็ร้องกรี๊ดสุดลง เรียกหาแต่ชื่อแก ใครเข้าไปแตะเนื้อตัวก็ร้องกรี๊ดๆ แล้วก็เป็นลมไป”
“หนังสือพิมพ์เหรอ”
ปลายอ้อยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ศุภกฤตนึกได้
“คงเป็นข่าวของคุณ”
“อะไร ข่าวอะไร”
“ฉัน...ฉันต้องหยุดร้องเพลงไปอีกซักพักจ้ะน้ายุ เพราะเพิ่งโดนคนทำร้าย เพลงที่จะได้ออกก็เลยต้องแคนเซิลไป”
“ตายจริง มิน่าล่ะ พี่สรถึงได้ตกอกตกใจ” ยุพานึกได้ มองหน้าศุภกฤตงงๆ “แล้วนี่...เจ้านายแกเหรอ”
“ผมเป็นเพื่อนปลายอ้อครับ เคยเจอคุณน้าอัปสรตอนไปทำบุญที่วัด”
ยุพาพยักหน้ารับเอาคำ หันไปดูแลอัปสรต่อ
ศุภกฤตกับปลายอ้อออกมานั่งคุยนอกห้อง
“ฉันผิดเองที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแม่ ไม่อยากให้แกเป็นห่วง ไม่ทันคิดยังไงแกก็คงจะรู้เรื่องอยู่ดี”
“อย่าโทษตัวเองเลยปลายอ้อ คุณทำดีที่สุดแล้ว แต่บางครั้งโชคก็ไม่เข้าข้างเราแบบนี้แหละ”
“แต่ฉันคงเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด เพราะจะทำอะไรก็มีอุปสรรคตลอดเลย”
“แต่คุณก็ก้าวผ่านมันมาได้ตลอดไม่ใช่เหรอ ลองนึกดูสิ นี่มันก็แค่เรื่องขลุกขลักระหว่างทาง ผมเชื่อว่ามันจะจบลงด้วยดี พอแม่คุณตื่นขึ้นมาเห็นว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรมาก แกก็คงสบายใจขึ้น”
ศุภกฤตบีบมือปอแก้วให้กำลังใจยิ้มๆ ปลายอ้อเขินๆ
“ก็จริงของคุณ ยังไงก็ขอบใจนะที่ขับรถมาส่ง คุณจะกลับก่อนก็ได้ ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”
“ไม่เป็นไร ผมอยากอยู่จนกว่าคุณน้าอัปสรจะฟื้น”
เสียงเพลงจังหวะสุดมันส์ดังลั่นห้องซ้อม เจนนี่นำเพียงฟ้าเต้นอยู่ในนั้น เพียงฟ้าเต้นตามซักพักก็หยุดกระฟัดกระเฟียด
“พอๆๆ หยุดได้แล้ว”
“อะไรอีกล่ะ”
“ฉันไม่เอาท่าแบบนี้ หมุนไปหมุนมาเวียนหัว”
“ปลายอ้อมันก็เต้นแบบนี้”
เพียงฟ้าไม่พอใจ เสียงแข็งใส่ทันที “ก็ฉันไม่ใช่นังปลายอ้อ”
“ยอมรับล่ะสิว่าความสามารถตัวเองไม่ถึงเด็ก ถ้างั้นก็ไม่น่าจะเสนอหน้ามาร้องเพลงแทนมัน”
“นักร้องอย่างฉันเนี่ยนะความสามารถไม่ถึง ถ้าฉันไม่ถูกคุณปอแก้วลงโทษแต่แรก เด็กแกก็คงไม่มีปัญญาได้อาจเอื้อมไอ้งานร้องเพลงประกอบโฆษณานี่หรอก”
เจนนี่หมั่นไส้ “เก่งนักก็คิดท่าเอาแล้วกัน เพราะฉันต่อท่าไว้จนจบเพลงแล้ว ถ้าแกไม่ชอบอยากเต้นอะไรก็เชิญ จะเต้นท่ารูดเสาอย่างที่แกชอบก็ได้”
เจนนี่เดินหนีไป เพียงฟ้ารีบคว้าแขนไว้
“นี่มันหน้าที่ของแกนะนังเจนนี่”
“ฉันมีหน้าที่ออกแบบท่าเต้น แต่ถ้าแกไม่ชอบสไตล์ฉันก็ไปหาเอาใหม่”
เจนนี่สะบัดแขนจะออกห้องไป เพียงฟ้าฉุดกระชากไว้ไม่ยอม จนบูรพาเปิดประตูเข้ามาเพียงฟ้าฟ้องทันที
“เสี่ยคะ นังเจนนี่มันไม่ยอมช่วยฟ้าเต้นเพลงใหม่ เสี่ยหาครูสอนเต้นคนใหม่ให้ฟ้าแล้วก็ไล่มันออกไปเลยค่ะ”
เจนนี่มองตาเขียวปัด ทำปากขมุบขมิบ บูรพาไม่สนใจเพียงฟ้าหันไปคุยกับเจนนี่
“ออกมาคุยกับฉันหน่อย”
เจนนี่ตกใจหน้าจ๋อย รีบเดินตัวลีบตามไป เพียงฟ้ายิ้มสะใจ คิดว่าเจนนี่จะโดนไล่ออก
“สมน้ำหน้า”
เจนนี่เดินจ๋อยๆ ออกมาหน้าห้อง
“เสี่ยคะ คือเจนนี่ออกแบบท่าไว้หมดแล้ว แต่เพียงฟ้า...”
บูรพายกมือห้าม “ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น เมื่อตอนบ่ายๆ ปลายอ้อเขาออกไปข้างนอก รู้ไหมว่าไปไหน”
เจนนี่โล่งอก “อ๋อ แม่มันไม่สบายน่ะค่ะ พอได้รับโทรศัพท์จากญาติก็รีบร้อนไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าป่วยเป็นอะไร”
“รู้ไหมว่าแม่เขาชื่ออะไร คือ...ฉันจะไปเยี่ยมน่ะ”
“เอ่อ ไม่รู้ค่ะ ไอ้อ้อมันไม่เคยบอก แต่ถ้าเสี่ยอยากรู้ เดี๋ยวเจนนี่ถามให้ก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันรอคุยกับปลายอ้อเอง ขอบใจ”
บูรพาพูดจบก็เดินออกไป เพียงฟ้าเปิดประตูตามออกมาสมน้ำหน้า
“ฮึ โดนไล่ออกสิท่า สมน้ำหน้า”
“เปล่านี่ เสี่ยเขาเรียกฉันมาถามเรื่องไอ้อ้อน่ะ เห็นว่ามันไปโรงพยาบาล ก็เลยเป็นห่วง กลัวว่ามันจะเป็นอะไรไปอีก” เจนนี่ยิ้มเยาะ แกล้งถอนหายใจยาว “เฮ้อ ทั้งหวงทั้งห่วงยิ่งกว่าไข่ในหิน มิน่าล่ะ ฉันถึงได้กลิ่นอะไรเน่าๆ แถวนี้”
เจนนี่แกล้งทำเป็นเบ้ปาก จมูกฟุดฟิด โบกมือไล่กลิ่นเหม็นแล้วเดินนวยนาดจากไป เพียงฟ้าคุมแค้น ระแวงเสี่ยหนักขึ้นไปอีก
ด้านปอแก้วนั่งกินข้าวอยู่กับอภิวัชในร้านอาหารแห่งหนึ่ง สีหน้าดูเซ็งๆ
“ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดีนักหรอกที่ต้องทำแบบนี้ มันเหมือนสนับสนุนให้คุณพ่อให้ท้ายเพียงฟ้า แต่ถ้าไม่ทำก็ต้องเสียงานนี้ให้คู่แข่ง แต่พอตัดสินใจทำแบบนี้ไป ก็ไม่รู้ว่าศิลปินคนอื่นๆ จะมองฉันว่ายังไง
“คุณทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของบริษัท ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเองหรือพ่อคุณนี่นา”
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจฉันอย่างคุณหรอก” ปอแก้วถอนใจ “เบื่อเนาะ การต้องบริหารจิตใจคนอื่นไปพร้อมๆ กับบริหารธุรกิจเนี่ย”
“เบื่อจริงหรือเปล่า อาร์ทิสต้า ยังเปิดรับศิลปินคนใหม่อยู่นะ”
ปอแก้วมองค้อน อภิวัชแซวให้คนรักอารมณ์ดีขึ้น
“ที่จริงคุณน่าจะปล่อยงานนี้ไป แล้วให้ผมไปเสียบ แล้วคุณก็แอบมาร้องเพลงโฆษณาตัวนี้ซะเอง มาแต่เสียง ไม่ต้องเผยตัวก็ได้ ผมยินดียกค่าจ้างให้คุณหมดเลย”
ปอแก้วหัวเราะ “ทำขนาดนั้นก็มาร่วมกิจการกันเลยดีกว่าไหม”
“เอาป่ะล่ะ ผมก็รออยู่”
อภิวัชพูดส่งสายตาจริงจังขึ้น ปอแก้วเริ่มอึกอักอึดอัด ทำเป็นเสตักอาหารตรงหน้าให้ เบี่ยงความสนใจมาที่อาหาร
ที่ด้านหน้าร้าน ชัยยศ บอกอเว็บไซต์สตาร์เดลี่ เดินหาของกินผ่านมา มองเข้าไปในร้าน เห็นปอแก้วกำลังตักอาหารให้อภิวัช และอภิวัชตักให้ สองคนคุยกันกระหนุงกระหนิงก็หยุดชะงัก เลิกคิ้วนิ่งมองอย่างสนใจ
อีกฟาก ศุภกฤตนั่งอยู่หน้าห้องอัปสร ปลายอ้อออกไปซื้อของ รับสายจากชัยยศ
“ว่าไงครับเจ้านาย”
ชัยยศเดินหลบออกมาคุยโทรศัพท์ห่างๆ
“ไอ้กฤต นี่ฉันเห็นลูกสาวเสี่ยบูรพามากินข้าวกับเจ้าของค่าย อาร์ทิสต้า ว่ะ สงสัยจะเป็นแฟนกันเว้ย แต่จะป้อนข้าวกันถึงปากอยู่ละ”
“ก็ใช่แหละมั้ง”
ชัยยศแปลกใจ “อะไรวะ ทำไมแกไม่ดูแปลกใจเลย ฉันกะโทรมาส่งข่าวให้แกไปสืบต่อนะเนี่ย”
“ผมรู้แล้วว่าคุณปอแก้วกับคุณอภิวัชเขาเป็นแฟนกัน”
ปลายอ้อลงไปซื้อของใช้ส่วนตัวกลับขึ้นมาทันได้ยินพอดี ศุภกฤตลุกยืนหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ฮะ นี่แกรู้อยู่แล้ว ตั้งแต่เมื่อไร แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน เรื่องแบบนี้มันเป็นข่าวเด็ดเลยนะเว้ย”
“ผมรับปากคุณปอแก้วไว้ว่าจะไม่เล่นข่าวนี้ ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา”
“ทำไมแกไปรับปากส่งเดชไม่ปรึกษาฉันก่อน ฉันเป็นบก.ข่าวนะโว้ย ฉันมีน่าที่ตัดสินใจว่าข่าวไหนควรเล่น ข่าวไหนไม่ควรเล่น”
“เอาน่าพี่ ที่ผมทำก็แลกกับสัมพันธ์อันดีระหว่างเรากับเขา ไม่วุ่นวายกับคุณปอแก้วมากๆ ถ้าเขาโกรธแบนเราอีก ทีนี้พี่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรอีกเลยนะจะเอาเหรอ”
ศุภกฤตนิ่วหน้าเซ็งๆ ถูกชัยยศตะโกนด่ามาอีกสองสามคำเขายื่นโทรศัพท์ห่างตัวซักพักแล้วเอามาพูดต่อ
“ด่าจบแล้วใช่ไหมพี่ แค่นี้ก่อนนะ”
ศุภกฤตกดวางสาย ปลายอ้อยืนฟังสีหน้านิ่งขึงไม่พอใจเอาการ เพิ่งรู้ว่านี่คือเหตุผลที่ศุภกฤตไม่ยอมเล่นข่าวปอแก้ว ปรับอารมณ์ซักพักจึงเดินเข้าไปหา ทำไม่รู้ไม่ชี้
“ฉันซื้อแซนด์วิชมาฝาก เผื่อคุณหิว”
ศุภกฤตแกะห่อแซนด์วิช บุญทิ้งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“ไอ้อ้อ”
“พี่ทิ้ง ไปไหนมา ติดต่อไม่ได้เลย”
“ไปช่วยเขาเซ็ตเวทีที่รังสิตมา แบตหมด พอหาที่ชาร์จได้ถึงเห็นไลน์แก น้าสรเป็นไงบ้าง”
ปลายอ้อกำลังจะบอกว่าอัปสรหลับ แต่ยุพาเปิดประตูออกมาท่าทางดีใจ
“แม่แกตื่นแล้วไอ้อ้อ”
ปลายอ้อดีใจ รีบวางทุกอย่างแล้วรีบเข้าไปหาแม่ บุญทิ้งกับศุภกฤตตามไป
ปลายอ้อตรงเข้าไปหาอัปสรที่นอนลืมตาอยู่บนเตียง อัปสรเห็นปลายอ้อก็น้ำตาซึม
“อ้อ...”
“หนูอยู่นี่แล้วจ้ะแม่”
ปลายอ้อโผเข้ากอดแม่ อัปสรสะอื้นไห้ ประคองหน้าลูกสาวด้วยความสงสาร
“ทำไมไม่บอกแม่ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับแก”
“หนูไม่ได้เป็นอะไรมากจ้ะ”
“แต่แกก็ไม่ได้ร้องเพลงแล้ว แกร้องเพลงไม่ได้แล้วใช่ไหม บอกแม่มาตรงๆ”
อัปสรเสียงเข้มขึ้นเหมือนจะเกิดความเครียดขึ้นมาอีก ปลายอ้อส่ายหน้าปฏิเสธ บุญทิ้งเข้าไปช่วยพูด
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน้าสร ไอ้อ้อมันพักเส้นเสียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็หายแล้ว”
“จริงนะ”
อัปสรมีท่าทีระแวง ทั้งห่วงลูกและกลัวปลายอ้อจะหมดอนาคต แล้วทำให้การแก้แค้นล้มเหลว ปลายอ้อต้องพยักหน้ายืนยัน
“จริงจ้ะ ที่หนูไม่ได้บอกก็เพราะไม่อยากให้แม่กังวลใจ อีกไม่นานหนูจะกลับไปร้องเพลงเหมือนเดิม แม่ไม่ต้องห่วงนะ”
อัปสรถอนใจเหมือนโล่งอก ปลายอ้อสวมกอดแม่
ศุภกฤตเห็นท่าทีอัปสรแล้วนึกสงสารปอแก้ว เพราะรู้สึกว่าอัปสรดูหมกมุ่นเรื่องการเป็นนักร้องมากเหลือเกิน
“คืนนี้อ้อจะนอนเป็นเพื่อนแม่เอง น้ายุค่อยมาเปลี่ยนพรุ่งนี้เช้าก็ได้จ้ะ”
ยุพาพยักหน้า มองดูอัปสรอย่างเป็นห่วง
ปอแก้วจูงมืออภิวัชออกจากร้านอาหาร เดินเลือกซื้อของในห้างต่อ โดยไม่รู้ว่าถูกแอบถ่ายรูป
สองคนแวะเข้าร้านเสื้อผ้าผู้ชาย ปอแก้วหยิบเสื้อผ้ามาทาบตัวอภิวัช ช่วยเลือกให้ และถูกแอบถ่ายช็อตนี้ไว้อีก
ที่โรงหนังในห้างดังกล่าว อภิวัชซื้อตั๋วหนังเสร็จเดินกลับมาหาปอแก้วสองคนเดินเคียงกันเข้าโรงไป และถูกแอบถ่ายภาพไว้ได้อีก โดยฝีมือของชัยยศที่แอบสะกดรอยตามสองคนมา
กลับจากโรง’บาลศุภกฤตนั่งทำงานอยู่ ชัยยศเดินมาเอาแฟลชไดรฟ์ยัดใส่คอมพิวเตอร์ เปิดให้ศุภกฤตดู
“นี่มันรูปคุณปอแก้วนี่ อะไรเนี่ยพี่”
“ฉันไปตามถ่ายมาให้ไง แกเอาไปเขียนข่าวซะ เรื่องรักลับๆ ระหว่างสองค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ อ้อหรือจะเขียนทำนองว่าเขาจะรวบกิจการกันดี”
ศุภกฤตถอนใจเซ็ง “ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมเล่นข่าวนี้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา”
ชัยยศโมโห “โว้ย ในวงการนี้เรื่องส่วนตัวมีจริงที่ไหน ใครๆ ก็อยากเผือกทั้งนั้นแหละ”
“แต่พวกเขาไม่ใช่ดารานักร้องนะพี่”
“แต่ก็ดังพอที่คนจะอยากรู้แน่นอน แกไปอ่านตามเว็บบอร์ดสิ ตอนรายการ The Artist ออนแอร์ คุณอภิวัชนี่มีแฟนคลับของตัวเองด้วยซ้ำ”
ศุภกฤตนั่งเซ็ง จ้องดูรูปในจอคอมพิวเตอร์ แล้วโพล่งออกมา
“ผมทำไม่ได้ เพราะผมรับปากคุณปอแก้วไว้ว่าจะไม่ให้เรื่องนี้รู้จากผม”
ชัยยศเคือง พูดทีเล่นทีจริง “นี่แกกินเงินเดือนใครวะ ฉันหรือว่ายัยคุณปอแก้ว”
ศุภกฤตลุกพรวด “ถ้าพี่คิดว่าผมทำงานไม่คุ้มเงินเดือน ก็ไล่ผมออกแล้วกัน
ศุภกฤตลุกขึ้นเก็บของใส่กระเป๋าแล้วเดินออกไปทันที
“อ้าวเฮ้ย ไอ้กฤต เดี๋ยวก่อน”
ศุภกฤตเดินลิ่วไม่เหลียวหลัง ชัยยศส่ายหน้าอ่อนใจที่บังคับลูกน้องจอมอีโก้ไม่ได้
ด้านบุญทิ้งกลับจากโรง’บาลเดินผ่านมาทางหน้าบ้านพักสาวๆ เห็นเกวลีนั่งรออยู่และรีบออกจากบ้านมาดัก
“บุญทิ้ง”
“อ้าว ยายแหนม ออกมาทำอะไรค่ำๆ มืดๆ”
“ก็มารอฟังข่าวนี่แหละ อ้อล่ะ”
“มันนอนเฝ้าแม่ พรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับ”
“แล้วแม่ปลายอ้อเป็นอะไร”
บุญทิ้งชั่งใจว่าจะเล่าดีไหม แล้วทำเป็นบ่ายเบี่ยง
“ฉันหิวข้าวอะ ทำอะไรให้กินหน่อยสิเดี๋ยวเล่าให้ฟัง”
บุญทิ้งนั่งกินข้าวที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน พลางเล่าคร่าวๆ ไม่อยากให้เกวลีรู้เรื่องปลายอ้อมากเกินไป
“น้าสรแกปลุกปั้นไอ้อ้อมาตั้งแต่เล็กๆ อยากให้เป็นนักร้อง เพราะเป็นความใฝ่ฝันที่แกทำไม่สำเร็จ พอไอ้อ้อเซ็นสัญญาเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ก็เลยดีใจมาก คิดว่าฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่แกเพิ่งรู้ข่าวว่าไอ้อ้อโดนทำร้ายจนต้องหยุดร้องเพลงก็เลยตกใจ”
“เห็นปลายอ้อบอกว่าแม่ช็อก ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ แต่อ้อมันอยากใช้เวลาอยู่กับแม่เยอะๆ หน่อย น้าสรแกก็คงคิดถึงลูกด้วยแหละ”
“ฉันอยากไปเยี่ยมจังบุญทิ้ง พาไปหน่อยสิ”
“ได้สิ น้าสรแกคงอยู่อีกหลายวัน เดี๋ยวว่างๆ ฉันจะพาไป เอาแหนมไปเป็นของเยี่ยมด้วยนะ เขาติดใจกัน”
เกวลีหูผึ่ง “แม่อ้อเคยชิมแหนมฉันด้วยเหรอ”
บุญทิ้งชะงัก เพิ่งนึกได้ว่าหลุดปากไปแล้ว เกวลีไม่เคยรู้ว่าตัวเองแอบสั่งแหนมไปส่งที่บ้น
“อ๋อ เอ่อ ไอ้อ้อมันเคยซื้อไปฝากน่ะ เห็นชอบกันใหญ่ ไอ้นี่อร่อยดี มีอีกไหม ขอเติม หน่อยสิ”
บุญทิ้งตัดบทหันไปกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย เกวลีมองเอ็นดู ลุกไปหยิบกับข้าวมาเพิ่ม
ส่วนปลายอ้อปรับเตียงนอนให้แม่ ห่มผ้าให้
“ยังเจ็บที่คออยู่ไหมลูก”
ปลายอ้อเอามือแตะคอเบาๆ แล้วส่ายหน้า
“ไม่แล้วจ้ะ แต่ว่าเส้นเสียงยังอักเสบอยู่ หมอไม่ให้ใช้เสียงดัง”
“แม่คิดผิดหรือเปล่าที่ผลักให้แกไปเจอเรื่องร้ายๆ ที่นั่น”
“ไม่ใช่ความผิดของแม่หรอกจ้ะ หนูผิดเองที่ไม่ได้ระวังตัว รู้ทั้งรู้ว่าคนอย่างเพียงฟ้าทำได้ทุกอย่าง”
อัปสรมีสีหน้าครุ่นคิด แล้วพูดขึ้น
“ทำไมสงสัยแต่เพียงฟ้าล่ะ”
“ก็มันเกลียดที่หนูไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่น”
อัปสรไม่เห็นด้วย “แต่แม่ว่ามันโจ่งแจ้งไปหน่อย ถ้าเพียงฟ้าเป็นคนทำ ยังไงมันก็ไม่พ้นเป็นผู้ต้องสงสัย อาจจะมีใครใช้มันเป็นเครื่องมือก็ได้”
“แม่หมายความว่าไงจ๊ะ”
“นอกจากเพียงฟ้า ใครล่ะที่ไม่อยากให้อ้อทำเพลงมากที่สุด”
ปลายอ้อเริ่มเอะใจ อัปสรพูดต่อ
“ใครล่ะที่พยายามกีดกันแกไม่ให้เข้ามาเป็นนักร้องที่นั่น ถ้าสมมุติว่าทุกอย่างเป็นแผนของมันที่จะทำลายอนาคตของแก”
ปลายอ้อเหวอ เมื่อรู้ว่าอัปสรคิดอะไรอยู่
“แม่หมายถึงปอแก้วเหรอจ๊ะ”
เช้าวันต่อมา ปลายอ้อลงจากรถหน้าค่าย เดินเข้ามาในตึกบูรพาซาวด์ ครุ่นคิดคาใจเรื่องที่อัปสรพูด
“นอกจากเพียงฟ้า ใครล่ะที่ไม่อยากให้อ้อทำเพลงมากที่สุด” และ “ใครล่ะที่พยายามกีดกันแกไม่ให้เข้ามาเป็นนักร้องที่นั่น ถ้าสมมุติว่าทุกอย่างเป็นแผนของมันที่จะทำลายอนาคตของแก”
ปลายอ้อยังไม่อยากเชื่อตามที่อัปสรสงสัย พยายามไล่ความคิดทิ้งไป แล้วสะดุ้งสุดเสียง เพราะได้ยินเสียงบีบแตรรถจากด้านหลัง
เพียงฟ้าขับรถเข้ามาแทรกจอดแถวนั้น แล้วลงจากรถมาหาเรื่อง
“เดินใจลอยเดี๋ยวก็โดนรถชนอีกรอบหรอก”
ปลายอ้อเซ็ง “ถ้าคุณกล้าชนฉันอีกทีก็เอาสิคะ จะได้โดนแบนอีกรอบ แต่ไม่เสียดายงานร้องเพลงโฆษณาที่คุณแย่งไปจากฉันเหรอ”
เพียงฟ้าหัวเราะเยาะ “ต๊าย พูดออกมาได้ยังไงว่าฉันแย่งงานแก นักร้องระดับฉันไม่ลดตัวไปแย่งงานกับพวกโนเนมอย่างแกหรอกย่ะ ที่ฉันต้องมารับงานนี้แทนแกก็เพราะคุณปอแก้วขอมาต่างหาก”
ปลายอ้ออึ้งไป เพียงฟ้ายิ้มเยาะ
“ใจจริงคุณปอแก้วคงจะรู้อยู่แล้ว ว่าระหว่างให้ฉันกับนักร้องโนเนมอย่างแกร้องเพลงประกอบโฆษณา ใครมันจะเรียกกระแสได้ดีกว่า แต่เผอิญฉันโดนลงโทษอยู่ ส้มมันถึงหล่นใส่แก”
“คุณนี่ไม่เคยคิดจะโทษตัวเองเลยสินะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะความซวยทุกอย่างในชีวิตฉันเกิดขึ้นตั้งแต่แกเข้ามาไงนังปลายอ้อ”
เพียงฟ้าพูดจบก็เดินเชิ่ดผ่านหน้าไป แล้วนึกได้หันกลับมา
“อ้อ บ่ายนี้ฉันมีนัดสัมภาษณ์เรื่องเพลงโฆษณา ขอยืมสคริปต์ที่ทีมงานเขียนให้แกไปใช้หน่อยนะ ไหนๆ ก็เตรียมไว้แล้ว”
เพียงฟ้ายิ้มสะใจแล้วเดินขึ้นตึกไป
ในขณะที่ปอแก้วนั่งทำงานอยู่ ต้องเงยหน้ามองเมื่อเห็นปลายอ้อเปิดประตูเข้ามา
“เธอมีธุระอะไร”
“ตอนที่ฉันเสนอให้คุณเอาเกวลีไปร้องเพลงแทนฉัน คุณบอกว่านักร้องไม่ใช่สินค้าที่จะมาทดแทนกันได้ แต่สุดท้ายคุณก็ยอมอ่อนข้อ ไปเรียกเพียงฟ้าที่ควรจะโดนพักงานกลับมาร้องเพลง”
ปอแก้วถอนใจเอือมๆ รู้แล้วว่าต้องโดนมองแบบนี้ แต่พยายามใจเย็น
“ฉันคิดว่าฉันพูดกับเธอเข้าใจแล้วว่าคาแรกเตอร์ของเธอกับเกวลีไม่เหมือนกัน ถึงได้แทนกันไม่ได้”
“แล้วเพียงฟ้ากับฉันเหมือนกันเหรอคะ”
“อย่างน้อยเขาก็มีชื่อเสียงแล้ว”
“ฮึ คุณแถหาเหตุผลไปเรื่อย”
ปอแก้วผุดลุกขึ้น เริ่มทนไม่ไหว
“ปลายอ้อ ฉันเป็นผู้บริหาร การตัดสินใดๆ ของฉันให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของบริษัทเป็นหลัก เธอไม่ควรจะเอาความคิดตื้นๆ ของเธอมาตัดสินฉัน”
“งั้นฉันขอกลับมารับงานนี้เอง คุณไม่จำเป็นต้องเอาคนอื่นมาแทน” ปลายอ้อเน้นคำตอนท้าย “เพราะฉันก็อยากทำเพื่อผลประโยชน์บริษัทเหมือนกัน”
“ปลายอ้อ...” ปอแก้วปราม
“ฉันร้องได้ ฉันจะทำให้คุณเห็น”
“แต่หมอต้องการให้เธอหยุดพัก อยากจะทำลายอนาคตตัวเองให้ร้องเพลงไม่ได้ตลอดไปหรือไง”
“แปลกดีนะ ที่คุณเกิดจะนึกห่วงอนาคตของฉันขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้คุณกีดกันไม่ให้ฉันเป็นนักร้องมาตลอดเลย”
ปลายอ้อมองปอแก้วครุ่นคิด แล้วแค่นยิ้มออกมา
“หรือว่าคิดมุกใหม่สกัดดาวรุ่งฉันได้แล้ว ก็ตอนนี้ก็เลยต้องสร้างภาพไปก่อน เดี๋ยวไม่เนียน”
ปอแก้วย้อนถามเสียงเข้ม “เธอพูดอะไร”
“ตอนที่ฉันถูกทำร้าย ฉันได้ยินพวกคนร้ายคุยกันว่าไม่ได้อยากฆ่าฉัน แค่อยากทำให้ฉันร้องเพลงไม่ได้ ถ้าเป็นเพียงฟ้า เขาคงอยากฆ่าฉันให้ตายมากกว่า จะได้หมดเสี้ยนหนาม แต่คนที่หวังแค่ทำลายอนาคตฉัน คงมีแค่ไม่กี่คน”
ปอแก้วฉุน “นี่เธอกำลังสงสัยฉันเหรอ”
“ฉันบอกว่ามีอยู่ไม่กี่คน ไม่ได้บอกว่าใคร อย่าเพิ่งร้อนตัวสิคะ”
ปลายอ้อพูดจบก็สะบัดหน้าลุกออกจากห้องไป ปอแก้วกำมือแน่นเจ็บใจ
“เธอมันเนรคุณ ปลายอ้อ”
ปลายอ้อกลับมาที่บ้านพัก เจอเสี่ยบูรพามาดักรออยู่
“เสี่ย”
“แม่หายดีแล้วเหรอปลายอ้อ”
ปลายอ้อหนาวๆ ร้อนๆ ฝืนยิ้ม
“ยังค่ะ เสี่ยรู้ได้ยังไงคะ”
“เมื่อวานฉันเห็นเธอที่โรงพยาบาล พยายามจะเรียกแต่เธอคงไม่ได้ยิน พอกลับมาก็เลยถามเจนนี่ ถึงได้รู้ว่าแม่เธอไม่สบาย”
ปลายอ้อตัวเกร็ง เริ่มกังวลกลัวถูกบูรพาสอบสวน
“ฉันนึกว่าแม่เธออยู่ต่างจังหวัดเสียอีก”
ปลายอ้อยิ้มกลบเกลื่อน “แม่เพิ่งลงมากรุงเทพฯ น่ะค่ะ แกป่วยพอดี ญาติที่พักอยู่ด้วยก็เลยโทร.มาบอกอ้อให้ไปดู แต่ไม่เป็นไรอะไรมาก”
“เธอจะไปเยี่ยมแม่เมื่อไร ฉันอยากไปด้วย”
ปลายอ้อทำเป็นเกรงใจ “เอ่อ ไม่รบกวนเสี่ยดีกว่าค่ะ”
บูรพาหัวเราะ “รบกวนอะไรกัน ฉันเคยบอกแล้วไงว่าอยากไปทำความรู้จักกันไว้ เอาลูกสาวเขามาดูแล ไม่เคยพบกันเลยมันน่าเกลียด”
“ถ้างั้นรอให้แม่แข็งแรง กลับไปอยู่บ้านก่อนดีกว่านะคะ ช่วงนี้แม่ยังต้อพักผ่อนเยอะ อ้อกลัวว่าเสี่ยไปแล้วจะไม่มีโอกาสได้พบ”
“งั้นก็ได้ ฉันจะรอวันที่ได้พบแม่เธอนะ”
ปลายอ้อกลบเกลื่อนหลบสายตา แอบโล่งใจที่เอาตัวรอดไปได้เปลาะหนึ่ง
อัปสรนั่งกินอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้บนเตียง หยิบรีโมททีวีมากดดูข่าวช่อง8 แล้วหยุดชะงักเมื่อเห็นรายการข่าวกำลังสัมภาษณ์เพียงฟ้าพอดี
“สำหรับผลงานชิ้นใหม่ของคุณเพียงฟ้า ถือว่าเป็นการแย่งงานจากศิลปินร่วมค่ายไหมคะ”
“อุ๊ย ไม่นะคะ เท่าที่ทราบทางผู้ใหญ่ เอ่อ หมายถึงเสี่ยกับคุณปอแก้วผู้บริหารได้คุยกับศิลปินท่านนั้นแล้วว่าต้องเปลี่ยนตัว เพราะว่าเขายังไม่พร้อม คงไม่เรียกว่าเป็นการแย่งงานหรอกค่ะ”
อัปสรมองเพียงฟ้าอย่างหมั่นไส้ มือกำช้อนส้อมแน่น
“ใจจริงฟ้าก็อยากน้องเขาได้มีโอกาสได้ทำงานนี้ ฟ้าก็พยายามบอกให้ทางค่ายรอน้องก่อน แต่ทางผู้ใหญ่กลัวว่าจะเข้าห้องอัดไม่ทัน ก็เลยอยากให้ฟ้าเข้ามาทำเพลงแทน งานจะได้เดินต่อไปได้น่ะค่ะ”
อัปสรเครียดขึ้นมาอีกเพราะเห็นเพียงฟ้ายิ้มระรื้น ปาช้อนในมือไปที่ทีวี แต่ไม่โดน
“พวกแกรวมหัวกัน พยายามทำลายอนาคตลูกฉัน อีพวกสารเลว”
อัปสรยกจานข้าวปาไปที่ทีวีอีก เสียงดังเคล้ง ยุพาเปิดประตูเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“พี่สร ทำอะไรน่ะ”
อัปสรร้องกรี๊ดๆ ปัดจานข้าวขว้างปาข้าวของ ยุพาเข้าไปห้าม
โลกกลมอะไรเบอร์นี้ พรทิพย์เปิดประตูออกมาจากห้องคนไข้ชั้นเดียวกัน มีญาติคนในห้องเดินออกมาส่ง
“บอกคุณพ่อด้วยว่าหายไวๆ แล้วน้าจะแวะไปเยี่ยมที่บ้านนะจ๊ะ”
พรทิพย์รับไหว้ญาติคนไข้แล้วเดินผ่านมา ได้ยินเสียงกรี๊ดๆๆ ดังมาจากห้องอัปสร พร้อมกับพยาบาลวิ่งกรูกันเข้าไป
พรทิพย์แปลกใจเดินไปถึงหน้าห้อง หยุดมอง เห็นพยาบาลเข้าไปช่วยยุพายื้อยุดฉุดกระชากกับอัปสร
“พอแล้วพี่สร ใจเย็นๆ”
“ฉันเกลียดพวกมัน ฉันจะฆ่ามัน”
อัปสรดีดดิ้นร้องกรี๊ดๆ คุ้มคลั่ง พรทิพย์ยืนมองอยู่ไกลๆ จังหวะหนึ่งเห็นอัปสรผินหน้ามาทางนี้พอดี ก็ตกใจ ภาพอัปสรที่เจอกันตอนคอนเสิร์ต ผุดซ้อนตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว
อัปสรไม่รู้ตัวว่าพรทิพย์เห็นหน้าตัวเองเพราะกำลังคลั่ง พยาบาลหันมาเห็นพรทิพย์มองอยู่ก็รีบปิดประตู ปล่อยให้พรทิพย์ยืนอึ้งอยู่หน้าห้อง ไม่รู้ว่าอัปสรเป็นอะไรไป
พรทิพย์นั่งกินข้าวมื้อเย็นกับบูรพาสองคน สีหน้าพรทิพย์ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“คุณคะ นอกจากเพ็ญแล้ว ได้ข่าวคนเก่าๆ ของค่ายที่แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปบ้างไหมคะ ว่าเขาไปเป็นตายร้ายดีกันอยู่ที่ไหนบ้าง”
“ใครมันจะส่งจดหมายกลับมารายงานล่ะ ลาออกแล้วก็ออกไปหมด มีแต่ยัยเพ็ญนี่แหละที่วนเวียนเพราะไม่มีที่จะไป”
“น่าเสียดายนะคะ เผื่อบางคนลำบาก เราจะได้ช่วยเหลือบ้าง”
“นึกถึงยังไงถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
พรทิพย์มองบูรพาอย่างชั่งใจ ก่อนจะยอมบอก
“วันนี้ตอนฉันไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล ฉันว่าฉันพบอัปสร”
บูรพาชะงัก เงียบไปดื้อๆ จนพรทิพย์ต้องพูดย้ำ
“อัปสรที่เป็นเมียของเผ่าพงศ์น่ะค่ะ”
“ฮึ เธอตาฝาดหรือเปล่า เขาหายสาบสูญไปจากวงตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว แน่ใจเหรอว่าจำได้”
“จำได้สิคะ เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเจอเขา ตอนวันคอนเสิร์ตที่ลานเทวา เขาก็มาที่นั่น”
บูรพาไม่เชื่อ “เหลวไหล อัปสรป่านนี้คงมีลูกมีผัวใหม่ไปแล้ว จะกลับมาที่นี่ทำไมอีก”
“เขาอาจจะอยากกลับมาคุยกับคุณเรื่องสามีของเขาก็ได้”
บูรพาวางช้อนเคร้งอย่างไม่สบอารมณ์เอามากๆ
“คุณนี่มันหาเรื่องทำให้ผมหมดอารมณ์ได้เก่งจริงๆ ที่สองคนนั้นเลิกกัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมซักนิด แล้วเขาจะมาคุยอะไรกับผม”
บูรพาทำเสียงดังกลบเกลื่อนจนพรทิพย์ไม่กล้าถามต่อ
ตอนค่ำ พรทิพย์หยิบอัลบั้มรูปเก่าๆ ในตู้ออกมาเปิดดู เห็นภาพเก่าๆ สมัยพรทิพย์ยังสาว มีทั้งภาพตัวเองกับปอแก้วสมัยเด็กๆ ภาพตอนแต่งงาน เปิดย้อนไปเรื่อยๆ จนเห็นภาพที่ตัวเองถ่ายรูปพร้อมหน้ากับ 3 เทพขนนก มีอัปสรอยู่ในรูปด้วย ยืนอยู่ข้างๆ เผ่าพงศ์
พรทิพย์มองดูอัปสรนิ่งๆ อย่างแน่ใจว่าคนที่ตัวเองเห็นวันนี้คืออัปสรไม่ผิดตัว ปอแก้วเปิดประตูเข้ามา
“แก้ว ทานข้าวมาหรือยังลูก”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ นี่คุณแม่ทำอะไรอยู่คะ”
“วันนี้แม่ไปเยี่ยมเพื่อนที่เก่ามา ก็เลยหยิบรูปเก่าๆ มานั่งดู รำลึกความหลังตามประสาคนแก่น่ะ”
ปอแก้วมองดูรูปที่พรทิพย์เปิดค้างอยู่ สะดุดตา
“นี่มันรูปสมัยคุณพ่อเปิดค่ายเพลงนี่คะ”
“ใช่จ้ะ ถ่ายวันทำบุญเปิดตึกใหม่”
“นี่คือเผ่าพงศ์ จงขจร ส่วนนี้คงจะเป็นครูมนต์รัช” สายตาปอแก้วหยุดที่ภาพอัปสร “แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะ สวยจัง”
“เขาชื่ออัปสร เป็นคนรักของเผ่าพงศ์น่ะลูก”
ปอแก้วมองภาพอัปสรอย่างสะดุดตา เหมือนมีเยื่อใยบางๆ สื่อถึงกันอยู่
ภาพอัปสรในรูป ดูสงบเสงี่ยมอ่อนหวานสวยงามมากๆ
เมื่อ 25 ปีก่อน บูรพาพาเผ่าพงศ์ มนต์รัช อัปสรหิ้วกระเป๋าเข้าบ้าน
“ตามสบายนะ คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของทุกคน” เห็นพรทิพย์เดินออกมาต้อนรับสีหน้ายิ้มแย้ม “นี่พรทิพย์ เมียฉันเอง”
บูรพาเข้าไปโอบกอดเมีย ท่าทางรักใคร่
“ผมไม่นึกเลยว่าบ้านเสี่ยจะใหญ่โตขนาดนี้” มนต์รัชว่า
“บ้านฉันที่ไหนกันเล่า ของเมียฉันทั้งนั้นแหละ” บูรพาหัวเราะ
“ยินดีต้อนรับทุกคนนะคะ ฉันให้เด็กจัดห้องพักให้เรียบร้อยแล้ว”
“ขอบคุณครับ เอ่อ...” เผ่าพงศ์หันไปหาอัปสร “นี่อัปสร คนรักของผม คงต้องรบกวนฝากเนื้อฝากตัวกับคุณพรทิพย์ด้วย”
อัปสรยกมือไหว้อย่างนอบน้อม พรทิพย์รับไหว้แทบไม่ทัน
“ไม่ต้องไหว้หรอกค่ะ เราน่าจะรุ่นเดียวกัน ดีแล้วที่คุณเผ่าพาแฟนมาด้วย ฉันจะได้มีเพื่อนคุยไม่เหงาปาก”
“พวกเราคงไม่รบกวนนาน จะรีบขยับขยายหาที่อยู่โดยเร็วที่สุดครับ”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยว่ากัน ไปๆ ขึ้นไปดูห้องหับกันก่อน”
บูรพานำทุกคนขึ้นบ้าน เห็นพรทิพย์โอบเอวอัปสร ชวนคุยกันอย่างสนิทสนม
อีกวัน พรทิพย์เดินเข้ามาในครัว เห็นอัปสรกำลังง่วนทำอาหารอยู่
“อัปสร บอกแล้วไงว่าเรื่องอาหารการกินไม่ต้องทำเลย ปล่อยให้แม่ครัวเขาจัดการก็ได้”
“ฉันอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำน่ะค่ะ ก็เลยอยากเตรียมอาหารค่ำให้พี่เผ่า พี่มนต์รัช แล้วเผื่อคุณพรทิพย์กับเสี่ยจะอยากทานบ้าง”
พรทิพย์ชะโงกมอง “อะไรจ๊ะเนี่ย”
“ข้าวแผะค่ะ อาหารโคราชแท้ๆ คล้ายๆ ข้าวต้ม พี่เผ่าแกชอบกิน”
“น่าสนใจนะ ทำยังไง สอนฉันบ้างสิ”
“ได้ค่ะ”
อัปสรขยับให้พรทิพย์เข้ามาดูใกล้ๆ เห็นอัปสรชี้ให้ดูวัตถุดิบ ทำข้าวแผะ ซึ่งคล้ายๆ ข้าวต้มทั่วไป แต่ใส่ผักหลายสี ใส่เนื้อหมู พริกแกง และน้ำปลาร้า อัปสรมองดูและฟังอย่างสนใจ สองคนคุยกันกระหนุงกระหนิงตามประสาผู้หญิง
บูรพาชิมอาหารที่อัปสรทำอย่างพอใจ เผ่าพงศ์มองลุ้นๆ
“อร่อยไหมครับเสี่ย”
“อร่อยมากกกก เมียนายนี่เก่งหลายอย่างนะเผ่า ร้องเพลงก็ได้ ทำอาหารก็อร่อย เพียบพร้อมจริงๆ”
บูรพาพูดพลางส่งสายตาหวานให้อัปสร พรทิพย์เริ่มรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีบูรพา
อัปสรรีบออกตัว ยังไม่ได้คิดอะไร “ฉันไม่ได้ทำคนเดียวหรอกค่ะ คุณพรทิพย์ก็ช่วยด้วย”
บูรพาหันไปหาพรทิพย์พูดสัพยอก “คุณคงต้องฝึกลงครัวกับอัปสรบ่อยๆ แล้วล่ะ ถ้าทำได้ขนาดนี้ รับรองผมจะไม่ไปฝากท้องที่ไหนเลย”
บูรพาหัวเราะ แต่มองอัปสรไม่วางตา พรทิพย์ยิ้มรับ สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ
หลายเดือนต่อมา พรทิพย์พักผ่อนอยู่ที่บ้าน มีเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น พรทิพย์เดินไปรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
เสียงแสงโสม ดังมาจากปลายสาย “คุณพี่น่าจะมาที่งานคอนเสิร์ตคืนนี้นะคะ”
พรทิพย์คุยสายท่าทีเหนื่อยหน่าย “มีอะไรเหรอแสงโสม”
แสงโสมคุยโทรศัพท์มือถืออยู่มุมหลังเวที หรือที่ใดๆ ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ
“ก็คุณพี่บูรพาน่ะสิค่ะ อยู่ๆ ก็แว่บออกไปกับนังนั่น นักร้องของเรายังไม่ทันขึ้นเวทีเลย”
“เธอพูดถึงใคร”
“ก็เมียเผ่าพงศ์ไงคะ เห็นจ้องกันตาเป็นมันมาตั้งนานแล้ว อย่าบอกนะคะว่าคุณพี่ดูไม่ออก”
พรทิพย์ถือโทรศัพท์ค้าง หน้าเครียดจัด
บูรพาขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน เห็นอัปสรนั่งคอพับคออ่อนอยู่บนที่นั่งข้างๆ บูรพาเปิดประตูลงไป จะพาตัวอัปสรที่คอพับคออ่อนขึ้นมา อัปสรตกใจตื่น ทำท่าขัดขืน
พรทิพย์เดินมาหา ถามเสียงขุ่น “อัปสรเป็นอะไรไปเหรอคะ”
“ไม่สบายน่ะ ผมก็เลยต้องพากลับมาส่งที่บ้านก่อน”
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าอัปสร”
พรทิพย์ทอดสายตามองอัปสรอย่างระแวง อัปสรจับได้ว่าพรทิพย์เริ่มออกอาการหึงตน
“หน้ามืดนิดหน่อย แต่ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ”
“งั้นคงเดินไปนอนไหวนะ คงไม่ต้องให้คนอื่นอุ้มละมั้ง”
อัปสรชะงัก มองหน้าพรทิพย์ เห็นสายตาไม่เป็นมิตรเหมือนเคย รีบก้มหน้ารับคำ
“ค่ะ ฉันขอตัวนะคะ”
อัปสรเดินตัวลีบโซเซจากไป พรทิพย์หันมามองหน้าบูรพาอย่างรู้เท่าทัน
ทันทีที่เข้าห้องนอนมา บูรพาก็โวยวายใส่พรทิพย์
“คุณนี่มันไร้สาระ หึงอะไรไม่เข้าท่า ใครมาฟ้องอีกล่ะ แสงโสมอีกล่ะสิ มันน่าไล่ออกนัก”
“เขาทำตามหน้าที่ที่ฉันสั่งให้ทำ”
“ตกลงคุณจ้างเขาไว้สอดแนมผมเหรอ”
“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เพราะฉันไม่อยากเป็นเมียหูหนวกตาบอด ขนาดอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ฉันยังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่”
เสียงเดือดดาลของพรทิพย์ดังลอดออกมานอกห้อง
วันต่อมา เผ่าพงศ์นั่งคุยกับพรทิพย์ ท่าทางสงบเสงี่ยม
“ผมกับอัปสรคุยกันว่าจะย้ายไปเช่าบ้านพักใกล้ๆ บูรพาซาวด์ครับคุณพรทิพย์ แล้วบ้านศิลปินสร้างเสร็จเมื่อไรค่อยย้ายเข้าไป”
อัปสรเหลือบมองพรทิพย์ เห็นพรทิพย์ออกอาการเย็นชา เลยพูดออกตัว
“เอ่อ ฉันเห็นว่าบางคืนพี่เผ่าร้องเพลงเลิกดึกน่ะค่ะ เกรงว่าจะเป็นการรบกวน อีกอย่างมันจะได้ประหยัดเวลาเดินทางตอนไปทำงานที่ค่ายด้วย”
“ก็เอาตามที่เห็นสมควรแล้วกันค่ะ ฉันไม่ได้มีอะไรขัดข้อง”
พรทิพย์ตอบอย่างเย็นชาแล้วลุกหนีไป อัปสรเสียใจ และเสียดายมิตรภาพที่เคยมีให้กัน
พรทิพย์ดึงความคิดออกมาจากความหลัง ยังรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
“คุณแม่กับเขาเคยเกือบจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ต้องมาผิดใจกันเพราะคุณพ่อแท้ๆ”
“แม่เองก็ผิด ที่ใจเร็วและหูเบา น้าโสมมายุแยงอะไรก็เชื่อไปหมด แต่พฤติกรรมคุณพ่อช่วงก็ทำให้แม่อดระแวงไม่ได้”
ปอแก้วเหลือบมองรูปอัปสร รู้สึกสงสารผู้หญิงคนนี้โดยประหลาด ทั้งที่ไม่เคยพบหน้ากันเลยซักครั้ง
“แล้วหลังจากที่เผ่าพงศ์กับแฟนแยกออกไปอยู่ด้วยกัน ทำไมสุดท้ายเขาไม่ได้แต่งงานกันล่ะค่ะ”
“ก็ตามสมัยแหละลูก เป็นนักร้องดัง จะเปิดตัวว่ามีครอบครัวไม่ได้เด็ดขาด แม่ว่าถึงจุดนึงอัปสรเขาคงทนไม่ไหว ก็เลยบอกเลิก เรื่องนี้แม่ก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง มาได้ยินจากน้าโสมอีกทีก็ตอนที่อัปสรหนีออกไปจากค่ายแล้ว”
“มันเกี่ยวกับการที่เผ่าพงศ์ไปติดแม่ยกแฟนเพลงหรือเปล่าค่ะ อย่างที่ข่าวเขาว่า”
พรทิพย์นิ่งคิด แล้วถอนใจออกมา
“เอาจริงๆ นะแก้ว แม่ยังนึกไม่ออกเลยว่าเผ่าพงศ์เขาจะเป็นคนแบบนั้นไปได้ยังไง เท่าที่รู้จักกันมา เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ แล้วก็รักอัปสรมาก แม่ก็ไม่รู้ว่าพ่อของหนูไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน”
คืนเดียวกัน ศุภกฤตเดินมาที่คอนโด แวะเปิดตู้ล็อกเกอร์หยิบจดหมายเอกสารต่างๆ เห็นใบรับพัสดุ
“มีพัสดุมาถึงผมใช่ไหม” เขาส่งกระดาษให้
“อ๋อ นี่ค่ะ”
พนักงานยื่นห่อกระดาษให้ ศุภกฤตรับมา แล้วท่าทางตื่นเต้น เดินไปนั่งที่โซฟา แล้วเปิดดู เห็นหนังสือดาราเล่มเก่าๆ เมื่อ 20 ปีก่อน ยุคเผ่าพงศ์ กำลังโด่งดัง
ศุภกฤตเอาขึ้นมาอ่านต่อบนห้อง เปิดดูข่าวแวดวงลูกทุ่ง เอามาร์กเกอร์ขีดไว้ บางอันก็จดเป็นบันทึก บนโต๊ะทำงานมีหนังสือเก่าภาพถ่ายและข่าวเกี่ยวกับเผ่าพงศ์วางอยู่
ส่วนที่โรงพยาบาล ปลายอ้อประคองแม่ป้อนให้กินยา
“กินหน่อยนะจ๊ะ จะได้ไม่ปวดหัว”
อัปสรรู้สึกผิด “แม่ขอโทษนะที่ทำให้อ้อต้องพะวักพะวน”
“ไม่เลยจ้ะแม่ หนูดีใจเสียอีกที่ได้มาค้างกับแม่ เราไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย ถ้าเป็นไปได้ หนูอยากจะเอาแม่ไปอยู่ที่บ้านพักศิลปินด้วยกันด้วยซ้ำ”
อัปสรสีหน้าขรึมลง พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
“แม่ไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกหรอก”
“งั้นแม่ก็ต้องทำใจให้สบาย อย่าคิดอะไรที่จะทำให้ตัวเองเครียดอีก หนูร้องเพลงให้แม่ฟังดีไหมจ๊ะ เอาเพลงที่หนูไปฝึกร้องมานี่แหละ ถึงจะไม่มีโอกาสได้เข้าห้องอัด อย่างน้อยก็ให้แม่ได้ฟัง”
อัปสรยิ้มๆ ขณะที่ปลายอ้อหยิบมือถือมาเปิดไล่หาแบ็คกิ้งแทร็ก แล้วเผลอกดไปโดนคลิปวิดีโอของปอแก้ว
“นี่คลิปอะไรหรือลูก”
“อ๋อ” ปลายอ้อเบะปาก “ของยัยปอแก้วน่ะแม่ คลิปมันกับแฟน ที่เป็นเจ้าของค่ายอาร์ทิสต้าน่ะ”
ปลายอ้อเปิดให้ดูเห็นคลิปเอ็มวีหวานๆ ของปอแก้วกับอภิวัช มีเสียงร้องเพลงของปอแก้วคลอๆ
“หนูแอบเซฟมาจากคอมของมัน”
ปลายอ้อนึกถึงตอนนั้น ปอแก้วแอบเอาซีดีของอภิวัชมาเปิดดู แล้วเซฟใส่แฟลชไดรฟ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว ท่าทางลุกลี้ลุกลนกลัวปอแก้วมาเจอ เวลาผ่านไป เมื่อปอแก้วกลับมาที่ห้อง แล้วเห็นปลายอ้อนั่งที่เดิม ไม่มีพิรุธอะไร
อัปสรดูคลิปของปอแก้วไปเรื่อยๆ ขณะที่ปลายอ้อพูดต่อ
“ตอนแรกหนูว่าจะส่งคลิปนี้ให้คุณศุภกฤตเอาไปทำข่าว แต่เขาคงไม่สนใจ เมื่อวานหนูเพิ่งแอบได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับเจ้านายว่าจะไม่เล่นข่าวแบบนี้ เพราะสัญญากับยัยปอแก้วไว้”
“ข่าวนี้มันน่าสนใจยังไง ก็แค่เจ้าของค่ายเพลงรักกัน”
“น่าสนสิจ๊ะ เพราะไอ้เสี่ยมันหวงลูกสาวมาก แล้วมันก็เกลียดขี้หน้าผู้ชายคนนี้ที่สุด จริงๆ ถ้าเสี่ยมันรู้ว่าลูกสาวแอบไปคบกับค่ายคู่แข่ง แค่นี้ก็คลั่งแทบจะตายแล้วมั้ง”
อัปสรครุ่นคิดตามที่ปลายอ้อพูด ตาวาวขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้น...นอกจากคุณศุภกฤตแล้ว อ้อรู้จักนักข่าวที่ไหนอีกไหมล่ะ”
ปลายอ้อมองหน้าแม่อย่างพิศวงงงัน
ในหลายๆ วัน มานี้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองของมัน
เพียงฟ้ายืนอยู่ตรงแบ็คดร็อปงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นในค่าย ท่ามกลางดงนักข่าว กำลังให้สัมภาษณพร้อมกับปอแก้วและเจ้าของสินค้าที่เพียงฟ้าร้องเพลงประกอบโฆษณา
“ยังไงฟ้าขอฝากผลงานชิ้นใหม่ด้วยนะคะ”
นักข่าวรุมยิงชัตเตอร์ถ่ายรูปรัวๆ เพียงฟ้าโพสท่าอวดเต้ามหึมาสู้ตาย
ส่วนปลายอ้อ บุญทิ้ง แววเดือน เกวลีวิ่ง เดินมาหยุดมอง เพียงฟ้าหันมาเห็นก็ส่งยิ้มเย้ยข้ามหัวนักข่าวมาหา
“หมั่นไส้นัก ทำเป็นเบ่งใหญ่โต ฉันว่าต้องเป็นฝีมือมันแหละที่ทำให้แกต้องหยุดร้องเพลง”
“เราไม่มีหลักฐานน่าเจ๊ พูดไปใครก็ไม่เชื่อ” บุญทิ้งว่า
“ก็ใครว่าฉันจะไปแฉมันล่ะ ของแบบนี้มันต้องใช้ศาลเตี้ยโว้ย”
“ช่างมันเถอะพี่แวว ยังไงเขาก็ได้งานไปแล้ว เราอดใจไว้รอโอกาสของเราดีกว่า” เกวลีเสริม
“จ้า ยัยแม่พระ แถวนี้ไม่ใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ซักหน่อย จะโลกสวยไปไหนยะ”
แววเดือนหมั่นไส้สะบัดหน้าแล้วออกวิ่งต่อ เกวลีหัวเราะวิ่งตาม เหลือแต่ปลายอ้อที่ยังยืนมองเพียงฟ้า
จนบุญทิ้งต้องเรียกให้ไป “ไอ้อ้อ ไปเหอะ”
“ฉันจะต้องกลับมาให้ได้ แล้วจะต้องยิ่งใหญ่กว่าทุกคน” ปลายอ้อบอกด้วยแววตามาดหมาย
เพียงฟ้าโชว์เพลงโฆษณา ร้องลิปซิงค์ เต้นยับ อวดนักข่าว
ปลายอ้อวิ่งออกกำลังกายกับ บุญทิ้ง เกวลี แววเดือน ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น และหาเวลาไปดูแลอัปสร คอยป้อนข้าว นั่งคุย เปิดคลิปตลกๆ ให้แม่ดู อัปสรอารมณ์ดีขึ้น
ปลายอ้อไม่ลืมกินยารักษาเส้นเสียง มุมานะออกกำลังกายให้แข็งแรง มีบุญทิ้งคอยควบคุมดูแลใกล้ชิด
ปลายอ้อหัดวอร์มเสียงกับครูสอนร้องเพลงในห้องซ้อม จากตอนแรกที่ยังกล้ากลัวๆ ไม่กล้าออกเสียงเต็มที่ เวลาผ่านไปก็ค่อยๆ มีความมั่นใจขึ้น
เวลาผ่านไปอีกระยะ ปลายอ้ออาการหายแล้ว ลองเข้าห้องอัดร้องเพลงได้เต็มเสียง เป็นเพลงเดียวกับที่เพียงฟ้าร้อง บุญทิ้ง เกวลีคอยให้กำลังใจอยู่นอกห้องอัด ยิ้มดีใจ
ปลายอ้อหันมายิ้มกับบุญทิ้งอย่างมีความสุข รู้ว่าตัวเองพร้อมแล้ว
ปอแก้วยืนคุมทีมงานตกแต่งสถานที่สำหรับจัดงาน มีศุภกฤตมายืนดูด้วย
“คุณจะต้องมาคุมงานเองแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอ ผมไม่เคยเห็น MD ที่ไหนทำแบบนี้เลยนะ”
“นี่มันงานแรกของฉัน ก็อยากให้เป๊ะทุกด้าน”
“แล้วงานพรุ่งนี้จะมีอะไรบ้าง”
ศุภกฤตเปิดเครื่องอัดเสียงในมือถืออัดเสียงสัมปอแก้ว
“ก่อนเริ่มงาน เราจะเริ่มปล่อยเพลงทางวิทยุ แล้วให้เพียงฟ้าได้ร้องสดครั้งแรกที่นี่ ถึงจะปล่อยดิจิตอลดาวน์โหลด ฝ่ายรายการสำนักข่าวคุณขอคิว โปรโมทมาแล้ว ฉันกำลังจัดคิวอยู่
“เสียดายนะ ถ้าปลายอ้อได้งานนี้ คงจะเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นนักร้องของเขาได้สวยงามแน่ๆ เลย”
“ฉันก็อยากให้เป็นเขาเหมือนกัน อยากรู้ว่าเขาจะทำได้สมกับราคาคุยไหม แต่ในเมื่อจังหวะมันยังไม่ได้ ก็ให้เขาให้บ่มเพาะความสามารถต่อไปแล้วกัน”
“คุณเตรียมงานใหม่ไว้ให้ปลายอ้อหรือยัง”
ปอแก้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ “นี่ตกลงจะมาสัมเรื่องงานพรุ่งนี้ หรือถามถึงปลายอ้อ”
“แหม ก็...”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น แฟนคุณได้ออกซิงเกิ้ลแน่”
“เฮ้ย ไม่ใช่แฟนซะหน่อย”
“ปากแข็ง ระวังเถอะ ถ้าเขาดังขึ้นมาแล้วมีคนมาจีบตัดหน้าคุณแล้วจะเสียใจ”
“ใคร หวังว่าจะไม่ใช่พ่อคุณนะ”
ปอแก้วหันขวับมาทำตาเขียวใส่ ศุภกฤตยิ้มแหยๆ รีบยกมือไหว้
“อุ่ย ผมขอโทษ แซวเล่น”
ปอแก้วค้อนควัก สะบัดหน้าเดินหนีไป ศุภกฤตวิ่งตามไปง้อ ขอสัมภาษณ์ต่อ
ด้านบูรพานั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาบริเวณโถงรับแขก เพียงฟ้าเข้ามาโอบด้านหลังแล้วหอมแก้มแรงๆ
“ฮื้อ มาอ้อนเอาอะไรอีกล่ะ”
“ฟ้ามีของมาให้ต่างหากค่ะ”
เพียงฟ้าหยิบกล่องออกมาจากกระเป๋า เปิดออกเห็นเป็นนาฬิการุ่นใหม่
“วันนี้ไปช็อปปิ้งมา เจอนาฬิการุ่นที่เสี่ยชอบพอดี”
บูรพามองนาฬิกา ยิ้มพอใจ
“ฟ้าอยากให้เป็นของขวัญที่เสี่ยเปิดทางให้ฟ้ากลับมาทำเพลงใหม่อีกครั้ง ขอบคุณมากนะคะ” เพียงฟ้าหอมแรงๆ
“ทำให้ดีก็แล้วกัน ถ้ายอดโหลดเธอพุ่งเข้าเป้า รับรองว่าฉันจะหาของให้เธอแพงกว่านาฬิกาเรือนนี้อีก”
เพียงฟ้ากระดี๊กระด๊าดีใจ โผเข้ากอด จุ๊บแก้มบูรพาทั้งซ้ายขวา ออดอ้อนเอาใจ
ค่ำนั้น ศุภกฤตเดินเข้ามาคุยกับชัยยศในห้องทำงาน
“ผมส่งข่าวงานอีเวนท์ของเพียงฟ้าให้แล้วนะพี่”
“เออ เห็นแล้ว” ชัยยศไล่อ่านคร่าวๆ ในคอม “ก็ไม่มีอะไรนี่หว่า งานเปิดตัวเพลงใหม่ มีสัมภาษณ์ ไม่แซ่บเลยอะ”
“ก็มันงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ผงซักฟอก ไม่ใช่เปิดตัวร้านส้มตำ พี่จะเอาแซ่บขนาดไหนล่ะ”
“ก็ฉันบอกแล้วให้แกไปขุดคุ้ยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในค่ายมา แกก็ไม่ทำ”
ศุภกฤตถอนใจ “ผมผิดคำพูดไม่ได้”
ชัยยศหมั่นไส้ “เชอะ ไอ้นักข่าวบ้าจรรยาบรรณ”
ศุภกฤตทำหน้าเซ็งนิดๆ เดินออกห้องไป ชัยยศมองตามขวางๆ เลขาโผล่เข้ามา
“พี่ชัยยศคะ มีโทรศัพท์จากบก.ฝ่ายรายการ พี่จะรับไหมคะ”
“ฮะ โทร.หาพี่ทำไมวะ”
“แกอยากคุยเรื่องข่าวที่จะเอาไปออกรายการสดค่ะ”
ชัยยศแปลกใจ กดรับสายในจากโทรศัพท์บนโต๊ะ
เช้าวันต่อมา อภิวัชขับรถแล่นมาจอดหน้าบริษัท แล้วเดินเข้าออฟฟิศเลย ลูกน้องจับกลุ่มสุมหัวเมาท์กันอยู่หน้าห้องทำงาน พอเห็นอภิวัชก็แตกฮือ ทำหน้ากันไม่ถูก
อภิวัชยังไม่รู้ตัวหันไปหาเลขาที่โต๊ะหน้าห้อง “ทีมเพลงมาหรือยัง”
“เอ่อ ยังค่ะ”
“งั้นโทร.ตาม ผมไม่อยากให้สาย เดี๋ยวตอนเที่ยงๆ ผมมีนัดไปข้าง แคนเซิลงานบ่ายนี้ให้หมดเลยนะ”
อภิวัชเดินเข้าห้องทำงานไป เลขารีบตามเข้ามา หน้าเจื่อนๆ
“ผมยังไม่เอากาแฟ ไปทำงานเถอะ”
“เอ่อ...หน่อยอยากให้บอสดูอะไรหน่อยค่ะ”
เลขาเอาไอแพดออกมาแล้วเปิดรายการช่องสตาร์เดลี่ให้ดู
“มีอะไร”
“ข่าวของบอสค่ะ”
อภิวัชงง ก้มลงดูไอแพด เห็นรายการในทีวีกำลังนำเสนอข่าวความสัมพันธ์ของตนกับปอแก้ว
“เรามาชมกันอีกครั้งนะครับ กับภาพหวานๆ ของผู้บริหารค่ายเพลงหนุ่มสาวไฟแรงที่แอบปลูกต้นรักกันลับๆ จนมันแตกโพละออกมาในเช้าวันนี้ ไม่ใช่มาแค่ภาพเคลื่อนไหวเท่านั้นนะครับ แต่มาพร้อมกับเสียงเพลงเพราะๆ ที่แว่วว่าเป็นของฝ่ายหญิงด้วย แหม นอกจากจะบริหารค่ายเพลงลูกทุ่งเก่งแล้ว ยังร้องเพลงเพราะอีกนะเนี่ย”
อภิวัชเห็นคลิปที่เขาทำให้ปอแก้วถูกปล่อยออกสื่อ ถึงกับตัวชาด้วยความตกใจ
อ่านต่อตอนที่ 13