เทพธิดาขนนก ตอนที่11 | แผนสกัดดาวรุ่ง
บทประพันธ์ : เพ็ญสิริ บทโทรทัศน์ : ปริศนา และ ทีมวันสุข
ปลายอ้อถูกคนร้ายสวมโม่งดำพรางหน้าตา 2 คน ฉุดกระชากมา เธอดิ้นสู้สุดชีวิต ฉวยโอกาสอ้าปากงับมือคนร้ายที่ปิดปากไม่ให้ร้อง
คนร้ายอีกคนตบหน้าปอแก้วฉาด แล้วตุ๊ยท้องจนปอแก้วจุก คออ่อนใกล้ๆ หมดสติ
คนร้าย1 กระซิบบอกคนร้าย2 “บีบคอมันแรงๆ ตรงกล่องเสียงมัน”
ปลายอ้อได้ยินเสียงแว่วๆ เพราะจวนเจียนจะหมดสติ ไม่มีแรงสู้
“ถ้ามันตายล่ะพี่”
“ก็อย่าเอาถึงตายสิวะ เอาแค่ร้องเพลงไม่ได้”
คนร้าย2 เอามือจับคอปลายอ้อออกแรงกดเค้นหนักๆ ตรงใกล้กล่องเสียง
ปลายอ้อดิ้นสู้อย่างไม่มีแรง แขนขาหมดแรงสู้ ทิ้งแขนลงข้างตัว ตาที่หรี่มองค่อยๆ หลับลง หมดสติไป
เสียงปอแก้วตะโกนดังขึ้น “นั่นใคร มาทำอะไรตรงนี้”
คนร้ายหันมามอง ปอแก้วเห็นร่างปลายอ้อนอนอยู่ไม่รู้เป็นหรือตายก็ตกใจ
“ปลายอ้อ”
คนร้าย1สั่งการ “จับมันไว้”
คนร้าย2 ปราดเข้าไปหาปอแก้ว คนร้าย1ปล่อยปลายอ้อลงไปกองไว้ แล้วเข้าไปช่วยฉุดกระชาก
“ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย”
คนร้ายทั้งสองพยายามอุดปากแล้วอุ้มปอแก้ว แต่มีไฟฉายกราดเข้ามาใส่หน้าพวกมัน
“เฮ้ย อะไรน่ะ” รปภตกใจเมื่อเห็นอะไรเป็นอะไร “คุณปอแก้ว”
คนร้ายเห็นรปภ.วิ่งกรูเข้ามาก็ตกใจ รีบผลักปอแก้วเข้าไปใส่แล้วฉวยโอกาสวิ่งหนีไปทางด้านหลังตึก
“เฮ้ย หยุด”
รปภ.รีบวิ่งตามไป ปอแก้วมองอย่างตกใจแล้วนึกขึ้นได้ หันไปเห็นปลายอ้อนอนหมดสติ
“ปลายอ้อ” ปอแก้วเขย่าตัวเรียกสติ “ปลายอ้อ”
ปลายอ้อนอนนิ่งหมดสติไปแล้ว และไม่ทันได้รู้ว่าปอแก้วเข้ามาช่วยตอนที่โดนบีบคอ
ร่างปลายอ้อนอนหมดสติอยู่บนเตียงรถเข็นมุ่งหน้าไปที่ห้องฉุกเฉิน ปอแก้ว บุญทิ้ง และเกวลีวิ่งตาม
“ไอ้อ้อ แกต้องไม่เป็นอะไรนะ แกต้องฟื้นนะโว้ย”
บุญทิ้งจับมือปลายอ้อบีบไว้ ก่อนจะปล่อยให้พยาบาลเข็นเตียงเข้าห้องฉุกเฉินไป
บุญทิ้งเดินมานั่งคอตกสีหน้าเศร้าอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้อง เกวลีตามมานั่งด้วยบีบมือให้กำลังใจ
“ใจเย็นๆ นะบุญทิ้ง ปลายอ้อถึงมือหมอแล้ว คงไม่เป็นไร”
“เกิดะไรขึ้นครับ ทำไมน้องผมถึงถูกทำร้าย”
ปอแก้วหน้าเครียดจัด “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่ฉันเดินลงมาจากตึก ได้ยินเสียงคนร้องแว่วๆ ก็เลยตามมาดู ถึงได้เห็นว่าปลายอ้อถูกผู้ชายสองคนจับตัวอยู่ รปภ.ตามจับ แต่พวกมันหนีไปได้”
“น้องผมไม่เคยทำร้ายใคร ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย”
ปอแก้วได้แต่ปลอบให้เย็นลง “ไม่ต้องห่วงนะ ตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ เดี๋ยวฉันต้องก็กลับไปให้ปากคำฉันพอจำรูปพรรณสัณฐานคนร้ายได้”
“พวกเราขออยู่ที่นี่จนกว่าปลายอ้อจะฟื้นได้ไหมคะ” เกวลีขอร้อง
“เอาสิ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลนะบุญทิ้ง ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ถ้าได้ความคืบหน้าเรื่องอาการของปลายอ้อก็โทร.บอกฉันด้วยแล้วกัน”
บุญทิ้งพยักหน้ารับเอาคำ พลางยกมือไหว้ขอบคุณ ปอแก้วรีบเดินออกไปหาแสงโสมที่จัดการเรื่องเจ้าของไข้อยู่ตรงฟรอนต์เคาน์เตอร์
ปอแก้วกับแสงโสมเดินเข้าบ้านมา เห็นพรทิพย์นั่งรออยู่
“คุณแม่ยังไม่นอนอีกเหรอคะ”
“ก็รอแก้วอยู่นี่แหละ ทำไมเลิกงานดึกนักละลูก”
“มีเรื่องที่บริษัทนิดหน่อยค่ะ ก็แม่ปลายอ้อนั่นสิคะ ก่อเรื่องอีกแล้ว”
ปอแก้วปราม “ปลายอ้อเขาไม่ได้ผิดอะไรนะคะน้าโสม”
พรทิพย์งง “เรื่องอะไรกันเนี่ย”
“มีคนบุกเข้ามาทำร้ายปลายอ้อค่ะ”
พรทิพย์ยกมือทาบอกตกใจ แสงโสมใส่ไคล้อีก
“หนูปอแก้วเข้าไปเจอพอดี เลยเกือบจะเสียทีพวกมันไปด้วย อย่างนี้จะเรียกว่าไม่ใช่ต้นเหตุเหรอคะ”
พรทิพย์ไม่สนใจฟังแสงโสม หันถามลูกสาว “แล้วเขาเป็นยังไงบ้าง
“ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลค่ะ ต้องรอหมอดูอาการ”
“แล้วพ่อเขารู้หรือยัง”
แสงโสมนึกหมั่นไส้ “ติดต่อไม่ได้ค่ะ ไม่รู้ว่าไปนอนบ้านไหน ฮึ คอยดูเถอะ ถ้าพรุ่งนี้รู้ว่านังเด็กนี่เกือบตาย รับรองว่าระเบิดลงแน่”
เช้าวันต่อมา ทีมรปภ.บริษัททุกคน ยืนเรียงกันตัวลีบกุมไข่อยู่ตรงหน้าเสี่ยบูรพา
“พวกแกรักษาความปลอดภัยกันประสาอะไร ถึงได้ปล่อยให้คนร้ายมันบุกเข้ามาทำร้ายศิลปินของฉัน”
“ตอนพวกเราดูแลความเรียบร้อยอยู่หน้าตึก ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ นะครับเสี่ย” หนรปภ.บอก
“มัวแต่หลับยามกันอยู่ล่ะสิ เลี้ยงเสียข้าวสุกทุกคนเลย”
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณพี่ ตำรวจเขาก็บอกแล้วว่าคนร้ายมันปีนกำแพงรั้วเข้ามา มันคงวางแผนกันมานานแล้ว”
บูรพาเอะใจ คาดคั้นพวกรปภ.อีก “หรือว่าเป็นพวกแกเอง นัดแนะกันมาจี้มาปล้นในนี้”
รปภ. ตกใจ รีบปฏิเสธพร้อมๆ กัน “ไม่ใช่นะครับ”
“คุณพี่ก็พูดไปโน่น ในนี้มีอะไรให้ปล้นล่ะค่ะ มีแต่นักร้องโนเนม กระเป๋าแฟ่บกันทั้งนั้น สงสัยว่ายายปลายอ้อจ้างคนมาทำร้ายตัวเองให้เป็นข่าวยังจะน่าเชื่อถือกว่า”
บูรพายัวะ “เธอจะบ้าเหรอแสงโสม ใครมันจะจ้างคนมาทำร้ายตัวเองให้เป็นข่าว ดูละครช่อง8ให้มันน้อยๆ หน่อย”
แสงโสมคอย่นไม่กล้าเถียง บูรพาหันไปเหวี่ยงคาดโทษรปภ.อีกดอก
“ยังไงฉันต้องหักเงินเดือนพวกแก โทษฐานทำหน้าที่ไม่เต็มที่ แล้วถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ครั้งหน้าเตรียมหางานใหม่ได้เลย”
รปภ.รับคำหน้าจ๋อยๆ
ปลายอ้อค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น มองเห็นหน้าบุญทิ้งชะโงกมา
“ไอ้อ้อ” บุญทิ้งหันไปบอกเกวลีอย่างดีใจ “ไอ้อ้อฟื้นแล้ว”
เกวลีรีบลุกมาหาที่ข้างเตียง
“เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหมอ้อ”
“ฉันมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร พี่ทิ้งกับลีพามาเหรอ”
“เปล่า คุณปอแก้วเข้าไปเจอแกถูกทำร้าย”
ปลายอ้อชะงัก พยายามหวนนึก นึกถึงเหตุการณ์แว่บๆ ยังปะติดปะต่ออะไรไม่ด้
“อ้อถูกคนฉุดทำร้ายตอนที่กลับจากซ้อมเต้น พวกเราก็ไม่รู้ มารู้อีกทีตอนที่คุณปอแก้วให้คนไปตามที่บ้าน จำได้บ้างไหม”
ปลายอ้อนิ่วหน้านิ่งนึก หัวสมองยังวุ่นวาย ระบบความคิดไม่เป็นระเบียบ เห็นภาพแว่บเข้ามาสั้นๆ อีกที
“ฉัน...” ปลายอ้อสับสน
บุญทิ้งเห็นท่าไม่ดี “งั้นช่างมันก่อน ตอนนี้เจ็บตรงไหนบ้าง”
ปลายอ้อมองร่างกายตัวเอง แล้วรู้สึกผิดปกติบางอย่าง จับที่คอโดยไม่รู้ตัว
“ฉันเจ็บคอ...”
“งั้นรอก่อนนะ พี่จะไปตามหมอ”
ศุภกฤตเข้าออฟฟิศสตาร์เดลี่ในตอนเช้า รีบเปิดคอมเช็คข่าว ชัยยศรีบเดินมาหา
“กฤต แกเคลียร์ใจกับลูกสาวเสี่ยบูรพาแล้วใช่ไหม”
“ผมกำลังจะบอกพี่อยู่พอดีเลย ว่าผมจัดการให้แล้ว ต่อไปนี้เราไปทำข่าวที่นั่นได้เหมือนเดิม” เขาพูดหยอกๆ “พี่ต้องขึ้นเงินเดือนให้ผมแล้วนะแบบนี้”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แกรีบไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย”
ศุภกฤตแปลกใจ “มีงานอะไรเหรอพี่”
“ไปตามข่าวเรื่องปลายอ้อถูกทำร้ายไง อะไรวะ อย่าบอกนะว่าไม่รู้เรื่องฉันนึกว่าแกสนิทกับปลายอ้อ”
ศุภกฤตใจหายวาบ มีสีหน้าตกใจสุดขีด
สายวันนั้น เพียงฟ้าเดินนวยนาดเข้ามาที่ตึกบูรพาซาวด์เห็นนักข่าวมายืนรออยู่ตรงบันไดขึ้นตึกเต็มไปหมด ศุภกฤตเป็นหนึ่งในนั้น รีบกระซิบถามลั้นลา
“เจ๊ นักข่าวพวกนี้มาทำอะไรกัน”
“ก็มารอฟังข่าวนังปลายอ้อน่ะสิ”
เพียงฟ้าถามเสียงดัง “มันทำอะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าเชิญสื่อมาคุยเรื่องเพลงใหม่ของมัน”
“โฮ้ย จะได้ร้องเหรอ ตอนนี้ปลายอ้อมันนอนพะงาบๆ อยู่โรงพยาบาลโน่น”
ศุภกฤตยืนกดโทรศัพท์หาบุญทิ้งกับปลายอ้ออยู่แถวนั้น ได้ยินลั้นลาพูดก็หันมามอง
“คืองี้ เมื่อคืนมีคนร้ายบุกมาข่มขืนมัน” ลั้นลาบอก
เพียงฟ้าจงใจพูดเสียงดังลั่น “อะไรนะ ปลายอ้อน่ะเหรอถูกข่มขืน”
ศุภกฤตกับพวกนักข่าวได้ยินหันขวับมาหา กรูกันเข้ามายื่นไมค์ มือถือ ถามสองคนทันที
“จริงหรือเปล่าครับ แล้วตอนนี้ปลายอ้ออยู่ที่ไหน” ศุภกฤตยิงคำถามเป็นคนแรก
นักข่าว1ถามต่อว่า “จับคนร้ายได้หรือยังครับ”
นักข่าว2 ซักต่อ “คุณปลายอ้อเป็นยังไงบ้างบัง”
นักข่าวรุมล้อมทั้งสองทีแย่งกันถามเซ็งแซ่
“อุ๊ยๆ นี่พี่คอนเฟิร์มไม่ได้นะคะ พอดีได้ยินน้องในตึกเล่าให้ฟัง พี่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เห็นว่าคนร้ายมันมากันตั้งสองคนแน่ะค่ะ แล้วปลายอ้อก็...”
ลั้นลาทำเป็นพูดทอดเสียงเศร้า แสงโสมเดินเข้ามาได้ยิน กระแอมใส่เสียงดัง จนลั้นลาสะดุ้ง
“รายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น เดี๋ยวรอฟังแถลงข่าวอย่างเป็นทางการดีกว่านะคะ อย่าเพิ่งเชื่อข่าวลือ” แสงโสมปรายตาดุมองลั้นลา “มีงานอะไรก็ไปทำสิจ๊ะ เชิญ”
ลั้นลายิ้มแหยๆ รีบดึงเพียงฟ้าจากไป เพียงฟ้าหันไปยิ้มให้บรรดานักข่าวจอมเผือก
“เดี๋ยวเรียนเชิญพี่ๆ น้องๆ นักข่าวที่ห้องแถลงข่าวได้เลยนะคะ อีกซักพักจะเริ่มแล้วค่ะ”
นักข่าวทยอยเดินขึ้นตึกไปหมดแล้ว ศุภกฤตรีๆ รอๆ อยู่ ก่อนจะปรี่ไปถามแสงโสม
“ขอโทษนะคะ ตอนนี้ปลายอ้ออยู่ที่โรงพยาบาลไหน ผมติดต่อไม่ได้เลย”
“ยังบอกไม่ได้หรอกคุณ เดี๋ยวคนไปรบกวนคนเจ็บ”
“ผมไม่ได้ถามในฐานะที่เป็นนักข่าว แต่ผมถามในฐานะเพื่อนปลายอ้อ”
แสงโสมมีสีหน้าและท่าทีอึดอัดใจ
“งั้นคุณรอถามคุณปอแก้วนอกรอบเองก็แล้วกัน”
แสงโสมตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินจากไป ศุภกฤตสีหน้ากังวลเป็นห่วงปลายอ้อ
ขณะเดียวกัน ปอแก้วคุยโทรศัพท์กับบุญทิ้ง ด้วยสีหน้าตกใจเอามากๆ
“อาการปลายอ้อหนักขนาดนั้นเชียวเหรอบุญทิ้ง”
บุญทิ้งแอบมาหลบมุมคุยโทรศัพท์ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“ครับ หมอบอกว่ากล่องเสียงไอ้อ้อได้รับความกระทบกระเทือน ตอนที่ถูกคนร้ายบีบคอ ตอนนี้เส้นเสียงก็เลยอักเสบรุนแรงครับ”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง พูดได้หรือเปล่า”
“พูดได้ครับ แต่หมอพยายามให้ลดการใช้เสียง”
“แล้วเรื่องร้องเพลงล่ะ”
“ยังไม่ได้ครับ หมอแนะนำให้หยุดพักไปประมาณ 2 อาทิตย์ให้เส้นเสียงฟื้นตัว ไม่งั้นอาจจะมีปัญหาเรื้อรังในอนาคตได้”
“แต่ปลายอ้อจะต้องเข้าห้องอัดอาทิตย์หน้าแล้ว”
“เลื่อนออกไปได้ไหมครับคุณปอแก้ว ผมสงสารน้องผม นี่ปลายอ้อมันก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน”
ปอแก้ววางสายไป หน้าซีดขาว รู้ดีว่างานมันเลื่อนออกไปไม่ได้ แสงโสมเดินเข้ามาหา
“หนูปอแก้ว เป็นอะไรไปจ๊ะ หน้าซี๊ดซีด”
“เรื่องปลายอ้อน่ะค่ะ เขาเส้นเสียงบาดเจ็บ ต้องหยุดพักการร้องเพลง”
“ตายจริง แล้วงานที่รับไว้จะทำยังไงกันล่ะ มันเลื่อนออกไปไม่ได้แล้วนะ”
ปอแก้วส่ายหน้า อับจนปัญญาเหมือนกัน
ฟากบุญทิ้งคุยโทรศัพท์เสร็จ หันกลับมาแล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นเกวลีพยุงปลายอ้อยืนจ้องหน้าอยู่
“ไอ้อ้อ...”
“พี่ทิ้งพูดจริงเหรอว่าฉันร้องเพลงไม่ได้”
บุญทิ้งอึกอัก ทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่คิดว่าปลายอ้อจะออกมาได้ยิน
“ทำไมตอนมาตรวจไม่เห็นหมอบอกอะไรฉันเลย”
“หมอไม่อยากให้แกตกใจ ก็แค่ไม่กี่อาทิตย์เอง”
“แต่ฉันต้องเข้าห้องอัดอาทิตย์หน้าแล้ว...”
ปลายอ้อพูดเท่านั้นเสียงก็ขาดหายไปเฉยๆ เกวลีรีบเตือน
“อ้ออย่าเพิ่งอะไรเลยนะ หมอบอกว่าให้พยายามพักการใช้เสียงให้มากๆ
ปลายอ้อสะบัดแขนออกจากเกวลี เสียใจเหลือแสน
“นี่แสดงว่าทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมด ยกเว้นฉัน”
ปลายอ้อพูดจบก็เดินหนีทุกคนกลับเข้าห้อง บุญทิ้งกับเกวลีว้าวุ่น รีบตามไป
ปลายอ้อนั่งกอดเข่าหน้าเศร้าอยู่บนเตียง บุญทิ้งกับเกวลีเดินตามเข้ามา สีหน้ารู้สึกผิดเต็มๆ
“พวกฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังแกไว้นาน แต่อยากให้แกตั้งหลักได้เสียก่อน”
“จะรู้ช้าหรือเร็วมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นได้หรอก ความฝันของฉันที่จะได้ร้องเพลงมันจบไปแล้ว”
“มันยังไม่ได้จบซักหน่อยนะอ้อ ก็แค่ต้องเลื่อนโอกาสนั้นออกไปก่อน ยังไงคุณปอแก้วก็ต้องให้เธอทำเพลงแน่ๆ”
บุญทิ้งเดินเข้ามาโอบไหล่กอดปลอบปลายอ้อ “อย่าเพิ่งคิดมากสิวะ เดี๋ยวแกก็หายน่า”
ปลายอ้อถอนใจเซ็ง เกวลีเข้ามากอดปลายอ้ออีกคน แล้วโทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ” เกวลีมีสีหน้าตกใจ “ออเดอร์แหนมเหรอคะ ตายจริง ขออีกซัก 2-3 ชั่วโมงได้ไหมคะ เดี๋ยวไปส่งให้ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีติดธุระนิดหน่อย”
เกวลีวางสาย สีหน้าไม่ดี
“ลูกค้าโทร.มาตามเหรอ” ทิ้งถาม
เกวลียิ้มแหยๆ “ใช่ ฉันลืมไปว่าวันนี้มีนัดต้องเอาแหนมไปส่งลูกค้า”
“งั้นกลับไปเถอะลี ไม่ต้องห่วงฉันหรอก เอาพี่ทิ้งไปด้วย”
“ฉันจะทิ้งแกไว้ได้ยังไงคนเดียว”
“ฉันไม่ฆ่าตัวตายหรอกน่า พี่กับลีกลับไปทำงานเถอะ อย่าให้ฉันเป็นภาระเลย”
“แกอยู่ได้แน่นะ”
“ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกพี่ทิ้ง ไปเถอะ ว่างเมื่อไรค่อยมา”
บุญทิ้งสบายใจขึ้น พยักหน้าให้เกวลีออกไปด้วยกัน ปลายอ้อมองตาม ทอดถอนใจ แล้วเอามือจับคอตัวเอง
นึกถึงตอนเดินออกไปเห็นได้ยินที่บุญทิ้งคุยกับปอแก้วพอดี
“ครับ หมอบอกว่ากล่องเสียงไอ้อ้อได้รับความกระทบกระเทือน ตอนที่ถูกคนร้ายบีบคอ ตอนนี้เส้นเสียงก็เลยอักเสบรุนแรงครับ”
“ยังไม่ได้ครับ หมอแนะนำให้หยุดพักไปประมาณ 2 อาทิตย์ให้เส้นเสียงฟื้นตัว ไม่งั้นอาจจะมีปัญหาเรื้อรังในอนาคตได้”
ปลายอ้อ ล้มตัวลงนอน น้ำตาไหลรินออกมา
“ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องนี้กับฉันด้วย”
ฝั่งยุพาจัดกับข้าวใส่ตู้เสร็จ แล้วหันล้างไม้ล้างมือเตรียมออกไปทำงาน หันมาบอกอัปสรที่นั่งปักผ่
“พี่สร ฉันเอากับข้าวใส่ตู้ไว้ ถ้าหิวก็กินนะ ข้าวอยู่ในมือ”
อัปสรนั่งนิ่งไม่ตอบ จนยุพาเดินเข้าไปใกล้ สะกิดเรียก
“พี่สร”
อัปสรสะดุ้ง โดนเข็มสอยผ้าตำมือจนร้อง “อุ๊ย” แล้วหันมาทางยุพา
“อะไรของเอ็ง ตกใจหมด”
“ใจลอยไปไหนเนี่ยพี่ ปักผ้าแบบนี้เดี๋ยวมือก็พรุนหมด เป็นอะไรไป”
อัปสรถอนใจยาว วางผ้าในมือ
“เมื่อคืนข้านอนไม่ค่อยหลับ ฝันไม่ดี”
“เรื่องอะไร”
“ฝันว่าเห็นกรอบรูปของปลายอ้อตกแตก เลือดอาบ สังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้”
“โธ่เอ๊ย พี่น่ะคิดกังวลอีกแล้ว หมอเขาบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้คิดมาก เออ พูดขึ้นมาก็ดีแล้ว ยาอยู่ไหน เดี๋ยวกินซะเลย”
ยุพาเปิดถุงยา หยิบยาเป็นเม็ดๆ จัดชุดไว้ให้ เทน้ำใส่แก้ว
“กินยาซะ แล้วเดี๋ยวหาข้าวกินเอานะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว พี่อย่าไปคิดกังวลอะไรเลย เพิ่งเจอมันอยู่หยกๆ มันก็ดูสบายดีไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่”
“ลูกพี่มันเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง มันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก หรือถ้ามีอะไรเดี๋ยวไอ้ทิ้งมันก็ส่งข่าวเองแหละ พี่อย่าเพิ่งคิดไปล่วงหน้า เดี๋ยวจะปวดหัว เข้าใจไหม”
อัปสรใจชื้นขึ้น ยอมกินยาอย่างว่าง่าย แล้วหยิบผ้ามาปักต่อ พยายามเลิกคิดวุ่นวาย
ยุพามองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบกระเป๋าออกจากบ้านไป ทิ้งให้อัปสรนั่งปักผ้า อยู่ลำพัง
บูรพานั่งหน้าเครียดอยู่ที่โซฟา เพียงฟ้าคอยบีบนวดเอาใจ
“ตกลงว่าเจอตัวคนร้ายที่ทำร้ายปลายอ้อหรือยังคะ”
“เธอจะมายุ่งอะไร ปกติก็ไม่ชอบเขาอยู่แล้วนี่”
“แหม ก็ถามไถ่ตามประสาเพื่อนร่วมค่าย ถึงฟ้าจะเกลียดมัน ก็ไม่ได้คิดอยากจะให้มันถูกฆ่าตายนี่คะ พอรู้เรื่องก็ตกใจเหมือนกัน” เพียงฟ้าหยั่งเชิงถาม “ตกลงตำรวจว่าไงบ้างคะ”
“ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ แต่เรื่องนั้นฉันยังไม่ห่วงเท่าตัวปลายอ้อ”
เพียงฟ้าแอบเบ้ปาก “ทำไมเหรอคะ หรือว่ามันอาการหนักปางตาย”
“ไม่ตาย” บูรพาเสียงเขียว บ่นอย่างหงุดหงิด “แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงโตหรือเปล่า เพราะเส้นเสียงดันมาบาดเจ็บอีก”
“อ้าว ก็ฟ้าเพิ่งได้ข่าวว่าคุณปอแก้วจะให้ทำเพลงประกอบโฆษณาไม่ใช่เหรอคะ ถ้ามันเส้นเสียงบาดเจ็บแล้วจะทำไง”
“ก็ต้องคุยกับลูกค้าดูว่าจะเลื่อนอะไรออกไปได้บ้างไหม ถ้าไม่ได้ก็ต้องยกเลิกงานนี้”
เพียงฟ้าทำเป็นพยักหน้าเอออออ แต่ลอบยิ้มสะใจ
ปลายอ้อกินยาที่พยาบาลจัดให้ แล้วเอนตัวลงนอน
“พักผ่อนก่อนนะคะ บ่ายๆ คุณหมอจะเข้ามาตรวจ”
“ฉันดูทีวีได้ไหมคะ”
พยาบาลพยักหน้าแล้วเปิดทีวีให้ก่อนจะวางรีโมทแล้วออกไป
ปลายอ้อกดไล่ทีวีดูเบื่อๆ แล้วหยุดที่รายการทีวีกำลังถ่ายทอดสดงานแถลงข่าวค่ายบูรพา เห็นปอแก้วในจอทีวีกำลังให้สัมภาษณ์สั้นๆ
“เรื่องที่ศิลปินของเราถูกทำร้ายก็เป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ว่าตอนนี้ว่าปลอดภัยแล้ว ส่วนเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับคนร้าย ทางเราต้องขอสงวนข้อมูลไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนติดตามคนร้ายให้พบก่อนค่ะ”
“แล้วแบบนี้จะมีผลกับแพลนงานที่วางไว้ไหมคะ” นักข่าวถาม
“ก็คงต้องมีผลอย่างปฏิเสธไม่ได้ค่ะ แต่ว่าเราก็ต้องเลือกความพร้อมของศิลปินมาก่อนสิ่งอื่น ผลงานเพลงที่แพลนไว้ก็คงต้องเปลี่ยนแปลง”
ปลายอ้อฟังปอแก้วให้สัมภาษณ์แล้วไม่สบายใจ ลุกพรวดขึ้น
“ไม่ ฉันไม่ยอม”
ปลายอ้อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปกติแล้ว แง้มประตูออกมาจากห้องพักฟื้นมองดูลาดเลา เห็นปลอดคนจึงรีบออกไป ก้มหน้าก้มตาเดินเนียนๆ เหมือนเป็นคนมาเยี่ยมไข้ แล้วรีบลงบันไดไป โดยที่ไม่มีใครสังเกต
ปลายอ้อเดินออกมาที่โถงหน้าลิฟต์มองลาดเลา แล้วชนกับพยาบาลคนหนึ่ง
“ขอโทษค่ะ”
พยาบาลมองหน้าปลายอ้อแล้วคลับคล้ายคลับคลา
“เอ๊ะ คุณหมอให้กลับบ้านได้แล้วเหรอคะ”
ปลายอ้ออึกอัก พยาบาลคว้าแขนไว้
“คุณหมอยังไม่ได้ขึ้นไปตรวจแล้วคุณจะไปไหน”
ปลายอ้อสะบัดแขนจะไป “ฉันหายแล้ว ฉันจะกลับบ้าน”
“ไม่ได้นะคะคุณ”
ปลายอ้อสะบัดแขนจนหลุดแล้วรีบวิ่งออกไปอีกฝั่งของตึกผู้ป่วย พยาบาลรีบตาม
“คุณ คุณคะ”
ปลายอ้อไม่ฟังเสียง รีบวิ่งออกไปทางหน้าโรงพยาบาล พยาบาลพยายามวิ่งตาม
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ กลับมาก่อน”
ปลายอ้อวิ่งลงบันไดหนีออกมาหน้าโรงพยาบาลมาอย่างรีบร้อน ไม่ได้มองว่ามีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามา จนกระทั่งได้ยินเสียงบีบแตรลั่น
อภิวัชนั่งอยู่ในรถคันนั้นรีบเหยียบเบรก ปลายอ้อตกใจถอยหนีเลยล้มพับไป อภิวัชรีบวิ่งลงมาดู
“เป็นยังไงบ้างครับ”
ปลายอ้อมองหน้าอภิวัชอย่างตกใจ จำได้ อภิวัชก็ชะงักงันไปเช่นกัน พยาบาลรีบตามมา
“เห็นไหมคะคุณยังไม่แข็งแรงพอ รอพบคุณหมอก่อนเถอะค่ะ”
ไม่นานต่อมา ปอแก้วเปิดประตูพรวดเข้ามาหาปลายอ้อที่ถูกพาตัวกลับมาห้องพักเหมือนเดิม
“ทำบ้าอะไรของเธอ อยากตายหรือไง”
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“เธอเพิ่งจะแอดมิทเมื่อวานนี้ จะกลับไปได้ยังไง”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว มีงานซ้อมร้องซ้อมเต้นรอฉันอยู่”
“เรื่องงานเอาไว้ทีหลัง ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าไหม”
ปลายอ้อเยาะหยามประชดประชัน “นี่อย่าบอกนะว่าคุณเป็นห่วงฉันมากกว่างาน เกิดอะไรขึ้น ปกติคุณเกลียดฉันจะตายไม่ใช่เหรอ”
อภิวัชนั่งมองดูทั้งสองคุยกันเงียบๆ เห็นปอแก้วชักสีหน้าเซ็งที่ถูกปลายอ้อพาลใส่
“หรือว่าเป็นเพราะคุณมีแผนที่จะเอาคนอื่นมาเสียบแทนที่ฉันอยู่แล้ว”
ปอแก้วฉุน “พูดอะไรของเธอ”
“ก็ฉันเห็นที่คุณแถลงข่าว”
ปอแก้วอึ้งไป ปลายอ้อพูดต่ออย่างอัดอั้น
“คุณมาหาฉันที่นี่ก็ดีแล้ว ที่ฉันรีบร้อนออกจากโรงพยาบาล ก็เพราะฉันอยากจะไปคุยกับคุณว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนอะไรทั้งนั้น ฉันยังร้องเพลงและขึ้นมินิคอนเสิร์ตได้ ฉันจะทำให้คุณเห็น”
“คุณหมอบอกว่าเธอยังไม่พร้อม”
“ใครจะมารู้ดีเท่าตัวฉันเอง”
ปอแก้วถอนใจเฮือก พยายามพูดอย่างอดทนอดกลั้น
“ปลายอ้อ เธออย่ามางี่เง่านะ หมอบอกว่าการบาดเจ็บที่เส้นเสียงของเธอมันซีเรียส เธอต้องใช้เวลาพักฟื้นร่างกาย ถ้าเธอฝืนตัวเอง แล้วเส้นเสียงเธอเกิดบาดเจ็บเรื้อรัง เธออาจจะต้องจบชีวิตการเป็นนักร้องของเธอแค่นี้”
ปลายอ้ออึ้งไป อภิวัชนิ่งฟังอยู่ ตัดสินใจเข้ามาช่วยพูด
“เชื่อที่คุณปอแก้วพูดเถอะครับ เธอเรียนจบด้านนี้มาโดยตรง เธอไม่โกหกคุณหรอก”
“แต่คุณกำลังจะให้ฉันทำเพลงอยู่แล้ว”
“ฉันก็ไม่ได้อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ถ้าเธอไม่ได้ทำเพลงตอนนี้ ก็ยังมีโอกาสอื่น ฉันไม่ได้จะยึดโอกาสนี้จากเธอตลอดไปซะหน่อย”
ปลายอ้อสงบและนิ่งลง ปอแก้วก็พลอยเสียงอ่อนลงไปด้วย
“เธอรักษาตัวให้หายก่อนดีกว่า ฉันกับบูรพาซาวด์ยังไม่หนีไปไหนหรอก เรายังมีงานให้เธอทำอีกเยอะ”
ปลายอ้อนั่งรถเข็นออกมาจากห้องตรวจ ภายหลังจากเข้าไปเอ็กซเรย์อาการบาดเจ็บ หมอเดินตามออกมา แจ้งอาการให้ทราบ
“ข่าวดีก็คืออาการบาดเจ็บไม่ได้รุนแรงจนต้องใช้เวลารักษานานนะครับ แต่ว่าต้องระมัดระวังเรื่องการใช้เสีย และทานยาให้ตามที่หมอสั่ง”
“แล้วฉันจะกลับบ้านได้เมื่อไรคะ”
ปอแก้วกลอกตามองบนอย่างอ่อนใจ หมอพูดยิ้มๆ
“จริงๆ แล้วถ้าคนไข้อยากกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ขอหมอดูอาการอีกคืนนึงก็แล้วกันครับ”
อภิวัชปลอบว่า “อีกแค่คืนเดียวเองนะปลายอ้อ คุณทนได้ใช่ไหม”
“ขอให้ได้กลับพรุ่งนี้จริงๆ ก็แล้วกัน”
หมอยิ้มให้แล้วเดินแยกไป พยาบาลเข็นรถปลายอ้อกำลังจะกลับห้องพักฟื้น เจอศุภกฤตวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพอดี
“ปลายอ้อ คุณเป็นไงบ้าง” ศุภกฤตมองหน้าปอแก้วกับอภิวัช แล้วชะงัก แซวเบาๆ “แหม มาเยี่ยมกันพร้อมหน้าเลยนะครับ”
“ฉันกำลังจะกลับพอดี ถ้างั้นฉันฝากคุณเฝ้าด้วยก็แล้วกัน อย่าปล่อยให้วิ่งออกไปให้รถที่ไหนชนอีกนะ”
ปอแก้วหันไปทางปลายอ้อเชิงบอกแล้วเดินออกไปพร้อมกับอภิวัช ศุภกฤตมองตามงงๆ
“เจ้านายคุณพูดเรื่องอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจเลย”
ปลายอ้อยักไหล่ แล้วให้พยาบาลเข็นรถไปที่ห้อง โดยมีศุภกฤตเดินตาม
ปอแก้วกับอภิวัชเดินมาที่รถ ต่างคนต่างเงียบไม่มีอะไรคุยกัน จนกระทั่งปอแก้วเป็นฝ่ายโพล่งขึ้น
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยออกตัวให้ฉัน เรื่องคำแนะนำให้ยัยนั่นรักษาเนื้อรักษาตัว”
“ก็ผมรู้นี่ว่าคุณพูดจริง เรียนมาด้านนี้จริงๆ ไม่ได้ยกเมฆ”
ปอแก้วมองอภิวัชยิ้มๆ
“แสดงว่าคุณไม่ได้โกรธฉันแล้วนะ ถึงช่วยปกป้องฉัน”
อภิวัชทำไก๋พูดงอนๆ “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องเมื่อวันก่อนไงคะ ฉันรู้นะว่าฉันทำให้คุณเสียใจ”
อภิวัชถอนใจยาว
“เอาเถอะ ตอนนั้นอารมณ์ผมก็กำลังกรุ่นๆ ก็เลยพูดอะไรไม่ทันได้คิด แต่พอมีสติ ผมก็เข้าใจคุณแหละ ก็ผมรู้จักพ่อคุณนี่”
ปอแก้วฟังแล้วยิ้มชื่นใจ อภิวัชจับมือคนรักขึ้นมากุมบีบเบาๆ
“ก็เอาเป็นว่า จะก้าวเร็วหรือช้า ก็ขอให้เราก้าวไปพร้อมกันแล้วกันนะแก้ว”
ปอแก้วยิ้มตื้นตัน แล้วเอามืออีกข้างกุมมืออภิวัช
“ค่ะ ถ้างั้นเราเริ่มก้าวที่สองวันนี้เลยดีไหมคะ”
“หมายความว่าไง”
“ไปทานข้าวที่บ้านฉัน”
“แล้วคุณพ่อคุณจะยอมเหรอ ไม่ใช่อาละวาดเขวี้ยงจานใส่ผมนะ”
ปอแก้วหัวเราะ “ปกติมื้อเย็นคุณพ่อไม่กลับมากินที่บ้านหรอกค่ะ มีแต่คุณแม่ ฉันอยากให้คุณแม่ได้รู้จักคุณมากขึ้น”
อภิวัชฟังแล้วใจชื้น พยักหน้าตกลง แล้วเดินไปที่รถที่จอดอยู่ข้างกัน
ค่ำนั้น พรทิพย์มีสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน คอยตักอาหารใส่จานให้อภิวัชอย่างเอ็นดู อภิวัชรีบขอบคุณ
“ตกลงว่าคุณรู้จักกับปอแก้วได้ยังไงนะ”
“เราอยู่ชมรมนักศึกษาเอเชียด้วยกันน่ะครับ แล้วในรุ่นนั้นก็มีผมกับปอแก้วที่เป็นคนไทยแค่สองคน เวลามีงานอะไรที่ต้องโชว์วัฒนธรรมเอเชีย เราก็เลยต้องจับคู่กันแสดง”
“แล้วแสดงอะไรกันล่ะ”
“ก็ร้องเพลงนี่แหละค่ะ คุณวัชเขาเล่นดนตรีเก่ง แต่งเพลงเพราะด้วย แก้วก็มีหน้าที่ร้องไป”
“จริงเหรอ”
ปอแก้วยิ้มให้กับอภิวัชแต่พูดกับมารดา “ให้คุณแม่พิสูจน์ดีไหมคะ”
อภิวัชเลิกคิ้วมองฉงน ไม่แน่ใจว่าปอแก้วหมายถึงอะไร
หลังมื้อค่ำ ปอแก้วเปิดไฟล์เอ็มวีที่อภิวัชทำให้เข้ากับโน้ตบุ๊ค เอามาให้พรทิพย์ดูเสียบกับหูฟัง
“เป็นไงคะ สมกับที่แก้วคุยไหม”
“เพราะมากเลย นี่คุณไม่เคยแต่งเพลงลูกทุ่งจริงๆ เหรอ” คุณพรทิพย์ทึ่งมาก
“จริงๆ ผมแต่งเป็นป๊อปไว้น่ะครับ แล้วมาเปลี่ยนเป็นลูกทุ่ง เพราะอยากลองทำอะไรที่ท้าทายดู”
พรทิพย์สะดุดน้ำเสียงคนร้องเพลง “แล้วนี่เสียงใคร เพราะเชียว”
ปอแก้วไม่ตอบแต่ทำหน้าอมยิ้ม พรทิพย์เอะใจ หันไปมองอุทานอย่างตื่นเต้นคาดไม่ถึง
“ตายแล้วยายแก้ว”
อภิวัชเสริมทันทีว่า “ทุกคนทึ่งกันหมดเลยครับ แต่ผมก็ไม่ได้บอกใครว่าเป็นเสียงปอแก้ว”
“แม่ไม่รู้เลยว่าแก้วร้องเพลงลูกทุ่งได้ขนาดนี้ เก่งมากนะลูก”
“ก็แก้วมีสายเลือดลูกทุ่งนี่คะ”
ปอแก้วยิ้มปลื้ม แล้วกอดซบไหล่พรทิพย์อย่างอ้อนๆ มารดา
อีกฝั่ง ยุพาจัดสำรับอาหารกำลังจะกินข้าวกับอัปสร เห็นบุญทิ้งเดินเข้าบ้านมาพอดี
“อ้าว ไอ้ทิ้ง”
“ฉันเอาแหนมมาฝากจ้ะ เห็นน้ายุกับน้าสรติดใจนักหนา ก็เลยสั่งมาให้กิน”
“แหม ดีๆ ข้ากำลังเปรี้ยวปากอยากกินพอดี พูดถึงก็ยังงงว่าตกลงใครมันสั่งวะ”
“เอ่อ ไอ้อ้อจ้ะ” บุญทิ้งรีบโบ้ย “ไอ้อ้อมันชอบของเจ้านี้”
อัปสรที่สีหน้ากังวลอยู่ไม่หาย มองหาปลายอ้อ หน้าเสียที่ไม่เจอลูก
“แล้วปลายอ้อล่ะ ไม่ได้มาด้วยเหรอ”
บุญทิ้งชะงักคิดคำแก้ตัว “คือ...มันติดซ้อมเพลงน่ะจ้ะน้าสร แต่ฉันมาทำธุระแถวนี้พอดีก็เลยแวะมา”
ยุพาบอกว่า “พี่สรเขาฝันไม่ดี ก็เลยคิดกังวลว่าลูกเขามีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
บุญทิ้งหน้าเสีย ส่อพิรุธมากขึ้น พอตั้งสติได้ก็ทำเสียงดังกลบเกลื่อน
“โอ๊ย มันสบายดีน้าสร ตอนนี้มันกำลังซุ่มทำเพลงอยู่ เป็นเพลงประกอบโฆษณา เดี๋ยวก็จะได้ไปออกอีเวนท์กับเขา น้าสรรอดูได้เลย”
ยุพาพยักพเยิดกับอัปสร “นั่นไง เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าพี่สรคิดมากไปเอง”
“งั้นฝากบอกปลายอ้อด้วยนะว่าน้าจะรอฟัง”
อัปสรยิ้มออก คลายความทุกข์ในใจลง ขณะที่บุญทิ้งหน้าเสีย รู้สึกผิดที่ต้องโกหกสองคน
ศุภกฤตเลื่อนเก้าอี้มานั่งคุยข้างๆเตียงกับปลายอ้อ
“คุณไปทำข่าวที่ค่ายเพลงฉันมาใช่ไหม ตำรวจจับคนร้ายได้หรือยัง”
“เห็นว่ายังนะ ผมว่าตำรวจก็คงรอสอบปากคำคุณอยู่ด้วย คุณจำหน้าคนร้ายได้บ้างไหม”
ศุภกฤตถามๆ แล้วนึกได้ รีบออกตัว ยกมือโชว์ความบริสุทธิ์ใจ
“รับรองว่าไม่เอาไปเขียนข่าวหรอก ถามแบบเพื่อน”
ปลายอ้อส่ายหน้า “พวกมันใส่โม่ง แต่ถึงไม่ใส่ ฉันก็จำหน้าพวกมันไม่ได้”
พร้อมกับว่าปลายอ้อนิ่งคิด นึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนถูกทำร้าย
“เพราะพวกมันเข้ามาจับฉันทางด้านหลัง แล้วอีกก็ต่อยท้องฉัน”
“คุณหมดสติไปเลยเหรอ”
“ฉันรู้สึกมึนชาๆ” ปลายอ้อพยายามคิด “แต่ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนฉันได้ยินมันพูดกัน”
ศุภกฤตสนใจ “พูดว่าอะไร”
ปลายอ้อขมวดคิ้ว นิ่งคิด เสียงคนร้ายดังก้องในหูหัว
คนร้ายกระซิบบอกกันว่า “บีบคอมันแรงๆ ตรงกล่องเสียงมัน”
“ถ้ามันตายล่ะพี่”
“ก็อย่าเอาถึงตายสิวะ เอาแค่ร้องเพลงไม่ได้”
ปลายอ้อทบทวนแล้วเหมือนนึกออก รีบพูดอย่างตื่นเต้น
“พวกมันจงใจบีบคอฉัน จะให้ฉันร้องเพลงไม่ได้”
“ถ้างั้นพวกนี้ก็ไม่ใช่พวกขี้ยาจี้ปล้นทั่วไป มันจงใจเข้ามาทำร้ายคุณโดยเฉพาะ คุณควรจะบอกเรื่องนี้กับตำรวจ” ศุกกฤตวิแคะ
ปลายอ้อพยักหน้าเห็นด้วยตามกัน มีเสียงประตูห้องเปิดออก เห็นเสี่ยบูรพาโผล่เข้ามา
“ปลายอ้อ”
บูรพานั่งลงที่เก้าอี้รับรอง ทอดสายตามองปลายอ้อกับศุภกฤตอย่างจับสังเกต
“ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังมีแขก ต้องขอโทษด้วย”
ปลายอ้ออึกอัก กลัวบูรพาเข้าใจผิดแล้วแผนแตก “คุณศุภกฤตเพื่อนอ้อเองค่ะ”
บูรพาจ้องหน้าศุภกฤต “ผมจำคุณได้ คุณเป็นนักข่าว”
“ใช่ครับ”
ศุภกฤตตอบแบบมึนตึง ไม่ค่อยชอบให้บูรพามาป้วนเปี้ยนกับปลายอ้อเท่าไร
บูรพามองนิ่งๆ ถามหยั่งเชิง “แต่ท่าทางคุณจะสนิทสนมกับปลายอ้อมาก คนที่ค่ายเคยเปรยๆ ว่าปลายอ้อมีแฟนแล้ว คงเป็นคุณละมั้ง”
“อุ๊ย ไม่ใช่หรอกค่ะเสี่ย อย่างคุณศุภกฤตไม่ใช่สเป็กอ้อซักหน่อย”
ปลายอ้อรีบพูดปฏิเสธ พลางส่งสายตาหวานให้บูรพา จนศุภกฤตสังเกตเห็นได้
“อีกอย่างอ้อไม่กล้าคบนักข่าวหรอกค่ะ เดี๋ยวคุณกฤตจะหาว่าอ้อหลอกใช้อาชีพเขาสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง”
สีหน้าบูรพาดีขึ้นทันตาเห็น ที่ได้ยินคำยืนยันของปลายอ้อ
“ได้ยินอย่างนี้ ฉันก็ดีใจ เธอจะเป็นนักร้องก็ยังไม่ควรรีบมีใคร เพราะถึงแฟนเพลงสมัยนี้จะรับได้ แต่เขาก็คงอยากให้ศิลปินที่ตัวเองชอบ ยังไม่มีเจ้าของมากกว่า”
บูรพาส่งสายตาวิบวับมีความหมายลึกซึ้งให้ปลายอ้อ แต่พอเห็นศุภกฤตมองอยู่ก็ทำเป็นตัดบท พูดเป็นงานเป็นการ
“เอาเถอะ ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาเลคเชอร์เรื่องนี้กับเธอหรอก ฉันอยากมาเยี่ยม ขอโทษจริงๆ ที่เพิ่งมา ก็มัวแต่คุยกับตำรวจเรื่องคดีนี่แหละ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เสี่ยมาเยี่ยมอ้อก็ดีใจแล้ว” เธอหันไปหาศุภกฤต “คุณกฤตมาอยู่เป็นเพื่อนฉันนานแล้ว จะกลับไปก่อนก็ได้นะคะ”
ศุภกฤตอึ้งที่ปลายอ้อออกปากไล่อ้อมๆ และยิ่งรู้สึกผิดหวังที่เหมือนปลายอ้ออยากอยู่ใกล้บูรพา ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรับเอาคำแล้วลุกขึ้น
“แล้วผมจะมาเยี่ยมใหม่นะ อาจจะไปเยี่ยมที่ค่าย ตอนที่คุณกลับบ้านแล้ว”
ศุภกฤตเดินออกจากห้องไป แต่ไม่วายแอบหันมามองปลายอ้อกับบูรพาอย่างสงสัย
วันนี้ แววเดือน พร้อมกับ เกวลี และเจนนี่พากันเข้ามาที่ห้องซ้อม แปลกใจที่เห็นเพียงฟ้าเปิดเพลงดังลั่นซ้อมเต้น มีลั้นลาอยู่ด้วยกัน
“ต๊ายตาย ผีหลอกพวกเราอยู่เหรอเปล่าเจนนี่ ทำไมนักร้องติดโทษแบนมันถึงแหกขี้ตามาซ้อมเต้นแต่เช้าล่ะวะเนี่ย”
เจนนี่แดกดันเสริมว่า “ก็คงว่างจัดไม่มีอะไรทำมั้ง หรือไม่ก็มาสร้างภาพอัพไอจี”
แววเดือนกับเจนนี่หัวเราะคิกคักใส่กัน เพียงฟ้าเบ้ปากไม่แคร์
“ถึงฉันจะโดนแบน แต่ฉันก็ต้องทำตัวให้พร้อมไว้เสมอย่ะ ขืนอยู่เฉยๆ เหมือนอีพวกนักร้องตกอับไม่มีคนจ้าง อีกหน่อยไขข้อก็คงเสื่อมหมด เพราะไม่มีโอกาสได้ร้องเต้นบนเวทีเหมือนคนอื่นเขา”
“ฉันกับแกจะต่างอะไรกันนักหนา ก็นักร้องว่างงานทั้งคู่แหละวะ”
“กล้าดียังไงเอาตัวเองมาเทียบกับฉัน อีนังเดือนดับ ฉันพักงานอย่างมากก็ซักเดือนเดียว แฟนๆ ก็ถามหาแล้ว แต่แฟนเพลงแก เขาหนีไปเห่อนักร้องคนอื่นหมดแล้วมั้ง”
“ปากดีนักอีผีฟ้า”
แววเดือนเดือดดาลจิกผมเพียงฟ้าหมับ เพียงฟ้าไม่ยอมจิกผมคืน เกวลีรีบเข้าไปแยก
“พอเถอะค่ะ เราจะซ้อมเต้นกันไม่ใช่เหรอคะ”
เพียงฟ้าสะบัดมือออกจากแววเดือน
“ฉันไม่ซ้อมแล้ว เดี๋ยวเหงื่อของพวกนักร้องกระจอกอย่างแกจะกระเด็นใส่ฉันให้เป็นกาลกิณี”
เพียงฟ้าหยิบกระเป๋ากับข้าวของตัวเอง แล้วเดินเชิดออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เพียงฟ้าเห็นเบอร์รีบกดรับสาย
“ฮัลโหล”
เพียงฟ้ามีสีหน้าตกใจ หันซ้ายหันขวารีบลงจากสตูดิโอซ้อม
เพียงฟ้านั่งรออยู่ในรถบริเวณริมถนนหน้าคอนโดหรูของเธอ ไม่นานนักก็เห็นชาย 2 คนเดินมาเปิดรถแล้วขึ้นนั่งตอนหลัง
“ฉันบอกแกแก้วไม่ใช่เหรอว่าจะติดต่อไปเอง” เพียงฟ้าตำหนิเสียงขุ่น
“ก็คุณหายไปเลย พวกเรากลัวคุณจะเบี้ยว” ชาย1 บอก
“คนระดับฉันเนี่ยนะจะเบี้ยวแก ฉันแค่รอฟังผลก่อนว่านังปลายอ้อมันจะร้องเพลงไม่ได้จริงไหม”
ชาย2 “ก็ตอนนี้มันอยู่โรงพยาบาลแล้วไม่ใช่เหรอ เท่ากับพวกเราทำงานสำเร็จแล้ว” ชาย2 ว่า
ที่แท้พวกมันคือไอ้โม่งสองคนที่ทำร้ายปลายอ้อนั่นเอง
“คุณจ่ายมาดีๆ อย่าตุกติก ถ้าไม่อยากโดนแฉ” ชาย1 ขู่
“รับเงินไปแล้วก็ไม่ต้องโผล่หน้ามาแถวนี้อีกนะ จำไว้ว่าฉันไม่รู้จักพวกแก”
เพียงฟ้าควักเงินในซองที่เตรียมมายื่นให้ ชาย1 นับเงินเร็วๆ แล้วพยักหน้าชาย2 แล้วพากันลงรถไป
เพียงฟ้ากำลังจะออกรถ แต่ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนเคาะกระจก เห็นไปมองเห็นลั้นลายื่นหน้ายิ้มให้อยู่นอกรถ
เพียงฟ้าเปิดกระจกทัก “เจ๊ มาจากไหนเนี่ย”
“ฉันมารอแกอยู่ที่ล็อบบี้คอนโด เห็นรถแกจอดริมถนน ตั้งนานเลยออกมาดู ไอ้สองคนนั้นเป็นใครน่ะ”
เพียงฟ้าอึกอักไม่กล้าตอบ ลั้นลายิ่งสงสัย ก้าวขึ้นมานั่งคู่ทันที
“ตอนแรกฉันนึกว่ามันมาปล้นแกซะอีก ท่าทางอย่างกับพวกโจร”
เพียงฟ้าทำท่าลำบากใจไม่กล้าสบตา อยู่ๆ ลั้นลาก็คิดได้เอง ร้องออกมา
“ตายแล้ว หรือว่าไอ้พวกนั้นจะเป็น...”
เพียงฟ้าค้อนขวับ “ถ้าฉันจ้างเจ๊เก็บความลับ จะคิดเท่าไร”
ลั้นลาอึ้งๆ แต่แล้วก็ยิ้มพรายออกมา ดีใจที่จู่ๆ ส้มหล่นได้เงินใช้ฟรีๆ
เกวลี แววเดือน เจนนี่กลับมาจากซ้อมเต้น เห็นบุญทิ้งพาปลายอ้อกลับมาถึงบ้านพอดี
“อ้อ” เกวลียิ้มดีใจ ไม่ต่างจากแววเดือนกะเจนนี่ที่ปรี่เข้ามาหา
“เฮ้ย กลับมาแล้วเหรอวะ”
“แกหายแล้วเหรอไอ้อ้อ ทำไมเร็วจัง”
“มันดื้อจะกลับจนหมอเขาต้องยอมปล่อยตัวมาน่ะสิ” บุญทิ้งว่า
“ฉันหายแล้วพี่ทิ้ง ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย”
แววเดือนลูบหัว “เฮ้อ ขวัญเอ๊ยขวัญมา แกนี่มันซวยซ้ำซวยซ้อนซะจริงๆ ขอให้ทีนี้หมดทุกข์โศกเสียทีเถอะวะ”
“แกคงต้องไปรดน้ำมนต์จริงๆ จังๆ แล้วล่ะไอ้อ้อ” เจนนี่เห็นด้วย
“เออ ฉันไปด้วย เผื่อดวงมันจะดีกว่านี้”
แววเดือน เจนนี่ เกวลีเข้ามากอดให้กำลังใจปลายอ้อ สีหน้าปลายอ้อดูออกว่าสบายใจขึ้น
เกวลีประคองปลายอ้อมาที่เตียงนอนในห้อง
“นอนพักก่อนนะ ถ้าจะเอาอะไรก็เรียกฉัน ฉันจะลงไปเตรียมแหนมข้างล่าง”
“ขอบใจมากนะลี”
เกวลีออกไป ปลายอ้อลงนอนบนเตียง ล้วงมือเข้าไปใต้หมอน เจอแฟลชไดรฟ์ที่เซฟเพลงที่ต้องใช้เข้าห้องอัดมา นึกได้
ปลายอ้อหยิบมือถือมาเปิดเพลงที่โหลดมาจากแฟลชไดรฟ์ ตั้งท่าซ้อมเสียงร้องเพลง
เสียงอินโทรเพลงดังขึ้น ปลายอ้อกระแอมเบาๆ เรียกเสียง แต่พอเริ่มร้องได้เพียงประโยคแรกก็เจ็บคอจนต้องหยุด แล้วไอออกมา ปลายอ้อพยายามร้องอีกครั้ง แต่เสียงขาดๆ หาย เจ็บคอจนต้องหยุดคราวนี้ไอจนตัวโยน
ปลายอ้อรู้สึกแย่กดปิดเพลง แล้วขว้างมือถือลงบนเตียง ฟุบหน้าลงร้องไห้กับหมอน
ขณะที่เกวลีจัดแหนมใส่ห่อ ฮัมเพลงไปด้วย ปลายอ้อเดินลงมาจากชั้นบน ได้ยินเสียงเกวลีร้องเพลง เกวลีไม่รู้ว่าปลายอ้อมองอยู่ ร้องเพลงเบาๆ ระหว่างจัดแหนมใบตองใส่ห่ออย่างเพลิดเพลิน
ปลายอ้อมองๆ เกวลีที่ร้องเพลงอย่างมีความสุข เกวลีเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี
“อ้าวอ้อ จะเอาอะไรจ๊ะ หิวเหรอ”
“เปล่า เธอร้องเพลงอะไร”
เกวลีชะงัก สีหน้าอับอาย ก่อนจะสารภาพ
“เพลงของอ้อ คือ...ฉันแอบเปิดฟังตอนที่อ้อไม่อยู่ เห็นว่ามันเพราะดีก็เลยลองเอามาร้องเล่น ขอโทษนะที่ละลาบละล้วง ฉันจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วจ้ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ใช่เพลงของฉันอีกแล้วนี่”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิอ้อ”
ปลายอ้อมองเกวลีอย่างใช้ความคิด
“ร้องให้ฉันฟังอีกทีได้ไหม”
เกวลีตกใจระคนเขินๆ
ปอแก้วเอ่ยปากทักถามอาการเมื่อเห็นปลายอ้อเข้ามาพบ โดยพาเกวลีมาด้วย
“หายดีแล้วเหรอปลายอ้อ”
“ยังค่ะ แต่ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
ปลายอ้อผลักเกวลีออกมาด้านหน้า เกวลีงงๆ ไม่รู้ว่าปลายอ้อจะทำอะไร
“เรื่องอะไร แล้วเกวลีมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“คือยังไง ฉันก็คงเข้าห้องอัดเพลงตามกำหนดไม่ได้ ฉันก็เลยอยากจะเสนอให้เกวลีมาร้องเพลงแทนค่ะ”
เกวลีตกใจ “อ้อ”
“เกวลีร้องเพลงเก่งนะคะ เสียงเพราะกว่าฉันอีก คุณน่าจะลองพิจารณาดู”
ปอแก้วมองหน้าเกวลีที่ก้มหน้างุดด้วยความอาย ก่อนจะหยุดสายตรงหน้าปลายอ้อ ถามอย่างเอาเรื่อง
“เธอคิดว่าเธอเป็นฝ่ายบริหารศิลปินไปตั้งแต่เมื่อไร ถึงได้มีสิทธิ์เอาคนนั้นคนนี้มาเสนอฉัน”
เกวลีหน้าเจื่อน กระซิบปลายอ้อ “อ้อ ฉันบอกแล้วเห็นไหม”
“ฉันก็แค่ไม่อยากให้บริษัทต้องเสียหาย ถ้าจะยกเลิกงานเพราะฉันไม่สามารถร้องเพลงได้”
“แต่เธอกับเกวลีไม่ใช่สินค้าที่จะมาทดแทนกันได้” ปอแก้วหันไปหาเกวลี เสียงอ่อนลง “ฉันขอโทษนะเกวลี แต่ฉันต้องพูดตรงๆ ว่าเธอรับงานนี้ไม่ได้หรอก มันไม่เหมาะกับคาแรกเตอร์ของเธอ”
“ลีเข้าใจค่ะ”
“อย่างน้อยคุณน่าจะให้เกวลีได้ลองเข้าห้องอัดดูก่อน” ปลายอ้อติง
ปอแก้วยิ้มเยาะ “ถ้าเธออยากจะเปลี่ยนตำแหน่งจากศิลปินมาเป็นผู้บริหาร ก็มาสมัครให้ตรงตำแหน่งดีไหม”
ปลายอ้ออ้าปากจะเถียงอีก เกวลีรีบกระตุกแขน
“พอแล้วอ้อ เชื่อที่คุณปอแก้วพูดเถอะ ขอโทษนะคะที่พวกเรามารบกวน
เกวลีรีบดึงปลายอ้อออกไปจากห้อง
เกวลีเดินคอตกมานั่งเศร้าๆ อยู่ที่ม้านั่งมุมพักผ่อนในตึก ปลายอ้อตามมาสีหน้าไม่พอใจ
“ทำไมเธอถึงยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ ควรจะต้องตื๊อให้ถึงที่สุดสิ ดูฉันเป็นตัวอย่าง”
“ไม่ล่ะ คุณปอแก้วพูดถูก ฉันกับเธอไม่เหมือนกัน เราเป็นตัวแทนกันไม่ได้”
“แต่นี่มันเป็นโอกาสของเธอแล้วนะลี”
“มันไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะตัดสินใจ” เกวลียิ้มเศร้า “ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันก็คงจะน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ตอนนี้ ฉันเข้าใจอะไรๆ ดีขึ้นมากแล้ว ถ้าฉันยังไม่ได้โอกาสเหมือนเธอ ก็เพราะเวลาของฉันยังมาไม่ถึง เท่านั้นเอง”
“แต่ฉันเสียดายแทนเธอ ถ้าฉันไม่ได้งานนี้ ฉันก็อยากให้เธอได้ไป บางทีมันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเธอก็ได้”
“ทำไงได้ล่ะ คุณปอแก้วบอกว่าฉันไม่เหมาะบางทีเธออาจจะมีคนอยู่ในใจอยู่แล้ว”
ปลายอ้อสนใจ “ใคร พี่แววเดือนงี้เหรอ”
เกวลียักไหล่ ไม่รู้เหมือนกัน
ด้านปอแก้วนั่งเอามือกุมหัวอยู่ในโถงบ้าน คิดไม่ตกเหมือนกัน
“เป็นแววเดือนไม่ได้หรอกค่ะน้าโสม เพลงสไตล์นี้แววเดือนร้องเอาไม่อยู่แน่ แล้วอีกอย่างกลุ่มแฟนคลับเขาก็มีไม่มาก ลูกค้าคงไม่อยากได้”
แสงโสมถอนใจ “นอกนั้นเราเหลือแต่นักร้องชาย อย่างเบิ้ม สุทธิราช อ๊อด อัครพรรณ อะไรพวกนั้น”
“นักร้องชายยิ่งแล้วใหญ่เลย ไม่เข้ากับสินค้า”
“ก็ไม่มีแล้วล่ะค่ะ” แสงโสมนึกได้อีกคน “ป้าเพ็ญ”
ปอแก้วเหล่มองตาเขียว แสงโสมหัวเราะแหะๆ
“น้าก็เสนอเล่นไปงั้นแล้ว มันไม่มีใครแล้วนี่คะ”
“ถ้างั้นเราคงก็ต้องคุยกับลูกค้าเรื่องขอยกเลิกงาน แล้วก็จ่ายค่าปรับไป”
พรทิพย์ที่นั่งฟังอยู่นานโพล่งขึ้นมา
“มันไม่น่าเสียดายเหรอลูก อยู่ๆ ก็ไปแคนเซิลงาน ทั้งที่เรารับทำแล้ว”
“ถ้าลูกค้ารอปลายอ้อไม่ได้ ก็คงต้องยอมค่ะคุณแม่ เพราะไม่เหลือใครแล้ว”
“เท่าที่แม่ฟัง ตัวเลือกเราก็ยังมีนะ แต่หนูไม่เอาเอง เพราะตัวเลือกไม่ถูกใจหนู แต่แม่ว่าถ้าชั่งน้ำหนักระหว่างการเสียงานไปให้คู่แข่ง กับเก็บงานนี้ไว้ และใช้ไพ่เท่าที่เรามีอยู่ในมือ อย่างหลังน่าจะคุ้มกว่าไหมจ๊ะ”
ปอแก้วมีสีหน้าลังเลไม่คลาย พอหันไปมอง พรทิพย์พยักหน้าเชิงบอกให้เชื่อแม่
เพ็ญยกจานอาหารมาวางตรงหน้าศุภกฤตหลายจาน
“กินเยอะๆ ข้าเพิ่มพิเศษให้ทุกจาน ถือว่าต้อนรับเอ็งกลับบ้าน”
“ฉันกินได้ที่ไหนล่ะป้า ของเผ็ด เดี๋ยวเส้นเสียงเสียหาย”
“เออว่ะ เดี๋ยวข้าไปทำอะไรจืดๆ ให้ก็แล้วกัน อันนี้ให้คุณนักข่าวเขากินคนเดียว”
เพ็ญกลับไปตำส้มตำ ปลายอ้อย้ายจานอาหารไปใกล้ๆ ศุภกฤต
“เอาเลย ถือว่าฉันเลี้ยง”
“เนื่องในโอกาสอะไร”
“ก็เมื่อวานคุณอุตส่าห์ไปอยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล”
ศุภกฤตมองปลายอ้ออย่างข้องใจ แล้วตัดสินใจลองถามหยั่งเชิงขึ้นมา
“อย่างนี้คุณต้องเลี้ยงข้าวเสี่ยด้วยหรือเปล่า ที่ไปเฝ้าไข้คุณที่โรงพยาบาลต่อจากผม”
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ”
“ก็คุณทำเหมือนดีใจที่เสี่ยมาหา”
ศุภกฤตพูดด้วยน้ำเสียงขวางขุ่น ไม่สบอารมณ์ ปลายอ้อกลั้นยิ้มมีเลศนัย
“ปลายอ้อ คุณมีเรื่องวุ่นวายในชีวิตเพราะเสี่ยบูรพามาเยอะแล้วนะ จะทำอะไรคิดให้ดีๆ”
“เสี่ยเป็นคนผลักดันให้ฉันมาอยู่ตรงจุดนี้ ฉันก็ต้องรักษามารยาทกับเขา ปฏิบัติกับเขาเหมือนที่เขาคาดหวังว่าจะได้รับ ก็เท่านั้นเอง”
“แต่ยิ่งคุณทำแบบนี้ อาจจะทำให้เขาเข้าใจผิด แล้วก็เพิ่มความหวังในตัวคุณมากขึ้นเรื่อยๆ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณ ฉันก็มีลิมิตเหมือนกันว่าฉันจะตอบแทนเขาได้แค่ไหน”
“ผมไม่อยากให้คุณพลาดนะปลายอ้อ”
ปลายอ้อมองหน้าศุภกฤตยิ้มๆ
“นี่ห่วงฉันหรือว่าหึง”
“เฮ้ย” ศุภกฤตตกใจพอๆ กับเขิน “ห่วง! เพราะผมรู้จักคุณตั้งแต่วันแรกที่คุณพยายามเดินเข้ามาในวงการนี้ ผมนับถือความมุ่งมั่นของคุณ แล้วก็ไม่อยากเห็นปลายทางของคุณบิดเบี้ยวไปจากตอนแรกที่ตั้งใจไว้W
ปลายอ้อยิ้มชื่นตื้นตันใจ ยื่นมือมาแตะมือศุภกฤต
“ขอบคุณนะคุณศุภกฤต แต่ฉันไม่ใช่สาวบ้านนอกคนซื่อที่จะหวั่นไหวไปกับเสี่ยบูรพาได้หรอก ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่” ปลายอ้อยิ้มมีเลศนัย
ศุภกฤตสบายใจขึ้น แต่ลึกๆ ก็ยังไม่เข้าใจรอยยิ้มประหลาดของปลายอ้อ
เพ็ญเดินผ่านมาเห็นปลายอ้อจับมือศุภกฤต ก็อมยิ้ม
ค่ำนั้น ปลายอ้อช่วยเพ็ญเก็บล้างอยู่หลังร้าน
“ตกลงคุณนักข่าวเขายังไงกับเอ็งวะปลายอ้อ”
“ก็ไม่ยังไงนี่ ป้าหมายความว่าไง”
“ก็ข้าเห็นเอ็งจับมือถือแขนกัน”
“อุ๊ย ก็แบบเพื่อนน่ะป้า ฉันกับเขาคบกันมาแบบเพื่อนตั้งแต่ต้น มันเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก”
“ทำไมวะ เขาก็ดูเป็นคนดี เป็นห่วงเป็นใยช่วยเหลือแกมาตั้งหลายครั้ง แกไม่ยอมเปิดใจเองหรือเปล่า”
ปลายอ้อนิ่งคิด เพ็ญพูดให้สติ
“ผู้ชายน่ะ เขาไม่ทำอะไรแบบนี้ให้ผู้หญิงโดยไม่คิดอะไรหรอก ถ้าไม่ใชญาติพี่น้องตามกันมา”
“แต่เขาก็ไม่เห็นแสดงออกตรงๆ ว่าจีบฉันเลยนี่”
“เขาอาจจะไม่กล้าก็ได้ เพราะเอ็งวางท่าเป็นเพื่อนเขาตลอดเวลา ที่เขาเรียกว่าเฟรนด์โซนอะ”
“อุ๊ยป้าเพ็ญ ทำไมสมัยใหม่ขนาดนี้”
“ข้าก็รู้มั่งสิวะ แหม โซเชียลก็เล่นนะโว้ย ไม่ใช่มนุษย์ป้ากะโหลกกะลา” เพ็ญมองค้อน ปลายอ้อหัวเราะคิก เพ็ญพูดจริงจังมากขึ้น
“พูดจริงๆ นะ ข้าว่าเขาเป็นคนดี ถ้าเอ็งเปิดใจคบหากับเขา จะได้ช่วยปกป้องไม่ให้คนไม่ดีมาวุ่นวายกับเอ็ง”
“ป้าหมายถึงเสี่ยบูรพาใช่ไหม เมื่อคืนเสี่ยยังบอกฉันอยู่เลยว่าอย่าเพิ่งมีแฟน เดี๋ยวจะมีผลกระทบกับความนิยม”
เพ็ญตบเข่าดังฉาด “นั่นไง กูว่าแล้ว”
“แต่ฉันก็ยังไม่คิดอะไรกับใครจริงๆ นะตอนนี้ ฉันอยากทำเป้าหมายของฉันให้สำเร็จก่อน”
“หมายถึงเรื่องการเป็นนักร้องน่ะเหรอ”
ปลายอ้อยิ้มๆ แต่ไม่ยอมบอกตรงๆ ว่าเรื่องอะไรแน่ เพ็ญถอนใจ
“ระวังนะเว้ยปลายอ้อ ไอ้การที่มุ่งแต่จะเดินไปข้างหน้าให้ถึงจุดหมาย โดยไม่สนใจเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ระหว่างทางไปด้วย สุดท้ายเอ็งอาจจะยืนอยู่ที่เส้นชัยคนเดียว แล้วก็พบว่ามันไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เอ็งเสียไปเลย”
ปลายอ้อนิ่งฟังเงียบๆ ไม่ได้เก็บไปคิดตาม ได้แต่ยิ้มเบาๆ ปล่อยให้คำพูดนั้นผ่านหูไป
ด้านเพียงฟ้านอนซบอกบูรพาอยู่บนเตียงนอนที่คอนโด ออดอ้อนนัวเนียเอาใจเต็มที่ หลังจากเห็นโอกาสทองที่จะแย่งงานกลับคืนมา
“อะไรนะ เธออยากจะร้องเพลงโฆษณาแทนปลายอ้อ”
“ใช่ค่ะ ไหนๆ แม่นั่นก็รับงานนี้ไม่ได้แล้ว ให้ฟ้าไปร้องแทนไม่ดีเหรอคะ”
“แต่เธอยังถูกปอแก้วลงโทษอยู่”
“เสี่ยก็ไปกล่อมคุณปอแก้วสิคะ ตอนนี้ฟ้าทำตัวดีขึ้นตั้งเยอะ เข้าวัดเข้าวาล้างจิตใจให้สะอาดก็ทำมาแล้ว”
บูรพาถอนใจ ไม่อยากไปการันตีให้อีก เพราะรู้ว่าเพียงฟ้าเปลี่ยนนิสัยไม่ได้จริง เพียงฟ้าอ้อนต่อ
“ฟ้าน่ะอยากช่วยบริษัท เพราะรู้ว่าตอนนี้กำลังวิกฤต ถ้าปลายอ้อมันร้องไม่ได้ ก็คงยกเลิก ค่ายอื่นก็คงมาเสียบงานนี้ไป น่าเสียดาย”
“ปอแก้วคงไม่ยอมหรอก เขายิ่งบ่นว่าฉันทำให้เสียการปกครอง”
“แต่ฟ้าเป็นเมียเสี่ยนะคะ ไม่ใช่แค่ศิลปินในค่าย ใจคอจะไม่ให้โอกาสฟ้าได้กลับเนื้อกลับตัวบ้างเหรอคะ”
เพียงฟ้ากอดซบออดอ้อนจัดหนัก บูรพาโอบเอวกิ๊กนักร้องในค่าย ครุ่นคิดหนัก
วันต่อมา เพียงฟ้านั่งหน้าระรื่นอยู่ตรงหน้าปอแก้ว รู้แล้วว่าเสี่ยบูรพาช่วยเจรจาจนสำเร็จ
ปอแก้วยื่นแฟลชไดรฟ์ให้ “นี่คือเพลงที่เธอต้องเอาไปฝึกร้องเต้นแทนปลายอ้อ”
“เพลงเดียวเท่านั้นเหรอคะ”
“แค่นี้ก็เอาให้รอดก่อนเถอะ อย่าลืมว่ามีเวลาไม่มาก เธอจะต้องเข้าห้องอัดเร็วๆ นี้”
“เข้าวันนี้เลยก็ยังได้ค่ะ ฟ้ามีความเป็นมืออาชีพมากพอ ไม่งั้นคงไม่มาอยู่จุดนี้หรอกค่ะคุณปอแก้ว”
เพียงฟ้าพูดอย่างถือดีอวดเก่งใส่ แล้วเดินเชิดๆ ออกจากห้องไป
เจนนี่นำทีม ปลายอ้อ เกวลี แววเดือน ซ้อมเต้นตามปกติ
“1...2...3...4 1...2...3...4 ดูจังหวะดีๆ”
เพียงฟ้าเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับลั้นลา ตรงไปปิดเพลงทันที
“อะไรวะนังเพียงฟ้า นี่แกหาเรื่องอีกแล้วนะ” แววเดือนฉุน
“ใครที่ไม่เกี่ยวข้อง ออกจากห้องนี้ไปให้หมด” เพียงฟ้าประกาศก้อง
ลั้นลาเสริมว่า “หรือจะให้พูดตรงๆ ก็คือ ทุกคนออกไป ยกเว้นนังเจนนี่”
เจนนี่งง “อะไรของแก”
“เพียงฟ้าจะซ้อมเต้น แล้วแกจะต้องเป็นคนสอน”
เพียงฟ้าลอยหน้าพูดเยาะหยันใส่ปลายอ้อ “หรือจะให้ปลายอ้อช่วยสอนฉันด้วยก็ได้นะ ฉันจะได้เต้นเป็นเร็วๆ”
ปลายอ้อ แววเดือน เกวลีงง
“หมายความว่าไง”
เพียงฟ้าไม่ตอบ แต่ให้ลั้นลาเอาแฟลชไดรฟ์ไปเสียบกับลำโพง จนเพลงของปลายอ้อดังกระหึ่มขึ้น เพียงฟ้าจึงยิ้มเยาะบอกอย่างสะใจ
“คุณปอแก้วให้ฉันซ้อมร้องกับเต้นเพลงนี้ เพื่อเข้าห้องอัดแทนแกไงล่ะปลายอ้อ”
อัปสรเอาผ้ามาส่งลูกค้าในซอย โดยใช้เวลาว่างรับเย็บชุนซ่อมผ้าหารายได้ระหว่างอยู่กับยุพา
“เสื้อที่พี่ฝากแก้ได้แล้วจ้ะ”
“แหม เร็วดีจริง ขอบใจนะจ๊ะ”
เพื่อนบ้านยื่นเงินให้
“ถ้ามีอะไรให้ซ่อมอีกเอาไปส่งที่บ้านได้เลยนะจ๊ะ
ขณะเดินผ่านหน้าร้านกาแฟก่อนถึงบ้าน แดดร้อนเปรี้ยงอัปสรเลยแวะเข้าไปนั่งในร้านกาแฟ
“โอเลี้ยงถุงนึงจ้ะพี่”
ระหว่างนั่งรอ อัปสรเห็นหนังสือพิมพ์เก่าวางบนโต๊ะ จึงหยิบมาดู ข่าวหน้าบันเทิงถูกพับอยู่นั้นมีรูปปลายอ้อ พร้อมพาดหัวข่าว “ดับอนาคตนักร้องดาวรุ่ง ถูกทำร้ายกล่องเสียงพัง”
อัปสรรีบเปิดหนังสือพิมพ์อ่านข่าวต่อด้วยมือสั่นเทา อ่านจบแล้วถึงกับช็อก กรีดร้องออกมาสุดร่างลู่ทิ้งตัวลงกับพื้น ท่ามกลางความตื่นตระหนกตกใจของผู้คนในร้าน
“แอร๊ยยยยย ไม่จริ๊ง.....”
อ่านต่อตอนที่ 12