เทพธิดาขนนก ตอนที่10 | ดาวรุ่งจรัสแสง
บทประพันธ์ : เพ็ญสิริ บทโทรทัศน์ : ปริศนา และ ทีมวันสุข
ปลายอ้อนั่งมาในรถบูรพา โดยมีบุญทิ้งนั่งตอนหลัง ท่าทางเกร็งๆ เป็นกังวลกันทั้งคู่ จนบูรพาถามย้ำ
“ว่าไงล่ะ ตกลงไปไหนกันมา”
“เอ่อ แวะมาเยี่ยมญาติน่ะค่ะ” ปลายอ้อตอบเลี่ยงๆ
“เธอมีญาติอยู่กรุงเทพฯ ด้วยเหรอ เห็นว่าเป็นเด็กโคราชนี่”
“ญาติห่างๆ ค่ะ พวกเรามาอาศัยนอนบ้านเขา ก่อนจะมาอยู่ที่ค่าย”
บูรพาสนใจ “ญาติทางไหนล่ะ ทางพ่อหรือแม่”
บูรพาถามไปเรื่อยๆ อย่างเอ็นดู แต่ทำเอาปลายอ้ออึกอัก แอบสบตาบุญทิ้งผ่านกระจก
“อย่าหาว่าฉันละลาบละล้วงเลยนะ แต่เธอเป็นศิลปินในค่ายเราแล้ว ฉันก็อยากจะรู้ประวัติความเป็นมาบ้าง”
“เป็นญาติทางแม่ค่ะ”
“วันหลังก็พาฉันไปรู้จักบ้างนะ”
บุญทิ้งอดแซวไม่ได้ “แหม นี่เสี่ยไปเยี่ยมบ้านศิลปินในค่ายทุกคนหรือเปล่าครับเนี่ย”
บูรพาเหลือบมองบุญทิ้งผ่านกระจก รู้ว่าโดนแขวะ นึกรำคาญบุญทิ้งนิดๆ
“ไม่หรอก ก็เฉพาะคนที่ฉันเอ็นดูน่ะ”
บูรพาพูดพลางส่งสายตาท้าทายเชิงบอกให้บุญทิ้งรู้ตัวว่ามึงไม่มีปัญญาห้ามอะไรกรูได้ บุญทิ้งฮึดฮัด
บูรพาจอดรถที่หน้าบริษัท ปลายอ้อทำหน้าคิดๆ หันไปบอกบุญทิ้งที่กำลังลงจากรถ
“พี่บุญทิ้งเข้าบ้านไปก่อนนะ”
บุญทิ้งชะงัก หันมามองฉงน “อ้าว แล้วแกจะไปไหน”
“ฉัน” ปลายอ้อพูดกับบุญทิ้งแต่หันมามองหน้าบูรพา “มีเรื่องจะคุยกับเสี่ยหน่อยน่ะ”
บูรพามองแปลกใจ “เธอจะคุยกับฉันเหรอ”
“ค่ะ คือหนูมีเรื่องงานอยากจะปรึกษาเสี่ย” ปลายอ้อยิ้มอ่อน ทำทีเป็นเกรงใจ “แต่ถ้าเสี่ยยังไม่ว่าง เอาไว้วันหลังก็ได้ค่ะ”
ปลายอ้อแกล้งเปิดประตูรถ แต่บูรพาคว้าแขนไว้
“ได้สิ ฉันไม่ได้รีบไปไหน”
บุญทิ้งเห็นบูรพาจับแขนปลายอ้อก็ไม่ค่อยชอบใจ พยายามขัดคอ
“ไว้คุยพรุ่งนี้เถอะไอ้อ้อ นี่มันดึกแล้ว เสี่ยจะได้กลับบ้านไปพักผ่อน”
“ไม่เป็นไรหรอก คงไม่ได้คุยอะไรกันนานหรอกมั้ง นายกลับเข้าบ้านไปก่อนเถอะบุญทิ้ง เดี๋ยวฉันเดินไปส่งปลายอ้อเอง” เสี่ยบอก
บุญทิ้งอ้าปากจะค้าน แต่ปลายอ้อปิดประตูรถ กลับเข้าไปนั่งในรถกับบูรพาสองคนเหมือนเดิม
“ไอ้อ้อ นี่แกคิดจะทำบ้าอะไรของแกวะ”
บุญทิ้งเดินเกาหัวออกมา แล้วนึกได้ว่าต้องหาคนมาขัดจังหวะ รีบวิ่งไปที่บ้านพักศิลปิน
เกวลีใช้ผ้าโพกหัวหมักผมอยู่ และกำลังนั่งจัดแหนมหมูห่อใบตองเป็นแพ็คๆ เช็คตามออเดอร์ที่สั่งไว้
“ครบละ ขายหมดพรุ่งนี้ก็น่าจะมีเงินส่งให้แม่พอดี”
พอเสร็จเรียบร้อยเกวลีลุกขึ้น แกะผ้าโพกหัวออก เอามือแตะๆ ผมดูให้แน่ใจว่าล้างได้แล้ว ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูที่พาดไว้เปลี่ยนชุดเตรียมไปอาบน้ำ
บุญทิ้งวิ่งเข้ามาทางบ้านพัก กดโทรศัพท์หาเกวลี
แต่เกวลีเข้าห้องน้ำปิดประตู เตรียมอาบน้ำ จึงไม่ได้ยินเสียงเพราะวางโทรศัพท์ไว้บนห้อง เกวลีเปิดฝักบัวเสียงดัง บุญทิ้งรอสายเกวลี อย่างร้อนใจ
“ยายแหนม ทำอะไรอยู่วะ”
บุญทิ้งกดตัดสาย วิ่งมาทางบ้านพักศิลปิน ตะโกนเรียก
“ยายแหนม เกวลี”
เกวลีอาบน้ำ ฮัมเพลงแข่งกับเสียงฝักบัว ไม่ได้ยินเสียงบุญทิ้งตะโกนเรียก
“เกวลี”
ปลายอ้อกับบูรพาจอดรถคุยกันอยู่ในรถ บรรยากาศเงียบๆ
“ตกลงเธอมีธุระอะไรจะคุยกับฉัน”
“วันนี้คุณปอแก้วเรียกหนูไปคุยเรื่องเพลงค่ะ คุณปอแก้วจะให้หนูทำซิงเกิ้ลเป็นเพลงที่ใช้ประกวด แต่ต้องไปตามหาตัวคนแต่งเพลงมาเซ็นสัญญา”
“แล้วมีปัญหาอะไรเหรอ”
“หนูไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเพลงค่ะ ก็จำๆ เขามาร้อง ไลน์ดนตรีที่ส่งตอนประกวดพี่บุญทิ้งก็เป็นคนแกะ หนูเลยไม่รู้จะตามหาคนแต่งมาจากไหน”
“แล้วเธอไปฟังมาจากไหน”
ปลายอ้ออึกอัก “ครูสอนร้องเพลงเป็นคนสอนค่ะ แต่ตอนนี้แกไปอยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้”
“ร้องให้ฉันฟังอีกทีได้ไหม เผื่อฉันจะนึกออก”
ปลายอ้อตกใจ เพราะอัปสรสั่งไว้ให้ปิดบูรพา
“เอ่อ ไม่ดีมั้งคะ”
“ลองดู ฉันอยู่กับเพลงลูกทุ่งฉันต้องนึกออกสิว่ามันเป็นเพลงใคร”
ปลายอ้อตีสีหน้าเศร้า แล้วทำเป็นจับมือบูรพา พูดจาออดอ้อน
“แต่อ้อไม่อยากร้องเพลงช้าค่ะ อ้ออยากทำเพลงเร็วๆ แบบคุณเพียงฟ้า”
ไม่เท่านั้นปลายอ้อยังเอนหัวซบไหล่บูรพา ทอดสะพานเต็มที่ บูรพาตกตะลึง ใจโค่แก่เต้นโครมคราม
เกวลีกำลังสระผมอยู่ จู่ๆ น้ำก็หยุดไหล ฟองเข้าหน้าเข้าตา
“โอ๊ย อะไรเนี่ย”
เกวลีคว้ามือเปะปะ หยิบผ้ามาเช็ดฟองที่หน้า แต่ยังแสบตาจนลืมไม่ขึ้น พยายามหมุนเปิดน้ำแต่น้ำไม่ไหล
บุญทิ้งวิ่งเข้ามาในบ้านมองหาเกวลี เห็นเกวลีนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินหลับตาคลำทางจะไปเอาน้ำในครัวมาล้างหน้า สองคนชนกันโครม
“โอ๊ย” / “เฮ้ย”
บุญทิ้งคว้าตัวเกวลีไว้ แต่ดันลื่นฟ้องล้มลงไปด้วยกัน โดยมีบุญทิ้งล้มทับอยู่
เกวลีได้ยินเสียงผู้ชาย ตกใจรีบผละออก “ว้ายใครน่ะ ออกไป เข้ามาได้ยังไง”
“ฉันเองๆ บุญทิ้ง”
“บุญทิ้ง ฮะ นี่ฉันโป๊อยู่ นายเข้ามาได้ยังไง ออกไป๊”
เกวลีทั้งผลักทั้งตบซ้ายตบขวา บุญทิ้งร้องโอดโอย แล้วรีบกระเด้งตัวหนี
ต่อมาเกวลีเอาน้ำขวดในครัวล้างหน้า แล้วเอาผ้าขนหนูคลุมไล่ออกมา
“นายนี่เข้ามาได้จังหวะทุกทีเลย ตั้งใจหรือเปล่าเนี่ย”
“ตั้งใจอะไรเล่า ฉันกำลังร้อนใจ รีบแต่งตัวแล้วออกไปข้างนอกกับฉันเดี๋ยวนี้”
“ไปไหน”
“ไปช่วยไอ้อ้อ ตอนนี้มันอยู่กับเสี่ยแค่สองคนที่หน้าบริษัท”
เกวลีตกใจ
บูรพามองปลายอ้อที่เอียงหน้าซบไหล่อย่างเอ็นดู ลูบแก้มเบาๆ อย่างหลงไหล
“เธออยากเป็นอย่างเพียงฟ้าเหรอ”
“หนูแค่อยากเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จค่ะ ถ้าต้องทำเพลงอย่างคุณเพียงฟ้าหนูก็ทำได้ แต่คุณปอแก้วไม่ยอม” ปอแก้วตีหน้าเศร้าเรียกคะแนนสงสาร “คุณปอแก้วบอกว่าถ้าหนูหาคนแต่งเพลงมาเซ็นสัญญาไม่ได้ ก็ยังไม่ต้องออกซิงเกิ้ล”
“ปอแก้วไม่มีเหตุผลที่จะดองเธอ”
“หนูถึงอยากปรึกษาเสี่ยว่า ถ้าหนูอยากทำเพลงใหม่ หนูควรจะบอกกับคุณปอแก้วยังไงดีคะ”
บูรพามองปลายอ้ออย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
“ฉันจะพูดกับปอแก้วให้เอง”
ปลายอ้อทำเป็นตื่นเต้นดีใจสุดขีด “จริงเหรอคะเสี่ย”
“แต่ เธอต้องมีอะไรตอบแทนฉันบ้าง”
ปลายอ้ออึ้งไป เห็นบูรพาจ้องสายตาคมกริบจึงแกล้งถาม
“เสี่ยอยากให้หนูทำอะไรล่ะคะ
บูรพามองปลายอ้อด้วยแววตากรุ้มกริ่ม ยื่นตัวไปปรับเบาะที่นั่งปลายอ้อให้เอนลง แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“เธอก็รู้ว่าฉันต้องการอะไร”
ปลายอ้อใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ คิดว่าตัวเองไม่รอดแน่ และไม่กล้าขัดขืนบูรพาด้วย
บูรพาเกือบจะจูบปลายอ้อได้แล้ว จู่ๆ ไฟฉายสว่างโร่ก็สาดแสงจ้าเข้าที่หน้าทั้งคู่จนเสี่ยหื่นต้องผละออกเพราะแสบตา ปลายอ้อรีบลุกขึ้นนั่ง เป็นรปภ.วิ่งเข้ามาเคาะกระจกสาดไฟฉายส่องดู
บูรพาอารมณ์ค้างเปิดกระจกถามเซ็งๆ “มีอะไร”
“ผมเห็นเสี่ยจอดรถอยู่นานแล้ว ไม่ทราบรถมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
บูรพาตอบเสียงห้วน “ไม่มี”
รปภ.ฉายไฟส่องดูในรถ พอเห็นปลายอ้อก็ชะงัก ปลายอ้อสบช่องรีบฉวยโอกาสชิ่ง
“งั้นหนูกลับบ้านแล้วนะคะ ขอบคุณมากค่ะเสี่ย”
ปลายรีบลงจากรถ บูรพาเซ็งจัด จำต้องขับรถออกไป โดยมีรปภ.มองตามสีหน้าเจื่อนๆ
คล้อยหลังรถเสี่ยพ้นประตูออกสู่ถนนใหญ่ บุญทิ้ง กะเกวลีก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา เห็นปลายอ้อยืนอยู่รปภ.
“อ้อ” เกวลีมองหาบูรพา “ไหนล่ะเสี่ย”
“กลับไปแล้ว”
บุญทิ้งร้อนใจ “แล้วเขาทำอะไรแกหรือเปล่า”
“เปล่านี่ พี่รปภ.มาช่วยทัน ขอบคุณนะคะพี่”
ปลายอ้อยิ้มเชิงขอบคุณให้รปภ. แล้วเดินกอดคอบุญทิ้งกับเกวลีไปทางบ้านพักหลังค่าย
รุ่งเช้า บนโต๊ะอาหารบ้านเสี่ยบูรพา ปอแก้วถึงกับชะงักมองหน้าพ่อ หลังจากบูรพามาบอกว่าให้หาเพลงใหม่ให้ปลายอ้อ
“แก้วกับทีมการตลาดทุกคนเห็นตรงกันว่าเราควรโปรโมทปลายอ้อด้วยเพลงที่เขาร้องประกวด เพราะยอดวิวกำลังมา เราไม่เห็นด้วยที่จะแต่งเพลงใหม่”
“ก็มันหาคนแต่งไม่ได้” บูรพาพูดเสียงอ้อมแอ้ม “ปลายอ้อเขามาปรึกษาพ่อเมื่อคืนนี้”
พรทิพย์มองจ้องหน้าสามีทันที บูรพารีบอธิบาย
“อย่าคิดอกุศลน่า ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจหรอก ผมเจอปอแก้วที่บริษัท”
“คุณพ่อไปทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ คะ”
“พ่อเจอปลายอ้อกับบุญทิ้งกำลังเรียกแท็กซี่แถวๆ คลองตัน เห็นว่าไปเยี่ยมญาติ ก็เลยรับมาส่งที่บริษัทก็เท่านั้นเอง”
พรทิพย์ถามเหน็บ “เด็กนั่นก็เลยถือโอกาสอ้อนคุณให้ทำเพลงใหม่เหรอคะ”
บูรพาร้อนตัวรีบตัดบท “อ้อนเอิ้นที่ไหนกัน ก็แค่มาปรึกษา เอาน่าแก้ว พ่อว่าทำเพลงใหม่ๆ ก็ดีเหมือนกัน ตลาดเดี๋ยวนี้เขานิยมเพลงเร็ว เพลงประกวดนั่นมันก็ออกช้าๆ เชยๆ อย่าเอามาขายเลยลูก”
“แก้วขอปรึกษาทีมก่อนนะคะ”
“บอกไปว่าพ่อสั่ง อย่างปลายอ้อร้องเพลงอะไรก็เพราะอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องคิดอะไรเยอะ”
บูรพาพูดเสียงเข้ม แล้วก้มหน้ากินข้าวต่อไป ปอแก้วทำสบตากับแม่อย่างอิดหนาระอาใจ
อีกฟาก บุญทิ้งนั่งเกากีตาร์แกะโน้ตเพลงไปด้วยระหว่างคุยกับปลายอ้อ
“ตกลงเมื่อคืนแกคุยอะไรกับไอ้เสี่ยวะ ทำไมต้องไล่ฉันด้วย”
“ฉันก็อ้อนมันขอทำเพลงอื่นตามที่แม่สั่งมาไง”
“แล้วสำเร็จไหม”
“ระดับนี้ มีเหรอจะพลาด” ปลายอ้อยิ้มเจ้าเล่ห์ “มารยาหญิงต้องใช้ตอนอยู่ตามลำพัง”
บุญทิ้งวางกีตาร์ ไม่ชอบใจ และฟังแล้วสบายใจเอาเลย
“แต่ฉันไม่ชอบแบบนี้เลยว่ะ แกไปมารยากับมันมากๆ ก็เหมือนไปให้ความหวังมัน ไม่คิดบ้างเหรอว่ามันก็ต้องรอเวลาถอนทุนคืนเหมือนกัน”
“คิดสิ ฉันมีวิธีปั่นหัวมัน ฉันจะทำให้มันยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อแลกกับตัวฉัน ทุกอย่าง...แม้กระทั่งความลับว่ามันก่อเวรกรรมเอาไว้กับพ่อ ถึงเวลานั้นพอมันรู้ตัวมันก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุก”
ว่าที่นักร้องดาวรุ่งของวงการยิ้มอย่างมุ่งมั่นมาดหมาย
ตอนค่ำวันนี้ มีงานเลี้ยงฉลอง 10 ปี รายการ The Artist บรรยากาศคึกคักเสียงดนตรีจังหวะชวนขยับดังกระหึ่มทั้งงาน
ปอแก้วยืนหลบมุมคุยกับอภิวัช สองคนรักษาระยะห่างไม่ได้ดูใกล้ชิดกันมาก เพราะไม่ได้เปิดตัวกับใครว่าคบกัน
อภิวัชเห็นสีหน้าคนรัก จึงถามยิ้มๆ เย้าแหย่ “นี่ยังไม่หายหงุดหงิดเรื่องพ่อคุณอีกเหรอ”
“พอคิดทีไรก็อดเซ็งไม่ได้ คุณพ่อทำแบบนี้ทุกทีเลย ยกอำนาจการตัดสินใจให้ฉัน แต่พอคนของตัวเองมาอ้อนขอนั่นนี่ก็มาบีบให้ฉันตามใจ แบบนี้มันเสียการปกครอง”
“แต่ที่พ่อคุณพูดก็ถูกนะครับ ถ้าจะทำเพลงขายก็ต้องตามใจตลาด เพลงแนวร้องประกวดมันขายยากในสมัยนี้”
ปอแก้วมองหน้าอภิวัช ยิ้มขำๆ
“นี่ตั้งแต่ประกาศตัวว่าจะลุยเพลงลูกทุ่ง ดูเชี่ยวชาญจังเลยนะคะ”
“แน่นอน ผมต้องทำการบ้านเยอะหน่อย เดี๋ยวจะแพ้คุณ” เขานึกบางอย่างขึ้นมาได้ “พูดถึงเพลงผมมีของมาให้”
“อะไรคะ”
ปอแก้วมองแปลกใจ เมื่อเห็นอภิวัชยื่นกล่องซีดีแผ่นเล็กๆ ให้ มีผูกโบว์สวยงาม
“เพลงที่คุณร้องไว้ ผมเอาไปมิกซ์เสียงให้เป็นมาสเตอร์ แล้วก็ทำเป็นเอ็มวี ให้คุณเก็บไว้”
ปอแก้วอึ้งทึ่ง “เอ็มวีเลยเหรอ”
อภิวัชยิ้มเขิน “ผมแอบแคนดิดตอนคุณร้องเพลง แล้วก็ตัดต่อกับวิดีโอเก่าๆ ที่คุณเคยถ่ายไว้ มันเข้ากันดี”
“ขอบคุณนะคะ แล้วตกลงหาศิลปินได้หรือยัง”
“ก็รออยู่คนนึงไม่รู้ว่าจะตกลงได้หรือยัง”
อภิวัชมองหน้าปอแก้วถามทีเล่นทีจริง แล้วหันไปเห็นทีมงานโบกมือเรียก
“เดี๋ยวผมไปรับแขกทางโน้นก่อนนะ”
อภิวัชผละออกไปคุยกับคนอื่นๆ ปล่อยให้ปอแก้วยืนดื่มอยู่คนเดียว
ปอแก้วมองไปรอบๆ งานเพลินๆ แล้วชะงักเพราะมีเสียงแฟลชวาบเข้าตา หันไปมองก็เห็นศุภกฤตถ่ายรูปอยู่
ศุภกฤตถ่ายภาพบรรยากาศงานไปเรื่อยๆ แล้วเดินผ่านไปโดยไม่สนใจปอแก้ว ไม่อยากเสนา แต่ปอแก้วร้อนตัวรีบเดินตาม
“นี่คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“เขาเลี้ยงฉลองรายการ The Artist ผมก็มาทำข่าวสิคุณ” เขายอกย้อนแบบกวนๆ “เผอิญว่าค่าย Artista เขาไม่ได้แบนผมเหมือนบูรพาซาวด์อะ”
“แล้วคุณถ่ายรูปฉันทำไม”
“ผมก็ถ่ายบรรยากาศงาน”
“ถ่ายอะไรไปบ้าง ไหนดูซิ”
ปอแก้วจะแย่งกล้องมาจากศุภกฤต แต่เขาไม่ให้บอกเสียงขุ่น
“เฮ่ย เกินไปแล้วนะคุณ นี่มันก้าวก่ายงานผมแล้วนะ”
“แต่ฉันไม่ไว้ใจคุณ”
ปอแก้วพยายามจะแย่งกล้องให้ได้ ศุภกฤตหันหนีไปมา แล้วพูดอย่างรู้ทัน
“ถ้าคุณกลัวว่าผมจะแอบถ่ายรูปคุณกับแฟนไปลงน่ะ ไม่ต้องกลัว ผมมืออาชีพพอ อะไรที่รับปากแล้วว่าจะไม่ทำ ยังไงก็ไม่ทำ ต่อให้เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วก็ตาม”
ศุภกฤตประชดเสียงหนักแน่นแล้วเดินหนีไปเลย ปอแก้วมองตามสีหน้ารู้สึกผิดนิดๆ ที่มองศุภกฤตในแง่ร้ายเกินไป
ค่ำวันเดียวกันนี้ เกวลีเอาแหนมมาส่งที่ร้านขายยำในตลาด
“ถ้าหมดแล้วสั่งได้ตามไลน์นี้เลยนะคะพี่ หรือจะไลน์ก็ได้ ขอบคุณที่อุดหนุนค่ะ”
“จ้า” แม่ค้ามองหน้าเกวลี “เอ๊ะ น้องนี่ใช่ที่ร้องเพลงลงยูทูบปะ”
เกวลีแปลกใจ “พี่เคยดูเหรอคะ”
“ดูสิ เสียงเพราะเชียว เมื่อกลางวันนี่ก็เพิ่งเปิดให้คนอื่นดูเนอะ”
แม่ค้าหันไปพยักพเยิดกับร้านข้างๆ แล้วหยิบมือถือมาเปิด
“นี่ไง ร้องอีกนะ พี่ชอบฟัง”
“ขอบคุณมากค่ะ”
เกวลียิ้มปลื้ม ไหว้กราดแม่ค้า แล้วเอาแหนมในถุงที่ยังเหลืออยู่เดินแจกแม่ค้าอย่างมีความสุข
ปอแก้วยังยืนอยู่คนเดียวในงาน มองดูทีมงานเต้นกันอยู่ในตรงหน้าเวที มีดีเจเปิดเพลง อภิวัชสนุกสนานอยู่ในกลุ่มทีมงาน ศุภกฤตเห็นปอแก้วอยู่คนเดียวก็เดินเข้ามาหาคุยเป็นเพื่อน
“คุณไม่เข้าไปแสดงตัวหน่อยเหรอ แฟนคุณสนุกใหญ่แล้ว”
“มันเป็นงานของบริษัทเขา ฉันเป็นคนนอก”
“แต่แฟนคุณกำลังเป็นดาวเด่นในหมู่สาวๆ นะ นั่นไง”
ศุภกฤตชี้ให้ดูอภิวัชที่เต้นกับทีมงานอยู่ มีผู้หญิงแต่งตัวสวยสไตล์ดารานางแบบเซ็กซี่เข้าไปเต้นด้วย
“พวกนักร้องในรายการทั้งนั้นแหละ”
“ก็ใช่ไง นักร้องหน้าใหม่พวกนี้จ้องแฟนคุณตาเป็นมัน เพราะถ้าได้แฟนเป็นเจ้าของค่ายเพลง ก็มีโอกาสแจ้งเกิด คุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
ปอแก้วมองตาม เห็นผู้หญิงบางคนพยายามใกล้ชิด หัวเราะต่อกระซิก เริ่มหึง และไม่พอใจนิดๆ แต่ยังปากแข็ง
“อย่ามาเสี้ยมฉันให้ยาก”
“ผมไม่ได้เสี้ยม เรื่องพวกนี้มันปกติอยู่แล้ว ขนาดคุณเองยังคิดว่าปลายอ้อพยายามจะจับพ่อคุณเลย แล้วทำไมผู้หญิงอื่นจะจับแฟนคุณไม่ได้”
ศุภกฤตพูดทีเล่นทีจริงแล้วเดินลอยชายออกไป ปอแก้วรู้สึกคาใจ มองไปที่อภิวัชสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร
เวลาผ่านไป ยิ่งดึกงานยิ่งคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ อภิวัชยังเต้นรำอยู่ สาวๆ ยังคงเกาะแกะ ปอแก้วมองอยู่ด้านนอก เริ่มหงุดหงิด พยายามไม่มอง แต่พอหันไปเห็นศุภกฤตส่งสายตายิ้มๆ มาก็เริ่มกระสับกระส่าย
ต่อมาอภิวัชหลบมาพักที่มุมโซฟา สาวสวยเอาเครื่องดื่มมาให้นั่งลงคุยกัน อภิวัชคุยข้างหูสาวๆ เพราะเสียงดนตรีดัง ปอแก้วมองชักเริ่มรับไม่ไหว วางแก้วลงบนโต๊ะแถวนั้นแล้วคว้ากระเป๋าเดินออกไป
ปอแก้วนั่งอยู่ในรถอารมณ์หงุดหงิดได้ที่ เห็นว่ามีรถจอดซ้อนคันอยู่ ยังออกไม่ได้ รปภ.วิ่งมาบอก
“เอ่อ ผมไปประกาศแล้วนะครับ แต่ยังไม่มีใครมาแสดงตัวเป็นเจ้าของรถเลยให้ผมแจ้งคุณอภิวัชไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วกัน เดี๋ยวค่อยมาเอา”
ปอแก้วคว้ากระเป๋าลงจากรถด้วยสีหน้าบึ้งตึง ศุภกฤตเดินมายังรถที่จอดข้างๆ เห็นสีหน้าก็แปลกใจ
“มีอะไรเหรอคุณ”
“รถฉันออกไม่ได้ คันข้างหลังใส่เบรกมือ เรียกให้มาขยับก็ไม่มา สงสัยเมาไปแล้วมั้ง”
“แล้วทำไง ให้แฟนคุณไปส่งสิ”
ปอแก้วได้ยินชื่ออภิวัชแล้วยิ่งหงุดหงิด “ไม่ต้อง”
ปอแก้วเดินออกไปหน้าบริษัท ศุภกฤตเดินตามไปตอแย
“นี่อย่าบอกนะว่าโมโหหึง เพราะคำพูดผม”
“ก็บอกแล้วไงว่าคนอย่างฉันเสี้ยมไม่ขึ้น” ปอแก้วปากแข็ง “ฉันไม่อยากรบกวนเขา คุณก็ไม่ต้องมากวนใจฉัน จะไปไหนก็ไป”
ปอแก้วชะโงกหน้ามองหาแท็กซี่ ศุภกฤตยังตื๊อไม่ยอมไป
“งั้นกลับกับผมไหม เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่”
“ผมไม่พาไปจี้ไปปล้นที่ไหนหรอกน่า”
“ฉันรู้ แต่ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คุณ รำคาญ”
ปอแก้วมองเห็นแท็กซี่คันนึงแล่นมาพอดี เลยรีบโบกให้จอด ศุภกฤตมองปอแก้วที่กำลังขึ้นรถ สายตาเห็นป้ายทะเบียนด้านหน้า แต่ยังไม่ได้สนใจ พอรถแท็กซี่แล่นออกไปก็หันหลังกลับ แต่เปลี่ยนใจหันมาดู แล้วหยิบมือถือมาถ่ายทะเบียนไว้ แต่อยู่ๆ ก็ชะงักแปลกใจ เพราะป้ายทะเบียนไม่ตรงกัน
ก่อนหน้านี้ตอนแท็กซี่แล่นมาจอด ศุภกฤตเห็นทะเบียนรถเป็นหมายเลขหนึ่ง
“มันคนละทะเบียนนี่หว่า”
ศุภกฤตสังหรณ์ใจ แต่เห็นรถแล่นไปไกลแล้ว เลยพยายามโทร.หาปอแก้ว แล้ววิ่งกลับไปที่รถตัวเอง
ปอแก้วนั่งมาในรถ เสียงมือถือดัง พอหยิบออกมาดูเห็นชื่อศุภกฤตก็ชักสีหน้ารำคาญ เลยปิดเครื่อง
คนขับแท็กซี่ลอบมองปอแก้วผ่านกระจก โดยที่ปอแก้วไม่รู้ตัว เปิดกระเป๋าหยิบซีดีที่อภิวัชให้ออกมาดู แต่ภาพสาวๆ รุมล้อมอภิวัชผุดขึ้นมาหลอกหลอน จนทำให้หงุดหงิด ยัดซีดีเก็บใส่กระเป๋าหมดอารมณ์
ฝ่ายศุภกฤตขับรถออกมาจากบริษัทอภิวัช พยายามโทร.หาปอแก้ว แต่เห็นอีกฝ่ายตัดสายทิ้งตลอด
“รับสายสิคุณปอแก้ว โธ่เอ๊ย”
รถแท็กซี่แล่นไปเรื่อยๆ จนแล่นเลี้ยวออกมาถนนสายเปลี่ยว แล้วอยู่ๆ เครื่องก็ดับ
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
คนขับหัวเราะกลบเกลื่อน “มันเป็นแบบนี้บ่อยครับ สายเซ็นเซอร์ไม่ค่อยดี เดี๋ยวผมขยับนิดเดียว”
คนขับลงไปดูหน้ารถ ปอแก้วมองไปรอบๆ เห็นเป็นทางเปลี่ยวและมืด ก็เริ่มไม่สบายใจ รีบเปิดมือถือขึ้นอีกครั้ง แล้วลงมาจากรถ
ปอแก้วพยายามโทร.หาอภิวัช แต่ไม่ติด คนขับก้มดูกระโปรงหน้าอยู่เงยหน้ามองเห็นปอแก้วพอดี
“อ้าวคุณ ลงมาทำไมล่ะครับ”
“เอ่อ” ปอแก้วมองซ้ายขวา “เอ่อ คือ...เดี๋ยวฉันให้เพื่อนมารับแถวนี้ดีกว่า นี่ค่ะค่ารถ”
ปอแก้วยัดเงิน 500 ใส่มือคนขับ แล้วเดินหนีมา พยายามกดโทรศัพท์หาอภิวัชอีก จนมารู้ตัวอีกทีก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือหยาบกร้านยื่นมาปิดปากหมับ
“อยู่นิ่งๆ”
ปอแก้วส่งเสียงพูดอู้อี้ๆ “จะทำอะไร”
คนขับไม่ตอบ แต่รวบตัวปอแก้วแน่นขึ้น
“แกอยากได้อะไรเอาไปเลย ฉันยกให้”
“เอาเงินอย่างเดียวไม่คุ้มโว้ย”
คนขับปิดปากปอแก้วไม่ให้ส่งเสียงอีก แล้วลากลงไปที่พุ่มไม้ข้างทาง ปอแก้วร้องวี้ดว้ายดิ้นสู้สุดชีวิต
“บอกให้นิ่งๆ”
“ช่วยด้วย”
ปอแก้วเตะถีบถองข่วนหน้าคนขับแท็กซี่เท่าที่จะทำได้ คนขับโมโหเงื้อมือจะตบ ปอแก้วคว้าก้อนหิ้นใกล้มือฟาดหัวมันจังๆ
“โอ๊ย อีบ้า”
ปอแก้วฉวยโอกาสนี้ลุกวิ่งหนีไป คนขับวิ่งตามไปกระชากตัว มันจิกผมเต็มแรง เอามีออีกข้างบีบคออย่างโกรธจัดจนปอแก้วเริ่มหายใจเริ่มไม่ออกจะหมดแรงรอมร่อ ศุภกฤตแล่นลิ่วเข้ามากระชากไหล่คนขับแท็กซี่แล้วต่อยเปรี้ยง ด้วยความโกรธ
“มึง”
คนขับตั้งหลักได้ หันมาต่อยคืน ศุภกฤตเสียหลักเซไปบ้าง คนขับพุ่งเข้าไปตะลุมบอน สองคนล้มลงไปทั้งคู่
ทั้งสองกอดกันกลิ้งไปมา ศุภกฤตเสียจังหวะอยู่ด้านล้าง คนขับจับหัวศุภกฤตกระแทกพื้นจนมึน แล้วต่อยซ้ำ
“เสือกนักนะมึง”
คนขับต่อยศุภกฤตไม่ยั้ง จนศุภกฤตมึนไม่มีแรงตอบโต้ มันย่ามใจลุกขึ้นแต่ก็โดนฟาดเปรี้ยงร่วงลงไป
ศุภกฤตปรือตาสะลึมสะลือขึ้นมอง เห็นปอแก้วยืนกังก้าถือท่อนไม้อยู่ในมือ เป็นคนจัดการคนขับแท็กซี่ด้วยตัวเอง ก่อนจะวิ่งเข้ามาดูเขา
“คุณเป็นไงบ้าง”
“โอเค...ผมโอเค”
ในเวลาต่อมา ปอแก้วนั่งให้ปากคำอยู่กับศุภกฤตบนโรงพักสน.ท้องที่ เห็นอีกฝ่ายมีผ้าพันหัวทำแผลแล้ว อภิวัชพรวดพราดเข้ามาบนโถงสน.
“ปอแก้ว”
อภิวัชตรงเข้ามาหาปอแก้ว กอดแน่นด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ คุณศุภกฤตมาช่วยทันค่ะ”
“ขอบคุณมากนะครับ แล้วคุณขับรถกลับบ้านไม่ได้ทำไมไม่บอกผม”
“ฉันไม่อยากกวนคุณ”
อภิวัชลูบหัวปอแก้วอย่างโล่งอก ศุภกฤตให้ปากคำเสร็จแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน เลยลุกขึ้นขอตัวกลับ
“คุณมีคนอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ผมกลับก่อนนะ”
“คุณขับรถได้หรือเปล่า”
“ไหวอยู่ โชคดีนะครับ”
ศุภกฤตเดินออกมา ปวดตามตัวที่เริ่มระบมนิดๆ ปอแก้วมองตามอย่างเป็นห่วง แล้วหันมาซบอภิวัช
“แก้ว”
พรทิพย์โผล่เข้ามาแล้ว ชะงักนิดๆ ที่เห็นอภิวัชกับปอแก้วกอดกัน แต่ห่วงลูกมากกว่าเลยไม่ได้ทักถามออกไป
“เกิดอะไรขึ้นลูก แม่ใจหายวาบเลย”
“คุณปอแก้วไปงานเลี้ยงที่บริษัทผมครับ เธอเอารถออกไม่ได้ก็เลยนั่งแท็กซี่ไป ผมก็เพิ่งทราบ โชคดีที่มีนักข่าวที่งานตามไปเจอเลยช่วยเอาไว้”
“แก้วไม่เป็นไรใช่ไหม แล้วจับคนร้ายได้ไหม”
“ได้ค่ะ ที่จริงแก้วเป็นคนฟาดหัวมันซะหมอบเลย”
พรทิพย์ถอนใจโล่งอก กอดปอแก้วแน่น
พรทิพย์ประคองปอแก้วลงมาที่รถพากลับบ้าน เจอกับบูรพาที่เพิ่งมาถึงสน.พอดี
“มาป่านนี้ ไปรอที่บ้านก็ได้นะคะคุณ”
“ก็ผมเพิ่งออกมาจากโรงหนัง” บูรพาปรี่เข้ามาดูปอแก้ว “แก้ว เป็นอะไรหรือเปล่าลูก เจ็บตรงไหนไหม”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ”
บูรพาหันไปเห็นอภิวัชตามมา ชักสีหน้าไม่พอใจ
“คุณใช่ไหมต้นเหตุ เชิญลูกสาวผมไปงานแล้วไม่ดูแลให้ดี”
ปอแก้วเหนื่อยใจ “คุณวัชเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยหรอกค่ะคุณพ่อ มันเป็นเหตุสุดวิสัย”
“แก้วไม่น่าไปตั้งแต่แรก หาเรื่องซวยเข้าตัวแท้ๆ”
บูรพามองอภิวัชอย่างไม่ชอบขี้หน้า แล้วรีบพาปอแก้วเดินออกมา ปอแก้วได้แต่หันไปทิ้งสายตาขอโทษอภิวัช ก่อนจะเดินจากมา
เช้าวันนี้ ศุภกฤตนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊คอยู่ที่คอนโด เพราะยังไม่หายระบมดี กำลังค้นข้อมูลของบูรพาในเน็ต จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คร้าบ”
ศุภกฤตเดินเอามือคลำหัวไปเปิดประตู เห็นแมสเซนเจอร์ยืนรออยู่
“คุณศุภฤตใช่ไหมครับ ช่วยเซ็นรับของด้วยครับ”
ศุภกฤตมองๆ เห็นกระเช้าของขวัญ
“จากไหนครับ”
“บริษัทบูรพาซาวด์ครับ”
ศุภกฤตยิ่งแปลกใจ เซ็นรับกระเช้ามา เห็นมีนามบัตรของปอแก้วแนบมาด้วย
ปอแก้วอยู่ในห้องทำงานที่ค่ายเพลงแล้ว เสียบหูฟัง เปิดดูซีดีที่อภิวัชทำให้กับโน้ตบุ๊ค เป็นเอ็มวีวิดีโอเซลฟี่หวานๆ ของทั้งคู่สลับกับภาพแคนดิดในห้องอัด แบ็คกราวด์เป็นเพลงที่ปอแก้วร้องไกด์ สีหน้าปอแก้วเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ปลาบปลื้ม ฟินสุดๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอเห็นชื่อศุภกฤตโทร.มา จึงละสายตาจากเอ็มวี กดรับสาย
“ได้รับของแล้วใช่ไหมคุณ”
ศุภกฤตกำลังแกะกระเช้า เห็นเป็นพวกเครื่องดื่มบำรุงสมอ
ศุภกฤตขำๆ “นี่คุณจะด่าว่าผมโง่หรืออะไรหรือเปล่า ถึงส่งอาหารบำรุงสมองมาให้”
“อ้าว ก็ฉันเห็นคุณเจ็บหัวนี่ กลัวว่าสมองจะกระทบกระเทือน”
“แหม ไม่ขนาดนั้น”
“แล้วไปหาหมอหรือยัง ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกนะ ฉันรู้จักหมอเก่งๆ ด้านนี้อยู่”
“เอาเป็นว่าถ้าผมน้ำลายยืด เดินไม่ตรงทาง จะให้คนโทร.บอกคุณแล้วกัน”
ปอแก้วหัวเราะกคิก แล้วพูดเสียงจริงจังขึ้น
“ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่เมื่อคืนช่วยฉันไว้ ถ้าไม่ได้คุณฉันคงแย่”
“ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเล้ย คุณเอาไม้ฟาดมันจะร่วง รู้งี้ปล่อยให้โซโล่ไปคนเดียวก็ดี ได้ไม่ต้องเจ็บตัว”
ปอแก้วหมั่นไส้ “ตกลงจะไม่รับใช่ไหมคำขอบคุณเนี่ย”
“รับสิครับ แต่ขอแถมเป็นยกเลิกโทษแบนสตาร์เดลี่ได้ไหม ผมจะได้มีเหตุไปขอขึ้นเงินเดือนกับเจ้านายได้”
“ก็ได้ เอาเป็นว่าหายกัน”
“ขอบคุณคร้าบบบ”
ปอแก้ววางสาย อมยิ้ม เผลอใจรู้สึกดีๆ กับศุภกฤตขึ้นมาทีละนิดๆ โดยไม่รู้ตัว
ด้านพรทิพย์นั่งดูทีวีข่าวอภิวัชในทีวีกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าว (ในงานเลี้ยง)
“ใช่ครับ ศิลปินเบอร์ล่าสุดของเราจะเป็นศิลปินลูกทุ่ง”
บูรพาแต่งตัวออกไปข้างนอก เดินลงมาได้ยิน จึงหยุดฟัง
“ปีนี้เป็นปีที่ผมมีโอกาสได้คลุกคลีกับคนลูกทุ่งเยอะ ก็เลยเริ่มเห็นความน่าสนใจของสไตล์เพลงนี้ทางค่าย อาร์ทิสต้า ก็เลยอยากจะลองสร้างศิลปินลูกทุ่งของเราเองบ้าง เราอาจจะไม่ได้เป็นลูกทุ่งจ๋า แต่รับรองว่าจะต้องสร้างความแปลกใหม่แน่นอนครับ”
“ฮึ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน คิดจะมาวัดรอยเท้าเรา ฝันไปเถอะ”
“ฉันไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหนเลย มีคนใหม่ๆ เข้ามาช่วยสร้างสีสันให้วงการ เพลงลูกทุ่งจะได้ไม่ตาย”
“มีลูกเราคนเดียวก็พอแล้ว ที่จริงปอแก้วไม่น่าไปเกี่ยวข้องกับมันเลย ไอ้หมอนี่มันคงเข้ามาตีสนิทเพื่อจะมาล้วงข้อความลับไปทำเพลงแข่งกับเรานี่แหละ คุณน่าจะเตือนให้ห่างๆ มันเอาไว้บ้างนะ”
“ลูกโตแล้วนะคะคุณ จะไปกะเกณฑ์ให้แกเลือกคบใครได้ยัง แล้วเท่าที่ฉันเห็น ท่าทางคุณอภิวัชก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร”
“เห็นมันเป็นหนุ่มหล่อก็เลยหลงรูปมันอีกคนเข้าแล้วละมั้ง”
พรทิพย์รำคาญจนทนไม่ไหว ลุกขึ้น พูดด้วยเสียงเย็นชา
“คุณอย่าเอาสัญชาติญาณตัวเองมาตัดสินฉันได้ไหม ถ้าฉันบ้าผู้ชายพอๆ กับที่คุณบ้าผู้หญิงล่ะก็ ฉันคงไม่ทนอยู่แบบนี้หรอกค่ะ”
พรทิพย์เดินคอแข็งออกไป
ปลายอ้อนั่งคุยงานกับปอแก้วอยู่ในห้องทำงานของปอแก้ว
“ฉันได้ยินว่าเธอรีเควสต์จะทำเพลงใหม่ ก็เป็นอันว่าตกลงตามนั้น”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไปขอบคุณพ่อฉันเถอะ เพราะถ้าไม่ใช่คำสั่งจากคุณพ่อ ฉันคงยอมไม่ได้”
ปลายอ้อยิ้มในหน้าไม่ตอบอะไร ปอแก้วผลักโน้ตบุ๊คไปตรงหน้า
“ฝ่ายดนตรีเขาทำเดโม่มา 2-3 เพลง เอามาให้เธอเลือก เธอจะต้องรีบเข้าห้องอัดทันที เพราะเพลงพวกนี้จะถูกเลือกไปใช้ประกอบโฆษณาทางทีวี เธออาจจะต้องไปร้องสดในงานเปิดตัวด้วย”
ปลายอ้อมีสีหน้าตื่นเต้น “เมื่อไหร่คะ”
“เธอต้องเข้าห้องอัดอาทิตย์หน้า คิดว่าทันไหม”
“ทันค่ะ ฉันจะทำให้เต็มที่”
“งั้นก็ลองฟังแล้วก็เลือกดูสิว่าเธอชอบเพลงไหน ทั้งสามเพลงใช้เนื้อร้องคล้ายๆ กันแหละ เพราะแต่งตามคอนเซ็ปท์สินค้า แต่ฉันอยากให้เพลงมันเป็นตัวเธอที่สุด แล้วก็อปเพลงไป”
ปลายอ้อรีบเสียบหูฟัง ไล่ฟังเพลงอย่างตื่นเต้น
ปอแก้วนั่งรอปลายอ้อเลือกเพลง แล้วเห็นอภิวัชโทรมา ก็มองปลายอ้ออย่างระวังตัว ก่อนจะตัดสินใจถือโทรศัพท์ลุกออกไปจากห้อง
“เดี๋ยวฉันมา”
ปอแก้วถือโทรศัพท์ออกมาคุยที่ริมทางเดินใกล้บันไดหนีไฟ
“ว่าไงคะ”
เสียงอภิวัชจากปลายสายดังลอดออกมา “เปิดเพลงที่ผมอัดให้ยัง”
“เปิดแล้วค่ะ น่ารักมาก”
“เพลงหรือคนทำ”
ปอแก้วอายม้วนต้วน
ที่ห้องทำงานปอแก้ว ปลายอ้อเลือกเพลง 2-3 เพลง จนเจอเพลงที่ถูกใจ ควักแฟลชไดรฟ์ในกระเป๋าถือออกมาจะเซฟเพลง แต่ทำหลุดมือกระเด็นตกไปใต้โต๊ะทำงานปอแก้ว
ปลายอ้อก้มไปเก็บ แต่ตอนลุกขึ้น สายตาเหลือบเห็นกล่องซีดีเพลงของอภิวัชผูกโบว์สวยงามวางอยู่บนโต๊ะ
ปลายอ้อหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ พลางเหลือบไปมองที่ประตู ไม่เห็นปอแก้วกลับเข้ามาสักที
ปอแก้วยังคุยโทรศัพท์กระหนุงกระหนิงกับอภิวัช
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ผมยังยืนยันว่าคุณสวยที่สุดก็ตอนร้องเพลง”
“แสดงว่าตอนปกติฉันไม่สวยใช่ไหม งอนละ”
ปลายอ้อกำลังฟังเพลงจากโน้ตบุ๊คตรงหน้า โดยไม่เห็นว่าดูหรือฟังเพลงอะไรอยู่ เธอโยกตัวไปกับจังหวะเพลง ด้วยสีหน้ามีความสุขลึกล้ำ
ปอแก้ววางสายจากอภิวัชเดินกลับมาที่ห้อง เปิดประตูเข้าไป เห็นปลายอ้อยังนั่งอยู่ที่เดิม ดูไม่มีพิรุธอะไร
“ตกลงเลือกเพลงได้หรือยัง”
“ได้แล้วค่ะ ให้ฉันเซฟลงแฟลชไดรฟ์เลยนะคะ”
ปลายอ้อตอบอย่างมั่นใจ โชว์ให้ดูว่าเตรียมตัวมาแล้วอย่างดี
เจนนี่เปิดเพลงที่ปลายอ้อเซฟมา เป็นเพลงเร็ว
“โอ๊ย ตายแล้วเพลงเต้นสะบั้นหั่นแหลกเลยนะแก ไหวไหมเนี่ย”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวแหละพี่เจนนี่ อ้อรับปากแล้วว่าต้องซ้อมให้ทันงานอีเวนท์”
“แหม มีอีเวนท์นะจ๊ะเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ๊แววเดือนมาได้ยินล่ะก็ ค้อนแกจนคอหักแน่ ปกติงานอีเวนท์เนี่ยไม่มีใครได้ออกนอกจากเพียงฟ้านะเธอ มาๆ วอร์มก่อนเดี๋ยวฉันจะได้ต่อท่าให้”
เจนนี่เดินมานำปลายอ้อวอร์มกลาวง โดยที่หน้าห้องซ้อม เห็นลั้นลาแอบมองอยู่
“นังปลายอ้อ นี่แกจะพุ่งแรงเกินไปแล้ว”
ลั้นลาหยิบโทรศัพท์ออกมา รีบกดหาเพียงฟ้า
“เจ๊มีเรื่องมารายงานเพียงฟ้า”
เกวลีนั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าบ้าน บุญทิ้งเดินมาเจอ
“อ้าว ยายแหนม วันนี้ไม่ไปส่งสินค้าเหรอ”
“วันนี้ไม่มีอะ”
“แล้วนี่ไอ้อ้อไปไหน”
“ยังซ้อมเพลงอยู่เลย นายไม่ได้ยินข่าวเหรอบุญทิ้ง ปลายอ้อจะได้ไปออกอีเวนท์แล้วนะ”
“ก็ได้ยินมาบ้าง ว่าจะมาแสดงความยินดีกับมันเนี่ย วันนี้เราไปล้มทับมันดีไหม เอาร้านไหนดี”
บุญทิ้งถูมือไปมาอย่างมันเขี้ยว แต่เกวลีไม่สนุกไปด้วย
“ไม่ล่ะ ฉันอยากอยู่บ้าน อยากจะซ้อมร้องเพลงให้เก่งๆ เผื่อจะได้มีวาสนาอย่างปลายอ้อเข้าซักวัน”
“เฮ้อ นอยด์อีกแล้ว ไม่เอาน่า”
“เธอไม่เข้าใจฉันหรอก ฉันไม่ได้อยากเป็นแค่นักร้องหน้าคอม พอเห็นเพื่อนก้าวหน้า จะได้ออกงาน มีคนฟังของตัวเอง ฉันก็อดรู้สึกเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้”
“ถ้าเธอไม่ได้ร้องเพลงด้วยความสุขตั้งแต่แรก เธอก็จะหาเรื่องทำให้เธอเป็นทุกข์แบบนี้ใส่หัวไปเรื่อยๆ แหละ ไปกับฉัน ฉันจะให้ดูอะไร”
บุญทิ้งลากเกวลีมาที่สะพานลอยหน้าตลาด เห็นกลุ่มเด็กนักเรียนกำลังเล่นดนตรีเปิดหมวกอยู่ใต้สะพานลอย มีป้ายข้างหน้าเขียนว่า ขอความอนุเคราะห์สนับสนุนการศึกษา
“เธอคิดว่าเด็กนักเรียนพวกนั้น เขาหวังว่าการออกมาร้องเพลงริมถนนแบบนี้จะช่วยให้ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ไปเรียนหนังสือได้จริงเหรอ”
ชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมา เห็นเด็กเรียนร้องเพลงดีดกีตาร์ ก็โยนเหรียญกับแบงค์เล็กๆ ให้
“ได้เงินทีละบาทสองบาท อย่างมากก็ยี่สิบ สู้เขาเอาเวลาไปทำงานพาร์ทไทม์ดีกว่าไหม แต่ทำไมเขาไม่ทำ”
“เขา...คงชอบร้องเพลงมั้ง”
“ใช่ไง งานศิลปะมันต้องเริ่มจากใจเรา ส่วนใจเขาต้องเป็นเรื่องรอง เราทำแล้วคนอื่นชอบ นั่นคือกำไร ถ้าไม่ชอบก็เท่าทุน”
เกวลีฟังบุญทิ้งพูดพลางมองดูเด็กนักเรียน เห็นสีหน้าเด็กๆ ยิ้มแย้ม ดูมีความสุข
“เด็กพวกนั้นคิดแบบนี้แหละ ถึงได้หอบกีตาร์มาเล่นดนตรีหลังเลิกเรียนตรงนี้ทุกวัน เขาไม่สนใจว่าใครจะฟังบ้าง เขาแค่อยากจะร้อง”
“เธออยากให้ฉันออกมาร้องเพลงแบบนี้บ้างหรือไงบุญทิ้ง”
“เปล่า ฉันแค่อยากให้เธอนึกให้ออกว่าความสุขในตอนแรกที่เธอเริ่มร้องเพลง มันเกิดจากอะไรแน่”
เกวลีนิ่งคิด มองดูเด็กๆ
อีกฟาก อภิวัชขับรถมาจอดหน้าบ้านบูรพา
“พรุ่งนี้ผมจะขับรถไปทิ้งไว้ที่บริษัทคุณ”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันให้คนไปเอา”
“ไม่เอา ผมอยากเจอคุณ” เขาจับมือเธอมาหอม “อีกอย่าง คุณจะได้ขับรถไปส่งผมที่บ้านบ้างไง”
“มัวแต่ส่งกันไปกันมา กลับบ้านค่ำกันทุกวันพอดี”
“นั่นสิ เมื่อไรจะย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยเสียที จะได้หมดเรื่อง”
อภิวัชถามทีเล่นทีจริงอย่างมีความหวัง ปอแก้วเขิน
“เอาน่าเดี๋ยวค่อยว่ากัน ไปก่อนนะคะ”
ปอแก้วลงรถจะเข้าบ้าน แต่พรทิพย์เปิดประตูออกพอดี
“คุณแม่”
พรทิพย์มองไปที่รถ เห็นอภิวัชอยู่ในรถ
“เชิญคุณวัชเข้าบ้านก่อนสิจ๊ะ”
ปอแก้วอ้ำอึ้ง หันไปหาอภิวัชเหมือนจะบอกว่าซวยแล้ว
ไม่นานต่อมา อภิวัชนั่งตัวเกร็งลีบเล็ก และแทบจะกลืนหายเข้าไปในโซฟาหรู กลัวโดนพรทิพย์จับได้ว่าเป็นอะไรกับปอแก้ว
“คือ...คุณปอแก้วรถเสียน่ะครับ ผมก็เลยอาสามาส่ง”
ปอแก้วรีบอธิบายต่อ “แก้วไปคุยงานที่ช่องแปดน่ะค่ะคุณแม่ เจอกันโดยบังเอิญ”
“แม่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรนี่ ไม่เห็นต้องทำเป็นร้อนตัวขนาดนั้น”
พรทิพย์เห็นท่าทางเลิ่กลั่กของทั้งสองคนแล้วอมยิ้มขำ
“คนเป็นแฟนกัน จะไปไหนมาไหนกันบ้าง มันผิดตรงไหน”
ปอแก้วตกใจ คาดไม่ถึง “คุณแม่”
อภิวัชอ้าปากค้าง อึ้งไป
“คิดว่าแม่ดูไม่ออกเหรอ ท่าทางเธอสองคน” พรทิพย์อมยิ้ม “ที่จริงๆ แม่ก็สงสัยตั้งแต่เจอคุณวัชที่งานคอนเสิร์ตแล้ว แม่เพิ่งมาแน่ใจเมื่อคืนก่อนนี่เอง”
ปอแก้วกับอภิวัชมองหน้ากัน เขินๆ ค่อยๆ หายเกร็ง
“ไม่ต้องปิดแม่หรอก แม่ได้หวงห้ามอะไร แก้วโตแล้วนะลูก จะคบหาใครก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าอยู่มาป่านนี้ไม่มีแฟนสิ แม่ถึงจะห่วง”
อภิวัชรีบยกมือไหว้ “ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ไม่ได้เรียนให้คุณแม่ทราบก่อน”
“แม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงไม่กล้า แต่ก็ต้องเริ่มคิดได้แล้วนะว่าเมื่อไรถึงจะกล้า คุณคงไม่ได้หวังจะคบลูกสาวแม่ไปวันๆ หรอกใช่ไหม”
อภิวัชรีบตอบทันทีอย่างมั่นใจ “ไม่เลยครับ ผมจริงใจกับปอแก้ว เราอยากจะสร้างอนาคตร่วมกัน”
อภิวัชกุมมือคนรักแน่น ปอแก้วยิ้ม ก่อนจะสารภาพกับแม่
“แต่แก้วไม่รู้จะบอกคุณพ่อยังไงค่ะ”
เสียงบูรพาขัดขึ้น “บอกว่าอะไร”
ปอแก้วสะดุ้ง รีบปล่อยมือออกจากอภิวัชทันที อภิวัชรีบลุกขึ้นยืนไหว้บูรพาที่เดินเข้ามาชักสีหน้าใส่เขา
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ผมมาส่งคุณปอแก้วครับ”
“หน้าที่อะไรต้องมาส่ง ค่ายเพลงใกล้จะเจ๊งแล้วหรือไง เลยต้องมารับจ็อบเป็นคนขับรถ”
“คุณคะ”
พรทิพย์ร้องปรามไม่พอใจ แต่บูรพาไม่แคร์ แค่นยิ้มให้ประชดใส่
“หรือว่าจะมาล้วงความลับอะไรเกี่ยวกับค่ายบูรพาซาวด์ เห็นว่าจะทำเพลงลูกทุ่งแข่งกับปอแก้วไม่ใช่เหรอ”
อภิวัชเสียงเข้มขึ้น “เสี่ยเข้าใจผมผิดไปกันใหญ่แล้วนะครับ ที่จริงผมกับคุณปอแก้ว...”
ปอแก้วรีบกระตุกแขนปรามไว้ ตัดบทขึ้นว่า “เดี๋ยวแก้วอธิบายให้คุณพ่อฟังเองค่ะ คุณกลับไปก่อนนะคะ”
อภิวัชมองหน้าปอแก้ว เพราะกำลังจะบอกเรื่องความสัมพันธ์ให้บูรพารู้ ปอแก้วรีบถือโอกาสเดินนำออกจากบ้านไปเลย ทำให้อภิวัชต้องเดินตาม
อภิวัชเดินตามปอแก้วออกมาที่รถ ด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ
“ผมกำลังจะบอกพ่อคุณให้รู้เรื่อง เราจะได้ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ กันอีก”
“ฉันรู้ แต่อารมณ์ของคุณพ่อตอนนี้ คงไม่อยากรับฟังหรอก ท่านกำลังโมโหที่คุณประกาศเรื่องจะเข้ามาทำเพลงในตลาดลูกทุ่ง”
“ผมทำอะไรก็ไม่ดีในสายตาพ่อคุณ แต่ถ้าอย่างน้อยเราจริงใจกับท่านเรื่องความสัมพันธ์ เวลาอาจจะช่วยลบล้างอคติของท่านก็ได้”
ปอแก้วอึกอัก ไม่แน่ใจอย่างที่คนรักคิด
“รอให้ฉันกับคุณแม่ค่อยๆ กล่อมคุณพ่อก่อนดีกว่า เอาเป็นว่าอย่างน้อยคุณแม่รู้ก็นับว่าเป็นก้าวแรกที่ดีนะคะ”
อภิวัชถอนใจ ด้วยความผิดหวังอดตัดพ้อออกมาไม่ได้
“ผมว่าก้าวของเราสองคนมันไม่ค่อยทันกันเลยนะแก้ว”
อภิวัชพูดจบก็ขึ้นรถขับออกไปทันที ปอแก้วมองตาม รู้สึกผิดเพราะรู้ว่าทำให้อภิวัชเสียใจ
บูรพายังมีท่าทางหงุดหงิดไม่หาย พรทิพย์ถอนใจ
“คุณไม่น่าจะเสียมารยาทกับแขกแบบนั้นเลย เหมือนฉีกหน้าลูก”
“จะไปแคร์ทำไมกับไอ้หมอนั่น มันจะโกรธเกลียดเราทั้งบ้านเพราะเรื่องนี้ก็ช่างมันปะไร ดีซะอีกได้จะไม่กล้ามาเหยียบที่นี่อีก”
ปอแก้วเดินเข้ามาได้ยินพอดี ตัดสินใจพูดแย้งขึ้น
“แต่คุณวัชเป็นเพื่อนของแก้วนะคะ เท่าที่แก้วรู้จักคุณอภิวัชมา แก้วไม่เคยเห็นเขาเป็นคนมีลับลมคมนัยอะไร”
“คบกันตอนเป็นนักเรียน กับตอนเป็นนักธุรกิจไม่เหมือนกัน แก้วต้องเลิกคิดว่ามันเป็นเพื่อนได้แล้ว ยิ่งมันประกาศตัวว่าจะมาเป็นคู่แข่งการตลาดกับเรา ก็เท่ากับประกาศสงคราม”
“คุณพ่อพูดน่ากลัวเกินไป แก้วเชื่อว่าถึงจะเป็นคู่แข่งแต่เราก็เป็นมิตรกันได้ แก้วจะไม่เลิกคบกับคุณอภิวัชค่ะ”
“แก้ว” บูรพาโกรธ เสียงเข้มใส่
“ให้แก้วใช้วิจารณณาณตัวเองในการเลือกคบคนเถอะค่ะ ถ้ามันจะพลาดก็ขอให้เป็นบทเรียนของแก้ว” ปอแก้วเน้นคำตอนท้าย “ถ้าสมมุติว่าวันนั้นมาถึง แก้วจะเรียนรู้จากความเจ็บปวดของตัวเองค่ะ”
ปอแก้วพูดจบก็เดินขึ้นห้องไป บูรพาทำท่าฮึดฮัดขัดใจตามหลังไป
เช้าวันนี้ อัปสรแต่งตัวอยู่หน้ากระจกในห้อง แล้วหันไปพูดกับรูปเผ่าพงศ์ตรงโต๊ะ
“พี่เผ่า วันนี้วันเกิดพี่ ฉันกับลูกจะเอาของโปรดไปเลี้ยงพระที่วัด รอรับบุญด้วยนะจ๊ะ”
อัปสรลูบใบหน้าเผ่าพงศ์ในกรอบรูปแล้วแต่งตัวต่อ เสียงปลายอ้อตะโกนเรียก
“แม่...แม่จ๋า”
อัปสรรีบหวีผมเผ้า ดูความเรียบร้อยแล้วรีบออกจากห้อง
อัปสรรีบลงบันไดมาหาลูกด้วยความตื่นเต้น
“มากันแล้วเหรอลูก”
ปลายอ้อเข้าไปประคองอัปสรพาเข้ามา เห็นบุญทิ้งกับศุภกฤตรออยู่ ก็ทำหน้าแปลกใจ
“สวัสดีครับ”
อัปสรรับไหว้งงๆ หน้าตาเหรอหรา บุญทิ้งแกล้งกอดคอศุภกฤตแนะนำเป็นผัว
“แฟนฉันเองน้าสร ชื่อคุณศุภกฤต”
“หา”
บุญทิ้งแกล้งทำสาวแตก “ไม่เอาๆ สมัยนี้เปิดกว้างแล้ว ไม่เห็นต้องตกใจเลย จริงไหมตัวเอง”
อัปสรยังทำหน้าช็อกๆ ปลายอ้อหันไปทุบบุญทิ้ง
“พอแล้วพี่ทิ้ง ทำเป็นทะลึ่ง คุณศุภกฤตเป็นเพื่อนฉันเองจ้ะ เขาเป็นนักข่าวที่หนังสืออะไรนะคุณ”
“สตาร์เดลี่ครับ” ศุภกฤตบอก
“ฮื้ย ไอ้ทิ้ง เล่นไม่เป็นเรื่องคนแก่หัวใจจะวาย” อัปสรหันไปเขกกะโหลกบุญทิ้ง ยิ้มให้ศุภกฤต “ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณ”
“พอดีเมื่อเช้าผมแวะไปหาปลายอ้อ แล้วได้ยินว่าจะไปทำบุญกัน ผมก็เลยขอตาม หวังว่าคุณน้าคงไม่ขัดข้องนะครับ”
“อ๋อ ตามสบายจ้ะ ไปกันเลยไหมล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเพล”
เพียงฟ้าแต่งชุดขาวราวแม่ชีผู้เคร่งในธรรม หลับตานั่งสมาธิอยู่ในศาลาของวัดแห่งนี้ ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นสวยงาม แต่จู่ๆ เพียงฟ้าก็หรี่ตาข้างนึง ถามขึ้น
“ได้ยังเจ๊ ฉันนั่งจนตะคริวกินแล้ว”
“เดี๋ยวๆ อีกรูปนึงกันเสีย”
ลั้นลาเดินอ้อมถ่ายอีกมุม เพียงฟ้ารีบลูกขึ้น
“โอ๊ย ไหนดูซิ” เพียงฟ้าดึงมือถือมาดู “โพสต์เลย บอกว่า วันนี้ฟ้ามาถือศีล เอาบุญมาฝากทุกคนนะคะ”
“ไม่เอาสิ แบบนั้นมันธรรมดา ดูไม่อินจริง ต้องใช้คำธรรมะๆ”
“แล้วเจ๊มีเหรอธรรมะน่ะ”
“ไม่มี”
ลั้นลามองหา เห็นป้ายสุภาษิตสอนใจแปะอยู่ที่ต้นไม้ รีบวิ่งไปลอก
“เอาอันนี้แล้วกันยาวดี คนจะได้ไลค์เยอะๆ” ลั้นลารีบกดพิมพ์
เพียงฟ้ามองดูลั้นลาพิมพ์ลงไอจีแล้วยิ้มพอใจ มองไปรอบๆ วัด
“ฉันว่าเอาอีกซักมุมดีกว่านะเจ๊ แบบภาพเดินจงกรมอะไรงี้ เก็บไว้ลงวันอื่น จะได้ดูเหมือนฉันมาอยู่วัดหลายวัน”
“เออ ดีๆๆ”
ปลายอ้อ อัปสร บุญทิ้ง ศุภกฤต ร่วมกันถวายเพลพระ แล้วเดินกลับมานั่งรอพระท่านฉันเพล
“ตกลงวันนี้คือวันเกิดพ่อของปลายอ้อเหรอบุญทิ้ง” ศุภกฤตถามขึ้น
“ใช่ ทำไมเหรอคุณ”
“ผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้วันเกิด เผ่าพงศ์ จงขจร พอดีเลย”
บุญทิ้งที่กำลังตักน้ำกินถึงกับสำลักพรวด ปลายอ้อกับอัปสรมองหน้ากัน
“ทำไมคุณรู้ล่ะ”
“ผมเป็นแฟนเพลงลูกทุ่งน่ะครับ ยิ่งศิลปินเก่าๆ นี่เป็นแฟนหลายคนเลย” ศุภกฤตยิ้มบอก
“คุณศุภกฤตเขากำลังเขียนสกู๊ปเกี่ยวกับวงดนตรีลูกทุ่งด้วยจ้ะแม่”
“ผมจำได้ว่าปลายอ้อกับคุณน้าเป็นคนโคราช บ้านเดียวกับเผ่าพงศ์ซะอีกนะครับ ไม่ทราบว่าเคยรู้จักกันไหม”
“ไม่รู้จักหรอกจ้ะ”
อัปสรหน้าเจื่อนๆ พลางหันไปสบตาปลายอ้อเชิงบอกว่าไม่ให้แพร่งพรายความลับเรื่องเป็นทายาทเทพบุตรขนนก
อีกมุมไม่ไกลกันนัก เพียงฟ้าเก็กท่าเดินจงกลม ให้ลั้นลาเก็บภาพช็อตสวยๆ ไปโพสต์ลงไอจี แต่แล้วต้องชะงักหยุดค้างเมื่อสายตามองไปเห็นบางคนบนศาลาพอดี
“ได้ยังเนี่ยเจ๊ ฉันเมื่อย”
“ถ่ายแล้วๆ”
ลั้นลากดถ่ายภาพใครคนนั้นแล้วเอาภาพให้เพียงฟ้าดู เพียงฟ้าขยายรูปดูเห็นเป็นกลุ่มปลายอ้อมาทำบุญ
“เอ๊ะ นั่นมัน...นังปลายอ้อนี่”
พระฉันท์เพลเสร็จ ท่านเจริญพุทธมนตร์ให้ศีลให้พร เห็นปลายอ้อนั่งอยู่ข้างๆ ศุภกฤต เพียงฟ้ากับลั้นลาแอบซุ่มดูอยู่ในมุมใกล้กว่าเดิม
“ใช่จริงๆ ด้วย ฮึ อยู่ในวัดมันยังตามมาราวีฉันจนได้”
ลั้นลาจำศุภกฤตได้ “ผู้ชายคนนั้นมันนักข่าวนี่หว่า แล้วมากับมันได้ไงวะ”
“ก็สงสัยจะเป็นกิ๊กมันละมั้ง”
เพียงฟ้านึกบางอย่างได้ ยิ้มออกมาทันที
“ถ่ายเลยเจ๊ ถ่ายให้เห็นหน้ามันชัดๆ เอามุมที่แบบใกล้ชิดกระหนุงกระหนิงกันที่สุดเลยนะ”
เพียงฟ้ามองไปทางปลายอ้ออย่างมุ่งมั่นมาดหมาย
ที่คอนโดเพียงฟ้าคืนนั้น เพียงฟ้านอนซบบูรพาที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ เปิดมือถือให้ดูรูปที่ลั้นลาถ่าย
“อะไร รูปใคร”
“ดูเอาเองสิคะ ดูให้ชัดๆ เลยจะได้ตาสว่าง”
บูรพางง ลองขยายรูปดูชัดๆ จึงเห็นว่าเป็นปลายอ้อ เพียงฟ้าเลือกขยายรูปที่ปลายอ้อกำลังพนมมือรับน้ำมนต์หลวงพ่อข้างๆ ศุภกฤตให้ดูเป็นพิเศษ
“เป็นไง เด็กที่เสี่ยหลงใหลได้ปลื้มนักหนา ที่แท้มันก็มีผัวแล้ว เป็นไอ้นักข่าวที่คอยวนเวียนมาทำข่าวนั่นแหละ”
บูรพาอึ้งไป พยายามซูมดูให้แน่ใจ ขณะที่เพียงฟ้าก็เสี้ยมไม่หยุด
“ฟ้าเคยบอกเสี่ยแล้วว่านังเด็กนี่มันมาเกาะแกะเสี่ยก็หวังผลประโยชน์ เหมือนกับที่มันเอาตัวเข้าแลกกับนักข่าวก็ผลประโยชน์เหมือนกัน ถ้าได้ทั้งเจ้าของค่ายและนักข่าวมาช่วยดัน มีแต่จะทำให้มันดังเปรี้ยงๆ”
“เธอแค่ไปเห็นเขาถ่ายรูปคู่กันก็มโนเป็นตุเป็นตะ อาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้”
“แหม แต่ก็ต้องเป็นเพื่อนสนิทจริงไหมล่ะคะ ถึงขั้นพาไปทำบุญกับผู้หลักผู้ใหญ่แบบนั้นน่ะ”
บูรพาไม่อยากจะคล้อยตาอะไร แต่สะดุดตาเมื่อเพียงฟ้าพูดถึงผู้ใหญ่ เลยดูรูปอีกที มุมหนึ่งของภาพนั้นติดเสี้ยวหน้าของอัปสร บูรพารู้สึกสะดุดตา
“ผู้ใหญ่คนนี้เหรอ เธอมีรูปอีกไหม ฉันคุ้นๆ หน้า”
ปอแก้วนั่งคุยงานกับปลายอ้อ วางมาดขรึมผู้บริหาร
“เรื่องเพลงที่เลือกไปซ้อมเป็นยังไงบ้าง ถึงไหนแล้ว”
“ต่อท่าได้เยอะแล้ว ส่วนเรื่องร้องฉันก็ซ้อมทุกวัน อยากให้ถึงวันเข้าห้องอัดเต็มทีแล้ว”
“อาทิตย์หน้าเธอได้เข้าแน่ แต่อาจจะต้องเน้นซ้อมเต้นหนักๆ ด้วยนะ เพราะว่าลูกค้าล็อกวันจัดงานเปิดตัวมาแล้ว เป็นอีกอาทิตย์นึงหลังจากนั้น”
แววตาปลายอ้อเป็นประกายเจิดจ้าด้วยความตื่นเต้น
“ฉันยังไม่ค่อยมั่นใจหรอกนะว่าเธอจะพร้อม แต่ในเมื่อลูกค้ากำหนดมาแล้วก็ต้องว่าถามนั้น”
“ฉันพร้อมค่ะ”
ปอแก้วผลักแฟ้มคอนเซปท์งานไปให้ปลายอ้อเปิดดู
“งานนี้จะเป็นมินิคอนเสิร์ตของเธอด้วย เธอจะต้องคุมเกมบนเวทีคนเดียว นอกจากพิธีกรแล้วไม่มีใครอยู่กับเธอ เพราะฉะนั้นการเอนเตอร์เทนคนดูเป็นสิ่งสำคัญ”
“ฉันจะทำการบ้าน จะไปศึกษาคอนเสิร์ตเก่าๆ เยอะ”
“ศึกษาได้ อย่าไปก็อปปี้จนเสียความเป็นตัวของตัวเอง เฟิร์ส อิมเพรสชั่น ของคนดูที่มีต่อศิลปินสำคัญมาก ศิลปินบางคนแจ้งเกิดก็เพราะงานแรก หรือไม่ก็ดับเพราะงานแรกมาแล้ว”
ขณะเดียวกัน เพียงฟ้าเดินคุยกับลั้นลาเข้ามาในตึก
“อะไรนะเจ๊ นี่มันถึงขั้นได้ออกมินิคอนเสิร์ตเลยเหรอ”
“ใช่ คุณปอแก้วเรียกเจ๊ให้มาคุยเรื่องเสื้อผ้าให้มัน ต้องรีบทำให้เสร็จอาทิตย์หน้าด้วย เพราะงานมาแล้ว”
เพียงฟ้าแค้นแสนแค้น “นังบ้า ทำไมดวงมันถึงขึ้นเอาๆ”
“แล้วเรื่องที่แกไปฟ้องเสี่ย เป็นยังไงบ้าง”
“เสี่ยยังหน้ามืดตาบอดไม่ยอมเชื่อน่ะสิ ต้องให้ฉันแอบตามไปถ่ายถึงเตียงมันหรือไงก็ไม่รู้”
“นังนี่มันดวงมหาเฮงจริงๆ นี่ถ้าเกิดคอนเสิร์ตแรกของมันปังขึ้นมาล่ะก็แกเอ๊ย มันอาจจะดังไม่หยุดฉุดไม่อยู่ จนเขี่ยแกตกกระป๋องไปเลยก็ได้”
“ไม่ ฉันไม่ยอม เพียงฟ้าจะต้องเป็นเบอร์หนึ่งของบูรพาซาวด์เท่านั้น” เพียงฟ้าคำราม
เจนนี่เปิดเพลงดังลั่นห้องซ้อม เห็นเพียงฟ้าซ้อมเต้นตามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่พอจบเพลงเจนนี่ก็โสลเสลล้มทั้งยืน
“โอ๊ย พอๆๆ ฉันไม่ไหว ถ้าต่ออีกรอบต้องคลานกลับบ้านแน่”
ปลายอ้อไม่สนใจ หยิบรีโมทมาเปิดเพลงซ้ำอีก
“ไอ้อ้อ พอโว้ย”
“พี่เจนนี่ไม่ไหวก็ไปพักเถอะ ฉันยังได้อยู่”
“เดี๋ยวแกก็เป็นลมตายไม่มีใครเห็น หยุดก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาต่อใหม่”
“ฉันกำลังเพลิน พี่เจนนี่ไปก่อนเลย อย่าเพิ่งล็อกบ้านแล้วกัน เดี๋ยวอีกชั่วโมง ตามไปจ้ะ”
ปลายอ้อหันไปเต้นต่อทันที เจนนี่มองดูอย่างเนือยๆ แล้วลุกขึ้นเดินโสลเสลออกไป
ปลายอ้อซ้อมเต้นด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเท อย่างไม่รู้เหนื่อย
คืนนั้น ขณะที่อัปสรนั่งสวดมนต์เตรียมเข้านอน จู่ๆ ไฟในห้องก็ดับพรึ่บลง อัปสรลืมตาขึ้นมองอย่างตกใจ
“ยุ ยุพา...ไฟดับเหรอ”
อัปสรมองไปรอบๆ เห็นแต่ความมืด ลุกขึ้นคลำทางไปหาเทียนด้านนอก อัปสรควานมือหาประตูห้อง แล้วมือไปโดนอะไรบางอย่างหล่นแตกดังเพล้ง
อัปสรสะดุ้ง ถดตัวถอยหนี จะเดินต่อ แต่เหยียบอะไรบางอย่างเข้าเต็มเท้า
“โอ๊ย”
อัปสสรทรุดลงอย่างเจ็บปวด เอามือจับที่เท้า ไฟที่ดับกลับสว่างจ้าเหมือนเดิม
อัปสรหยิบสิ่งที่เหยียบขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นกรอบรูปถ่ายคู่อัปสรกับปลายอ้อ มีเลือดอัปสรหยดลงไปเต็มกรอบรูปตรงหน้าของปลายอ้อพอดิบพอดี
“ปลายอ้อ...”
อัปสรละเมอผวาตื่นขึ้นมา มองไปรอบๆ พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง รีบเอามือคลำเท้าตัวเอง แต่ไม่มีเลือดติดอยู่ อัปสรเอะใจลุกไปหยิบกรอบรูปตรงโต๊ะ เห็นว่ารูปคู่ของตนกับปลายอ้อยังอยู่ จึงโล่งใจที่ทุกอย่างเป็นเพียงฝัน
ทางด้านปลายอ้อซ้อมเต้นเสร็จ เดินออกมาจากสตูดิโอเป็นคนสุดท้าย บรรยากาศรายรอบเงียบสงัด
ปลายอ้อมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง หยิบเอาหูฟังมาเสียบมือถือฟังเพลงให้หายกลัว ฮัมเพลงไปด้วย
ตามทางทางเดินไปบ้านพักศิลปิน มีสายตาลึกลับมองดูปลายอ้อเดินลัดเลาะริมกำแพง แล้วรีบพุ่งตามไป
ปลายอ้อเดินฮัมเพลงมาอย่างอารมณ์ดี ฉับพลันทันใดนั้นก็ถูกคนร้ายชายสวมโม่งดำสองคนพุ่งเข้าจับตัว
ปลายอ้อตกใจดิ้นสู้สุดชีวิต พยายามตะโกนให้คนช่วย แต่ถูกอุดปากไว้จนแน่น
อ่านต่อตอนที่ 11