เทพธิดาขนนก ตอนที่6 ฉันรู้ความลับเธอ
บทประพันธ์ : เพ็ญสิริ บทโทรทัศน์ : ปริศนา และ ทีมวันสุข
เย็นนั้น ขณะที่ปลายอ้อกำลังเก็บกวาดร้านใกล้ปิดประตู ได้ยินเสียงคนเดินมา
“ร้านปิดแล้วจ้ะ” พอเธอหันไปมองก็ต้องแปลกใจ “อ้าว คุณ”
ศุภกฤตยืนยิ้มเผล่ให้ปลายอ้อ
เพ็ญเก็บล้างอยู่หลังร้านเดินออกมาดู พบว่าปลายอ้อนั่งคุยกับศุภกฤตอยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน ภายในร้านเก็บกวาดสะอาดเรียบร้อยหมดแล้ว บ่งบอกว่าไม่ได้ขี้เกียจทิ้งงานไปนั่งคุยกับผู้ชาย เพ็ญมองผลงานอย่างพอใจ แต่ก็นึกอยากรู้ครามครันว่าปลายอ้อคุยกับใคร
“ผมไปหาคุณที่ค่าย ถึงเพิ่งรู้เรื่อง” ศุภกฤตไม่สบายใจ เขารู้สึกผิด “ไม่ใช่เพราะผมเป็นต้นเหตุใช่ไหมที่ทำให้คุณถูกไล่ออก”
“วุ้ย ไล่ออกอะไรกัน ฉันลาออกมาเองต่างหาก”
“แต่คุณก็ต้องตกงาน”
“ช่างงานนั้นเถอะ ฉันไม่ได้อยากเป็นแดนเซอร์ซักหน่อย อยากเป็นนักร้องมากกว่า ออกมาก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาฝึกฝนร้องเพลงให้เก่ง แล้วฉันจะกลับไปที่บูรพาซาวด์ใหม่”
“ที่จริง คุณไปสมัครที่ค่ายอื่นก็ได้นะ ไม่เห็นจะต้องรอที่นี่เลย ผมรู้จักอีกหลายค่าย เดี๋ยวพาไปก็ได้”
ปลายอ้อบอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ไม่ ฉันจะต้องเป็นนักร้องที่บูรพาซาวด์เท่านั้น”
เพ็ญแอบฟัง ได้ยินน้ำเสียงมุ่งมั่นมาดหมายนั้น
“ทำไมต้องเป็นค่ายนี้ด้วย ค่ายอื่นไม่ได้หรือไง”
ปลายอ้ออึกอัก พยายามคิดหาข้ออ้าง
“ก็...ที่นี่เป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของวงการลูกทุ่ง ตั้งแต่เด็กมาฉันก็ได้ยินแม่พูดถึงแต่ค่ายนี้ ฉันอยากทำให้แม่ภูมิใจ ความฝันของฉัน ฉันไม่ได้อยากเป็นแค่นักร้อง แต่ฉันต้องเป็นนักร้องของค่ายบูรพาซาวด์”
ศุภกฤตไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ไม่เซ้าซี้ พยักหน้าหงึกหงัก
ปลายอ้อกำลังปูที่นอนบนพื้นในร้าน เพ็ญเอายากันยุงมาให้
“อ้ะ ฉันเอายากันยุงไปจุดไว้ตรงมุมโน้น เดี๋ยวยุงจะกัด”
ปลายอ้อยกมือไหว้ “ขอบคุณจ้ะป้า”
จากนั้นปลายอ้อรีบเอายากันยุงไปจุด เพ็ญมองๆ แล้วชวนคุย
“ผู้ชายหล่อๆ นั่นแฟนเอ็งเหรอ”
“อ๋อ เปล่าจ้ะ เพื่อนกันน่ะ เขาเป็นนักข่าว เมื่อคืนเขาช่วยฉันไว้ตอนที่มีเรื่องยุ่งๆ ในผับ”
เพ็ญพยักหน้ารับรู้ “ก็ดีแล้ว จะคบหากับใครอย่าเพิ่งวู่วาม ดูกันไปนานๆ”
“ฉันยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกจ้ะป้า ตอนมาจากบ้านนอก ฉันเอาความฝันมาอย่างเดียวคือการเป็นนักร้อง ฉันต้องทำตรงนั้นให้สำเร็จก่อน ถึงจะสนใจเรื่องอื่น”
“บ้านเอ็งอยู่ไหนนะปลายอ้อ”
“โคราชจ้ะ”
“คนโคราชนี่เอง” เพ็ญมองหน้าปลายอ้อ แล้วรู้สึกคลับคล้ายใครบางคน “จะว่าไปเอ็งก็ทำให้ข้านึกถึงคนๆ หนึ่ง”
“ใครเหรอจ๊ะ”
“เอ็งคงไม่รู้จักเขาหรอก”
เพ็ญพูดแล้วนึกถึงความหลังครั้งอดีต
โลกนี้ช่างกลมนัก คนที่เพ็ญรำลึกถึงก็คืออัปสร แม่ของปลายอ้อนั่นเอง
โดยเมื่อในอดีต ตอนนั้นอัปสรนั่งเย็บเสื้ออยู่ที่บ้านพักศิลปินบูรพาซาวด์ เปิดเพลงลูกทุ่งฟังไป ฮัมเพลงตาม
“เสร็จแล้วจ้ะพี่เพ็ญ”
เพ็ญรับชุดนักร้องมาสำรวจ แล้วยิ้ม พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ฝีมือเอ็งดีมากนะอัปสร เสียงก็ดีด้วย ข้าล่ะอิจฉา”
อัปสรยิ้มอายๆ “อย่ามาอิจฉาฉันเลยพี่ ชีวิตพี่น่าอิจฉากว่าตั้งเยอะ ชีวิตนักร้องขึ้นเวทียังไงก็ดีกว่าช่างเย็บเสื้ออยู่อย่างฉัน”
เพ็ญมีสีหน้าขรึมลง เมื่อเห็นว่าอัปสรดูเศร้าๆ
“ถ้าเอ็งอยากจะร้องเพลง ทำไมไม่คุยกับเสี่ยเขาล่ะ”
อัปสรนึกถึงตอนถูกบูรพาเคยพยายามจะลวนลาม แล้วนึกขยาด เฉไฉไปว่า
“ฉันเคยคุยแล้ว แต่...เสี่ยคงเห็นว่าเสียงฉันยังไม่ดีพอ”
“ก็ให้พี่เผ่าคุยสิ แหม เป็นนักร้องดังแล้วช่วยผลักดันเมียซักคนจะเป็นไรไป”
อัปสรยิ้มเนือยๆ “ยังไงเสี่ยเขาก็เป็นเจ้าของเงินน่ะจ้ะ ถ้าเสี่ยไม่ตกลงฉันก็คงต้องรอไปก่อน”
เพ็ญถอนใจ สีหน้าเห็นใจ อัปสรฝืนยิ้ม
“ข้าล่ะเห็นใจเอ็งจริงๆ อัปสร เอ็งกับพี่เผ่า ถ้าออกเทปคู่กันได้คงจะดังระเบิด ไม่รู้ว่าเสี่ยเขาคิดอะไรถึงได้ดองเอ็งไว้หลังเวที”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ฉันกับพี่เผ่ามาจากโคราชก็ด้วยความฝันว่าเราคนใดคนนึงจะได้เป็นนักร้อง ตอนนี้พี่เผ่าทำสำเร็จแล้วก็เท่ากับความฝันสำเร็จไปแล้ว ส่วนฉัน ถ้าไม่มีวาสนา แค่ได้เห็นความสำเร็จของคนที่ฉันรัก ก็ยังน่ายินดี”
อัปสรพูดยิ้มๆ แต่แววตาเศร้าๆ เพ็ญได้แต่เห็นใจ
ปลายอ้อน้ำตาคลอๆ เมื่อฟังเพ็ญเล่าถึงแม่ตัวเอง จนเพ็ญเอะใจ
“เอ้า ปลายอ้อ เอ็งเป็นอะไร เล่าให้ฟังแค่นี้ก็มีน้ำหูน้ำตา ไม่ใช่เรื่องของเอ็งซะหน่อย เอ๊ะ หรือว่าเอ็งเป็นคนบ้านเดียวกับพี่เผ่าพงศ์กะเมีย”
“เอ่อ ฉันเคยได้ยินเรื่องเผ่าพงศ์มาบ้างน่ะจ้ะ แต่ไม่ได้รู้จักเขาหรอก พอได้ฟังเรื่องจากป้าแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า ถ้าคุณเผ่าพงศ์แกไม่บุญน้อยจากไปเสียก่อน ไม่แน่แกกับคนรักของแกก็คงได้เป็นนักร้องดังคู่กันจนได้”
เพ็ญถอนหายใจ
“ชะตาชีวิตของคน มันกำหนดล่วงหน้าไม่ได้จริงๆ ก็ดูอย่างข้าสิ...”
ปลายอ้อยิ้มให้ “ฉันก็ว่าแล้วว่าป้าต้องเป็นนักร้อง แต่ไม่นึกว่าที่แท้ป้าก็คือเพ็ญจันทร์ วันเพ็ญ”
เพ็ญหันมามองแบบเจ็บปวด “นึกได้แล้วก็ลืมเสียเถอะ เพ็ญจันทร์ วันเพ็ญน่ะตายไปแล้ว วันนี้มีแต่แม่ค้าส้มตำแก่ๆ ที่ชื่ออีเพ็ญเท่านั้น”
เพ็ญพูดจบก็ลุกเดินขึ้นชั้นสองไปนอน ปลายอ้อมองตาม รู้ว่าเพ็ญก็เสียใจที่ตัวเองตกต่ำไม่ได้เป็นนักร้อง
ฝ่ายปอแก้วเรียกประชุมทีมงานคอนเสิร์ต พอใจกับความคืบหน้า มีเสี่ยบูรพาร่วมฟังด้วย
“แก้วดีใจนะคะที่พวกเราร่วมมือร่วมใจ ทำให้งานคืบหน้าไปมาก อย่างที่แก้วเคยบอกว่างานนี้มันเป็นจะพิสูจน์พลังสามัคคีของพวกเรา และทุกคนก็ทำได้”
แสงโสมประจบเอาใจ “เพราะพวกเราทุกคนมีความหวังไว้ที่หนูปอแก้วจะมาชุบชีวิตบูรพาซาวด์ไงคะ”
ปอแก้วยิ้มพราย ภูมิใจในตัวเองเหมือนกัน ถามทีมงานต่อ
“แล้วมีปัญหาส่วนไหนอีกไหมคะ”
“เหลือการประกวดร้องเพลงครับ กำลังติดต่อกรรมการอยู่ คุณปอแก้วมีใครในใจหรือเปล่า”
“มีค่ะ แก้วอยากให้เชิญคุณอภิวัชมาเป็นกรรมการให้เรา”
บูรพาตกใจพอๆกับไม่พอใจ “อะไรนะ ไอ้เจ้าอภิวัช คิดดีแล้วเหรอแก้ว”
“ทำไมเหรอคะคุณพ่อ”
บูรพาตั้งแง่เต็มที่ “นี่มันประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ไอ้หมอนั่นมันจะไปรู้เรื่องอะไร มันทำเพลงสตริง พ่อว่าเอาศิลปินลูกทุ่งๆ เก่าๆ มาเป็นกรรมการดีกว่า เดี๋ยวพ่อติดต่อให้”
ปอแก้วแย้งว่า “ก็เพราะเขาทำเพลงสตริงมานี่แหละค่ะ แก้วถึงอยากให้เขามาช่วยตัดสินจะได้เห็นมุมมองของคนทำเพลงในอีกรูปแบบนึง สมัยนี้เพลงลูกทุ่งกับเพลงสตริงเส้นแบ่งมันก็เลือนๆ ไปแล้ว ถ้าเรายังยึดกับลูกทุ่งแบบดั้งเดิมมันจะขายยากนะคะ”
บูรพายังคงไม่เห็นด้วย “งั้นก็เอาคนอื่นที่มาจากค่ายใหญ่ๆ สิ ไม่ใช่คนจากค่ายเพลงกระจอกงอกง่อยอย่างนั้น”
ปอแก้วโน้มน้าว “คุณพ่อพูดอย่างกับว่าคุณอภิวัชเขาไม่มีความสามารถอะไรเลย ถ้าเขาไม่เก่งจริง เขาจะมีรายการประกวดร้องเพลงเป็นของตัวเองเหรอคะ”
“ยังไงมันก็แค่ค่ายเล็กๆ ไม่ยิ่งใหญ่เท่าเรา”
แสงโสมช่วยโน้มน้าว “แหมคุณพี่ คนหนุ่มๆ สร้างมาได้แค่นี้ก็เก่งแล้วล่ะค่ะ ตอนคุณพี่อายุเท่านั้น บูรพาซาวด์เกิดหรือยังก็ไม่รู้ อย่าอคตินักเลยค่ะ”
แต่บูรพาฉุนขาด ลุกพรวดขึ้น
“ฮึ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ใช่สิ ฉันมันแก่เก่าแล้ว ออกไอเดียอะไรก็ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น งั้นแก้วก็ตัดสินใจตามใจชอบแล้วกัน พ่อจะไม่ยุ่งเรื่องนี้แล้ว”
ปอแก้วตกใจ “คุณพ่อ”
บูรพางอน เดินหน้าบูดออกจากห้องไป แสงโสมมองค้อน
“คนแก่แสนงอน”
ปอแก้วจะตามไปง้อ แต่ปลายอ้อพรวดพราดเข้ามาพร้อมกับเลขา
“ปลายอ้อ เธอมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันเอาอาหารมาส่งค่ะ” ปลายอ้อทำเป็นยิ้มหวาน “ชุดตำถาด น้ำตก ลาบไก่ย่างจากร้านป้าเพ็ญ คุณแสงโสมสั่งไว้ใช่ไหมคะ”
แสงโสมอึ้งๆ ไม่นึกว่าปลายอ้อจะกลายเป็นเด็กเสิร์ฟร้านเจ๊เพ็ญ
ปลายอ้อมาช่วยแม่บ้านจัดอาหารใส่จาน แม่บ้านเห็นปอแก้วเดินหน้าเคร่งเข้ามาก็รีบออกไป ปลายอ้อหันมา แกล้งทัก
“อ้าว หิวมากเหรอคะคุณปอแก้ว อีกแป๊บนึงนะคะ”
“เธอต้องการอะไร ถึงมาวนเวียนรอบตัวฉัน อยากจะกวนประสาทกันใช่ไหม”
“สำคัญตัวผิดไปหรือเปล่าคะ ฉันเป็นลูกจ้างป้าเพ็ญ ก็เอาอาหารมาส่งตามหน้าที่ ไม่ได้อยากเห็นหน้าคุณนักหรอก”
ปลายอ้อหันกลับไปจัดอาหารต่อ ปอแก้วตามไปคาดคั้น
“เธอออกจากบูรพาซาวด์ไปแล้ว ทำไมไม่ไปให้พ้นๆ”
“จะให้ฉันไปไหนล่ะคะ ก็ฉันอยากเป็นนักร้อง ก็ต้องหางานทำอยู่ใกล้ๆ ค่ายเพลงนี่แหละ”
ปอแก้วกระชากแขนปลายอ้อที่กำลังถือส้อมอยู่ บีบแน่น
“แต่ฉันว่าเธอมีเจตนาอื่นแน่ๆ บอกมาเดี๋ยวนี้”
ปลายอ้อเจ็บ กระชากมือกลับ “เจตนาของฉันก็คือการเป็นนักร้องไงล่ะ คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ ฉันจะต้องกลับมาที่นี่ใหม่ในฐานะศิลปิน ไม่ใช่แค่แดนเซอร์ของบูรพาซาวด์”
ปอแก้วคุมแค้น “เธอมันโรคจิต เป็น stalker หรือไง”
ปลายอ้อยิ้มเยาะ “จะเรียกฉันว่ายังไงก็ช่าง แต่ขอให้คุณจำไว้ว่าคุณกำจัดฉันไม่ได้ง่ายๆ หรอก ตราบใดที่พ่อคุณยังยินดีที่จะสนับสนุนฉันเต็มที่ เราจะต้องได้เจอกันอีกค่ะคุณปอแก้ว”
ปลายอ้อยิ้มเยือกเย็น ยกถาดอาหารเดินออกไป ปอแก้วมองตามอย่างหงุดหงิดใจ
บูรพาอยู่ที่คอนโดเพียงฟ้า นั่งดื่มหน้าเครียดๆ มีเพียงฟ้าออดอ้อนนัวเนีย ป้อนกับแกล้มให้
“เป็นไงล่ะคะ เพราะเสี่ยให้อำนาจลูกเกินไป คุณปอแก้วถึงได้ไม่เห็นหัวเสี่ยเลย ยายแสงโสมนั่นก็อยู่เป็น เห็นใครมีอิทธิพลก็รีบเกาะ ลืมบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน”
“ปอแก้วมั่นใจในตัวเองเกินไป จนฉันกลัวว่าลูกจะไม่เฉลียวใจ ถ้ามีคนคิดมากอบโกยผลประโยชน์”
“อย่างนายอภิวัชน่ะเหรอคะ”
“ไอ้หมอนั่นมันเป็นค่ายเพลงเล็กๆ ไปดึงมันมา ก็เท่ากับช่วยโปรโมทมันให้ดังขึ้นๆ ใจจริง ฉันไม่อยากจับมือร่วมงานกับค่ายไหนทั้งนั้น ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ถือว่าเป็นศัตรู แต่ปอแก้วย่ามใจเกินไป”
บูรพาถอนใจ
“เนี่ยแหละค่ะ ฟ้าถึงอยากให้เสี่ยคิดใหม่เรื่องที่จะวางมือจากบริษัท คุณปอแก้วเก่งก็จริง แต่ก็ยังอ่อนประสบการณ์ เสี่ยควรจะเป็นพี่เลี้ยงไปก่อน อย่าเพิ่งโอนอำนาจตัดสินใจให้เธอหมดสิคะ กี่ครั้งแล้ว ที่การตัดสินใจของเธอทำให้เสี่ยไม่สบายใจ”
บูรพาคิดตาม นึกเคืองเรื่องที่ปอแก้วทำให้ปลายอ้อต้องออกจากค่ายไป
อภิวัชง่วนอยู่กับการมิกซ์เพลงเดโม ถึงกับชะงัก หันมาย้อนถามปอแก้ว
“ตกลงพ่อคุณยอมเหรอ ที่จะให้ผมไปเป็นกรรมการตัดสิน”
ปอแก้วหน้าเครียดนิดๆ “ก็ปึงปังไปตามประสาแหละค่ะ”
อภิวัชยิ้มแค่นๆ “ว่าแล้ว”
“แต่ที่ประชุมเห็นด้วยนะคะ เราอยากได้มุมมองใหม่ๆ จากคุณ แล้วก็ตอบแทนที่คุณเคยเชิญบูรพาซาวด์ไปรายการด้วย”
“ผมไม่อยากมีปัญหากับพ่อคุณน่ะสิ จะโดนดักตีหัวหรือเปล่าไม่รู้”
อภิวัชสัพยอก หัวเราะขำๆ เย้าแหย่คนรัก ปอแก้วทุบแขน
“พูดเป็นเล่นไปได้ คุณพ่อน่ะไม่มีอะไรหรอก ก็ฟอร์มเยอะไปงั้นเอง การที่คุณมาร่วมงานคอนเสิร์ตกับท่านนี่แหละ จะทำให้สนิทกันมากขึ้น”
อภิวัชมีท่าทีลังเล ไม่แน่ใจ ปอแก้วเกาะแขนซบหน้าลง
“หรืออย่างน้อยคุณจะได้พบกับคุณแม่ฉัน”
“แม่คุณรู้เรื่องของเราเหรอ”
“ยังหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณจะเข้ามาในครอบครัวของฉัน ทางคุณแม่สะดวกที่สุด”
อภิวัชยิ้มได้ รู้สึกมีความหวังมากขึ้น
เย็นนั้น แววเดือน เจนนี่ และ เกวลี พากันออกมาเลือกซื้อเสื้อผ้าสำหรับคอนเสิร์ต หยิบชุดที่แขวนมาทาบตัว อวดกัน
“โอ๊ย ตัวนั้นก็สวย ตัวนี้ก็สวย เลือกไม่ถูกเลยว่ะเจนนี่”
ปลายอ้อถูกชวนมาด้วย มองดูสองคนเลือกชุดนั้นชุดนี้แล้วหันมาถามเกวลี
“เป็นนักร้อง ทำไมต้องมาเลือกชุดเองด้วยล่ะลี สไตลิสต์ต้องเป็นคนดูแลไม่ใช่เหรอ”
“จริงๆ ก็เป็นหน้าพี่ลั้นลานั่นแหละ แต่ตอนนี้แกมัวแต่ยุ่งกับการจัดเสื้อผ้าให้คุณเพียงฟ้า ไม่มีเวลามาสนใจพวกเราหรอก”
เจนนี่ได้ยินพอดี “ขืนรอนังลั้นลา ก็มันก็คงแกล้งบ่ายเบี่ยง จนหาชุดไม่ทัน เจ๊เดือนกับไอ้ลีก็ได้ใส่ชุดเก่าขึ้นเวทีตามเคย นังนี้มันฤทธิ์เยอะ มันไม่อยากให้ใครมาเด่นเกินเพียงฟ้าหรอก”
“ฉันเป็นคนบอกคุณโสมว่าจะชวนไอ้ลีมาหาเสื้อผ้าเอง เพราะคอนเสิร์ตมันจะเล่นมะรืนนี้แล้ว ตัดใหม่คงไม่ทัน รีบๆ เลือกเลยแก”
เกวลียิ้มแหยๆ “ลีเลือกไม่เก่งอะจ้ะพี่เดือน ชุดไหนก็ได้มั้ง”
“ไม่ได้ นี่มันคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของแก ต้องสวยๆ ปังๆ สิ” เจนนี่ว่า
เกวลียิ้มเก้อๆ มองดูเสื้อผ้า ปลายอ้อช่วยเลือกหยิบมาให้ชุดหนึ่ง
“ชุดนี้ดีไหม เหมาะกับลีนะ”
เกวลีรับมาดู พยักหน้าบอกว่าชอบ แล้วถือเข้าไปห้องลองพร้อมกับแววเดือน
เวลาผ่านไป สองสาวแววกะลีลองเสื้อผ้า เจนนี่กับปลายอ้อช่วยกันหยิบเลือกให้ แล้วจับแต่งโน่นนี่ให้ทั้งสอง
แววเดือนกับเกวลีลองชุดต่างๆ ออกมาให้เจนนี่กับปลายอ้อดู สวยบ้างไม่สวยบ้าง แต่ในที่สุดก็ได้ชุดถูกใจใส่ถุงออกมา
“แล้วแกล่ะอ้อ ไหนว่าจะประกวดร้องเพลงในงานเปิดค่ายด้วย ไม่เลือกซักชุดล่ะ” เจนนี่ถาม
“แต่งชุดธรรมดาก็ได้จ้ะพี่เจนนี่ แค่นักร้องสมัครเล่น คงไม่เป็นไรหรอก”
“ถึงจะเป็นนักร้องสมัครเล่น แต่การแต่งตัวมันก็มีส่วนช่วยนะเว้ย”
“ถึงยังไงฉันก็ไม่มีตังค์ซื้ออยู่ดีแหละจ้ะ”
เกวลีนึกได้ “มีชุดนักร้องเก่าๆ ของพี่แววอยู่ที่บ้านนี่จ๊ะ”
“เออจริง ชุดสมัยฉันยังผอมๆ แต่มันก็ทั้งเก่าทั้งเชยแล้วนะ แกเอาไปเลือกแล้วลองมาดัดแปลงดูดีไหม”
“ดีจ้ะ ขอบคุณมากนะจ๊ะพี่แวว”
ปลายอ้อยกมือไหว้แววเดือนด้วยความดีใจ
แววเดือนพาทุกคนเดินมาดูร้านอาหารในห้าง มีปลายอ้อช่วยถือถุงเสื้อผ้าพะรุงพะรัง
“งบเสื้อผ้าเหลือ คุณโสมบอกให้เอาไปใช้เอนเตอร์เทนได้ กินอะไรดีวะถึงจะคุ้ม”
“ร้านไหนก็เลือกเอาเถอะ หิวไส้จะขาดแล้ว”
“งั้นร้านนี้แล้วกัน ไอ้อ้อกับลี จะไปห้องน้ำไม่ใช่เหรอ เจอกันในร้านนะ”
ปลายอ้อรับคำส่งถุงเสื้อผ้าให้เกวลีช่วยถือ แล้วเดินไปทางห้องน้ำ
ปลายอ้อล้างมืออยู่หน้ากระจก ร้องบอกเกวลีที่อยู่ในห้องน้ำ
“ฉันไปรอข้างนอกนะลี”
ปลายอ้อเดินออกมาหน้าห้องน้ำ แล้วสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ชะงักไป
เป็นปอแก้วกับอภิวัชเดินจูงมือกันเลือกซื้อของอยู่ในห้อง ท่าทางกระหนุงกระหนิง
“ยัยคุณปอแก้ว ผู้ชายคนนั้นใคร”
ปลายอ้อเขม้นมอง เป็นจังหวะที่อภิวัชหันมาลูบผมปอแก้ว แล้วยิ้มให้ก่อนจะเดินโอบเอวกันไป
ปลายอ้อสงสัยใคร่รู้ จึงตามไป คลาดกับเกวลีที่เดินออกมาจากห้องน้ำ เฉียดฉิว
เกวลีเดินออกจากห้องน้ำมามองไม่เจอปลายอ้อรออยู่ก็งง หันซ้ายแลขวา
ปอแก้วกับอภิวัชเดินกุมมือกัน เลือกดูของในห้าง พูดคุยหยอกล้อ ดูออกว่าเป็นแฟนกัน
ปลายอ้อตามมาห่างๆ แอบมอง จนเห็นชัดเจนว่าชายคนนั้นคืออภิวัช
“เจ้าของรายการร้องเพลงนั้นเอง ที่แท้ก็กิ๊กกันเหรอเนี่ย”
ปลายอ้อหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปทั้งสองไว้หลายๆ อิริยาบถ
ปอแก้วกับอภิวัชเดินควงกันเข้าร้านอาหารไป ปลายอ้อถ่ายเก็บไว้ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“อ้อ”
เสียงเรียกนั้นทำเอาปลายอ้อสะดุ้ง หันกลับไปเจอเกวลียืนอยู่
“ไหนบอกจะรอหน้าห้องน้ำ ฉันหาตั้งนานไม่เจอ”
“อ๋อ พอดีฉันเดินมาหาตู้เอทีเอ็มน่ะ เจอแล้วล่ะ ไปเถอะ”
ปลายอ้อรีบดึงแขนเกวลีออกไป แต่ยังไม่วายหันมามองปอแก้วกับอภิวัชในร้านอาหาร
ปลายอ้อกับเกวลีเดินกลับไปที่ร้านที่แววเดือนรออยู่ ปลายอ้อคิดๆ แล้วแกล้งถาม
“ลี คุณปอแก้วนี่เขามีแฟนไหม”
“ไม่รู้สิ ถามทำไม”
“เปล่า ก็...เห็นเขาเป็นคนสวย เลยเดาว่าน่าจะไม่โสดแล้ว”
“เท่าที่รู้คุณปอแก้วไปเรียนหนังสือที่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก เธอเพิ่งกลับมา น่าจะยังไม่มีใครมั้ง อีกอย่างเสี่ยแกก็หวงลูกสาวจะตาย”
“ทำไมถึงหวงล่ะ”
“แหม ก็คนเคยเจ้าชู้มาก่อนนี่อ้อ พอถึงเวลามีลูกเองก็ต้องระแวงเป็นธรรมดาว่าผู้ชายที่เข้ามาหวังอะไรในตัวลูกเราหรือเปล่า ฉันได้ยินว่าสมัยหนุ่มๆ เสี่ยแกก็มีวีรกรรมไม่ใช่น้อย”
ปลายอ้อคิดตาม ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “อย่างนี้ถ้าคุณปลายอ้อแกเกิดไปคบกับเจ้าของค่ายเพลงคู่แข่ง เสี่ยไม่อกแตกตายเหรอ”
“ใครเหรอ”
ปลายอ้อชะงัก นึกได้ว่าไม่ควรพูดเฉไฉกลบเกลื่อน
“ไม่ได้หมายถึงใครหรอก ฉันก็พูดทั่วๆ ไป”
เกวลีพยักหน้าไม่ได้ติดใจอะไร ชวนปลายอ้อเดินไปหาแววกับเจน
ศุภกฤตนั่งทำงานอยู่ ได้ยินเสียงไลน์ดังขึ้น พอกดดูก็เห็นปลายอ้อส่งภาพแอบถ่ายของปอแก้วกับอภิวัชเข้ามาหลายรูป ศุภกฤตตกใจ รีบกดโทรศัพท์โทร.กลับไปหาปลายอ้อ
“อะไรเนี่ยปลายอ้อ”
ปลายอ้อแอบมาคุยโทรศัพท์ตรงมุมลับตาในห้าง
“ฉันชดเชยที่คุณโดนเจ้านายด่าเรื่องไม่ได้ทำข่าวที่ผับไง เล่นข่าวเจ้าของค่ายเพลงกิ๊กกันนี่แหละ ดังแน่”
ศุภกฤตอึ้งๆ เพราะรับปากปอแก้วไว้แล้ว แต่ปลายอ้อยังพูดต่อ
“ผู้บริหารค่ายเพลงขี้หึง กีดกันแฟนหนุ่มไม่ให้รับนักร้องหญิงเข้าสังกัด ก็เลยแกล้งคอมเมนต์โหดๆ ให้ตกรอบ...ตอนนี้ฉันปะติดปะต่อทุกอย่างได้แล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบฉัน”
ศุภกฤตนิ่วหน้า “คุณคิดมากไปหรือเปล่าปลายอ้อ”
“ไม่งั้นมันจะมีเหตุผลอะไรอีกที่เขายังตามตัดอนาคตฉันไม่เลิก”
ศุภกฤตพยายามช่วยแก้ต่างแทนปอแก้ว “ผมว่า...เขาอาจจะไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ ก็ได้นะ”
“จับมือถือแขนขนาดนี้ ไหนจะพูดหยอกล้อกันอีก คุณโลกสวยไปหรือเปล่า”
“แหม เพื่อนสนิทกันก็ทำกัน”
ปลายอ้อชักเริ่มไม่พอใจ “ตกลงคุณไม่เอาข่าวนี้ใช่ไหม ได้ งั้นฉันจะส่งให้สำนักข่าวอื่น”
ปลายอ้อจะวางสาย ศุภกฤตร้องห้าม
“เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้พูดอย่างนั้น ใจเย็นๆ”
“ฉันก็แค่อยากตอบแทนคุณที่ แต่ถ้าคุณไม่รับ ฉันก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไง”
“รับสิ แต่ขอผมคุยกับเจ้านายก่อนนะว่าเขาอยากสนใจหรือเปล่า ขอบคุณนะปลายอ้อ”
ศุภกฤตวางสาย แต่ดูรูปในมือสีหน้าเครียด ไม่อยากผิดคำพูดกับปอแก้ว
ฝ่ายด้านบุญทิ้งกลับมาหายุพาที่บ้าน เวลานี้กำลังมองอาหารเมนูแหนมบนโต๊ะกินข้าวที่ยุพาเอามาวางให้
“โอ๊ย อะไรเนี่ย” เขาหยิบมาดูทีละจาน “ไข่เจียวแหนม ยำแหนม ผัดผักใส่แหนมไม่มีอย่างอื่นบ้างเหรอน้ายุ”
“ก็แหนมมันเต็มบ้านไปหมด ไม่รู้ใครสั่งมาให้ ไม่ใช่เอ็งเหรอบุญทิ้ง”
บุญทิ้งทำไก๋แกล้งงง “ฮะ แหนมอะไร ใครสั่ง ฉันไม่รู้เรื่อง”
“มีแม่ค้าแหนมเจ้านึงเขาเอาแหนมมาส่งที่บ้านชุดใหญ่เลย บอกว่ามีคนสั่งมาให้ฉัน ก็นึกว่าเป็นฝีมือแกน่ะสิ”
บุญทิ้งรีบออกตัว “ไม่ใช่ฉันหรอก สงสัยไอ้อ้อมั้ง แล้วอร่อยไหมล่ะน้ายุ”
“อร่อยสิ พี่สรชอบ แต่เดี๋ยวแกเอากลับไปกินบ้างนะ เหลือเยอะแยะ กินไม่หวาดไม่ไหว”
“โอ๊ย ไม่เอาหรอก น้ายุเอาไปแจกคนข้างบ้านสิ จะได้ช่วยโปรโมทให้เขาด้วย ขออร่อยอย่างนี้เราต้องไม่เก็บไว้กินคนเดียว จริงไหม”
ยุพาพยักหน้าคล้อยตาม บุญทิ้งแอบดีใจแทนเกวลี แล้วเหลือบไปเห็นอัปสรเดินลงมาร่วมโต๊ะ
บุญทิ้งยกมือไหว้ “น้าสร ฉันมาเยี่ยมจ้ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็สบายดี หมอเขาให้ยามากิน ช่วงนี้ก็เลยนอนได้เยอะหน่อย” อัปสรมองหา “ปลายอ้อล่ะ”
บุญทิ้งยิ้มเจื่อนๆ “ไอ้อ้อ ไม่ได้มาจ้ะ”
อัปสรหน้าเศร้าลงทันที
“มันยังโกรธน้าอยู่เหรอ”
“เปล่าจ้ะ มันบอกกับฉันว่าไม่อยากให้น้าสรผิดหวังที่เห็นหน้ามัน ก็เลยตั้งใจว่าถ้ามันยังไม่ได้เป็นนักร้อง มันจะยังไม่ยอมกลับบ้าน”
ยุพาฟังแล้วสงสาร “โธ่เอ๊ย ไอ้อ้อ”
อัปสรได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อลูก ที่เป็นคนขับไล่ไสส่งไป บุญทิ้งรีบปลอบใจ
“แต่เร็วๆ นี้มันจะประกวดอีกรอบแล้วจ้ะ ที่บูรพาซาวด์จะมีคอนเสิร์ตมะรืนนี้ แล้วก็ประกวดร้องเพลงหาศิลปินหน้าใหม่ด้วย ตอนนี้อ้อมันกำลังตั้งใจซ้อมอย่างหนัก น้าสรเป็นกำลังใจให้มันด้วยนะ”
อัปสรที่ซึมๆ อยู่พยักหน้ารับ พอยิ้มออกได้บ้าง
เพ็ญเอาเสื้อผ้าเก่าๆ ของตัวเองลงมาให้ปลายอ้อที่กำลังนั่งเย็บชุนชุดเก่าของแววเดือนอยู่กลางร้าน
“นี่ชุดเก่าๆ ของข้า เผื่อจะมีตรงไหนเอาไปเย็บๆ รวมกันกับของนังแววมันได้บ้าง”
“ขอบคุณมากจ้ะป้า”
“แล้วอย่ามัวแต่เย็บชุด จนไม่ได้ซ้อมเพลงนะเว้ย เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าแต่งตัวสวย แต่ร้องออกมาแล้วไม่ได้เรื่อง เดี๋ยวจะโดนขว้างเอา”
“งั้นฉันลองร้องให้ป้าฟังได้ไหมจ๊ะ ป้าจะได้วิจารณ์หน่อย”
“วุ้ย ข้าจะไปรู้อะไร”
เพ็ญบ่ายเบี่ยง จะเดินหนี ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องร้องเพลงอีก ปลายอ้อรีบดึงแขนไว้
“โธ่ ป้าเพ็ญเคยเป็นนักร้องอาชีพมาก่อน น่าจะให้คำแนะนำฉันได้บ้าง”
“ก็บอกแล้วว่ามันตั้งหลายปีแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นแค่แม่ค้าส้มตำคนนึงเท่านั้น”
“แต่ป้าก็ยังร้องเพลงเพราะอยู่ ฉันเชื่อว่าถ้าป้าขึ้นเวทีวันนี้ คนฟังก็ยังรักเสียงของป้าอยู่เหมือนเดิม”
เพ็ญนึกแล้วน้ำตาคลอ เสียดายความหลังที่ไม่หวนกลับมาอีก
“ถ้าคนยังรักเสียงข้าอยู่ ข้าก็คงไม่ตกต่ำจนต้องมาอยู่ตรงนี้หรอกวะปลายอ้อ
เพ็ญปาดน้ำตาเดินหนีขึ้นห้องไป ปลายอ้อมองตามอย่างสงสาร เสียงเคาะประตูหน้าร้านดังขึ้น
“ไอ้อ้อ อ้อโว้ย”
ปลายอ้อเปิดประตูร้านออกมา เห็นบุญทิ้งนั่งรออยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน
“พี่ทิ้ง มาทำไมมืดๆ ค่ำๆ”
“ฉันมีของมาฝากจากที่บ้าน” ทิ้งหยิบปิ่นโตพลาสติกมาให้ “กับข้าวเมนูแหนมของน้ายุ เขากลัวแกจะไม่ได้กินของอร่อยๆ แล้วนี่...”
บุญทิ้งยกถุงใส่เสื้อผ้าใบใหญ่ให้ดู
“น้าสรฝากมาให้”
“แม่เหรอ”
ปลายอ้อตื่นเต้นรีบรับมาเปิดดู เห็นเสื้อผ้านักร้องเก่าๆ ของตัวเองอยู่ในนั้น
“ฉันบอกน้าสรเรื่องที่แกเตรียมจะประกวดในคอนเสิร์ตที่ลานเทวา น้าสรก็เลยกลัวแกจะไม่มีชุดใส่ แล้วก็ฝากอวยพรแกมาด้วยให้โชคดี”
ปลายอ้อน้ำตาซึม กอดชุดของตัวเองไว้ด้วยความตื้นตัน
“ขอบใจนะพี่ทิ้ง ไม่มีกำลังใจจากไหนจะยิ่งใหญ่เท่ากับของแม่ฉันอีกแล้ว”
ปลายอ้อซบหน้าลงร้องไห้กับชุดที่อัปสรฝากมาให้
ฝั่งอัปสรนอนลืมตาโพลง มองดูรูปของเผ่าพงศ์ในมือ
“พี่เผ่า ช่วยดลบันดาลให้ลูกเราทำสำเร็จ ด้วยเถอะนะจ๊ะ ไม่ใช่เพื่อความแค้นของเราอย่างเดียว แต่ฉันไม่อยากเห็นปลายอ้อต้องพลาดหวังซ้ำๆ ซากๆ อีกแล้ว ช่วยลูกเราด้วยนะพี่”
อัปสรกอดรูปของเผ่าพงศ์ไว้กับอกน้ำตาซึมห่วงหาอาทรลูก
เช้าวันนี้ ปอแก้วพาแววเดือน เกวลี เจนนี่ เดินดูลานคอนเสิร์ตที่ตกแต่งเกือบเสร็จแล้ว
“โอ้โห เวทีเรียบร้อยหมดแล้ว น่าสนุกจังค่ะคุณปอแก้ว”
“ทีมงานกำลังจัดการเรื่องระบบเสียงอยู่ คิดว่าบ่ายนี้ทุกอย่างจะเรียบร้อย”
เจนนี่บอกว่า “แหม เห็นแล้วมันคันไม้คันมือ อยากจะกระโดดขึ้นเวทีจริงๆ ค่ะ”
“เดี๋ยวได้ขึ้นแน่ค่ะ เย็นนี้ทีมงานจะเริ่มรันทรู ฉันอยากให้ทุกคนได้ขึ้นซ้อมกับเวทีจริงก่อนงานพรุ่งนี้”
“แล้วต้องแต่งตัวไหมคะ” แววถาม
“อยากแต่งก็ได้ หรือจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์ก็ไม่มีปัญหา แต่ขอให้ทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน อย่างที่บอกว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้มันจะเป็นเวทีสำคัญสำหรับทุกคน พร้อมกันหรือยังคะ”
“พร้อมมากๆ ค่ะคุณปอแก้ว”
เกวลีกับแววเดือนทำท่าตื่นเต้นกับเวทีใหญ่ ปอแก้วยิ้มเอ็นดู
เสียงปลายอ้อดังขึ้น “เวทีส๊วยสวยนะคะ”
ปอแก้วหันไปมอง เห็นปลายอ้อถือถุงกล่องข้าวทีมงานเข้ามา
“ฉันแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้ขึ้นเวที”
“เอาข้าวกล่องมาส่งทีมงานเหรอไอ้อ้อ เดี๋ยวพี่เอาไปแจกให้”
เจนนี่ช่วยหิ้วถุงข้าวกล่องไปแจกทีมงาน ปอแก้วหันมามองปลายอ้ออย่างหมั่นไส้
“เธอมีสิทธิ์อะไรที่จะขึ้นเวทีไม่ทราบ”
“ปลายอ้อมันจะสมัครประกวดร้องเพลงค้นหาศิลปินดาวรุ่งด้วยไงคะคุณปอแก้ว” แววเดือนว่า
ปลายอ้อยิ้มเยาะ “ฉันเตรียมตัวหนักมากเลยนะคะ ทำงานไปก็ซ้อมร้องเพลงไป คราวนี้ฉันจะไม่ยอมให้พลาดโอกาสได้เป็นศิลปินอีกเป็นอันขาด”
“ที่แท้เธอก็มีแผนอย่างนี้เอง ทิ้งงานแดนเซอร์เพื่อจะหวังเข้ามาเสียบเป็นนักร้องทีหลัง”
“ก็ใช่สิคะ ฉันบอกคุณแล้วว่าฉันจะกลับมาเป็นศิลปินที่นี่ให้ได้”
ปอแก้วมองหน้าปลายอ้อดุๆ บรรยากาศมาคุ จนเกวลีกับแววเดือนไม่สบายใจ
“ปลายอ้อร้องเพลงเก่งจริงๆ นะคะคุณปอแก้ว” เกวลีพูดให้
แววเดือนเสริมอีก “ใช่ค่ะ แววว่าร้องดีกว่าแม่เพียงฟ้าเพียงสวรรค์นั่นด้วยซ้ำ ควรปั้นอย่างยิ่งค่ะ”
“รอดูผลงานบนเวทีอีกทีก็แล้วกัน ฉันอยากให้คะแนนความพยายามกับเธอนะปลายอ้อ แต่การเป็นศิลปินที่ดี แค่ลูกตื้ออย่างเดียวมันไม่พอ หวังว่าคราวนี้เธอจะจับใจกรรมการและคนฟังได้นะ”
ปลายอ้อเหน็บไปดอก “ฉันทำได้แน่ค่ะ ถ้ากรรมการไม่มีอคติกับฉัน”
ไม่เท่านั้นปลายอ้อยังยิ้มใส่แบบรู้ทัน ปอแก้วหน้าตึง
“ฉันจะรอฟังก็แล้วกัน”
ปอแก้วพูดจบก็เดินออกไป แววเดือนกับเกวลีหน้าซีด เข้ามาดึงแขนปรามๆ
“ไอ้อ้อ ทำไมแกทำท่าอวดดีกับคุณปอแก้วขนาดนั้นวะ เดี๋ยวก็ซวยหรอก”
“จะซวยยังไงพี่แวว ทางเดียวที่เขาจะกีดกันไม่ให้ฉันได้เข้าบูรพาซาวด์อีกรอบ ก็คือต้องล้มการประกวดร้องเพลง ถ้ากล้าก็ลองดูสิ” ปลายอ้อแค่นยิ้ม
แววเดือนกับเกวลีสบตากันอย่างไม่สบายใจ ไม่อยากให้ปลายอ้อมีปัญหากับปอแก้วอีก
พรทิพย์เดินลงมาจากชั้นบน ชะงักเมื่อเห็นเพียงฟ้ายืนอยู่กลางโถงบ้าน
“อุ๊ย สวัสดีค่ะคุณพรทิพย์”
“เธอมาทำอะไรที่นี่ อัมพรพวา ดาราวดี ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาได้ยังไง”
“เพียงฟ้ามากับผมเอง”
บูรพาเดินตามเข้ามา เพียงฟ้ายิ้มเย้ยสะใจ แล้วเข้ามากอดแขนบูรพาอวดเบาๆ
พรทิพย์โกรธจัด “ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากจะไปหากินอาจมนอกบ้านก็เชิญ แต่อยากเข้ามาให้สกปรกบ้านฉัน”
เพียงฟ้าฉุน “มากไปหรือเปล่าคะคุณพรทิพย์ ฟ้าไม่ใช่เศษอาจมนะคะ”
บูรพายกมือห้ามไม่ให้เพียงฟ้าพูด แล้วอธิบายใจเย็น
“พอดีรถเพียงฟ้าเสีย ไม่มีรถขับไปทำงาน ผมก็เลยให้เขามาเลือกรถบ้านเราไปใช้”
“เลือก” พรทิพย์โกรธ “คุณเคยคิดจะถามฉันซักคำไหมว่าฉันอนุญาตให้เลือกหรือเปล่า”
บูรพาเริ่มรำคาญ “จะเป็นอะไรไปเล่าคุณ รถบ้านเราก็มีตั้งหลายคัน”
“จะต้องให้ฉันเผื่อแผ่ทุกอย่างให้ผู้หญิงของคุณเลยหรือไงคะคุณบูรพา”
เพียงฟ้าทนไม่ไหวพูดพลางยิ้มเยาะ “แหม ที่ผ่านมาฟ้าก็ไม่ได้มาหยิบยืมอะไรในบ้านนี้ไปนะคะ นอกจากเสี่ย รถเนี่ยก็ขอยืมแค่ไม่กี่วันเท่านั้น แต่ถ้าคุณพรทิพย์ไม่สะดวก ฟ้าซื้อรถใหม่เลยก็ได้ค่ะ จะได้ตัดปัญหา เสี่ยเลือกให้ฟ้าหน่อยนะคะ”
เพียงฟ้ากอดแขนออดอ้อน บูรพายิ้มๆ แล้วเลิกคิ้วมองพรทิพย์เป็นเชิงท้าทายว่าจะให้ทำถึงขั้นนั้นไหม พรทิพย์คุมแค้น
เพียงฟ้าเกาะแขนบูรพาขึ้นนั่งรถคันหนึ่งของบ้านออกไป โดยมีพรทิพย์มองตามอย่างเจ็บใจ
พรทิพย์กำลังจะกลับเข้าบ้าน แต่เห็นรถอีกคันแล่นสวนเข้ามาก็แปลกใจ สีหน้าเครียดเคร่งเปลี่ยนเป็นดีใจขึ้นมา เมื่อเห็นคนที่เปิดประตูลงมา
“พี่ฉัตร”
พรทิพย์ต้อนรับหมอฉัตรด้วยความยินดี
“พี่ฉัตรกลับมาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นส่งข่าวให้ทิพย์รู้”
“เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันเอง หลานสาวพี่เพิ่งคลอด”
“ดีจัง เดี๋ยวทิพย์จะแวะไปเยี่ยมนะคะ”
หมอฉัตรยิ้มๆ ตอบพรทิพย์ แล้วเหลือบมอง เห็นรูปของปอแก้วถ่ายคู่พอแม่วางอยู่ในห้อง
“นี่ปอแก้วหรือ โตเป็นสาวแล้วสวยขึ้นมาจริงๆ”
“ค่ะ ตอนนี้แกเรียนจบกลับมาช่วยงานคุณบูรพาแล้วนะคะ ถ้ารู้ว่าคุณลุงหมออยู่เมืองไทย ยายแก้วคงอยากเจอ”
“เสียดายว่าอยู่กันคนละประเทศ เลยไม่ได้เจอกันซักที” ฉัตรถามด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “ว่าแต่หลานสุขภาพแข็งแรงดีใช่ไหม”
พรทิพย์นิ่งงันไป คำถามของหมอฉัตร ทำให้นึกถึงอดีตที่พยายามปกปิดขึ้นมาอีก
“ตั้งแต่ยายแก้วไปรักษาตัวกับหมอที่อเมริกาที่พี่ฉัตรแนะนำให้ แกก็ไม่มีอาการผิดปกติอีกเลย น่าจะหายแล้วนะคะ”
“ดีแล้วล่ะ ยายแก้วโชคดีที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเธอ ไม่งั้นก็คงไม่มีชีวิตมาถึงวันนี้”
พรทิพย์ยิ้มเศร้าๆ นึกถึงความสูญเสียของตัวเอง
“ทิพย์ต้องขอบคุณพี่ฉัตรด้วย ที่ให้โอกาสทิพย์ได้ทำหน้าที่ของแม่ แม้ว่าแกจะไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริงของทิพย์ก็ตาม”
หมอฉัตรเอ็ดเอา “เราสัญญากันแล้วนะทิพย์ ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก”
พรทิพย์หลบสายตา กล้ำกลืนเรื่องในอดีตให้เป็นความลับต่อไป
ศุภกฤตแวะมาที่บูรพาซาวด์ ยื่นมือถือให้ปอแก้วทันทีที่เจอหน้าซีอีโอสาวในห้องทำงานของเธอ
“อะไรของคุณ”
“ดูสิ ว่าผมได้รูปอะไรมา”
ปอแก้วรับมือถือมาดู แล้วตาโตตกใจ
“นี่คุณแอบถ่ายรูปฉันอีกแล้วเหรอ”
“เปล่า มีคนส่งมาให้ผม”
“อย่าบอกนะว่าคุณเอาลงข่าวไปแล้ว”
“ผมเป็นคนรักษาคำพูดนะ ถ้าผมรับปากว่าจะไม่เล่นข่าวนี้ ผมก็ไม่เล่น ที่เอามาให้ดู ก็เพราะจะเตือนให้คุณระวังตัว ถ้าไม่อยากเป็นข่าว ก็อย่าประเจิดประเจ้อนัก”
ปอแก้วหมั่นไส้ “พูดอย่างกับฉันไปทำอะไรเสียหาย ก็แค่ไปกินข้าวกับเขา ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนแอบถ่ายรูป เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน…”
ปอแก้วมองรูปอย่างพิจารณาแล้วนึกได้ จ้องหน้าศุภกฤต
“ฉันไม่ใช่ดารา คุณอภิวัชก็ไม่ใช่ แล้วใครจะมาถ่ายรูปพวกฉันไว้ นอกจากว่ารู้จักเราสองคน คุณไปได้รูปนี้มาจากไหน”
ศุภกฤตหน้าเสีย กลัวปอแก้วรู้ว่าเป็นปลายอ้อ รีบบ่ายเบี่ยง
“ไม่รู้ ปกติแหล่งข่าวเวลาส่งเมลมา เขาไม่เปิดเผยตัวกันหรอก”
“ฉันไม่เชื่อ ใครเป็นแหล่งข่าวคุณ”
ปอแก้วจ้องคาดคั้น ศุภกฤตอึกอัก เสียงเคาะประตูดังขึ้น บูรพาเปิดประตูเข้ามา
“ปอแก้ว” บูรพาชะงัก มองศุภกฤต “อ้าว มีแขกหรือลูก”
ศุภกฤตรีบลุกขึ้นไหว้ “สวัสดีครับคุณบูรพา ผมมาจากสตาร์เดลี่ครับ”
พอบูรพารู้ว่าศุภกฤตเป็นนักข่าวก็พยักหน้ารับรู้ ไม่ได้สนใจนัก คุยกับปอแก้วต่อ
“เดี๋ยวหนูเสร็จธุระแล้วไปหาพ่อหน่อยนะ พอมีเรื่องจะงานจะคุยด้วย”
“ผมเสร็จธุระพอดีครับ เชิญคุณปอแก้วตามสบายเลยนะครับ ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลเรื่องคอนเสิร์ต เดี๋ยวผมจะรีบเอาไปลงเว็บข่าวคืนนี้เลย ขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวสิคุณ”
ศุภกฤตรวบรัดตัดความแล้วเผ่นออกจากห้องไป ก่อนจะถูกปอแก้วซักไซ้ต่อ
ฝั่งเพียงฟ้าวาดลวดลายซ้อมเพลงบนเวทีพร้อมกับพวกแดนเซอร์ มีลั้นลายืนโยกซ้ายโยกขวาเชียร์อยู่หน้าเวที
“เริดมาก ลูกสาวเริ่ดม๊ากกกก” ลั้นลาเชียร์ไปถ่ายคลิปมือถือไป
เพียงฟ้าเต้นสะบัดโชว์เซ็กซี่สุดฤทธิ์ นมกระเพื่อมบึ้บบั้บ พอเพลงจบ ลั้นลารีบเอาน้ำกับกระดาษซับหน้าไปให้เช็ด
“เป็นไงบ้างเจ๊”
“โอ๊ย เวทีแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว เผ็ดมากกก นี่เจ๊อัดคลิปไว้ลงไอจีสตอรี่ด้วยนะ”
เพียงฟ้าชะโงกดูคลิปในมือถือแล้วส่ายหน้า
“โอ๊ย ไม่เอาอะ ฉันยังเต้นไม่สวยเลยเจ๊ อย่าเพิ่งลง เอาใหม่ๆๆ” เพียงฟ้าหันไปบอกนักดนตรีกับแดนเซอร์ “เดี๋ยวขออีกรอบนะ”
นักดนตรีมีท่าทีอึดอัด “เอ่อ แต่มันมีคิวของแววเดือนกับเกวลีต้องขึ้นซ้อมต่อนะครับ”
ลั้นลาแหวใส่ “เอ๊ะ ก็เพียงฟ้ายังไม่เป๊ะ คนอื่นก็รอไปก่อนสิ”
บุญทิ้งท้วง “แต่นี่มันเย็นแล้ว ผมกลัวว่าคนอื่นจะไม่ทันนะครับ”
เพียงฟ้าลุกขึ้น เท้าเอวหมับ เบ่งใส่ “นี่ แกคิดว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้เขามาดูใคร ฉันหรือว่านักร้องตกกระป๋องพวกนั้น ถามทีมงานกับนักดนตรีซิว่าใคร เรียกคนดูได้มากที่สุดในค่ายนี้”
“ฉันจะบอกให้รู้นะไอ้เด็กใหม่ คอนเสิร์ตนี้มีแต่คนจะมาดูเพียงฟ้า ลดาวัลย์ พวกนักร้องคนอื่นก็เป็นแค่โชว์ฆ่าเวลาเข้าห้องน้ำเท่านั้นเอง ไม่ได้ซ้อมบนเวทีก็ไม่เสียหาย เพราะคงไม่มีคนรอดู”
ลั้นลาด่าจนบุญทิ้งหน้าจ๋อย ไม่กล้าตอบโต้อีก
“เพราะฉะนั้นฉันจะซ้อมจนกว่าจะพอใจ ถ้าฉันไม่เป๊ะ ก็ให้คนอื่นมันรอไปก่อน”
เพียงฟ้าเชิดกลับไปประจำที่ พวกแดนเซอร์ลุกตามขึ้นไปอย่างเพลียๆ เริ่มซ้อมเพลงอีกรอบ
แววเดือนแต่งหน้าแต่งตัวเดินออกมาจากในบ้าน เห็นเกวลียังนั่งจับเจ่าดูมือถืออยู่หน้าบ้าน
“เอ้า ไอ้ลี ไม่ไปแต่งตัวล่ะ เดี๋ยวก็ไม่ทันซ้อมหรอก”
“คงอีกนานกว่าจะถึงคิวชั้นล่ะจ๊ะ บุญทิ้งไลน์มาบอกว่าคุณเพียงฟ้ายังซ้อมไม่เสร็จเลยจ้ะพี่แวว”
แววเดือนปรี๊ด “ฮะ มันซ้อมอะไรมากมาย ใจคอจะร้องเพลงทั้งอัลบั้มเลยหรือไง”
“ฉันว่ามันจะแกล้งพวกแกไม่ให้ซ้อม”
แววเดือนฮึดฮัด แล้วจ้ำพรวดออกจากบ้านไป
แดนเซอร์เพลงของเพียงฟ้ายังคงซ้อมเต้นอยู่บนเวทีในสภาพกะปลกกะเปลี้ย เพียงฟ้าตะโกนลั่นๆ
“หยุดๆๆๆ หยุดเดี๋ยวนี้”
พวกนักดนตรีหยุดเล่นงงๆ เพียงฟ้าหันไปด่าแดนเซอร์
“นี่ ให้มันมีเรี่ยวแรงหน่อยสิยะ เต้นกันเละเทะแบบนี้ พรุ่งนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ก็เราเหนื่อยแล้วนี่คะ”
“แค่ซ้อมยังไม่ดีเลย แล้วจะอยากจะพัก เดี๋ยวฉันไล่พวกแกกลับไปพักยาว ไม่ต้องมาเลยดีไหม”
พวกแดนเซอร์กลัวเพียงฟ้าหัวหด ลั้นลามองหา
“แล้วนี่นังเจนนี่มันไปไหนไม่มาคุมเด็ก คอยดูเถอะจะฟ้องคุณโสมให้เข็ด”
“ฉันอยู่นี่” เจนนี่ถือถุงสปอนเซอร์ถุงใหญ่มาแจกเด็กๆ
“พี่เจนนี่” แดนเซอร์ดีใจ
“มา...มาพักดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ เพิ่มพลังกันก่อน”
พวกแดนเซอร์เห็นเจนนี่ รีบกรูกันลงไปหาเจนนี่ รับสอนเซอร์มาเปิดดื่ม เพียงฟ้าแว้ดออกไมค์
“นี่ ใครใช้ให้พวกแกลงจากเวทีไป ขึ้นมาซ้อมต่อเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่ต้อง หมดเวลาของแกแล้ว”
พร้อมกับว่า แววเดือนเดินออกมาจากด้านหลังเวที
“ฉันกับเกวลียังไม่ได้ซ้อมเลย แกจะยึดเวทีไว้อีกนานเท่าไร”
“ก็รอไปก่อนสิ ตามคิวฉันต้องโชว์ก่อนพวกแก”
“พวกฉันรอมาครึ่งค่อนวันแล้ว เอาไมค์มานี่”
“ฉันยังซ้อมไม่จบ” เพียงฟ้าดึงไมค์หนี
“นังเพียงฟ้า”
แววเดือนโมโห กระโจนเข้าแย่งไมค์กับเพียงฟ้า
“โอ๊ย ปล่อยนะ อีแววเดือน”
เพียงฟ้ายันหัวแววเดือนออกไป แววเดือนจิกหัวเพียงฟ้าจะกระชากไมค์ให้ได้
เพียงฟ้าหันไปเรียกลั้นลา “มาช่วยฉันหน่อยสิเจ๊ ยืนเซ่อทำไม”
ลั้นลาตกใจ กระวีกระวาดจะวิ่งขึ้นไป ถูกเจนนี่ฉุดแขนไว้
“ไม่ใช่เรื่องของแก อย่าขึ้นไปสอด”
“ก็ไม่ใช่เรื่องของแกเหมือนกันแหละโว้ย”
ลั้นลาหันมาผลักเจนนี่ เจนนี่ฉุดกระชากไว้ ลั้นลาโมโห ตบผัวะ
“อ๊าย อีลั้นลา แกกล้าตบฉัน”
เจนนี่เงื้อมือตบลั้นลา เพียงฟ้ามัวแต่มองทั้งสองตบกัน แววเดือนฉวยโอกาสแย่งไมค์ไปได้
“นังแววเดือน เอาคืนมานะ”
เพียงฟ้าจะกระชากคืน แต่แววเดือนไม่ให้ ยื้อแย่งกันเซไปหาพวกนักดนตรี
พวกนักดนตรีแตกฮือถอยหนี เพียงฟ้ากับแววเดือนยังไม่แยกกัน ฉุดกระชากลากถู ล้มชนเครื่องดนตรีที่ตั้งอยู่ ล้มระเนระนาด ขณะที่ข้างล่างเจนนี่กับลั้นลาก็จับคู่ตบกัน
แววเดือนเสียท่าโดนเพียงฟ้ากอดรัดฟัดเหวี่ยง “ปล่อยนะนังเพียงฟ้า ข้าวของพังหมดแล้วเห็นไหม”
“แกสิปล่อย เอาไมค์ฉันมา”
แววเดือนไม่ยอมให้ และเริ่มรำคาญ “ปล่อยสิโว้ย”
แววเดือนออกแรงสะบัดเหวี่ยงเพียงฟ้าสุดแรง
เพียงฟ้าร้องวี๊ด เซถลาไปทางขอบเวที แสงโสมเข้ามาพอดี
“ทำอะไรกันน่ะ ว้ายยย”
เพียงฟ้าถลาเข้าใส่แสงโสม แต่แสงโสมตกใจถอยหนี เพียงฟ้าเลยหน้าคะมำตกเวทีไป ทุกคนหน้าเหวอตกใจ
ลั้นลากรี๊ด “เพียงฟ้า”
เกวลีนั่งฮัมเพลง ท่องเนื้ออยู่หน้าบ้านพัก พอเห็นบุญทิ้งโผล่มาก็รีบลุกขึ้น
“บุญทิ้ง ถึงคิวฉันแล้วเหรอ ทำไมพี่แววซ้อมเสร็จเร็วจัง”
“ยังหรอก แต่ที่เวทีสงสัยต้องหยุดซ้อมยาว”
เกวลีแปลกใจ “ทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ก็เจ๊แววกับยัยเพียงฟ้าตีกันจนเวทีพังพินาศไปหมดแล้ว”
ปอแก้วเดินลงมาจากตึก เห็นแสงโสมกับลั้นลาประคองแสงโสมเดินกะเผลกๆ ออกมา ส่วนลั้นลาใบหน้าปูดบวมดูไม่จืด
“เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย น้าโสม”
“เพียงฟ้าตกเวทีขาเจ็บค่ะ น้าจะพาไปโรงพยาบาล”
เพียงฟ้าฟ้องทันที “นังแววเดือนค่ะ มันผลักฟ้าตกเวที”
“นังเจนนี่ก็อีกคน มันตบหน้าลั้นลาจนปูดไปหมดแล้วค่ะ แล้วดูสิคะ เพียงฟ้าจะพิการหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าฟ้าหมดอนาคต ค่ายเราก็หมดอนาคตแน่ๆ เลยค่ะ”
เพียงฟ้าได้ยินก็ใจเสีย ตีโพยตีพาย
“แอร๊ย ถ้าเป็นอย่างนั้นฟ้าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมัน คุณปอแก้วก็ต้องจัดการให้ฟ้าด้วย ฟ้าไม่ยอม”
แสงโสมหมั่นไส้ “อย่าเวอร์นักได้ไหม ไปให้หมอดูอาการก่อน”
จากนั้นแสงโสมก็ประคองเพียงฟ้ามาที่หน้าตึก เห็นรถตู้แล่นมาจอดรับ
“งั้นแก้วไปด้วยค่ะ”
ปอแก้วเข้าไปช่วยประคอง พาเพียงฟ้าไปโรงพยาบาลด้วยกัน
เกวลีหน้าจ๋อย พอรู้เรื่องเพียงฟ้ากับแววเดือนที่เกิดขึ้นจากบุญทิ้ง
“งั้นฉันก็คงไม่ได้ซ้อมแล้วล่ะ กว่าจะซ่อมเวทีเสร็จ”
“ก็ซ้อมที่นี่แหละ ฉันถึงเอากีตาร์มาด้วยไง เดี๋ยวฉันเล่นเป็นแบ็คให้เธอเอง”
เกวลียิ้มเขินๆ “จะดีเหรอ มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนยังไง อ๋อ อยากได้เวทีใช่ไหม...ได้”
บุญทิ้งหันมอง เห็นหน้าบ้านมีโต๊ะเตี้ยๆ รีบวิ่งไปเคลียร์ของออก
“นี่ไง เวทีของเธอ”
“จะบ้าเหรอ”
“นี่แหละ ขึ้นไปร้องบนนี้ รับรองว่าได้อารมณ์เหมือนอยู่บนเวทีเลย ว่าไง จะซ้อมไม่ซ้อม”
เกวลีลังเล เขินๆ บุญทิ้งนั่งเกากีตาร์เป็นอินโทร
“ถ้าไม่ซ้อม แล้วพรุ่งนี้ร้องไม่ดี โดนโห่ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ”
“ไซโคอยู่ได้” ลีถอนใจ “เอา ซ้อมก็ซ้อม”
เกวลีก้าวขึ้นไปยืนบนโต๊ะเขินๆ บุญทิ้งอมยิ้ม แล้วเริ่มเล่นกีตาร์นำให้เกวลีร้อง
เกวลีพยายามไม่สบตาบุญทิ้ง เพราะยังอายอยู่ แต่ก็พอเพลงเข้าท่อนร้องก็เริ่มร้องไป
เพ็ญเก็บข้าวของ เตรียมปิดร้าน เห็นปลายอ้อลงจากมอเตอร์ไซค์วินหน้าร้าน
ปลายอ้อส่งเงินให้ “นี่จ้ะป้า ค่าอาหารที่ลูกค้าสั่ง”
“ขอบใจนะ”
ปลายอ้อเข้ามาช่วยเพ็ญเก็บของตรงเคาน์เตอร์ตำส้มตำ
“วันนี้เอ็งไม่ต้องช่วยข้าหรอก ไปเอาเพลงมาซ้อมร้องไป๊ พรุ่งนี้แล้วไม่ใช่เหรอที่จะประกวด”
“จ้ะ”
ปลายอ้อรับคำอย่างดีใจ แล้วละมือจากงานไปเปิดเพลงเตรียมซ้อมร้องเพลง
เพ็ญยกจานออกไปล้างหลังบ้าน ได้ยินเสียงปลายอ้อร้องเพลงแว่วๆ เพ็ญเงี่ยหูฟัง คุ้นหูกับเพลงนี้มาก
ในอดีต อัปสรกำลังรีดชุดนักร้องให้เพ็ญ พลางฮัมเพลงไป เพ็ญนั่งอ่านหนังสือแล้วรู้สึกสะดุดหู เงยหน้ามอง
“เออ เพลงนี้เพราะดีนะ ของใครวะอัปสร ทำไมข้าไม่เคยได้ยิน”
อัปสรเขินอาย “เพลงของพี่เผ่ากับพี่มนต์รัชน่ะจ้ะ”
“แต่งไว้ตั้งแต่เมื่อไร ไม่เคยเห็นครูมนต์รัชพูดถึง”
“แต่งไว้ตั้งแต่อยู่บ้านนอกแน่ะจ้ะพี่ ที่จริงเขาอยากให้ฉันร้องออกเทป ถ้าพี่เพ็ญชอบก็ขอจากครูไปใส่อัลบั้มสิจ๊ะ”
“ไม่เอาหรอก แล้วถ้าวันนึงเอ็งได้เป็นนักร้องขึ้นมา ไม่เสียดายแย่หรอก”
อัปสรยิ้มเศร้า “ฉันคงไม่มีวาสนาแล้วมั้งจ๊ะ น่าเสียดายมากกว่าถ้าเพลงเพราะๆ แบบนี้จะตายไปโดยไม่มีคนเคยได้ฟัง ถ้าพี่เพ็ญอยากได้ก็เอาไปร้องได้เลยจ้ะ”
อัปสรพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แล้วก้มหน้าก้มตารีดผ้าต่อ เพ็ญมองอย่างเห็นใจ
ปลายอ้อร้องเพลงของอัปสร ปล่อยใจไปด้วยอารมณ์ดราม่าเกรี้ยวกราดแบบสไตล์ของตัวเอง แล้วชะงักเมื่อหันมาเห็นเพ็ญยืนมองอยู่
“ป้าเพ็ญ มาฟังเงียบๆ ฉันตกใจหมด”
“เอ็งร้องเพลงของใคร”
ปลายอ้อสะอึกอึ้ง กลัวเพ็ญรู้ความจริงว่าเป็นลูกอัปสร พูดตะกุกตะกักส่อพิรุธ
“เอ่อ ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ ฉันก็ฟังๆ มาจากครูที่สอนร้องเพลงสมัยเด็กๆ มันเพราะดี ฉันก็เลยเอามาร้องประกวดไปทั่ว”
เพ็ญจ้องหน้า “ครูของเอ็ง ชื่ออัปสรหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ” ปลายอ้อใจเต้นโครมคราม ย้อนถามตาใสซื่อ “เขาคือใครเหรอจ๊ะ”
เพ็ญยังคาใจ พยายามจ้องหน้าปลาอ้ออย่างคาดคั้น
“ก็เมียพี่เผ่าพงศ์ คนที่ข้าเล่าให้ฟังวันก่อน”
“อ๋อ ฉันไม่รู้จักหรอกจ้ะ แต่ครูฉันคงรู้จัก ก็เลยไปเอาเพลงเขามาร้อง แต่ป้าเพ็ญบอกว่าคนรักของเผ่าพงศ์ ไม่ได้เป็นนักร้องนี่จ๊ะ”
ปลายอ้อทำเป็นไขสืออย่างแนบเนียน จนเพ็ญเริ่มคลายใจ และไม่อยากรื้อฟื้นอดีต
“เรื่องมันยาวน่ะ อย่าให้ต้องเท้าความเลย ถ้าเอ็งไม่รู้จักก็แล้วไป ร้องต่อสิ ข้าอยากฟัง”
ปลายอ้อเริ่มร้องเพลงของอัปสรอีกครั้ง
เพ็ญนั่งฟังปลายอ้อร้องเพลง ซึมซับอารมณ์ไปเรื่อยๆ จนจบเพลง ปลายอ้อถามอย่างประหม่า
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะป้า อย่างนี้พอจะมีหวังชนะกับเขาบ้างไหม”
“เอ็งอยากร้องเพลงเพราะอยากชนะเท่านั้นเหรอ”
“เอ่อ ใช่จ้ะ ถ้าฉันไม่ชนะ ฉันจะเป็นนักร้องได้ยังไง”
เพ็ญถอนใจ “เอ็งเป็นคนเสียงดีนะปลายอ้อ น้ำเสียงของเอ็งโดดเด่นพอที่จะชนะ”
ปลายอ้อยิ้มออกมาอย่างดีใจ แต่ก็หุบยิ้มเมื่อเพ็ญพูดต่อ
“แต่เอ็งคงเป็นนักร้องที่ดีไม่ได้หรอก ถ้าร้องเพลงแบบนี้”
“ทำไมล่ะจ๊ะ”
“ก็เอ็งไม่ได้สื่อสารอารมณ์ไปตามเนื้อเพลง แต่เอ็งแค่ถ่ายทอดลีลาการร้องเพลงเท่านั้น เพลงมันเพราะ แต่มันกระด้าง”
ปลายอ้ออึ้งไป “ป้าพูดเหมือนคุณปอแก้วเลย”
“ก็เพราะมันเป็นเรื่องจริง หัวใจของการเป็นนักร้องก็คือการสื่อสารเพลงให้คนฟังเกิดอารมณ์สุนทรีย์ เพราะถ้าเพลงของเราทำให้เขามีความสุข เขาก็จะอยากฟังอีก แต่การร้องเพลงของเอ็ง มันเป็นงานโชว์ ทำให้ทึ่งได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่มีความจับใจ”
ปลายอ้อหน้าเสีย เริ่มเสียความมั่นใจลง
“เอ็งต้องร้องเพลงด้วยหัวใจสิวะ อย่าร้องด้วยสมอง อย่าคิดแต่จะโชว์ว่าตัวเองมีพรสวรรค์เหนือคนอื่นจนลืมสารในเพลง ใช้หัวใจถ่ายทอดสารนั้น แล้วเพลงของเอ็งจะเข้าไปนั่งในหัวใจคนฟังได้”
ปลายอ้อนิ่งไปซักพัก แล้วพ่นลมหายใจเครียดออกมา
“การจะเป็นนักร้องมันยากกว่าที่ฉันคิดอีกนะป้า”
“ไม่มีอะไรยากเกินความมุ่งมั่นของเอ็งหรอก มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องไปให้สุด อยากให้ข้าวิจารณ์ก็เอาคำวิจารณ์ไปปรับปรุงสิ ไหนร้องใหม่อีกรอบนึง คราวนี้คิดถึงแต่เนื้อเพลง ไม่ต้องวอกแวกเรื่องอื่น”
ปลายอ้อตั้งสติ พยักหน้ารับเอาคำสอน ก่อนจะเริ่มร้องเพลงด้วยท่าทางซอฟลง
เวลาผ่านไป ปลายอ้อร้องเพลงด้วยท่าทีนุ่มนวลขึ้น มีเพ็ญนั่งฟัง พยายามช่วยเก็บรายละเอียดให้
ปลายอ้อร้องเพลงอีกหลายๆ รอบ จากสีหน้าเคร่งเครียด ค่อยๆ ผ่อนคลาย อินไปตามอารมณ์เพลงรักของอัปสรโดยไม่รู้ตัว
วันงานคอนเสิร์ตมาถึง ปอแก้วเพิ่งมาถึงออฟฟิศ เห็นแสงโสมกระวนกระวายรออยู่
“ที่ลานเทวาเรียบร้อยดีไหมคะน้าโสม”
“ทีมงานกำลังรันทรูอยู่ค่ะ แต่ว่าตอนนี้ คิวศิลปินมีปัญหาแล้วล่ะค่ะ”
“ทำไมเหรอคะ”
“ก็แม่เพียงฟ้าที่ขาเจ็บเมื่อวานน่ะค่ะ วันนี้อาการยังไม่ดีขึ้น นางก็เลยจะไม่มาขึ้นเวที”
ปอแก้วกับแสงโสมบึ่งรถตามมาดูอาการเพียงฟ้าที่คอนโด เห็นสภาพเพียงฟ้านั่งรถเข็นจริง ข้อเท้าใส่เฝือก
“ฟ้าไม่ไปหรอกค่ะ สภาพแบบนี้ ขอโทษด้วยนะคะคุณปอแก้ว”
“แก้วเข้าใจว่าคุณไปขึ้นเวทีไม่ถนัด แต่อยากให้ไปปรากฏที่งานหน่อยค่ะ เพราะศิลปินเราไปกันทุกคน แล้วแฟนเพลงก็รอพบคุณอยู่” ปอแก้วคุยด้วยดีๆ
“โอ๊ย จะให้ลากสังขารนั่งรถเข็นไปเจอสื่อ ก็โดนถ่ายรูปล้อสนุกสนานสิคะ ไม่เอาหรอก ฟ้าไม่อยากเป็นตัวตลก”
“เธออย่าเห็นแก่ตัวนักได้ไหม นี่มันงานส่วนรวม งานของค่ายเชียวนะ” แสงโสมติง
“แล้วทีฟ้าเจ็บตัวเพราะแก๊งนังแววเดือน มีใครเห็นใจฟ้าบ้าง ขนาดจะลงโทษมันคุณโสมก็ไม่มีปัญญา ถ้าเห็นนังพวกนักร้องกระจอกนั่นสำคัญนัก ก็ให้มันโชว์กันเองเถอะค่ะ ยังไงฟ้าก็ไม่มีไป”
เพียงฟ้าพูดจบก็เข็นรถหนีเข้าห้องนอนปิดประตูปัง ปอแก้วกับแสงโสมมองหน้ากันถอนใจอย่างระอา
“เอาไงกันดีคะ มีคนรอดูเพียงฟ้าตั้งเยอะ ถ้าไม่มีอะไรเด็ดๆ มาแทน แฟนๆ ต้องโวยแน่”
ปอแก้วใคร่ครุ่นคิดหนัก หาทางแก้สถานการณ์ไม่ให้เทวาไลฟ์คอนเสิร์ตล่ม
อ่านต่อตอนที่ 6