เทพธิดาขนนก ตอนที่4 ถ้าไม่ดังจะไม่หันหลังกลับ
บทประพันธ์ : เพ็ญสิริ บทโทรทัศน์ : ปริศนา และ ทีมวันสุข
ปลายอ้อปีนราวสะพานยืนหมิ่นเหม่ น้ำตานองหน้าทอดสายตามองออกไปกลางแม่น้ำอันเวิ้งว้าง ทั้งสับสนและอัดอั้นคับแค้นใจในโชคชะตาขึ้นมา กำลังจะคิดสั้นก้าวกระโดดลงไปในแม่น้ำ แต่ศุภกฤตตรงเข้ามารวบตัวดังลงมาไว้ได้ทัน
“ปลายอ้อ คุณจะทำอะไรของคุณ”
ปลายอ้อดิ้นหนี “คุณ ปล่อยฉันนะ”
“จะบ้าหรือไง เดี๋ยวก็ตกน้ำตายหรอก”
“ก็ฉันอยากตาย”
ปลายอ้อโพล่งออกไป แล้วระเบิดร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ศุภกฤตอึ้งรีบดึงปลายอ้อออกมา ระหว่างนี้บุญทิ้งถือพวงมาลัยวิ่งเข้ามาหา เห็นศุภกฤตอยู่กับปลายอ้อที่เอาแต่ร้องไห้ ก็งงใหญ่
“ไอ้อ้อ เป็นอะไรไปวะ เกิดอะไรขึ้น แล้วคุณมาที่นี่ได้ไง”
“ผมขับรถผ่านมา เห็นน้องสาวคุณกำลังจะกระโดดน้ำตาย มีเรื่องคับแค้นใจอะไร ทำไมต้องคิดสั้นด้วย”
บุญทิ้งอึ้ง นิ่งงันไป มองปลายอ้อที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสงสารและเข้าใจ
ปลายอ้อนั่งน้ำตานองอยู่ที่เก้าอี้พักใต้สะพาน มีศุภกฤตกับบุญทิ้งอยู่ข้างๆ
“เรื่องแค่นี้เหรอ ที่ทำให้คุณยอมแพ้”
“มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับคุณ แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ของไอ้อ้อ น้าสรฝากความหวังเอาไว้ที่ไอ้อ้อ ถึงได้ยอมเข้ามากรุงเทพฯ แกอยากให้มันเข้ามาเป็นนักร้อง”
“ฉันทำให้แม่ผิดสองครั้งแล้ว ฉันไม่รู้จะกลับไปหาแม่ยังไง”
“คุณก็บอกไปตามความจริงว่าคุณทำไม่สำเร็จ ใช่ว่าโลกมันจะถล่มลงมาเมื่อไร ยังมีโอกาสอีกเยอะ” ศุภกฤตว่า
“คุณไม่รู้จักน้าสร อย่าพูดดีกว่า”
ศุภกฤตมองปลายอ้อที่เอาแต่เช็ดน้ำตาป้อยๆ แล้วรู้สึกสงสาร ฉุดแขนลุกขึ้น
“ลุกขึ้น ผมจะไปส่งที่บ้าน แล้วจะไปคุยกับแม่คุณเอง”
บุญทิ้งตกใจ “คุณจะบ้าเหรอ ไม่ได้ ห้ามไป ขืนพาคุณโผล่ไปที่บ้าน น้าสรจะยิ่งโมโหใหญ่”
“ก็ผมจะไปช่วยพูดให้”
“คุณจะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิม ให้พวกเราหาทางเอาเองเถอะ” บุญทิ้งบอกย้ำ
ศุภกฤตถอนใจ หันไปมองปลายอ้อ พูดให้ข้อคิด
“ยังไงการคิดท้อแท้อยากตายก็ไม่ใช่ทางออก คุณล้มได้ก็ลุกได้สิ ปลายอ้อ ที่ผมเห็นความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ เมื่อวันที่เราเจอกันครั้งแรกหายไปไหน”
ปลายอ้อถอนสะอื้น “ฉันเหนื่อย”
“เหนื่อยก็หยุดพัก มีแรงเมื่อไรค่อยสู้ต่อ อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป”
ปลายอ้อช้อนสายตาขึ้นมองหน้าศุภกฤต ไม่นึกว่าจะได้กำลังใจดีๆ จากเขา
“ผมรู้ว่าคุณเป็นนักสู้ แต่คุณจะสู้ตลอดเวลาโดยไม่ประเมินกำลังตัวเองไม่ได้ ถ้าท้อก็หยุดปลอบใจตัวเองบ้าง ได้จะมีแรงไปต่อ ยังไงผมก็ยังเป็นกำลังใจให้นะ
ปลายอ้อรู้สึกดีขึ้น พยักหน้ารับเอาคำ ซึ้งใจไม่น้อยกับข้อคิดของศุภกฤต
อีกด้าน ปอแก้วให้แสงโสมเรียกประชุมทุกฝ่ายของบริษัท ทั้งฝ่ายการตลาด ฝ่ายอีเว้นท์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายโปรโมท ทีมเพลง และฝ่ายการเงิน
โดยเวลานี้ปอแก้วนั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะในห้องประชุมใหญ่ของบริษัทแล้ว บนจอโพรเจ็กเตอร์มีภาพ ฟลอร์แปลนเวทีดนตรีนำเสนออยู่
“ที่ทุกคนเห็นอยู่นี้เป็นฟลอร์แปลนบริเวณที่จัดงาน เทวาไลฟ์คอนเสิร์ต ทั้งหมดของเรานะคะงานคอนเสริตนี้จะจัดแบบเอาท์ดอร์จำลองบรรยากาศให้เหมือนกับเมื่อก่อนที่เราเคยทำ”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ท้วงว่า “มันไม่เอาท์ไปเหรอคะคุณแก้ว”
“อย่าทำให้มันเอาท์สิคะ ในงานจะมีคอนเสิร์ตเปิดศิลปินเราทั้งค่ายแล้วตบท้ายด้วยการประกวดร้องเพลงเพื่อเซ็นสัญญาร่วมงานกับเรา”
ฝ่ายการเงินถามต่อ “เราจะเริ่มเมื่อไหร่คะ จะได้เสนอเบิกงบประมาณล่วงหน้าก่อนค่ะ ระบบเงินต้องใช้เวลานะคะอย่าลืม”
ปอแก้วตอบอย่างมั่นใจ
“ภายใน 1 สัปดาห์เราต้องทำงานนี้ให้ได้”
ฝ่ายการเงินโวย “โอ๊ย ไม่ได้หรอกค่ะ”
ทุกคนเมาท์มอยอื้ออึงไปหมดทั้งห้อง ปอแก้วบอกด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ต้องได้ค่ะ งานนี้จะเป็น zero budget ทั้งหมดค่ะ”
ทุกคนอึ้งกันไปทั้งห้อง ปอแก้วพูดต่อว่า
“สิ่งที่ชั้นจะขอจากทุกคนคือ ความร่วมมือค่ะ เพราะชั้นเชื่อว่าทุกคนมีฝีมือในการทำงานไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ใน 1 อาทิตย์นี้เราจะนำศักยภาพในสายงานของแต่ละคนมาผนึกรวมกัน”
ทุกคนในที่ประชุมเริ่มฮึกเหิมขึ้นมา และรับฟังที่แก้วพูดโดยตั้งใจฟังมากขึ้น ฝ่ายการตลาดซักว่า
“แล้ว zero budget ที่คุณแก้วว่าเราจะเริ่มยังไงคะ”
“เริ่มจากการตลาดก่อนเลยได้ค่ะ เรามีลูกค้าอยู่ในมือเราใช้ให้เป็นประโยชน์โดยเสนอบูธให้ลูกค้าเอาสินค้ามาโชว์ในงาน เป็นอีเวนท์มาร์เก็ตติ้งเพื่อดึงคนไปในตัว”
ทุกคนทึ่งในความคิดอันรวดเร็วของปอแก้ว
ฝ่ายโปรโมทถามต่อทันที “แต่ระยะเวลาทำงานมันไม่กระชั้นไปเหรอครับ”
“ยิ่งไวยิ่งได้เปรียบไม่ใช่เหรอคะ” ปอแก้วบอกกับทุกๆ คนว่า “ยิ่งเราสื่อสารไวเท่าไหร่เราย่อมได้เปรียบเพราะฉะนั้นเราจะสื่อสารกับคนดู กับแฟนเพลงของบูรพารวมถึงกลุ่มที่ต้องการล่าฝันพร้อมๆกันทุกช่องทางในสารเดียวกัน”
สีหน้าปอแก้วขณะพูดเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมาดหมาย
กลับถึงบ้านปอแก้วนั่งโต๊ะกินข้าวมื้อค่ำร่วมกับพ่อ แม่ และแสงโสม พูดคุยเรื่องงานของบูรพาซาวด์ไปด้วย มีอัมพร กับ ดารา คอยดูแลรับใช้
“หนูปอแก้วขา น้าว่าไอ้คอนเสิร์ตเปิดค่ายนี่มันก็ดีนะคะ แต่หนูให้เวลาทีมงานน้อยไปนี๊ดดดดนึง กลัวจะเตรียมงานไม่ทันเอานะคะ” แสงโสมทักท้วง
ปอแก้วสวนขึ้น “ต้องทันค่ะ ถ้าทุกคนร่วมมือกัน แก้วเองก็จะไม่ใช่แค่สั่งๆ หรอก แต่แก้วจะคอยควบคุมรายละเอียดทุกขั้นตอน น้าโสมไม่ต้องห่วง”
แสงโสมยังกังวล หันไปหาบูรพาให้ช่วยพูด
“ดีลูกแก้วจัดการไปเลย เรื่องนี้พ่อจะไม่ยุ่ง”
“ได้ยังไงกันคะเสี่ย งานใหญ่ขนาดนี้คุณพี่จะไม่อยากยุ่ง ไม่ได้นะคะ”
“ก็ฉันมั่นใจในตัวลูก อยากให้ชั้นอยากให้มันเป็นอีเว้นเปิดตัวแก้วไปเลย ขายทั้งคน ขายทั้งเพลง ลงมือทีเดียว ไอ้ผลสองทาง ไม่ดีรึไง”
พรทิพย์อดกังวลไม่ได้ “จะดีเหรอคะ ลูกยังไม่เป็นที่รู้จัก คุณน่าจะออกหน้าประกบลูก”
“นั่นสิคะ งานนี้ต้องใช้บารมีช่วยนะคะ”
“ถ้าฉันออกหน้ามันก็เก่าๆ เดิมๆ จะออกไปบังลูกทำไม สู้ปล่อยให้มันโดดเด่นไปเลยเป็นคนๆ ไป ให้ภาพมันโฟกัสที่ คนรุ่นใหม่กับยุคใหม่ของบูรพาซาวด์ ให้มันชัดๆไปเลย”
“แก้วจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”
“มันต้องอย่างนี้สิลูกพ่อ มันต้องให้ได้อย่างนี้เราถึงจะไปรอด”
“มีอีกเรื่องนึงที่แก้วอยากปรึกษาคุณพ่อ คือนอกจากเราจะต้องเร่งหาศิลปินหน้าใหม่ๆ แก้วว่าเราควรจะหาทีมงานด้านเพลงที่มีฝีมือมาร่วมงานด้วย คุณพ่อพอจะแนะนำใครได้บ้างไหมคะ”
“แหม คนเก่งๆ นี่ค่าตัวแพงนะคะ เราสู้ราคาไม่ไหวหรอก” แสงโสมว่า
“ถ้าคุ้มค่าก็ต้องสู้ค่ะ ตอนนี้เราต้องเลิกคิดเรื่องกำไรขาดทุนไปก่อน ความสำเร็จต้องมาพร้อมการลงทุน”
“เราก็เคยร่วมงานกับคนเก่งๆ มาแล้วทุกคนนะ พ่อยังนึกไม่ออกว่ามีใครที่น่าสนใจ”
พรทิพย์นึกได้ โพล่งออกมา “ครูมนต์รัชไงคะ”
บูรพาหันมองพรทิพย์ตาเขียว ถามเสียงขุ่น
“พูดถึงมันทำไม”
“แกหายไปนานแล้ว แต่ฉันเชื่อว่าแกน่าจะมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ อาจจะพอแนะนำให้เราได้”
“มันตายไปแล้วมั้ง หายสาบสูญไปเกือบยี่สิบปีตั้งแต่...” บูรพาไม่อยากพูดถึง “ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ไม่อยากเห็นหน้ามัน อย่าพูดถึงชื่อนี้ให้ฉันได้ยินอีก”
บูรพาหัวเสีย กินข้าวไม่ลง ลุกพรวดออกไป ปอแก้วงง หันมาหาแม่
“ครูมนต์รัช เพื่อนคุณพ่อที่ร่วมก่อตั้งค่ายมาด้วยกัน คุณพ่อมีปัญหาอะไรกับแกเหรอคะ”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
พรทิพย์ทำหน้างงๆ ที่บูรพาอารมณ์เสียขึ้นมา พรทิพย์ กับแสงโสมไม่รู้ไม่เห็นเรื่องความขัดแย้งของบูรพากับเผ่าพงศ์และมนต์รัช
บูรพาเดินหุนหันเข้ามาในห้องทำงาน ท่าทางฉุนเฉียวเอาการ นึกถึงชื่อมนต์รัชตอนเจอกันครั้งสุดท้าย
เมื่อ 20 ปีก่อน ที่งานปิดวิกเปิดการแสดงของวง เผ่าพงศ์ จงขจร เป็นงานใหญ่ อลังการ แฟนเพลงเต็มลานวัดแห่งนี้
ถึงคิวเผ่าพงศ์ขึ้นร้องเพลง เสียงคนดูปรบมือให้ดังเกรียวกราว แม่ยกเต็มหน้าเวทีเตรียมคล้องมาลัย เนื้อหาของเพลงเกี่ยวกับการผิดใจกันของคนรัก หญิงสาวเข้าใจผิดชายหนุ่มและหายตัวไป ไม่รู้ว่าหายไปไหน ตามหาจนทั่วไกลแค่ไหนถึงจะเจอ เป็นผลงานเพลงที่มนต์รัชแต่งให้เผ่าพงศ์โดยเฉพาะ
เผ่าพงศ์ถอดหัวใจร้องเพลงนี้ด้วยน้ำเสียงหวานเศร้า โศกซึ้ง จนเพลงจบ เสียงปรบมือดังกึกก้องเขาโค้งเคารพ ไหว้ขอบคุณแฟนๆ น้ำตาซึม
“กราบขอบพระคุณแฟนเพลงทุกท่านครับที่ยังให้การต้อนรับเผ่าพงศ์ จงขจรคนนี้อย่างเหนียวแน่นตลอดมา ความสุขในการร้องเพลงของผม ก็คือการให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกท่าน มันเป็นกำลังใจให้ผมก้าวขึ้นเวทีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”
แฟนเพลงปลาบปลื้มมารอยืนคล้องพวงมาลัย เผ่าพงศ์เริ่มน้ำตาคลอๆ
“แต่เมื่อมีวันพบก็ต้องมีวันจาก อย่างที่ผมเคยสัมภาษณ์เอาไว้ว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้จะเป็นคอนเสิร์ตครั้งที่พิเศษจริงๆ เพราะจะเป็นคอนเสิร์ตสุดท้ายในอาชีพศิลปินของเผ่าพงศ์ จงขจรครับ”
กลุ่มแฟนเพลงส่งเสียงฮือฮา เซ็งแซ่ไปในทิศทางไม่ยอมรับ
มนต์รัชเฝ้ามองดูอยู่หลังเวทีด้วยความเห็นใจ รู้อยู่แล้วว่าเผ่าพงศ์จะอำลาวงการไปตามหาอัปสรคนรัก จนบูรพาเดินเข้ามาด้านหลัง
“มนต์รัช”
มนต์รัชหันไปมองด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “แกมาที่นี่ทำไม”
มนต์รัชพาบูรพาเดินออกมาคุยกันตรงจุดลับตาคนในวัด
“แกมาที่นี่ทำไม”
“ฉันอยากมาดูศิลปินของตัวเองร้องเพลงบ้างไม่ได้เหรอ”
“แกก็รู้ว่าไอ้เผ่ามันไม่ใช่นักร้องในค่ายแกอีกแล้ว มันเพิ่งประกาศบอกลาแฟนๆ บนเวทีไปเมื่อกี้
“ฉันรู้ แต่ฉันก็อยากมาดูมันเป็นครั้งสุดท้าย”
บูรพาตีหน้าเศร้า ทำท่าจะเดินกลับไปที่เวที แต่มนต์รัชขวางไว้
“แกอย่าเข้าไปดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ มีอะไรก็คุยผ่านทนายมา”
“นี่แกก็คิดจะฟ้องร้องฉันอีกคนเหรอ”
“ฉันไม่มีปัญญาจ้างทนายหรอก เพราะผลประโยชน์ของฉันมันน้อยนิด ถือว่ายกให้ เพื่อตอบแทนที่แกช่วยชีวิตพ่อฉัน แต่ฉันไม่อยากให้แกเข้าไปทำลายบรรยากาศดีๆ ของไอ้เผ่ากับแฟนเพลงของมัน”
บูรพาปั้นหน้าเศร้าทำเป็นเจ็บช้ำ
“ฉันไม่เคยโกงใคร ทุกอย่างมันเป็นไปตามเงื่อนไข”
“เงื่อนไขที่แกใช้ความฉลาดแกมโกง ตุกติกคนบ้านนอกซื่อๆ อย่างพวกเราน่ะสิ กลับไปซะไอ้บูรพา”
มนต์รัชหันหลังกลับจะเดินไป ถูกบูรพาเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
มนต์รัชหันกลับมา ทำหน้าไม่พอใจ บูรพาตีเศร้าหยิบกระดาษโน้ตออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“จริงๆ ที่ฉันอยากพบไอ้เผ่าวันนี้เพราะฉันมีข่าวดีจะมาบอกมัน ฉันสืบหาที่อยู่ของอัปสรมาได้”
มนต์รัชตกใจ รับกระดาษมาอ่านดูที่อยู่
“ฝากให้ไอ้เผ่า ถึงจะขัดแย้งกันด้วยผลประโยชน์ แต่ฉันก็ไม่ใจไม้ไส้ระกำขนาดจะทำให้มันต้องสูญเสียทุกอย่าง ถือว่านี่เป็นการชดเชยที่ฉันพอจะให้ได้ก็แล้วกัน”
มนต์รัชมองกระดาษในมือ แล้วมองหน้าบูรพาอีกที บูรพาตีหน้าเศร้าๆ แล้วเดินคอตกออกไป
เผ่าพงศ์กับทีมงานเข้ามาที่หลังเวที กอดร่ำลากันด้วยความอาลัยอาวรณ์ เผ่าพงศ์หน้าเศร้า จนกระทั่งมนต์รัชตามเข้ามา
“เป็นไงบ้างวะ”
“ภารกิจฉันจบแล้ว หวังว่าเพลงที่ร้องไป จะส่งเสียงไปถึงอัปสรได้นะ”
“ต้องได้สิ บางทีมันอาจจะไม่ใช้เวลานานอย่างที่แกเคยคิด”
เผ่าพงศ์มองแปลกใจ มนต์รัชยื่นกระดาษที่อยู่อัปสรจากบูรพาให้
“ฉันรู้ที่อยู่ของอัปสรแล้ว”
เผ่าพงศ์รีบแย่งมาดู ถามอย่างตื่นเต้น “แกไปเอามาจากไหน”
มนต์รัชทำท่าอึดอัด “จากไหนก็ไม่สำคัญหรอก เรารีบไปตามอัปสรกันเถอะ”
พร้อมกับว่ามนต์รัชจะดึงเผ่าพงศ์ออกไปด้วยกัน แต่เผ่าพงศ์ขืนตัวไว้
“ไม่ต้อง ฉันไปคนเดียวก็พอ แกกลับไปดูแลพ่อเถอะ เพิ่งหายป่วยไม่ใช่เหรอ”
“แต่ฉัน...”
“ฉันจะปรับความเข้าใจกับอัปสรเอง”
เผ่าพงศ์ยิ้มด้วยความมั่นใจ กำกระดาษแน่น มนต์รัชพยักหน้าดีใจกับเพื่อน
เผ่าพงศ์รีบร้อนออกมาขึ้นรถ ขับออกไปคนเดียว รถพุ่งออกไปจากเขตวัดมุ่งสู่ถนนสายเปลี่ยว
มีรถบรรทุกคันหนึ่งจอดซุ่มอยู่ข้างทาง คนขับสตาร์ตเครื่อง แล้วขับรถตามรถเผ่าพงศ์ไป
รถที่เผ่าพงศ์ขับแล่นมาตามถนน เขาเปิดฟังเพลงตัวเองด้วยสีหน้าเบิกบาน หยิบกระดาษที่อยู่มาอ่านอีกที
“รอพี่เดี๋ยวนะอัปสร”
เผ่าพงศ์ขับรถต่อไป จนเหลือบเห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ขับตามหลังมา เขาชะลอความเร็วให้แซงไป แต่รถบรรทุกไม่ยอมแซง ขี่จ่อท้าย
เผ่าพงศ์งงๆ แต่ก็ขับต่อ จู่ๆ รถบรรทุกก็ขับขึ้นมาตีคู่แล้วจงในเบียดรถเผ่าพงศ์เสียงดังโครม
“เฮ้ย อะไรวะ”
เผ่าพงศ์เริ่มสังหรณ์ใจพยายามขับรถด้วยสติ แต่รถบรรทุกยังคงเบียดไล่บี้มา เขาตัดสินใจแซงรถขึ้นไปถึงสี่แยกแล้วเลี้ยวอย่างเร็ว และเร่งความเร็วหนี แต่รถบรรทุกกลับเลี้ยวตามตีคู่ขึ้นมาแซง แล้วเบียดรถเผ่าพงศ์อย่างจงใจ
เผ่าพงศ์ตกใจเหยียบเบรกแล้วหักหลบ จนรถเสียศูนย์หมุนคว้าง แล้วพลิกคว่ำลงข้างทางอย่างรุนแรง รถกลิ้งไถลไปตามแรงเหวี่ยง
คนขับรถบรรทุกจอดดูผลงานแป๊บเดียว ก็รีบขับหนีไปอย่างรวดเร็ว เผ่าพงศ์ติดอยู่ในรถในสภาพบาดเจ็บสาหัส พยายามดิ้นรนออกมา แต่ไม่เป็นผล
มีรถยนต์อีกคันแล่นเข้ามาจอดตรงจุดเกิดเหตุ คนขับก้าวเท้าก้าวลงรถเดินลงมาดู เผ่าพงศ์ค่อยๆ เงยหน้ามองด้วยสีหน้าตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นบูรพา
“ตายยากตายเย็นจริงนะ ไอ้เผ่า”
เผ่าพงศ์เสียงแผ่ว “ไอ้...”
“กูสาบานกับมึงแล้วนะ ว่าเราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป ไม่มีวันทอดทิ้ง ไม่มีวันทรยศหักหลัง ขอโทษนะที่กูทำตามสัญญาไม่ได้….แต่กูจะชดใช้ให้”
บูรพาชักปืนเก็บเสียงออกมา เล็งไปที่เผ่าพงศ์หมายเอาชีวิต เผ่าพงศ์ช็อก พยายามยกมือห้าม แต่บูรพาไม่สน ยิงเข้ากลางอก
เผ่าพงศ์สะดุ้งเฮือก เลือดไหลโทรมออกมาจากเต็มเสื้อ
“กูจะจัดงานเผาศพให้มึงเอง…เผ่าพงศ์”
บูรพายิ้มเหี้ยม ยิงไปใส่ตัวถังรถ เปรี้ยงๆ รถเผ่าพงศ์ระเบิดตูมไฟลุกท่วม และโหมไหม้อย่างรวดเร็วและน่ากลัว เผ่าพงศ์ ไม่มีทางรอด
คืนเดียวกัน มนต์รัชรีบร้อนมาถึงโรงพยาบาลหลังรู้ข่าวอุบัติเหตุของเผ่างพงศ์ เห็นบูรพายืนทำตาแดงๆ คุยกับนักข่าวและตำรวจอยู่
“ผมเองก็ยังไม่รู้อะไรมาก ขอให้สัมภาษณ์แค่นี้ก่อนนะครับ ขอบคุณครับ”
บูรพาทำเป็นปาดน้ำตาเดินเลี่ยงออกมา จนเห็นมนต์รัชยืนจ้องอยู่
“มนต์รัช...ไอ้เผ่าตายแล้ว”
มนต์รัช ช็อก รับไม่ได้ เดินไม่ติดที่ บูรพายืนอยู่ด้านหลังตีหน้าเศร้า
“ไม่จริง แกโกหกฉัน”
บูรพาสะอื้นไห้ “ฉันเห็นศพไอ้เผ่ากับตา ตำรวจบอกว่ารถเกิดอุบัติเหตุคว่ำ ตัวมันถูกไฟคลอกตาย”
“ไอ้เผ่ามันจะไปหาเมียมัน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง” มนต์รัชไม่เชื่อ
“ฉันก็ไม่รู้ แกโชคดีแล้วนะที่ไม่ได้นั่งรถไปด้วย”
มนต์รัชสะดุดหู นึกเอะใจ หันขวับมาหาบูรพากระชากคอเสื้อถาม
“มึงรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ใช่ไหม มึงเป็นต้นเหตุใช่ไหม”
“พูดบ้าอะไรของแก”
“มึงกับไอ้เผ่าแตกหักแทบจะไม่มองหน้ากัน แต่อยู่ๆ มึงก็ไปตามหาที่อยู่ของเมียมันมาให้ จนไอ้เผ่ามันรีบร้อนออกไปตาย มึงต้องอยู่เบื้องหลังแน่ๆ”
บูรพาสะบัดออกและเริ่มโมโห “อย่ามากล่าวหากันนะไอ้มนต์รัช ไอ้เผ่ามันคงรีบร้อนนึกถึงแต่อัปสรจนขับรถไม่ระวังเองต่างหาก ฉันไม่รู้เรื่อง”
“กูไม่เชื่อ”
บูรพาโมโหมากขึ้น “งั้นก็ไปหาหลักฐานมาสิว่ากูเป็นต้นเหตุ ถ้ามึงไม่มีก็อย่าปากพล่อย ไม่งั้นมึงหมดอนาคตในวงการนี้แน่”
น้ำเสียงบูรพากราดเดี้ยว จ้องหน้าอย่างท้าทาย มนต์รัชยิ่งสงสัย แต่ต้องข่มใจเพราะไม่มีหลักฐาน
บูรพานึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เขามองดูภาพถ่ายสามเทพขนนกด้วยสีหน้าแค้นเคือง
“ไอ้มนต์รัช มึงมันน่าจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้น”
เย็นวันเดียวกัน ปลายอ้อเปิดประตูห้องเข้ามา เห็นอัปสรหันมามอง ด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น
“อ้อ เป็นยังไงบ้างลูก ได้ไหม”
ปลายอ้อยิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะพูดว่ายังไง อัปสรเข้ามาเร่งเร้า
“ไอ้บูรพามันรับหนูเป็นนักร้องแล้วใช่ไหม บอกแม่ให้ชื่นใจซิ”
ปลายอ้อหน้าเจื่อนหนัก เสเข้ากอดอ้อนแม่
“แม่จ๊ะ อ้อว่าเรากลับบ้านไปตั้งหลักก่อนดีกว่านะ กรุงเทพฯ มันวุ่นวาย ไม่เหมือนบ้านนอกบ้านเรา แม่อยู่ที่นี่นานๆ แล้วจะเครียดซะเปล่าๆ พรุ่งนี้ อ้อจะพาแม่ไปหาหมอแล้วกลับบ้านเรานะ”
อัปสรแปร่งหู “เดี๋ยว นี่มันยังไง อยู่ๆ ก็มาชวนแม่กลับบ้าน เรื่องที่ไปเทสต์เสียงกับไอ้บูรพาน่ะเป็นยังไง”
ปลายอ้อยิ่งเงียบ หลบตาวูบ จำใจตอบออกไปตามจริง
“อ้อ...อ้อไม่ผ่านจ้ะ”
อัปสรนิ่งงันไปชั่วครู่ สีหน้าผิดหวัง ปลายอ้อรีบอธิบายต่อ
“ลูกสาวของไอ้บูรพามันบอกว่าอย่างอ้อเป็นได้แค่แดนเซอร์ของค่ายมัน แต่อ้อไม่ตกลง เขาดูถูกอ้อมากเกินไป แม่พูดถูกแล้ว คนที่บูรพาซาวด์มันชั่วร้าย อ้อไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีก เรากลับบ้านกันนะแม่ ไปอยู่กันเงียบๆ เหมือนเดิม ยังไงอ้อก็เชื่อว่าตัวเองร้องเพลงได้ อ้อจะร้องเพลงประกวดหาเงินเลี้ยงแม่เหมือนเดิม ไม่ต้องไปยุ่งกับบูรพาซาวด์อีกแล้วนะแม่นะ”
“พูดอะไรออกมา”
อัปสรตวาดเสียงดังลั่น จนปลายอ้อสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมอง ถูกแม่ตบเปรี้ยงจนหน้าหัน
“พูดอย่างนี้ได้ยังไงอ้อ ตัวเองมีเลือดพ่อแท้ๆ คิดบ้างสิว่าถ้าพ่อมาได้ยินเข้าจะรู้สึกยังไง”
ปลายอ้อชักหวั่นกลัว “อ้อ...”
อัปสรมองปลายอ้อด้วยแววตาเคืองขุ่น กระชากแขนปลายอ้อไปที่โต๊ะทำงานมุมห้อง มีกรอบรูปของเผ่าพงศ์วางอยู่บนนั้น
“กราบขอโทษพ่อเดี๋ยวนี้”
ปลายอ้อตกใจ หน้าเสีย “แม่”
“กราบขอโทษซะ ที่แกอ่อนแอ คิดจะยอมแพ้พวกคนเลวง่ายๆ กราบสิ”
อัปสรกดหัวปลายอ้อลงอย่างแรง อย่างคนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ปลายอ้อกลัวมาก บุญทิ้งได้ยินเสียงเอะอะ วิ่งขึ้นมาดูที่ประตูห้อง พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็ตกใจ แต่ไม่กล้าเข้ามา รีบวิ่งออกไป
“ลืมแล้วเหรอว่าร้องเพลงเพื่ออะไร”
ปลายอ้อน้ำตาร่วงออกมา กดดันสุดขีด “เพื่อล้างแค้นให้พ่อจ้ะ”
“แล้วทำไมถึงจะยอมหยุดง่ายๆ นี่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นเลยนะ”
ปลายอ้อสะอื้นเนื้อตัวสั่นด้วยความกลัว อัปสรยิ่งโมโห จับมือปลายอ้อยกขึ้นบังคับให้พนม
“ขอโทษต่อพ่อเดี๋ยวนี้ ขอโทษที่พูดไม่คิด แล้วสัญญาสาบานว่าจะต้องล้างแค้นให้พ่อให้สำเร็จ ทำสิ”
ปลายอ้อร้องไห้ออกมาทั้งตกใจและตื่นกลัว ละล่ำละลักพูดตามที่อัปสรต้องการ
“อ้อขอโทษจ้ะพ่อ อ้อจะล้างแค้นให้พ่อ อ้อจะเอาทุกสิ่งของพ่อคืนมาให้แม่ เสี่ยบูรพามันจะต้องสูญเสียทุกสิ่งเหมือนที่มันทำเรา”
พูดเท่านั้นปลายอ้อก็ฟุบหน้าลงร้องไห้ตรงหน้ากรอบรูปเผ่าพงศ์
อัปสรยังไม่หนำใจ ลุกไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าปลายอ้อ หยิบเสื้อผ้าในตู้มายัดใส่
ปลายอ้อเงยหน้ามองงงๆ ใบหน้านองน้ำตา “แม่จะทำอะไร
อัปสรไม่ตอบ แต่ยัดๆๆๆ เสื้อผ้าปลายอ้อใส่เต็มกระเป๋า
ยุพาลงรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าบ้าน เห็นบุญทิ้งเหมือนยืนรออยู่นานแล้วรีบปรี่มาหา
“อ้าวไอ้ทิ้ง มารอน้าเหรอ ดี ถือกระเป๋าให้หน่อย”
บุญทิ้งรับกระเป๋ามาช่วยถือ “รีบมานี่เถอะน้า เร็วเข้า”
“อะไรวะ”
บุญทิ้งฉุดแขนยุพาวิ่งเข้ามาที่หน้าบ้าน เห็นอัปสรกำลังลากปลายอ้อที่ร้องไห้ออกมาจากโถงชั้นล่าง
“แม่ อย่าทำอย่างนี้เลย อ้อเข้าใจแล้ว แต่ให้เวลาอ้อหน่อย”
“ไม่มีเวลาแล้ว แม่รอนานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว แกต้องไปอยู่บูรพาซาวด์เดี๋ยวนี้” อัปสรโยนกระเป๋าออกไป
ยุพาตกใจรีบเข้าไปขวาง “เดี๋ยวๆ พี่สร นี่มันอะไรกัน”
“ฉันจะให้ปลายอ้อไปทำงานที่บูรพาซาวด์ แกด้วยไอ้ทิ้ง แกต้องตามไปดูแลปลายอ้อ”
“น้าสร แต่บูรพาซาวด์มันจะรับไอ้อ้อไปเป็นแดนเซอร์นะ ไม่ใช่นักร้อง”
“ทำอะไรก็ทำไปก่อน แล้วค่อยหาลู่ทางเป็นนักร้องก็ได้ ถ้าไม่เริ่ม มันจะสำเร็จได้ยังไง”
บุญทิ้งกับยุพาหันไปมองปลายอ้อที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้นอย่างสงสารและเห็นใจ
“ถ้าอ้อไปแล้วใครจะดูแลแม่”
“แม่ดูแลตัวเองได้ แกเห็นแม่ง่อยเปลี้ยเสียขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไร”
ปลายอ้อสะอื้นไม่หยุด “แต่แม่ไม่สบายนะจ๊ะ”
“บอกแล้วไงว่าแม่ไม่ได้ตายง่ายๆ หรอก แกไม่ต้องอ้างนะปลายอ้อ แกต้องทำตามที่แม่สั่ง หรือไม่ก็ไปให้พ้นหน้าฉัน แล้วไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่อีก”
ยุพาตกใจคาดไม่ถึง พยายามทัดทาน “พี่สร”
แต่อัปสรไม่แยแส สะบัดหน้าเดินกลับเข้าบ้านไป ปลายอ้อร้องไห้โฮ ยุพากับบุญทิ้งทำอะไรไม่ถูก เข้าไปกอดปลอบปลายอ้ออย่างเห็นใจ
“น้ายุ พี่ทิ้ง อ้อจะทำยังไงดี”
“ใจเย็นๆ ก่อนโว้ย” บุญทิ้งบอก
“แกยังไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น รอให้แม่เขาใจเย็นลงก่อน ไอ้ทิ้ง เอากระเป๋าไอ้อ้อไปไว้ที่ห้องน้า หลบๆ หน้าไปซักคืน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
ยุพาประคองพาปลายอ้อเข้าบ้าน บุญทิ้งหยิบรวบเสื้อผ้าและกระเป๋าตามไป
เช้าวันใหม่ สาวๆ บูรพาซาวด์มานั่งกินส้มตำที่ร้านเพ็ญ เกวลีมีท่าทางดีอกดีใจมากเมื่อฟังโสมพูดจบ
“จริงเหรอคะคุณโสม คุณโสมแน่ใจนะว่าจะทำจริงๆ พวกเราจะได้กลับไปร้องเพลงกันแล้ว ไม่หลอกกันนะคะ”
“ใครจะไปหลอกล่ะ มันเป็นนโยบายของคุณแก้วเธอ เธอว่านักร้องที่ไม่ได้ร้องก็เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองไปวันๆ วันนี้แหละ คุณแก้วเธอจะขุดพวกเธอขึ้นมาจากหลุม”
“แน่ใจเร้อว่าจะทำจริง ท่าทางไม่ใช่คนเอาจริงเอาจังซะหน่อย”
“นี่ อย่าดูถูกเจ้านายตัวเอง เค้าอุตส่าห์จะช่วย ยังจะปากเสียอีก” แสงโสมแหวใส่
“เจ้านายที่ไหนกัน ฉันเลิกร้องเพลงไปแล้วโว้ย เฮอะ แล้วอย่ามาพูดเลยว่าเป็นการช่วยศิลปิน พวกนังเดือน นังลีนี่ต่างๆ ที่พวกเค้าเปิดลานเทวาคาเฟ่อีกครั้ง คนแห่กันมาดู ค่ายก็มีแต่ได้กับได้” เพ็ญฮึดฮัดไม่พอใจ
“เอาน่า ป้าเพ็ญ ต่างฝ่ายต่างก็ช่วยกัน ยังไงเราก็จะได้ร้องเพลงนะ” เจนนี่ปลอบ
แววเดือน “เออ วินวินไปเหอะป้า อย่าคิดมาก” แววเดือนเสริม
เกวลีตื่นเต้นจับมือแววเดือนด้วยความดีใจ
“ชั้นจะได้ร้องเพลงแล้ว”
“เออ แต่ก็ต้องซ้อมเยอะหน่อยนะพวกเรา หยุดมานาน ขากรรไกรแข็งหมดแล้วเนี่ย”
“เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน ทุกๆ ฝ่ายเค้าก็เริ่มเตรียมงานของเค้า ถึงเวลาพวกเธอก็ต้องพร้อมนะ” แสงโสมกำชับ
แววเดือน เกวลี เจนนี่ประสานเสียง “ค่า....”
เพ็ญเชิดใส้ ค้อนตาคว่ำ เบะปากใส่
“ป้าเพ็ญแน่ใจเหรอจ๊ะว่าจะไม่ร้องจริงๆ” เกวลีถาม
“ไม่เอา กูแก่แล้ว ให้กูขายส้มตำไปตามประสาเถอะ อย่ามายุ่งกับกู”
เพ็ญทำเป็นไม่แยแส สับมะละกอรัวๆ
ปอแก้วนั่งทำงานอยู่ มีหนิม เลขาส่วนตัวเข้ามารายงาน
“ศิลปินจะขอเข้าพบค่ะ คุณปอแก้ว”
“เชิญเค้าเข้ามาได้เลย”
“ค่ะ” หนิมหันกลับไปเรียกสามสาว “เชิญเลยค่ะ”
แววเดือน เกวลี เจนนี่ เดินเข้ามา ด้วยสีหน้าตื่นเต้นเก็บอาการกันไม่อยู่
เจนนี่ถึงกับปรี่เข้ามากอด “คุณปอแก้ว โอยยยยย ทูนหัวของบ่าววว”
ปอแก้วงง “อะไรกันคะ มีอะไรเหรอคะ”
“เราจะมาขอบคุณคุณแก้วที่เปิดลานเทวาให้โอกาสพวกเราอีกครั้งน่ะค่ะ”
แววเดือนบอกว่า “ขอบคุณมากเลยนะคะที่เห็นหัวพวกเรา คิดว่าจะปล่อยให้แห้งตายคาสัญญาซะแล้ว”
“ชั้นให้โอกาสพวกคุณ ก็เหมือนกับให้โอกาสบริษัทน่ะแหละค่ะ คุณร้องให้ดี บริษัทก็จะดี เมื่อบริษัทดี พวกคุณก็จะยิ่งได้ดี ร่วมมือกันนะคะ อย่าเห็นบริษัทเป็นศัตรู เราอยู่ข้างเดียวกันค่ะ”
“ค่า.....”
สามสาวประสานเสียงกระดี๊กระด๊า
ปอแก้วแปลกใจที่แสงโสมไม่ขึ้นมาด้วย “แล้วนี่น้าโสมไปไหนเหรอคะ”
ฝ่ายเพ็ญเดินมาดูลานเทวา อดนึกถึงความหลังสมัยสาวๆ ไม่ได้ แสงโสมเดินเข้ามาหา หว่านล้อมอีกรอบ
“อย่าทำเป็นเล่นตัวไปเลยพี่เพ็ญ พี่น่ะใกล้ฝั่งเต็มทีแล้วนะ นี่อาจจะเป็นเวทีสุดท้ายแล้วก็ได้”
“น้อยๆ หน่อยคุณโสมขา ฉันกะคุณก็ไม่ห่างกันเท่าไหร่หรอกค่ะ เราเข้าบริษัทมาก็ยุคเดียวกันนั้นแหละ ถ้าฉันวัยใกล้ฝั่ง คุณก็หงำเหงือกพอกัน”
แสงโสมมองค้อนหมั่นไส้ เพ็ญกวาดตามองดุลานเทวา แล้วยิ้มกับความหลัง
“แต่เมื่อก่อนลานเทวาดังก็จริงๆ นะ ใครๆ ก็มาดูคอนเสิร์ตที่นี่ ตอนนี้กลายเป็นลานทิ้งขยะไปซะแล้ว ใคร้มันจะมา”
“เอาน่า แค่ปรับปรุงพื้นที่นิดหน่อย ตีข่าวเข้าไป เดี๋ยวคนก็มาเองแหละ ฟรีคอนเสิร์ตยุคนี้มันมีซะที่ไหนล่ะ”
“ต่อให้ฟรีก็เหอะ” เพ็ญบ่นไม่หยุดปาก
“เอาน่าพี่ เชื่อมือหนูแก้วหน่อย พ่อแม่เขาออกจะมั่นอกมั่นใจในตัวลูกสาวเขา” แสงโสมพูดด้วยน้ำเสียงประชด “ใครห้ามใครเตือนก็ไม่ยอมฟัง พวกเราก็ต้องให้โอกาสเค้าโชว์ฝีมือการทำงานบ้าง ไม่ใช่คิดแต่จะงัดกับเค้า ยังไงเค้าก็ลูกเจ้าของค่าย วันใดวันหนึ่ง ค่ายนี้ก็ต้องเป็นของเค้า”
เพ็ญยังทำหน้าไม่แน่ใจอยู่อย่างนั้น ซักถามต่อว่า
“แล้วจะมีเมื่อไรล่ะคุณโสม”
“อาทิตย์หน้า”
“ฮะ อาทิตย์หน้า ซ้อมกันอ้วกแตกแน่” เพ็ญตกใจคาดไม่ถึง
ที่ห้องแต่งตัวในค่าย ลั้นลาวัดตัวเตรียมตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เพียงฟ้า สองคนเม้าท์มอยกันไปด้วย
“ได้ข่าวว่านังลูกสาวเสี่ยจะจัดงานฟรีคอนเสิร์ตเปิดค่ายเหรอ”
“ใช่ โอ๊ย นังเดือน นังลี นังเจนนี่ระริกระรี้ตื่นเต้นกันใหญ่ อย่างว่าปลากระดี่มันขาดน้ำมาตั้งนาน ไม่มีงานโชว์ตัวคอนเสิร์ตอะไรมาเป็นชาติแล้ว”
เพียงฟ้าเชิด “ฉันไม่ไปหรอกนะงานนี้”
“อ้าว ทำไมล่ะฟ้า”
“คนอย่างเพียงฟ้าลดาวัลย์ไม่รับงานฟรี ถึงจะเป็นงานในค่ายก็เถอะ ค่าตัวต้องเท่าเดิม ถ้าไม่ได้ก็ไม่ทำ”
“แต่ถ้าไม่มีแกไปออก นังพวกนั้นมันก็ได้เกิดสวยๆ น่ะสิ”
“ก็ปล่อยให้มันลืมตาอ้าปากไป ยังไงฉันก็เชื่อว่ามันไม่มีทางเทียบฉันกับฉันได้หรอก”
เสียงปอแก้วดังแทรกขึ้น “คนที่คิดแบบนี้ สุดท้ายก็ถูกแซงมานักต่อนักแล้ว”
สองคนหันไปเห็นปอแก้วเดินเข้ามา ลั้นลาตกใจ ทำท่าสลด แต่เพียงฟ้ายังคงเชิดไม่ใส่ใจนัก
“คงไม่ใช่ฟ้าหรอกค่ะ ฟ้ามันระดับดาวค้างฟ้าไปแล้ว นังพวกมันก็แค่ดาวเคราะห์ ต้องรอรับแสงจากดาวฤกษ์อย่างฟ้าอีกที ถ้าไม่มีฟ้าไปช่วยส่องแสงเนี่ยสิ ไม่รู้ว่าจะได้แจ้งเกิดอย่างที่คุณปอแก้วหวังไว้หรือเปล่า”
“นั่นแหละคือเหตุผลที่คุณจะต้องขึ้นคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย”
เพียงฟ้ายืนกรานคำเดิม “ไม่ค่ะ ฉันจะไปรับงานนอกที่มันมีความสำคัญกว่านี้”
“ฉันสั่งให้น้าโสมเคลียร์คิววันคอนเสิร์ตของศิลปินทุกคนเรียบร้อยแล้ว จะไม่มีใครรับงานจ้างที่ไหนทั้งนั้น”
เพียงฟ้าชักสีหน้าไม่พอใจ
“แต่ถ้าคุณเพียงฟ้าตั้งใจจะไปถือศีลทำบุญ ก็บอกมาอีกทีนะคะ ฉันอาจจะพิจารณายกเว้นให้”
ปอแก้วยิ้มเยาะแล้วเดินออกไป เพียงฟ้าคุมแค้นขึงตามองตามที่ถูกอีกฝ่ายวางอำนาจใส่
ปอแก้วเดินออกมาจากห้องแต่งตัว โทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอกดรับเบอร์จากหนิมเลขา
“ฮัลโหล”
“คุณศุภกฤตมาถึงแล้วค่ะคุณแก้ว”
อีกฟากหนึ่ง อัปสรเดินลงมาจากห้อง เห็นยุพา บุญทิ้ง ปลายอ้อกำลังช่วยกันจัดโต๊ะกินข้าว
“อ้าว พี่สร กำลังจะขึ้นไปตามพอดีเลย มากินข้าวจ้ะ”
อัปสรเหลือบมองปลายอ้อด้วยสีหน้าเย็นชา ปลายอ้อรีบยิ้มให้เข้าไปประคอง
“เช้านี้มีปลาส้มของโปรดแม่ด้วยนะจ๊ะ อ้อกับพี่ทิ้งออกไปซื้อที่ตลาดมา”
“ทำไมแกยังอยู่อีก”
อัปสรผลักปลายอ้อออก ทุกคนเหวอไปตามๆ กัน
“คิดว่าแม่แค่ขู่เล่นไม่เอาจริงๆ อย่างนั้นเหรอ”
ยุพาปลอบ “พี่สร ใจเย็นๆ ก่อน”
“ไม่เย็น แกเห็นไหมว่าลูกมันเนรคุณกับฉัน” อัปสรเริ่มตีโพยตีพายด้วยเสียงสั่นเครือ “ฉันกัดฟันเลี้ยงมันมายี่สิบปี หวังจะให้มันทดแทนบุญคุณ แต่มันกลับไม่ตอบแทนฉัน”
อัปสรเริ่มดราม่าหนักร้องไห้จะเป็นจะตาย อาการเหมือนคนประสาทหน่อยๆ ปลายอ้อหน้าเสีย ยุพารีบเข้ามาปลอบแทน
“ไม่เอาน่า มากินข้าวก่อน”
“ไม่กิน ตายๆ ไปซะเลยก็ดี อยู่แบบนี้ยังไงฉันก็หาความสุขไม่ได้”
อัปสรปาดน้ำตาสะบัดหน้าขึ้นห้องไป ปลายอ้อน้ำตาตกมองตามแม่ รีบวิ่งไปกอด
“แม่...แม่จ๋า อย่าทำอย่างนี้เลย”
อัปสรสะบัดสะบิ้งไม่ยอม ปลายอ้อซบหน้ากับหลังอัปสรร้องไห้สะอึกสะอื้น
“แม่มากินข้าวเถอะนะ อ้อยอมแล้ว อ้อจะทำตามที่แม่บอก จะไปอยู่กับบูรพาซาวด์ แม่อย่าทำร้ายตัวเองอย่างนี้เลยนะจ๊ะ อ้อยอมทุกอย่างแล้ว”
ปลายอ้อซบหน้าสะอื้นใส่อัปสร อัปสรยืนนิ่งลง น้ำตานอง
ปลายอ้อกับบุญทิ้งหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเศร้าออกมาหน้าบ้าน เห็นอัปสรกับยุพายืนอยู่ ยุพามองสงสารหลาน
“ไม่ลืมอะไรนะอ้อ ไอ้ทิ้ง”
“ไม่ลืมจ้ะ”
ปลายอ้อเหลือบมองอัปสรที่ยังยืนสีหน้ามึนตึงเมินเฉย แล้วเดินเข้าไปหา
“อ้อไปนะจ๊ะแม่ ระหว่างที่อ้อไม่อยู่ แม่ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ น้ายุจะพาแม่ไปหาหมอ ถ้าหมอจ่ายยา แม่ต้องกินตามเวลาห้ามลืมนะ รู้หรือเปล่า”
ปลายอ้อพูดไปก็เสียงสั่นสะท้านเหมือนจะร้องไห้ อัปสรทำตาแดงๆ ซึ้งใจ แต่ไม่มองหน้าลูก
“อ้อสัญญาว่าไปคราวนี้ อ้อจะทำเพื่อพ่อกับแม่ให้สำเร็จ ไม่งั้นอ้อจะไม่ยอมกลับมาให้แม่เห็นหน้าเด็ดขาด แม่เป็นกำลังใจให้อ้อด้วยนะจ๊ะ”
ปลายอ้อพูดจบก็ก้มลงกราบแทบเท้าแม่ อัปสรมอง น้ำตาคลอๆ เหมือนจะหยดรินลงมา แต่ตั้งฝืนกลั้นไว้
บุญทิ้งเห็นปลายอ้อกราบเท้าอัปสรนิ่งอยู่อย่างนั้น ก็อดสงสารไม่ได้ รีบเข้าไปพยุงขึ้นมา
“ไปเถอะอ้อ เดี๋ยวจะสาย น้าสรไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลน้องให้ดีที่สุด ถ้ามีอะไรฉันจะส่งข่าวนะ
บุญทิ้งประคองปลายอ้อที่ปาดน้ำตาเดินหน้าเศร้าออกไป
ยุพาเหลือบมอง เห็นอัปสรยืนเฉย ไม่แม้แต่จะมองตามลูกไป
ปอแก้วนั่งเผชิญหน้ากับศุภกฤตอยู่ในห้องทำงาน พูดให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“คุณอยากจะสัมภาษณ์ฉันเรื่องอะไร”
“ทุกเรื่อง เช่น ทำไมคุณถึงไม่บอกพ่อว่ามีแฟนแล้ว”
ปอแก้วเสียงเขียวใส่ “นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉัน”
“ผมล้อเล่น ซีเรียสจุง” ศุภกฤตหยิบมือถือมาเปิดเครื่องอัดเสียง กดเรคคอร์ด “ผมอยากรู้เรื่องของบูรพาซาวด์ทุกซอกทุกมุม พาผมไปดูหน่อยสิ”
ปอแก้วนิ่งคิด “ก็ได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ”
“ได้ทุกอย่างยกเว้นเบอร์ผม”
ปอแก้วเบ้ปากหมั่นไส้
“อยากได้ตายล่ะ คือฉันกำลังจะทำคอนเสิร์ตเปิดค่าย อยากให้คุณช่วยเขียนประชาสัมพันธ์ให้หน่อย”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ถ้าคุณให้ข้อมูลผมเยอะพอ เดี๋ยวผมจะช่วยกระจายข่าวให้เอง อยากเห็นฝีมือผู้บริหารคนใหม่จะแย่”
“เตรียมตัวทึ่งก็แล้วกัน”
ปอแก้วสะบัดหน้า แล้วเดินนำศุภกฤตออกไป
ปอแก้วพาศุภกฤตเดินดูงานส่วนต่างๆ ของค่ายบูรพาซาวด์ ภายในออฟฟิศ ห้องซ้อมเต้น ห้องดนตรี บ้านพักศิลปิน จนมาถึงลานเทวา เห็นทีมงานกำลังตกแต่งสถานที่อยู่
“ฉันยากให้งานนี้ออกมาเหมือนคอนเสิร์ตในสวน มีความปาร์ตี้สนุกๆ ไม่ดูเซ็ตมาก คนดูจะได้รู้สึกสบายๆ ไม่ทางการ”
“เห็นว่าจะมีการซ้อมคอนเสิรต์ใหญ่ด้วย ปกติที่อื่นจะซ้อมคิวมากกว่า”
“ศิลปินของเราไม่ได้ขึ้นโชว์มาพักใหญ่แล้วน่ะค่ะ ชั้นเลยอยากให้บรรยากาศทุกอย่างมันช่วยดึงศักยภาพ ดึงความเก่ง ความสวยงามในตัวของพวกเค้าออกมาให้มากที่สุด แล้วภาพรวมมันก็จะออกมาดี”
ศุภกฤตอดทึ่งความคิดเธอไม่ได้ “เล่นใหญ่นะคุณ”
“แน่นอนอยูแล้ว คนอย่างชั้นถ้าจะเล่น ต้องเล่นใหญ่ เล่นเล็กไม่เป็นค่ะ”
ศุภกฤตมองทึ่งๆ ปอแก้ว จนได้ยินเสียงเรียกของบุญทิ้ง
“คุณนักข่าว...”
ศุภกฤตหันไปเห็น ยิ้มทักอย่างดีใจ “บุญทิ้ง ปลายอ้อ”
ปอแก้วมองปลายอ้อ บุญทิ้ง ศุภกฤต หน้าตาเหรอหรา ไปมักคุ้นกันตอนไหน
“นี่รู้จักกันด้วยเหรอ”
“เราเจอกันตั้งแต่งานออดิชั่นรายการ The Artist” เขายิ้มให้สองคนหยุดสายตาที่ปลายอ้อ “นี่พวกคุณมาทำอะไรกัน อย่าบอกนะว่า...”
“ฉันมาสมัครเป็นแดนเซอร์ค่ะ ส่วนพี่ทิ้งมาเป็นนักดนตรี”
ปอแก้วนิ่วหน้าแปลกใจมากขึ้น ปลายอ้อหันไปเผชิญหน้าซีอีโอสาว พูดน้ำเสียงเรียบเฉยเย็นชา
“ตกลงว่าฉันรับข้อเสนอของคุณ ฉันจะยอมฝึกฝนตั้งแต่การเป็นแดนเซอร์”
ศุภกฤตเหวอไป มองคนนั้นทีคนนี้ที เริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้
“แสดงว่าต้นเหตุที่ทำให้คุณเสียใจเมื่อวานก็คือ...” เขาหันมาหาปอแก้วในตอนท้าย
ปอแก้วงง ไม่รู้ว่าศุภกฤตพูดอะไร ปลายอ้อรีบรวบรัดตัดความ เดินเข้ามาใกล้ๆ ปอแก้ว พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมเว้าวอน
“ได้โปรดรับพวกฉันเข้าบูรพาซาวด์ด้วยนะคะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง”
ปอแก้วนิ่งคิดอย่างชั่งใจ ลึกๆ ยังแปลกใจไม่หาย ที่ปลายอ้อย้อนกลับมา
ปลายอ้อ บุญทิ้ง ยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนที่หน้าบ้านพักศิลปิน เกวลียิ้มทักบุญทิ้งอย่างดีใจ
“ทำความรู้จักกันซะ นี่สมาชิกใหม่ของเรานะ ปลายอ้อจะมาเป็นแดนเซอร์ ส่วนบุญทิ้งเป็นดนตรี เขาสองคนเป็นญาติกัน”
เจนนี่ยิ้มเป็นมิตร “ต๊าย เข้ามาเป็นแดนเซอร์เหรอ เจ๊กำลังหาคนคายตะขาบให้พอดี”
ปลายอ้อไหว้นอบน้อม “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะจ๊ะ”
เกวลียิ้มให้ “ดีใจด้วยนะบุญทิ้ง”
แววเดือนงง “อ้าว ไปรู้จักกันตอนไหนวะไอ้ลี”
เกวลีอึ้ง หน้าเจื่อนๆ ไม่กล้าบอกเรื่องแอบไปประกวดร้องเพลง บุญทิ้งเก็ตเลยรีบแก้ตัวแทน
“อ๋อ เคยเจอกันที่ร้านส้มตำน่ะจ้ะ ยัยแหนมหมูนี่เคยโดนโจรปล้น แต่ฉันไปช่วยไว้ ก็เลย...”
เจนนี่ต่อให้ว่า “ปิ๊งกัน”
“บ้าเหรอ พี่เจนนี่ เพิ่งเจอกันเอง” เกวลียิ้มเขิน “แต่บุญทิ้งเขาบอกว่าจะมาสมัครเป็นนักดนตรี ฉันก็เพิ่งรู้ว่านายได้งานที่นี่จริงๆ”
ปลายอ้อลอบมองท่าทีและสายตาเกวลีกับบุญทิ้ง อ่านออกว่าสองคนปิ๊งปั๊งกัน เกวลีร้อนตัว รีบตัดบทกลบเกลื่อน
“ลืมแนะนำตัวเองเลย ฉันชื่อเกวลีนะ ส่วนนี้พี่แววเดือน”
เจนนี่เสริมว่า “นังสองคนนี้เป็นนักร้อง คนละสปีชีส์กับเรา แต่ก็กินข้าวหม้อเดียวกันมา ที่นี่ไม่มีแบ่งพรรคแบ่งพวก ยกเว้นพวกเรากับพวกนังเพียงฟ้า”
แสงโสมเอ็ดเอา “เจนนี่ เด็กใหม่มาวันแรกก็จะเสี้ยมสอนให้เสียคนเชียวนะ”
“วันนี้ให้ปลายอ้อกับบุญทิ้งพักผ่อน จะได้มีแรงสำหรับงานใหญ่รออยู่” ปอแก้วบอก
“งานอะไรเหรอคะ” ปลายอ้อสนใจ
“คอนเสิร์ตเปิดค่าย เราจะต้องเริ่มซ้อมกันตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เตรียมตัวให้พร้อมแล้วกัน”
ปอแก้วพูดจบก็เดินออกไปพร้อมกับแสงโสม แววเดือนกับเจนนี่เข้ามาช่วยถือกระเป๋า
“ไป เดี๋ยวพี่จะพาไปดูห้อง นอนกับลีแล้วกันนะปลายอ้อ” แววเดือนเห็นบุญทิ้งตามเข้ามาก็ห้ามไว้ “อ๊ะๆๆๆ จะไปไหนยะ”
“ก็ไปดูห้อง”
“อย่าแม้แต่จะคิด บ้านพักผู้ชายอยู่หลังโน้น เชิญ”
บุญทิ้งจ๋อย ถอดกรูดออกมา เกวลีหันมาหัวเราะใส่บุญทิ้งแล้วพาปลายอ้อเข้าบ้านไป
ปลายอ้อจัดเสื้อผ้าใส่ตู้เสื้อผ้าที่ร่วมกันใช้กับเกวลี เห็นเกวลีเอาหมอนกับผ้าห่มอีกชุดมาวางบนเตียง
“ให้ฉันนอนข้างล่างก็ได้นะ”
“อุ๊ย ไม่เป็นไรหรอก เตียงออกตั้งกว้าง นอนด้วยกันข้างบนนี่แหละ อบอุ่นดี” เกวลีมองดูเสื้อผ้าสวยๆ ที่ปลายอ้อเอาใส่ตู้ก็อดถามไม่ได้ “อ้อนี่เป็นแดนเซอร์จริงๆ เหรอ ทำไมไม่เห็นมีเสื้อผ้าสวยๆ เลย ปกติพวกแดนเซอร์นี่เต่งตัวกันเก๊งเก่ง”
ปลายอ้อยิ้มเศร้าๆ “จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นแดนเซอร์”
“อ้าว”
“ฉันมาเทสต์เสียงเป็นนักร้อง แต่คุณปอแก้วบอกว่าฉันยังร้องเพลงไม่ดีพอ ถ้าอยากเข้าที่นี่ ก็ต้องเป็นแดนเซอร์ก่อน”
“ยากจังเนอะ”
เกวลีพูดอย่างเห็นใจ แล้วปูเตียงต่อ ปลายอ้อชวนคุย
“แล้วลีออกอัลบั้มมากี่ชุดแล้ว มีอะไรอะไรบ้าง เผื่อฉันเคยฟัง”
คราวนี้เกวลีหน้าเศร้าลง “ยังไม่มีซักเพลง ฉันก็คงยังไม่ดีเหมือนเธอ เซ็นสัญญามาหลายปีแล้ว ก็ได้แค่เป็นนักร้องฝึกหัด ถึงได้แอบไปงานออดิชั่นที่เธอกับบุญทิ้งไปไง อย่าบอกใครนะ”
ปลายอ้อส่ายหน้าให้สัญญา เกวลียิ้มๆ ให้ปลายอ้ออย่างถูกชะตา
“แล้วปลายอ้อยังอยากเป็นนักร้องอยู่หรือเปล่า”
“อยากสิ ยังไงเป้าหมายฉันก็คือการเป็นนักร้อง เพราะมันเป็นความฝันของแม่ฉัน”
“ที่แท้ก็มาสู้เพื่อแม่นี่เอง งั้นเราต้องสู้ไปด้วยกันนะ”
เกวลียื่นมือให้จับอย่างนักกีฬาทำ ปลายอ้อจับมือเกวลีตอบ ยิ้มให้กันมองตากันเหมือนให้สัญญาจะเป็นเพื่อนแท้ตลอดไป
ในขณะเดียวกัน อัปสรเปิดตู้เสื้อผ้าออก เห็นตู้เกือบว่างเปล่า เพราะปลายอ้อเก็บเสื้อผ้าไปหมดแล้ว เหลือแต่ชุดนักร้องชุดเก่งที่ปลายอ้อไม่ได้เอาไปด้วย เป็นชุดแนวขนนกแพรวพราว
อัปสรหยิบชุดของปลายอ้อเอามากอดแนบอก น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ยุพาเดินเข้ามาเห็น
“เพิ่งจะมารู้สึกคิดถึงลูกเหรอพี่สร ไล่มันไปเองแท้ๆ”
อัปสรไม่ตอบ ซบหน้ากับชุดขนนก ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา
“พี่สรโกรธฉันเลยนะ แต่ขอต่อว่าหน่อยว่าพี่สรใจร้ายมาก ปลายอ้อมันทำทุกอย่างเพื่อพี่ แต่พี่ต่อว่ามันว่าเนรคุณ เป็นใครได้ยินก็ต้องเสียใจ ขนาดมันยอมทำตามใจพี่แล้ว จะปลอบใจขอโทษมันซักนิดก็ไม่มี”
อัปสรทนไม่ไหว โพล่งออกมา “แกคิดว่าพี่อยากทำร้ายลูกเหรอยุ พี่ก็มีหัวจิตหัวใจของแม่เหมือนกัน แต่ที่พี่ทำ ก็เพื่อให้อ้อมันตัดใจเด็ดขาด ไม่ต้องพะวงถึงพี่ แกไม่รู้หรอกว่าใจพี่จะขาด ตอนที่ลูกมันก้มลงกราบเท้า พี่อยากจะกอดลูก แต่ก็ไม่กล้า กลัวอ้อทำให้พี่ใจอ่อน แล้วทุกอย่างก็จะพังหมด”
ยุพานิ่งงัน อึ้งไป ใจอ่อนยวบ เข้าใจอัปสรมากขึ้น
“พี่ทำไมถึงชอบทำร้ายตัวเองนักนะพี่สร เมื่อคราวพี่เผ่าก็หนนึงแล้ว”
“ทำมากกว่านี้ก็ได้ ถ้ามันจะเป็นประโยชน์กับคนที่พี่รัก ปลายอ้อไปอยู่ที่นั่นดีแล้ว มันจะเป็นประโยชน์มากกว่าจมปลักกับพี่”
อัปสรคิดถึงลูก น้องตาคลอเต็มตา
ด้านแสงโสมตามเข้ามาคุยกับปอแก้วในห้องทำงาน เรื่องปลายอ้อ
“หนูปอแก้วคิดดีแล้วเหรอคะ ที่รับเด็กปลายอ้อเข้ามาอยู่ค่ายเรา ท่าทางมันไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย”
“แก้วรับปากเขาแล้วว่าจะรับเขาเข้าทำงาน ในเมื่อเขายอมลดทิฐิมาของานเราทำ ก็ต้องยอมสิคะ”
“แต่มันอาจจะมีแผนร้ายอยู่ก็ได้”
“น้าโสมหมายถึงอะไรคะ”
“สมมุติมันคิดจะมาทอดสะพานให้คุณพ่อหนูแก้ว แล้วก็หวังใช้ทางลัดตะกายดาวล่ะคะ”
“คุณพ่อให้อำนาจแก้วตัดสินใจเรื่องต่างๆ แล้ว เมื่อวานน้าโสมก็เห็น ไม่มีทางที่ใครจะใช้คุณพ่อเป็นเครื่องมือได้อีก”
แสงโสมทักท้วงอีก “แต่ถ้ามันไม่ได้หวังตะกายดาวแค่เป็นนักร้อง แต่ตะกายขึ้นมาเป็นคุณนายคนใหม่ของบูรพาซาวด์ แทนที่คุณแม่ของหนูปอแก้ว จะทำยังไงกันล่ะคะ”
ปอแก้วนิ่งอึ้งไป แสงโสมเสี้ยมต่อ
“หนูปอแก้วก็น่าจะเห็นหูตามันเวลาอยู่กับคุณพี่ น้าโสมไม่ไว้ใจเลย”
“ไม่มีทาง แก้วจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาแทนที่คุณแม่เป็นอันขนาด ถ้าใครหวังสูงขนาดนั้น แก้วจะทำให้เขารู้ว่าเขาคิดผิด”
ปอแก้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน จนแสงโสมนึกหวั่นกลัวในใจ
ปลายอ้อออกมานั่งรับลมเล่นๆ อยู่หน้าบ้านพัก มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เห็นเบอร์ศุภกฤตโทร.มา เธอกดรับสาย
“ฮัลโหล คุณนักข่าว”
ศุภกฤตโทร.มาจากออฟฟิศสตาร์เดลี่ สองคนคุยสายกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี
“ต้องเรียกตำแหน่งเป็นการเป็นงานขนาดนั้นเชียวเหรอ เรียกชื่อผมว่ากฤตก็ได้”
“โอเค แล้วคุณมีธุระอะไรเนี่ยคุณกฤต”
“ก็อยากโทร.มาถามดูว่าเป็นยังไงบ้าง กลายเป็นคนของบูรพาซาวด์เต็มตัวแล้ว”
“ก็ดี ไม่ต้องดิ้นรนหางานทำ แค่ไม่ได้ร้องเพลงอย่างที่ฝันไว้เท่านั้น”
“อย่าเพิ่มยอมแพ้ง่ายๆ สิ ผมบอกแล้วนี่นา”
“รู้แล้วน่า ฉันก็แค่อยู่ในช่วงพักเหนื่อยอย่างที่คุณว่า ยังไงฉันก็จะมุ่งไปเป็นนักร้องให้ได้ ตอนนี้โอกาสเปิดแค่นี้ ก็ต้องคว้าไว้ก่อน”
“ดีแล้วล่ะ ถ้าไม่ย่อท้อซะอย่าง วันของคุณจะต้องมาถึง ผมเชียร์อยู่ สู้ๆ นะ”
“ขอบใจนะคุณกฤต”
ปลายอ้อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์ก่อนวางสายไป
“ปลายอ้อ”
ปลายอ้อหันไปทางเสียงเรียก แปลกใจที่เห็นบูรพา
“เสี่ย...”
“หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หรือว่า...”
ปลายอ้อตกใจอยู่ซักพักก็ยิ้มตอบ
“หนูมาสมัครเป็นแดนเซอร์อย่างที่เสี่ยแนะนำไงคะ เสี่ยพูดถูก หนูควรจะลองหาประสบการณ์ดู”
บูรพายิ้มใจดีให้ “ฉันดีใจที่หนูคิดได้ แหม ยายแก้ว จะบอกพ่อซักนิดก็ไม่มีว่าค่ายเรามีสมาชิกใหม่มาเพิ่ม ยังไงก็ยินดีต้อนรับเข้าสังกัดเรานะ”
“ขอบคุณเสี่ยมากนะคะ”
ปลายอ้อยพนมมือไหว้ชดช้อย บูรพาประคองมือรับไหว้
“เสี่ยคะ”
เพียงฟ้าเดินฉับๆ เข้ามา บูรพารีบผละออกจากปลายอ้อทันที
“มาทำอะไรแถวนี้ ฟ้ารออยู่ที่ห้องซ้อมตั้งนาน” เพียงฟ้าชะงักเมื่อเห็นปลายอ้อ “เอ๊ะ เธอ นี่มันนังเด็กตัวแสบเมื่อวานนี้นี่ แกยังมาเสนอหน้าอยู่แถวนี้อีกเหรอ”
“แล้วจะให้ฉันไปอยู่ไหนล่ะคะ ในเมื่อบ้านฉันอยู่แถวนี้” ปลายอ้อบอก
เพียงฟ้างง “แกว่าไงนะ”
“หนูปลายอ้อเข้ามาอยู่ในสังกัดเราแล้ว”
เพียงฟ้าไม่พอใจ “ฮะ นี่เสี่ยตกลงรับมันเข้าค่ายเราจริงๆ เหรอ”
“ฉันไม่ได้รับ ปอแก้วเป็นคนรับ แต่เธอไม่ต้องกลัวหรอกนะว่าปลายอ้อเขาจะมาชิงดีชิงเด่นกับเธอ เพราะตอนนี้เขาเป็นแค่แดนเซอร์เท่านั้น”
“จะตำแหน่งอะไรฟ้าก็ไม่สน ฟ้าไม่ชอบหน้านังเด็กอวดดีนี่”
“เหลวไหลน่าเพียงฟ้า เขาไปทำอะไรให้เธอ”
“คงเป็นเรื่องเมื่อวานที่หนูพูดจาไม่ดีกับคุณเพียงฟ้าน่ะค่ะ คือหนูกำลังร้อนใจ อยากพบเสี่ยก็เลยก้าวร้าวไปหน่อย หนูขอโทษด้วยนะคะคุณเพียงฟ้า อย่าถือสาเด็กบ้านนอกอย่างหนูเลยนะคะ”
ปลายอ้อทำเป็นยกมือไหว้อย่างคนสำนึกผิด เพียงฟ้าฮึดฮัดค้อนลมแล้งปะหลับปะเหลือก
“ปลายอ้อขอโทษแล้ว ถือว่าหายกันแล้วนะเพียงฟ้า”
“ก็ได้ แต่ต่อไปนี้ขอให้เธอรู้จักที่ต่ำที่สูง อย่าได้พูดจาอวดดีใส่ฉันอีก” เพียงฟ้าคว้าแขนบูรพาอ้อน “ไปเถอะค่ะเสี่ย ฟ้าหิวข้าว”
เพียงฟ้าควงแขนเสี่ยบูรพาออกไป สีหน้าปลายอ้อจากเศร้าสร้อย กลายเป็นเรียบเฉยเก็บข้อมูล
เย็นนั้น ปลายอ้อกลับเข้าบ้านพักศิลปินมา เห็นเกวลีกำลังง่วนเตรียมอาหารอยู่ในครัว
“ไปไหนมาเหรออ้อ”
“ออกไปเดินเล่นข้างนอก อยากรู้ว่าแถวนี้มีอะไรบ้าง เธอทำอะไรเนี่ย”
เกวลีเอาหมูต้มสุกมาผสมกับหนังหมู เริ่มนวดให้เข้ากัน
“เตรียมแหนมหมูน่ะ”
ปลายอ้อพยักหน้ารับ “อ๋อ แม่ค้าแหนม จำได้ละพี่บุญทิ้งเคยบอก ขยันจังเลยนะ นักร้องก็เป็น แหนมก็จะขาย”
“ก็ต้องดิ้นรนไปแหละ ที่ทำก็ไม่ได้ขายดีหรอกนะอ้อ แต่ไม่ทำก็ไม่พอกินพอใช้ เงินเดือนพวกเรามันไม่ได้มากมาย ถ้าร้องเพลงแล้วรวยก็ต้องอย่างคุณเพียงฟ้าโน้น ต้องมีงานนอกเยอะๆ”
“พูดถึงคุณเพียงฟ้า เมื่อกี้ฉันเจอเขากับเสี่ยบูรพา ท่าทางเขาสนิทสนมกันแปลกๆ นะ” ปลายอ้อถามเก็บข้อมูล
เกวลียิ้มแค่นๆ “เขาก็สนิทกันอย่างที่เธอคิดนั่นแหละ เธอเพิ่งเคยเห็นก็อาจจะคิดว่าแปลก แต่อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็ชิน”
“เพราะอย่างนี้หรือเปล่าคุณเพียงฟ้าถึงได้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น เพราะเป็นคนโปรดของเสี่ย”
“ใช่มั้ง ใครๆ ถึงได้อยากเป็นคนโปรดเสี่ยทั้งนั้น แต่พอเลื่อยขาเก้าอี้คุณเพียงฟ้าไม่ได้ ก็เลยต้องยอมรับสภาพเป็นพลเมืองชั้นสองกันอยู่แบบนี้ไง”
ปลายอ้อฟังเกวลีพูดแล้วครุ่นคิดในใจ
เพลงฮิตของเพียงฟ้าเปิดจากเครื่องเสียงชั้นเลิศดังลั่นห้องซ้อม เพียงฟ้าซ้อมร้องเต้นอยู่กับทีมแดนเซอร์ ซึ่งปลายอ้ออยู่ในหมู่มวลแดนเซอร์ พยายามทำตามไลน์ของเจนนี่ที่เต้นนำอยู่ แต่ยังเต้นสะเปะสะปะ ชนคนนั้นคนนี้ จนสุดท้ายหมุนมาชนเพียงฟ้าจังๆ
“โอ๊ย อะไรเนี่ย เต้นบ้าบออะไรทะลุมาถึงนี่ได้”
“ขอโทษค่ะ”
“ฝึกเด็กเธอดีๆ หน่อยได้ไหมยะเจนนี่ แดนเซอร์มีไว้เสริมตัวนักร้อง ไม่ใช่เกะกะพันแข้งพันขาฉัน”
“แหม เด็กมันยังใหม่อยู่ ก็ต้องให้โอกาสมันบ้างสิ ไม่คิดถึงตัวเองตอนที่ยังใหม่อยู่บ้างล่ะวะ”
“ขอโทษนะ สมัยที่ฉันเป็นศิลปินใหม่ๆ ฉันก็ไม่เคยเป็นตัวถ่วงใคร ทุกวันนี้ฉันถึงได้ยืนอยู่แถวหน้า ไม่เหมือน...”
เพียงฟ้าปรายตามองแววเดือนกับเกวลีที่กำลังรอซ้อมเพลงตัวเองอยู่
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่เจนนี่ อ้อจะพยายามทำให้ดีกว่านี้ ขอแก้ตัวอีกรอบนึงนะจ๊ะ”
“เอา เริ่มใหม่”
เจนนี่ให้สัญญาณทุกคนกลับไปท่าเริ่มต้น เพียงฟ้าหงุดหงิด เริ่มเต้นและลิปซิงค์ใหม่อีกครั้ง
ปลายอ้อเริ่มเต้นไปตามเพลง พยายามจดจำไลน์เต้น แต่ก็ยังผิดๆ ถูกๆ แววเดือนกับเกวลีดูกลุ้มๆ
แววเดือนมองเห็นใจ “ไหวไหมวะเนี่ย ปลายอ้อเอ๊ย สงสัยต้องเทรนกันนอกรอบหนักๆ ไม่งั้นมันคงเต้นมั่วจนตกเวทีแน่”
ปลายอ้อยังคงพยายามเต้นต่อไป แต่ก็หลุดไลน์ขยับเข้าไปใกล้เพียงฟ้าโดยไม่รู้ตัว แล้วเผลอเหยียบเท้าเพียงฟ้าเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย ฉันเจ็บนะนังเด็กบ้า”
เพียงฟ้าโมโหผลักปลายอ้อเต็มแรง ร่างเซไปนิดๆ ปลายอ้อตกใจหันมายกมือไหว้
“ขอโทษค่ะ”
“ครั้งที่สองแล้วนะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกไม่ตั้งใจ แกจงใจทำให้ฉันเจ็บ”
โดยไม่มีใครคาดคิดเพียงฟ้าตบหน้าปลายอ้อเปรี้ยง แววเดือน เจนนี่ เกวลี ต่างตกใจ รีบเข้ามาห้าม
“เฮ้ย มากไปแล้วนะ” แววเดือนโกรธแทน
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยคะ” เกวลีว่า
เพียงฟ้าไม่พอใจมาก “ก็มันจงใจเหยียบเท้าฉัน”
“เด็กมันก็ขอโทษแล้วไง” เจนนี่เหนื่อยใจ
“แค่ขอโทษมันไม่พอหรอก คนอย่างเพียงฟ้า ไม่ยอมเจ็บตัวฟรี จำไว้”
ปอแก้ว แสงโสมเดินเข้ามาพอดี
“มีอะไรกัน”
แววเดือนฟ้องว่า “เพียงฟ้ามันตบหน้าปลายอ้อค่ะคุณปอแก้ว”
แสงโสมแดกดันในที “ตายจริง นี่มันค่ายเพลงหรือตลาด ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันด้วย”
“คุณโสมก็ดูสิคะ นักแดนเซอร์ใหม่มันเหยียบเท้าฟ้า ดีนะที่ฟ้าถอยหนีทัน ไม่งั้นเกิดบาดเจ็บร้องเพลงไม่ได้ขึ้นมา คอนเสิร์ตก็พังกันพอดี”
เจนนี่หมั่นไส้ “สำออย ถ้ามันจะต้องขนาดนั้น ก็นั่งรถเข็นขึ้นเวทีสิยะ”
ปลายอ้อเอ่ยขึ้นว่า “อ้อไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ค่ะ”
“ไม่รู้ล่ะ ฟ้าจะไม่ทนให้นังเด็กนี่มาเต้นเพลงของฟ้าอีกแล้ว คุณปอแก้วต้องเปลี่ยนตัวแดนเซอร์ให้ฟ้านะคะ”
ปอแก้วสวนขึ้นทันที “ไม่”
ทุกคนเหวอกันทั้งแถบ ปอแก้วอธิบายด้วยเหตุผล
“มันเป็นหน้าที่ของปลายอ้อที่จะต้องพัฒนาตัวเอง” ปอแก้วหันมาหาปลายอ้อ “เธออยากจะเก่งไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นเธอต้องทำให้ได้ คอนเสิร์ตครั้งนี้มันจะเป็นบททดสอบเริ่มต้นว่าการจ้างเธอเข้ามาอยู่ในบูรพาซาวด์มันคุ้มค่าแค่ไหน แต่ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ไหว จะลาออกก็บอกมา”
ปอแก้วสบตาปลายอ้ออย่างท้าทาย
ในเวลาต่อมา เกวลีประคองปลายอ้อมานั่งพักที่โถงชั้นล่าง
“พักก่อนนะอ้อ กินน้ำกินท่าก่อน”
“ขอบใจนะ”
บุญทิ้งหิ้วกีตาร์เดินเข้ามา เห็นปลายอ้อกับเกวลีก็เดินเข้ามาหา
“เกิดอะไรขึ้น พวกเธอต้องซ้อมคอนเสิร์ตกันไม่ใช่เหรอ”
“ฉันพาปลายอ้อมาเบรกก่อนน่ะ”
บุญทิ้งมองปลายอ้อ เห็นอีกฝ่ายเอามือกุมแก้มก็แปลกใจ
“เป็นอะไรวะอ้อ ปวดฟันเหรอ”
“เปล่าหรอกพี่ทิ้ง โดนตบน่ะ”
บุญทิ้งตกใจ “ฮ้า ใครตบ”
ปลายอ้ออ้ำอึ้งไม่ตอบ บุญทิ้งหันมองเกวลีเชิงคาดคั้น เกวลีลำบากใจ
“สอบถามกันเอาเองแล้วกัน ฉันต้องรีบกลับไปซ้อมต่อ พักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยขึ้นไปนะอ้อ”
“มาวันแรกก็เกิดเรื่องเลยเหรอวะอ้อ ใครตบแก บอกฉันมา ฉันจะไปจัดการมัน”
“ยัยเพียงฟ้า”
“โธ่เอ๊ย อีเจ๊คนนั้นนี่เอง เจอฉันแน่”
บุญทิ้งฮึดฮัดจะไปเอาเรื่อง แต่ปลายอ้อคว้าแขนไว้
“อย่าพี่ทิ้ง ช่างมันเถอะ”
“เฮ้ย แกกลายเป็นคนไม่สู้คนไปตั้งแต่เมื่อไรวะ”
“ใครว่าอ้อไม่สู้ อ้อจะเก็บไว้สู้ในโอกาสที่เหมาะสมต่างหาก เมื่อถึงเวลานั้น อ้อจะเอาคืนแบบทบต้นทบดอกกับทุกคนที่มันร้ายกับฉัน”
ปลายอ้อพูดออกมาด้วยแววตาแข็งกร้าว
ปอแก้วออกเดินตรวจดูการเตรียมงานที่ลานเทวา เห็นทีมงานยังเตรียมสถานที่กันอย่างขันแข็ง
“คุณปอแก้วกลับไปก่อนก็ได้นะครับ” หัวหน้าทีมงานบอก
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันอยากดูการแต่งเวทีอีกนิด แล้วนี่มีใครสั่งข้าวเย็นให้กินหรือยัง”
ทีมงานหน้าเจื่อนๆ ทั้งแถบ “ยังเลยครับ”
ปอแก้วตกใจ “ตายจริง ทำไมปล่อยปละละเลยกันแบบนี้ กองทัพต้องเดินด้วยท้องสิ ให้คนไปสั่งข้าวกล่องร้านใกล้ๆ มาเลย เดี๋ยวมาเก็บเงินที่ฉัน ไม่ต้องเบิกบริษัทนะ”
หัวหน้าทีมงานรับคำ แล้ววิ่งจู๊ดออกไป ปอแก้วตรวจงานต่อ จนเสียงศุภกฤตทักดังขึ้น
“ขยันจริงๆ นะคุณ”
ปอแก้วหันไปมองฉงน “อ้าวคุณ มาทำไมอีก”
“ไหนว่าให้ผมมาช่วยทำข่าวประชาสัมพันธ์ นี่ผมก็มาเก็บข้อมูลเพิ่มเติมน่ะสิ แล้วก็กะว่าจะถ่ายรูปสถานที่ไปลงข่าวด้วย คนรุ่นก่อนที่เคยมาฟรีคอนเสิร์ตที่ลานเทวาจะได้นึกอยากกลับมารำลึกความหลัง”
“ก็ดีนะ ขอบคุณมากนะคะ”
“คุณมาคุมงานดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้ทุกวันเหรอ”
“ก็เกือบทุกวันถ้าไม่มีธุระที่ไหน”
“ทำไมฟิตอย่างนี้”
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้มาเล่นๆ ในเมื่อตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงบูรพาซาวด์ แล้ว ฉันก็ต้องดูแลทุกรายละเอียดอย่างใกล้ชิด เอาสิ คุณจะเก็บภาพอะไรตรงไหนก็เก็บเลย หรือจะสัมภาษณ์ทีมงานฝ่ายไหนไหม ฉันจะเรียกมาให้”
ศุภกฤตหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป ปอแก้วพาเดินไปเรื่อยๆ จนใกล้เวที ทีมงานกำลังติดตั้งอุปกรณ์อยู่บนนั่งร้านสูง นั่งร้านโงนเงนไปมาจะล้มไม่ล้มแหล่
“เฮ้ยๆๆๆ”
ศุภกฤตมองเห็นกล่องลังใส่ของบนนั่งร้านหล่นลงมาตรงที่ปอแก้วยืนอยู่พอดี
“คุณปอแก้ว ระวัง !
ศุภกฤตกระชากตัวปอแก้วเข้ามาในอ้อมกอดอย่างปกป้อง ปอแก้วตกใจหันไปมอง เห็นลังของหล่นเฉียดหัวตัวเองไปนิดเดียว
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
ปอแก้วยังอึ้งๆ อยู่ในอ้อมกอดของศุภกฤต โชคไม่ดีเอาเลยเพราะอภิรัชดันเดินเข้าเห็นภาพนี้พอดี
“ปอแก้ว”
อ่านต่อตอนที่ 5