เทพธิดาขนนก ตอนที่2 | ซีอีโอคนใหม่
บทประพันธ์ : เพ็ญสิริ | บทโทรทัศน์ : วาทินีย์ และ ปริศนา
กลุ่มนักข่าวยังคงปักหลักรอสัมภาษณ์เสี่ยบูรพาอยู่ที่หน้างานออดิชั่น รอไปเม้าท์มอยกันไป
“ตกลงคุณบูรพาเค้าจะมามั้ยเนี่ย หรือว่าเป็นแค่ข่าวหลอก”
ศุภกฤตมีสีหน้าเยาะๆ
“คงจะรู้ตัวมั้งครับว่าถ้ามา ก็ต้องเจอคำถามนักข่าวถึงสถานการณ์ภายในค่ายกำลังย่ำแย่ ได้ข่าวว่างานน้อยลงจนศิลปินแทบไม่เหลือแล้ว ทีมงานเก่งๆ ก็ลาออกหมด พนันกับผมสิว่าบูรพาซาวด์ถอนตัวจากงานนี้แน่”
เสียงปอแก้วแทรกเข้ามาว่า “งั้นคุณก็เตรียมแพ้พนันได้เลย”
ทุกคนเหลียวขวับไปมอง เห็นปอแก้วเดินมาดมั่นเข้ามา นักข่าวมองฉงน ยังไม่มีใครรู้จักเธอ
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่บูรพาซาวด์จะต้องถอนตัวจากการเป็นกรรมการรายการนี้ เรายินดีและเต็มใจที่จะให้โอกาสศิลปินหน้าใหม่ๆ เสมอ” เธอบอกเสริม
ศุภกฤตมองปอแก้วด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“อ๋อ คุณบูรพาเจ้าของค่ายไม่กล้ามาเอง เลยส่งลูกน้องมา”
“ฉันไม่ใช่ลูกน้องคุณบูรพา”
ปอแก้วฉุนขาดเตรียมจะประกาศว่าตัวเองเป็นลูกสาว แต่อภิวัชเดินออกมาตามเสียก่อน
“ปอแก้ว กำลังรออยู่เลย”
ปอแก้วหันไปยิ้มหวานให้ “ยังทันใช่ไหมวัช”
“ทันสิ เข้าไปข้างในได้แล้ว เดี๋ยวจะเริ่มรอบลูกทุ่งแล้ว”
อภิวัชเหลือบมองศุภกฤตตาขุ่น ฉุนที่นักข่าวจอมจุ้นยังมาวุ่นวายอยู่ในรายการ แต่ก็รีบพาปอแก้วเข้าห้องไป
พวกนักข่าวเริ่มซุบซิบ สงสัยว่าปอแก้วเป็นใคร ศุภกฤตมองตามปอแก้วแบบประเมิน
“ผมว่าคงเป็นเด็กใหม่ในบริษัทนั่นแหละ เสี่ยบูรพาแกชอบกินไก่วัดไม่ใช่เหรอ ยิ่งท่าทางเปรี้ยวๆ แสบๆ แบบนี้ อีกไม่นานเพียงฟ้าคงตกกระป๋อง”
ศุภกฤตหัวเราะเยาะอย่างดูถูกดูแคลน เขานึกว่าปอแก้วเป็นเมียน้อยคนใหม่ของเสี่ยคนดัง
ฝ่ายบุญทิ้งกระวนกระวายอยู่หน้าตึกพร้อมกับพวกญาติๆ เพื่อนๆ ผู้เข้าประกวดที่ยังรอเข้าไปเชียร์
คนที่เข้าไปออดิชั่นชุดแรก ทยอยกันออกมา บางคนถือกระดาษออกมาแผ่นนึง ส่วนใหญ่ออกมาตัวเปล่า เดินร้องไห้มากับเพื่อนๆ ญาติๆ บุญทิ้งมองๆ แล้วทำเป็นเดินเข้าไปคุยยกับวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง
“เอ่อ ขอโทษนะ นี่คือเข้ารอบแล้วยังครับ”
“เข้าแล้วค่ะ เขาจะให้กระดาษมาใบนึง ส่วนคนที่ไม่ได้แปลว่าตกรอบ”
บุญทิ้งมองไปทางคนที่ยืนร้องไห้ระงมกอดกับญาติๆ เพื่อนๆ เป็นกลุ่ม
“แล้วถึงกับต้องร้องไห้เลยเหรอ”
“กรรมการโหดมากพี่ บางคนโดนไล่ให้กลับไปทำนาที่บ้านนอก ขนาดหนูเข้ารอบยังไม่ได้คำชมซักแอะ มีแต่บอกว่าให้ไปฝึกเพิ่ม”
บุญทิ้งพยักหน้าหงึกหงัก ใจคอไม่ดี เริ่มเป็นห่วงปลายอ้อ
“ไอ้อ้อเอ๊ย จะไหวไหมว้า...”
เกวลีเดินเข้างานมาเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเริ่มไปสมัครตรงไหน ยังไง มัวแต่มองทางนั้นทีทางนี้ทีจนเดินมาชนเข้ากับบุญทิ้งอย่างจัง จนเกวลีล้มลงไปนั่งกับพื้น
“เฮ้ย เดินดูคนหน่อยสิ”
“ขอโทษค่ะ”
บุญทิ้งสบตากับเกวลี ดังปิ๊ง!
“อ้าวเธอเองเหรอ”
“นาย...ส้มตำ วันนี้มันต้องเป็นวันซวยของฉันแน่ๆ ซวยทุกทีที่เจอนาย”
เกวลีลุกขึ้นได้รีบออกไป บุญทิ้งร้องเรียกไว้
“เดี๋ยวสิ เธอ..เธอ...”
เกวลีเดินหนีแทรกผู้คนออกไป บุญทิ้งตะโกนเรียก
“เธอ..ยัยแหนมหมู...”
ทุกคนหันมองที่เกวลีเป็นตาเดียวกัน บ้างก็แอบขำชื่อ เกวลีอายเดินกลับมา
“ฉันชื่อเกวลี ไม่ใช่แหนมหมู”
เกวลีจะเดินหนีอีก บุญทิ้งเรียกไว้อีก
“เดี๋ยวสิ นี่มาสมัครประกวดร้องเพลงเหรอ”
เกวลีลังเล มองเห็นโต๊ะรับสมัคร แต่บุญทิ้งพูดต่อเชิงดูถูก
“แน่ใจนะว่าร้องเพลงได้”
เกวลีไม่พอใจ “แล้วนายมายุ่งอะไร”
“เปล๊า อยากเตือนไว้ก่อนว่ากรรมการโหดนะ มีแต่คนร้องไห้ออกมาจากห้องออดิชั่น ขนาดคนเข้ารอบยังหน้าเสียเลยเธอเอ๊ย”
เกวลีชะงักไป เริ่มกลัว
“แต่ถ้าเธอมั่นใจก็ลุยดิ มาถึงที่แล้ว จะทิ้งโอกาสไปเสียดายแย่”
เกวลีนิ่งคิด สีหน้าไม่ค่อยดี แล้วรีบออกตัว
“ใครว่าฉันมาสมัคร ฉันแค่มาดูเฉยๆ ย่ะ”
“อ๋อ..... ที่แท้ก็อยากออกทีวี ไปสิ ฉันเห็นกล้องอยู่ตรงโน้นแน่ะ เดี๋ยวพาไปเดินผ่านซัก 2-3 ที เผื่อรายการเขาจะตัดไปออก”
บุญทิ้งเข้ามาฉุดแขนเกวลีพาไป เกวลีตกใจ สะบัดมือดิ้นหนีพัลวัน กลัวออกทีวีแล้วเป็นเรื่องใหญ่
“นี่ มายุ่งอะไรกับฉัน ปล่อยนะ” สุดท้ายกระทืบเท้าบุญทิ้งจังๆ
“โอ๊ย”
เกวลีสะบัดมือออก แล้วรีบเดินหนีไป บุญทิ้งตะโกนไล่หลัง
“โธ่เอ๊ย อุตส่าห์หวังดีนะเนี่ย”
ปลายอ้อเดินหน้าไม่ค่อยดีเข้ามาพอดี บุญทิ้งมองไปเห็น
“ไอ้อ้อ นี่ไปซ้อมร้องหรือไปส้วมวะ หายไปนานเชียว”
“ตั้งใจจะไปซ้อมเพลงน่ะ แต่มีคนทำให้เสียอารมณ์ซะก่อน”
“ใครวะ”
ปลายอ้อยังไม่ทันเล่าให้ฟัง ทีมงานก็เดินออกมาหน้าตึก ประกาศโทรโข่งแจ้งผู้เข้าออดิชั่นและผู้ติดตามว่า
“ตอนนี้เราพร้อมที่จะเริ่ม ออดิชั่นเพลงลูกทุ่งกันแล้วนะคะ”
ปลายอ้อกับบุญทิ้งตื่นเต้น ยิ้มให้กัน
ภายในห้องออดิชั่น ปลายอ้อนั่งอยู่ที่โต๊ะกรรมการ ทีมงานเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
“Iced white chock mocha ของคุณปอแก้วค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอหันไปยิ้มกับอภิวัช “นี่ยังจำได้อยู่เหรอ”
“แล้วทำไมถึงคิดว่าผมจะลืม” เขายิ้มหล่อ “ขอบคุณมากนะครับที่มาแทนพ่อคุณ”
ปอแก้วยิ้มตอบอภิวัช สายตาดูลึกซึ้งมีความนัย ว่าแอบกิ๊กกันตั้งแต่อยู่เมืองนอก
ประตูด้านหน้าฮอลล์ เปิดออก เห็นปอแก้วเข้ามากับบุญทิ้ง และผู้เข้าแข่งขันคนอื่น กล้องทีวีถ่ายตาม บุญทิ้งบิวท์สุดๆ
“สู้ๆ นะเว้ยอ้อ เข้ารอบให้ได้”
ปลายอ้อพยักหน้าอย่างมั่นใจ แล้วมองไปที่จอใหญ่ด้านบนเวที เห็นหน้ากรรมการ มีปอแก้วยืนอยู่
“เอ๊ะ”
“อะไรวะ”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นกรรมการด้วยเหรอ”
“ทำไม แกรู้จักเขาเหรอ”
ปลายอ้อไม่ตอบ แต่สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที ทีมงานที่กำลังจัดที่นั่งหันมาเรียกปลายอ้อไปสแตนด์บาย
“ช่างเถอะ แล้วเจอกันข้างนอกนะพี่บุญทิ้ง”
ปลายอ้อเดินไปนั่งแถวหน้ารวมกับพวกนักร้องออดิชั่น
ศุภกฤตกับนักข่าวอื่นๆ ดูรายการอยู่ด้านนอกที่ทีมงานเตรียมไว้ให้ ระหว่างรอเก็บสัมภาษณ์
ในทีวีเห็นคนเริ่มขึ้นเวทีไปออดิชั่นสดๆ ร้องเพราะบ้างไม่เพราะบ้าง กรรมการสายโหดเริ่มคอมเมนต์
“ร้องได้ดีมากครับ ผมให้ผ่าน”
ปอแก้วเมนต์ด้วยสีหน้าซีเรียส “พวกนักร้องประกวดมักจะเลือกเพลงยากๆ มาร้อง เพราะคิดว่าตัวเองจะได้โชว์ศักยภาพเต็มที่ แต่การโชว์จนเกินขอบเขตก็เป็นอย่างที่เห็นแหละค่ะ”
นักร้องบนเวทีหน้าเสีย พวกนักข่าวจับกลุ่มดู ส่งเสียงฮือฮา
“สิ่งที่คุณทำเมื่อกี้มันไม่ใช่การร้องเพลง แต่เป็นการตะโกนเพลง ฉันไม่ให้ผ่านค่ะ”
นักร้องคนนั้นหน้าเจื่อน เหลือบมองอภิวัช
“ผมก็ยังไม่ผ่าน ขอบคุณครับ”
นักร้องเดินเช็ดน้ำตาลงเวทีไป พวกนักข่าวเม้าท์กันเซ็งแซ่
“คอมเมนต์โคตรโหดเลย เก่งมากจากไหนวะ”
“นั่นสิ นี่บูรพาซาวด์มาหานักร้องหรือมาไล่นักร้อง”
ศุภกฤตบอกว่า “สมัยนี้เขาก็ต้องทำแบบนี้แหละพี่ สร้างคาแรกเตอร์ไง คนจะได้จำได้ว่ายายนี่เป็นใครมาจากไหน ทีนี้บูรพาซาวด์ก็ได้กระแสแล้ว หึๆ”
ปลายอ้อเดินออกมาจากทางด้านหลังเวที ตรงมายืนที่หน้าไมค์แล้วมองปอแก้วเขม็ง ปอแก้วมองปลายอ้อตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เตรียมฟัง ขณะที่อภิวัชส่งยิ้มให้กำลังใจ
“ถ้าพร้อมแล้วเริ่มเลยครับ”
ปลายอ้อยืนทำอารมณ์อยู่ท่ามกลางแสงสลัว ดนตรีอินโทรขึ้น
ปลายอ้อก้าวเข้ามาตรงแสงสว่างกลางเวทีพร้อมร้องเพลง เนื้อหาเป็นเรื่องราวความรักที่ถูกมือที่สามเข้ามาทำลาย ผู้ชายเลือกไม่ถูก ลังเล สุดท้ายผู้หญิงเลยขอเป็นฝ่ายไปเอง
อภิวัชสนใจในเสียงของปลายอ้อ ปอแก้วถึงกับถามขึ้น
“ท่าทางวัชจะชอบมากนะ”
“คุณไม่ชอบเหรอ”
“เดี๋ยวจะบอกค่ะ” เธอมองปลายอ้อเขม็ง
ปลายอ้อร้องเพลงไปในใจมุ่งมั่นที่จะเอาชนะให้ได้เมื่อมองเห็นปอแก้วที่นั่งเป็นกรรมการปลายอ้อยิ่งทวีความชิงชังลงไป
ปลายอ้อจบท่อนเพลงสุดท้าย เสียงปรบมือดังขึ้น จากอภิวัชที่ลุกยืนขึ้นปรบมื จนปอแก้วเหลือบมอง นึกหมั่นไส้
“เพราะมากเลยครับ หมายเลข 252 กรรมการทั้งสามท่านว่าไงครับ” พิธีกรโยนมาทางคอเมนเตเตอร์ทั้งสาม
“ผ่านแน่นอนครับ”
“กรรมการท่านที่สองล่ะครับ คุณปอแก้ว”
ปอแก้วจ้องมองปลายอ้อบนเวที สายตาทั้งสองประสานกัน บรรยากาศน่าอึดอัด
“เพลงที่คุณเลือกร้อง เป็นเพลงรักที่เข้มข้นมาก เป็นเพลงของใครคะ”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่ฉันเคยฟังมาตอนเด็กๆ แล้วก็เริ่มหัดร้องเพลงเพราะเพลงนี้”
ปอแก้วส่ายหน้า “คุณร้องเพลงของใครก็ไม่รู้ตั้งแต่เด็ก โดยไม่คิดจะค้นหาว่าใครเป็นเจ้าของ เหมือนไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควรนะคะ”
ปลายอ้อคอแข็ง ความไม่พอใจแล่นขึ้นมาจุกที่คอทันที
“คือฉันเคยได้ยินแม่ร้องเพลงนี้ แต่พอถามว่าเพลงของใครแม่ก็ไม่ยอมบอก ก็เลยไม่ทราบน่ะค่ะ”
“สมัยนี้เซิร์ชหาจากกูเกิ้ลก็ไม่น่าจะยาก ถ้าคุณใส่ใจ”
ปลายอ้อชักสีหน้าใส่ปอแก้ว บรรยากาศมาคุขึ้นเรื่อยๆ
“เอ่อ ผมขอเชิญคุณปอแก้วคอมเมนต์เกี่ยวกับการร้องด้วยครับ ให้ผ่านหรือไม่ผ่านดี”
ปอแก้วทำเป็นก้มหน้าอ่านโน้ตที่จดไว้ “ชั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้ให้คุณนำมาร้อง แต่คนแต่งตั้งใจเล่าความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้เพราะรักแท้ ทำให้มือที่สามหมดโอกาสแทรกตัวเข้ามา มันเป็นความสวยงามของความรักที่มั่นคง แต่อินเนอร์ของคุณมันไม่ใช่ คุณไม่ได้ร้องด้วยความเห็นความสวยงามในความรักของเค้าแต่คุณร้องด้วยอินเน่อชิงชังมือที่สาม ถือเป็นการตีความที่ผิดมากค่ะ”
ทุกสรรพเสียงในห้องออดิชั่นเงียบกริบ ให้ปอแก้วถามขึ้น
“คุณแค้นใครอยู่รึเปล่าคะ”
ปลายอ้อนิ่งขึง จ้องตาปอแก้วด้วยความชิงชัง
“สรุปว่าชั้นไม่ให้ผ่านค่ะ”
ทุกคนในฮอลล์เหวอทั้งแถบ ซุบซิบๆ กัน บุญทิ้งทำท่าฮึดฮัดขัดใจ
“ความแค้นไม่มีทางพาใครไปสู่ความสุขความสำเร็จได้หรอกค่ะ ไปรักษาใจให้หายแล้วค่อยกลับมาปีหน้านะคะ”
ปลายอ้อยืนอึ้งเจ็บจี๊ดที่ใจ พิธีกรเหวอที่ปอแก้วพูดแรงมาก หันไปหาอภิวัช
“เอ่อ อยู่ที่คุณอภิวัชแล้วนะครับ จะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน”
อภิวัชมองหน้าปลายอ้ออย่างลังเล ใจก็ชอบการร้องของปลายอ้อ แต่พอเหลือบเห็นสายตาจับผิดของปอแก้วก็ไม่กล้าเห็นต่าง
“ผมเห็นด้วยกับคุณปอแก้วครับ อยากให้กลับไปฝึกอีกนิดนึงนะครับ ขอบคุณครับ”
ปอแก้วเจ็บใจจนน้ำตาคลอ ตกรอบแล้วยังโดนปอแก้วพูดด่า กัดฟันเดินลงเวทีไป
พิธีกรเรียกคนต่อไปมาออดิชั่น “เชิญหมายเลข 253 ครับ...”
ทางด้านอัปสรดูรายการออดิชั่นของปลายอ้อทางทีวี มองเห็นปลายอ้อเดินน้ำตาคลอตกรอบไปก็แค้นใจไม่แพ้ลูก หยิบแก้วน้ำขว้างใส่ ไปโดนผนังข้างจอทีวีแตกดังเพล้ง แล้วร้องกรี๊ดๆ ออกมา ยุพาวิ่งตาตื่นเข้ามาดู
“พี่สร เกิดอะไรขึ้น”
อัปสรชี้มือสั่นๆ ไปที่ปอแก้วในทีวี “ปลายอ้อตกรอบก็เพราะมัน มันหาว่าลูกพี่ร้องไม่ดี”
“ใครพี่”
“ก็คนของบูรพาซาวด์น่ะสิ มันอิจฉาลูกพี่ มันกลัวว่าลูกพี่จะได้โอกาสเข้าไปทวงทุกอย่างคืนจากพวกมัน”
อัปสรโกรธแค้นตัวสั่น เหมือนควบคุมไม่ได้ ยุพากอดไว้ทั้งตัว ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
ด้านปลายอ้อเดินลิ่วออกมาด้วยความโมโห บุญทิ้งวิ่งตามมมาติดๆ
“ไอ้อ้อ รอด้วย จะรีบไปไหน”
ปลายอ้อไม่หยุด เดินลิ่วๆ หนีไปน้ำตากลบตา บุญทิ้งต้องวิ่งเข้าไปดึงไหล่ไว้
“ไอ้อ้อ”
ปลายอ้อหันมาระเบิดอารมณ์อย่างอัดอั้น “อ้อร้องไม่ดีจริงๆ เหรอพี่ทิ้ง อ้อทำเต็มที่ที่สุดแล้วนะ ถ้าแบบนั้นยังร้องไม่ดี แล้วที่อ้อประกวดชนะได้รางวัลมาเป็นสิบๆ ที่ มันคืออะไร”
ปลายอ้อปล่อยโฮออกมา ซบกับอกบุญทิ้งอย่างผิดหวังและเสียใจ บุญทิ้งกลุ้มหนัก ได้แต่ปลอบโยน
“ไม่จริง แกร้องดี แต่แค่ไม่ถูกใจเขา อย่าไปคิดมากเลยวะ รสนิยมคนกรุงกับคนบ้านนอกมันคงต่างกัน”
ปลายอ้อได้ฟังยิ่งสะเทือนใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักขึ้น บุญทิ้งได้แต่ปลอบวนไป
“แต่พี่ไม่ชอบก็คือ ยายนั่นกล้าดียังไงมาวิจารณ์เรื่องส่วนตัวของแก แกจะแค้นใครแล้วทำไมวะ มันควรจะวิจารณ์เรื่องเพลงอย่างเดียวสิโว้ย”
“ฉันเจ็บใจที่ทำให้แม่ ฉันไม่รู้จะกลับไปบอกแม่ยังไง”
“อย่าไปคิดมากเลยวะ เราทำดีที่สุดแล้ว เดี๋ยวแกไปแก้ตัวใหม่เวทีอื่นก็ได้”
บุญทิ้งประคองปลายอ้อนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ ปลายอ้อปาดน้ำตาอยู่อย่างนั้น
“รอแป๊บนะ เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้ดับอารมณ์”
ปลายอ้อทิ้งตัวนั่งตรงเก้าอี้ข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง
“ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย”
หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
บุญทิ้งเดินออกมาหาตู้กดน้ำอัตโนมัติจนเจอ เขาตรงเข้าไปหยอดเหรียญซื้อน้ำ พลันก็ได้ยินเสียงเพลงลูกทุ่งแว่วๆ มา จึงเหลียวมองหา
บุญทิ้งถือน้ำออกมาเดินหาต้นเสียง จนเห็นเกวลียืนหลบอยู่มุมตึก เสียบหูฟัง กำลังหลับตาร้องเพลงลูกทุ่งหวานซึ้งอยู่ ท่าทางอินจัด บุญทิ้งยืนมองเพลิน จนยิ้มออกมา เพราะเกวลียิ่งดูน่ารักขึ้นอีกตอนร้องเพลง
เกวลีร้องเพลงเดินหมุนไปมาจนจบเพลงก็ลืมตาขึ้น หันมาเห็นบุญทิ้งจ้องอยู่ ถึงกับสะดุ้งทั้งเขินอายและตกใจ
“อุ๊ย นาย”
“ไหนบอกว่ามาดูเฉยๆ แล้วมาแอบร้องเพลงอะไรตรงนี้”
เกวลีเขินอยู่อย่างนั้น “แล้วนายมายุ่งอะไรล่ะ”
“เธอร้องเพราะดีนะ ทำไมไม่ไปออดิชั่นล่ะ ร้องอยู่ตรงนี้ใครเค้าจะตัดสินให้ล่ะ”
“เรื่องของฉัน”
เกวลีเดินหนี บุญทิ้งเดินตาม ลืมปลายอ้อไปเลย
“หรือว่านอยด์ที่ฉันบอกว่ากรรมการดุ ไปลองดูเถอะน่า ถ้าอยากจะเป็นนักร้องก็ต้องไม่กลัวเวที ร้องให้ต้นไม้ใบหญ้าฟัง มันไม่มีประโยชน์หรอก”
เกวลีลังเล เกิดความหวังขึ้นมานิดๆ เริ่มยอมญาติดีกับบุญทิ้งนิดๆ
“แล้วนายมาออดิชั่นเหมือนกันเหรอ เข้ารอบหรือตกรอบล่ะ”
“โฮ้ย เสียงเหมือนเป็ดอย่างฉันออไม่ไหวหรอก ให้ร้องลิเกล่ะก็พอว่า มาเป็นเพื่อนน้องสาวน่ะ ตกรอบไปแล้วเหมือนกัน” บุญทิ้งชักเซ็งๆ “เตรียมใจไว้แล้วกัน กรรมการที่มาจากบูรพาซาวด์ ดุอย่างกับหมา”
เกวลีตกใจ “ว่าไงนะ นายว่ากรรมการมาจากไหน”
“ค่ายบูรพาซาวด์ไง”
เกวลีอึ้งนิ่งงันไป หน้าเสียไปเลย ยิ่งไม่กล้าไปออดิชั่น
“เอาเถอะ ขอให้โชคดีแล้วกัน อ้ะ ให้น้ำไว้กินแก้คอแห้ง ถ้าดังแล้วอย่าลืมกันนะ”
บุญทิ้งยื่นขวดน้ำให้เกวลีแล้วเดินออกไป เกวลีถือขวดน้ำในมือ มองตามบุญทิ้งไปอย่างสับสนลังเล
ปอแก้วพักเบรกเดินมาเข้าห้องน้ำ พอเสร็จธุระเปิดประตูออกมาก็เห็นปลายอ้อมาขวางไว้
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณ”
ปอแก้วเชิดหน้ากอดอกรอฟัง ปลายอ้อเดินเข้ามาใกล้ๆ ท่าทีคุกคาม เหมือนเอาเรื่องนิดๆ
“ที่คุณไม่ยอมให้ฉันเข้ารอบ เพราะคุณโกรธที่ฉันทำโทรศัพท์คุณตกจนใช่ไหม”
ปอแก้วแปลกใจในนาทีแรกแล้วหัวเราะออกมา ปลายอ้อยังไม่หยุดเพราะอารมณ์คุกรุ่นอยู่
“คุณหาเรื่องว่าฉันร้องเพลงด้วยความแค้น แต่จริงๆ คุณเองนั่นแหละที่เจ้าคิดเจ้าแค้น”
“ไปกันใหญ่แล้ว คุณคิดเออเอง ที่ฉันตัดสินให้คุณตกรอบ เพราะคุณยังได้ไม่ดีพอ กลับไปดูเทปรายการวันนี้ก็ได้ค่ะ ยูทูบคงจะมี”
“ฉันประกวดมาหลายเวที ได้รางวัลมาเกือบทุกที่ คุณเป็นใครมาจากไหนถึงได้บอกว่าฉันไม่ดีพอ”
“มาตรฐานที่คุณเคยเจอมากับมาตรฐานของฉันคงไม่เท่ากัน”
“นี่คุณจะดูถูกกันมากไปแล้วนะ”
ปลายอ้อโกรธ จนลืมตัวคว้าแขนปอแก้ว จังหวะที่ทั้งสองสัมผัสตัวกัน ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างสปาร์กขึ้นกลางใจ ปอแก้วใจเต้นระรัวผิดจังหวะ เหมือนหัวใจจะหลุดลอยออกมานอกร่างกาย
“ปล่อยฉัน โอ๊ย”
ปลายอ้อเผลอตัวบีบแขนปอแก้วแน่น ปอแก้วเอามือทาบอกตัวเอง เหมือนจะหน้ามืด ศุภกฤตเข้ามาเห็นพอดี เขาร้องถาม
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”
ปอแก้วหันไปมองศุภกฤตอย่างไม่พอใจ รีบสะบัดแขนออกแล้วหนีเข้าฮอลล์ไป
ปลายอ้อเดินหงุดหงิดออกมา มีศุภกฤตเดินตามติด
“ฉันไมได้ทำอะไรผู้หญิงคนนั้นนะ แค่อยากจะคุยด้วย แต่อยู่ๆ เขาก็ทำท่าทางพิลึก เหมือนเห็นผีอย่างนั้นแหละ”
“เขาคงคิดว่าคุณจะไปหาเรื่องเขาที่ไม่ให้คุณเข้ารอบ”
ปลายอ้อนิ่วหน้าแปลกใจ มองศุภกฤตเป็นเชิงถาม
“ผมดูคุณอยู่จากจอทีวีข้างนอกน่ะ ที่จริงคุณร้องเพลงเพราะมากนะ เสียงอย่างคุณเป็นความหวังของวงการลูกทุ่งเลย ผมไม่เข้าใจทำไมถึงตกรอบ”
“นั่นแหละ ที่ฉันข้องใจ ฉันก็ว่ายัยกรรมการคนนั้นมีอคติกับฉัน”
ศุภกฤตสนใจขึ้นมาทันที รีบหยิบมือถือออกมาอัดเสียงสัมภาษณ์
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ผมสัมภาษณ์คุณได้ไหม คือ...ผมจะได้เอาไปทำข่าวเปิดโปงรายการนี้มันซะ”เลย
ปลายอ้อชั่งใจ นึกอยากให้ศุภกฤตเขียนข่าวโจมตีปอแก้วเหมือนกัน แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจดื้อๆ
“ช่างเถอะ ยังไงก็ตกรอบไปแล้ว ฉันจะสู้ต่อ จะหาทางพิสูจน์ตัวเองว่าฉันเป็นนักร้องที่ดีได้ ยายนั่นจะได้หน้าหงาย”
ศุภกฤตทึ่ง นึกชื่นชมปลายอ้อในใจ บุญทิ้งวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“ไอ้อ้อ อยู่นี่เอง ทำอะไรวะ” เขามองเขม่นศุภกฤต “มาตอแยอะไรน้องผมอีกล่ะคุณ”
“เปล่าน่าพี่บุญทิ้ง”
ศุภกฤตโน้มน้าวปลายอ้ออีก “คุณดูเป็นคนน่าสนใจดี ผมไม่ถามเรื่องที่คุณมีปัญหากับกรรมการก็ได้ แต่ขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับตัวคุณละกัน จะได้เอาไปทำสกู๊ปเกี่ยวกับนักร้องล่าฝัน”
ปลายอ้อไม่เอาอยู่ดี “อย่าเพิ่งเลยคุณ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์”
“งั้นถ้าคุณเปลี่ยนใจ ติดต่อผมมานะ” เขาหยิบนามบัตรให้ ปลายอ้อรับไว้ “ผมชื่อศุภกฤต คุณชื่อ...”
“ปลายอ้อค่ะ”
“โชคดีนะครับ ผมเอาใจช่วย”
ศุภกฤตเดินออกไปเลย บุญทิ้งมองตาม ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ฉันว่าไอ้หมอนี่ต้องจีบแกแน่ๆ เลยว่ะ ท่าทางกรุ้มกริ่มเหลือเกิน”
“ไม่หรอก เขาเป็นนักข่าวน่ะ ก็หาข่าวไปเรื่อย”
บุญทิ้งไม่ชอบใจ “ระวังนะโว้ยอ้อ พวกนักข่าวมันสอดรู้สอดเห็นเก่ง แกอย่าเพิ่งเล่าอะไรให้มันฟังมากล่ะ ป้าสรไม่อยากให้ใครรู้ไม่ใช่เหรอว่าแกเป็นลูกของ...”
“แล้วจะพูดทำไมล่ะพิ่ทิ้ง”
บุญทิ้งนึกได้รีบเอามืออุดปาก ปลายอ้อมองค้อน
เย็นนั้น ศุภกฤตพาปอแก้วและกรรมการออกมาให้สัมภาษณ์หลังออดิชั่นจบลง
“เป็นไงบ้างคะ ออดิชั่นวันแรก” นักข่าว1 ถามขึ้น
“เราก็ได้ค้นพบศิลปินที่น่าสนใจหลายคนเลยครับ แต่ก็หวังว่าคงจะมีคนเก่งๆ เข้ามาออดิชั่นในวันอื่นๆ อีก” อภิรัชตอบ
ศุภกฤตถามเหน็บ ตีรวนต่อว่า “แหม จะมีใครกล้ามาอีกครับ วันนี้เห็นโดนด่าร้องไห้กันไปตั้งหลายคน”
อภิวัชกับปอแก้วหันไปมองศุภกฤต ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“กรรมการไม่ได้ด่าศิลปินคนไหนนะคุณ พูดให้ดีๆ” ปอดแก้วว่า
“แต่ก็พูดจนศิลปินเสียความมั่นใจ ร้องไห้ลงจากเวที กรรมการที่มืออาชีพเขาไม่ทำกัน”
ปอแก้วหน้าตึง “ถ้าคุณหมายถึงฉัน ก็ขอให้รู้ไว้ว่านี่คือแนวทางในการเลือกศิลปินของบูรพาซาวด์ยุคใหม่”
เกวลีเดินมาด้อมๆ มองๆ แอบฟัง และได้ยินพอดี
“คนเก่งจริงเท่านั้นที่จะได้รับการต่อยอด ส่วนคนที่ยังไม่พร้อม เราจะไม่รักษาน้ำใจ แต่จะบอกจุดบกพร่องตรงๆ ให้ไปพัฒนาตัวเอง”
ศุภกฤตยิ้มเยาะในที “แหม ประกาศนโยบายแบบนี้ไม่ทราบบอกเจ้าของค่ายหรือยังครับ ระวังจะโดนเสี่ยว่าเอานะว่าทำเกินหน้าที่”
ปอแก้วสุดทนโพล่งขึ้น “ฉันนี่แหละเจ้าของค่าย”
ศุภกฤตชะงักงันไป พวกนักข่าวเหวอ ซุบซิบๆ ด้วยสีหน้าแปลกใจ อภิวัชเลยรีบบอก
“ผมยังไม่มีโอกาสได้แนะนำกรรมการรับเชิญอย่างเป็นทางการ นี่คือคุณปอแก้ว ศิริโชคสมบูรณ์ครับ ลูกสาวของนายห้างบูรพา”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าศุภกฤต เขาอึ้งหนัก เกวลีมองหน้าปอแก้วเหวอไปด้วย เพิ่งรู้ว่าเป็นลูกสาวเจ้าของห้าง
“ทีนี้คงหมดข้อสงสัยแล้วนะคุณนักข่าว”
ปอแก้วหันมายิ้มเย้ยศุภกฤตด้วยความสะใจทีอีกฝ่ายเสียหน้า
ทางฝั่งบูรพาหันมาโวยวายใส่แสงโสมกับพรทิพย์หลังรู้เรื่องลูกสาวไปเป็นกรรมการออดิชั่น
“อะไรนะ นี่เธอให้ยัยแก้วไปออกทีวีแทนฉัน”
“ก็เห็นคุณพี่ไม่อยากไปนี่คะ”
“ฉันไม่อยากไป ก็เพราะไม่อยากให้บูรพาซาวด์เป็นเครื่องมือสร้างกระแสให้รายการไอ้อภิวัชนั่น จะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษากันก่อน”
“แต่เราต้องการศิลปินใหม่ๆ นะคะคุณพี่ ใจคอจะพึ่งนังเพียงฟ้าคนเดียวเหรอ ทุกวันนี้มันก็ใหญ่ก็คับบริษัทเต็มทีแล้ว” แสงโสมว่า
“นี่เธอกลายเป็นเจ้าของบริษัทไปแล้วเหรอแสงโสม ถึงได้กล้าคิดแทนฉัน”
แสงโสมหน้าจ๋อยไป พรทิพย์ที่นั่งฟังอยู่พูดขึ้น
“แต่ฉันเห็นด้วยกับแสงโสมนะคะ ทุกวันนี้ค่ายเราอยู่ได้ก็เพราะศิลปินคนเดียวคือเพียงฟ้า ส่วนคนอื่นๆ ที่มีก็ขายไม่ได้ เราควรจะต้องเร่งสร้างศิลปินเบอร์ใหม่ๆ ยัยแก้วเองก็อยากไปเป็นกรรมการคัดเลือกแทนคุณ”
“อยากสร้างคนใหม่ๆ ใช้วิธีอื่นก็ได้ ไม่เห็นต้องไปร่วมมือกับคู่แข่ง”
“อภิวัชกับยัยแก้วเป็นเพื่อนมหาลัยเดียวกันที่เมืองนอกนะคะ ลูกคงไม่คิดว่าเป็นคู่แข่งกันหรอก”
พรทิพย์เห็นบูรพายังฮึดฮัดก็ปลอบ
“ฉันเชื่อว่ายัยแก้วรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ คุณเชื่อใจลูกหน่อยสิคะ ที่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกก็หวังจะให้แกมารับช่วงต่องานบริหารค่ายเพลงไม่ใช่เหรอ”
บูรพาอ่อนลง แต่ยังเซ็งไม่หาย “เอาเถอะ ยังไงก็ตัดสินใจกันไปแล้วนี่”
พูดจบบูรพาก็เดินออกจากห้องไปอย่างฉุนเฉียว พรทิพย์มองตาม หันมาเห็นแสงโสมทำท่ากระดี๊กระด๊าก็ชักฉุน
“ขอบคุณนะคะคุณพี่ที่เข้าข้างโสม เราร่วมมือกันไว้อย่างนี้ดีแล้วค่ะ ถ้าหนูแก้วหาศิลปินเก่งๆ เข้าค่ายได้ นังเพียงฟ้ามันก็ลดความสำคัญในสายตาของคุณพี่บูรพา”
“ที่ฉันทำไปก็เพื่อค่ายเพลง ไม่ได้มีเป้าหมายจะลดความสำคัญของใครหรอกแสงโสม” พรทิพย์พูดอย่างเย็นชา “ฉันไม่ลดตัวลงไปฟาดฟันกับผู้หญิงคนไหนของสามีฉันหรอก เธอน่าจะรู้ดีนะ”
พรทิพย์พูดเชิดๆ แล้วเดินออกไปอีกคน แสงโสมมองตาม ค้อนปะหลับปะเหลือก ด้วยความหมั่นไส้
เวลานั้นยุพาพาปลายอ้อกับบุญทิ้งย่องขึ้นมาหน้าห้องอัปสร กระซิบกระซาบบอก
“เมื่อกลางวันแม่แกอาละวาด น้าต้องปลอบอยู่นานกว่าจะยอมสงบลง”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอน้ายุ”
“พี่สรดูรายการทีวีที่แกไปออก แล้วก็เครียดทีแกตกรอบน่ะสิ”
“นี่แม่รู้แล้วเหรอ”
ปลายอ้อจะเดินไปเคาะประตูห้อง บุญทิ้งรีบดึงไว้
“ไอ้อ้อ พี่ว่าแกอย่าเพิ่งเข้าไปเลยว่ะ เพื่อป้าสรกำลังอารมณ์เสีย เดี๋ยวจะเจ็บตัวเอา”
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงแม่ก็ต้องเรียกหาฉันอยู่ ถ้าพี่ทิ้งไม่อยากโดนลูกหลงก็รออยู่ข้างนอกนี่แหละ”
ปลายอ้อถอนใจ แล้วเดินไปเคาะประตู พยายามทำเสียงสดใสสุดฤทธิ์
“แม่ อ้อกลับมาแล้วจ้ะ ให้อ้อเข้าไปนะ”
ปลายอ้อเหลือบมองบุญทิ้งยุพาเป็นทำนองไม่ต้องห่วงแล้วค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป ทั้งสองแอบดู หวาดเสียว
ปลายอ้อเปิดประตูเข้ามา เห็นอัปสรนั่งอยู่ปลายเตียงหันหลังให้ ทำใจดีสู้เสือถามไป
“แม่นั่งทำอะไรจ๊ะ ทำไมไม่นอนล่ะ เห็นน้ายุบอกไม่ค่อยสบาย”
อัปสรนั่งเหม่อไม่ตอบ ปลายอ้อเลยเดินเข้าไปใกล้ ถึงเห็นว่าอัปสรนั่งดูรูปเก่าๆ ของเผ่าพงศ์อยู่
“แม่คุยกับพ่ออ้ออยู่ เล่าให้เขาฟังว่าวันนี้อ้อไปทำอะไร”
ปลายอ้อหน้าเสีย ไม่รู้จะพูดยังไงดี น้ำตารื้นขึ้น เข้าไปกอดแม่
“แม่...อ้อขอโทษจ้ะ อ้อทำไม่สำเร็จ”
“แม่รู้แล้วล่ะ”
“แม่จะด่าว่าอ้อยังไงก็เอาเลยจ้ะ แต่อ้อยังไม่ยอมแพ้หรอก อ้อจะสู้ต่อ”
อัปสรหันมาหา
“แม่ไม่ด่าอ้อหรอก อีนังกรรมการคนนั้นมันแกล้งอ้อ เพราะมันเป็นคนของบูรพาซาวด์” พูดๆ อยู่ดวงตาอัปสรก็วาววับ “มันกลัวอ้อต่างหาก ถึงได้พยายามกีดกันไม่ให้อ้อได้เข้ารอบ”
“แต่เขาไม่รู้ว่าอ้อเป็นใครนี่นา”
“ไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่อ้อเป็นผู้หญิงไงล่ะ ไอ้บูรพามันบ้าผู้หญิง นังกรรมการคนนั้นก็คงเป็นเมียน้อยอีกคน มันถึงได้ไม่อยากรับอ้อเข้าไปในสังกัด”
ปลายอ้อคิดตาม เริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น ยิ้มออกมาได้
“งั้นอ้อจะหาทางเข้าถึงตัวนายบูรพาซะเลย อ้อจะทำให้เขาสนใจในตัวอ้อให้ได้ ดูซิว่ายัยนั่นจะว่ายังไง”
“ดีมากลูกแม่”
อัปสรลูบแก้มปลายอ้อ แล้วดึงมาจูบมาหอมอย่างพอใจ
คืนนั้นที่ออฟฟิศนิตยสารสตาร์เดลี่
ศุภกฤตนั่งหน้ายุ่งกำลังถอดเทปเขียนสกู๊ปข่าวอยู่ตรงมุมกองบอกอทีมข่าวบันเทิง จนเห็นชัยยศ เจ้านายของเขาเดินยิ้มออกมาจากห้องทำงานส่วนตัว
“ไงไอ้กฤต ได้ข่าวว่าปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อเลยเหรอวะ จากลูกสาวเสี่ยบูรพากลายเป็นเมียน้อยไปซะได้”
“ก็หัวหน้าไม่บอกผมนี่ ใครจะไปรู้เล่า”
“ฉันก็ไม่รู้ล่วงหน้านี่หว่าว่าลูกสาวเสี่ยแกจะกลับมาจากนอกแถมยังเตรียมเข้ามาบริหารค่ายแทนพ่ออีก แต่แกทำสกู๊ปเรื่องลูกสาวเขาต่อไปเลยก็ดีนะ ฉันอยากรู้ว่าบูรพาซาวด์จะเป็นไงต่อไป”
“อ้าว พี่ชัยยศ แล้วที่ผมตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับความตกต่ำของบูรพาซาวด์ ในยุคหลังๆ ที่เอาแต่โปรโมทศิลปินโป๊เปลือยอย่างเพียงฟ้า ลดาวัลย์ล่ะ”
“แกก็ทำไปได้ แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่าคือผู้บริหารสาวสวยไฟแรงดีกรีเมืองนอกอย่างคุณปอแก้วโว้ย แกไปหามา ถ้านัดสัมภาษณ์ยิ่งดี อ้อ ไหนๆ จะเขียนเรื่องค่ายนี้แล้ว ค้นไปถึงเรื่องตำนานสามเทพขนนกด้วยก็ดีนะ”
“สามเทพขนนก...ทำไมเหรอพี่”
“ลองไปกูเกิ้ลดู แล้วแกจะรู้ว่าทำไมเรื่องนี้น่าสนใจ”
ชัยยศพูดจบก็เดินผิวปากกลับเข้าห้องทำงานไป ทิ้งให้ศุภกฤตยิ่งสงสัย
แววเดือนกับเจนนี่นั่งกินผลไม้ ดูทีวีอยู่ในบ้าน เห็นเกวลีเดินหน้าเซียวๆ เข้ามา
“มาแล้วเหรอลี ไปออดิชั่นมาเป็นยังไงบ้าง”
“ได้หรือเปล่าวะ เออ แต่ทำไมฉันไม่เห็นแกได้ออกทีวีเลย”
“ฉันไม่ได้ไปออหรอกพี่”
สองสาวแปลกใจอุทานำร้อมกัน “อ้าว ทำไมวะ”
แววเดือนงง “ออกไปทั้งวัน นี่ไม่ได้ร้องซักแอะเลยเหรอ”
“อย่าบอกว่าไม่กล้าตามเคย โฮ้ย นังลีเอ๊ย ถ้าแกอยากเป็นนักร้องจริงๆ มางอมืองอตีนอยู่อย่างนี้แล้วชาติไหนจะได้เป็นวะ” เจนนี่ด่า
“ฉันไม่ได้ไม่กล้านะพี่ แต่ว่าวันนี้มีคนของบูรพาซาวด์ไปเป็นกรรมการด้วย ฉันกลัวว่าเสี่ยจะรู้”
“ใครวะ” แววเดือนเกาหัว “ไม่เห็นพวกฉันจะรู้เรื่องเลย”
“กรรมการผู้หญิงน่ะ เขาบอกว่าเป็นลูกสาวเสี่ย”
“ฮ้า ลูกสาวเสี่ย”
แววเดือน เจนนี่ อุทานลั่น สีหน้าตื่นตกใจพอกัน
ปอแก้วนั่งเล่นไอแพดอยู่ในห้องนอน เธอใส่หูฟังพร้อมร้องเพลงไปด้วย พบว่ามีสกิลในการร้องดีมาก
พรทิพย์เคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้าห้องมา ปอแก้วไม่ได้ยินเสียงเพราะมัวแต่ร้องเพลงเล่นอยู่ พรทิพย์ยิ้มๆเดินเข้ามาที่ใกล้แล้วเอาหูฟังออกจากปอแก้ว
“อุ่ย คุณแม่”
“มาร้องเพลงอะไร ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก”
“แก้วเจ็ทแลคน่ะค่ะ ผิดเวลาเลยนอนไม่หลับ ก็เลยนั่งเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“จะว่าไปก็ร้องเพราะอยู่น้า คอร์สร้องเพลงที่โน่นน่าจะสอนมาดี ต้องบอกคุณพ่อสักหน่อยแล้ว”
“อย่านะคะคุณแม่ ขืนคุณพ่อรู้ว่าแก้วว่าแอบเรียนร้องเพลงมาจากที่โน่นมีหวังคุณพ่อปรี๊ดแน่ค่ะ”
ปอแก้วกอดเอวอ้อนแม่ พรทิพย์ยิ้มขำๆ
“ถึงแม่ไม่บอกแต่เราเล่นร้องซะดังแบบนี้ พ่อเค้าก็ต้องสงสัยอยู่ดี อย่าลืมนะว่าพ่อเค้าหวังให้แก้วมาช่วยบริหารค่าย มาพลิกสถานการณ์ให้บูรพาซาวด์ ไม่ใช่ให้มาร้องเพลง”
“ใครจะไปรู้ล่ะคะคุณแม่ บางทีการร้องเพลงของแก้ว อาจจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างตามที่คุณพ่อต้องการก็ได้นะคะ”
“แม่รู้ว่าแก้วชอบร้องเพลง แต่แก้วก็ต้องรู้หน้าที่หลักของเรานะลูก แก้วต้องชุบชีวิตให้บูรพาซาวด์ ต้องทำให้ธุรกิจของเราไปรอดในสถานการณ์ยุคนี้นะลูก”
“ค่ะคุณแม่ แก้วจะไม่ทำให้คุณแม่ผิดหวังค่ะ แก้วจะกอบกู้บูรพาซาวด์ และชื่อเสียงคุณพ่อกลับคืนมาให้ได้”
ปอแก้วเอนตัวลงนอนหนุนตักพรทิพย์อ้อน
ศุภกฤตยังอยู่ที่ออฟฟิศ เชาเสิร์ชกูเกิ้ลหาข้อมูล สามเทพขนนก ไล่อ่านไปทีละหน้า
“สามเทพแห่งวงการวงขน ประกอบไปด้วย บูรพา เผ่าพงศ์ และมนต์รัช บทเพลงที่แต่งโดยมนต์รัชผสมเข้ากับเสียงร้องของเผ่าพงศ์ และเงินทุนของบูรพา เปลี่ยนประวัติศาสตร์เพลงลูกทุ่งไปเลยทีเดียว…”
ศุภกฤตเงยจากจอคอมพ์ ทวนชื่อสามเทพอย่างสนใจ
“เผ่าพงศ์ บูรพา มนต์รัช ผมจะเจาะเรื่องของคุณ ถ้ายิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้น พวกคุณต้องไม่ธรรมดาแน่”
ที่มาของสามเทพเริ่มขึ้นที่งานประกวดร้องเพลงในอดีต
เวลานั้น เผ่าพงศ์ร้องเพลงประกวดท่อนสุดท้ายจนจบเพลง มีมนต์รัชเชียร์เย้วๆ อยู่ข้างเวที ส่วนบูรพามองดูอย่างสนใจเอามากๆ
“และนี่คือบทเพลงส่งท้ายของเทพเสียงทองประจำปีนี้ครับ เผ่าพงศ์ จงขจร”
เสียงคนร้องเฮ เย้ ดังลั่น มนต์รัชดีใจมาก กระโดดๆ ตื่นเต้นๆ เผ่าพงศ์ลงเวทีมาสวมกอดมนต์รัช”
เหล่าแมวมองเข้าประชิดตัว ส่งเสียงอื้ออึง “คุณเผ่าครับ” / “คุณเผ่า” / “รับนามบัตรด้วยครับ” / “มีค่ายรึยังครับ”
บูรพาพุ่งเข้ามาถึงตัวเผ่า
“มีเรียบร้อยแล้วครับ”
แมวมองอื่นๆ อึ้ง อ้าว เอ๊ะ ยังไงกัน บูรพาพาเผ่าพงศ์ออกไปกระซิบบอกระหว่างเดินออกมาด้วยกัน
“อย่าไปทำเลย เก่งขนาดนี้จะไปเป็นลูกจ้างรับเงินเดือนหลักหมื่นหลักแสนทำไม สู้เรามาทำเองดีกว่า เปิดค่ายเอง ทำงานเอง ขายเอง รวยไม่รู้เรื่อง”
“แต่ว่าผมไม่มีเงินมาเปิดค่ายเพลงหรอกครับ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมดูแลได้ ผมจะเปิดตัวคุณในวันเปิดค่าย ผมทำให้คุณดังให้ชั่วข้ามคืน ถ้าคุณสู้ ผมจะสู้ทุกอย่างทุกปัญหา เพื่อให้คุณเป็นราชาขนนก รางวัลสูงสุดของวงการเพลงลูกทุ่ง ผมสัญญา”
มนต์รัชเดินมาด้วยกันสะกิดเผ่าพงศ์ “กูไม่เห็นด้วยว่ะ มันดูเจ้าเล่ห์ชอบกล”
“แต่กูชอบนะ กูเชื่อว่าเค้าทำได้จริง” เผ่าพงศ์หันไปบอกบูรพา “ตกลงครับ ผมจะทำงานกับคุณ แต่ต้องรวมมนต์รัชนักแต่งเพลงเพื่อนรักผมด้วย”
บูรพายิ้มร่า “มันต้องอย่างนี้สิ มีทั้งเสียง ทั้งเพลง ทั้งเงินทุน เราจะต้องดังแน่ ผมมั่นใจ”
อัปสร สาวสวยวิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมกับพวงมาลัยที่หามาเอง
“พี่เผ่า...ขอโทษจ้ะ ฉันรีบมาสุดชีวิตแล้ว มาไม่ทันจนได้”
“ไม่เป็นไรจ้ะ แค่เห็นหน้าสรพี่ก็ดีใจแล้ว”
เผ่าพงศ์ดึงตัวอัปสรมากอด หอมหน้าผากแรงๆ บูรพาชะงักมองหน้าอัปสรอย่างถูกใจ เผ่าพงศ์เห็นสายตาบูรพาเลยรีบแนะนำ
“เสี่ยครับ นี่อัปสร แฟนผม”
“อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
บูรพายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย ขณะที่อัปสรดูเกรงๆ ได้แต่ยืนยิ้มตอบ เผ่าพงศ์รีบบอก
“เสี่ยบูรพาแกจะทำค่ายเพลง เลยชวนพี่ไปเป็นศิลปินเบอร์แรก”
“จริงเหรอพี่” อัปสรหันไปหา ท่าทีบูรพาเกรงๆ “เสี่ยพูดจริงๆ เหรอคะ”
“สาบานว่าเรื่องจริงครับ”
“ดีใจจังเลย”
อัปสรกอดเผ่าพงศ์ บูรพาเห็นท่าทีของอัปสรกับเผ่าพงศ์ก็แอบอิจฉา
“ถ่ายรูปกันหน่อยดีกว่า มาๆ ถ่ายรูปเป็นหลักฐานว่าเราจะอยู่ด้วยกัน”
มนต์รัชถ่ายรูปเผ่าจับมือกับบูรพา เผ่าพงศ์ดึงอัปสรมาถ่ายด้วย
เลยกลายเป็นรูปลางร้าย “เราสองสามคน”
เสียงร้องเพลงของอัปสรดังแว่วมา
ปลายอ้อนอนหนุนตักอัปสรอยู่ในห้องที่บ้านยุพา อัปสรร้องเพลงที่ปลายอ้อร้องประกวดให้ลูกฟัง เสียงหวานเศร้าจนปลายอ้อฟังเพลิน
“เพราะมากจ้ะแม่ ถ้าอ้อร้องไห้ถึงครึ่งของแม่ก็คงไม่ตกรอบ”
“ไม่จริงหรอก แม่บอกแล้วว่ากรรมการมันหาเรื่องกีดกันอ้อ อย่าไปสนใจเลยลูก อ้อทำดีที่สุดแล้ว”
ปลายอ้อยิ้มสบายใจขึ้น แล้วนึกได้
“จริงสิ ตกลงเพลงนี้เป็นของใครกันจ๊ะ”
อัปสรนิ่งคิด น้ำตารื้นขึ้นมา เสียงเครือๆ
“มันเป็นเพลงของแม่ ที่พ่อกับเพื่อนของพ่อช่วยกันแต่งให้ แต่แม่ไม่มีโอกาสได้ร้อง”
อัปสรน้ำตาไหลนึกถึงอดีตขึ้นมา
วันนั้นเมื่อ 20 ปีก่อน อัปสรร้องเพลงของตัวเอง โดยมีวงดนตรีเล่นแบ็คอัพให้บูรพาฟัง มนต์รัชคอยคุมร้อง พอจบเพลงเผ่าพงศ์ก็รีบถาม
“เป็นไงบ้างเสี่ย เสียงแฟนผม”
บูรพามองอัปสรที่มีท่าทางประหม่าเอียงอาย แอบปิ๊งนิดๆ
“เสียงเพราะดีนะ แล้วเพลงนี่คุณเป็นคนแต่งเองเหรอเผ่า”
“ผมกับไอ้เผ่าช่วยๆ กันแต่งตั้งแต่สมัยอยู่บ้านนอก ผมว่าอัปสรร้องเพลงเพราะไม่แพ้ไอ้เผ่าหรอก ถ้าเสี่ยสนับสนุน”
“ดีนะ เป็นแฟนกันแถมยังเป็นนักร้องทั้งคู่ ลูกออกมาท่าทางจะร้องเพลงเก่ง แต่เข้าใจใช่ไหม ว่าถ้าเขาสู่วงการนี้จะเปิดตัวว่ารักกันง่ายๆ ไม่ได้หรอก เรตติ้งตกกันพอดี”
เผ่าพงศ์กับอัปสรหุบยิ้มทันที
“แล้วตอนนี้ค่ายเราเพิ่งก่อตั้ง ผมอยากโฟกัสที่เผ่าก่อน เพราะศิลปินหญิงตอนนี้มีคู่แข่งเยอะ เอาไว้ให้เผ่าอยู่ตัวเมื่อไร เราค่อยหาทางปั้นอัปสรอาจจะเริ่มจากร้องเพลงแก้กันก็ได้ ครูมนต์รัชลองไปคิดมา แต่เพลงนี้เก็บไว้ก่อน”
อัปสรมีสีหน้าผิดหวัง บูรพาลูบไหล่ปลอบเหมือนให้กำลังใจ
หลายวันต่อมา อัปสรนั่งเย็บเสื้อปักเลื่อมชุดของเผ่าพงศ์อยู่ในห้องแต่งตัว ฮัมเพลงของตัวเองไปด้วย โดยไม่รู้ว่ามีคนแอบมอง แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ตัดชุดให้เผ่าอีกแล้วเหรอ”
อัปสรสะดุ้ง หันมาเห็นก็ทำตัวลีบเล็ก
“ใช่ค่ะ”
บูรพาทำเป็นหยิบเสื้อขึ้นมาดู
“เธอนี่ฝีมือดีนะ นอกจากร้องเพลงเพราะ เย็บปักถักร้อยก็ทำได้ดี ท่าทางจะขยันไม่เบา”
“ก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆ แหละค่ะเสี่ย ฉันตามพี่เผ่ามาก็หวังว่าจะได้มีโอกาสร้องเพลง แต่ตอนนี้ในเมื่ออะไรๆ ยังไม่ลงตัว มีงานอะไรก็ทำไปก่อน”
อัปสรพูดพลางเย็บเสื้อต่อ บูรพามองอย่างถูกชะตา เริ่มเข้าใกล้มากขึ้น
“พูดซะฉันรู้สึกผิดเลย เอางี้ไหมอัปสร ถ้าเธออยากเป็นนักร้องจริง ฉันจะผลักดันให้ แต่ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
อัปสรพรายยิ้ม อย่างมีความหวัง “เสี่ยจะให้ฉันทำอะไรเหรอคะ”
บูรพามองอัปสรอย่างกรุ้มกริ่ม ค่อยๆ เลื้อยมือเข้ามาจับที่แขน อัปสรเริ่มเห็นท่าไม่ดี ถอยหนี
“เสี่ย...เสี่ยจะทำอะไร”
บูรพาเริ่มลวนลาม “เธอกับเผ่ารักกันเพราะผ่านความลำบากมาด้วยกัน แต่ฉันว่ามันก็คงส่งเธอได้แค่นี้แหละ ถ้าเธออยากไปต่อ ก็ควรจะพิจารณาว่าใครที่จะช่วยเธอได้”
“ไม่นะคะเสี่ย อย่าทำแบบนี้นะคะ”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากเป็นนักร้องแล้วเหรอ”
บูรพาทำเสียงหื่นกระหาย รวบตัวอัปสรไว้ แต่ยังไม่ทันกอดหอม เสียงแสงโสมก็ปรี๊ดขึ้นมา
“คุณพี่”
อัปสรกับบูรพาชะงักหันไปมอง เห็นแสงโสมยืนขึงตาจ้องอยู่ ก็หน้าซีดเผือด รีบผละจากอัปสร
“นึกแล้วเชียวว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ถึงได้กลับมาที่บริษัทมืดๆ ค่ำๆ แต่ก็คิดว่านังเด็กหางเครื่องคนไหนมันคงรออยู่ ไม่ยักรู้ว่าช่างตัดเสื้อคุณพี่ก็จะเอา กินไม่เลือกจริงๆ นะคะ”
บูรพาปราม “แสงโสม อย่ามาพูดจาสกปรกนะ”
แสงโสมสะบัดหน้า เดินไปหาอัปสร “แกมันก็หน้าด้าน เป็นเมียนายเผ่าพงศ์ไม่ใช่เหรอ แล้วมายุ่งอะไรกับผัวคนอื่น ขอทดสอบหน่อยเถอะว่าหนังหน้าทนเท่ากระเบื้องมุงหลังคาไหม”
แสงโสมจิกหัวจนอัปสรร้องโอ๊ย แล้วเงื้อมือจะตบ พรทิพย์ตามเข้ามา
“อย่านะแสงโสม หยุด ! อย่ามาทำร้ายตบตีกันในบริษัทของฉัน”
แสงโสมจำต้องปล่อยมือออกจากหัวอัปสร อัปสรถอยหนีร้องไห้
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ แต่เสี่ย...”
พรทิพย์สวนตัดบทออกไป “ฉันไม่เชี่อคำแก้ตัว ฉันเชื่อที่การกระทำ ถ้าเธอไม่ได้มีเจตนาสกปรกจริง ขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเห็นเธอกับสามีฉันอยู่ด้วยกัน ไปได้แล้ว”
อัปสรสะอื้นไห้ด้วยความอับอาย วิ่งร้องไห้ออกไป พรทิพย์มองตาม แล้วตวัดสายตามองบูรพาอย่างรู้ทัน บูรพาไม่กล้าสู้หน้า
ปลายอ้อนอนฟังเรื่องราวในอดีตของอัปสร แล้วร้องออกมาอย่างเจ็บแค้น
“เลวที่สุด ! ทำไมพ่อถึงเป็นเพื่อนกับคนชั่วๆ แบบนี้”
อัปสรซับน้ำตา ส่ายหน้าบอก “แม่เป็นคนขอให้พ่ออดทนเพื่อความฝันที่จะได้ทำเพเพลง ถ้าพ่อของอ้อมีปัญหากับเสี่ย ก็ต้องไปเริ่มต้นดิ้นรนกันใหม่ แต่ตอนนั้นพ่อของอ้อกำลังจะออกเทปชุดแรกแล้ว แม่ไม่อยากให้เรื่องแค่นี้ทำลายความฝันของพ่อ”
ปลายอ้อขัดใจ “มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะจ๊ะ”
“ใช่ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะมันเป็นต้นเหตุของเรื่องใหญ่ๆ อีกหลายอย่าง เพราะอย่างนี้ไงลูก แม่ถึงอยากให้อ้อไปทวงคืนสิ่งที่เราพ่อแม่ลูกสูญเสียไปจากไอ้บูรพา”
ปลายอ้อหน้าเครียด แต่แววตาแข็งกร้าวขึ้นมาทันควัน
เช้าวันใหม่ ปอแก้ว กับพรทิพย์ นั่งดื่มกาแฟ กินอาหารเช้ากันอยู่ จนแสงโสมเดินเข้ามาสมทบ
“มอร์นิ่งค่าคุณพี่พรทิพย์” แสงโสมยิ้มหวานทักปอแก้ว “หนูปอแก้ว วันนี้สวยอย่างกับดาราเลยนะคะ”
ปอแก้วยิ้มรับ แล้วกระซิบกับแม่
“ตกลงน้าโสมแกมีหน้าที่อะไรกันแน่คะคุณแม่”
พรทิพย์สะอึก “ก็เป็นเลขาคุณพ่อไงจ๊ะ”
“เป็นเลขาแต่ต้องเช้าถึงเย็นถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ”
พรทิพย์ยิ้มเจื่อนๆ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ปอแก้วเซ็ง เริ่มเก็ทว่าแสงโสมเป็นเมียน้อยอีกคน แสงโสมเดินมานั่งโต๊ะ ปอแก้วเลยไม่กล้าพูดอะไรอีก
“หนูปอแก้วพร้อมกับการทำงานหรือยังคะวันนี้”
“พร้อมมากค่ะ”
“วันนี้จะมีงานแถลงข่าวเปิดตัวหนูปอแก้ว คุณพี่จะไปด้วยไหมคะ”
“ไม่ดีกว่า พี่ฝากหลานด้วยนะ”
“ด้วยความเต็มใจค่ะ หนูปอแก้ววันนี้สวยแล้ว แต่น้าว่าน่าจะเพิ่มเครื่องประดับอีกซักนิดนึง จะได้ดูแพงสมกับเป็นผู้บริหารดีไหมคะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ แก้วไม่ชอบเป็นตู้เพชรเคลื่อนที่”
“วุ้ย ไม่ต้องถึงขนาดนั้นรอกค่ะ เอาแค่โชว์ว่าเรามีเงินซื้อเพชรพลอย นักข่าวจะไม่เม้าว่าเราไม่มีออร่าผู้บริหาร”
“อ่อร่าของแก้วอยู่ในนี้ค่ะน้าโสม”
ปอแก้วชี้หัวตัวเองอย่างมั่นใจ บูรพาเดินลงมาได้ยินพอดี หัวเราะชอบใจ
“ไอ้ลูกคนนี้มันใช้ได้ มั่นใจ แบบนี้สิ ถึงจะสมกับเป็นลูกพ่อ เลือดพ่อมันแรงนะเนี่ย”
บูรพาเข้ามาลูบหัวลูกสาวแล้วนั่งข้างๆ แสงโสมบ่นตามประสา
“แหมที่นี่มันเมืองไทยนะคะ เค้าตัดสินกันที่ภายนอกคุณพี่ก็รู้อยู่”
“แก้วจะเข้าไปในฐานะผู้บริหารสายเลือดเจ้าของบริษัท แค่เลือดก็แพงพอแล้ว ไม่ต้องห่อด้วยของแพงอีกหรอกจำไว้ อิ่มหรือยังลูก พร้อมแล้วจะได้ไป”
พรทิพย์ทักสามี “คุณไม่ทานข้าวซักหน่อยเหรอคะ”
“ไม่ล่ะ ผมตี่นเต้นแทนลูก”
บูรพาวางแก้วกาแฟแล้วลุกขึ้น ปอแก้วยกมือไหว้ลาแม่
“แก้วไปก่อนนะคะคุณแม่”
พรทิพย์ยิ้มให้ลูกสาว แสงโสมรีบลุกตามไป
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณพี่ โสมจะดูแลหนูแก้วเอง รับรองว่าเปิดตัววันแรกต้องปังไปทุกสื่อค่ะ”
แสงโสมออกไป พรทิพย์มองตามทุกคนออกไป จนแม่บ้านอัมพรเอ่ยทักขึ้น
“คุณแก้วยิ่งโตยิ่งสวยนะคะคุณผู้หญิง กลับมาคราวนี้ สวยกว่าทุกครั้งเลย”
ดารา สาวใช้ผสมโรงว่า “สวยเหมือนใครก็ไม่รู้ ดูไม่ออก”
พรทิพย์สะดุ้งวาบในใจ ก่อนจะหันมามองเด็กรับใช้ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“จะเหมือนใครไม่สำคัญ สำคัญอย่างเดียวตรงที่เค้าเป็นลูกของชั้น”
พรทิพย์พูดแล้วก็ลุกเดินออกไป แม่บ้านกับเด็กรับใช้เม้าท์มอยเบาๆ ตามหลังไป
“เหมือนจะโกรธนะ”
“นั่นสิ ทักเรื่องนี้ทีไร มีโกรธทุกที”
“แต่พอดีมีมารยาท เค้าเลยไม่ด่าเรา”
“เราควรหุบปาก”
“ถูก”
สองสาวช่วยกันเก็บโต๊ะไปคุยกันไป
วันเดียวกัน เพียงฟ้าซ้อมร้องเพลงสวยๆ หยิ่งๆ อยู่ในห้องซ้อมในบริษัท มีเจนนี่เป็นแดนเซอร์จัดท่าทางให้
“สาม สี่ เอ้ามา หนึ่ง สอง สาม ผิดๆ ต้องบิดแบบนี้”
เจนนี่ลองเต้นให้ดู
“นี่มันต้องคมแบบนี้ อย่ามาเต้นเบลอๆ ไม่เอา เต้นให้มันคม หันเป็นหัน สะบัดเป็นสะบัด หมุนเป็นหมุน เอาเริ่มใหม่”
เพียงฟ้าฉุน “แต่ฉันร้องเพลงช้านะ ต้องเต้นบ้าบอแบบนี้ด้วยเหรอ”
“โอ๊ย ต้องสิยะ จะช้าหรือเร็ว ก็ต้องมูฟ จะมายืนทื่อร้องเพลงปาวๆไม่เอานะ มันดูไม่มีชีวิต มันน่าเบื่อ”
“โอ๊ย รำคาญสอนวัวสอนควายน่าจะเข้าใจง่ายกว่านี้ปะ”
แววเดือนนั่งอยู่อีกมุม ช่วยคอสตูมปักเลื่อมที่ชุดแดนซ์เซอร์อยู่ เพียงฟ้ารู้ว่าแววเดือนแขวะตัวเองก็เดินเข้ามาประจัญหน้า แล้วแกล้งปัดกล่องเพชรวิบวับในกล่องล่วงกระจาย
“อุ๊ยตาย โทษทีหกหมดเลย”
แววเดือนลุกขึ้นด้วยความโกรธ
“เล่นแบบนี้ก็สวยสิวะ”
“ทำไม แกจะทำอะไรฉัน ขืนแกเตะต้องตัวฉันนิดเดียวเรื่องถึงหูเสี่ยแน่ อย่าลืมสิว่าฉันเป็นใคร ฉันน่ะ เพียงฟ้า ลดาวัลย์ ตัวทำเงินของบริษัทนะจำใส่กระโหลกไว้”
แววเดือนปรี๊ดดดแต่พยายามหักห้ามใจไม่ลงไม้ลงมือ
“ฉันจะจำไว้ว่าแกคือ...ตัวเงินตัวทองของบริษัทเรา”
เพียงฟ้ายิ้มเชิดๆอยู่หุบยิ้มทันทีที่เห็นว่าทุกคนหัวเราะเยาะ ตัวเงินตัวทอง ที่แววพูด
“นี่แกด่าฉันเหรออีแวว หน็อย...”
เพียงฟ้าจะปรี่เข้ามาตบแวว แต่แววแกล้งปัดเอากล่องใส่ลูกปัดหล่นเพียงฟ้าเข้ามาเหยียบพอดีลื่นหงายหลังตึง
“ว๊าย.....อีแวว แกแกล้งชั้นเหรอ คอยดูนะพวกแกไม่รอดแน่”
แววเดือนไม่สน “ใครแกล้งฉันไม่ได้เตะต้องหล่อนสักหน่อย หล่อนนั่นแหละที่จะมาตบฉันแล้วดันล้มไปเอง ใครๆก็เห็นกันทั้งนั้น”
“ฉันจะฟ้องเสี่ย คอยดูนะพวกแกไม่รอดแน่”
เพียงฟ้าสะบัดพรืดออกห้องไป แววเดือนกับเจนนี่สะใจ
ด้านบุญทิ้งเดินซื้อปาท่องโก๋มาตามทาง มือก็ไถเฟซบุ๊กในมือถือไป เห็นโพสต์จากเพจบูรพาซาวด์ประกาศจัดงานแถลงข่าว ‘เปิดตัวผู้บริหารเลือดใหม่แห่งบูรพาซาวด์’ พร้อมกับเห็นรูปปอแก้วก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าบ้าน
“ไอ้อ้อ ไอ้อ้อโว้ย”
บุญทิ้งวิ่งตึงๆ ขึ้นบันไดมา แหกปากเสียงดังลั่น ปลายอ้อเพิ่งเอายาให้แม่กินเสร็จหันมาด่า
“แหกปากอะไรแต่เช้าพี่ทิ้ง เบาๆ หน่อยนี่ไม่ใช่บ้านเรา”
“ช่างก่อนเหอะน่า มีเรื่องใหญ่โว้ย”
อัปสรแปลกใจ “เรื่องอะไร ใครเป็นอะไรไอ้ทิ้ง”
“ก็กรรมการเมื่อวานที่ด่าไอ้อ้อบนเวทีประกวดร้องเพลงไงน้าสร มันเป็นคนของบูรพาซาวด์”
แม่ลูกบอก “รู้แล้ว” พร้อมกัน
“วิ่งตึงๆ มา นึกว่าจะมีอะไรใหม่ โธ่เอ๊ย”
“เรื่องนี้ใหม่แน่ เขาไม่ใช่แค่พนักงานของค่ายนะโว้ย แต่เป็นลูกสาวเจ้าของค่าย ดูนี่สิ เดี๋ยววันนี้จะมีงานเปิดตัวยัยนี่”
บุญทิ้งเปิดรูปในเฟซบุ๊กให้ดู ปลายอ้อกับอัปสรอึ้งไป
“อ๋อ ไอ้เราก็นึกว่าเป็นกิ๊กเสี่ย ที่แท้เป็นลูกนี่เอง ถึงได้วางมาดนัก”
“ถ้าเป็นแบบนี้ แปลว่าอีกหน่อยเด็กคนนี้ก็จะเป็นใหญ่ ส่วนไอ้บูรพาก็คงวางมือไป”
อัปสรคิดหนัก พูดละล่ำละลัก
“อ้อช้าไม่ได้แล้วนะลูก ถ้าจะเข้าถึงตัวมัน อ้อก็ต้องรีบลงมือให้เร็วที่สุด รีบไปดักเจอตัวไอ้บูรพาวันนี้เลย ทำยังไงก็ได้ให้มันรู้จักหนู”
ที่ร้านส้มตำ วันเพ็ญกำลังตำส้มตำ แววเดือนมาช่วยสับมะละกออย่างเมามัน เพ็ญหันมามองส่ายหัว
“เห้ยๆ เบาๆนังแววมะกอข้าช้ำหมดแล้ว”
“ฮ่าๆๆ มันคงคิดว่ามันกำลังสับหน้านังเพียงฟ้าอยู่น่ะป้า”
“มิน่า....สับซะเละเลย”
“นี่ถ้าไม่ติดว่าวันนี้มีงานของเสี่ยนะ อีแววจะถลกหนังหน้ามันให้คามือเลย”
เพ็ญกับเจนนี่หัวเราะขำ
เกวลีเพิ่งมาถึง ท่าทางกังวลมากเรื่องการมาถึงของปอแก้วที่จะมาบริหารค่าย
“พี่ๆ เค้าแถลงข่าวกันหรือยังอ่ะ”
“ยังมั้ง”
“เออ เราไปดูกันเหอะว่ะ ฉันอยากเห็นคุณปอแก้วใกล้ๆ”
“ก็ดีเหมือนกัน ฝากไว้ก่อนนะป้า”
“แต่ฉันไม่ไปนะพี่ ฉันกลัว...”
“กลัวอะไรวะ” เจนนี่ถาม
“ฉันไม่กล้าสู้หน้า เผื่อเมื่อวานคุณปอแก้วเห็นหน้าฉันแล้วจำได้ จะเข้าใจว่าฉันคิดทรยศค่าย”
แววเดือนรำคาญ “โอ๊ย คิดมากไปกันใหญ่”
“ฉันไม่อยากมีปัญหากับใครนี่พี่แวว ขนาดอยู่เงียบๆ เสี่ยยังไม่เมตตาออกเพลงให้ฉันเลย จนสัญญาจะหมดอยู่แล้ว”
“เสี่ยเค้าไม่เมตตาแกเพราะนังเพียงฟ้ามันคอยใส่ความน่ะสิ มันกลัวแกจะมาแย่งความสนใจ”
“ใช่ มันอยากให้เสี่ยสนใจมันคนเดียว มันถึงมีเพลงออกเรื่อยๆ อยู่คนเดียวนี่ไง”
เสียงเพียงฟ้าแหวเข้ามา “แกพูดถึงใคร”
สามสาวสะดุ้ง เห็นเพียงฟ้าเดินเข้ามาสีหน้าเอาเรื่อง ไม่มีใครตอบ เพ็ญเลยตอบแทนหน้านิ่งๆ
“ที่ฟังๆอยู่ ก็น่าจะเป็นแกแหละ”
สามสาวหันขวับไปที่เพ็ญเซ็งๆ “อ้าว”
“เป็นเพราะปากต่ำแบบนี้สิ มันถึงต้องมาสุมหัวอยู่ร้านส้มตำต่ำๆ แบบนี้ น้ำหน้าอย่างพวกแกไม่มีทางได้ดีไปกว่านี้หรอก อยู่กับครกกับสากกับปลาร้าเหม็นๆ ของแกไปจนตายเถอะ”
“เอ๊ะอีนี่ ปากหมานี่ ปากอย่างนี้มันต้องโดนสากตำปากซะหน่อยแล้ว”
เพ็ญคว้าสากแล้วโผเข้าใส่เพียงฟ้า
แววเดือนร้องลั่น “ป้าเพ็ญอย่าป้า อย่า”
“อย่ามาห้ามกู”
“ไม่ได้ห้าม จะบอกว่าอย่าช้า ลุยป้า”
เพ็ญกับแววตะลุมบอนรุมตบเพียงฟ้า
“ปากอย่างนี้มันต้องโดน นังแววหลบ”
แววเดือนหลบ เพ็ญสาดปลาร้าใส่เพียงฟ้าเละไปทั้งหน้าทั้งหัว เพียงฟ้ากรี๊ดดดด เพ็ญกับแววหัวเราะสะใจดังลั่น
เกวลีตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“แก...แก...แก”
เพียงฟ้าไล่ชี้ไปทีละคน
“ชั้นจะให้เสี่ยไล่แกออก!”
แววเดือนไม่ยอม “ชั้นก็จะบอกคุณปอแก้วว่าแกแย่งผัวแม่เค้า! เอามั้ยล่ะ แลกกันไปเลย แกฟ้อง ชั้นฟ้อง เอามั้ย”
เจนนี่ผสมโรง “เออ จะได้รู้ไปเลยว่าใครกันแน่จะโดนฉีกสัญญา”
เพียงฟ้าเถียงไม่ออกได้แต่ชี้หน้าขู่ แล้วสะบัดหน้าออกไป
“พวกแกเจอดีแน่”
“แย่แล้ว พวกเราตายแน่เลย” เกวลีร้อนใจ
“จากถือไมค์ต้องมาถือสาก มันก็ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้วล่ะเว้ย” เพ็ญบ่นบ้า
เกวลีหน้าเครียดกังวลหนัก
ฝ่ายบูรพายังคงคุยงานอยู่กับปอแก้วที่ออฟฟิศ
“สมัยนี้คำว่าค่ายเพลงมันหมดยุคไปแล้ว บูรพาซาวด์ตอนนี้ไม่ใช่ค่ายเพลงอีกต่อไป แต่เป็นบริษัทที่ทำงานร่วมกับศิลปิน บริหารงานให้กับศิลปิน ทั้งการโชวตัว งานคอนเสิร์ต งานอีเว้นต์ เราดูแลบริหารจัดการให้ศิลปินมีงานทำ ส่วนตัวศิลปินก็มีหน้าที่ทำผลงานตัวเองให้ดัง ดังในโลกโซเชียล ดังในทุกช่องทางออนไลน์”
“ไม่หวังพึ่งยอดดาวน์โหลดกันแล้วสินะคะ”
“หมดยุคหวังผลจากยอดดาวน์โหลดไปแล้ว สมัยนี้ว่ากันที่ยอดวิวปล่อยผลงานในยูทูบ สร้างยอดวิวให้ได้เป็นล้านๆ วิว เพราะยอดวิวนั่นแหละที่จะพาไปสู่งานโชวตัว ถ้าคนไหนยอดวิวต่ำ ก็งานน้อย คนไหนได้ล้านวิวขึ้นไป คนนั้นก็รอด”
“ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้วจริงๆ”
“พ่อแก่เกินจะรับมือกับเรื่องแบบนี้แล้ว หวังก็แต่ให้คนรุ่นใหม่อย่างลูกมารับมือแทน ไหวมั้ย”
“ไหวแน่นอนค่ะ คุณพ่อไม่ต้องห่วง แก้วพร้อมแล้วค่ะ”
สีหน้าแก้วมั่นอกมั่นใจมาก
บ่ายวันนี้ บริเวณหน้าตึกบูรพาซาวด์เห็นนักข่าวคึกคักเตรียมมารอฟังข่าว ทีมงานพีอาร์ค่ายกำลังทยอยพาคนเข้าไป ปลายอ้อกับบุญทิ้งก็มาถึงหน้าห้องแถลงข่าว
“มาติดต่อเรื่องอะไรครับ”
ปลายอ้อกับบุญทิ้งมองหน้ากัน อึกอัก
“เรา...เราจะมาพบเสี่ยบูรพา”
ทีมงานงงๆ ย้อนถามว่า “มาเรื่องแถลงข่าวหรือเปล่า”
ปลายอ้อคิดปราด รีบตอบ “ใช่ค่ะ”
“จากสื่อไหนครับ เดี๋ยวเชิญลงทะเบียนได้เลย”
ปลายอ้อกับบุญทิ้งอึกอักอีก
“เอ้อ คือเรา...”
ทีมงานจ้องจับผิด “ว่าไงครับ มาจากเล่มไหนเนี่ย ถ้าไม่มีชื่อก็เข้าไม่ได้นะ”
ปลายอ้อเลิ่กลั่กเอาไงดี ศุภกฤตโผล่เข้ามาด้านหลัง รีบสวมกอดปลายอ้อกับบุญทิ้งหมับ ทำเหมือนซี้กัน
“มากับผมครับ จากสตาร์เดลี่”
ปลายอ้อสะดุ้ง หันไปมองศุภกฤตอึ้งๆ ศุภกฤตส่งซิกให้เล่นละครตามน้ำ ทำเสียงดุใส่
“บอกแล้วอย่าเพิ่งรีบขึ้นมาไม่เชื่อ น้องที่ฝึกงานน่ะครับ”
บุญทิ้งเอ๋อไปแป๊บ แล้วรีบรับช่วงต่อ “ใช่ครับใช่”
สองคนฉีกยิ้มกลบเกลื่อน ทีมงานพยักหน้าหงึกหงัก ส่งแท็กให้ติดเสื้อ
“ลงชื่อตรงนี้แล้วเชิญเข้าไปได้เลยครับ”
บุญทิ้งกับปลายอ้อรีบเซ็นชื่อมั่วๆ แล้วเดินลิ่วเข้าห้องแถลงข่าวทันที
พอหลุดเข้ามาในงานได้ ศุภกฤตก็กระซิบกระซาบถามสองคนอย่างร้อนใจ
“พวกคุณมาทำอะไรกันเนี่ย”
“ก็มาดูแถลงข่าวน่ะสิ” บุญทิ้งบอก
“ดูทำไม”
“ก็...มาหาลู่ทางเป็นนักร้องไง ไหนๆ เมื่อวานก็ตกรอบออดิชั่นไปแล้ว เผื่อที่นี่เขาเปิดรับนักร้องใหม่โดยตรง จะได้สมัครเลย”
“ใช่ๆ เข้าค่ายเลยง่ายกว่าเยอะ” บุญทิ้งพยักพเยิด
“แต่วันนี้เขาจะเปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ที่เพิ่งจะกากบาทให้คุณตกรอบรายการเมื่อวานนะ”
“ฉันรู้น่า แต่ฉันก็อยากมาฟังไงว่าแนวทางของค่ายเขาเป็นยังไง ฉันต้องปรับตรงไหนบ้าง”
ศุภกฤตมองปลายอ้ออย่างไม่ค่อยเชื่อนัก
“แน่ใจนะว่าแค่นั้น ไม่ใช่เตรียมมาลุย”
“โอ๊ยคุณ น้องผมมันเป็นอยากนักร้องครับ ไม่ใช่นักเลง รับรองได้ว่าเรามาดี จะดูเงียบแบบกริ๊บ ไม่สร้างปัญหาให้คุณแน่นอน”
ศุภกฤตสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่เสียงปรบมือเรียกความสนใจไปที่เวทีเสียก่อน เห็นทีมงานทยอยกันขึ้นมาพร้อมกับพิธีกร
“ขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านมากนะคะที่ให้ความสนใจกับงานแถลงข่าวในวันนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเรียนเชิญ คุณบูรพา ศิริโชคสมบูรณ์ ประธานกรรมการ บริษัทบูรพาซาวด์ จำกัดค่ะ”
เสียงปรบมือในห้องดังขึ้นอีก ปลายอ้อจ้องเขม็งไปที่เวที เห็นบูรพาค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมา ภาพด้านหลังเผยให้เห็นผลงานคอนเสิร์ต มิวสิควิดีโอของนักร้องหลายคน แต่ภาพส่วนใหญ่เป็นภาพของเผ่าพงศ์
“บูรพาซาวด์เริ่มต้นขึ้นจากบริษัทเล็กๆ กับผู้ร่วมก่อตั้งอีกสองคนในนามสามเทพบุตรขนนก คือผม เผ่าพงศ์ และคุณมนต์รัช ย้อนกลับไปถึงตอนนั้นผมไม่คิดเลยว่าวันนึงค่ายของเรา จะกลายเป็นค่ายที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาถึงตอนนี้ ต้องขอบคุณแรงกายและแรงใจของเพื่อนผมอีกสองคนที่ช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนทำให้ค่ายของเรามั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้”
ปลายอ้อคุมแค้น รำพึงออกมาเบาๆ “ไอ้จอมสร้างภาพ”
ศุภกฤตได้ยินปลายอ้อพูดบางอย่างเลยหันมามองแต่ไม่ได้ยิน เพราะเสียงปรบมือดังขึ้นพอดี
“แต่ก็นั่นแหละครับ เมื่อเวลาผ่านไป วงการเพลงก็เริ่มเปลี่ยนตาม จนผมรู้สึกว่าตัวเองอาจจะเดินช้าเกินไปจนไม่ทันโลกดนตรีที่มันหมุนเร็วมาก ก็เลยตัดสินใจว่ามันถึงเวลาแล้วที่บูรพาซาวด์จะต้องเปลี่ยนหัวหอก เพื่อพลิกสถานการณ์ของค่ายให้กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง และคนที่ผมไว้ใจที่สุดก็คือลูกสาวของผม บูรพาซาวด์จะสตาร์ตเครื่องใหม่ เพื่อให้พร้อมออกเดินทางอีกครั้งในรูปแบบใหม่ กับผู้บริหารคนใหม่ ปอแก้ว ศิริโชคสมบูรณ์ ลูกสาวผมเองครับ
บูรพาผายมือไปด้านข้างด้วยความภูมิใจ เพื่อให้ปอแก้วเดินขึ้นมา
ปอแก้วกวาดสายตามองไปด้านรอบๆ พร้อมกับรอยยิ้ม แต่ยังไม่ได้สังเกตเห็นปลายอ้อ และศุภกฤต แต่ปลายอ้อกลับมองภาพสองพ่อลูกกำลังยืนโอบกอดกันด้วยแววตาชิงชัง
ศุภกฤตกำลังปรบมือตามน้ำ เผลอเหลือบไปมองปลายอ้อ เห็นสายตานั้นพอดี ได้แต่แปลกใจ แต่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
อ่านต่อตอนที่ 3