เทพธิดาขนนก ตอนที่1 | แรกเจอก็ไม่ถูกชะตา
บทประพันธ์ : เพ็ญสิริ | บทโทรทัศน์ : วาทินีย์ และ ปริศนา
ค่ำวันนั้น ภายในโถงบ้านไม้เก่าๆ สภาพเหมือนบ้านตามต่างจังหวัดทั่วไป จอทีวีในห้องเปิดดูรายการเพลงลูกทุ่ง เสียงจากทีวีดังเจื้อยแจ้ว
สภาพภายในบ้านทั้งเก่าและทรุดโทรม ตรงมุมห้องในมีเสื้อผ้าชุดขนนกประดับเพชรแวววาวแขวนไว้เรียงราย พร้อมกับเศษผ้าและอุปกรณ์ตกแต่งมากมาย ทุกอย่างวางระเกะระกะไร้ระเบียบ
ที่ตู้โชว์ติดผนัง มีถ้วยรางวัลน้อยใหญ่วางเรียงอยู่ในตู้ แซมด้วยกรอบภาพถ่ายเด็กผู้หญิง สวมพวงมาลัยเต็มคอ ถือไมค์ร้องเพลงในชุดขนนกแวววาว
เสียงเพลงในทีวียังคงดังต่อเนื่อง มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งถีบจักรอยู่หน้าทีวี สายตาหยุดนิ่งมองนักร้องลูกทุ่งชายกำลังร้องเพลงหวานซึ้งในจอ
เธอคือ อัปสร สาววัยกลางคนที่ยังมีเค้าความสวยให้เห็น เวลานี้กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่แต่จดสายตามองทีวีไม่วางตา พร้อมๆ กับน้ำตาที่คลอขึ้นมา ขณะฟังเพลงที่จำได้แม่นยำว่าเป็นเพลงของสามี นักร้องลูกทุ่งผู้ล่วงลับขับร้องเอาไว้
“และนี่ก็คือหนึ่งในบทเพลงอมตะที่ถูกขับขานโดยนักร้องสายเลือดใหม่แห่งวงการลูกทุ่ง เพื่อเป็นการแสดงความคารวะต่อเทพบุตรขนนกผู้ล่วงลับ...เผ่าพงศ์ จงขจร”
ภาพด้านหลังนักร้องฉายภาพของเผ่าพงศ์ตอนร้องเพลงนี้ แต่งชุดสวยงาม ดูยิ่งใหญ่อลังการ อัปสรมองดูภาพในทีวี น้ำตาคลอตลอดเวลา
“ท่านผู้ชมจะได้รับฟังผลงานเพลงดังๆ อีกมากมายของท่านผ่านน้ำเสียงของศิลปิน มากหน้าหลายตาตลอดสองชั่วโมงในงานมองรางวัลเกียรติยศ เพื่อรำลึกถึงคุณเผ่าพงศ์ จงขจรผู้ล่วงลับในคืนนี้ค่ะ”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวมาจากทีวี พร้อมกับเพลงฮิตของเผ่าพงศ์ถูกขับขานดังขึ้นอีก อัปสรใจลอยมองภาพนั้น น้ำตายังคงกลบตา
อีกฟากหนึ่ง บรรยากาศงานวัดเล็กๆ ตามต่างจังหวัดคึกคัก มีประดับไฟราววูบวาบชวนตื่นตา ชาวบ้านเดินกันขวักไขว่ ซื้อข้าวของในงาน
ชาวบ้านบางกลุ่มจูงมือกันวิ่งเฮละโลไปที่ลานด้านหลังวัด ซึ่งมีการตั้งเวทีเล็กๆ สำหรับประกวดร้องเพลง
บนเวทีเห็นนักร้องสาววัยรุ่นแต่งตัวสวยงาม กำลังยืนร้องเพลงจังหวะสนุกสนาน กลุ่มคนดูโยกย้าย เต้นตาม บางคนเข้ามาคล้องพวงมาลัยให้เป็นรางวัล มีบุญทิ้งยืนแอบอยู่ข้างเวที พยายามใช้สายตานับพวงมาลัย แล้วผลุบเข้ามาที่ด้านหลังเวที พวกนักร้องชายหญิงนั่งแต่งตัว ซ้อมเพลงกันอยู่
“สามแปด” บุญทิ้งตะโกนขึ้น
นักร้อง1งง “อะไรวะบุญทิ้ง เลขเด็ดจากเจ้าแม่ไทรทองต้นไหน”
“ไม่ใช่โว้ย แต่เป็นพวงมาลัยที่คอนักร้องเบอร์ 5 ถ้าพวกเอ็งได้น้อยกว่านั้น รับรองหมดสิทธิ์”
นักร้อง2 ลุกขึ้น พูดอย่างมั่นหน้ามั่นใจ “จะไปยากอะไร ชั้นเกณฑ์ญาติพี่น้องมาตั้งคันรถนึง ถ้าได้ไม่ถึงห้าสิบก็ให้มันรู้ไปสิ”
บุญทิ้งมองไม่สบายใจ แล้วเดินหลบๆ ไปมุมหนึ่ง เห็นมีนักร้องอีกคนนั่งหันหลังแต่งหน้าอยู่
“เอาไงดีวะไอ้อ้อ หรือว่าเราต้องลงทุนซื้อเสียงพวงมาลัย” เขาควักเงินในกระเป๋ามาดู “แต่ฉันมีแค่สองร้อย แกมีเท่าไร”
ปลายอ้อนั่นเองนั่งหันหลังอยู่ แต่งหน้าแต่งตาเสร็จแล้ว หันกลับมามองบุญทิ้งไม่พอใจ
“ทำไมต้องซื้อ ถ้าชนะด้วยความสามารถตัวเองไม่ได้ ฉันยอมแพ้ดีกว่า”
ปลายอ้อเดินหนีออกมาด้านนอกอย่างฉุนเฉียว บุญทิ้งรีบตาม
“เฮ่อ อีกแล้ว ทำเป็นมีสปิริต สมัยนี้คนฉลาดเท่านั้นนะโว้ยที่ต้องอยู่รอด แกไม่คิดเหรอว่าไอ้พวกนี้มันจะไปจ้างญาติโกโหติกามันมารอคล้องพวงมาลัยอยู่หน้าเวทีพวกเรามีกันสองคนนะโว้ย”
“รางวัลจากพวงมาลัยคนดูมันก็แค่รางวัลยอดนิยม แต่ฉันบอกพี่บุญทิ้งแล้วไง ว่าฉันจะเอารางวัลยอดเยี่ยมจากกรรมการไปให้แม่”
“เออ ฉันลืมไปว่าน้าสรอยากเห็นแกเป็นที่หนึ่ง”
ปลายอ้อนึกถึงแม่ สีหน้าฮึกเหิมขึ้นมา บุญทิ้งตบไหล่
“งั้นก็สู้ตายโว้ย ของมีเท่าไร เอาออกมาให้หมด”
เจ้าหน้าที่จัดงานเดินออกมาหลังเวที มองหา
“หมายเลข 8 นางสาวปลายอ้อ ปลื้มบุญ อยู่ไหน”
ปลายอ้อตกใจ รีบเดินเข้าไปหลังเวที รีบยกมือ
“อยู่นี่จ้ะ”
“มาสแตนด์บายได้แล้ว”
ปลายอ้อสูดลมหายใจเรียกสติ แล้วหันไปมองบุญทิ้งที่ยกนิ้วให้ แล้วรีบเข้าไปสแตนด์บาย
บุญทิ้งวิ่งออกไปด้านหน้าเวที รอดูปลายอ้ออย่างลุ้นๆ พิธีกรกำลังประกาศ
“ต่อไป พบกับผู้เข้าประกวดหมายเลข8 ได้แล้วครับ นางสาวปลายอ้อ ปลื้มบุญ”
เสียงดนตรีดังกระหึ่มขึ้นด้วยทำนองเพลงลูกทุ่งหวานซึ้ง
ปลายอ้อก้าวออกมายืนหน้าเวทีด้วยความมั่นใจ สายตามาดหมายเป็นประกายไม่กลัวใคร แล้วเริ่มร้องเพลงด้วยเสียงสะกดคนดู โดยมีบุญทิ้งลุ้นเชียร์ด้วยความภูมิใจ
จอทีวีในบ้านอัปสรยังคงถ่ายทอดสดงานรำลึกถึงเผ่าพงศ์ พิธีกรประกาศบนเวที
“และวันนี้เราได้รับเกียรติจากตัวแทนของครูเพลง เผ่าพงศ์ วงขจร ขึ้นมารับมอบรางวัลเกียรติยศศิลปินในดวงใจ ขอเรียนเชิญคุณบูรพา ศิริโชคสมบูรณ์ ผู้บริหารค่ายเพลงบูรพาซาวด์ค่ะ”
เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับการเปิดตัวบูรพาบนเวที ต่อหน้าต่อตาของอัปสรที่กำลังซาบซึ้งกับงานอยู่
การปรากฎตัวของบูรพา พาให้สีหน้าอัปสรเปลี่ยนเป็นนิ่งขึง และพาเธอหวนย้อนกลับไปในอดีตเมื่อ 23 ปี ก่อน
“กระสุนปลิดชีพเทพบุตรขนนก ผจก.เผยถูกยิงเพราะปมชู้สาว”
พาดหัวข่าวการตายของเผ่าพงศ์ในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ในมืออัปสร เธออ่านมันซ้ำๆ ด้วยแววตาบอบช้ำเสียใจสุดจะประมาณ
เสียงคนเอะอะดังมาจากหน้าตึกค่ายเพลงบูรพาซาวด์ เรียกให้อัปสรหันไปมอง เธอเห็นบูรพาเดินออกมาจากด้านในตึก มีนักข่าวกรูกันเข้าไปขอสัมภาษณ์
“อย่างที่ผมให้ข้อมูลกับตำรวจไปนั่นแหละครับ ก่อนจะเสีย เผ่าพงศ์มีเรื่องชู้สาวกับแฟนเพลงท่านนึงที่มีครอบครัวอยู่แล้ว ผมสงสัยว่ามือปืนจะเป็นสามีของผู้หญิงคนนั้น”
อัปสรยืนมองดูอยู่ไม่ไกล ได้ยินบูรพาพูดทั้งหมด แต่บูรพายังไม่สังเกตเห็น
ในจอทีวี บูรพาเดินขึ้นไปยังโพเดียม พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ค่ายบูรพาซาวด์เริ่มก่อตั้งขึ้นมาได้ก็เพราะเผ่าพงศ์ ถ้าวันนั้นไม่มีเขา ก็คงไม่มีผมในวันนี้ เรียกได้ว่าผมเป็นหนี้บุญคุณเพื่อนรักคนนี้มากเหลือเกิน และการที่ได้มาเห็นแฟนๆ และเพื่อนพ้องในวงการลูกทุ่งรวมตัวกันจัดงานรำลึกเขาในครั้งนี้ ก็ทำให้ผมซาบซึ้งแทนเพื่อน ผมเชื่อว่าถ้าเผ่าพงศ์ ยังเฝ้ามองพวกเราอยู่บนสวรรค์ ก็คงจะดีใจเช่นกันที่ทุกท่านยังไม่ลืมเขา...ในฐานะตัวแทนของเผ่าพงศ์ วงขจร เทพบุตรขนนกในดวงใจของทุกคน ผมขอขอบพระคุณอีกครั้งครับ”
บูรพาพูดจบก็ยกรางวัลชูขึ้น พร้อมกับเสียงปรบมือเกรียวกราวจากคนดู
อัปสรมองจ้องสีหน้าปลาบปลื้มภูมิใจของบูรพาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด คั่งแค้น มือเผลอกำผ้าบนจักรจิกแน่น
อัปสรนึกถึงวันนั้น เธอยืนซุ่มอยู่ตรงมุมลับตาข้างตึกบูรพาซาวด์ ก่อนจะเดินเข้าไปดักหน้าบูรพา
“อัปสร”
“เสี่ยให้ร้ายพี่เผ่า ฉันไม่เชื่อว่าพี่เผ่าจะไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน เขาไม่ใช่คนแบบนั้น” อัปสรร้องไห้โฮออกมา
บูรพาโต้ว่า “เธอจะไปรู้อะไร ตั้งแต่เธอทิ้งมันไป ไอ้เผ่ามันก็มั่วผู้หญิงนับไม่ถ้วนจนไปเจอก่อนตายมันก็มาขอถอนหุ้นจากบูรพาซาวด์ บอกว่าจะเอาไปลงทุนเปิดค่ายใหม่กับแม่ยกคนนี้ ผัวเขาถึงได้มาดักยิงมัน”
อัปสรขึ้นเสียง “ไม่จริง”
“เธอเห็นภาพเทพบุตรจอมปลอมของมัน มันไม่ใช่คนดีอย่างที่เธอคิดหรอก”
พูดจบบูรพาก็เดินจากไป ทิ้งให้อัปสรยืนร้องไห้อยู่ลำพัง
บูรพาในจอทีวี กำลังเดินลงจากเวที อัปสรมองด้วยความเจ็บแค้น ลุกขึ้นขว้างอะไรใส่ทีวีที่กำลังฉายภาพบูรพาจนจอดับไป แล้วหันไปกวาดราวเสื้อผ้าที่แขวนเรียงรายล้มคว่ำ
อีกเหตุการณ์ที่อัปสรไม่เคยลืม เมื่อ 23 ปีก่อน อัปสรเปิดจดหมายออกอ่าน เห็นชื่อมนต์รัชบนหัวจดหมาย
“พี่มนต์รัช”
“พี่ส่งธนาณัติเงินก้อนสุดท้ายของไอ้เผ่ามาให้ มันฝากพี่รับเงินค่าตัวงานสุดท้ายก่อนตาย สรเก็บไว้ใช้นะ”
อัปสรเปิดซองจดหมายดู เห็นใบธนาณัติอยู่ในนั้นถึงกับน้ำตาคลอ อ่านจดหมายต่อ
“แล้วจงอย่าเชื่อข่าวลือ ไอ้เผ่ามันรักมั่นคงกับสรคนเดียว คนที่ฆ่ามันก็คือคนที่เสวยสุขจากการตายของมันนั่นแหละ พี่พูดได้เท่านี้ รักและเป็นห่วง...มนต์รัช”
อัปสรมือสั่นเทา น้ำตาร่วงเป็นสาย หยิบจดหมายมาแนบอกร้องไห้สะอึกสะอื้น
อัปสรกรีดร้อง ตีอกชกตัว อย่างคุ้มคลั่งเมื่อนึกถึงคำพูดมนต์รัช ไม่ได้ยินเสียงลูกค้าเดินเข้ามาที่หน้าบ้านตะโกนเรียก
“แม่อัปสร ฉันมาเอาเสื้อจ่ะ”
ลูกค้าโผล่เข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เมื่อเห็นบ้านกระจุยกระจาย อัปสรทิ้งตัวร้องไห้อยู่ที่พื้น
“ตายแล้วแม่อัปสร เป็นอะไรไปเนี่ย”
ลูกค้าเข้าไปประคองอัปสร เห็นอัปสรร้องไห้คุ้มคลั่ง แล้วมีอาการเกร็งชัก ยิ่งตกใจ ลูกค้าเริ่มวี๊ดว้าย
ค่ำวันเดียวกัน ปลายอ้อนั่งรออยู่หลังเวที ใจจดใจจ่อ บุญทิ้งรีบวิ่งแจ้นเข้ามาบอกข่าวดี
“แกทำได้ดีมากอ้อ ฉันแอบไปดูข้างหลังกรรมการมา แกชนะแน่ เผลอๆ ได้ทั้งสองรางวัลเลยเว้ย”
“เห็นไหมพี่บุญทิ้ง มีความสามารถอยู่กับตัวซะอย่าง ไม่ต้องโกงก็ชนะอยู่ดี”
“เออ เก่งโว้ยเก่ง ไปหน้าเวทีได้แล้ว เดี๋ยวเขาจะประกาศผลแล้ว”
ปลายอ้อรีบลุกออกไปหน้าเวที บุญทิ้งจะตามออกไป แต่ชาวบ้านวิ่งเข้ามา
“ไอ้ทิ้ง”
“อ้าว น้าอินทร์ โหยมาทำไมเอาป่านนี้ เขาประกวดกันจะเสร็จหมดแล้ว”
“กูไม่ได้มาดูประกวดร้องเพลง กูจะมาส่งข่าวเรื่องนังอัปสร”
บุญทิ้งอึ้ง ตกใจ แต่ไม่ทันไรเสียงปลายอ้อก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ทำไม แม่ฉันเป็นอะไร”
“แม่เอ็งมันเป็นโรคคลุ้มคลั่งอีกแล้วน่ะสิ ลูกค้าเย็บเสื้อไปเจอเข้าก็เลยรีบพาส่งโรงพยาบาลแล้ว”
“แม่”
ปลายอ้อใจเสีย รีบถอดตุ้มหูเครื่องประดับอื่นๆ ทันที บุญทิ้งรีบห้าม
“เฮ้ย ไอ้อ้อ จะทำอะไร”
“ฉันจะไปหาแม่”
“เอ็งยังต้องขึ้นเวทีอีกนะโว้ย ยังไม่ได้ประกาศผลเลย ไม่เอาแล้วเหรอรางวัลอะ”
“ฉันไม่สน รางวัลอะไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตแม่ฉัน”
ปลายอ้อปลดเครื่องแต่งตัวทั้งหมด คว้าเสื้อผ้าลำลองที่ใส่มา วิ่งเข้าไปหลังห้องแต่งตัว บุญทิ้งยืนเกาหัวแกรกๆ เสียดายแทน
อีกฟากหนึ่ง บูรพานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน มองรูปถ่ายสามคนของ บูรพา เผ่าพงศ์ มนต์รัช สลับกับมองรางวัลใหญ่ในมือ สีหน้าเคร่งขรึม
“แกคือความสำเร็จของชั้น…คือถ้วยรางวัลของชั้น…เผ่าพงศ์”
บูรพานึกถึงเหตุการณ์ เมื่อ23 ปีก่อน เวลานั้นบูรพาเงยหน้าจากโต๊ะขึ้นมองเผ่าพงศ์ที่ยืนค้ำหัวอยู่
“หมายความว่าไงที่ว่าแกต้องการเงินส่วนแบ่งทั้งหมดของบริษัท”
“ก็ฉันบอกแกแล้วไงว่าฉันจะประกาศแขวนไมค์ อำลาอาชีพการเป็นนักร้องไปสร้างครอบครัวกับผู้หญิงที่ฉันรัก”
สองคนเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างมีอารมณ์
“ฮึ ครอบครัว แกจะไปสร้างครอบครัวกับใคร เมียแกก็หายสาบสูญไปตั้งหลายเดือนแล้ว”
“นั่นก็เพราะว่าแกพูดให้อัปสรหนีไปจากฉัน”
“ฉันทำทุกอย่างก็หวังดีนะไอ้เผ่า อาชีพการงานของแกกำลังรุ่งเรื่อง จะให้แฟนเพลงรู้ว่าแกมีลูกเมียแล้วไม่ได้”
“ไม่จริง แกทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง แกแค้นที่อัปสรเลือกฉันไม่ใช่แก แกมันไอ้คนไม่รู้จักพอ มีเมียอยู่แล้ว แต่ยังพยายามใช้อำนาจบังคับอัปสร พอไม่สำเร็จก็ยุยงให้เขาทิ้งฉันไป นี่ไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนที่หวังดีทำต่อกัน เลิกหลอกตัวเองเสียที”
บูรพาหน้าชา เริ่มโกรธมากขึ้น เผ่าพงศ์ยื่นมือมาตรงหน้า
“ฉันขอแค่ส่วนแบ่งที่ฉันควรได้จากค่ายบูรพาซาวด์ที่เราสร้างมาด้วยกันไปตั้งตัว แล้วเราจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก”
บูรพามีสีหน้าโกรธเกรี้ยว แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เงินที่ตั้งค่ายขึ้นมามันเป็นของฉันทั้งหมด แกกับไอ้มนต์รัชมันก็แค่หุ้นลม”
“แต่แกเคยบอกว่าให้ฉันลงทุนด้วยเสียงเพลงของฉัน และเนื้อเพลงของไอ้มนต์รัช เราสามคนถึงได้ตั้งค่ายเพลงนี้ขึ้นมาได้”
“นั่นแหละ ถึงได้เรียกว่าหุ้นลมไง เพราะเสียงมันก็แค่ลม” บูรพาทำมือไม้กวนตีน “จับต้องอะไรไม่ได้”
“ไอ้บูรพา”
“เงินจากคอนเสิร์ตและอัลบั้มที่แกสมควรได้ ฉันก็แบ่งให้แกไปหมดแล้ว ถ้าอยากได้มากกว่านั้นก็ร้องเพลงต่อไปสิ ไม่งั้นแกก็คงต้องซมซานกลับไปหาลูกเมียแกตัวเปล่าๆ เหมือนตอนที่แกมาเป็นนักร้องตัวเปล่าๆ นี่แหละ”
เผ่าพงศ์โกรธตัวสั่น ทุบโต๊ะเปรี้ยง แล้วโน้มตัวกระชากคอเสื้อบูรพาขึ้นมา
“แกคิดว่าฉันจะโง่ให้แกโกงง่ายๆ เหรอไอ้บูรพา ?! ในเมื่อคิดตุกติกกับฉัน เราก็ไม่เหลือความเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนี้ แล้วแกเตรียมรอรับหมายศาลจากทนายฉันได้เลย”
เผ่าพงศ์ผลักบูรพาหงายลงเก้าอี้ไปอย่างเดิม แล้วเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
บูรพาขยับเนคไทตัวเองมองตามเผ่าพงศ์ด้วยสีหน้าระแวง ลึกๆ กลัวโดนฟ้อง
บูรพายังคงมองดูรูปถ่ายสามเทพขนนกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
แสงโสมเดินนำพรทิพย์ อัมพร ดารา 2 สาวใช้เข้ามา มือแสงโสมถือแท็บเล็ตติดมาด้วย
“ทำงานอยู่หรือเปล่าคะคุณพี่”
“เปล่า มีอะไรกัน ทำไมมากันหมดบ้านเลย”
“มีคนอยากจะคุยด้วยน่ะค่ะ”
แสงโสมยิ้มๆ แล้วหันหน้าจอแท็บเล็ตในมือของตัวเองให้ดู เปิดตัวปอแก้วกำลัง facetime อยู่
บูรพายิ้มกว้างดีใจ “ปอแก้ว ลูกพ่อ”
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ คิดถึงคุณพ่อจังเลย จุ๊บุๆ”
ปอแก้วทำท่าส่งจูบ ด้านหลังพบว่าเธอเฟซไทม์มาจากสนามบินต่างประเทศ มีผู้โดยสารเดินผ่านไปผ่านมา
“แก้วไลฟ์มาจาก JFK นะคะ กำลังจะขึ้นเครื่องแล้วค่ะ แต่อีกเกือบยี่สิบชั่วโมงแน่ะกว่าจะถึงบ้านเรา แก้วอยากจะวาร์ปไปกอดคุณพ่อคุณแม่ตอนนี้มากเลย”
“อ้าว แล้วน้าโสมล่ะคะ งอนแล้วนะ”
“แหม ก็ต้องกอดน้าโสม กอดป้าอัมพร น้าดาราด้วยสิคะ จะกอดให้ครบทุกคนเลย คิดถึงมาก”
พรทิพย์ยิ้มดีใจ “พรุ่งนี้แม่จะไปรอรับที่สนามบินนะลูก”
“ได้ค่ะ แล้วเจอกันนะคะทุกคน See you guys. Bye”
ปอแก้วส่งจูบแล้วโบกมือลา ก่อนจะกดตัดสายไป
“หนูปอแก้วนี่ ยิ่งโตยิ่งสวยนะคะคุณพี่” แสงโสมว่า
“ทั้งสวยทั้งเก่ง ได้ทั้งเลือดพ่อเลือดแม่มาครบ” บูรพายิ้มยืดภูมิใจ
“ส่งไปรักษาโรคเลือดแล้วสวยขึ้นขนาดนี้ สงสัยจะไม่ได้รักษาแต่เลือดซะแล้วล่ะค่ะ ไปตั้งแต่เด็ก คงทำมาเสร็จแล้วทั้งตัว” แสงโสมหัวเราะคิกคักชอบใจอยู่คนเดียว ทุกคนเงียบกริบมองหน้าแสงโสมเป็นตาเดียวกัน แสงโสมรีบเปลี่ยนเรื่อง
“จบกลับมาซะทีแบบนี้ คุณพี่ก็ไม่ต้องคอยบินไปหาแล้วสินะคะ เห็นว่าเรียนจบบริหารสื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ใช่มั้ยคะ”
“เจ้าตัวเค้าอยากเรียนร้องเพลง แต่พ่อเค้าต้องการคนช่วยงานน่ะ” พรทิพย์ว่า
“โอ๊ย เป็นลูกเจ้าของค่ายเพลง ไม่จบอะไรเลย ก็เป็นนักร้องได้ค่า”
แสงโสมทำเป็นพูดหัวเราะ แต่พอเห็นสายตาบูรพากับพรทิพย์ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วหันไปแหวสาวใช้แทน
“อัมพร ดารา”
“อัมพรพวา”
“ดาราวดีค่ะ”
“นั่นแหละ จะเปลี่ยนชื่อทำให้วิเศษวิโสเกินหน้าเกินตาเจ้าของบ้านก็ไม่รู้” แสงโสมตัดบท “เธอสองคนไปเตรียมห้องหับต้อนรับหลานฉันให้เรียบร้อย ขาดเหลืออะไรก็รีบไปซื้อมา อ้อ แล้วก็เรื่องอาหารการกิน พรุ่งนี้รีบไปจ่ายตลาดแต่เช้าด้วยเลือกแต่ของโปรดของคุณปอแก้วนะยะ”
“เดี๋ยวฉันลิสต์เมนูโปรดของยายแก้วให้เอง อัมพร ดารา ตามฉันมา”
พรทิพย์พาสองสาวใช้ออกจากครัวไป ทิ้งให้แสงโสมอยู่ลำพังกับบูรพา แสงโสมเริ่มกะลิ้มกะเหลี่ยอยากจะเลื้อยใส่บูรพา แต่จู่ๆ บูรพาก็ลุกพรวดขึ้น
“อ้าว คุณพี่ จะไปไหนล่ะคะ”
“ฉันมีธุระที่ออฟฟิศต้องไปทำ”
“ไปทำกับใครคะ อย่าบอกนะคะว่าต้องทำกับนังเพียงฟ้า”
บูรพาฉุนกึก “นี่เธอพูดอะไรน่ะ”
“ก็พูดไปตามที่เห็นล่ะค่ะ เห็นอะไรมา ได้ยินอะไรมา มันก็ต้องเอามาพูด โสมไม่ได้หูหนวกตาบอดเหมือนคุณพี่พรทิพย์นี่คะ”
“นี่เธออย่ามาพูดเรื่อยเปื่อยให้บ้านฉันร้าวฉานเชียวนะแสงโสม” บูรพาดักคอ
“โสมไม่พูดหรอกค่ะ แค่อยากจะเตือน คุณพี่พรทิพย์ทำเป็นวุ่นๆ เรื่องลูกแบบนั้นจะไม่ระแคะระคายอะไรเลยจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ ผู้หญิงคนบางคนเขาเก็บเงียบไว้รอเช็คบิลทีเดียวก็มี”
“ขอบใจที่เตือน แต่พรทิพย์เขาเป็นคนใจกว้าง ไม่งั้นเธอจะมาเสนอหน้าอยู่ในบ้านนี้ได้ยังไง คิดสิคิด”
บูรพาเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้แสงโสมค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างขัดอกขัดใจ
อัปสรนอนสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ได้ยินเสียงเรียกแว่วๆ หันไปมองเห็นปลายอ้อเดินเข้ามา มีบุญทิ้งตามติด
“แม่...แม่จ๋า”
“อ้อ”
“อ้อมาแล้วแม่ แม่เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่าจ๊ะ”
ปลายอ้อเข้าไปจับมืออัปสรมาแนบแก้ม น้ำตาไหล
“อ้อ ไม่ควรทิ้งแม่ไว้คนเดียวเลย ต่อไปนี้อ้อจะไม่ทิ้งแม่ไปไหนแล้วนะ”
“แม่ไม่เป็นไรหรอก ดีขึ้นแล้ว อย่าตกอกตกใจไปเลย”
ปลายอ้อสวมกอดแน่น อัปสรกอดตอบลูกแล้วนึกได้
“แล้วเป็นยังไงบ้าง ไปประกวดร้องเพลงมา ได้ที่เท่าไร ไหนขอดูรางวัลซิ”
ปลายอ้อกับบุญทิ้งชะงักมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าตอบ อัปสรยิ่งสับสน
“ว่าไงล่ะบุญทิ้ง ปลายอ้อร้องเพลงเป็นยังไงบ้าง”
“ร้อง...ร้องดีจ้ะ คนดูให้พวงมาลัยเต็มคอเลย พวกกรรมการก็ชอบกัน”
“แล้วได้รางวัลอะไรมา ไม่เห็นเอามาอวดน้าบ้าง”
“คือ...” บุญทิ้งหน้าเสีย “อ้อมันอยู่ไม่จบงานน่ะจ้ะ”
ปลายอ้อสารภาพเอง “พออ้อรู้ว่าแม่เข้าโรงบาล ก็เลยรีบออกมาเลย ไม่ได้อยู่จนจบงานหรอกแม่”
“อะไรนะ” อัปสรไม่พอใจเสียงขุ่นใส่ “นี่ไปประกวด แล้วทำไมไม่อยู่ให้จบ”
ปลายอ้อกับบุญทิ้งจ๋อยสนิท รู้ว่าอัปสรเริ่มหงุดหงิดแล้ว
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอ้อต้องหมั่นเดินสายเก็บรางวัลเอาไว้เป็นเครื่องการันตีฝีมือเมื่อไรที่มีโอกาสเหมาะๆ จะได้ใช้ผลงานพวกนี้เป็นใบเบิกทางให้อ้อได้เป็นศิลปิน ไปประกวดแล้วไม่รอเอารางวัลมันจะมีประโยชน์อะไร”
“ก็อ้อห่วงแม่นี่จ๊ะ”
“ไม่ต้องห่วงแม่ แม่ไม่ตายง่ายๆ หรอก แม่เคยบอกอ้อแล้วไม่ใช่เหรอว่าแม่จะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้เห็นอ้อทำสิ่งที่แม่ฝันไว้สำเร็จ อ้อต้องเป็นนักร้องดัง แล้วก็ไปทวงทุกสิ่งทุกอย่างคืนมาจาก...”
อัปสรพูดไม่จบก็ปวดหัวจี๊ดร้องกรี๊ดออกมา ปลายอ้อกับบุญทิ้งตกใจ
“แม่...แม่พักผ่อนก่อนดีกว่านะจ๊ะ อ้อเข้าใจ อ้อจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว แม่อย่าเพิ่งโกรธอ้อนะจ๊ะ”
ปลายอ้อยกมือไหว้แล้วกอดอัปสรไว้แน่น อัปสรบิดไปมาปวดหัว บุญทิ้งรีบวิ่งออกไปตามพยาบาล
อัปสรนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงหลังจากได้ยา ปลายอ้อ บุญทิ้งยืนคุยกับหมออยู่ห่างๆ
“อาการของแม่คุณ เป็นอาการผิดปกติทางบุคลิกภาพ”
บุญทิ้งเหวอ “ไม่ใช่มั้งหมอ”
“โรคนี้เป็นความผิดปกติทางจิต ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวน โกรธง่าย เสียใจง่าย และมักจะใช้วิธีแสดงออกอย่างรุนแรงเพื่อเรียกร้องความสนใจ และบางครั้งก็ใช้ชี้นำคนรอบข้างให้ปฏิบัติตามสิ่งที่ต้องการ จากประวัติหมอทราบมาว่าแม่ของคุณป่วยเป็นโรคซึมเศร้าด้วย”
ปลายอ้อพยักหน้ารับเออออไปด้วย “ใช่ค่ะ”
“แล้วได้พบแพทย์สม่ำเสมอหรือเปล่าครับ”
“ทุกครั้งแม่ต้องไปหาหมอที่กรุงเทพ แต่ก็ไม่ได้ไปนานแล้วค่ะ”
“โรคซึมเศร้า เป็นต้นเหตุของปัญหาอีกหลายๆ อย่าง ผู้ป่วยควรจะได้พบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ที่โรงพยาบาลของเราไม่มีแผนกจิตเวทย์ เพราะฉะนั้นหมอแนะนำให้คุณพาแม่ไปพบกับแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้เพื่อทำการรักษาต่อเนื่องครับ”
ปลายอ้อหน้าเศร้าลง หันไปมองหน้าบุญทิ้งอย่างหนักใจ
หลายวันต่อมา ยุพาเปิดประตูบ้านเดินนำเข้ามาในบ้านเช่าในย่านชุมชนของกรุงเทพฯ พร้อมกับช่วยหิ้วกระเป๋า มีปลายอ้อ บุญทิ้ง อัปสรตามเข้ามา
“มาๆ เข้ามา วังหม่อมยุพายินดีต้อนรับจ้า”
“รบกวนน้ายุพาด้วยนะจ๊ะ”
“โอ๊ย รบกงรบกวนอะไรกัน แต่ก่อนที่แม่น้ายังอยู่ พี่สรแกก็เคยมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนกัน” ยุพาหันมาทางอัปสร “ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าให้อยู่ด้วยกันที่บ้านนี่แหละ ไม่ต้องกลับไปบ้านนอกหรอก”
“แต่คราวนี้ต้องพาทั้งปลายอ้อ ทั้งบุญทิ้งมาเบียดเสียดกับแก” อัปสรเกรงใจ
“จะเป็นไรไป มาอยู่ด้วยกันเยอะๆ ฉันจะได้ไม่เหงา เราก็ญาติโกโหติกากันทั้งนั้น ไม่ใช่คนอื่นไกล ไอ้ทิ้งนี่ ฉันก็เคยมันจับแก้ผ้าอาบน้ำมาตอนเด็กๆ เห็นหมดแล้วทั้งตัว”
บุญทิ้งยิ้มเย้า “น้ายุ ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วนา อยากดูไหม”
“ไอ้ทะลึ่ง นี่แน่ะ”
ยุพาขว้างหมอนใส่ บุญทิ้งหลบพัลวัน ทุกคนหัวเราะสนุกสนาน
“เห็นไหม มีคนมากวนประสาทอย่างนี้ ฉันชอบนะ ไม่งั้นก็อยู่เหงาๆ เช้าออกไปทำงาน กลับบ้านมาก็นอน แทบไม่ได้พูดจากับใคร งานเหมดโรงแรมน่ะพี่ วันๆ ก็คุยกะเตียงกะหมอนในห้องแขก เฮ้อ เหงาปาก”
“น้ายุก็น่าจะหาผัวซักคน เดี๋ยวช้าไปหยากไย่มันจะขึ้นนา” บุญทิ้งแซวอีก
“ไอ้ทิ้ง มากไปละมึง เดี๋ยวก็ยันโครม”
ยุพาเข่นเขี้ยวแกล้งยกขาจะยันบุญทิ้ง อัปสรเห็นแล้วหัวเราะ ปลายอ้อเหลือบมอง เห็นแม่อารมณ์ดีก็ดีใจ
ไม่นานต่อมา ปลายอ้อกับยุพาช่วยกันจัดที่นอนไว้ให้อัปสร คุยกันเสียงเบาๆ
“ตั้งแต่มาถึงนี่ อ้อเพิ่งได้เห็นแม่ยิ้ม ค่อยดีใจหน่อย”
“น้าก็ดีใจ ไม่อยากให้พี่สรแกจมปลักเคียดแค้นอยู่กับอดีตหรอก ดีแล้วที่ตัดสินใจพาแกมาหาหมอ ว่าแต่กล่อมอีท่าไหนพี่สรถึงได้ยอมมาง่ายๆ”
“ที่จริงก็ความคิดของแม่ล่ะจ้ะที่อยากมา”
ยุพาแปลกใจ “ฮ้า จริงเหรอ แสดงว่าพี่สรแกเริ่มคิดได้แล้วว่าอยากจะหายจากไอ้โรคซึมเศร้านี่ซักทีใช่ไหม”
ปลายอ้อยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะตอบเสียงอ่อย
“แม่อยากให้อ้อเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเดินหน้าเรื่องอาชีพนักร้องเต็มตัวด้วยจ้ะ แม่ว่า...ถึงเวลาแล้วที่ต้องไปเผชิญหน้ากับคนที่ทำลายชีวิตเราสองแม่ลูก”
ยุพาอึ้งๆ ไป เมื่อรู้ว่าที่แท้แล้วอัปสรก็ยังไม่ลืมความแค้นอยู่ดี
“เฮ้อ แล้วแกรู้เหรอว่าไอ้คนนั้นมันใคร”
“รู้จ้ะ”
ปลายอ้อตอบสั้นๆ ด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
วันเดียวกันที่อีกฟาก ประตูบ้านเปิดออกรถบูรพาเลี้ยวเข้ามาจอดบูรพาลงจากรถ แสงโสมเดินตามลงมาจากรถ พรทิพย์เดินออกมาจากในบ้าน แท็กซี่วิ่งตามเข้ามาทันที
“อุ่ยคุณพี่คะ นั่นรถแท็กซี่ใครกัน”
“ฉันก็มากับเธอจะรู้ได้ยังไง ถามไม่คิดนี่”
แสงโสมสะอึก จุกไปชั่วขณะหันไปถามพรทิพย์
“คุณพี่เรียกรถแท็กซี่เหรอคะ”
ไม่ทันที่พรทิพย์จะตอบอะไร แท็กซี่จอดเอี๊ยดดดหน้าบันไดตึก เห็นปอแก้วลงจากรถมาสวยๆ เร็วๆ
“เซอร์ไพรส์”
ทุกคนหันไปมองปอแก้ว อุทานอย่างตื่นเต้น
“ยายแก้ว” / “แก้ว” / “คุณแก้ว”
พรทิพย์ปรี่ไปหา รับตัวปอแก้วที่โผเข้าสวมกอดเต็มๆตัว
“สวัสดีค่ะคุณแม่ คิดถึงคุณแม่ที่สุดเลย”
บูรพาเลิกสนใจแสงโสม เดินเข้ามาหาปอแก้ว
“มาได้ยังไง ไหนเมื่อกี้ว่าอีกเกือบวันกว่าจะบินมาถึง”
“แก้วโกหกน่ะค่ะ ตอนที่เฟซไทม์ แก้วรอเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ บินอีกตุ๊บเดียวก็ถึงแล้ว”
พรทิพย์มองค้อน “โตแต่ตัวจริงๆนะเรา ตกอกตกใจกันหมด”
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
ปอแก้วกราบลงที่อกบิดา บูรพาสวมกอด
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะลูก คราวหลังอย่าเล่นแบบนี้อีกนะ ตกใจกันหมดเลย”
“ตื่นเต้นดีออกค่ะ ปอแก้วซะอย่าง จะให้มาเรียบๆได้ไงล่ะคะ”
“กลับมาถึงพอดีเลย อย่าคิดว่าแกเซอร์ไพรส์พ่อได้ฝ่ายเดียวนะ พ่อจะเซอไพร์ซกลับบ้าง”
ปอแก้วยิ้มรั้นๆ ไม่มีกลัว
“ไหนล่ะคะ เซอร์ไพรส์ของคุณพ่อ”
ร้านส้มตำเล็กๆ ของ เพ็ญจันทร์ วันเพ็ญ สาวใหญ่อดีตนักร้องวงดนตรีลูกทุ่ง เป็นห้องแถวชั้นเดียวมีโต๊ะนั่งประมาณ 4 โต๊ะ มีลูกค้านั่งรอที่โต๊ะ 2 โต๊ะ มีเสียงร้องเพลงของเพ็ญดังขึ้น ลูกค้ามักคุ้นตากับการเห็นเพ็ญตำส้มตำไป ร้องเพลงให้ลูกค้าไปด้วย อย่างมีความสุข
“แน่หรือ พี่จ๋า บอกว่าจะมาขอหมั้น
ปีนี้ฤกษ์ดีวันจันทร์ น้องนับวันตั้งตารอ
อกหวาม หวั่นไหว หวั่นใจ ผู้ชายรูปหล่อ
อายเพื่อน อายแม่ อายพ่อ กลัวจะรอ เก้อ เหมือนสายบัว”
ลูกค้า1 ที่นั่งรออยู่เมาท์กัน
“เพลงคุ้นๆว่ะแก เสียงยิ่งคุ้นใหญ่เลย”
เพ็ญแอบยิ้ม แล้วเอาส้มตำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
“มาแล้วจ้า ปูปลาร้ารสแซ่บ ลาบก้อย”
ลูกค้า2 คนมองหน้าเพ็ญ เพ็ญยิ้มให้ก่อนเดินไปตำส้มตำต่อ
“ชัดเลย เพ็ญจันทร์ วันเพ็ญ” ลูกค้า2 ป้องปากคุยกับเพื่อน “นักร้องลูกทุ่งที่ดังๆเมื่อ20ปีไงแม่กูชอบมาก”
ลูกค้า 2 คนหันมอง เพ็ญตำไปยิ้มไป บุญทิ้งอ่านเมนูอยู่ เอ่ยขึ้น
“ป้าสั่งเพิ่มอีก เอา ลาบปลาดุก ก้อยเนื้อ คอหมูย่าง อ่อมหมูใส่น้ำปลาแดกเยอะๆนะ จัดมาให้ครบ เอาให้ครบทั้งเมนู”
“ตำเสร็จแล้ว ชิมหน่อยไหม”
เพ็ญตักส้มตำให้บุญทิ้งชิม บุญทิ้งวางเมนูลงแล้วชิม
“ยังบ่อแซ่บ ใส่ปลาแดกเข้าไปเป็นต่อนๆ เลยป้า”
บุญทิ้งหันไปเห็นแหนมมัดเล็กๆ หยิบมาดู
“แหนมหมูเพิ่งมาใหม่ๆเลยนะ เอาด้วยมั้ยล่ะ”
“เป็นตากินบ่”
เกวลีเดินเข้ามาถึง บุญทิ้งยังไม่เห็น
“ลองชิมดูสิในจานนั่นน่ะ”
บุญทิ้งหยิบแหนมที่หั่นใส่จานไว้ชิ้นเล็กๆ เข้าปาก
“โวะ สงสัยจะรีบเอามาขาย แหนมยังไม่ทันเปรี้ยวเลย”
บุญทิ้งหยิบแหนมในจานชิมอีก
“จริงๆ นะป้านี่ชิมอีกก็ยังไม่เปรี้ยว นี่ถ้าป้าได้ชิมแหนมแถวบ้านผมล่ะก็รับรอง แหนมพวกนี้ชิดซ้ายไปเลย”
บุญทิ้งจะหยิบแหนมอีก แต่เกวลีดึงจานแหนมหนี บุญทิ้งหันมาหาจานแหนมแต่ไม่เห็น พอเงยหน้าไปเจอเกวลียืนหน้าบูดถือจานแหนมอยู่ตรงหน้า
“คุณมีปัญหาอะไรกับแหนมนี่เหรอ”
“ไอ้แหนมนี่ต่างหากล่ะมันมีปัญหา ไม่ใช่ผม”
“มันมีปัญหาอะไรเหรอคะ”
“แหนมอะไรเปรี้ยวก็ไม่เปรี้ยวใช้หมูปลอมหรือเปล่าก็ไม่รู้ สงสัยคนทำจะทำไม่เป็น” บุญทิ้งหันไปทางเพ็ญ “อย่าไปซื้อมาอีกเด้อ แหนมบ่อเป็นตากินแบบนี้ ถ้าเจอหน้าคนทำจะสั่งสอนสักหน่อย”
เกวลีบอกว่า “อ่ะ ว่ามา”
บุญทิ้งมองหน้าเกวลีงงๆ
“จะสั่งสอนไม่ใช่เหรอ มาสิ”
“เอ่อไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับคุณนะ อยู่ๆ จะมาให้สั่งสอน”
“ฉันนี่แหละคนที่ทำแหนม และก็เป็นคนที่นายกำลังด่าอยู่นี่ไง”
บุญทิ้งตกใจ “ป๊าดดดดดด”
“นี่แหละอีนางที่ทำแหนมหมู” เพ็ญบอก
“ไม่อร่อยก็บอกกันดีๆ สิคุณ ชั้นจะได้เอาไปปรับปรุง พูดดีๆ นะเป็นมั้ย”
เกวลีเดินเชิดผ่านบุญทิ้งไปหาเพ็ญ
“หนูเอาแหนมมาเพิ่มตามที่ป้าเพ็ญสั่งแล้วนะ เดี๋ยวหนูวางให้”
เกวลีเอาแหนมในตระกร้าเรียงให้แม่ค้า เกวลีแขวนแหนม 2 พวง มีแบบเปรี้ยวและไม่เปรี้ยว
“ขอบใจจ้า”
เกวลีบอกเสียงดัง “ป้าเพ็ญจ๊ะ แบบไม่เปรี้ยวหนังยาง 2 เส้นนะ แบบเปรี้ยวจะมีหนังยาง 3 เส้น”
บุญทิ้งได้ยินหูผึ่งรีบหันไปที่จานแหนมอีกจานที่มียาง 3 เส้นแอบหยิบชิมสีหน้าบ่งบอกว่าอร่อยเริด
“เผื่อลูกค้ามากินฝากป้าเพ็ญบอกด้วยนะจ๊ะ โดยเฉพาะพวก..ขาจร”
บุญทิ้งบ่นกับตัวเองเบาๆ “ขาจรนี่กูชัดๆเลย”
“จะเก็บเงินเลยมั้ย” เพ็ญถาม
“ไว้เก็บคราวหน้าก็ได้จ้ะ ฉันไปล่ะป้า”
เกวลีเดินออกจากร้านผ่านหน้าบุญทิ้งไปเชิดๆ สวยๆ บุญทิ้งรู้สึกผิดที่เสียมารยาท
“เดี๋ยวๆ”
บุญทิ้งวิ่งไปดักหน้า เกวลีหยุด
“ผมขอโทษเมื่อกี้ผมชิมอีกแบบแล้วก็พอกินได้นะ งั้นเดี๋ยวผมขอซื้อแหนมที่เหลือของคุณเอง”
เกวลียิ่งปริ๊ดหนักกับคำว่า พอกินได้ บุญทิ้งจะควักเงิน
“ฉันไม่ขาย”
เกวลีเดินเชิดออกไป
“วะ..พูดอิหยังก็บ่อถืกใจ”
บุญทิ้งเงอะๆ งะ ทำตัวไม่ถูก ถูกสาวสวยด่า
เกวลีเดินอารมณ์เสียออกมา บ่นกะปอดกะแปด
“คนเฮงซวย.... จะซวยทั้งวันรึเปล่าเนี่ย”
เกวลีมัวแต่หงุดหงิดไม่ทันระวังกระเป๋าสะพาย ขโมยวิ่งมากระชากกระเป๋าไปต่อหน้า
“ขโมย ว้าย กระเป๋าชั้น กระเป๋า ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
บุญทิ้งหันมาเห็นพอดี
“เฮ้ย!”
บุญทิ้งคว้าพวงแหนมที่อยู่ใกล้มือมาควงแล้วขว้างใส่หัวโจร
โจรโดนพวงแหนมเข้าเต็มหัวถึงกับหน้าขมำ บุญทิ้งวิ่งตามไป โจรลุกขึ้นมายังเซๆ เกวลีวิ่งตามมา เห็นโจรควักมีดพกขึ้นมาจะแทงบุญทิ้งก็รีบร้องบอก
“ระวัง”
บุญทิ้งหลบทันฉิวเฉียด เต้นฟุตเวิรค์หลอกล่อจนโจรแทงไปมาไม่ตรงเป้า
บุญทิ้งหาจังหวะต่อยโจรชิงกระเป๋าคืนมาได้ เตะต่อยไม่ยั้งจนสุดท้ายขโมยวิ่งหนีไป
บุญทิ้งคว้ากระเป๋ากลับมาส่งคืนให้เกวลี
“ถือเป็นการขอโทษของขาจรนะ หายกันนะ”
บุญทิ้งหยิบพวงแหนมขึ้นมาเดินร้องเพลงไปนั่งรอส้มตำชิวๆ
“ป้าแหนมพวงนี้ฉันเหมาเลยนะ”
เกวลียืนรอแท็กซี่เบะปากใส่บุญทิ้ง ได้ยินบุญทิ้งร้องเพลง สื่อรักออนไลน ขึ้นมา
“โสดหลายปีใจดวงนี้ก็ยังไม่มีใคร อยู่นานไปใจหวั่นไหวเริ่มจะกลัว
ตั้งแต่วันแรกเจอใจเอยก็เริ่มรู้ตัว ว่าเป็นเธอแน่ชัวร์คือเนื้อคู่
เธอยิ้มมาเธอส่งตาเหมือนกับว่ามีใจ อยากจะสื่ออะไรให้ได้รู้
อยากเข้าไปหาเธอใจเอยก็ยังไม่สู้ อยากจะลองถามดูก็ไม่กล้า
ตัดสินใจเดินเข้าไปขอไลน์ทันที หากมีเฟสไอจีก็ให้มา”
เกวลียังยืนอยู่ที่เดิมฟังที่บุญทิ้งร้อง แล้วอินตาม
“บ่อมีทาง”
เกวลีโพล่งออกไปแล้วรู้สึกตัว เลยแก้เก้อ ค้อนขวับให้บุญทิ้งแล้วรีบขึ้นแท็กซี่ไป บุญทิ้งยิ้มมองตามแท็กซี่ไป
เย็นนั้น ปลายอ้อซ้อมร้องเพลงท่าทีขะมักเขม้นกับมือถือที่เปิดแบ็คกิ้งแทร็ก บุญทิ้งถือถุงส้มตำครบเซ็ตแทบทุกเมนูเดินเข้ามาในบ้าน
“ไอ้อ้ออออออออ”
ปลายอ้อใส่หูฟังไม่ได้ยินที่บุญทิ้งเรียก บุญทิ้งเดินเข้ามาใกล้ๆด้านหลัง
“ไอ้อ้ออ...หุบปากก่อน หุบปาก”
ปลายอ้อร้องต่อไปไม่ได้สนใจฟังที่บุญทิ้งเรียก
“โว๊ยยยย นังอ้อ”
ปลายอ้อตกใจหันมาเอาไม้ถูพื้นเหวี่ยงใส่ บุญทิ้งกระโดหลบแทบไม่ทัน
“เฮ้ย! ฉันเองไอ้ทิ้ง”
“โธ่เอ้ยพี่บุญทิ้ง บอกแล้วใช่มั้ย เวลาซ้อม อย่ามายุ่ง”
“ฉันไม่ได้อยากยุ่ง ฉันแค่เรียกเฉยๆ นี่กะจะฟาดกันเลยรึไงวะ”
ปลายอ้ออึ้งไปนิดแต่ยังวางมาดข่มอยู่
“ดูซิ อุตส่าห์ถ่อสังขารฝ่าแดดฝ่ารถติดๆไปหอบหิ้วอาหารมาให้ไม่ได้มีความดีเลยสักนิด”
บุญทิ้งงอนหน้าคว่ำ ปลายอ้อเลยใจอ่อนลงมองถุงในมือบุญทิ้งเยอะแยะ
“โอ้โหนี่ไปถูกหวยมารึไงเนี่ย” ปลายอ้อมองจ้องหน้าบุญทิ้งจับผิด “หรือว่าออกไปจี้ไปปล้นใครเค้ามาแล้วเอาเงินมาซื้อของให้ฉันกินใช่ไหมรับมาซะดีๆ”
“น้อยๆหน่อยเอ็งไอ้อ้อ เคารพกันนิดข้ามีศักดิ์เป็นพี่เอ็งนะ ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว ทิ้งให้หมด”
ยุพาโผล่พรวดเข้าประตูมารีบเบรกบุญทิ้ง
“เฮ้ย หยุดดดดด.. นี่เงินฉันนะโว้ย” ยุพารีบคว้าถุงในมือบุญทิ้ง “ฉันอุตส่าห์เป็นเจ้ามือจะทิ้งทำไมเสียของ ไอ้ทิ้งไปเอาจานช้อนมาให้พร้อม จะได้เริ่มงานเสียที”
“งานอะไรเหรอน้ายุ”
ยุพาหันมองหน้าปลายอ้อ แล้วถอนใจเฮือก
ถาดอาหารสารพัดตำ ยำ และปิ้งย่าง ถูกวางลงตรงหน้าของปลายอ้อ
ปลายอ้อมองในถาดหน้าตาดูหน้ากินทุกอย่าง แล้วยิ้มเจื่อนๆ
“จริงสิ อ้อก็ลืมวันเกิดตัวเองไปเลย”
“แต่แม่ไม่เคยลืมหรอก”
“น้าก็ไม่ลืม น้านี่แหละเป็นคนพาแม่แกไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง ยังจำได้เลยนะน้าสร ตอนนั้นว่าจะไปส่งน้าสรขึ้นหมดที่หมอชิตแล้วแท้ๆ”
“แหม น่าจะให้ไอ้อ้อมันไปเกิดบนรถบัส เผื่อจะได้นั่งบขส.ฟรีตลอดชีวิต”
“โฮ้ย จะนั่งทำไมบขส.ฟรี ใจคอจะต๊อกต๋อยไปตลอดชีวิตหรือไงไอ้ทิ้ง คนเรามันต้องหวังสูงเว้ย เอ้ากินๆๆ”
บุญทิ้งนึกขึ้นได้รีบลุกพรวดออกจากกลุ่มไปหลังบ้าน ปลายอ้อกับยุพามองงง
“เดี๋ยวๆ ก่อนจะกินมันต้องมีพิธีรีตองกันหน่อย”
บุญทิ้งเดินกลับเข้ามาอีกทีพร้อมกล่องเค้กชิ้นกลมๆที่ขายเป็นกล่องมีประมาณ10ชิ้น
“อันนั้นน่ะน้ายุเลี้ยง อันนี้ฉันเลี้ยงเว้ย ของมันต้องมี เค้กวันเกิด แถ่น แถ้น แท๊นนนน”
ปลายอ้อยิ้มปลื้ม สนุกสนานไปกับบุญทิ้งและอัปสร ยุพา
“ไอ้ทิ้งทำไมไม่ปักเทียนมาวะ จะได้ให้ไอ้อ้อมันเป่า”
บุญทิ้งยิ้มแหยๆ “เออจิง ลืมซื้อ เอานี่ไปก่อนแล้วกัน”
บุญทิ้งวิ่งไปหยิบเทียนหน้าหิ้งพระมาปัก ยุพาตบผลัวะ
“โอ๊ยยยย..บักหำเนี่ยะ เอาวะ”
ยุพาปรบมือเป็นต้นเสียงให้บุญทิ้งกับอัปสรช่วยกันร้องเพลงแฮปปี้ เบิร์ธเดย์ สีหน้าปลายอ้อปลาบปลื้มชื่นใจ
“วันเกิดอ้อ อ้ออยากให้แม่อวยพรให้จ้ะ”
อัปสรขยับเข้ามาใกล้ปลายอ้อเอามือลูบหัวปลายอ้อด้วยความรัก
“ปีนี้ลูกแม่โตขึ้นมาก แม่โชคดีที่มีอ้ออยู่ข้างๆแม่มาตลอดตอนนี้คงถึงเวลาที่หนู ต้องทำในสิ่งที่ควรทำแม่ขออวยพรให้ลูกประสบความสำเร็จหากวันนั้นมาถึงลูกกับแม่ก็คงจะหมดทุกข์หมดโศกกันสักที”
“อ้อจะทำมันให้สำเร็จจ้ะแม่”
แววตาปลายอ้อมุ่งมั่นมาดหมายท่ามกลางแสงเทียนที่ปักอยู่บนขนมเค้กชิ้นเล็กๆ
“เอ้าเป่าเทียนสิไอ้อ้อ น้ำตาเทียนจะท่วมขนมแล้วเนี่ย”
ปลายอ้อตั้งใจอธิฐานแล้วเป่าเทียนดับลง
เสียงเพลง แฮปปี้ เบิร์ธเดย์ ยังคงดังต่อเนื่องอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของกรุงเทฯ
เค้กก้อนโตที่อยู่ตรงหน้าปอแก้วที่เพิ่งถูกเป่า ทุกคนอยู่ในงานปาร์ตี้เลี้ยงต้อนรับพร้อมกับฉลองวันเกิดของปอแก้ว ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเฮฮา
“ขอให้สิ่งที่ลูกขอสัมฤทธิ์ผลนะจ๊ะ”
พรทิพย์หอมแก้มลูกสาว บูรพาเดินเข้ามาหาปอแก้ว ประกาศกับทุกคน
“ตอนนี้ปอแก้วเรียนจบแล้ว และจะกลับมาช่วยงานที่บริษัทของเราอย่างถาวร หวังว่าทุกคนคงไม่ขัดข้อง”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราว
“แก้วขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะ แก้วรู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ แก้วยังต้องเรียนรู้งานสายนี้อีกมาก ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
แขกในงานปรบมือต้อนรับปอแก้ว บูรพาพาปอแก้วเดินคุยกับบรรดาผู้ใหญ่ในงาน
“นี่คุณณพนะลูก”
ปอแก้วสวัสดีนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ”
“คุณณพเป็นที่ปรึกษาของบูรพาที่คร่ำวอดอยู่ในแวดวงเพลงลูกทุ่งมานาน ลูกมีอะไรก็ปรึกษาคุณณพดืทุกเรื่อง ผมฝากลูกสาวด้วยนะครับ”
“ยินดีครับเสี่ย” ณพยิ้มแย้ม
“แก้วคงมีเรื่องต้องรบกวนคุณอาหลายเรื่องเลยค่ะ”
บูรพาพาปอแก้วทักทายคนนั้นคนนี้ ถ่ายรูปบ้างตามโต๊ะต่างๆ ปอแก้ว บูรพา พรทิพย์ ถ่ายรูปร่วมกันท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นแสนสุขและสนุกสนาน
เวลานี้ปอแก้วนอนหนุนตักพรทิพย์ มองดูพวงกุญแจรถคันใหม่ด้วยความปลาบปลื้มใจ
“ขอบคุณมากนะคะคุณแม่ สำหรับรถคันใหม่ ที่จริงคุณแม่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”
“เป็นรางวัลสำหรับเกียรตินิยมของแก้วไงจ๊ะ แล้วอีกอย่าง เดี๋ยวแก้วก็ต้องเริ่มไปช่วยคุณพ่อ ไม่มีรถขับไปทำงานได้ยังไงกัน”
“คุณแม่ใจดีกับแก้วเสมอเลย ทำให้แก้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีม๊ากมากที่ได้เป็นลูกคุณแม่”
ปอแก้วลุกขึ้นหอมแก้มพรทิพย์ด้วยความรักใคร่ พรทิพย์กอดลูกไว้ คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต
เมื่อ 23 ปีก่อน พรทิพย์นอนอยู่บนเตียงทำคลอด สีหน้าช็อกสุดขีดเมื่อรู้ข่าวร้าย
“อะไรนะคะพี่ฉัตร เกิดอะไรขึ้นกับลูกทิพย์นะคะ”
“ลูกสาวของทิพย์คลอดก่อนกำหนด ร่างกายแกอ่อนแอมาก พี่พยายามช่วยหลานสุดความสามารถแล้ว แต่...”
พรทิพย์ร้องไห้โฮออกมา “ไม่จริง พี่ฉัตรล้อทิพย์เล่นใช่ไหม”
“พี่เสียใจด้วย”
หมอฉัตรเข้าไปกอดปลอบพรทิพย์ พรทิพย์ร้องไห้สะอื้นตัวโยน หัวใจแหลกสลาย จังหวะนี้พยาบาลเคาะประตูเรียกแล้วโผล่หน้าเข้ามา
“คุณหมอคะ เรียนเชิญที่ห้องคลอด 2 ด้วยค่ะ เด็กคลอดก่อนกำหนดค่ะ”
หมอฉัตรตกใจ รีบตามพยาบาลออกไป ทิ้งให้พรทิพย์นอนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ลำพัง
เช้าวันใหม่ ปลายอ้อเดินขึ้นมาเคาะประตูหน้าห้องแม่ แล้วเปิดเข้าไป เห็นอัปสรนั่งอยู่ที่เตียง
“แม่พร้อมหรือยังจ๊ะ เราน่าจะไปเช้าๆ หน่อยเผื่อจะคิวเรียกจะยาว”
“แม่ยังไม่ไปหาหมอหรอกอ้อ”
“อ้าว ทำไมล่ะจ๊ะ”
“เพราะอ้อไม่ว่างแล้วล่ะ”
อัปสรหยิบหนังสือพิมพ์เก่าที่วางอยู่บนชั้นหัวเตียงออกมาให้ปลายอ้อดู
“แม่เพิ่งเห็นข่าวหนังสือพิมพ์เก่าของน้ายุพา ดูนี่สิลูก”
ปลายอ้อรับมาอ่าน “เปิดออดิชั่นศิลปินหน้าใหม่ เข้าร่วมการประกวดเรียลลิตี้โชว์ The Artist ชิงเงินรางวัลกว่าหนึ่งล้านบาท”
“วันนี้วันสุดท้ายแล้ว แม่อยากให้อ้อไปลอง”
“แต่แม่ต้องรีบไปหาหมอนะจ๊ะ”
“หมอไม่หนีไปไหนหรอก แต่โอกาสของอ้อสิ เมื่อวานอ้อสัญญากับแม่แล้วใช่ไหมว่าจะต้องทำให้สำเร็จ ไปเถอะลูก ใครไปจะรู้ว่าคราวนี้อาจจะเป็นโอกาสทองของอ้อที่จะเข้าถึงเป้าหมายไปอีกก้าวก็ได้”
“แต่ว่า...”
“ถ้าอ้ออยากให้แม่ไปให้หมอ แม่จะไปกับน้ายุพา” อัปสรเสียงเข้ม “แต่อ้อต้องไปสมัครประกวดร้องเพลงครั้งนี้...ทำเพื่อแม่นะลูก”
ปลายอ้อปฏิเสธไม่ออก ได้แต่ก้มลงซบตักอัปสรแ ล้วรับคำเบาๆ
“จ้ะ”
อัปสรลูบหัวปลายอ้อ ลึกๆ รู้สึกเสียใจที่ภาระทั้งหมดของการล้างแค้นตกที่ลูกสาวคนนี้ แต่ก็ต้องปาดน้ำตาอย่างช้าๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่บูรพาทำกับสามีตัวเองและครอบครัว
วันเดียวกันนี้ บูรพานั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา
“ทำไมคุณพ่อถึงไม่อยากไปเป็นกรรมการ The Artist ล่ะคะ”
พรทิพย์เองก็สงสัยเหมือนกัน
“นั่นสิคะ คิดซะว่าไปหาคนใหม่ ไม่แน่นะคะ อาจจะเจอเพชรก็ได้ รายการเจ้านี้เค้าดังอยู่นะคะ”
“ถ้าดังจริง จะต้องเอาเราไปออกสื่อให้ทำไม ที่มันดังน่ะ เพราะมันดูดคนดังๆ ในวงการเพลงไปโชว์หน้าโชว์ตาในรายการมันต่างหาก ไอ้ตัวรายการจริงๆ ก็แค่ประกวดร้องเพลงธรรมดาๆ มีให้เกลื่อนไป”
พรทิพย์หันไปทางแสงโสม
“แต่การออกสื่อมันก็ช่วยประชาสัมพันธ์ค่ายของเรานะคะ”
“น้องเห็นด้วยค่ะ สมัยนี้ใครๆ ก็ต้องเล่นกับสื่อทั้งนั้น ไม่มีสื่อก็ไม่มีกระแสให้คนจดจำ”
“ค่ายเพลงของฉันไม่จำเป็นต้องโหนกระแส และฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาโหนกระแสจากตัวฉันด้วย”
บูรพาลุกออกจากโต๊ะไป แสงโสมถอนใจ
“แทนที่จะใช้โอกาสนี้เรียกความสนใจจากสื่อ พูดตรงๆ นะคะคุณพี่ ทุกวันนี้ศิลปินที่เรามี แทบจะไม่มีสื่อสนใจแล้ว กินแต่บุญเก่า ถ้าไม่รีบหาศิลปินใหม่ๆ มาร่วมงาน อีกหน่อยค่ายเราควรจะเปลี่ยนชื่อเป็นป่าช้าเรคคอร์ดให้รู้แล้วรู้รอด”
ปอแก้วนั่งฟังเงียบๆ พร้อมกับได้ความคิดบางอย่าง
บรรยากาศงานออดิชั่นเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งมาเดี่ยว มาเป็นทีม บ้างกำลังแต่งหน้าแต่งตัวเพิ่ม บ้างกำลังวอร์มเสียง วอร์มเต้น
อภิวัชยืนอยู่ข้างๆ กรรมการอีก 2 คน มีนักข่าวกลุ่มใหญ่กำลังจ่อไมค์รวมสัมภาษณ์กันวุ่นวาย เสียงผู้มาออดิชั่นเฮร้อง เย้ๆ มาแล้วๆ นักข่าวกรูไปหาถ่ายรูปรัวๆ จ่อไมค์ แย่งกันยิงคำถามเซ็งแซ่
“ซีซั่นนี้จะแตกต่างจากซี่ซั่นก่อนๆ ยังไงบ้างคะ” / “คาดหวังความสำเร็จไว้ยังไงบ้างครับ” / “แชมป์ของรายการจะต่อยอดในวงการได้จริงเหรอคะ” / “ธุรกิจค่ายเพลงในยุคนี้ยังมีพื้นที่ยืนให้หน้าใหม่เหรอคะ” / “คิดว่าชนะแล้วจะไปรอดจริงเหรอคะ” / “สปอร์นเซอร์ที่ถอนตัวไป มีอะไรมาทดแทนมั้ยคะ”
อภิวัชตอบคำถามต่างๆ อย่างเต็มใจเตรียมการณ์มาอย่างดี จนกระทั่งมีเสียงคำถามหนึ่งดังขึ้น
“ทราบมาว่าปีนี้คุณเปิดโอกาสรับสมัครคัดเลือกด้วยการแยกสาขาเพลงลูกทุ่งเป็นครั้งแรก เพราะอะไรครับ”
อภิวัชชะงักหันไปมอง เห็นศุภกฤตหนุ่มหล่อเจ้าของคำถามอยู่ในกลุ่มนักข่าว และกำลังรอคำตอบ
“เราอยากเปิดกว้างให้กับทุกแนวเพลงครับ”
“ไม่ใช่ครับ คำถามของผมคือ ทำไมคุณต้องแยกเพลงลูกทุ่งออกจากแนวเพลงสาขาอื่น เพลงลูกทุ่งมันประหลาดพิสดารยังไงในสายตาคุณ”
อภิวัชเริ่มไม่พอใจนิดๆ คิดว่าถูกกวนประสาท ย้อนถามกลับ
“ไม่ทราบว่าคุณมีปัญหาอะไรกับวงการลูกทุ่งรึเปล่าครับ”
“ผมไม่มี แต่ผมว่ารายการคุณมี เพราะปีที่ผ่านๆ มาไม่เคยมีนักร้องลูกทุ่งเข้ารอบลึกๆ ในการประกวดร้องเพลงของค่ายคุณเลย ปีนี้คุณก็ดันแยกสาขาเพลงลูกทุ่งออกมา เหมือนจงใจจะทำให้นักร้องลูกทุ่ง เหมือนตัวประหลาด ไม่สามารถจะรวมกลุ่มกับนักร้องแนวอื่นๆ ได้”
อภิวัชหน้าตึง ฉุนมากขึ้น “ผมว่าคุณคิดมากไปแล้วนะ ที่เราทำก็เพื่อเปิดโอกาสให้ศิลปินเพลงลูกทุ่งมีที่ยืนมากขึ้นต่างหาก”
ศุภกฤตหัวเราะออกมาเหมือนเห็นความคิดอภิวัชเป็นเรื่องตลก
“นักร้องลูกทุ่งมีที่ยืนอยู่แล้วล่ะครับ เพลงลูกทุ่งเป็นสายเลือดใหญ่ สายเดียวที่ยังหล่อเลี้ยงธุรกิจเพลงให้อยู่รอดด้วยซ้ำ แต่รายการที่คิดจะโหนเพลงลูกทุ่งชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อเรตติ้งนี่สิ จะมีที่ยืนในวงการทีวีต่อไปได้นานแค่ไหน”
มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นทันที อภิวัชหน้าตึงไม่พอใจมาก แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ปลายอ้อก็โผล่เข้ามา
“หยุดเถอะค่ะคุณนักข่าว”
ทุกคนหันไปมองปลายอ้อที่เดินเข้ามา เผชิญหน้ากับศุภกฤต บุญทิ้งพยายามห้าม
“ไอ้อ้อ อย่ายุ่งเค้าเลย ออกมา”
“จะไม่ยุ่งได้ไง จะปล่อยให้คนปากเสีย จิตใจต่ำมาพูดพล่อยๆ หาเรื่องคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงล่ะ จริงมั้ยพวกเรา”
มีเสียงอื้ออึงเห็นด้วยกับปลายอ้อบ้างประปราย
“ก่อนที่จะตั้งคำถามคนอื่น ให้คำตอบมาก่อนว่าใครจ้างคุณมาบ่อนทำลาย”
“ผมเนี่ยนะบ่อนทำลาย ผมกำลังตั้งคำถามเพื่อช่วยให้พวกคุณเห็นเจตนาที่แท้จริงของพวกรายการประกวดร้องเพลงมากกว่า มีกี่รายการแล้วที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกเรตติ้ง แต่คนเข้าประกวดจบแล้วก็จบกัน ไปไหนต่อไมได้ เพราะเจ้าของรายการทำเพื่อเรตติ้ง ไม่ใช่เพื่อต่อยอดศิลปิน”
“คุณไม่เคยเป็นศิลปิน ไม่เข้าใจหรอกว่าอาชีพอย่างพวกเราต้องการมากที่สุดก็คือโอกาส ไม่ว่าเวทีนั้นจะพาเราไปถึงจุดไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับมันมีเวทีให้เราได้แสดงความสามารถ”
ศุภกฤตเป็นฝ่ายอึ้ง หันไปมองรอบๆ เห็นคนที่เข้าประกวาดหลายคนมองมา พยักหน้าเห็นด้วย
“เพราะฉะนั้นฉันขอเลย ไม่ต้องมาหวังดี พูดดักคอจนเจ้าของรายการเขากลัวจนเลิกผลิต แบบนั้นก็เท่ากับพวกฉันเสียโอกาสแสดงความสามารถไปฟรีๆ หนึ่งรายการ”
ศุภกฤตอึ้งหนักไปต่อไม่ถูก นักข่าวเริ่มหันมาสนใจทั้งคู่ อภิวัชถือโอกาสเข้ามาเคลียร์
“ขอบคุณทั้งสองคนมากนะครับที่ให้เกียรติกับรายการเราทุกการแข่งขัน ชัยชนะคือเป้าหมาย แต่อันตรายนะครับ ถ้าขาดคำว่า มิตรภาพ”
อภิวัชจับมือศุภกฤตกับปลายอ้อชูขึ้นพร้อมๆ กัน
“ให้โอกาสเสียงเพลงสร้างมิตรภาพนะครับ”
ผู้คนปรบมือเออออไปกับอภิวัช เสียงกดชัตเตอร์ดังรัวๆ
ปลายอ้อเดินหนีผู้คนมาหามุมดึงสติ บุญทิ้งตามาบ่นบ้าโล้งเล้งใส่
“บ้าไปแล้วเหรอไอ้อ้อ มาถึงก็มีเรื่องเลย ถ้าเค้าตัดสิทธิ์ไม่ให้ลงแข่งทำไงวะ”
ปลายอ้อไม่ตอบอะไร
“ไปทะเลาะกับเค้าทำไมวะ หรือว่าอยากดัง รีบสร้างกระแสว่างั้น”
“พูดพอยัง”
“วันนี้วันดี แกทำให้มันเสียฤกษ์ทำไมวะ แล้วนี่จะร้องเพลงได้มั้ยเนี่ย ขุ่นขนาดนี้”
“เออ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ชั้นมาเพื่อร้องเพลง รอบออดิชั่นยังไงชั้นก็ต้องผ่านไม่มีพลาดหรอกน่า”
ปลายอ้อสะบัดใส่บุญทิ้งแล้วหันไปเจอศุภกฤตที่ตามมาเจอพอดี เกิดโมเม้นต์ซึ้งๆ ในระยะประชิด จ้องหน้ากัน ปลายอ้อรีบดึงสติ
“ไม่ยอมจบเหรอคุณ”
ศุภกฤตโพล่งขึ้น “ผมชอบคุณนะ”
“หะ” ปลายอ้อเขิน “พูดบ้าๆ อะไร”
“อย่าเข้าใจผิด ผมหมายถึง คนสู้คนแบบคุณ คนที่กล้าคิด กล้าพูด กล้าเสี่ยง ผมว่าสุดยอดเลย”
ปลายอ้องง “แต่เมื่อกี้เราเพิ่งทะเลาะกันนะ”
“ในการต่อสู้ ถ้าเจอคู่ต่อสู้เจ๋งๆ ผมว่ามันไม่ผิดนะที่เราจะชื่นชม”
ปลายอ้อมองศุภฤกตงงๆ ปนไม่ไว้ใจ
“คุณต้องการอะไรกันแน่”
“ถ้าคุณเป็นลูกทุ่งโดยสายเลือด คว้าแชมป์มาให้ได้นะครับ วงการลุกทุ่งต้องการคนแบบคุณ”
ศุภกฤตก็เดินออกไปเลย บุญทิ้งยืนดูอยู่รีบเข้ามาถาม
“มันจีบแกเหรอวะ เฮ่ย อย่าเพิ่งไปหลงเชื่อมันนะ นักข่าวมันปลิ้นปล้อน มันพูดอะไรก็ได้”
“ มีพวกเป็นนักข่าวสักคนก็ไม่เลวนี่ ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์ให้เป็น”
ปลายอ้อยิ้มเจ้าเล่ห์ มีแผนจะใช้ศุภกฤตเป็นเครื่องมือในการล้างแค้นของเธอ
ที่บ้านพักศิลปินค่ายบูรพาซาวด์ เจนกำลังซ้อมเต้นอยู่
“หนึ่ง สอง สาม สี่...หัน...ห้า หก เจ็ด แปด”
เจนนี่ซ้อมเต้นเสียงดัง
“หนึ่ง สอง สาม สี่ .. ห้า หก เจ็ด แปด หมุน”
จู่ๆ มีหมอนลอยเข้ามาที่ตัวเจนนี่ โดยฝีมือของแววเดือน ก่อนที่แววเดือนจะโผล่ออกมาตรงลานซ้อม
“โอ๊ย จะนับเลขอีกนานไหมเนี่ย นับหนึงถึงแปดทั้งวี่ทั้งวันไม่เบื่อบ้างรึไงหะ คนเค้าจะดูทีวี แหกปากอยู่ได้”
“ก็ฉันต้องซ้อมเต้นไว้สอนนังเพียงฟ้าตามหน้าที่ ฉันไม่ได้ว่างเหมือนหล่อนนี่ยะ”
“ทำไงได้ ก็เสี่ยไม่มีงานให้เราทำนี่หว่า นับเบาๆ หน่อยฉันดูประกวดร้องเพลงอยู่ดูไม่รู้เรื่องเพราะเลขแกเนี่ยแหล่ะ”
แววเดือนเดินออกจากลานซ้อมเต้น เจนนี่รีบตามไปเพราะได้ยินว่ามีข่าวการประกวดร้องเพลง
แววเดือนลงนั่งดูทีวีช่อง 8 ในจอกำลังเสนอข่าวอภิวัชแถลงข่าวเปิดการออดิชั่นวันแรก เจนนี่ตามเข้าสมทบ
“ประกวดแล้วเหรอ”
“ยังอ่ะ ...อย่าถามเยอะขี้เกียจตอบ...ดูสิดู”
เจนนี่ลงนั่งแทรก
“เหยิบสิ...”
ภาพในทีวี เป็นช่วงสัมภาษณ์อภิวัช
“เราเปิดกว้างสำหรับทุกคนนะครับ ใครมีความฝัน ออกมาเจอกับเรา มาให้เราได้สานฝันให้กับคุณนะครับ”
เพ็ญเอาส้มตำมาส่ง ตะโกนเรียกอยู่ที่หน้าบ้านประตูบ้าน
“ส้มตำมาแล้ว ใครสั่งอะไรก็เลือกกันเอาเองนะ จำไม่ได้แล้วว่าครบรึเปล่า”
“อ๊ะยังไงเนี่ยป้า อ้าวนังเจนไปรับซิ...แกหิวไม่ใช่เหรอ”
เพ็ญรำคาญเดินเอาเข้ามาวางลงตรงหน้าทั้งสองคน
“ไม่ต้องแย่งกันมาเอา ฉันเอามาวางให้แระ”
เจนนี่จดสายตาจับจ้องอยู่ที่จอทีวี “คุณอภิวัชนี่หล่อเนอะ แหม ถ้าได้รับจ๊อบกับเค้าบ้าง ก็ดีสิจะได้หาช่องเสียบ”
“เสียบอะไร”
“ก็มีอะไรให้เสียบ ก็เสียบหมดแหละ” เจนนี่ว่า
เพ็ญมองสมเพช “ตกงานจนต้องหากินแบบนี้เลยเหรอไงนังเจน”
“เอ้าป้า นักร้องดังในอดีตแก่ๆ อย่างป้ายังต้องมาขายส้มตำเลย ฉันเนี่ยแดนเซอร์ นะถ้าไม่รีบหาอะไรเกาะไว้ก่อนมีหวังกลับไปจับกบจับเขียดกินแน่”
“พูดจาไม่เข้าหู มื้อนี้คิดเงินเลย 450 เร็วๆ รีบ” เพ็ญแบมือรอเงิน
“อ้าวป้าอารมณ์เสียทีไรเก็บตังค์ทุกทีเลย นังเจนจ่ายเลยนะแก แกพูดไม่เข้าหูป้า แก จ่ายไป”
“เอ๊า อะไรแว๊”
เจนนี่หยิบกระเป๋าหาตังค์ เกวลีเดินเข้าเห็นจอทีวีเปิดข่าวอยู่
“พี่แววเค้าเปิดรับลูกทุ่งด้วยเหรอ”
“ทำไม แกอยากไปออดิชั่นกับเค้าเหรอ บ้า เราเป็นศิลปินอยู่แล้ว จะไปออดิชั่นทำสากกะเบืออะไรล่ะ”
เจนนี่ควักเงินจ่ายให้ เพ็ญถามหน้านิ่ง “แกออกอัลบั้มครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ”
แววเดือนนิ่งคิดนาน
“อ้าวป้าพูดงี้ไม่จ่ายดีกว่า นังเจนเก็บเงิน”
เพ็ญรีบคว้าเงินยัดกระเป๋าทันที
“ไปแล้ว อยู่นานเสียรายได้หมด”
เพ็ญเดินกลับออกไป เจนนี่กับเกวลีขำ
“จะว่าไป ก็นานจนลืมอ่ะ นี่พวกเราไม่มีงานร่วมกันมานานมากแล้วนะเว้ย แกไม่คิดจะย้ายไปค่ายอื่นเหรอวะ”
“พี่เจนจะให้พี่แววทรยศค่ายเหรอ”
“ถามเล่นๆน่ะ ว่าแต่แกเถอะ อยู่จนจะหมดสัญญาอยู่แล้ว ยังไม่เคยได้ร้องซักกะเพลงไม่ใช่เหรอ”
เกวลีหน้าเศร้าไปเลย
“โถๆๆๆน้องน้อย ไม่ต้องเศร้าไป ถ้าอยากร้องเพลงก็ไปที่นั่นสิ”
พร้อมกับว่า แววเดือนชี้ส่งๆไปที่งานประกวดในทีวี เกวลีหันไปมองแล้วทำตาโต
“ฉันไปได้ใช่มั้ยพี่”
“ก็อย่าให้เค้ารู้สิ
แววเดือนกับเจนนี่หันไปโซ้ยส้มตำต่อ เกวลีมีสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
ที่งานออดิชั่น สาวน้อยคนหนึ่งกำลังออดิชั่นสดอยู่หน้าอภิวัชและกรรมการอีกสองท่าน
สาวน้อยร้องได้ไม่กี่คำกรรมการมาดโหดพูดแทบเป็นตะโกนขึ้น
“พอครับ หยุดครับ เสียเวลา”
สาวน้อยหน้าเหวอ ไปต่อไม่ถูก
“แปลว่าไม่ผ่านนะครับ”
สาวน้อยปิดหน้าร้องไห้โฮวิ่งออกจากห้องไป บุญทิ้งดูอยู่มุมหนึ่งถึงกับหน้าเสีย รีบวิ่งออกไป
อภิวัชหันไปถามทีมงาน
“คุณบูรพาถึงไหนแล้ว”
“กำลังมาค่ะ”
“ให้สายลูกทุ่งรอไว้ก่อน ผมอยากให้มืออาชีพเค้ามาเลือกเอง”
“ค่ะๆ”
ปลายอ้อกำลังยืนหันหลังใส่หูฟังซ้อมร้องเพลงอยู่มุมหนึ่ง โยกย้ายนิดๆ ไปมาตามจังหวะเพลง แล้วถอยไปชนกับใครบางคน
ปอแก้วร้อง “โอ๊ย”
ปลายอ้อหันกลับไปมองด้วยสีหน้าตกใจ เมื่อเห็นกระเป๋าของปอแก้วหล่นอยู่ที่พื้น ข้าวของกระจัดกระจาย เธอรีบขอโทษรัวๆ
“ขอโทษค่ะๆๆ”
“ตายแล้ว มือถือฉัน”
ปอแก้วหยิบมือถือขึ้นมาดู เห็นเป็นรอยร้าวที่จอ
“ตายจริง ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“คุณมายืนเกะกะอะไรอยู่แถวนี้ คนเดินเข้าออกเต็มไปหมด ไม่ชนฉันก็คงชนกับคนอื่นอยู่ดี” ปอแก้วตำหนิ น้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ
“ฉันกำลังซ้อมร้องเพลงอยู่ค่ะ”
ปอแก้วมองป้ายชื่อที่คอปลายอ้อ จึงรู้ว่าเธอมาออดิชั่น เลยย้อนถามกวนๆ
“จะประกวดอยู่แล้วเพิ่งจะซ้อมเหรอคะ”
ปลายอ้ออึ้ง ชักรู้สึกเอ๊ะยังไง เสียงแข็งขึ้น
“ฉันซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนขึ้นเวที”
“ถ้าคุณเตรียมตัวมาดีจริง เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาซ้อมร้อง คุณควรจะใช้เวลานี้ทำสมาธิ ไม่งั้นพอถึงเวลาขึ้นเวทีจริงแล้วเสียงคุณจะหมด พลังคุณก็จะหมดด้วย ฉันเตือนด้วยความหวังดี”
ปอแก้วพูดตอกกลับอย่างมาดมั่น แล้วเดินจากไปเลย
ทิ้งให้ปลายอ้อมองตาม รู้สึกไม่ถูกชะตาและไม่พอใจผู้หญิงคนนี้หน่อยๆ
หล่อนเป็นใคร เก่งกาจมาจากไหนถึงมาสอนตน
อ่านต่อตอนที่ 2