เพรงลับแล ตอนที่30 | ชายแปลกหน้าคนนั้น
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ในราวป่า ใกล้ๆ สุสานต้นไม้ ทศนนท์มองไปข้างหน้าอย่างครุ่นคิด จนเห็นปรางทิพย์เดินเข้ามาหา ท่าทีเหมือนอยากจะอธิบายอะไรบางอย่าง
“คุณทศคะ”
“ครับ”
“คุณคงยังโกรธฉันเรื่องคุณนุอยู่ใช่ไหม”
ทศนนท์นิ่งไม่ยอมตอบ เพราะพยายามลืมเรื่องนี้ ได้แต่ถอนใจเบาๆ ปรางทิพย์น้ำตาคลอด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่เขาไม่เชื่อเธอ
“ฉันยอมรับว่าเป็นคนฆ่านายสิงห์จริง เพราะเขากำลังจะเข้าไปทำร้ายครูเนียร์ ส่วนคุณนุนั้นฉันไม่ได้ทำร้ายเขาเลย”
“ยังไงการตายของพี่นุก็เป็นฝีมือคนเมืองลับแล ถ้าคุณไม่ได้ทำจริงๆ ก็แปลว่าบัวคำคงเป็นคนทำสินะครับ”
“จริงสิ นอกจากฉันกับพี่บัวคำแล้ว ก็ยังมีบุษบาลาวัณย์อีกคน หรือว่าจะเป็นฝีมือนางจริงๆ”
ทศนนท์คิดตาม “บุษบาลาวัณย์ ที่เคยลวงผมกับคุณเทศเข้าไปในถ้ำเหรอครับ”
ปรางทิพย์พยักหน้ารับ ทศนนท์คิดตาม เริ่มเห็นด้วย
ระหว่างนี้บงกชมาลาพานิรชาเดินเข้ามา ในมือนิรชาถือห่อผ้าสมบัติมาด้วย
ทศนนท์ถามนิรชาขึ้นว่า “คุยธุระกันเสร็จแล้วเหรอครับ”
นิรชาพยักหน้ารับเศร้าๆ
“พวกเจ้ารีบกลับออกไปจากที่นี่กันเถิด เพราะป่านนี้เวลาที่บ้านเมืองของพวกเจ้าคงผ่านมาหลายวันแล้ว” บงกชมาลาบอกนิรชา
“ค่ะคุณทวด”
บงกชมาลาเสียงเครือสั่น มองห่วงใย “เจ้าจงกลับไปแจ้งแก่แม่ของเจ้าให้เข้าใจว่า...มัลลิกานารีได้เลือกทางของนางแล้ว”
นิรชาน้ำตาคลอ “ค่ะคุณทวด”
“ถ้าประตูเมืองยังสามารถติดต่อกันได้เช่นนี้ ขอให้เจ้ากลับมาเยี่ยมทวดอีกหนานิรชา”
นิรชาพยักหน้ารับเพราะความเสียใจและดีใจที่ได้เจอทวด ทุกอย่างนั้นจุกอกจนพูดไม่ออก
นิรชาก้มลงกราบลา บงกชมาลากอดประคองนิรชาอย่างห่วงใย น้ำตาคลอ
ทศนนท์มองทั้งคู่อย่างเห็นใจ
ปรางทิพย์มณฑาทองน้ำตาคลอๆ แววตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสงสารเห็นใจ แต่ต้องเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ ทศนนท์เห็นท่าทีนั้น
รถยนต์ซึ่งคมสันเป็นคนขับแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ทรงกลดลงจากรถด้วยท่าทางสบายใจ สองพ่อลูกใส่ชุดดำกลับจากงานศพผู้ใหญ่จรัล
“ผมไม่คิดเลยว่าทุกอย่างมันจะง่ายขนาดนี้ จู่ๆ ผู้ใหญ่ก็มาตาย ทีนี้คงไม่มีใครยื่นเรื่องตรวจสอบบ่อน้ำในหมู่บ้านแล้ว”
คมสันยังคงนั่งอยู่ในรถ หันมาเตือน
“ยังไงก็ต้องระวังตัวเอาไว้ เผื่อหลักฐานทุกอย่างมีคนสานต่อ แกจะซวยเอา”
ทรงกลดยิ้ม “คงอีกนานน่ะพ่อ ถ้าไอ้ถนอมขึ้นมา มันก็เป็นผัวนังมิ้นลูกน้องผมอยู่ดี ส่วนไอ้ตุ๊ดนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอก”
“พ่อจะหาทางหนุนไอ้หนอมขึ้นแทนผู้ใหญ่จรัลก่อน แต่ยังไงๆ แกก็ระวังตัวไว้ดีกว่า เพราะเรื่องที่ดินที่พวกนังครูนั้นฟ้องมาก็ยังลูกผีลูกคนอยู่เลย”
“ครับพ่อ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ผมพอจะมีแผนเตรียมไว้แล้ว พ่อไปทำธุระเถอะครับ รถติดเดี๋ยวจะสายเอา”
รถแล่นออกไป ทรงกลดยิ้มกริ่มอย่างพอใจ
ทรงกลดเดินเข้ามาในบ้านมาอย่างอารมณ์ดี แล้วหยุดชะงักตกใจตาตื่น เมื่อเห็นบุษบาลาวัณย์สวยงามอยู่ในชุดสาวเมืองลับแล
ทรงกลดตกตะลึงในความงามของบุษบาลาวัณย์อย่างต้องมนต์
“คุณบุษ...”
“คุณพร้อมจะไปกับฉันหรือยัง”
ทรงกลดแปลกใจ “ไปงานอะไรเหรอ ไม่เห็นคุณบอกอะไรผมไว้เลยนี่”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มหวาน “ฉันจะพาคุณไปที่เมืองของฉัน”
ทรงกลดตกใจ “ตอนนี้เลยเหรอครับ”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มพลางพยักหน้ารับ
“แต่ผมยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย”
“คุณก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมนี่ค่ะ”
ทรงกลดยิ้มรับแต่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
พริบตาเดียว บุษบาลาวัณย์ก็พาทรงกลดมาโผล่กลางป่า แถวน้ำตกนางลับแล ทรงกลดอึ้งหนัก มองบุษบาลาวัณย์อย่างอัศจรรย์ใจ
“คุณทำยังไง!”
บุษบาลาวัณย์ยิ้ม
“ฉันทำได้มากกว่านี้อีก”
ทรงกลดอ้าปากจะถามต่อ บุษบาลาวัณย์ปากไม่ให้พูด แล้วรีบพาเขาไปแอบหลังต้นไม้ใหญ่ บุ้ยใบ้ให้มองดู ปรางทิพย์ ทศนนท์ นิรชา ที่เดินมาด้วยกัน
“พวกนั้นเพิ่งกลับมาจากเมืองลับแล”
ทรงกลดมองชุดที่ทุกคนใส่ด้วยความแปลกตา พึมพำพูดเบาๆ
“เมืองลับแล”
บุษบาลาวัณย์มองทรงกลดยิ้มเยือกเย็น
“หรือว่า..ที่เนตรมายาบอกว่าคุณปรางเป็น…จะเป็นเรื่องจริง”
“ตามฉันมาสิ แล้วฉันพาคุณเดินทะลุม่านน้ำตกเข้าไปในเมืองลับแลเอง”
ทรงกลดนึกขึ้นได้รีบยกมือถือขึ้นมาเตรียมจะอัดคลิปไว้เป็นหลักฐาน
“ถ่ายไม่ติดหรอก เก็บไว้เถอะ ฉันบอกคุณแล้วว่าไม่ต้องเอาของพวกนี้มา เพราะมันจะใช้อะไรไม่ได้เลยถ้าเข้าเมืองฉัน”
ทรงกลดมีสีหน้างงๆ เก็บมือถือใส่กระเป๋ามองออกไปอย่างแปลกใจ บุษบาลาวัณย์จับมือทรงกลดเดินออกไป
ปรางทิพย์เปลี่ยนชุดแล้ว นั่งซึมอยู่ในห้องรับแขก
ทศนนท์เปลี่ยนชุดเดิมเช่นกันเดินเข้ามา เห็นปรางทิพย์ดูเศร้าสร้อย จึงถามอย่างเป็นห่วง
“คุณปรางคิดเรื่องคุณยายมาลีอยู่เหรอครับ”
ปรางทิพย์อึ้งไป
“อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ ที่เรื่องเป็นแบบนี้เพราะมันเป็นความต้องการของคุณยายเอง”
“คุณไม่โกรธฉันเหรอคะ”
ทศนนท์เอามือแตะไหล่ให้กำลังใจ “ไม่หรอกครับ ผมเชื่อว่าคุณเองก็คงไม่อยากให้ทุกอย่างมันจบลงแบบนี้”
ปรางทิพย์นิ่งคิดแล้วฝืนยิ้ม
บัวคำพานิรชาซึ่งเปลี่ยนชุดเดิมเสร็จแล้วเดินเข้ามาสมทบ
นิรชามองเห็นทั้งคู่ใกล้ชิดกันแล้วอึ้งไป ทำอะไรไม่ถูก เดินมาหยิบห่อผ้าที่วางตรงหน้าทั้งคู่
“ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ปรางทิพย์พยักหน้าให้
ทศนนท์มองเป็นห่วง “ตอนนี้มืดแล้ว เดี๋ยวผมไปส่ง ผมขอตัวนะครับ”
ทั้งคู่เดินออกไปด้วยกัน ปรางทิพย์มองตามอย่างเจ็บปวดใจ
“แม่หญิง...”
บัวคำปลอบปรางทิพย์ด้วยความสงสารและเข้าใจ
ทางเดินในถ้ำสุบรรณเหรา บุษบาลาวัณย์พาทรงกลดเดินเข้ามาในนั้น
ทรงกลดตกตะลึงตาค้าง มองไปที่ถนนทางแยกที่โรยด้วยเพชรนิลจินดาดั่งถูกมนต์สะกด จนลืมตัวจะเดินเข้าไปบุษบาลาวัณย์รีบคว้าแขนไว้
“ทางนั้นไปไม่ได้ค่ะ มันอันตราย”
ทรงกลดไม่ฟัง แสงเรืองรองเหล่านั้นมันช่างล่อตาเขายิ่งนัก
“เพชรนิลจินดาพวกนี้เป็นของจริงหรือเปล่า”
“ที่นี่มีแต่ของจริงค่ะ”
“นี่มันขุมทรัพย์ชัดๆ เลยนะคุณ คุณรู้ไหมของพวกนี้ถ้าเอาออกไปได้จะมีค่ามหาศาลขนาดไหน เรากินใช้ยังไงก็ไม่มีวันหมด ด้านในเมืองลับแลมีของพวกนี้อีกไหมครับ”
บุษบาลาวัณย์พยักหน้าให้ “ฉันอยากให้คุณได้เห็นต้นไม้ทองคำศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่าต้นกำเนิดใบผ่านทาง เป็นต้นไม้ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองของที่นี่ แต่...”
ทรงกลดสงสัย “อะไรครับ”
บุษบาลาวัณย์หน้าเศร้าลง “เมื่อก่อนต้นไม้ทองคำสวยสง่างามเพราะมีใบงอกงาม ทุกครั้งที่มีเด็กกำเนิดขึ้นมา เขาก็จะได้รับใบผ่านทางของตนเอง แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่กิ่งก้านที่ไร้ใบ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมต้นไม้ถึงได้เป็นแบบนั้น”
“เพราะนังปรางทิพย์มณฑาทองทำให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ชายในเมืองถูกฆ่าทั้งหมด หลังจากนั้นก็ไม่มีเด็กถือกำเนิดขึ้นมาอีกเลย”
“มันเป็นเรื่องจริงที่น่าเหลือเชื่อมากเลยครับ” ทรงกลดไม่อยากจะเชื่อ เขายื่นใบไม้ขึ้นมาหลอกถาม “ใบนี้ใช่ไหมครับ ใบผ่านทาง”
“ค่ะ ถ้าไม่มีใบผ่านทางก็ไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้”
“มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”
“ไปกันเถอะค่ะ”
ทรงกลดรีบเดินตามบุษบาลาวัณย์อย่างว่าง่าย แต่ไม่วายเหลียวกลับไปมองทางที่เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาแล้วยิ้มชั่วมีแผนออกมา
หน้าร้านกาแฟคืนนี้ ปิดไฟหมด บรรยากาศเงียบสงัด
ทศนนท์กับนิรชาเดินเข้ามาหน้าร้าน พลางมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ
“น้าศักดิ์น้าตาลไปไหนกันหมดนะ”
“นั่นสิ ทำไมเก็บของกันเร็วขนาดนี้ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ”
นิรชาร้อนใจรีบหยิบมือถือขึ้นมาจะโทรออกแต่แบตหมด
“ตายละ แบตฉันหมด สงสัยเป็นเพราะเราเข้าไปเมืองลับแลหลายวันแน่ๆ”
“ดูท่าทางเหมือนตั้งใจปิดร้านไปไหนกันมากกว่า สังเกตว่าตอนเราเดินผ่านบ้านอื่นๆ ก็เงียบเหมือนกัน”
นิรชายังกังวลไม่คลายเครียดจนน้ำตาคลอๆ “ฉันหวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นอีกนะคะ แค่เรื่องคุณยายฉันก็ไม่รู้จะบอกคุณแม่ยังไงแล้ว”
ทศนนท์ปลอบใจ “อย่าคิดมากเลยนะครับ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมเอง ผมเป็นคนพาคุณยายไปเจอคุณปราง แต่กลับช่วยอะไรคุณยายไม่ได้เลย”
“อย่าโทษตัวเองเลยนะคะ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะค่อยๆผ่านไป”
“ขอบคุณนะครับที่คุณเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าแต่ที่จริงผมต้องเป็นคนปลอบคุณนี่ครับ แต่ทำไมคุณกลับมาเป็นฝ่ายมาปลอบผมอีก”
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างเข้าใจซึ่งกันและกัน
เสียงกฤตณีร้องทักดังขึ้น “เนียร์ แกกลับมาแล้วเหรอ”
สองคนหันไปมองตามเสียง แล้วต้องชะงักแปลกใจ เมื่อเห็น กฤตณี ตาล มัทนา ทุกคนใส่ชุดดำไว้ทุกข์
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงใส่ชุดดำกันหมด ใครเป็นอะไรเหรอคิตตี้”
ทุกคนมองหน้ากันเศร้าๆ
ฝ่ายทรงกลดมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น
ทรงกลดพึมพำพูดเบาๆ “หลังม่านน้ำตก มีเมืองลับแลอยู่จริงๆ”
เขานึกถึงคำพูดแม่หมอเนตรตาทิพย์
“ถ้าเป็นผีธรรมดาป่านนี้ลงหม้อไปแล้ว แต่นี่มันเป็นถึงธิดาแห่งเจ้าเมืองลับแล ฉันเลยกำจัดมันไม่ได้สักทีไง”
ทรงกลดไม่อยากเชื่อ “คุณปรางเป็นธิดาเมืองลับแลจริงๆเหรอเนี่ย”
“คุณรับในสิ่งที่ฉันเป็นได้ใช่ไหม” เสียงบุษบาลาวัณย์เรียกทรงกลดให้สะดุ้งหลุดจากภวังค์ แล้วหันมาตอบสีหน้ายิ้มแย้ม
“รับได้สิครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง ผมก็รับได้ทุกอย่าง”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มดีใจ แล้วเดินนำออกไป
ทุกคนนั่งที่โต๊ะหน้าร้าน สีหน้าเศร้า คิตตี้บอกว่า
“พวกเราเพิ่งกลับมาจากงานศพผู้ใหญ่จรัล”
นิรชากับทศนนท์ตกใจ
“ผู้ใหญ่จรัลเป็นอะไรคิตตี้”
“นั่นสิครับ เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมยังเห็นผู้ใหญ่ดูปกติอยู่เลย”
“ผลตรวจออกมาว่าหัวใจวายเฉียบพลัน แต่พวกเจ้าแม่เนตรก็ใส่ร้ายว่าเป็นฝีมือผีแม่ม่ายอีกตามเคย”
ทศนนท์กับนิรชาหันมองหน้ากันไม่อยากเชื่อ
กฤตณีมองหามาลี แต่ไม่เห็น จึงเอ่ยปากถามนิรชา
“แล้วคุณยายไม่กลับมากับแกเหรอเนียร์”
“นั่นสิลูก คุณยายอยู่ที่ไหนเหรอ บ้านคุณปรางหรือเปล่า ทำไมยังไม่กลับมา
นิรชาจุกอก เสียงสั่นนิดๆ “คุณยาย…อยากจะอยู่กับเพื่อนค่ะแม่”
มัทนาไม่เชื่อ “เพื่อนที่ไหนลูก แม่ไม่เคยได้ยินคุณยายพูดถึงเพื่อนที่ไหนเลย นอกจากคุณยายปรางทิพย์มณฑาทอง”
นิรชาพยายามกลั้นน้ำตาจนพูดไม่ออก จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เนียร์ว่าทุกคนมาเหนื่อยๆ รีบขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เนียร์เล่าให้ฟัง เมื่อกี้คุณบ่นว่าง่วงนอนอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ทศนนท์รับลูกทันที แกล้งหาวหวอดๆ “ครับๆ งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ทศนนท์ยกมือไหว้ลาตาล มัทนา แล้วเดินออกไปเลย นิรชามีสีหน้าครุ่นคิด
ปรางทิพย์น้ำตาคลอ รู้สึกเสียใจไม่หาย
“ข้าไม่คิดเลยว่าเรื่องจักเป็นเช่นนี้ ไม่นึกว่ามัลลิกานารีจักตัดสินใจฆ่าตัวตายเช่นนั้น”
บัวคำปลอบ “นางคงคิดถี่ถ้วนแล้ว จึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น”
“แต่ข้ามิเคยปรารถนาให้เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าเพียงโกรธขึ้งนาง แต่มิเคยเกลียดชังนางเลย เพราะนางคือเพื่อนรักของข้า”
“ทุกอย่างผ่านไปแล้ว แม่หญิงอย่าคิดโทษตนเองให้เจ็บปวดอีกเลย”
“ใช่ทุกอย่างผ่านไปแล้วจริงๆ ข้าควรจักทำเช่นไรดีพี่บัวคำ ข้าควรเลิกตามหาความจริงได้แล้วใช่หรือไม่ ยิ่งข้าเข้าใกล้ความจริงมากเพียงใดข้ายิ่งเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก”
“แม่หญิงทำทุกอย่างมาถึงขนาดนี้แล้ว อดทนอีกไม่นานดอกเจ้าค่ะ”
“ก็จริงอย่างที่พี่พูด ข้าเจ็บปวดทรมานมานานเพื่อแลกกับการได้ตามหาความจริง หากข้าถอดใจเสีย ทุกอย่างที่ทำมาย่อมไร้ค่า”
ปรางทิพย์ครุ่นคิดถึงคืนนั้นในอดีต
ที่ลานพิพากษาตัดสินโทษเมืองลับแล
พวกผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญเสียใจที่สูญเสียชายอันเป็นที่รักไปจนหมดเมือง ปรางทิพย์มณฑาทองมองไปรอบตัว หมุนคว้างทั้งเสียใจสับสนและสิ้นหวัง
เสียงด่าทอต่อว่าของหญิงชาวเมือง ดังกึกก้องอยู่ในหัวของปรางทิพย์
บุหงารำไพตะโกนก้อง “ปรางทิพย์มณฑาทอง เจ้าทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นเช่นนี้ เพราะเจ้า”
“คนรักของเราต้องตายก็เพราะเจ้า นังปรางทิพย์มณฑาทอง”
พวกผู้หญิง ต่างพากันตะโกนขับไล่ด้วยความเคียดแค้น
“จงไปรับโทษทัณฑ์ของเจ้ากับท่านสุบรรณเหราบัดเดี๋ยวนี้”
ช่อทิพย์วิมาดาอึ้ง เพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พึมพำเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้น
“ไม่...ข้าจะไปขอร้องให้ท่านสุบรรณเหราเมตตาเจ้า”
“ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวลไปเลย ไม่ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าพร้อมยอมรับผิดทุกสถานโดยมิหวั่นเกรง”
ช่อทิพย์วิมาดาแทบขาดใจ “ลูกแม่...ไม่…”
ช่อทิพย์วิมาดาเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าทุกคน ปรางทิพย์มณฑาทองเข้าไปพยุงไว้
ผการุจี บุหงารำไพและหญิงสาวคนอื่นๆ เข้ามาไล่ให้ปรางทิพย์รีบออกไปรับโทษ
เธอจำใจลุกขึ้นซวนเซนิดๆ บัวคำรีบเข้าไปประคอง
ปรางทิพย์มองทุกอย่างตรงหน้า น้ำตาร่วงพรูด้วยความอาดูร ก่อนจะเดินออกไป บัวคำรีบตามไปด้วย
ปรางทิพย์มณฑาทอง พร้อมด้วยบัวคำพิลาศ คุกเข่าเคารพต่อท่านสุบรรณเหราในโถงถ้ำ
“ข้าพร้อมยอมรับผิดทุกอย่างเจ้าข้าท่านสุบรรณเหรา แล้วแต่ท่านจักพิจารณาโทษทัณฑ์ของข้าเถิด”
“นับจากนี้ต่อไปประตูเมืองจักถูกปิดตาย ไม่มีการติดต่อใดๆกับเมืองมนุษย์อีก” ท่านสุบรรณเหราประกาศก้อง
ปรางทิพย์ก้มรับคำตัดสิน แล้วลุกขึ้น “ข้าพร้อมแล้วเจ้าข้าท่านสุบรรณเหรา”
ปรางทิพย์ยิ้มองอาจในหน้าพร้อมยอมรับโทษ เดินไปที่ผนังถ้ำ จู่ๆ ร่างก็ถูกควันปกคลุมก่อนจะดูดกลืนหายเข้าไปในนั้น เช่นเดียวกับที่บุษบาลาวัณย์เคยโดน
บัวคำพิลาศน้ำตาไหลริน สงสารจับใจ
ปรางทิพย์นึกถึงวันนั้น ถึงกับน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บปวดหัวใจ
“พี่บัวคำ พี่เห็นเช่นเดียวกับข้าหรือไม่ว่าคุณทศเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขามีใจให้ผู้อื่นและไม่เห็นข้าในสายตาอีกต่อไป”
บัวคำสงสารนัก “แม่หญิงอย่าได้คิดตัดพ้อเช่นนั้นเลย ให้เวลาคุณทศอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“ยิ่งข้าได้รู้ว่าครูเนียร์คือหลานแท้ๆของมัลลิกานารี ข้ายิ่งเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก เหมือนกรรมเก่าได้ย้อนกลับมาทำร้ายหัวใจของข้าอีกครั้ง”
“แม่หญิงกลัวว่าคุณทศจักมีใจให้ครูเนียร์จริงๆใช่หรือไม่”
ปรางทิพย์จุกอก “ข้าสับสน มิรู้ว่าข้าควรทำเช่นไรดี ข้าควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ชะตากำหนดไว้ หรือควรจักแย่งเขากลับมาให้ได้”
ปรางทิพย์ปล่อยโฮออกมาอย่างสิ้นหวัง บัวคำได้แต่กอดปลอบ
“แม่หญิง ท่านเลือกแล้วที่จักเดินตามหาความจริง แล้วเหตุใดจักถอดใจง่ายๆเล่า ท่านลืมไปแล้วรึว่า กว่าที่ท่านจักร้องขอต่อท่านสุบรรณเหราได้นั้น ท่านต้องแลกกับสิ่งใดบ้าง อย่าให้ทุกอย่างสูญเปล่าเลยหนาแม่หญิง”
ปรางทิพย์ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาอีก
ในเวลาต่อมา ผนังถ้ำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวดั่งม่านน้ำแข็ง เห็นเงาปรางทิพย์มณฑาทองยืนอยู่ด้านใน ค่อยๆ เดินออกมาจากผนังถ้ำ สำรวจร่างกายตัวเอง
ปรางทิพย์มณฑาทองยิ้มดีใจ ก้มลงกราบเคารพต่อสุบรรณเหรา
“บัดนี้ข้าได้ชดใช้โทษทัณฑ์จนครบวาระสิ้น หลังจากนี้ข้าเป็นอิสระแล้วข้าขออนุญาตออกไปตามหาลูกข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
สุบรรณเหราไม่พอใจ “เจ้าถูกจองจำแล้วยังมิสำนึกอีกรึ! เหตุใดจึงไม่จดจำเสียบ้างว่าพวกมนุษย์ได้ทำสิ่งใดไว้กับที่นี่”
“โปรดเมตตาต่อข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ ลูกข้ามีเลือดเนื้อของข้า เลือดเนื้อครึ่งหนึ่งที่เป็นคนเมืองนี้”
สุบรรณเหราหัวเราะเยาะ “เจ้าก็รู้ว่าเวลาของที่นี่กับเมืองมนุษย์นั้นต่างกันเพียงใด ถึงข้าปล่อยเจ้าออกไป แต่ป่านนี่ลูกกับผัวเจ้าก็คงแก่ตายไปกันหมดแล้ว”
“ถึงจักเป็นเช่นนั้นก็ขอให้ข้าได้รู้ความจริงเถิดเจ้าข้า ขอเพียงประตูเมืองเปิดอีกครั้ง ข้าต้องแลกกับสิ่งใดข้าก็พร้อมยอมรับเจ้าข้า”
“ได้ ข้าอนุญาตให้เจ้าออกไปก็ได้”
ปรางทิพย์ยิ้มดีใจ ก้มกราบอีก “ขอบพระคุณท่านยิ่งนัก”
“อย่าได้ดีใจเกินไปนัก ที่ข้ายอมให้ประตูเมืองเปิดได้อีกครั้งนั้น เจ้าต้องยอมรับข้อตกลงของข้าเสียก่อน”
ปรางทิพย์นึกถึงข้อตกลงที่ให้ไว้กับสุบรรณเหราด้วยความเจ็บปวด
“เงื่อนไขคือเจ้าจักต้องออกไปตามหาอ้ายเทศกับมัลลิกานารีมารับโทษ ข้ามีเวลาให้เจ้าได้เพียงสองปีเมืองมนุษย์ แล้วก่อนถึงวันอมาวสีเจ้าจักต้องกลายร่างเป็นหญิงชราอัปลักษณ์ จนกว่าเจ้าจักนำตัวชายบาปมาบูชาต่อข้า เจ้าจึงจักกลายร่างกลับมาดังเดิมได้ แต่หากเจ้าทำมิได้ เจ้าต้องอยู่ในร่างอัปลักษณ์นั้นตลอดไป และหากครบกำหนดสองปีแล้ว เจ้าทำมิสำเร็จ ประตูเมืองจะถูกปิดไปตลอดกาล”
“ถือว่าท่านเมตาต่อข้ายิ่งนัก ข้าขอรับเงื่อนไขทั้งหมดเจ้าข้า”
ปรางทิพย์มณฑาทองน้ำตานองหน้า เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ในครานั้น
เมื่ออ่านบันทึกที่นิรชาให้อ่านจนจบ มัทนาถึงกับอึ้ง น้ำตาคลอ ทำสมุดบันทึกของมาลีตกลงพื้น
“นี่มันนิทานที่ยายเคยเล่าให้แม่ฟังตอนเด็กๆ นี่”
นิรชาเข้ามากอดปลอบใจ
“มันไม่ใช่นิทานค่ะแม่ มันเป็นเรื่องจริง เรื่องที่แม่อ่านนั่นคือเรื่องราวของคุณยายจริงๆ”
“จะเป็นไปได้ไง มีเรื่องแบบนี้ในโลกด้วยเหรอ”
“เนียร์ไปเห็นมากับตาแล้วค่ะแม่ ว่ามีเมืองลับแลจริงๆ คุณทศก็เห็น”
“แล้วคุณยายจะกลับมาหาเราไหมลูก เพราะคำพูดที่เขียนไว้ตอนท้ายมันเหมือนเป็นการสั่งลายังไงก็ไม่รู้”
“แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพราะสิ่งที่คุณยายตัดสินใจทำลงไปนั้นท่านได้เลือกแล้ว และเป็นสิ่งที่ท่านทำแล้วมีความสุขที่สุด”
“แม่คิดถึงคุณยายจัง ถ้ามีโอกาสหนูช่วยพาแม่ไปพบคุณยายหน่อยนะลูก”
นิรชายิ้มบางๆ สวมกอดมัทนาเพื่อหลบสายตาไม่อยากให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้ในใจ
“ค่ะแม่ ถ้ามีโอกาสหนูจะรีบพาแม่ไปพบกับคุณยายนะคะ”
มัทนายิ้มออกมาอย่างมีความหวัง ไม่เห็นน้ำตาของนิรชาน้ำตาหยดรินออกมา
จู่ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนจะเกิดอาเพศ สุสานต้นไม้ยืนต้นเรียงราย ลมพัดรุนแรงเหมือนไม่ต้อนรับทรงกลด
“เกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ ก็เหมือนฝนจะตกเลย”
“งั้นคุณก็รีบทำความเคารพพ่อกับพี่ฉันเถอะค่ะ”
บุษบาลาวัณย์ก้มกราบต้นไม้เคารพต่อดวงวิญญาณบิดาและพี่ชาย ทรงกลดมองงงๆแต่ก็รีบก้มกราบเคารพตาม จังหวะหนึ่งเขาเงยหน้าขึ้นเห็นใบไม้ทองคำซ่อนอยู่หลังป้ายชื่อ จึงหยิบใบไม้ทองคำของตัวเองขึ้นมาดูเทียบกัน
“ใบผ่านทางนี่เหมือนกันกับที่อยู่หลังป้ายชื่อนั่นไหม”
“เหมือนกันค่ะ แต่ใบผ่านทางใบนี้เป็นของเพื่อนฉัน ฉันขอยืมมาให้คุณใช้ก่อน”
“อ้าว แล้วทำไมไม่เอาของพ่อคุณไปใช้ล่ะครับ ในเมื่อมันเหมือนกันอยู่แล้ว”
บุษบาลาวัณย์บอกเสียงแข็ง “ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ เพราะมันเป็นการลบหลู่ผู้จากไป”
“ผมพอจะเข้าใจแล้ว แล้วต้นไม้นี่ล่ะครับ ที่บ้านคุณเขาฝังศพไว้ใต้ต้นไม้เหรอ ดูเรียบง่ายดีจังเลยนะครับ”
“ไม่ได้ฝังหรอกค่ะ แต่ต้นไม้ทุกต้นคือดวงจิตสุดท้ายของคนที่จากไป”
ทรงกลดมองบุษบาลาวัณย์อย่างไม่เข้าใจนัก
มีเสียงกระพือปีกของท่านสุบรรณเหราดังขึ้น ทรงกลดมองไปรอบๆ หาที่มา
“เสียงอะไร”
บุษบาลาวัณย์มองไปอย่างผวากลัว รีบใช้ผ้าคลุมตัวทรงกลดและจับมือเขาไว้ทั้งคู่หายวับไป
ใต้ผ้าคลุม ทรงกลดมองบุษบาลาวัณย์อย่างหวานซึ้ง พอลมพัดผ้าคลุมปลิวออก เห็นทั้งคู่ยืนจับมือและสบตากัน ทรงกลดมองไปรอบๆอย่างตื่นตกใจ
“ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“คุณเริ่มจะกลัวฉันหรือยังล่ะคะ”
“ทำไมต้องกลัวล่ะครับ ดีเสียอีก เผื่อผมอยากไปไหนไวๆ ก็ให้คุณพาไป รถก็ไม่ติดน้ำมันก็ไม่เสีย ถ้าจะให้ดีกว่านี้คุณสอนผมด้วยได้ไหมครับ”
“ฉันคงสอนคุณไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉันก็ทำได้เอง แต่พอออกไปอยู่เมืองมนุษย์นานๆ ทุกอย่างก็จะค่อยๆ หายไปจนเป็นแค่คนธรรมดา”
ทรงกลดนึกขึ้นได้ “แล้วเมื่อกี้คือเสียงอะไรเหรอครับ”
บุษบาลาวัณย์อึกอัก “นั่นคือท่านสุบรรณเหรา ผู้คุ้มครองเมืองนี้ และท่านก็เกลียดมนุษย์มาก ฉันถึงต้องรีบพาคุณหนีมาก่อน ไปค่ะ ฉันจะพาคุณไปที่บ้านฉัน”
ทรงกลดยิ้มดีใจ
เรณูศจีวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบนเรือนบ้านท่านจอมจักรา พลางตะโกนเรียก ช่อทิพย์วิมาดา
“ท่านแม่เมืองเจ้าข้า…ท่านแม่เมือง”
ช่อทิพย์วิมาดารีบเดินออกมาจากด้านในพร้อมกับสาวใช้
“เสียงดังอันใดกันเล่าแม่เรณูศจี”
เรณูศจีรายงานทันที “ท่านแม่เมือง บุษบาลาวัณย์พามนุษย์ชายแปลกหน้าเข้ามาในเมืองเราเจ้าค่ะ”
“นางทำเช่นนั้นทำไมกัน ประเดี๋ยวข้าจักต้องไปปรามนางด้วยตัวข้าเอง”
ช่อทิพย์วิมาดาถอนหายใจในความไม่รู้จักคิดของบุษบาลาวัณย์
บุษบาลาวัณย์เดินนำทรงกลดตรงไปที่บ้านตน ทรงกลดเอ่ยถามขึ้นด้วยความโลภ
“ที่คุณบอกว่าในเมืองลับแลมีพวกเพชรนิลจินดาอีก หมายถึงบ้านคุณหรือเปล่าครับ”
บุษบาลาวัณย์พยักหน้า “ของใช้ทุกอย่างที่บ้านฉันทำจากทองคำแท้ทั้งนั้นค่ะ”
ทรงกลดตาลุกวาว “จะเป็นอะไรไหมถ้าผมอยากดู เพราะผมเป็นคนชอบของเก่า”
“ได้สิคะ ของของฉันก็เหมือนของของคุณน่ะแหละค่ะ เดี๋ยวฉันพาไปดู”
จู่ๆบุษบาลาวัณย์ก็มีสีหน้าตื่นตกใจ หยุดเดินแล้วมองหาทางหนีที่ไล่
“คุณรีบวิ่งลงไปหลบที่อื่นก่อนนะ ถ้าได้ยินเสียงฉันเรียกแล้วค่อยออกมา”
ทรงกลดตกใจ พยักหน้ารับหงึกๆ แล้วรีบวิ่งออกไป “โอเคๆ”
ทำให้ช่อทิพย์วิมาดา เรณูศจี และสาวใช้เดินเข้ามาอย่างเฉียดฉิว
เรณูศจีมองหาแต่ไม่เจอแล้ว “บุษบาลาวัณย์ เจ้าซ่อนชายผู้นั้นไว้ที่ใด”
บุษบาลาวัณย์พูดลอยหน้าลอยตาใส่ท่านแม่เมือง “เจ้าเห็นสิ่งใดนอกจากตัวข้าหรือไม่เล่า จึงได้มาใส่ร้ายข้า คงคิดว่าข้าจักเป็นเช่น… ผู้ที่พามนุษย์มาทำร้ายบ้านเมืองกระนั้นรึ”
ช่อทิพย์วิมาดาโกรธแต่คร้านจะทะเลาะ “หยุดใช้วาจาเช่นคนเขลาได้แล้วบุษบาลาวัณย์”
“คงจะมีเพียงลูกของท่านสินะ ที่พามนุษย์เข้ามาได้”
“เป็นผู้ใดก็ต้องขออนุญาตข้าก่อน เพราะข้าเป็นผู้ดูแลเมืองนี้ มิใช่จักทำอันใดก็ทำ แล้วคิดแต่จักใส่ร้ายผู้อื่น”
“ใครๆ ก็รู้ว่าต้นเหตุที่บ้านเมืองเราเป็นเช่นนี้เกิดจากลูกท่านผู้เดียว” นางย้อนอีก
เรณูศจีโมโหแทรกขึ้น “ถ้าเจ้ารู้ว่าต้นเหตุแท้จริงเป็นใคร เจ้าจักทำเช่นไรบุษบาลาวัณย์ จักมีหน้ายืนชูคอเช่นนี้หรือไม่”
ช่อทิพย์วิมาดาปรามไว้ “อย่าไปต่อปากต่อคำกับนางเลย ความจริงเป็นเช่นไร สักวันนางต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง พอถึงวันนั้นนางจักเข้าใจ”
ช่อทิพย์วิมาดามองเรณูศจีกับสาวใช้แล้วพยักหน้าเชิงบอก ทุกคนเดินออกไป
บุษบาลาวัณย์คุมแค้นมองตามหลังด้วยความเจ็บใจ
ทันทีที่สามคนพ้นตัวไป บุษบาลาวัณย์ตะโกนเรียกหาทรงกลด
“คุณทรงกลด…อยู่ไหนคะ ออกมาได้แล้วค่ะ”
เงียบไม่มีเสียงตอบ บุษบาลาวัณย์มองไปรอบๆ ไม่เจอทรงกลด ก็แปลกใจ
“หายไปไหนของเขานะ”
บุษบาลาวัณย์เดินดูรอบๆ แต่ก็ไม่เจอ เธอเริ่มกลัวว่าทรงกลดจะเป็นอันตราย
“หรือว่า…คุณทรงกลด!”
บุษบาลาวัณย์ตกใจจะรีบเดินออกไปตามหาทรงกลด
จนมีเสียงทรงกลดดังมาจากทางแนวป่า “คุณบุษผมอยู่นี่ครับ”
ทรงกลดวิ่งกระหืดกระหอบมาจากทางสุสานต้นไม้ ท่าทางมีพิรุธ
“คุณไปไหนมา”
“ผมกลัวจะโดนจับได้ เลยวิ่งไปซ่อนในป่าด้านโน้นมาครับ”
บุษบาลาวัณย์โล่งใจ “คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตอนนี้เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อนค่ะ”
ทรงกลดยังเสียดายไม่อยากกลับ “แล้วคุณจะพาผมมาที่นี่อีกไหมครับ”
บุษบาลาวัณย์หน้าเศร้า “ฉันคงไม่กลับมาที่นี่อีก เพราะฉันไม่มีผู้ใดให้ห่วงหาอีกต่อไปแล้ว”
ทรงกลดยิ้มเจ้าเล่ห์ มีแผนร้าย
เช้าวันนี้ รถทรงกลดแล่นเข้ามาหยุดที่หน้าสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ด้วยความเร็ว บีบแตรดังลั่น
เนตรมายารีบลงมาดูอย่างแปลกใจ เห็นทรงกลดลงจากรถด้วยท่าทางรีบเร่งร้อนใจ
“รีบมาแต่เช้าเลย คงไปเจอดีมาล่ะมั้ง ใช่ไหมคะคุณทรงกลด”
“ครับ ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาคุณหน่อย”
ทรงกลดพูดกับเนตรมายาด้วยเสียงเบาแต่หนักแน่นจริงจัง
“ผมรู้แล้วว่าเมืองแม่ม่ายที่คุณเคยพูดถึงนั่นมันมีอยู่จริง แต่พวกเขาไม่ใช่ผีนะ แค่มีพลังงานพิเศษ”
เนตรมายาไม่เชื่อ “พลังลวงตาน่ะสิไม่ว่า”
“ถ้าลวงตาผมก็คงเห็นภาพลวงตาพวกนายทศกับครูเนียร์ด้วยล่ะมั้ง เพราะผมเห็นพวกนั้นออกมาจากมาเมืองลับแลพร้อมคุณปราง”
เนตรมายชักเริ่มสนใจ เพราะเป็นห่วงทศนนท์ “คุณทศคงถูกมันหลอกเข้าไปแน่ๆ ว่าแต่คุณไปรู้เรื่องพวกนี่ได้ยังไง”
“ก็เพราะผมรู้จักคนจากเมืองลับแลน่ะสิ”
“บุษบาลาวัณย์น่ะเหรอ”
ทรงกลดประหลาดใจ “คุณรู้ได้ยังไง”
เนตรยามายิ้มมุมปาก “ฉันเจ้าแม่เนตรตาทิพย์นะคุณ มีอะไรที่อยากรู้แล้วไม่รู้บ้าง แล้วคุณจะให้ฉันช่วยอะไร ถ้าไม่คุ้มฉันไม่เอาด้วยนะ”
“รับรองงานนี้คุณเตรียมตัวพักยาวสบายๆ ได้เลย เพราะสมบัติที่มีในเมืองนั่นจะเปลี่ยนชีวิตพวกเราไปตลอดชาติ”
“งั้นครึ่งๆ ก็แล้วกัน ฉันจะได้เตรียมของ เพราะงานนี้ฉันว่าไม่น่าจะง่ายอย่างที่คิด”
ทรงกลดมองเนตรมายายิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะต่างคนก็ต่างหวังสมบัติ
“ได้…เอาที่คุณสบายใจ ผมแฟร์ๆไม่โกงใครอยู่แล้ว”
“จะไปวันไหน”
“เร็วที่สุด เตรียมตัวไว้ได้เลย”
ชายโฉดหญิงร้ายมองหน้ากันอย่างมีแผนชั่ว
ตาด่านเมาหลับอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่หน้าเรือน
ในขณะที่ทศนนท์ถือของฝาก เดินเข้ามากับนิรชา ครูสาวมองตาด่านอย่างไม่แน่ใจนัก
“สภาพนั้นจะพูดรู้เรื่องไหมคุณ”
ทศนนท์ยิ้ม “ถ้าไม่ได้อะไรก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน ถือว่ามีเยี่ยมแกก็แล้วกัน”
ด่านได้ยินเสียงงัวเงียโดยไม่ทันลืมตา “ใครมาบ่นอะไรวะ” พอลืมตามองเห็นทศนนท์ก็ร้องทักคิดว่าเป็นพี่เทศ “อ้าวพี่เทศ มาหาน้องด่านมีอะไรเหรอ”
“พี่เทศเอาของนี่มาฝากน้องด่านไง”
ทศนนท์เล่นด้วย ยื่นถุงของกินของใช้ให้
ด่านรีบเปิดดูแล้วงอแงเหมือนเด็ก “พี่เทศ…เอานมมาทำไม น้องด่านไม่ชอบ”
“กินของพวกนี้แล้วตาจะได้แข็งแรงไงคะ พี่เทศเขาเป็นห่วงนะ” นิรชาว่า
“พี่เทศน่ารักกับน้องเสมอ”
“แต่พี่เทศอยากถามอะไรน้องด่านหน่อย”
ด่านแกะขนมกับนมกล่องกินเหมือนเด็ก
“วันนั้นที่น้องด่านบอกเห็นผีฆ่าคนใช่คุณปรางไหม”
ด่านทำท่านึก แต่พูดเรื่องขนม “นมนี่ก็อร่อยดีเหมือนกันนะพี่เทศ ไม่ขมเหมือนเหล้า”
นิรชากับทศนนท์หันมองหน้ากันเหมือนจะถอดใจ
“นั่นสิจ๊ะ แล้วตาจะกินแต่เหล้าทำไมกัน”
ด่านพูดขึ้นมาลอยๆ “คุณปรางเขาไม่ได้ทำสักหน่อย คนที่ฆ่าคือใครก็ไม่รู้ ด่านไม่รู้จัก ว่าแต่พี่เทศไม่รักเมียพี่แล้วเหรอ ถึงได้ไปใส่ร้ายเมียตัวเองอย่างนั้น”
“พี่เทศกับคุณปรางเป็นผัวเมียกันเหรอน้องด่าน”
ด่านทำหน้าหน่าย ยื่นขนมให้ทศนนท์ “บ้าเปล่าเนี่ย เมียตัวเองก็จำไม่ได้ พี่เทศนี่ยังไงนะ กินนมหน่อยไหมจะได้ฉลาด
ทศนนท์กับนิรชาหันมองหน้ากันขำๆ
“แล้วตาด่านจำลูกพี่เทศได้ไหม”
“น้องทัศ...” ด่านตีปากตัวเองตกใจที่หลุดปาก กระซิบบอก “อย่าบอกใครนะว่าด่านพูด”
“ทำไมถึงพูดไม่ได้ละคะ”
ด่านมองหน้าทศนนท์ “ก็พี่เทศไง สั่งไว้ว่าห้ามบอกใคร เดี๋ยวจะมีคนมาทำร้ายน้องทัศ ด่านเก็บเป็นความลับ ไม่เคยบอกใครเลยนะ”
“แล้วพี่เทศเขาเอาน้องทัศไปไว้ไหน” นิรชาซัก
“เอาไปไว้ที่ไกลๆ แล้ว จะได้ไม่มีคนใจร้ายไปทำร้ายน้องทัศ”
“แล้วพี่เทศหายไปไหน น้องด่านรู้ไหม”
“พี่เทศก็ไปเขียนแผนที่ในป่าตามหาเมียไง” ตาด่านหน้าเศร้าลง “แล้วก็หายไปในถ้ำเลย”
“ถ้ำนางลับแลนั่นเหรอ”
“ไม่ใช่ มีอีกถ้ำนึง ไม่คุยด้วยแล้ว อยู่ๆ ก็มาตามหาตัวเอง ด่านนี่งงเลย”
ตาด่านไม่สนใจอะไรแล้ว เดินหนีขึ้นบ้านไป
“ฉันว่าลูกชายปู่เทศน่าจะยังมีชีวิตอยู่ เราอาจจะตามหาเจอได้ไม่ยาก”
“ผมก็คิดเหมือนกัน” ทศนนท์พยายามนึก “จริงสิ ผมเคยเห็นคุณปรางพูดเรื่องแผนที่ด้วย”
“งั้นคุณลองไปคุยกับคุณปรางดูสิคะ เผื่อจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม”
ทศนนท์หันมองนิรชาแล้วยิ้มอย่างมีหวัง
ไม่นานต่อมา บัวคำเดินนำทศนนท์เดินเข้ามาที่ห้องรับแขก ปรางทิพย์เงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณทศ”
ทศนนท์ลงนั่งมองปรางทิพย์อย่างรู้สึกผิด “ผมอยากมาขอโทษเรื่องที่ผมเข้าใจผิดคิดว่าคุณฆ่าพี่นุ”
ปรางทิพย์โล่งใจ ยิ้มออก “ไม่เป็นไรค่ะ เพราะถ้าฉันเป็นคุณก็คงคิดอย่างคุณเหมือนกัน”
“และผมก็มีอีกเรื่องอยากจะถามคุณปราง”
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องแผนที่ที่คุณเคยพูดถึง ว่าคุณทรงกลดเคยเอามาให้ ผมว่ามันน่าจะเป็นหลักฐานที่เชื่อมโยงไปหาคุณเทศได้”
ปรางทิพย์ยิ้มแล้วหันมองบัวคำอย่างมีหวัง
“เดี๋ยวพี่ไปหยิบมาให้”
ปรางทิพย์พยักหน้าให้ บัวคำรีบออกไป
“ผมว่าตอนนี้ลูกชายคุณอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้นะครับ”
ปรางทิพย์ดีใจจนน้ำตาคลอ “คุณรู้ได้ยังไง”
“ผมกับครูเนียร์ไปถามตาด่านมาครับ ตาด่านบอกว่าคุณเทศพาลูกชายไปไว้ที่ปลอดภัย แล้วเขาก็ออกตามหาคุณจนหายเข้าไปในถ้ำ”
“โธ่พี่เทศ ทัศนัยธำรงลูกแม่ ตอนนี้ลูกจะเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าถ้าเราเจอกัน เจ้าจะจำแม่ได้ไหม”
ทศนนท์นึกขึ้นได้ “จริงสิ ลูกชายคุณมีตำหนิที่ไหน หรือมีอะไรที่พอจะหาเบาะแสได้ไหมครับ ผมจะได้ช่วยตามหาง่ายขึ้น”
“นอกจากแง่งขมิ้นครึ่งหนึ่งที่พกติดตัวไว้แล้ว ก็มีปานแดงที่ใต้ท้องแขนข้างซ้าย”
สีหน้าทศนนท์มีสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรนะครับ ปานแดงใต้ท้องแขนข้างซ้ายเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ปานแดงรูปหัวใจ”
ทศนนท์ร้อนรนจนแทบนั่งไม่ติด
“ผมจะช่วยคุณตามหาลูกชายคุณให้เจอ”
ปรางทิพย์ดีใจ “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ”
“ครับ งั้นผมขอตัวเลยนะครับ”
ทศนนท์เดินออกไป ปรางทิพย์น้ำตาคลอเบ้ามองตามอย่างมีความหวัง
ด้านนิรชาเดินครุ่นคิดมาตามถนนมุ่งหน้ากลับร้านกาแฟ แต่แล้วต้องหยุดชะงักมองอย่างสงสัย เมื่อเห็นผู้คนกำลังมุงดูอะไรบางอย่าง และมีเสียงดังโวยวาย นิรชารีบเข้าไปดู เห็นมินตาร้องไห้กอดขาถนอมแน่น
“ฉันไม่ไป ถึงพี่จะไล่ฉันยังไงฉันก็ไม่ไปไอ้คลิปที่พี่เห็นมันไม่ใช่เรื่องจริง มีคนใส่ร้ายฉัน” มิ้นขึงตากราดมองทุกคนอย่างแค้นใจ “มันอิจฉาฉันที่มีผัวดีๆ อย่างพี่มันเลยสร้างเรื่องให้พี่เข้าใจฉันผิด...”
“ใคร…ใครที่ไหนมันจะคิดเรื่องต่ำๆอย่างงั้นวะนังมิ้น” เสถียรแทรกขึ้นยื่นมือถือใส่หน้ามินตา “แล้วไอ้คนในคลิปนี่มันก็เป็นแกชัดๆ หรือแกจะบอกว่าอีนี่มันหน้าเหมือนแกวะนังมิ้น”
มินตาโกรธจัด “มึงหุบปากไปเลยอีผีกะเทย มึงใช่ไหมที่เป็นคนถ่ายคลิปมาให้ผัวกู”
“มึงสิอีผี ผีตายอดตายยากเสียด้วยนะถึงกินเท่าไหร่ก็ไม่พอ”
“อีผีกะเทย มึงคงอยากได้ผัวกูสินะ ถึงหาเรื่องใส่ร้ายกูถ้ากูไม่ตบให้มึงสำนึกคงไม่ใช่กูอีมิ้นเสียแล้ว”
มินตากระโจนเข้าตบเสถียรก่อน เสถียรหน้าหันเอามือจับหน้าตัวเองอย่างรู้สึกเจ็บ
“นี่มึงตบกูเหรออีมิ้น” เสถียรจะตบคืนแล้วชะงักข่มใจ “กูลืมไปว่ากูไม่ควรลดตัวลงไปแตะต้องคนสกปรกโสโศรกแบบมึง”
“มึงสูงส่งตายล่ะอีเทยเฒ่า”
มินตาจะเข้าไปตบเสถียร แต่ถนอมจับแขนปรามไว้บอกสีหน้านิ่ง
“พอเถอะมิ้น!ยิ่งทำแบบนี้แกยิ่งดูไร้ราคา”
มินตาโกรธจนร้องไห้ “นี่พี่ปกป้องอีกะเทยเฒ่าเหรอ”
ถนอมประชดส่ง “เออ จะเป็นใครเพศไหนถ้าเป็นคนดีฉันก็คบหมดแหละ”
เสถียรอึ้งไป
มินตาเองก็อึ้งพูดไม่ออก “เออ กูไม่อยู่กับมึงแล้วก็ได้ผัวที่ไร้น้ำยาแบบมึงกูไปหาใหม่ดีกว่า”
ตาลช่วยพูด “นังมิ้น แกอย่าพูดแบบนั้น มีอะไรค่อยๆพูดกัน ถ้าแกไม่ผิดสักวันทุกอย่างมันก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดีเอง”
ศักดิ์ตะล่อม “นั่นสิ ข้าว่าพวกแกกลับไปคุยกันดีๆ ที่บ้านก่อนดีไหม นึกว่าเห็นแก่หน้าลูกแกนะ”
ตาด่านแทรกขึ้นเสียงอ้อแอ้ๆ “นังมิ้นเอ๊ยนังมิ้น แกก็น่าจะรักเดียวใจเดียว จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันทะเลาะกันโกรธกันไม่ดี” ด่านยังแอ็กติ้งเอามือทุบหน้าอกปวดใจ ก่อนจะเดินบ่นออกไป “เจ็บปวดหัวใจ ด่านไปดีกว่า เพราะแกแท้ๆ ไอ้จาวกับคุณนุถึงต้องทำผิดศีลเพราะแก เพราะแกไม่หยุด พวกเขาถึงต้องตาย”
ทุกคนมองหน้ากัน ตกใจทั้งแถบ ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
มินตาตกใจ รีบตะโกนด่าตาด่านกลบ
“แกไปเลยนะไอ้บ้า แก่ขี้เมาไร้ค่าอย่างแกเมื่อไหร่จะตายๆไปสักที”
มินตาหันมามองถนอม และทุกคน เห็นสายตาแล้วอึกอักพูดไม่ออก
ถนอม น้ำตาคลอปวดใจ “ต่อไปนี้แกอย่ากลับมาที่นี่อีกนะ ฉันไม่อยากให้ลูกรู้ว่าแกเป็นแม่ที่เลวขนาดไหน”
ถนอมเดินเสียใจออกไป
มินตาตะโกนด่าตามหลัง “เออกูจะไม่มีทางกลับมาที่นี่อีก เชิญพวกแกอยู่หมู่บ้านผีแม่ม่ายนี่ไปเลย กูไม่เอาด้วยแล้ว”
จากนั้นมินตาก็รีบเดินหนีความอายออกไป
ทุกคนมองหน้ากันพูดไม่ออก ได้แต่สงสารถนอม
เสถียรรีบวิ่งตามไปถามถนอม พลางบิดไปมาท่าทางเขินๆ
“ที่พี่บอกว่า…จะคบนี่ คบจริงปะ”
“ข้าประชด”
“โล่งอกไปทีเพราะฉันคิดกับพี่แค่พี่ชาย”
ถนอมถอนหายใจ แล้วเดินกลับไปเข้ากลุ่มพวกตาล
ทางด้านคมสันรู้เรื่องจากทรงกลดหมดแล้ว อุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“อะไรวะ มันมีจริงๆเหรอเนี่ย พ่อเคยได้ยินแต่ปู่แกเล่าให้ฟัง และเห็นปู่แกพยายามเข้าไปหาทางเข้าเมืองอยู่หลายครั้ง แต่ก็หาไม่เจอ”
“ปู่เข้าไม่ได้หรอกพ่อ เพราะปู่ไม่มีใบผ่านทาง”
“มันเป็นยังไงเหรอใบผ่านทาง”
ทรงกลดหยิบใบไม้ทองคำออกมายื่นให้พ่อ คมสันรับมาดู รู้สึกคุ้นตา
“พ่อว่าพ่อเคยเห็นใบไม้ทองคำแบบนี้จากปู่แกมาแล้ว จริงด้วยพ่อเคยเห็นตอนเด็กๆ ปู่แกเคยเอามาอวดพักนึง แล้วพอขัดสนก็เอาไปขายได้เงินมาใช้อยู่นานเลยแหละ”
“งั้นพ่อต้องช่วยผมนะ ถ้าครั้งนี้เราทำสำเร็จ เราจะรวยกันแบบใช้ยังไงก็ไม่มีวันหมดเลยแหละพ่อ”
คมสันยิ้มกริ่ม “งั้นแกก็รีบไปเตรียมคนเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ เดี๋ยวพ่อจะหลอกนังผู้หญิงของแกไว้ให้เอง ทางแกจะได้สะดวก”
“พ่อระวังตัวด้วยนะ นังนั่นก็ร้ายไม่ใช่เล่น”
“เฮ้ย! ถ้ามันรักแกจริง ก็จะไม่สงสัยหรอก เราต้องวางแผนดีๆ แล้วพ่อจะตีเนียนไม่ให้มันรู้ตัว”
ทั้งคู่หัวเราะแล้วหันมองหน้ากันอย่างคนมีแผนการทำเลว
คืนนี้ นิรชานั่งเศร้าๆ อยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งในร้านกาแฟ มัทนาเดินเข้ามาหาเอามือจับไหล่นิรชา
“คิดถึงคุณยายอยู่เหรอลูก”
นิรชายิ้มรับเศร้าๆ “ค่ะแม่”
“แม่ก็คิดถึงเหมือนกัน แต่แม่ว่าพรุ่งนี้แม่จะกลับแล้วนะ”
นิรชามองห่วงใย “แม่กลับไปอยู่คนเดียวได้เหรอคะ”
มัทนาถอนหายใจ “ถ้าบอกว่าได้แม่ก็คงโกหก แต่แม่จะอยู่ให้ได้เพราะคุณยายตัดสินใจแบบนั้นแล้ว ถ้าแม่เข้าไปขวาง ยายหนูคงไม่มีความสุขหรอกลูก อีกอย่างเดี๋ยวพ่อก็กลับมาแล้ว แม่เลยต้องรีบกลับไปรอที่บ้าน เดี๋ยวกลับมาจะไม่เจอใคร”
“แล้วถ้า…” นิรชาหนักใจ ไม่กล้าพูดต่อ
“ถ้าอะไรเหรอลูก”
นิรชาเปลี่ยนใจไม่พูด “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูขอกอดแม่หน่อยนะคะ”
มัทนายิ้มรับแล้วสวมกอดนิรชาด้วยความรัก
“แม่เชื่อว่าต่อให้คุณยายอยู่ที่ไหนเขาก็จะคิดถึงพวกเรา หนูไม่ต้องคิดมากนะลูกเพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคนทุกคนไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ทุกอย่างเกิดขึ้น เพราะโชคชะตา และแม่ก็เชื่อว่าสักวันคุณยายต้องกลับมาหาเรา”
นิรชาข่มใจเก็บความรู้สึก น้ำตาคลอเบ้า ไม่กล้าสบตาและตอบคำถามใดๆ ของมารดา
สองแม่ลูกสวมกอดกัน ให้กำลังใจกันและกัน
ที่บ้านทรงกลดคืนเดียวกัน เขานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานท่าทางเคร่งเครียดเอาการ
“คนพร้อมหรือยัง เอาให้ชัวร์ๆนะ ไอ้พวกปากมากห้ามเอามาเด็ดขาด”
เสียงบุษบาลาวัณย์ดังเข้ามา “คุยอะไรอยู่เหรอค่ะ ท่าทางเครียดจัง”
ทรงกลดอึกอักรีบวางสายแล้วหันมาหา เห็นบุษบาลาวัณย์ยกกาแฟเข้ามาวางให้ ทรงกลดรีบเข้าไปกอดบุษบาลาวัณย์อย่างเอาใจ
“ก็คุยเรื่องของเราไงครับ ผมกำลังเตรียมคนมาใช้ในงานแต่งของเรา”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มเขิน “คุณไปเห็นบ้านเมืองฉัน เห็นตัวตนที่แท้จริงของฉันแล้ว คุณยังอยากแต่งงานกับฉันอยู่อีกเหรอคะ”
ทรงกลดหอมเอาใจ “อยากสิ ผมรักที่ตัวคุณ เรื่องอื่นผมไม่สนใจหรอก”
“คุณก็เห็นแล้วว่าฉันไม่เหมือนพวกคุณ แล้วคุณไม่รังเกียจฉันเหรอคะ”
“อย่ามองตัวเองแบบนั้นสิครับ คุณเป็นผู้หญิงที่อัศจรรย์ที่สุดและเป็นคนพิเศษไม่เหมือนใคร ทำให้ผมยิ่งรักคุณมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มภูมิใจ
“คุณเหมือนพี่คอนจริงๆ ด้วย”
ทรงกลดชะงักไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็รีบพูดเอาใจ
“ช่วงนี้ผมคงจะยุ่งเตรียมงานของเราหน่อยนะครับ เพราะผมต้องเลือกทุกอย่างด้วยตัวผมเอง
บุษบาลาวัณย์ให้ฉันช่วยไหมคะ”
“ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมก็พอ” เขายกมือเธอมาหอมดอมดม “ผมฝากดูแลคุณพ่อผมในช่วงที่ผมเข้ากรุงเทพหน่อยนะครับ เพราะพ่อผมมีแค่ผมคนเดียว อีกอย่างช่วงนี้ท่านก็ไม่ค่อยสบายด้วย”
“ค่ะ คุณพ่อของคุณก็เหมือนคุณพ่อของฉัน ฉันจะดูแลท่านเองค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง นี่แปลว่าคุณจะไปหลายวันเหรอคะ”
“ผมคงไปสักอาทิตย์แหละครับ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยผมจะรีบกลับมานะครับ”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มรับ ทรงกลดลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทุกอย่างเป็นตามแผน
รถทศนนท์ขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้านในกรุงเทพฯ คุณสุนันท์ผู้เป็นมารดากำลังมาส์กหน้าขาว นอนดูทีวีช่อง8 อย่างสบายใจที่โชฟาโถงรับแขก
“สินค้ามาส่งแล้วครับ”
สุนันท์รีบลุกขึ้นมองตามเสียง แล้วดึงมาส์กออกเพื่อมองให้เห็นชัดๆ
“ไอ้ตัวแสบมาได้ไงเนี่ย ไม่โทร.มาบอกล่วงหน้า”
ทศนนท์แกล้งอำเล่น “ขอโทษครับ ผมคงมาผิดบ้าน”
“จะอำอะไรอีกล่ะ”
ทศนนท์เข้ามากอด “ก็แม่สวยจนผมเกือบจำไม่ได้นี่ นี่แม่แอบมีกิ๊กหรือเปล่าเนี่ย บอกผมมาเดี๋ยวนี้นะ”
สุนันท์ทำหน้าเซ็ง แกล้งกลับ “ว้า…รู้ได้ยังไง แม่อุตส่าห์ปิดมาตั้งนาน”
“กี่คน”
“สองคน”
“ผมกับพ่อใช่ไหมล่ะ” เขายิ้มกว้าง
สุนันท์ยิ้มชื่น หอมแก้มลูกแต่ไม่วายดราม่าใส่ “ชีวิตแม่ก็มีแค่ทศกับพ่อแหละลูก ทุกวันนี้แม่ได้แต่รอลูกที่ท่าน้ำทุกคืนเลย”
“แม่…จะดราม่าไปไหนเนี่ย ผมทศนะ ไม่ใช่อ้ายแดงลูกแม่นาค”
“ก็จริงนี่ เมื่อไหร่จะพาสาวมาให้แม่รู้จักบ้างล่ะ” สุนันท์มองจับผิดลูกชาย “หรือว่าจะพาหนุ่มๆ มาแทน...”
“ใช่…ผมเป็น…เป็นลูกแม่ไงคร้าบ”
ทศนนท์เข้าไปกอดเอาใจแม่ สุนันท์มองรู้ทัน
“จะเอาอะไร”
“บ้านหลังนี้และเงินในบัญชีทั้งหมด...ผมไม่เอา” ทศนนท์อำเล่นขำๆ ก่อนจะพูดท่าทีจริงจัง “ผมขอแค่กระเป๋าเจมส์บอนด์ของพ่อใบเดียวได้ไหมครับ”
“ในนั้นมันมีอะไรเหรอลูก แม่เห็นทศชอบเล่นกระเป๋าใบนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“ผมคิดว่าในนั้นมันมีอะไรบางอย่างที่ผมตามหาอยู่”
“งั้นลูกก็ขึ้นไปรื้อดูเอาเองเลยแล้วกัน มันคงจะอยู่ที่เดิมน่ะแหละ”
ทศนนท์ยิ้มมีความหวัง
สุนันท์บ่นกระปอกกระแปดเบาๆ “ก็นึกว่าคิดถึงเรา กลับมาหาเรา น้อยใจดีไหมเนี่ย”
ทศนนท์หอมแก้มมารดาฟอด “ผมรักแม่นะครับ”
ทั้งคู่ยิ้มเข้าใจกัน
กระเป๋าเอกสารเจมส์บอนด์วางอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้าในห้องนอนคุณสนันท์ ทศนนท์เอื้อมมือหยิบกระเป๋าลงมาวางที่โต๊ะทำงานในห้อง ใส่รหัส กระเป๋าถูกเปิดออก เขายิ้มสมใจ
ทศนนท์ค้นหาของในกระเป๋าตามซอกต่างๆ จนเจอแง่งทองคำครึ่งเดียว เขาหยิบแง่งทองคำอีกครึ่งในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาแล้วจับสองแง่งประกบกัน
แง่งทองในมือทศนนท์ประกบกันเป็นชิ้นเดียวกัน ทศนนท์มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ เขายิ้มกว้างแล้วมองออกไปอย่างมีความหวัง
“คุณปราง... พ่อ...”
บุษบาลาวัณย์เดินถือจานขนมไทยเข้ามาในบ้านท่าทางอารมณ์ดี ตะโกนเรียกคมสัน
“คุณพ่อคะ…คุณพ่อ อยู่ไหมคะ”
บุษบาลาวัณย์มองไปรอบๆไม่เจอใคร ก็ยิ่งแปลกใจ
“ไปไหนนะ”
บุษบาลาวัณย์นึกขึ้นได้ เดินถือจานขนมตรงไปวางที่โต๊ะอาหาร แต่ต้องชะงักกึกเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างตรงผนังซึ่งไม่เคยสังเกต
สาวลับแลเบิกตาโตตื่นตกใจถึงขีดสุด จานขนมหลุดมือตกแตกกระทบพื้นเสียงดังเพล้ง!
อ่านต่อตอนที่ 31