เพลงลับแล ตอนที่29 | ทายาทลับแล
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
เช้าวันรุ่งขึ้น ปรางทิพย์มณฑาทองค่อยๆได้สติแล้วลืมตาขึ้น ทองมองไปรอบๆเห็นผู้คนนอนเกลื่อนกลาด ปรางทิพย์มณฑาทองค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินหาจนเจอช่อทิพย์วิมาดาที่นอนอยู่ไม่ไกล จึงเข้าไปเขย่าตัว
“ท่านแม่…ท่านแม่” ปรางทิพย์หันไปเขย่าตัวบัวคำพิลาศกับเรณูศจี “พี่บัวคำพิลาศ…เรณูศจี…เป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้หญิงทุกคนค่อยๆ ได้สติ แล้วลุกขึ้นสำรวจตัวเองว่าไม่เป็นอะไร ต่างยิ้มดีใจที่ฟื้นจากความตาย
“เราไม่ตายแล้ว ท่านสุบรรณเหรามีเมตตาต่อเรายิ่งนัก” บุหงารำไพเอ่ยขึ้น
บงกชมาลารีบเข้าไปเขย่าตัวอัมรินทราให้ได้สติ แต่พอแตะต้องตัวอัมรินทราเข้าก็เกิดเอฟเฟ็กต์ เปลวไฟอัคคีมรณะลุกไหม้ไปทั้งร่าง จนร่างสลายเป็นสีขี้เถ้าลอยเต็มอากาศแล้วไปตกที่ต้นไม้ในสุสาน
บงกชมาลาร้องไห้แทบขาดใจ
“ไม่ ท่านพี่...ไม่”
ปรางทิพย์มณฑาทองมองดูทุกอย่างน้ำตาไหลอย่างเจ็บปวดปานจะขาดใจ แล้วหลับตาลงไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“สูญสลาย...ทุกอย่างสูญสลายจนหมดสิ้น ไม่เหลืออันใดอีกแล้ว”
มาลีก้มลงกราบช่อทิพย์วิมาดาอย่างสำนึกผิด
“ข้ามาเพื่อขอขมาแก่ท่านและทุกคนในเมือง”
ช่อทิพย์วิมาดามองมาลีด้วยสายตาขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด
“ความผิดของเจ้าใหญ่หลวงนัก เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าหากกลับมาเจ้าจักต้องพบกับสิ่งใด”
“ข้ารู้ และข้าพร้อมยินยอมรับโทษทัณฑ์ทุกประการ หากมันสามารถไถ่บาปที่ข้าได้ก่อเอาไว้ได้”
ช่อทิพย์วิมาดาตวาดใส่มาลีอย่างสุดทน
“เจ้าก็รู้ว่าจุดจบของสิ่งที่เจ้าทำจักต้องเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้ายังกล้าทำผิดศีล ผิดประเพณี ทั้งๆ ที่ปรางทิพย์มณฑาทองเป็นเพื่อนรักของเจ้า”
มาลีร้องไห้โฮ “ข้ามิได้มีเจตนาเลยสักนิด”
ปรางทิพย์ยืนฟังอยู่ข้างๆ ช่อทิพย์วิมาดา ทนฟังต่อไปไม่ไหวจึงต้องพูดขึ้น
“มิเจตนา...แต่กลับหนีไปครองรักกันในเมืองมนุษย์เช่นนั้นรึ”
“มิใช่เช่นนั้น พี่เทศรักเพียงเจ้า ปรางทิพย์มณฑาทอง”
ปรางทิพย์ได้ยินกลับรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น เธอพูดออกมาอย่างเย้ยหยันแต่น้ำตาคลอเบ้า
“รักเพียงข้า แต่หนีออกไปพร้อมกับเจ้า แล้วยังพรากลูกไปจากข้าอีก คนเยี่ยงพวกเจ้า สมควรถูกลงโทษให้สาสมกับความผิด”
“เปล่าเลยปรางทิพย์มณฑาทอง พวกเรามิได้หนีไปด้วยกัน ครานั้นข้ากลับเข้าเมืองมาแล้วเห็นทุกคนในเมืองล้มตายกันหมด ข้าจึงกลับไปที่บ้านพี่เทศ แต่ข้าก็มิเห็นพวกเขาทั้งคู่อยู่ที่นั่น คิดว่าพี่เทศคงพาทัศนัยธำรงกลับเข้าเมืองมาด้วยความเป็นห่วงเจ้า และต้องพบกับชะตากรรมเช่นชายชาวเมืองคนอื่นๆ” มาลีเลี่ยงคำว่าตาย สีหน้าเศร้าสลดลง “ทุกอย่างมันเป็นความผิดของข้าเอง”
ปรางทิพย์ชะงัก สีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ
“ไม่ ไม่มีพี่เทศ พี่เทศกับทัศนัยธำรงมิได้กลับมาที่นี่”
มาลีมองปรางทิพย์ด้วยสีหน้าตกใจ
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา สีหน้าสับสน ระคนสงสัย
ที่บ้านทรงกลด
บุษบาลาวัณย์ในชุดสวย เดินลงมาจากห้องนอนชั้นบนมาถึงโถงชั้นล่าง มีคมสันยืนรออยู่ เขายิ้มแย้มทักทายอย่างยินดี
“วันนี้สวยมากเลยนะหนูบุษ”
“ขอบคุณค่ะ แต่ทำไมคุณพ่อถึงให้บุษแต่งตัวสวยขนาดนี้ด้วย จะไปไหนกันเหรอคะ”
“ไปงานสำคัญ รีบไปเถอะ เจ้ากลดรออยู่ที่นั่นแล้ว”
“แล้วคุณพ่อไม่ไปด้วยกันเหรอคะ”
คมสันยิ้มใจดี “ไม่ละ ให้หนุ่มๆ สาวๆ ไปกันเองจะดีกว่า รีบไปเถอะรถจอดรออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว”
บุษบาลาวัณย์เดินออกไป คมสันยิ้มเจ้าเล่ห์มองตาม
เวลาเดียวกัน ที่ร้านกาแฟบ้านศักดิ์
ปรัชญา จาริณีและเสถียร นั่งกินขนมจีนน้ำยากันอยู่ที่โต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย เสถียรสูดเส้นขนมจีนเสียงดัง ก่อนจะร้องโวยวายขึ้น เพราะเส้นขนมจีนดีดเข้าตา
“โอ๊ย! แสบๆๆๆ ขนมจีนดีดเข้าตาฉัน โอ๊ย!ๆๆๆ”
ทุกคนมองตกใจ จ๋ายิ้มสงสารปนขำ
“อ้าว ทำไมเป็นงั้นล่ะพี่น้ำหวาน”
นิรชารีบหยิบทิชชูวิ่งมาส่งให้
“ทิชชู่จ้ะพี่น้ำหวาน
เสถียรรับทิชชูไปซับที่ตา
“โอ๊ย! เส้นขนมจีนบ้านน้าตาลทำไมมันดิ้นได้เนี่ย”
“อ้าว นังนี่รำไม่ดี โทษปี่โทษกลองเหรอแก” ตาลเอ็ดเอา
“ก็มันดิ้นได้จริงๆ นี่นา ดูสิเนี่ย มันดีดน้ำยาขนมจีนใส่ตาฉัน”
“ก็พี่เล่นสูดซะแรงขนาดนั้น จะไม่ให้มันดีดใส่ตาได้ยังไงล่ะครับ”
“นี่พี่ต้องกินแบบนี้ จิ้มซ้อมลงไป แล้วหมุน เหมือนกินสปาเก็ตตี้น่ะ แบบนี้มันจะได้ไม่ดีด”
จาริณีทำให้ดูแล้วตักขนมจีนใส่ปากพร้อมกับกินให้ดูอย่างเอร็ดอร่อย
“กินแบบนั้นมันจะไปแซ่บได้ยังไงล่ะคะน้องจ๋า นี่มันต้องแบบนี้ๆๆๆ”
เสถียรตักขนมจีนดูดจนเต็มปาก
“อ้าวๆๆ เดี๋ยวก็กระเด็นเข้าตาอีกหรอก อ้าวดูทำเข้า” ศักดิ์บ่น
ทุกคนพากันหัวเราะกับท่าทางของเสถียร
ระหว่างนี้ทศนนท์ พีรพร เดินเข้ามาในร้าน ตาลมองเห็นจึงร้องทักขึ้น
“กินอะไรดีคะคุณทศ คุณพี วันนี้มีขนมจีนน้ำยารสเด็ดด้วยนะ”
พีรพรรีบเดินไปเปิดหม้อแกงดู
“โหย...จัดมาเลยครับน้าตาล เอาพิเศษเลยนะครับ”
“ตะกละได้โล่เลยนะคุณพี เดี๋ยวฉันจัดใส่กะละมังให้เลยดีไหม สงสัยชามคง ไม่พอ” คิตตี้เหน็บ
“อ้าว...พูดเป็นเล่นไป ถ้าได้ผมก็เอานะครับ”
พีรพรพูดล้อกฤตณีขำๆ เดินไปนั่งรอที่โต๊ะ ทศนนท์หันไปสั่งกับนิรชา
“ของผมด้วยชุดหนึ่งนะครับ”
นิรชาพยักหน้ารับ แล้วเดินไปช่วยกฤตณีหยิบขนมจีนใส่จาน สองสาวยกขนมจีนและน้ำมาให้สองหนุ่ม
“คุณทศ เดี๋ยวกินเสร็จแล้ว ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมคะ”
ทศนนท์มองหน้านิรชาเห็นมีวี่แววกังวลอยู่ อ่านออกว่านิรชาอยากจะคุยกับตน
“ได้ครับ”
ทศนนท์ลุกเดินนำออกไปทันที นิรชามองฉงนที่เขาไม่ยอมกินข้าวก่อน แต่ก็เดินตามไป
พีรพรและกฤตณี มองตามบ่นๆ ตามประสา
“เดี๋ยวนี้ คู่นี้นี่ชักยังไงๆ แล้วนะ”
“ใช่ เหมือนมีลับลมคมนัยกันด้วย”
เนตรมายาเดินเข้ามาในร้าน เห็นทศนนท์และนิรชาเดินออกไปด้วยกันพอดี
ทศนนท์เดินนำเข้ามาในสวนข้างบ้าน นิรชาตามเข้าหยุดยืนตรงหน้าเขา
“ทำไมไม่กินข้าวกลางวันให้เสร็จก่อนล่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเห็นหน้าตาคุณดูกังวล คงเป็นเรื่องคุณยายใช่ไหมครับ”
นิรชามีสีหน้าเป็นกังวลอย่างชัดแจ้ง
“ค่ะ... คุณยายไปกับคุณปรางหลายวันแล้ว อีกอย่างคุณยายก็ไม่ค่อยสบาย ยาท่านก็ไม่ได้เอาติดตัวไปด้วย”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมเชื่อว่าคุณปรางต้องดูแลคุณยายได้”
สีหน้านิรชายังไม่ค่อยดีขึ้นสักเท่าไหร่ พยายามไม่คิดอะไรมากตามที่ทศนนท์บอก
เนตรมายาแอบฟังที่หลังพุ่มไม้ ด้วยสีหน้าสงสัย
ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมือง
บุษบาลาวัณย์เดินผ่านประตูร้านอาหารเข้ามา ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เมื่อพบว่าบรรยากาศภายในร้านอาหารเงียบเหงา ไม่มีลูกค้าสักคน มีเพียงบริกรที่ยืนรอให้บริการลูกค้าอยู่ 2 คน และทรงกลดที่แต่งตัวหล่อ ยืนยิ้มรอเธออยู่ที่โต๊ะอาหารที่มีลูกโป่งและดอกไม้ตกแต่งรอบๆ อย่างสวยงาม
บุษบาลาวัณย์เดินงงๆ ตรงเข้ามาหาทรงกลด
ทรงกลดเดินมาขยับเก้าอี้ให้เธอนั่งอย่างสุภาพ แล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตนเอง
บุษบาลาวัณย์รู้สึกแปลกๆ เลยกระซิบถามขึ้น
“คุณทรงกลด ร้านนี้อาหารจะอร่อยเหรอ”
“ทำไมถามอย่างนี้ครับ”
“ก็ไม่เห็นมีคนมากินเลย”
ทรงกลดยิ้มขำในความซื่อของหล่อน
“วันนี้เป็นวันพิเศษ ผมไม่อยากให้ใครมารบกวนเวลาส่วนตัวของเรา”
พูดจบทรงกลดก็หันไปพยักหน้าให้กับบริกรที่ยืนอยู่
บริกรรีบยกถาดอาหารที่มีฝาครอบปิดเอาไว้มาวางลงตรงหน้าบุษบาลาวัณย์อย่างสุภาพ
บุษบาลาวัณย์มองฉงนที่มีเพียงแต่จานของตนเอง
“แล้วคุณไม่กินเหรอคะ”
ทรงกลดยิ้มหล่อ “ลองเปิดดูสิว่าคุณชอบหรือเปล่า”
บุษบาลาวัณย์งงหนัก แต่ก็เปิดฝาครอบจานอาหารออกโดยดี แต่เมื่อเธอมองเห็นสิ่งที่อยู่ในจาน เธอก็มองอย่างแปลกใจ
ในจานมีกล่องใส่แหวนเพชรวางอยู่
บุษบาลาวัณย์เรียกบริกรเข้ามาถาม
“คุณยกมาผิดหรือเปล่า นี่ไม่ใช่อาหารนะ”
บริกรหน้าเหวอไป
ทรงกลดแทบหลุดขำออกมา ก่อนจะโบกมือให้บริกรเดินออกไป บุษบาลาวัณย์มองตามงงๆ
“เขาเอาแหวนมาให้ฉันทำไม มันกินไม่ได้สักหน่อย”
ทรงกลดลุกเดินเข้ามาหาบุษบาลาวัณย์ แล้วหยิบแหวนที่วางอยู่บนจานออกมา คุกเข่าลงที่ตรงหน้าเธอ บุษบาลาวัณย์แปลกใจหนัก
“คุณจะทำอะไร”
ทรงกลดหยิบมือซ้ายของบุษบาลาวัณย์มาแล้วสวมแหวนใส่ที่นิ้วนางของเธอ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แต่งงานกับผมนะครับ”
บุษบาลาวัณย์ตกใจระคนตื้นตันยินดี แต่แล้วสีหน้าเธอก็ต้องเปลี่ยนเป็นประหลาดใจแทน เธอหันไปมองรอบๆ ร้านที่ดูว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลยสักคน ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“งานแต่งงานของที่นี่ เขาทำกันแค่นี้เองเหรอคะ ไม่มีพ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่มาเป็นสักขีพยานเลยเหรอ”
ทรงกลดยิ้มขำ “นี่ผมแค่ขอคุณแต่งงาน งานแต่งเราต้องมีญาติผู้ใหญ่ ทั้งฝ่ายของคุณและฝ่ายของผมแน่นอน คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าคุณจะแต่งงานกับผมหรือเปล่า”
บุษบาลาวัณย์คิดตาม เริ่มเข้าใจสิ่งที่ทรงกลดอธิบาย เธอยิ้มตอบอย่างยินดี
“ค่ะ แต่ง ฉันแต่งกับคุณค่ะ
ทรงกลดก้มลงจูบที่หลังมือบุษบาลาวัณย์อย่างแผ่วเบา ก่อนจะกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตนเอง
“ทีนี้ ผมก็จะพาผู้ใหญ่ของผมไปสู่ขอคุณ แต่ก่อนอื่นคุณคงต้องพาผมไปทำความรู้จักกับญาติผู้ใหญ่ของคุณก่อน”
“ผู้ใหญ่ฝ่ายฉันเหรอคะ”
บุษบาลาวัณย์เริ่มอึกอัก ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอธิบายกับทรงกลดอย่างไรดี
ทรงกลดนิ่งมองบุษบาลาวัณย์ ลุ้นคำตอบ
ที่บ้านท่านจอมจักรา ปรางทิพย์ย้อนถามมาลีด้วยสีหน้าสงสัย
“แต่พี่สุริยเดช บอกว่าพวกเจ้าพาทัศนัยธำรงหนีออกไปด้วยกัน”
“มิใช่เลยปรางทิพย์มณฑาทอง พี่สุริยเดชมุสาต่อเจ้า เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเขาเพียงผู้เดียว เขาลวงทัศนัยธำรงไปซ่อนเพื่อหลอกให้เจ้าไปเห็นข้ากับพี่เทศ...”
มาลีไม่กล้าพูดต่อด้วยรู้สึกละอายในสิ่งที่กระทำ
ปรางทิพย์หมั่นไส้ “ฮึ...แต่สิ่งที่ข้าเห็นก็เป็นความจริงมิใช่รึ”
“ข้ายอมรับว่าข้าเองก็มีส่วนผิด ที่หูเบาเชื่อพี่สุริยเดช ว่าพีเทศมีใจให้แก่ข้า แต่จริงๆ แล้วมิใช่เลย เขาบอกข้าชัดเจนว่าเขารักและมั่นคงต่อเจ้าเพียงผู้เดียว ส่วนทัศนัยธำรงถูกกลลวงของพี่สุริยเดช ภายหลังข้าไปช่วยเขาเอาไว้ได้”
“ทั้งหมดเป็นฝีมือของสุริยเดชเช่นนั้นรึ” ช่อทิพย์วิมาดาคิดตาม “อาจเป็นเช่นนั้นได้ สุริยเดชแอบหลงรักปรางทิพย์มณฑาทองมานาน อาจมีจิตริษยาก็เป็นได้”
ปรางทิพย์คิดตาม นึกถึงวันนั้นที่ลูกชายหายตัวไป
“ลูกแม่ ไปกินข้าวได้แล้ว อยู่ที่ใดกัน ทัศนัยธำรง”
ปรางทิพย์ตะโกนเรียกลูกชาย เดินตามหาไปทั่ว จนเห็นสุริยเดชเดินเข้ามาหา
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นปรางทิพย์มณฑาทอง”
“อ้าว... พี่สุริยเดช ออกมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ข้าเพิ่งออกมาจากเมือง ได้ยินเจ้าเรียกหาทัศนัยธำรงรึ”
“ใช่ ข้าออกมาตามเด็กๆ ไปกินข้าว เมื่อสักครู่ยังเห็นวิ่งเล่นกับด่านอยู่ละแวกนี้”
“เด็กก็คงวิ่งเล่นไปทั่ว ประเดี๋ยวข้าจักช่วยเจ้าหาเอง”
“ขอบน้ำใจท่านพี่สุริยเดช
“เช่นนั้นเจ้าไปตามหาทางนั้น” เขาชี้ไปทางที่เทศอยู่กับมัลลิกานารี “ส่วนข้าจักไปตามหาทางนี้เอง”
ปรางทิพย์พยักหน้ารับแล้วออกเดินหาทัศนัยธำรง
ปรางทิพย์คิดทบทวน รู้สึกได้ว่าสิ่งที่มาลีพูดน่าจะเป็นความจริง หญิงสาวเริ่มน้ำตาคลอและร้องไห้ออกมา
“ป่านนี้พี่เทศคงสิ้นอายุขัยไปแล้ว แล้วลูกข้าเล่าจักเป็นเช่นไรบ้าง”
ปรางทิพย์ร่ำไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ทุกคนต่างมองอย่างเห็นใจ
ที่ร้านกาแฟบ้านศักดิ์ ทุกคนกินอาหารเสร็จและลุกเดินออกจากร้าน
“จะกลับไปทำงานกันต่อแล้วเหรอคะหมอ” ตาลถาม
“ครับ”
กฤตณีแกล้งล้อ “แล้วเย็นนี้จะมากินข้าวที่นี่ไหมคะหมอ คิตตี้จะได้ทำอาหารไว้รอ”
“แหม พูดอย่างกับจะทำกับข้าวเองจริงๆ งั้นแหละ”
“โถ่พี่น้ำหวาน อย่างน้อยๆ ฉันก็ช่วยเป็นลูกมือนะ” คิตตี้แถ
ทุกคนหัวเราะ
“ว่ายังไงล่ะหมอ จะมากินด้วยกันไหม หนูจ๋ามาด้วยก็ได้นะ”
“ขอบคุณครับน้าตาล แต่พอดีผมมีประชุมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เพิ่งมาตรวจสภาพแวดล้อมในหมู่บ้านน่ะครับ”
“ประชุมใหญ่กันทุกคนเลย ผู้ใหญ่บ้านกับฉันก็ต้องไป” เสถียรว่า
ศักดิ์แซว “แหมเดี๋ยวนี้ดูเป็นคนสำคัญเชียวนะนังน้ำหวาน มีประชงประชุมกับเขาด้วย”
เสถียรยิ้มยืดอย่างภูมิใจ
“ว่าได้เหรอน้าศักดิ์ เดี๋ยวนี้ฉันน่ะเป็นมือขวาของพ่อผู้ใหญ่เชียวนะ”
ศักดิ์และตาลมองอย่างไม่อยากเชื่อ จาริณีช่วยยืนยัน
“จริงจ้ะน้าศักดิ์ น้าตาล เดี๋ยวนี้พ่อจะไปไหน ไปทำอะไรก็เรียกหาแต่พี่น้ำหวาน เห็นชมตลอดว่าทำงานเก่ง”
“เห็นไหมล่ะ ว่าฉันเก่ง ฉันสวย ฉันเริดขนาดไหน”
“เออๆ เชื่อๆ ไปได้แล้วไป ไหนบอกมีประชุมสำคัญไม่ใช่เหรอ”
“ไปนะครับ” / “ไปนะคะ”
ปรัชญา จาริณี และเสถียรเดินออกจากร้านไป
พีรพรกินข้าวและน้ำจนเสร็จ เขามองดูนาฬิกาข้อมือ แล้วมองหาทศนนท์
“พี่ทศคุยธุระกับครูเนียร์เสร็จรึยังนะ จวนได้เวลาไปทำงานต่อกันแล้ว ป่านนี้ยังไม่มากินอะไรอีก”
กฤตณีเดินมาหาพีรพร
“จะรีบไปทำงานต่อแล้วเหรอคุณพี”
“ใช่ครับ นัดผู้รับเหมาเอาไว้ด้วย”
“งั้นเดี๋ยวน้าจัดของกินของคุณทศใส่ปิ่นโตให้ คุณพีรีบไปตามคุณทศเถอะ” ตาลบอก
“ขอบคุณครับน้าตาล”
พีรพรลุกออกไปตามทศนนท์
เนตรมายาแอบฟังอยู่ จนได้ยินเสียงคนเดินมา เธอหันไปมองแล้วรีบหลบไปซ่อนตัวที่มุมหนึ่ง
ทศนนท์และนิรชายังนั่งคุยกันต่อ
ทศนนท์เห็นสีหน้าเป็นกังวลของนิรชา พลอยรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย เขาจับมือเธอมากุมพูดปลอบใจ
“ใจเย็นๆ นะครับ คงไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นกับคุณยายหรอกครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่กี่วัน คุณปรางและคุณยายก็คงจะกลับมา”
“ฉันก็หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคุณยาย”
เสียงเรียกของพีรพรดังขึ้น “พี่ทศ ไปกันได้แล้วพี่”
ทศนนท์ดึงมือออกจากมือนิรชา ทั้งคู่หันไปทางเสียง เห็นพีรพรเดินเข้ามา
“ไปเถอะพี่ เรามีนัดกับผู้รับเหมาที่ไซต์งานนะ”
ทศนนท์นึกขึ้นได้ “จริงด้วย พี่ลืมไปเลย”
“แต่คุณทศยังไม่ได้กินอะไรเลยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงพี่ทศหรอกครับครูเนียร์ น้าตาลเอาของกินใส่ปิ่นโตไว้ให้แล้ว”
“งั้นผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวเย็นๆ ผมมาคุยด้วยใหม่”
“ค่ะ” นิรชายิ้มรับเอาคำ
พีรพรและทศนนท์เดินออกไป แต่นิรชายังคงนั่งอยู่ที่ตรงนั้นอย่างเป็นกังวล
กระทั่ง มีเสียงหัวเราะของเนตรมายาดังขึ้น นิรชาหันมองเห็นแม่หมอเดินเข้ามา
“คุณเนตร”
“กล้าจริงเลยนะที่ปล่อยให้ยายเธอไปกับนังผีแม่ม่ายนั่น”
“นี่คุณแอบฟังพวกเราคุยกันเหรอ”
นิรชาไม่พอใจ แต่เนตรมายาไม่สน
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ ยายเธอน่ะไม่มีทางได้กลับมาหรอก ขนาดคุณนุเป็นเพื่อนของคุณทศแท้ๆ มันยังกล้าฆ่า นับประสาอะไรกับยายของคู่แข่งอย่างเธอ”
“คุณจะกล่าวหาคุณปรางมากไปแล้วนะ”
“กล่าวหาที่ไหนกัน ที่ฉันกล้าพูดเพราะฉันมีข้อมูล และเชื่อถือได้ด้วย นังนั่นมันเป็นลูกสาวเมืองผีแม่ม่าย และที่มันออกมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์อย่างเราได้ก็เพราะมันต้องใช้วิญญาณมนุษย์มาหล่อเลี้ยงกายทิพย์ของมัน”
นิรชาชักเริ่มสับสน “แต่คุณยายฉันไม่ใช่ผู้ชาย”
เนตรมายาหัวเราะหยัน “ครูนี่ช่างซื่อจริงๆ เชียว ผีร้ายยังไงมันก็คือผีร้าย เวลามันหิวคิดเหรอว่ามันจะเลือกว่าชายหรือหญิง ขอให้เป็นมนุษย์มันก็กินได้หมดนั่นแหละ”
นิรชาคล้อยตาม คิดหนัก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ เธอจึงเลือกที่จะเดินหนีออกไป
เนตรมายาตะโกนตามหลังไปอย่างสะใจ
“ฉันเตือนเธอแล้วนะถ้าเกิดยายเธอเป็นอะไรขึ้นมา จะมาหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ”
กลับถึงบ้านทรงกลด บุษบาลาวัณย์เดินออกมาที่ระเบียงห้อง เหม่อมองออกไปด้วยสีหน้าหนักใจ ทรงกลดเดินตามออกมาสอดมือไปกอดเอวของเธอ
“ถ้าผมทำให้คุณลำบากใจ ผมไม่ไปก็ได้นะ”
บุษบาลาวัณย์ยังคงเงียบ ใช้ความคิดอย่างหนัก
ทรงกลดมองบุษบาลาวัณย์อย่างผิดหวัง ปล่อยมือออกจากเอวของเธอ พูดตัดพ้อ
“หรือถ้าคุณมีคนรักอยู่แล้ว จะไม่แต่งงานกับผม ผมก็ไม่ว่าอะไร เรายังคงเป็นเพื่อนกันได้
ทรงกลดหันหลังจะเดินกลับเข้าไป บุษบาลาวัณย์หันกลับมาเรียกทรงกลดเอาไว้
“เดี๋ยวค่ะ คุณทรงกลด”
ทรงกลดลอบยิ้มสมใจ ก่อนจะหันมามองบุษบาลาวัณย์สีหน้าเศร้า
“คุณไม่ต้องอธิบายอะไรหรอกครับ ผมเข้าใจ”
“ขอเวลาฉันคิดสักหน่อยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอคุณได้เสมอ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน”
“ไม่นานหรอกค่ะ ไม่เกินพรุ่งนี้ฉันจะให้คำตอบคุณ”
บุษบาลาวัณย์คิดหนัก ทรงกลดยิ้มสีหน้ามีความหวัง
นิรชานั่งหน้าเครียดอยู่ในห้อง ก้มลงมองสมุดบันทึกของมาลีในมือ
“ขอโทษที่เนียร์ละลาบละล้วงนะคะคุณยาย เนียร์อยากรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นมายังไงจริงๆ”
นิรชาตัดสินใจเปิดบันทึกของมาลีอ่าน
“วันที่ 7 เดือน 7 พ.ศ.2497 ขณะนี้ฉันได้เข้ามาอยู่ในเมืองมนุษย์เป็นเวลา 5 ปีแล้ว ครูนิยม สามีของฉัน ได้สอนให้ฉันเขียนอ่านภาษาไทยสมัยใหม่จนแตกฉาน ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วฉันเป็นใครมาจากไหน รู้เพียงว่าฉันเป็นสาวบ้านป่าที่พ่อแม่ต่างลาจากโลกนี้ไปแล้ว จนถึงวันนี้ฉันยังรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ ทำให้พ่อแม่และทุกคนในเมืองต้องตาย”
นิรชามีสีหน้าตกใจ
“อะไรกันเนี่ย”
นิรชารีบพลิกสมุดบันทึกอ่านไปเรื่อยๆ อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอเพิ่งได้อ่านไป
บันทึกนั้นพาครูสาวย้อนไปเห็นเรื่องราวในอดีต
ตั้งแต่วันแรกที่เทศเจอมัลลิกานารี และช่วยเธอไว้ตอนตกจากต้นไม้จนทั้งคู่ล้มลง เทศกอดมัลลิกานารีไว้ในอ้อมแขน ทั้งคู่มองหน้ากัน
เทศแสดงความมีน้ำใจ ให้ใบไม้ทองคำกับมัลลิกานารี “ข้าเป็นคนทำใบผ่านทางหายเองข้ายินยอมที่จะรับโทษขอรับท่านพ่อเมือง”
เทศนึกสงสารมัลลิกานารีที่ถูกบังคับให้แต่งงาน เขาลูบหัวเธอเบาๆ ปลอบโยน
“หากอยากร้องไห้ก็จงร้องให้พอเถิด”
มัลลิกานารีโผเข้ากอดซบอกเทศร้องไห้โฮๆ เทศตกใจนิดๆ แต่ยอมกอดปลอบด้วยความรู้สึกสงสารและ เห็นใจ
ในที่สุดมัลลิกานารีถูกสุริยเดชปั่นหัว มองเขาด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
“อย่าได้กล่าวหาข้าเช่นนั้น ข้ารักพี่เทศดุจพี่ชายแท้ๆ ของข้า”
“แต่จากที่ข้าเห็น ข้าว่าพ่อเทศมิได้คิดกับเจ้าเช่นนั้นหนา ข้าเป็นผู้ชายด้วยกัน ข้าดูออก”
มัลลิกาอึ้งๆ แววตาเป็นประกาย ดีใจ สุริยเดชชอบใจ
น้ำใจของเทศทำให้มัลลิกานารียิ่งเชื่อว่าเขามีใจให้เธอ โดยในตอนนั้นมัลลิกานารีถือชามอาหารออกไปวางที่โต๊ะอาหารตรงชานเรือน เทศบังเอิญเดินมาเห็น เขายื่นมือออกไปรับชามอาหารไปวางที่โต๊ะแทน
ตอนที่มัลลิกานารี ร่วงหล่นจากบันไดท่ามกลางความตกใจของปรางทิพย์ เทศที่อยู่แถวตีนบันไดบ้านอยู่แล้ว รีบโผเข้ามาช่วยรับไว้
มัลลิกานารีกอดเทศจนแน่นด้วยความตกใจ แต่สายตาของเธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเทศอย่างค้นหา
คำพูดโน้มน้าวของสุริยเดชนั่นเองทำให้เธอเคลิ้มคล้อย “พ่อเทศยอมรับจริงๆ ว่า...เขามีใจต่อเจ้าหากแต่ไม่สามารถทรยศต่อปรางทิพย์มณฑาทองได้”
“ข้าก็เช่นกัน ข้ามิอาจทำร้ายจิตใจเพื่อนรักของข้าได้”
สุริยเดชทำป็นอึดอัด ลำบากใจที่จะพูด
“แต่สิ่งที่พ่อเทศฝากข้ามาบอกเจ้ากลับเป็นว่าเขาพร้อมจะหนีไปกับเจ้าหากเพียงเจ้าต้องการ”
มัลลิกานารีตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่มีทาง ข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่”
สุริยเดชทำเป็นหนักใจ “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องไปพูดกับเขาให้เข้าใจเสียแล้วให้เขาตัดใจจากเจ้าเสียก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ส่วนเรื่องของเจ้ากับข้าเจ้าไม่ต้องกังวลไปหากเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่คิดจักบังคับจิตใจเจ้าอีก”
มัลลิกาคิดหนัก
สุดท้าย เทศค่อยๆ ดันตัวมัลลิกานารีออกอย่างอ่อนโยนพลางยิ้มอย่างเอ็นดู
“สิ่งใดที่ข้าได้ทำให้เจ้านั้นเข้าใจผิดคิดว่าข้ามีใจให้กับเจ้านั้น ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยมัลลิกานารีแต่ข้ามิเคยคิดสิ่งใดเกินเลยกับเจ้าแม้แต่น้อย”
มัลลิกานารีตกใจ ไม่อาจยอมรับความจริง “ไม่จริง…พี่เทศอย่าหลอกข้าเลยตอนนี้เราอยู่กันเพียงสองคนพี่เทศจงพูดความจริงออกมาเถิด”
“ข้าสาบานว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นคือความจริงข้ารักเจ้าดั่งน้องสาวและไม่คิดเป็นอื่นเพราะหัวใจของข้ามีให้หญิงเพียงผู้เดียว คือปรางทิพย์มณฑาทองเท่านั้น”
นิรชาอ่านบันทึกของคุณยายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทางด้านมาลีมองไปรอบๆ สุสานต้นไม้ด้วยความรู้สึกสำนึกผิด
“ข้ารู้ว่าความผิดของข้าใหญ่หลวงจนมิอาจมีสิ่งใดชดใช้ความผิดครั้งนี้ได้ นอกจาก..ชีวิตของข้า”
ทุกคนตกใจ
“ไม่นะ ไม่” บงกชมาลาร่ำไห้หันมาทางท่านแม่เมือง “จริงอยู่ความผิดของลูกข้านั้นร้ายแรงนัก หากแต่ทุกสิ่งที่นางกระทำไปล้วนเกิดจากความเข้าใจผิด และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากจักนับเป็นความผิดก็นับเป็นความผิดของข้าด้วยที่เลี้ยงลูกได้ไม่ดี ข้าก็ควรรับผิดแทนนางเช่นกัน”
“ไม่นะท่านแม่ ความผิดบาปนี้ ผู้ใดกระทำ ผู้นั้นก็ต้องเป็นผู้รับ ปรางทิพย์มณฑาทอง โปรดเห็นแก่ความเป็นเพื่อนแต่เก่าก่อน ข้าฝากดูแลแม่ข้าด้วย”
ปรางทิพย์ยอมรับปากออกไป ด้วยคิดว่าโทษของมัลลิกานารีน่าจะแค่ถูกคุมขัง
“มิต้องเป็นห่วง จงไปรับโทษทัณฑ์ของเจ้าเถิด ข้าจักดูแลแม่เจ้าจนกว่าเจ้าจักกลับมา”
“กลับมา ข้าคงไม่มีโอกาสเช่นนั้น ความผิดของข้ามันมากกว่าแค่การถูกจองจำ เมื่อข้าทำให้ผู้คนในเมืองตาย ข้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตของข้า”
บงกชมาลาอึ้ง มาลีก้มลงกราบแทบเท้าบงกชมาลาเพื่อเป็นการสั่งลาครั้งสุดท้าย
“ไม่นะ เจ้าจะยอมตายด้วยเปลวไฟอาคมไม่ได้ ไม่…”
บงกชมาลาร้องไห้จนเป็นลมไปต่อหน้าทุกคน
มาลีแข็งใจเบือนหน้าหนี ไม่ยอมมองร่างบงกชมาลา
“ข้าพร้อมไปรับผิดต่อท่านสุบรรณเหราแล้ว ฝากแม่ข้าด้วย...”
มาลีก้มมองบงกชมาลาด้วยน้ำตานองหน้า ก่อนจะตัดใจเดินจากไปที่ลานตัดสินด้วยความเด็ดเดี่ยว
อีกฟาก บุหงารำไพหันกลับมามองบุษบาลาวัณย์ ด้วยสีหน้าตกใจ
“ว่าอย่างไรนะ เจ้าจักแต่งงานกับมนุษย์จริงรึ”
“เจ้าได้ยินถูกต้องแล้ว”
“เจ้าจำมิได้รึว่า พ่อกับพี่ชายของเจ้าและชายทั้งเมืองต้องตายเพราะมนุษย์ เจ้าไม่กลัวเลยรึว่าเหตุการณ์จะเกิดซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง”
บุษบาลาวัณย์พูดด้วยสีหน้ามั่นใจ “พี่คอนของข้าไม่เหมือนมนุษย์พวกนั้น ข้ากลับไปเอาใบผ่านทางของพ่อและพี่สุริยเดชที่บ้าน แต่ข้าหาอย่างไรก็หาไม่พบ”
“จักพบได้อย่างไรเล่า ในเมื่อใบผ่านทางของผู้วายชนม์ต้องเก็บเอาไว้หลังป้ายวิญญาณ ที่สุสานต้นไม้ของแต่ละผู้เท่านั้น”
บุษบาลาวัณย์ดีใจ “เช่นนั้นรึ มิน่าข้าจึงหามันไม่พบ”
บุหงารำไพรู้ว่าเพื่อนจะทำอะไรเลยรีบพูดปราม
“แต่เจ้าอย่าไปนำมันออกมาจักดีกว่า เจ้าก็รู้ดีว่าใบผ่านทางนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กายของแต่ละคน ยิ่งพวกเขาจากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่สมควรนำมันออกไปอีก”
“แต่ข้าเพียงจักยืมมาให้พี่คอนใช้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
“อย่างไรก็ไม่สมควรอยู่ดี เช่นนั้น...เจ้าจงเอาของข้าไปใช้ชั่วคราวก่อนจักดีกว่า”
บุหงารำไพหยิบใบไม้ทองคำที่เหน็บอยู่ที่ผ้าคาดอกส่งให้ บุษบาลาวัณย์รับไป
“ขอบน้ำใจเจ้านักบุหงารำไพ เจ้าช่างเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้าจริงๆ บัดนี้พี่คอนในภพใหม่รักข้า และขอข้าแต่งงานแล้ว ข้าจักไปอยู่เมืองมนุษย์กับเขาและคงไม่กลับมาที่นี่อีก”
บุษบาลาวัณย์บอกอย่างมั่นอกมั่นใจ
บุหงารำไพได้แต่มองเพื่อนรักอย่างเป็นห่วง
เย็นนั้น ทศนนท์เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาเดินออกมากดรับมือถือสายจากพีรพรที่โต๊ะในห้องรับแขก
“ว่าไงพี... ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ออกไปกินที่ร้านน้าตาลเอง”
เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น ทศนนท์หันมอง แล้วเดินไปที่ประตู
“ขอบใจนะพี”
ทศนนท์วางโทรศัพท์แล้วเปิดประตูบ้านออก เห็นนิรชายืนอยู่สีหน้าตื่นตระหนก
“อ้าวคุณเนียร์ ผมกำลังจะออกไปหาคุณอยู่เชียว”
นิรชาก้าวเข้ามาในบ้านทศนนท์พร้อมสมุดบันทึกของมาลี
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะคุณทศ”
ทศนนท์แปลกใจ “เรื่องอะไรครับ”
นิรชายื่นสมุดบันทึกของมาลีให้ดู ทศนนท์รับไปและมองอย่างงงๆ นิรชาจึงพูดขึ้น
“นี่เป็นสมุดบันทึกของคุณยายค่ะ ยายฉันเขียนเอาไว้ว่าอยากกลับไปไถ่โทษด้วยชีวิตของตัวเอง”
ทศนนท์ได้ฟังแล้วก็ตกใจ นิรชาเปิดสมุดยื่นให้ดูหน้าสุดท้าย
“จริงด้วย ทำไมคุณยายถึงตัดสินใจแบบนี้”
นิรชาใจคอไม่ดี “คุณทศ ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ คุณช่วยพาฉันไปหยุดคุณยายฉันทีสิคะ”
“ดูท่าคุณยายไม่ปลอดภัยแน่ คุณเนียร์ตอนนี้ใบไม้ทองคำยังอยู่กับคุณหรือเปล่า”
นิรชาหยิบใบไม้ออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วให้ทศนนท์ดู
“อยู่นี่ค่ะ”
“ดีครับ แต่ว่าชุดของคุณ...”
ทศนนท์มองเสื้อผ้าของนิรชาอย่างหนักใจ จนนิรชาแปลกใจ
“ทำไมคะ ชุดฉันทำไม”
สองคนพากันมาอยู่ที่บ้านปรางทิพย์ ในอีกไม่นานต่อมา บัวคำมีสีหน้าตกใจ หลังจากอ่านบันทึกของมาลีแล้ว
“อะไรนะ ครูเนียร์เป็นหลานของมัลลิกานารีรึ”
นิรชาและทศนนท์นั่งคุยอยู่กับบัวคำ
“ใช่ครับ เพียงแต่ที่นี่คุณยายไม่ได้ใช้ชื่อมัลลิกานารี แต่ใช้ชื่อมาลีแทน”
“ที่แท้พวกเราก็อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง”
บัวคำยื่นบันทึกของมาลีส่งคืนให้นิรชา ก่อนจะพูดขึ้น
“หากสิ่งที่เขียนในบันทึกเล่มนี้เป็นเรื่องจริง มัลลิกานารีก็ถูกสุริยเดชหลอกใช้”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะคะ ตอนนี้ฉันเป็นห่วงคุณยายมาก”
บัวคำนิ่งมองนิรชาที่มีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด แล้วพูดขึ้น
“ฉันจะช่วยพวกคุณเอง”
บัวคำบอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
ฝ่ายบุษบาลาวัณย์ถือใบไม้ทองคำเดินยิ้มดีใจมาตามทางเดินในป่า
“แล้ววันที่ข้าเฝ้ารอคอยมานานแสนนานก็มาถึงเสียที”
บุษบาลาวัณย์มองไปทางหนึ่ง เห็นผกาจุจีและเพื่อนต่างรีบเร่งเดินออกไปอย่างร้อนใจ เหมือนต้องการจะไปดูอะไรสักอย่าง จึงทักขึ้น
“ผการุจี เกิดเหตุไดขึ้น จักรีบไปที่ใดกัน”
“บุษบาลาวัณย์ นี่เจ้าไม่รู้หรอกรึว่ามัลลิกานารีกลับมาแล้ว”
“มัลลิกานารี นางกลับมาแล้วรึ”
“ใช่ ได้ยินว่านางกลับมารับโทษ นางคงจักหนีไปหลบอยู่ที่เมืองมนุษย์ เห็นว่านางชราภาพตามอายุขัยเช่นชาวเมืองมนุษย์อีกด้วยหนา”
“ข้าไปด้วย ข้าอยากเห็นน้ำหน้านางยิ่งนัก”
ผการุจีส่ายหน้า “สายไปแล้ว ตอนนี้เจ้าคงเห็นแต่เพียงตัวแทนของนางเท่านั้น”
บุษบาลาวัณย์มองตกใจ
ที่สุสานต้นไม้ เห็นดวงจิตของมัลลิกานารีลอยมาตกอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ต้นไม้ของอัมรินทรา บงกชมาลากอดต้นไม้ร้องไห้ด้วยความอ่อนแรง
“มัลลิกานารีลูกแม่ เหตุใดเจ้าจึงด่วนตัดสินตนเองเช่นนี้ เราสองจากกันไปนาน เพิ่งจักได้หวนกลับมาพานพบกันแท้ๆ”
ทุกคนนิ่งมองบงกชมาลาอย่างสงสารเห็นใจ ช่อทิพย์วิมาดาเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ พูดปลอบ
“นางได้เลือกตัดสินโทษของนางเองแล้ว ปล่อยให้นางได้จากไปอย่างสงบเถิด”
บงกชมาลากอดช่อทิพย์วิมาดาแล้วร่ำไห้ปานจะขาดใจ
ทุกคนและปรางทิพย์นิ่งมองบงกชมาลาด้วยความสงสาร
มองผ่านปรางทิพย์ออกไป เห็นบุษบาลาวัณย์ ผการุจีและเพื่อนเดินเข้ามาสมทบกับทุกคน
บุษบาลาวัลย์มองการตายของมัลลิกานารีด้วยความสะใจ
ที่บ้านปรางทิพย์
ทศนนท์เปลี่ยนชุดเป็นชาวเมืองลับแลแล้ว นั่งรอนิรชาอยู่ที่โต๊ะห้องรับแขก จนได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เขาจึงหันมองไป เห็นนิรชาในชุดสาวชาวเมืองลับแลเดินตามบัวคำลงบันไดมา จนมาหยุดในห้องเดียวกัน ทศนนท์ยังคงมองตาค้าง ชื่นชมในความสวยและอ่อนหวานของนิรชาอย่างเห็นได้ชัด
นิรชามองเห็นสายตาของทศนนท์ก็ยิ้มเขิน ขณะที่บัวคำรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก
“คุณเนียร์...ดูกลมกลืนเหมือนสาวเมืองลับแลเลยครับ”
“ขอบคุณค่ะ คุณก็..” เธอมองชุดที่ทศนนท์ใส่อึ้งๆ
“อ๋อ...นี่ชุดผู้ชายของชาวเมืองลับแลน่ะครับ”
“เอาละ พวกคุณรีบเข้าเมืองไปเถอะ ป่านนี้แม่หญิงคงพามัลลิกานารีไปเฝ้าท่านสุบรรณเหราแล้ว”
“สุบรรณเหรา คือใครคะ”
“ท่านเป็นผู้ดูแลเมืองน่ะครับ เดี๋ยวรายละเอียดต่างๆ ผมจะเล่าให้คุณฟังระหว่างทางอีกที ไปครับคุณบัวคำ”
“ฉันคงไปส่งพวกคุณได้แค่ปากทางเข้า เพราะใบผ่านทางของฉันอยู่ที่มัลลิกานารี”
ทศนนท์พยักหน้ารับเอาคำ บัวคำเดินนำสองคนออกไป
ส่วนที่บ้านผู้ใหญ่ จรัล ปรียา ปรัชญา จาริณี และเสถียร กำลังนั่งหารือกันอยู่ในบ้าน จรัลมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นไปได้ยังไง บ่อน้ำในหมู่บ้านเราใช้กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จะมีสารพิษได้ยังไงกัน”
“แต่ทางสาธารณสุขตรวจสอบอย่างละเอียด มีเอกสารออกมาด้วยนะพ่อ”
ปรียาหันมาทางปรัชญา “แล้วทำไมก่อนหน้าถึงไม่เคยตรวจเจอในศพคนที่ตายเลยล่ะคะหมอ”
“เพราะว่ายาตัวนี้จะไม่สามารถตรวจพบในปัสสาวะหรือเลือดได้น่ะสิครับ ในประเทศไทยเรามีกฎหมายห้ามนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเด็ดขาด เพราะมันเป็นอันตราย ถ้ากินกับเหล้าในปริมาณมากก็สามารถทำให้ถึงตายได้”
เสถียรตกใจ “ตายแล้ว แล้วพวกเราที่กินใช้น้ำบ่อนั้นทุกวันล่ะคะ ต้องไปล้างท้องกันหรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอกครับ คนปกติถ้ากินเข้าไปแล้วไม่ได้ดื่มเหล้าก็จะมีผลน้อยมาก อาจแค่ทำให้ง่วงซึมนิดหน่อย”
“แต่ผมไม่เคยกินน้ำบ่อในหมู่บ้านเลยนะหมอ ทำไมตอนนั้นผมถึงเกือบไหลตายไปเหมือนกัน” ถนอมว่า
“แล้ววันนั้นแกไปกินอะไรแปลกๆ มาหรือเปล่าล่ะ”
ถนอมนิ่งนึก “ไม่นะ วันนั้นฉันก็กินใช้ทุกอย่างปกติ อ้อ...ก็แค่กินน้ำผลไม้ของคุณทรงกลดที่พวกเราไปรับแจกที่ตลาด ตกเย็นฉันก็ดวดเหล้ากับคุณนุจนเกือบตายอย่างที่เห็น”
เสถียรโพล่งขึ้น “ใช่แน่ ต้องน้ำผลไม้นั่นแน่ๆ”
“หรือว่าเรื่องนี้ คุณทรงกลดอาจจะมีส่วนเกี่ยวด้วย” หมอว่า
จรัลพูดแทรกขึ้นทันที “ไม่มีทางหรอกหมอ คุณทรงกลดเป็นคนดี ไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่”
“งั้นเราก็มีทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้ คือต้องเอาน้ำผลไม้นั่นไปตรวจดูว่ามีสารพิษจริงหรือเปล่า”
“โถ่ หมอ พูดเป็นเล่นไป ป่านนี้แล้วจะไปหามาจากไหน”
ปรียานึกออก “มีจ้ะ ฉันจำได้ว่าฉันแช่ฟรีซไว้ในตู้เย็น”
จาริณีแปลกใจ “ไอ้ที่เป็นน้ำแข็งอยู่ในตู้นั่นเหรอแม่”
“ใช่ แม่กลัวว่ามันจะเสียก็เลยแช่ฟรีซเอาไว้จนลืมไปเลย จ๋าไปเอามาให้หมอเลยลูก”
จาริณีลุกไปหยิบน้ำส้มในตู้แล้วเดินกลับมา ยื่นให้กับปรัชญา
ถนอมและเสถียรมองเห็นก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
“ใช่เลย ไอ้ขวดนี้แหละที่พวกเรากินกันวันนั้น”
“เดี๋ยวผมจะรีบเอาไปตรวจดูว่ามีสารพิษที่เราสงสัยเจือปนอยู่หรือเปล่า ระหว่างนี้ผู้ใหญ่ช่วยประกาศให้ชาวบ้านงดใช้น้ำในบ่อก่อนนะครับ”
“ได้ครับหมอ”
จรัลรับคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ที่ปากทางเข้าเมืองลับแล นิรชามองไปรอบๆ ถ้ำ อย่างตื่นเต้น
“นิทานเรื่องเมืองสวรรค์ที่คุณยายเล่าให้ฟังมีอยู่จริงๆ ด้วย”
“เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ เป็นจริงอย่างที่คุณยายจดบันทึกไว้ มันคงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากที่เห็นผู้คนล้มตายและเมืองต้องล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง”
นิรชารู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจ
“แล้วเราจะช่วยคุณยายยังไงดี”
“มันต้องมีสักทางที่จะช่วยคุณยายได้ รีบไปเถอะครับ”
ทศนนท์จับมือนิรชาให้เดินตามเขาไป
ทางฝั่งทรงกลดกำลังนอนอ่านตำนานเมืองลับแลจากแท็บเล็ตอยู่บนเตียงนอน
บุษบาลาวัณย์ในชุดนอนเซ็กซี่ เดินเข้ามาเปิดผ้าห่มออกแล้วแทรกตัวลงนอนที่อีกฝั่งของเตียง พร้อมกับเข้าไปหนุนไหล่ของทรงกลด พลางถามขึ้น
“อ่านอะไรอยู่คะ”
“นิทานพื้นบ้านน่ะครับ”
ทรงกลดปิดแท็บเล็ตแล้ววางไว้ที่หัวเตียง หันกลับมาคุยกับบุษบาลาวัณย์
“คุณหายไปไหนมาตั้งหลายวัน ผมเป็นห่วงคุณมากนะรู้ไหม”
“ฉันกลับไปที่บ้านมาค่ะ”
ทรงกลดตื่นเต้น “กลับบ้านมาเหรอ”
“ค่ะ ฉันจะพาคุณเข้าไปไหว้หลุมศพของพ่อและพี่ชายฉัน”
“แค่พ่อและพี่ชายเหรอครับ แล้วคุณแม่ของคุณล่ะ”
บุษบาลาวัณย์บอกเสียงเศร้า “แม่ฉันหายตัวไปนานแล้ว”
“คุณอย่าเศร้าไปเลย ผมไปไหว้ขออนุญาตกับพ่อและพี่ชายคุณก็พอ ผมแค่อยากทำให้มันถูกต้อง เพราะว่าผมรักคุณ”
บุษบาลาวัณย์ได้ยินคำบอกรักของทรงกลดแล้วรู้สึกดีใจและตื้นตันเป็นที่สุด เธอสวมกอดเขาอย่างรักใคร่
“ฉันก็รักคุณค่ะ”
บุษบาลาวัณย์สวมกอดทรงกลดและซบหน้าลงอยู่ที่อกของเขา ขณะที่ทรงกลดยิ้มมองบุษบาลาวัณย์อย่างสมใจ
บนเรือนบ้านท่านจอมจักรา ปรางทิพย์น้ำตาคลอด้วยความเสียใจต่อการตายของมาลี
“ข้ามิได้มีเจตนาให้เรื่องต้องเป็นเช่นนี้”
ปรางทิพย์รู้สึกเศร้าและเสียใจเหลือแสน ช่อทิพย์มองเข้าใจ
เรณูศจีเดินเข้ามา
“ท่านแม่เมือง แม่หญิง พ่อเทศกลับมาแล้ว”
ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยสีหน้าตกใจ
ช่อทิพย์วิมาดาอุทานลั่น “พ่อเทศ”
ทศนนท์และนิรชาเดินตามกันเข้ามา หยุดยืนที่ด้านหน้าของทุกคน
“ผมทศนนท์ครับ ไม่ใช่เทศ”
ปรางทิพย์มองทศนนท์และนิรชาอย่างขุ่นเคืองใจ
“คุณพาคนนอกเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”
ช่อทิพย์วิมาดาตำหนิทศนนท์ “เจ้าไม่สมควรพามนุษย์เข้ามาที่นี่โดยพลการ”
“ขอโทษครับ แต่คุณเนียร์ไม่ใช่คนนอก เธอเป็นหลานของคุณมัลลิกานารี และที่ผมต้องพาเธอเข้ามาโดยพลการก็เพราะเธอต้องการเข้ามาตามหาคุณยายของเธอครับ”
ช่อทิพย์วิมาดา ปรางทิพย์ เรณูศจี ได้ยินต่างก็ตกใจ
“ว่าอย่างไรนะ หลานของมัลลิกานารีรึ”
นิรชายกมือไหว้ทุกคน
“ใช่ค่ะ คุณยายตามคุณปรางเข้ามาที่นี่หลายวันแล้ว หนูเป็นห่วงเลยมาตามคุณยายกลับน่ะค่ะ”
นิรชามองหามาลีจนทั่วบ้าน แต่ไม่เห็น เธอจึงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
“เอ่อ...แล้วคุณยายอยู่ที่ไหนหรือคะ”
ช่อทิพย์วิมาดาบอกว่า “บงกชมาลา ทวดของเจ้าจะเป็นคนบอกทุกอย่างกับเจ้าเอง”
“ทวด”
นิรชามองด้วยความสงสัย
ที่สุสานต้นไม้ บงกชมาลาพานิรชา เดินเข้ามาในนั้น หยุดยืนอยู่ที่หน้าต้นไม้ใหญ่ที่มีป้ายชื่อมัลลิกานารีติดอยู่ นิรชาอ่านป้ายชื่อที่ต้นไม้มองอย่างแปลกใจ
“มัลลิกานารี...นี่เป็นชื่อเดิมของคุณยายใช่ไหมคะ ทำไมต้องเอาป้ายชื่อของคุณยายมาติดไว้ด้วย แล้วตอนนี้คุณยายอยู่ที่ไหนเหรอคะ”
นิรชาไล่สายตามองที่ต้นไม้ต้นอื่นๆ ก็มีชื่อติดเอาไว้เช่นกัน บางต้นมีดอกไม้และพวงมาลัยคล้องไว้ เธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ บงกชมาลาอธิบาย
“ที่นี่คือสุสานของเมืองเรา”
นิรชาใจหายวาบ ถึงกับซวนเซไปนิดๆ ไม่อยากยอมรับความจริง
“สุสาน ไม่ คุณทวดหมายความว่า...”
บงกชมาลาพยักหน้าทั้งน้ำตา
“เป็นไปได้ยังไงคะ คุณยายไม่อยู่แล้วเหรอคะ เกิดอะไรขึ้นกับคุณยาย”
นิรชารับไม่ได้ ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ทุกคนมองนิรชาด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจไม่แพ้กัน กระทั่งช่อทิพย์วิมาดาพูดขึ้น
“อย่าได้เศร้าเสียใจ ร้องไห้คร่ำครวญไปเลย มันเป็นความตั้งใจของท่านยายเจ้า ความผิดบาปที่นางเคยก่อเอาไว้ คงเกาะกุมอยู่ในใจของนางมานาน นางจึงได้ตัดสินใจลงโทษตนเองเช่นนี้” แม่เมืองปลอบ
“ไม่มีหนทางไหนที่จะช่วยคุณยายได้บ้างเลยเหรอคะ”
“จงทำใจเสียเถิด ยายของเธอได้เลือกตัดสินโทษตัวเอง โดยการยอมตายในเปลวไฟอาคมแล้ว” ปรางทิพย์ว่า
“ทำไมไม่มีใครห้ามคุณยายเลยล่ะคะ คุณยายเสียใจมาตลอดที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้น คุณยายถูกหลอก คุณยายไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเลย ท่านเป็นคนดี ยอมทำทุกอย่างเพื่อชดใช้ความผิดและยังกลับมารับโทษด้วยตัวเอง ทำไมถึงไม่มีใครช่วยคุณยายเลยสักคน”
นิรชาตัดพ้อด้วยความเสียใจ ทรุดลงกับพื้นร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง ทศนนท์เข้ามาปลอบใจ
“ยอมรับการตัดสินใจของคุณยายเถอะครับคุณเนียร์ ตอนนี้ท่านคงไปสงบแล้ว หลังจากนี้คุณยังมีอะไรที่ต้องคิด ต้องทำอีก ไหนจะเรื่องอธิบายให้คุณแม่คุณเข้าใจ แล้วต้องแจ้งเรื่องการหายสาบสูญของคุณยายด้วย”
นิรชาเริ่มคิดตามที่ทศนนท์บอก เธอจึงเริ่มได้สติ ทศนนท์พยุงเธอให้ลุกขึ้น
“ไปเถอะครับ ผมจะพาคุณกลับเอง”
ทศนนท์จะพานิรชาเดินออกไป แต่บงกชมาลาเรียกเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป”
สองคนหันกลับมาหา บงกชมาลามองนิรชาอย่างรู้สึกผูกพันและเอ็นดู
ไม่นานต่อมา บงกชมาลาส่งเสื้อผ้าและกล่องเครื่องประดับของมัลลิกานารีให้นิรชา
“ผ้านุ่งและเครื่องประดับส่วนตัวพวกนี้ควรจะเป็นของเหลนทั้งหมด”
นิรชารับเอาไว้งงๆ
“คุณทวดยกให้หนูเหรอคะ”
“นิรชาเหลนข้า... ข้าดูออกว่าเจ้ามีความเด็ดเดี่ยวไม่ต่างจากยายของเจ้าเลย นางคงต้องการมอบทุกอย่างให้กับเจ้า เหมือนดั่งที่นางมอบใบผ่านทางของนางให้แก่เจ้า เจ้าจงเก็บสมบัติเหล่านี้ไว้ให้ดี เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของยายเจ้าต่อไปเถิด”
นิรชานิ่งฟังบงกชมาลาพูด ก่อนจะก้มมองข้าวของของมัลลิกานารีอย่างเข้าใจ
บนเรือนบ้านจอมจักราเวลานั้น ช่อทิพย์วิมาดา ปรางทิพย์ เรณูศจี กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่บ้าน
“บงกชมาลายังมีบุญอยู่บ้าง ที่เมื่อสูญเสียมัลลิกานารีไป ก็มีเหลนมาให้นางได้ชื่นชม”
“จริงเจ้าค่ะ ด้วยความเศร้าเสียใจของนางในตอนนั้น ข้ามิอาจคิดเลยว่า นางจักมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”
“ไม่น่าเชื่อว่านิรชา จักเป็นหลานของมัลลิกานารีได้” ปรางทิพย์ว่า
“พวกเจ้าคงได้พบกันในเมืองมนุษย์แล้วสิหนา”
“ใช่ท่านแม่ นิรชาเป็นครูที่สอนหนังสือให้แก่เด็กๆ ในเมืองมนุษย์”
“เป็นถึงครูเทียวรึ ภูมิความรู้ของนางคงมากโข น่าภูมิใจแทนมัลลิกานารีและบงกชมาลานัก”
เรณูศจีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แต่นางเข้ามาเมืองเราพร้อมพ่อเทศ พวกเขาคงรู้จักมักคุ้นกันดี”
“เป็นเช่นนั้นท่านแม่”
ช่อทิพย์วิมาดาถามขึ้นว่า “แม่ข้องใจนัก เหตุใดพ่อเทศจึงปฏิเสธว่าเขามิใช่พ่อเทศ ไหนเจ้าเคยเล่าให้แม่ฟังว่าเขาระลึกชาติได้แล้วมิใช่รึ”
เรณูศจีเห็นด้วย “จริงแม่หญิง ข้าก็รู้สึกได้ว่าพ่อเทศทำตัวห่างเหินต่อท่านนัก”
“เขาคงยังโกรธ ด้วยเข้าใจผิดว่าข้าเป็นผู้ฆ่าเพื่อนของเขากระมัง”
ปรางทิพย์พูดออกไปโดยไม่กล้าสบตากับคนทั้งคู่ ช่อทิพย์วิมาดาและเรณูศจีต่างมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
หมอปรัชญาพาตัวเองมาที่ที่บ้านผู้ใหญ่แต่เช้า เขายื่นผลตรวจน้ำผลไม้ที่ได้ไปเมื่อคราวก่อนส่งให้กับจรัลดู
“ผลตรวจน้ำผลไม้ออกมาแล้วนะครับ ในนั้นมีสารปนเปื้อนตัวเดียวกับที่พบในบ่อน้ำหลักของหมู่บ้านครับ”
จรัลมองดูผลตรวจสีหน้าเครียด
“เป็นไปไม่ได้ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ผมรู้จักคุณทรงกลดมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เขาเป็นคนดีและมีน้ำใจกับทุกคน บางทีสารพิษนั่นอาจจะปนเปื้อนมาจากโรงงานที่คุณทรงกลดสั่งผลิตก็ได้”
“พ่อ จนป่านนี้แล้วยังจะเข้าข้างคุณทรงกลดอยู่อีกเหรอ”
“จริงๆ พวกเราสงสัยกันมาตั้งนานแล้วนะผู้ใหญ่ ว่าคุณทรงกลดอาจมีส่วนทำให้เกิดเรื่องผีแม่ม่ายขึ้นในหมู่บ้านของเราด้วย” หมอบอก
“อ้าว! แล้วทำไมพวกเอ็งถึงไม่ยอมบอกข้า”
“ก็เพราะพ่อเป็นแบบนี้ไง เชื่อใจคุณทรงกลดมากเกินไป ถ้าเกิดพวกเราบอกพ่อไปโดยไม่มีหลักฐานอะไรเลย พ่อจะเชื่อพวกเราไหมล่ะ”
จรัลนิ่งคิด ปรียาที่นั่งฟังอยู่เงียบ เอ่ยขึ้นว่า
“บางทีเรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้นะพี่”
“งั้นฉันจะโทรถามเรื่องนี้กับคุณทรงกลดเอง”
จรัลหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะโทร.ออก ทุกคนร้องห้ามเสียงหลง
“ผู้ใหญ่ อย่าเพิ่งโทร” / “พ่อ อย่าเพิ่งโทร”
จรัลวางโทรศัพท์ลงสีหน้าไม่พอใจ
“แล้วพวกเอ็งจะเอายังไง พอข้าจะถามพวกเอ็งก็ห้าม”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมว่าเขาไม่ยอมรับหรอกครับ แล้วถ้าเรายิ่งไปถาม ไก่ก็จะตื่นกันพอดี” หมอว่า
“และถ้ามันเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ผู้ใหญ่จะมีอันตรายได้นะ” เสถียรเสริม
จาริณีเป็นห่วงพ่อ “จริงพ่อ หมอปรัชกับพี่น้ำหวานพูดถูก”
จรัลยังไม่อยากเชื่อ “ยังไงข้าก็ไม่มีทางเชื่อ ข้าต้องคุยเรื่องนี้กับคุณทรงกลดให้ได้ เพราะถ้ามันไม่เป็นเรื่องจริงก็เท่ากับเราใส่ร้ายคนดีๆ อย่างคุณทรงกลด”
ทุกคนต่างมองจรัลด้วยความเป็นห่วง
ในเวลาต่อมา ทรงกลดคุยโทรศัพท์กับจรัลสีหน้าเครียด
“ผมไม่รู้เรื่องนี้เลยนะผู้ใหญ่ น้ำนั่นผมสั่งโรงงานเขาทำมาอีกที...ไม่ต้องห่วงเลยนะครับ ผมจะรีบส่งลูกน้องไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ถ้ามันปนเปื้อนจากโรงงานจริง ผมจะดำเนินการกับคนเลวพวกนี้ให้ถึงที่สุด...ขอบคุณนะครับผู้ใหญ่ที่โทรมาบอกเรื่องนี้กับผม...ครับ สวัสดีครับ”
ทรงกลดวางสายสีหน้าหงุดหงิด
“เป็นไปได้ยังไง น้ำผลไม้พวกนั้น ฉันแจกให้คนกินหมดไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ มันยังหลงเหลือมาจนถึงวันนี้ได้ยังไง”
บุษบาลาวัณย์เดินถือชุดชาวเมืองลับแลเข้ามาให้ทรงกลด
“คุณทรงกลดคะ นี่เป็นชุดที่คุณต้องสวมเข้าไปที่บ้านของฉัน ถ้าคุณพร้อมเราจะไปที่นั่นกันเลย”
“ไม่ ผมยังไม่พร้อม” น้ำเสียงของเขาห้วนสั้น
จนบุษบาลาวัณย์แปลกใจ “ทำไมล่ะคะ เกิดอะไรขึ้น”
“พอดีมีปัญหาด่วน ผมต้องรีบไปเคลียร์ ไม่อย่างนั้นผมเดือดร้อนแน่”
“ปัญหาอะไรกันคะถึงทำให้คุณเครียดได้ขนาดนี้”
ทรงกลดถอนใจ “ผู้ใหญ่จรัลเพิ่งโทร.มาบอกว่าผมอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการไหลตายของคนในหมู่บ้าน”
บุษบาลาวัณย์ไม่แปลกใจนัก “แล้วคุณจะเข้าไปได้เมื่อไหร่”
ทรงกลดหงุดหงิดขึ้นมา “ตอนนี้ผมยังไม่รู้ ผมต้องเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่จรัล เพื่อเคลียร์เรื่องนี้ให้จบก่อน อาจใช้เวลานานเป็นเดือนก็ได้”
“ถ้าไม่มีเรื่องผู้ใหญ่จรัลคุณก็ไปกับฉันได้ใช่ไหม”
“ใช่”
ทรงกลดพูดตัดรำคาญแล้วเดินออกไปอย่างหงุดหงิด บุษบาลาวัณย์มองตามทรงกลดแล้วเหยียดยิ้มขึ้น สีหน้าเหี้ยม
ที่โต๊ะกินข้าวบ้านผู้ใหญ่จรัลคืนนั้น จรัลและปรียากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่
“น่าสงสารคุณทรงกลดจริงๆ ต้องมาพลอยฟ้าพลอยฝนเจอข้อหาวางยาชาวบ้านเพราะความชุ่ยของพวกโรงงานแท้ๆ”
“พี่แน่ใจแล้วเหรอว่าคุณทรงกลดไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”
“ฉันโทร.คุยกับคุณกลดแล้ว เขาตกใจมากเลย น่าสงสารจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ถ้าคุณกลดเขาไม่ผิด ใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”
จรัลถอนใจ “เฮ้อ...คิดแล้วก็กลุ้มแทนคนดีๆ นะ”
จรัลรวบช้อนแล้วดื่มน้ำตาม ปรียาแปลกใจ
“อิ่มแล้วเหรอพี่ เพิ่งกินข้าวไปได้นิดเดียวเอง”
“วันนี้รู้สึกเหนื่อยๆ น่ะ พี่ขึ้นไปพักก่อนนะ”
“จ้ะพี่ เหนื่อยก็ไปพักเถอะ ปัญหาต่างๆ ก็วางไว้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
จรัลลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินขึ้นบ้านไปอย่างรู้สึกห่อเหี่ยวและเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ปรียามองตามอย่างรู้สึกเห็นใจจรัล
จรัลเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย ปิดไฟ เดินเข้ามาที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง ก่อนหลับตาลงและหลับสนิทในเวลาอันรวดเร็ว
ยินเสียงลมหวีดหวิว พัดเข้ามาทางหน้าต่างจนม่านโบกสะบัดไปตามแรงลม
จรัลมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อมีลมเย็นปะทะเข้าที่ใบหน้า พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยเข้ามาด้วย อันเป็นกลิ่นกายหอมของสาวชาวเมืองลับแล
จรัลพูดโดยไม่ลืมตา “อื่ม...ชื่นใจจริง ดอกไม้ที่สวนหลังบ้านคงบานแล้วสินะ”
แต่แล้วจรัลก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่หยดลงที่หน้า ทีละหยดๆ
จรัลงัวเงียยกมือขึ้นลูบที่หน้า รับรู้ถึงความเหนียวเหนอะ ก้มมองที่มือแล้วก็ต้องตกใจ
“เลือด”
จรัลเงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องตกใจกลัวสุดขีด อยากจะร้องกรี๊ดออกมาแต่ก็ร้องไม่ออก
บุษบาลาวัณย์ก้มหน้าลงมา สภาพใบหน้าเน่าเฟะผมสยายเรี่ยอยู่ตามใบหน้าจรัล เธอจ้องมองเขาแววตาเหี้ยมเกรียมดุร้าย ก่อนจะทิ้งตัวลงมาทับจรัลแล้วหายวับเข้าไปในตัวของเขา
จรัลตาเหลือกลาน ดิ้นพล่านอย่างทรมาน
ปรัชญาเดินมาส่ง จาริณีและเสถียร ที่บ้านจรัล
“ตอนนี้เราส่งหลักฐานทั้งหมดให้กับทางตำรวจเรียบร้อยแล้ว หวังว่าพวกเขาจะไปสืบกันต่อ จนได้คนร้ายตัวจริง”
“จะได้เรื่องแค่ไหนก็ไม่รู้ เพราะคนร้ายตัวจริงเป็นคนใหญ่คนโตของที่นี่ซะด้วย”
“แหม พี่น้ำหวาน อย่างน้อยๆ ถ้าหลักฐานความเลวของเขามีมากจนไม่มีใครช่วยได้ สักวันเขาก็คงไม่รอดเงื้อมือของกฎหมายหรอกน่า”
“ก็ขอให้จริงเถอะค่ะ คนเลวๆ จะได้หมดไปจากโลกนี้ซะที เอาละ ถึงบ้านแล้ว หมอกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
“โห ถึงบ้านปุ๊บก็ไล่ส่งเลยนะครับพี่น้ำหวาน”
“ใช่สิ ก็คุณหมอเจตนามาส่งน้องจ๋า ไม่ใช่สาวสวยอย่างน้ำหวาน เพราะถ้ามาส่งน้ำหวาน น้ำหวานก็จะชวนให้อยู่ค้างที่นี่ซะเลย”
ปรัชญาและจาริณีต่างหัวเราะกับท่าทางยั่วยวนของน้ำหวาน กระทั่งเสียงกรี๊ดของปรียาดังขึ้นมาจากบนบ้าน
“แอร๊ย”
สามคนหันมองไปบนบ้านอย่างตกใจ
“นั่นเสียงแม่นี่คะ”
ทุกคนมองหน้ากันแล้วรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน
ปรียาร้องไห้โฮๆ เขย่าตัวปลุกเรียกจรัลที่นอนตาเหลือกค้างอยู่บนที่นอน
“พี่จรัล! เป็นอะไรไป พี่จรัลตื่น ตื่นสิพี่จรัล...ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที”
ปรัชญา จาริณี และ เสถียร วิ่งเข้าห้องนอนเข้ามา
“แม่! เกิดอะไรขึ้น”
ปรียาหันมามองที่ประตูพูดบอกลูกด้วยน้ำตานองหน้า
“จ๋า พ่อเป็นอะไรก็ไม่รู้ลูก หมอช่วยพี่ผู้ใหญ่ทีหมอ...”
ปรัชญาและจาริณีรีบเข้ามาดูจรัลที่เตียง เสถียรเข้ามาพาปรียาให้ลุกออกมา
“ใจเย็นๆ นะแม่ผู้ใหญ่ หมอกับคุณจ๋าอยู่ที่นี่แล้ว ต้องช่วยผู้ใหญ่ได้แน่”
ปรัชญารีบเข้ามาเปิดดูตาของจรัล ขณะที่จาริณีจับชีพจรที่แขนจรัลดูแล้วก็รู้สึกกลัวจนเสียงสั่น
“ชีพจรแผ่วมากเลยค่ะหมอ”
“ต้องปั๊มหัวใจแล้วครับ”
จาริณีจะปลดกระดุมเสื้อจรัลออก ด้วยมืออันสั่นเทา ปรัชญามองเห็น เขาค่อยๆ จับมือจาริณีออกแล้วพูดขึ้น
“ผมเองครับ”
ปรัชญาลงมือปั๊มหัวใจให้จรัล จาริณีจับที่ข้อมือจรัลตรวจชีพจรสีหน้าลุ้น กระทั่งจาริณีไม่สามารถรู้สึกได้ถึงชีพจรของจรัลแล้ว เธอร้องไห้โฮขึ้น
“ไม่มีแล้ว ชีพจรของพ่อหยุดเต้นแล้ว”
ปรัชญาก้มลงฟังเสียงหัวใจ แล้วจับชีพจรที่คอดู ก็เห็นจริงอย่างที่จาริณีพูด เขาหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด ปรียาและจาริณี ต่างร้องไห้โฮออกมาด้วยความเสียใจสุดจะประมาณ
จรัลนอนตายอยู่บนเตียง ดวงตาเหลือกค้างอย่างตกใจและหวาดกลัวถึงขีดสุด
อ่านต่อตอนที่ 30