เพรงลับแล ตอนที่28 | ลับแลล่มสลาย
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์
ปรางทิพย์มณฑาทองเดินตัวแข็งทื่อหนีออกมา ตกใจถึงขีดสุดกับสิ่งที่เจอกับตา ความน้อยใจเสียใจแล่นเป็นริ้วๆ ละลิ่วเข้าสู่ขั้วหัวใจ น้ำตาที่ร่วงรินเป็นสายเต็มไปด้วยรสความเจ็บปวด
สุริยเดชรอจังหวะอยู่แล้วโผล่รีบออกมาขวาง และทำท่าจะเข้ามาจับตัวถาม
ปรางทิพย์มณฑาทองยกมือขึ้นเชิงห้ามไม่ให้เขาถูกตัวเธอ สุริยเดชชะงักกึก แสร้งทำเป็นห่วงใย
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ารึ ปรางทิพย์มณฑาทอง ใครทำอันใดเจ้า เจ้าร้องไห้รึนี่”
ปรางทิพย์มณฑาทองรีบปาดน้ำตาแล้วเดินหนีออกไป ไม่อยากตอบคำถามใดๆ
สุริยเดชแกล้งถามต่อ “หรือว่าเกิดอันใดขึ้นกับทัศนัยธำรง”
ปรางทิพย์มณฑาทองเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
สุริยเดชมองตามหลังไป แล้วยิ้มร้ายออกมา ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ตนวางไว้
ทางฝ่ายเทศ ค่อยๆ ดันตัวมัลลิกานารีออกอย่างอ่อนโยน พลางยิ้มอย่างเอ็นดู
“สิ่งใดที่ข้าได้ทำให้เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าข้ามีใจให้กับเจ้านั้น ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้ามิเคยคิดสิ่งใดเกินเลยกับเจ้าแม้แต่น้อย มัลลิกานารี”
มัลลิกานารีตกใจ ไม่อาจยอมรับความจริง “ไม่จริง…พี่เทศอย่าหลอกข้าเลย ตอนนี้เราอยู่กันเพียงสองคน พี่เทศจงพูดความจริงออกมาเถิด”
“ข้าสาบานว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นคือความจริง ข้ารักเจ้าดั่งน้องสาวและไม่คิดเป็นอื่นเพราะหัวใจของข้ามีให้หญิงเพียงผู้เดียว คือปรางทิพย์มณฑาทองเท่านั้น”
มัลลิกานารีอึ้ง นิ่งงันไปไม่อยากจะเชื่อ น้ำตาไหลรินทั้งเสียใจและเสียหน้าที่ประดังประเด ในที่สุดก็หันหลังเดินออกไป
ความเจ็บปวดถั่งโถมเข้าสู่หัวใจมัลลิกานารีร่ำไห้น้ำตาร่วงพรูวิ่งออกไปให้พ้นๆ ความอับอายตรงนั้น
เทศมองตามสีหน้าเศร้าตัดใจไม่ตามไป เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจตนผิดอีก
ส่วนที่บ้านจอมจักรา ช่อทิพย์วิมาดายื่นน้ำใส่ถ้วยเบญจรงค์ให้สามีดื่ม จอมจักราดื่มน้ำแล้วนิ่วหน้าฉงน
“น้ำอันใดรสชาติแปลกนัก ข้าไม่เคยกินมาก่อน”
“กาแฟเจ้าค่ะท่านพี่ ลูกเรานำมาจากเมืองมนุษย์ ข้าจึงให้เรณูศจีลองชงให้ท่านพี่ดื่มดู”
จอมจักราหน้าเศร้าลง “แล้วเมื่อใดปรางทิพย์มณฑาทองจักพาทัศนัยธำรงกลับมาเสียที ข้าคิดถึงหลานใจจะขาดอยู่แล้ว”
ช่อทิพย์วิมาดาพลอยเศร้าไปด้วย “ข้าก็เช่นกัน หรือเราจักออกไปเยี่ยมหลานกันดีไหมเล่าท่านพี่”
บัวคำพิลาศนั่งรับใช้อยู่ข้างๆ มองไปเห็นที่หัวบันไดเจอบางคนยิ้มกว้างดีใจออกมา พลางบอกว่า
“คงไม่ต้องออกไปแล้วกระมังท่าน”
สองท่านมองตามสายตาบัวคำพิลาศ แล้วยิ้มชื่นใจออกมาเช่นกัน
ปรางทิพย์มณฑาทองเดินขึ้นเรือนมาหาพอดี เธอยกมือไหว้บิดามารดา
จนเมื่อเห็นสีหน้าปรางทิพย์มณฑาทองใกล้ๆ ทุกคนพากันแปลกใจ บัวคำพิลาศลุกไปประคองพาไปนั่ง
ช่อทิพย์วิมาดามองหาคนอื่นๆ “แล้วทัศนัยธำรงกับพ่อเทศเล่า ไม่มาด้วยรึ”
ปรางทิพย์มณฑาทองก้มหน้าเศร้า น้ำตาคลอๆ ไม่กล้าสู้หน้าใคร
จอมจักรานึกสงสัย “เกิดอันใดขึ้นรึ”
ปรางทิพย์มณฑาทองสุดจะกลั้น ทำนบน้ำตาแตก ปล่อยโฮออกมาอย่างรุนแรง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย ลูกข้าหายไป”
ทุกคนตื่นตกใจ
“เป็นไปได้อย่างไร แล้วพ่อเทศเล่า”
ปรางทิพย์มณฑาทองอึกอักไม่กล้าตอบ
ช่อทิพย์วิมาดาอ่านท่าทีธิดาสุดสวาทออกว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเป็นแน่
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยเจ้าค่ะท่านพี่ รีบพาคนไปตามหาทัศนัยธำรงก่อนเถิด”
จอมจักราร้อนใจรีบหันไปทางเรณูศจีที่อยู่ข้างๆ “เจ้าจงรีบไปตามผู้ชายในเมืองให้มาพบข้าที่นี่”
“เจ้าข้าท่านพ่อเมือง”
บัวคำพิลาศมองประเมินอาการนายหญิงดูออกว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่กล้าถาม พยุงพาปรางทิพย์มณฑาทองเข้าไปในบ้าน
ทุกคนบนเรือนวุ่นวายเตรียมออกไปตามหาทัศนัยธำรง
ฟากมัลลิกานารีเดินมาทรุดตัวลงร้องไห้ที่โขดหินอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด สับสน สิ้นหวัง และมากกว่านั้นเธอรู้สึกผิดต่อปรางทิพย์เต็มหัวใจ
“ปรางทิพย์มณฑาทอง ข้าคงไม่มีหน้าไปพบกับเจ้าอีกแล้ว”
มัลลิกานารีมองไปที่หน้าน้ำตกเหมือนเป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้าย ไม่กล้ากลับไปสู้หน้าใครได้อีก แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเข้าบางอย่าง สติที่พอมีพานางหมอบตัวลงหลบที่โขดหินแล้วแอบมอง เห็นสุริยเดชพาเทศเดินเข้าไปยังทางเข้าไปเมืองลับแล
มัลลิกานารีได้ยินที่ทั้งคู่คุยกัน และเห็นสุริยเดชยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่น่าวางใจ
“เจ้ามีอะไรจักสารภาพก็จงไปพูดต่อหน้าท่านสุบรรณเหราเถิด”
เทศสะดุดหู หยุดเดิน มองหน้าสุริยเดชงงๆ ปนสงสัย
“ข้าไม่มีสิ่งใดต้องสารภาพ ข้าเพียงแต่ตามมาปรับความเข้าใจกับปรางทิพย์มณฑาทองเท่านั้น นางกำลังเข้าใจผิดข้าเรื่องมัลลิกานารี แล้วไหนล่ะไม่เห็นนางเลย”
“ข้าว่านางคงมิได้เข้าใจเจ้าผิดดอก เพราะข้าเองก็เห็นมากับตาว่าเจ้าโอบกอดมัลลิกานารีอยู่จริงๆ”
เทศอึ้งตกใจจนพูดไม่ออก มัลลิกานารีเองก็ตกใจและเริ่มเป็นกังวล
เทศพยายามอธิบาย “แต่ข้ามิเคยคิดเกินเลยต่อมัลลิกานารีจริงๆ”
“เจ้าก็รู้ว่ามันผิดกฏ ผิดประเพณีของเมืองนี้แต่เจ้ายังทำ นี่เจ้าคิดจักลบหลู่ท่านสุบรรณเหราใช่หรือไม่”
“ข้ามิได้มีเจตนา…”
“อย่าแก้ตัวอีกเลย หากความผิดนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องให้ท่านสุบรรณเหราเป็นผู้ตัดสิน”
สุริยเดชตัดบทยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วหันมาผลักตัวเทศเข้าไปด้านใน มัลลิกานารีรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรรีบลุกตามไป
สุริยเดชยิ้มกระหยิ่ม ผลักตัวเทศให้รีบๆ เดิน
“รีบๆ เดินเสียสิ จะมัวชักช้าอยู่ใย ท่านสุบรรณเหรารอฟังความชั่วของเจ้าอยู่”
“เจ้าใส่ความข้า เหตุใดเจ้าต้องพูดปดเช่นนั้น” เทศไม่พอใจ
“ข้าพูดความจริงเช่นที่ข้าเห็น”
มัลลิกานารีเดินจ้ำเข้ามาตบหน้าสุริยเดชเข้าอย่างจัง สุริยเดชมองอย่างเจ็บใจ
“นึกว่าใคร นี่เจ้าเจ็บแค้นแทนชู้รักเจ้าถึงเพียงนี้เชียวรึมัลลิกานารี”
มัลลิกานารีโกรธตวาดลั่น “หุบปากเจ้าเสีย เจ้ามันเลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน ตั้งใจหลอกลวงผู้อื่นเพื่อทำเรื่องชั่วๆ”
“คิดดูให้ดีเสียก่อนมัลลิกานารี ข้าจะหลอกเจ้าได้เช่นไร หากเจ้าไม่มีใจคิดเรื่องบัดสีเช่นนั้นก่อน”
มัลลิกานารีอึ้งไป สุริยเดชยิ้มเยาะสะใจ
“ถึงกับพูดไม่ออกเลยรึ เช่นนั้นก็จงรีบตามไปดูกับตาเสียให้แจ้งใจเถิดว่าชายที่เจ้ารักจักมีชะตากรรมเช่นไร”
“ข้าไม่กลัวหรอก ข้ากับมัลลิกานารีมิได้มีเจตนาทำเรื่องเสื่อมเสีย” เทศว่า
สุริยเดชหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ เจ้ามนุษย์โง่เขลาเบาปัญญา แก้ตัวว่าไม่มีเจตนาแต่ได้กระทำลงไปแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษมีชู้ของเจ้าจักต้องพบกับสิ่งใด”
มัลลิกานารีรีบตั้งสติ รู้ว่าถ้าสุริยเดชต้องพาเทศไปรับโทษแน่ๆ ไวเท่าความคิดมัลลิกานารีคว้ามือเทศแล้วพาวิ่งออกไป
“หนีก่อนเถิดพี่เทศ”
สุริยเดชรู้อยู่แล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ แกล้งทำเป็นวิ่งตะโกนตามหลังไป
“หยุดนะ พวกเจ้าจักหนีไปไหน”
สุริยเดชมองตามหลังทั้งคู่ลับตาไป โดยแกล้งวิ่งตามไปช้าๆ
สุริยเดชยิ้มกริ่มทุกอย่างเป็นตามแผน แล้วหันกลับไปมองที่โถงถ้ำที่พำนักท่านสุบรรณเหรา
มัลลิกานารีดึงมือเทศวิ่งหนีไม่คิดชีวิต เทศขืนตัวรั้งไว้
“ปล่อยข้า ข้าจักกลับไปหาปรางทิพย์มณฑาทอง”
มัลลิกานารีอึ้ง เสียใจแต่ก็ต้องตั้งสติดึงเทศให้วิ่งต่อ
“กลับไปตอนนี้ก็ตายอยู่ดี”
“ข้าไม่กลัว”
“แต่ข้ากลัว ข้ายังไม่อยากตาย”
เทศเริ่มฉุกคิด
“ใกล้ถึงเขตเมืองมนุษย์แล้ว รีบวิ่งเถิดพี่เทศ”
มัลลิกานารีดึงมือเทศวิ่งหนีออกไปด้วยกัน
ที่ลานหน้าเรือนท่านพ่อเมือง ผู้ชายทุกคนในเมืองพากันเตรียมตัวออกไปตามหาทัศนัยธำรง
“มากันครบแล้วก็ออกไปกันได้เลย”
“ท่านพี่ต้องตามหาทัศนัยธำรงให้พบนะเจ้าคะ” ช่อทิพย์วิมาดากังวลหนัก
จอมจักราพยักหน้ารับด้วยความมั่นใจ
อัมรินทราปลอบปรางทิพย์และช่อทิพย์ “อย่าได้วิตกกังวลไปเลย พวกข้าจักทำทุกอย่างเพื่อพาตัวทัศนัยธำรงกลับมาให้ได้”
สุริยเดชกับสิงหัสดินท่าทางรีบร้อนเดินเข้ามาในสมทบ
จอมจักราเห็นนึกว่าสองพ่อลูกจะมาช่วย “พวกเจ้ารู้เรื่องที่ทัศนัยธำรงหายตัวไปแล้วใช่หรือไม่”
“ข้ารู้แล้วขอรับ ตอนนี้พ่อเทศพาทัศนัยธำรงหนีไปแล้วท่านพ่อเมือง”
ช่อทิพย์วิมาดาประหลาดใจ “มีเหตุอันใดกัน พ่อเทศจึ่งต้องพาทัศนัยธำรงหนีไปกันเล่า”
สุริยเดชไม่ตอบ “รีบไปพบท่านสุบรรณเหราก่อนเถิด แล้วพวกท่านจะได้รู้ความจริง”
จอมจักราแปลกใจมาก “มีเหตุอันใดก็จงพูดมาเถิดสุริยเดช”
สุริยเดชแกล้งทำเป็นอึกอักๆ หนักใจ “ท่านสุบรรณเหราให้ข้ามาตามทุกคนไปรวมตัวกันเพื่อสืบความเรื่องพ่อเทศเป็นชู้กับมัลลิกานารี”
ปรางทิพย์มณฑาทองอึ้งไป
ทุกคนในที่นั้นตื่นตกใจมองมาที่ปรางทิพย์มณฑาทองทั้งแถบ ด้วยสีหน้าแปลกใจและสงสัย
จอมจักราหันมาถาม “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พ่อเทศทำอย่างที่สุริยเดชพูดจริงรึ”
ปรางทิพย์มณฑาทองก้มหน้าน้ำตาคลอเบ้าไม่กล้าตอบ
สุริยเดชทำเป็นช่วยปกป้องปรางทิพย์มณฑาทอง
“อย่าเพิ่งถามแม่หญิงให้เจ็บช้ำไปมากกว่านี้เลยขอรับ ไปฟังความจริงจากปากท่านสุบรรณเหราให้กระจ่างแก่ใจกันเถิดทุกท่าน”
ทุกคนมองหน้ากันเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
ฝั่งเทศปล่อยมือจากมัลลิกานารีแล้วเดินกลับไปที่หน้าน้ำตก มัลลิกานารีดึงแขนเทศรั้งไว้
“พี่เทศ พี่จักทำสิ่งใด”
“ข้าจักต้องกลับไปอธิบายความจริงต่อท่านสุบรรณเหรา
“กลับไปก็มิเกิดประโยชน์อันใดดอก หากท่านสุบรรณเหราพิโรธไปแล้ว จักไม่ยอมให้อภัยต่อข้าและพี่เทศ”
“แต่จะให้ข้าหนีออกมาอย่างคนขลาด ข้าทำมิได้ดอก”
เทศแกะมือมัลลิกานารีออกอีกแล้วเดินกลับเข้าไปที่หน้าน้ำตก
มัลลิกานารีชะงัก ได้ยินเสียงบางอย่าง กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะตะโกนบอกเทศ
“พี่เทศ พี่ได้ยินเสียงทัศนัยธำรงหรือไม่”
เทศชะงักหันกลับมาหา “ข้าไม่เห็นได้ยินอะไร อีกอย่างทัศนัยธำรงจะเข้ามาทำอะไรในป่าเช่นนี้กันเล่า”
“แต่ข้าได้ยินจริงๆ เสียงเหมือนอยู่แถวๆ นี้”
มัลลิกานารีเดินมองหาที่มาของเสียง เทศมองตามอย่างสงสัย
จริงดังว่า ทัศนัยธำรงเดินหลงวนอยู่ในป่า ทั้งหวาดและอ่อนแรง เด็กน้อยร้องไห้โฮๆ
“ลุงสุริยเดช…หนูไม่อยากเล่นแล้ว หนูอยากกลับบ้าน ฮือ…ฮือ…”
มัลลิกานารีกับเทศเดินเข้ามา ทัศนัยธำรงหันมาเห็นร้องไห้จ้าวิ่งเข้ากอดเทศด้วยความดีใจ
“พ่อจ๋า...”
เทศตกใจ กอดปลอบขวัญ “ลูกเข้ามาทำอะไรที่นี่”
ทัศนัยธำรงปาดน้ำตาป้อยๆ เล่าให้พ่อฟัง “ลูกเข้ามาเล่นกับลุงสุริยเดช ท่านลุงบอกให้ลูกซ่อนแอบอยู่ที่นี่จนกว่าท่านลุงจักมารับขอรับท่านพ่อ”
มัลลิกานารีทบทวนเรื่องราวแล้วเข้าใจปรุโปร่ง
“มันต้องเป็นแผนของสุริยเดชเป็นแน่ พี่เทศรีบพาทัศนัยธำรงกลับไปรอที่บ้านก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจักรีบไปดูลาดเลาในเมืองให้ว่าเกิดเหตุใดขึ้นกันแน่”
เทศลังเล “แต่ปรางทิพย์...”
มัลลิกานารีตัดบท “ข้าจักหาทางอธิบายให้นางเข้าใจเอง พี่เทศรีบพาทัศนัยธำรงกลับไปที่บ้าน ห้ามกลับเข้าไปในเมืองลับแลอีกเป็นอันขาด เพราะนอกจากพี่จักต้องโทษแล้ว ทัศนัยธำรงที่มีสายเลือดของพี่ก็อาจต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกัน”
เทศใคร่ครวญครุ่นคิด
ปรางทิพย์มณฑาทอง/จอมจักรา/ช่อทิพย์วิมาดา/บัวคำพิลาศ/เรณูศจี/สุริยเดช/อัมรินทรา/วิกรมารุต/พฤษทล/อัสกัณ/สิงหัสดิน/ บุหงารำไพ/กรรณิการ์สินี(แม่สุริยเดช)/ชาวเมืองลับแลชาย-หญิง
ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ลานตัดสิน สุบรรณเหราโฉบบินลงมาอย่างสง่างาม ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ ทุกคนแสดงความเคารพสูงสุด
“เจ้าเทศกับมัลลิกานารีผิดประเพณีกันจริงหรือไม่ ปรางทิพย์มณฑาทอง”
ปรางทิพย์มณฑาทองสับสนหนักทั้งรักทั้งโกรธ เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่กล้าตอบ
บุหงารำไพใส่ไฟเพราะนึกเจ็บแค้นแทนบุษบาลาวัณย์ที่โดนทำโทษ
“เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร มัลลิกานารีเป็นเพื่อนรักของปรางทิพย์มณฑาทองมิใช่รึ เหตุใดมีจิตใจต่ำทรามนัก”
ชาวเมือง1 เสริมว่า “นั่นสิ บ้านเมืองเรามิเคยเกิดเรื่องน่าอดสูเช่นนี้ขึ้นเลย”
สุริยเดชเสริมว่า “เพราะมีมนุษย์กิเลสหนาเข้ามา ทำให้บ้านเมืองเราต้องเสื่อมเสียเช่นนี้”
ปรางทิพย์มณฑาทองก้มหน้าไม่กล้าโต้แย้งใดๆ
สายตาชาวเมืองมองแรงมายังปรางทิพย์มณฑาทอง แล้วพาซุบซิบๆ กันมันปาก
สิงหัสดินสบช่องจึงรีบจุดชนวน
“แม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทองเป็นถึงลูกพ่อเมือง เหตุใดมิไตร่ตรองให้รอบคอบ เห็นถึงผลที่เลือกคนผิดแล้วใช่หรือไม่ ว่าทำให้พ่อเจ้าต้องเสื่อมเสียเกียรติสักเพียงใด”
สิงหัสดินนั้นมีความแค้นกับครอบครัวปรางทิพย์อยู่แล้ว เพราะอยากเป็นพ่อเมือง ประสมกับเรื่องบุษบาลาวัณย์ที่ถูกลงทัณฑ์เพราะปรางทิพย์อีก
บัวคำพิลาศออกโรงโต้เสียงแข็ง ปกป้องเจ้านาย
“มิใช่ความผิดของแม่หญิงนะเจ้าคะ เพราะแม่หญิงเองก็มิได้อยากให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แต่หากเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็ควรจักฟังคำทุกฝ่ายเพื่อตัดสินมิใช่รึ”
สิงหัสดินไม่พอใจ “อย่าได้แสดงความโง่เขลาออกมาเลยบัวคำพิลาศ เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจว่านายเจ้าเป็นต้นเหตุให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย เพียงเพราะหลงในรูปกายมนุษย์จนใฝ่ต่ำนำพามันผู้นั้นเข้ามาสร้างเรื่องทำร้ายศีลและประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวเมืองเรา”
“เพราะถือว่ามีอำนาจในมือ จึงตัดสินจองจำผู้อื่นเพียงเพื่อให้พ้นทางตน ครั้นถึงคราวลูกหลานทำผิดจักกล้าตัดสินหรือไม่ก็มิรู้ได้” บุหงารำไพหันไปพยักพเยิดกับชาวเมือง “จริงหรือไม่”
“เจ้าจักมาโกรธแค้นแทนบุษบาลาวัลย์ เพื่อนเจ้าไปใยเล่า เจ้าเองก็รู้ว่านางทำผิดกฎจึงถูกจองจำ หาใช่มีใครใส่ความนางไม่”
ปรางทิพย์น้ำตานองหน้า ก้มหน้าลงยอมรับผิดแต่โดยดี
“ขอเพียงให้ข้าได้อยู่กับลูก ไม่ว่าต้องรับโทษเช่นใด ข้าก็น้อมรับเจ้าข้าท่านสุบรรณเหรา”
“สิ่งที่เจ้าขอนั้นคงมากเกินไป เพราะต่อจากนี้ข้าจักสั่งปิดตายประตูเมือง ห้ามเข้าออกอีกต่อไป เพื่อให้ผู้คนอยู่รักษาศีลอย่างเคร่งครัด” สุบรรณเหราประกาศก้อง
ปรางทิพย์ตกใจ “ได้โปรดเถิดเจ้าข้า ลูกข้ายังเล็กนัก จักเติบโตเช่นใดหากไม่มีข้า อีกอย่างลูกข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด เหตุใดถึงต้องโทษให้ทรมานเช่นนั้น”
“เจ้าจักต้องห่วงไปใย ในเมื่อลูกเจ้าก็อยู่กับเทศและมัลลิกานารี อีกอย่างมัลลิกานารีก็รักลูกเจ้าอย่างกับนางคือแม่แท้ๆเสียอีก” สุริยเดชแดกดัน
ปรางทิพย์เลือดขึ้นหน้าด้วยความโมโหที่ถูกพูดแทงใจดำ
“ไม่ได้ ลูกข้าจักต้องอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว จักมีผู้ใดที่ไหนมาแทนที่ความรักของคนเป็นแม่หาได้ไม่”
“เจ้าเด็กนั่นมีเลือดมนุษย์อยู่ครึ่งหนึ่ง ไม่มีสิทธิ์กลับเข้ามาในเมืองนี้อีก” สุบรรณเหราบอกอีก
ปรางทิพย์มณฑาทองร้องไห้โฮ ทรุดตัวลงขอร้องต่อสุบรรณเหรา บัวคำพิลาศรีบเข้ามาประคองไว้
“ข้าแต่ท่านสุบรรณเหรา ได้โปรดเห็นใจข้าด้วยเถิด”
จอมจักราคุกเข่าลงช่วยขอร้อง “ท่านสุบรรณเหราได้โปรดเห็นใจคนเป็นแม่ด้วยเถิดทัศนัยธำรงยังเด็กนัก สมควรจักได้อยู่กับผู้เป็นแม่นะขอรับ”
สุริยเดชสวนขึ้น “ท่านเคยกล่าวไว้มิใช่รึ ว่าหากผู้ใดกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษแม้แต่ตัวท่านเอง แล้วเหตุใดจึงกลับคำหันมาปกป้องลูกท่านเช่นนี้ ไม่ละอายใจบ้างรึ”
ชาวเมือง1เห็นด้วย “ใช่แล้ว ในเมื่อท่านพ่อเมืองเองเป็นผู้รับรองพ่อเทศตั้งแต่แรกก็ควรต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ด้วย หากกฎไม่เป็นกฎ ก็ควรแต่งตั้งผู้ที่มีความเป็นผู้นำและเป็นธรรม มากกว่านี้มาเป็นพ่อเมือง”
ชาวเมือง 2 ไม่เห็นด้วย “จักมากล่าวโทษท่านพ่อเมืองเช่นนี้ได้อย่างไร ที่บ้านเมืองเราสงบสุขมาได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะท่านแท้ๆ ไม่นึกถึงบุญเสียบ้างเล่า”
เกิดการทะเลาะกันวุ่นวาย แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย
ปรางทิพย์น้ำตานองหน้าด้วยความเศร้าใจ
สุบรรณเหรามองทุกคนอย่างสับสนไม่พอใจ ควันเริ่มลอยออกทางหู จมูก แล้วตัวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงมีควันลอยออกจากร่างกายเพราะความโกรธที่เห็นผู้คนในเมืองลับแลทะเลาะ และใส่ร้ายกันและกัน
ฟังที่ทศนนท์เล่ามาถึงตอนนี้ มาลีเอามือจับหน้าอกอย่างปวดใจแล้วร้องไห้โฮออกมา
“ทุกอย่างมันเป็นความผิดของยายเอง”
ทศนนท์ปลอบ “คุณยายอย่าโทษตัวเองอีกเลยนะครับ”
เสียงนิรชาดังขึ้น “ยายเป็นอะไรคะ”
นิรชาถืออาหารว่างเข้ามาให้ แต่ต้องตกใจ รีบเข้ามาจับตัวมาลีตำหนิทศนนท์ด้วยสายตา
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมยายถึงได้เป็นแบบนี้”
มาลีจับมือนิรชาไว้ “คุณทศไม่ได้ทำอะไรหรอกลูก ที่ยายเป็นแบบนี้เพราะยายรู้สึกผิดกับสิ่งที่ยายเคยทำไว้”
นิรชาอยากรู้ “เรื่องอะไรเหรอคะยาย”
มาลีนิ่งงันไป มองหน้าทศนนท์ไม่ยอมพูดอะไรอีก
นิรชาน้อยใจ “ยายเล่าให้คุณทศฟัง แต่กับเนียร์ทำไมยายไม่อยากเล่าอะไรให้ฟังเลยเหรอคะ”
“ยายไม่เคยคิดจะปิดหนูหรอกนะลูก และที่ยังไม่เล่าเพราะมันยังไม่ถึงเวลา แต่วันนี้ยายคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้ว” มาลีลูบหัวนิรชาอย่างอ่อนโยน “หนูควรจะต้องรู้เอาไว้เพราะยายก็ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ได้อีกนานสักแค่ไหน”
นิรชาใจหายสวมกอดยายสีหน้าเศร้า “ยายอย่าพูดแบบนี้สิคะ ยายต้องอยู่กับหนู หนูรักยายนะคะ”
มาลีกอดหลานเอามือลูบหัวปลอบ แววตาเต็มไปด้วยเรื่องราวในใจมากมาย
“ถ้าเนียร์รู้เรื่องทั้งหมดหนูอาจจะเลิกรักยายไปเลยก็ได้”
นิรชามองยายอย่างเชื่อมั่น “หนูไม่มีวันรู้สึกแบบนั้นหรอกค่ะ”
หญิงชรายิ้มข่มความเจ็บปวดในใจแล้วหันมองทศนนท์
“เล่าต่อเถอะค่ะคุณทศ ยายอยากฟังให้จบ เนียร์จะได้รู้เรื่องด้วย”
“ครับคุณยาย”
ทศนนท์หันมองนิรชาสีหน้าเศร้าๆ
เรื่องราวต่อมา เกิดความวุ่นวายโกลาหล ชาวเมืองแบ่งแยกเป็นสองข้างอย่างชัดเจน
สุบรรณเหราคุมแค้นที่เห็นความวุ่นวายตรงหน้า ก้มลงไปมองที่พื้นดิน ปล่อยเปลวไฟอาคมลุกโชนขึ้น ชาวเมืองหยุดทะเลาะกัน แล้วหันไปมองเปลวไฟอาคมด้วยความหวาดกลัว
สุบรรณเหราหันมาทางจอมจักรา “เจ้าเป็นถึงพ่อเมือง เจ้าจักรับผิดชอบเรื่องนี้เช่นใดจอมจักรา”
“หากสิ่งที่ลูกของข้าทำเป็นความผิดบาปร้ายแรง ข้าก็ยินดีรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว ขอให้ท่านสุบรรณเหราโปรดลงโทษข้าที่ทำหน้าที่บกพร่องด้วยเถิด”
ปรางทิพย์ไม่ยอม “ท่านพ่อ ข้าเป็นคนทำให้บ้านเมืองเราเกิดความวุ่นวาย ข้าต้องเป็นคนรับผิดเจ้าค่ะ”
สุริยเดชคุกเข่าขอร้องต่อสุบรรณเหราอีกแรง เสแสร้งเป็นคนดี และลึกๆ ก็กลัวปรางทิพย์มณฑาทองจะได้รับโทษ
“ข้าแต่ท่านสุบรรณเหรา คนผิดจริงนั้นคืออ้ายเทศนะขอรับ ได้โปรดตัดสินมิให้มันเข้ามาในเมืองเราได้อีก แล้วให้ท่านพ่อเมืองกับปรางทิพย์มณฑาทองรักษาศีลเพื่อรับโทษก็เพียงพอ เพราะท่านพ่อเมืองนั้นมิเคยทำสิ่งใดผิดมาก่อน”
สุบรรณเหรายิ่งโกรธ “เจ้าไม่มีสิทธิ์มาออกความเห็นเรื่องนี้ เพราะข้าคือผู้คุมกฎ และข้าจักต้องตัดสินให้เป็นธรรมที่สุด”
จอมจักราหันมามองช่อทิพย์วิมาดากับปรางทิพย์มณฑาทองยิ้มให้เชิงสั่งเสีย สองคนยิ้มตอบ คิดว่าสุบรรณเหราต้องตัดสินอย่างเป็นธรรม
จอมจักราเดินเข้ามาจับมือคู่ชีวิตกุมไว้ “ไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น เจ้าจักต้องเข้มแข็งไว้หนาช่อทิพย์วิมาดา”
ช่อทิพย์วิมาดารับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่ายหน้าอ้อนวอนเบาๆ “ท่านพี่…ไม่...”
จอมจักราหันมาหาปรางทิพย์ “เจ้าต้องยึดมั่นในความถูกต้องด้วยชีวิต และจงเชื่อใจพ่อเถิดหนาปรางทิพย์มณฑาทอง”
ปรางทิพย์มณฑาทองก้มหน้ารู้สึกผิดเพราะคิดว่าตนคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
“ข้าพร้อมแล้วขอรับท่านสุบรรณเหรา ข้าขอรับผิดทุกสิ่งทุกอย่างเอง”
จอมจักราก้มกราบเคารพสุบรรณเหราแล้วหันมองทุกคนตาแดงก่ำ
ฉับพลันทันใดนั้นเองจอมจักราก็ตัดสินใจลุกขึ้น เดินเข้าไปในเปลวไฟอาคมที่กำลังลุกโชน
ทุกคนตกใจไม่คิดว่าจอมจักราจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเพื่อรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด
ชาวเมืองอุทานลั่น “ท่านพ่อเมือง...”
ปรางทิพย์ช็อกตาตั้ง ช่อทิพย์วิมาดากลั้นน้ำตาไม่ฟูมฟาย ข่มความเจ็บปวดไว้ลึกสุดใจ
“ท่านพี่...”
เรณูศจีเข้ามาประคองช่อทิพย์วิมาดาร้องไห้เสียใจ
ร่างของจอมจักราค่อยๆ สลายหายไปในเปลวไฟ
ปรางทิพย์มณฑาทองร้องไห้ ทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง บัวคำพิลาศประคองไว้น้ำตาเต็มตา
“ท่านพ่อ…..ใยทำเช่นนี้”
ร่างที่สลายไปของจอมจักรา รวมตัวเป็นดวงวิญญาณกลมๆ สีขาวบริสุทธิ์ลอยขึ้นเหนือเปลวไฟ แล้วลอยไปตกลงบนต้นไม้ในที่ดินอีกด้านหนึ่ง เปล่งแสงเรืองรอง กลายเป็นต้นไม้ที่เป็นตัวแทนของผู้ตายในสุสานเมืองลับแล ใกล้ๆ ลานตัดสิน
ปรางทิพย์เดินน้ำตานองหน้าเข้าไปในเปลวไฟตายตามบิดา บัวคำพิลาศและเรณูศจีกอดรั้งไว้
“แม่หญิง แม่หญิงอย่างทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ” บัวคำกราดตามองทุกคนเชิงต่อว่า และมาหยุดสายตาจ้องที่สุริยเดช “พอใจท่านแล้วหรือยังที่ได้เห็นแม่หญิงเป็นเช่นนี้”
สุริยเดชเริ่มรู้สึกผิดเพราะเรื่องราวบานปลาย อยากจะเข้าช่วยแต่ไม่กล้า
ชาวเมืองที่อยู่ข้างจอมจักราต่างต่อว่าสุริยเดชและสิงหัสดิน
“เป็นเพราะพวกเจ้าท่านพ่อเมืองจึงต้องฆ่าตัวตาย”
แต่ชาวเมืองที่อยู่ฝ่ายสิงหัสดินก็ตะโกนเถียงตอบโต้
“ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น เป็นเพราะท่านพ่อเมืองอ่อนแอเองต่างหาก จึงได้หนีปัญหาอย่างคนขลาด”
พลันเกิดลมพายุแผ่นดินไหวเหมือนฟ้าดินพิโรธหนัก ทุกคนต่างพากันตะกายหาที่ยึดเหนียว ท้องฟ้าสวยงามพลันเปลี่ยนเป็นมืดทะมึน เมฆฝนตั้งเค้า ฟ้าร้องฟ้าผ่าเสียงดังเปรื่องปร่าง
ทุกคนพากันเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างหวาดผวา
สุบรรณเหราเงยหน้าขึ้นร้องคำรามด้วยความโกรธแค้น พ่นสายน้ำอัคคีมรณะสีแดงออกมาเป็นประกายไฟ
“ข้าสู้อุตส่าห์ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเจ้า ได้อยู่อย่างสุขสบาย เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องมีจิตริษยาต่อกัน ไม่รักษาศีล แลยังสร้างความวุ่นวายยุยงปลุกปั่นแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือความสุขที่ข้าให้มันไม่มากพอที่จักทำให้พวกเจ้าดับกิเลสตัณหาในใจลงมาได้ หากเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าก็จงรับโทษที่พวกเจ้าสร้างขึ้นมา แล้วจงอยู่กับความเจ็บปวดและการพลัดพรากจากคนที่รักให้สำนึกเสียเถิด”
ทุกคนต่างวิ่งหนีตายกันชุลมุน แต่พอโดนน้ำอัคคีมรณะเข้าก็ล้มลงนอนแน่นิ่งกับพื้นขยับไม่ได้
ผู้ชายทุกคนโดนสะกดนอนตัวแข็งทื่อ ยกเว้นสุริยเดชกับสิงหัสดินที่อาศัยความไวหลบรอดได้ ส่วนพวกผู้หญิงทุกคนถูกอัคคีมรณะพ่นใส่ล้มฟุบลงกับพื้นตายคาที่
ปรางทิพย์มณฑาทองล้มลง พยายามจะขยับตัวลุกขึ้นแต่ทำไม่ได้แล้ว เหลือบไปเห็นสุริยเดช สิงหัสดิน พากรรณิการ์สินีวิ่งไกลออกไปทางปากถ้ำ รอบๆ กายของเธอยามนี้ เห็นผู้หญิงทุกคนนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่เต็มลานตัดสิน
ปรางทิพย์มณฑาทองมองดูหายนะตรงหน้า น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย สุดท้ายหมดสติไป
ฝ่ายสุริยเดชและสิงหัสดินช่วยกันประคองพากรรณิการ์สินีวิ่งหนีตายมาที่ปากถ้ำ ตั้งใจจะออกไปยังเมืองมนุษย์ สามคนพ่อแม่ลูกมองลุ้นระทึก ว่าจะหนีออกไปได้ไหม
“อีกนิดเดียวก็จะถึงทางออก ท่านแม่อดทนหน่อยนะ”
กรรณิการ์สินีมองลูกผัวอย่างผิดหวังปล่อยโฮออกมา
“เหตุใดพวกเจ้าทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ ข้าผิดหวังจริงๆ”
สิงหัสดินรู้สึกผิด “ข้าไม่คิดว่าเรื่องจักลงเอยเช่นนี้”
สุริยเดชจ๋อยสนิท “ข้าเองก็มิได้หวังให้ผลมันเป็นเช่นนี้หนาท่านแม่ แต่ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย รีบพาแม่เจ้าหนีออกไปก่อนเถิด พ่อจักรับหน้าไว้เอง”
เสียงกระพือปีกดังใกล้เข้ามา สามพ่อแม่ลูกเงยหน้าขึ้นมองเห็นสุบรรณเหราบินโฉบลงมาใกล้ๆ
สุริยเดชคิดปราด ผลักกรรณิการ์สินีให้เข้าไปในเมืองมนุษย์ แล้วหันมามองบิดา พบว่าสิงหัสดินโดนน้ำอัคคีมรณะพ่นใส่ตัวแข็งทื่อวิญญาณหลุดจากร่างแล้ว
สุริยเดชตะลึงตะไล เงยหน้ามองสุบรรณเหรา พลันพิษอัคคีมรณะก็สาดเข้าใส่ร่างเขา ทุกอย่างมืดดับลง
ฝ่ายกรรณิการ์สินีวิ่งหนีตายออกมาชนเข้ากับมัลลิกานารีอย่างจัง ทั้งคู่กระเด็นไปคนละทาง มัลลิกานารีตั้งตัวได้ก่อนรีบลุกไปพยุงอีกฝ่าย ตกใจเมื่อพบว่าเป็นกรรณิการ์สินี
“ท่านน้ากรรณิการ์สินี ท่านเป็นอะไร”
พอกรรณิการ์สินีเห็นว่าเป็นใครก็ยิ่งโกรธแค้น มองจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เจ้ากับอ้ายเทศทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย”
“พวกท่านกำลังเข้าใจข้ากับพี่เทศผิด ข้าจักต้องเข้าไปคุยกับท่านพ่อเมือง”
กรรณิการ์สินีไม่ฟัง ร้องไห้สติหลุด
“สายไปแล้ว ประตูเมืองกำลังจะถูกปิดแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว ชายทุกคนตายหมดรวมทั้งพ่อเจ้าด้วยเพราะเจ้าเป็นต้นเหตุ มัลลิกานารี”
มัลลิกานารีอึ้งตะลึงตะไล กรรณิการ์สินีสะบัดมือออกแล้ววิ่งหนีไปด้วยความกลัว
“ไม่จริง”
มัลลิกานารีไม่อยากเชื่อน้ำตาไหลอาบแก้ม หยิบใบไม้ทองคำขึ้นมามองชั่งใจจะทำอย่างไรดี
มัลลิกานารีพาตัวเองมาอยู่ที่ลานตัดสิน ตกตะลึงพรึงเพริดกับภาพชาวเมืองนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่เต็มลาน
มัลลิการ้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจสุดจะประมาณ วิ่งเข้าไปหาร่างหนึ่งในนั้น
มาลีเล่าเสริม ด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ภาพเหตุการณ์วันนั้นทำให้ยายหดหู่และเศร้าใจยิ่งนัก ผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาด บ้านเมืองที่สวยงามดุจแดนสวรรค์กลายเป็นเมืองร้างไร้จิตวิญญาณ เหลือไว้เพียงร่างที่ไร้ลมหายใจ เพราะความโง่เขลาของยายแท้ๆ”
มัลลิกานารีกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเจอร่างอัมรินทรา
“ไม่...ท่านพ่อ ไม่นะ ไม่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ข้าขอโทษ…ข้าผิดเอง ข้าขอโทษ”
เสียงกระพือปีกของสุบรรณเหราดังขึ้น
มัลลิกานารีมองตามเสียง แล้วรีบวางร่างของอัมรินทราลงอย่างเศร้าใจเพราะกลัวสุบรรณเหราเข้ามาเจอ
“ท่านพ่อ ข้าขอโทษ แต่ข้าต้องไปแล้ว ข้าขอโทษที่ทำให้พวกท่านเป็นเช่นนี้”
มัลลิกานารีตัดใจวิ่งหนีออกไป ตั้งใจกลับไปเมืองมนุษย์แจ้งเรื่องร้ายในเมืองลับแลกับเทศ
มัลลิกานารีเดินโซเซอ่อนแรงเข้ามาในบ้านเทศ
“พี่เทศ…ทัศนัยธำรง…”
มัลลิกานารีมองไปรอบๆ แต่ไม่เจอผู้ใด วิ่งไปค้นหาทั่วบ้านแต่ไม่เจอสองคน จนนึกขึ้นได้
“หรือว่า พวกเขาจะกลับเข้าไปในเมือง โธ่…พี่เทศ เหตุใดมิยอมฟังข้าเลย”
มัลลิกานารีทรุดตัวลงอย่างสิ้นหวัง ปล่อยโฮออกมาคิดว่าเทศพาทัศนัยธำรงกลับเข้าเมืองและคงตายไปแล้วทั้งคู่
มัลลิกานารีเดินเหมือนร่างไร้วิญญาณมาหยุดที่หน้าผา ร้องไห้คร่ำครวญ
“ข้าขอสมาลุแก่โทษ เป็นเพราะกิเลสตัณหาของข้าที่ทำลายเมืองทั้งเมือง แล้วข้าจักมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร คนอย่างข้ามันสมควรตาย”
มัลลิกานารี มองลงไปจากหน้าผาสูงชัน เห็นหุบเหวด้านล่าง หลับตาลงตัดสินใจเด็ดขาดจะกระโดดลงไป
พลันมีมือใครบางคนยื่นมาคว้าเอวมัลลิกานารีเอาไว้ นางลืมตาหันไปมองใครคนนั้นอย่างตกใจ
ได้ฟังแล้ว นิรชาย้อนถามมาลีอย่างสนใจ
“คนที่เข้ามาช่วยยายคือตาใช่ไหมคะ”
มาลียิ้มบาง พยักหน้ารับ “ตาของหลานสอนให้ยายรู้ว่าชีวิตยังมีค่า การฆ่าตัวตายไม่ใช่วิธีชดใช้ความผิดแต่กลับจะสร้างบาปให้เป็นเวรกรรมติดตัวต่อไปอีก หลังจากนั้นยายก็พยายามจะกลับเข้าเมืองลับแลอยู่หลายครั้งแต่ประตูถ้ำถูกปิดตาย เข้าไปไม่ได้อีกเลย”
“แล้วปู่เทศกับลูกชายท่านล่ะค่ะ”
มาลีหน้าเศร้าลง “ยายพยายามตามหาแล้วแต่ก็ไม่เจอพวกเขาอีกเลย ยายเลยตัดสินใจหนีจากความรู้สึกเจ็บปวดไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยมีตาของหลานคอยให้ความช่วยเหลือ”
“แต่เนียร์ว่าบางทีปู่เทศกับลูกชายของท่านอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้นะคะ”
ทศนนท์เห็นด้วย “นั่นสิครับ เพราะที่คุณปรางพาผมเข้าไปในนิมิตไม่เจอคุณเทศกับลูกชายเขาเลยและผู้หญิงในเมืองก็ยังมีชีวิตอยู่ มีแต่ผู้ชายที่ตายทั้งหมด คุณปรางเองก็ยังไม่รู้ว่าคุณเทศหายไปไหน”
มาลียิ้มอย่างมีความหวัง “พวกเขายังมีชิวิตอยู่จริงๆเหรอ ช่วยพายายไปเจอปรางทิพย์มณฑาทองหน่อยจะได้ไหม ยายอยากอธิบายความจริงและไถ่บาปที่ได้ก่อไว้”
ทศนนท์ใคร่ครวญครุ่นคิด
ในเวลาต่อมา รถทศนนท์แล่นเข้ามาจอดที่ลานข้างบ้านปรางทิพย์
ปรางทิพย์กับบัวคำมองไปจากศาลาพักร้อน เห็นจากระยะไกลว่าทศนนท์รีบลงมาเปิดประตู แล้วช่วยพยุงหญิงชราคนหนึ่งลงจากรถ พาเดินตรงเข้ามาหาปรางทิพย์กับบัวคำ
ปรางทิพย์หันมองหน้ากับบัวคำคุ้นหน้ามาลีทั้งคู่ ลุกเดินพากันออกมาดูใกล้ๆ แต่ก็นึกไม่ออก
มาลีจดสายตามองสองคนยิ้มทั้งน้ำตา
“พี่บัวคำพิลาศ พี่สบายดีรึ”
บัวคำตกใจปนงง “คุณเรียกชื่อฉันว่า…”
“พี่ได้ยินไม่ผิดดอก”
บัวคำพยายามนึก “คุณเป็นใครกันแน่”
มาลีไม่ได้สนใจตอบคำถามบัวคำ เดินยิ้มเข้าหาปรางทิพย์ยิ้มน้ำตาเต็มตา
“ปรางทิพย์มณฑาทอง เจ้าเหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลงเลย”
“คุณเป็นใคร รู้จักพวกเราได้ยังไง” ปรางทิพย์งงในเบื้องแรก และเปลี่ยนเป็นไม่พอใจทศนนท์ “คุณเล่าอะไรให้เขาฟัง เขาถึงรู้จักฉันกับพี่บัวคำ ฉันเคยขอร้องคุณแล้วนี่คะว่าทุกอย่างต้องเป็นความลับ”
ทศนนท์อึกอัก “ผม…”
มาลีแทรกขึ้นว่า “ข้าคือมัลลิกานารี”
ปรางทิพย์กับบัวคำอึ้งตะลึงตะไลคาดไม่ถึง
ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น และความเสียใจแล่นลิ่วเข้าสู่หัวใจปรางทิพย์ ดวงตาแดงก่ำ
“เจ้ายังมีหน้ากลับมาอีกหรือ”
มาลีพูดไม่ออก ปรางทิพย์เดินออกไปโดยไม่ใยดี และไม่อยากรับฟังคำแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น
บัวคำหันมาทางทศนนท์ “คุณทศรีบพานางออกไปเสียเถิด เพราะแม่หญิงคงไม่ยินดีต้อนรับนางแน่ๆ”
บัวคำขึงตามองมาลีไม่ยกโทษให้ แล้วเดินตามปรางทิพย์ไป มาลีร้องไห้โฮ
ที่ห้องนอนชั้นบน มัทนากำลังเก็บกวาดทำความสะอาดห้องพักแขกของตนกับมาลี นิรชาเดินเข้ามากอดมัทนาจากด้านหลัง
“ไม่ต้องทำแล้วมานั่งเลยค่ะแม่” นิรชาพาแม่มานั่งที่เตียง “เดี๋ยวเนียร์ทำเอง”
นิรชาเอาไม้ขนไก่ปัดฝุ่นทำความสะอาดห้อง
“วันๆแม่จะเป็นง่อยอยู่แล้วเนี่ย อ้าวแล้วใครอยู่กับคุณยายล่ะลูก คุณทศเหรอ”
“ค่ะแม่ คุณทศพายายออกไปเดินเล่นแถวนี้แหละ”
“แม่ว่าคุณทศนี่ก็น่ารักเหมือนกันนะลูก แถมยังคุยถูกคอกับคุณยายอีก หนูไม่คิดจะมองๆดูบ้างเหรอ” มัทนายิ้มยั่วเย้า “หรือว่าที่ไม่ยอมไปไหนเพราะลูกสาวแม่ตกหลุมรักใครบางคนไปแล้วน้า”
นิรชาเขินทำอะไรไม่ถูกกลัวโดนจับได้ รีบๆ ปัดฝุ่นแก้เขินจนไปโดนหนังสือธรรมะกับสมุดบันทึกของมาลีหล่นลงมา
นิรชาหยิบขึ้นมาจะเอาไปวางเก็บที่เดิม แต่มือไปเปิดเจอหน้าสุดท้ายเขียนว่า
“ข้าพร้อมแล้วจักยอมรับโทษทุกอย่าง”
นิรชาครุ่นคิดจะต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ
“มีอะไรเหรอลูก”
นิรชารีบเก็บสมุดไว้ไม่อยากให้มัทนารู้เรื่องเพราะกลัวจะเป็นห่วง
“เปล่าค่ะแม่ เนียร์ว่าแม่ลงไปก่อนเถอะค่ะ ข้างบนนี้มันร้อน เดี๋ยวเนียร์ทำอะไรเสร็จแล้วจะตามลงไป”
“อืมก็ดีเหมือนกัน งั้นแม่ลงไปก่อนนะลูก” มัทนาเดินออกไป
นิรชามองสมุดบันทึกด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ทางด้านมาลีร้องไห้วิ่งตามมาจับแขนปรางทิพย์แล้วคุกเข่าลง
“ข้าขอโทษ ทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง ข้าอยากจะสารภาพความผิดบาปทั้งหมด”
“กลับไปเสียเถิด มันสายเกินไปแล้ว ทุกอย่างได้จบสิ้นลงแล้ว ใครที่อยู่เห็นวันอภิสังหารแล้วจักไม่มีวันลืมภาพนั้น เช่นเดียวกับข้าที่ไม่เคยลืมความเจ็บปวดในวันนั้นได้”
ปรางทิพย์เดินหนีน้ำตาคลอ มาลีเข้ายื้อดึงแขนรั้งไว้
“ปรางทิพย์มณฑาทองฟังข้าก่อน”
ปรางทิพย์โกรธจัดเผลอสะบัดแขนเต็มแรงจนร่างมาลีล้มลงที่พื้น หันไปมองด้วยสีหน้าตกใจ
“มัลลิกา...”
ทศนนท์รีบเข้ามาช่วยพยุงมาลีให้ลุกขึ้น
“ถึงจะโกรธเกลียดกันแค่ไหนก็อย่าทำรุนแรงกับคุณยายเลยครับ คุณยายมาเพื่อไถ่โทษในความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจ คุณควรจะรับฟังท่านบ้าง”
“ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ชาติคุณก็อยู่ข้างนางสินะ”
ปรางทิพย์ตัดพ้ออย่างน้อยใจ ก่อนจะหันมาทางมาลี
“ถ้าเจ้าอยากจะไถ่โทษจริงๆ ก็จงกลับไปเฝ้าท่านสุบรรณเหรากับข้า”
“ข้าพร้อมแล้ว ข้ารอวันนี้มานานเหลือเกิน”
เห็นมาลียิ้มกว้างดีใจ ปรางทิพย์กับบัวคำมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง ทศนนท์ตกใจ
บัวคำเดินมาส่งที่รถ ทศนนท์หน้าเครียดกังวลไม่คลาย
“มันจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณยายหรือเปล่าบัวคำ”
บัวคำยิ้มเยือกเย็น
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณทศ ถ้ามัลลิกานารีไม่ได้ทำอะไรผิด นางจะไม่เป็นอะไร”
“แล้วพวกเขาจะหายไปนานแค่ไหนเหรอครับ”
“เวลาเมืองลับแลเดินช้ากว่าเมืองมนุษย์ คงต้องใช้เวลากว่าที่พวกนางจะกลับมา”
“งั้นผมต้องรีบไปบอกครูเนียร์ก่อน เดี๋ยวเขาจะเป็นห่วงเอา”
“ค่ะ รีบไปบอกเธอให้เข้าใจ จะได้ไม่เกิดความวุ่นวายขึ้นอีก”
บัวคำกับปรางทิพย์รู้แล้วว่ามาลีเป็นยายนิรชา ตอนเห็นที่โรงพยาบาลในตัวเมือง
ทศนนท์พยักหน้ารับแล้วรีบขึ้นรถขับแล่นออกไป
บัวคำยืนมองตามไปสีหน้าเศร้า ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“มัลลิกานารี นิรชา...ไม่น่าเป็นเช่นนี้เลย”
บัวคำรับรู้ว่าทศนนท์เริ่มมีใจให้นิรชา และนิรชาเป็นหลานของมาลีหรือ มัลลิกานารี ที่มีความแค้นฝังใจกันมา กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ทำให้ปรางทิพย์ต้องปวดใจอีกครั้ง
มัทนานั่งรออยู่ที่โต๊ะ จนนิรชาเดินถือกับข้าวมาเข้ามาวางที่โต๊ะ แล้วมองหาใครบางคน
“คุณทศยังไม่พายายกลับมาอีกเหรอคะแม่”
“นี่ก็เที่ยงแล้ว เดี๋ยวคงมามั้งลูก”
“ค่ะแม่” นิรชาหันไปเรียกศักดิ์กะตาล “น้าศักดิ์น้าตาลคะ กับข้าวเรียบร้อยแล้ว มาทานด้วยกันสิคะ”
“กินกันไปก่อนเลยจ้า เดี๋ยวน้ารอคิตตี้กลับมาก่อน แล้วคุณยายมาลียังไม่กลับมาอีกเหรอ” ตาลถาม
“ยังไม่เห็นก็คือยังไม่มาล่ะมั้ง” ตาลหันมาบอกนิรชาว่า “กินไปก่อนเลย น้าก็รอคิตตี้มา เดี๋ยวตั้งวงอีกรอบ เดี๋ยวก็มาล่ะมั้งเนี่ย” จากนั้นก็หันไปง่วนชงกาแฟให้ลูกค้าต่อ
ทศนนท์เดินเข้ามาในร้าน มัทนาหันไปเห็น
“อ้าวพูดถึงก็มาเลย มาทานข้าวด้วยกันสิคะ”
นิรชามองหามาลี “ยายฉันล่ะค่ะ”
ทศนนท์เดินเข้ามานั่ง “คุณยายขอไปทำธุระกับคุณปรางครับ คงจะไปหลายวันหน่อยแต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
มัทนางุนงงสงสัย “แม่ฉันไม่เคยรู้จักใครที่นี่นี่คะ แล้วจะไปทำธุระกับคุณปรางทำไม”
“นั่นสิคะ ทำไมยายไม่เห็นบอกอะไรฉันไว้เลย แล้วยายก็ไม่ได้เอาอะไรไปด้วย จะไปหลายวันได้ยังไง”
ทศนนท์อึกอัก “ที่จริงคุณยายรู้จักคุณปรางดีครับ รู้จักกันมาตั้งนานแล้วด้วย”
นิรชาเริ่มเข้าใจ รีบช่วยพูด “อ้อ ใช่ๆ ยายสนิทกับพ่อแม่คุณปรางนี่ ฉันก็ลืมไป ปล่อยให้ยายได้คุยกับเพื่อนเก่าเถอะนะคะแม่ พวกเขาคงคิดถึงและอยากคุยถึงเรื่องเก่าๆ กัน”
มัทนางงไม่หาย “รู้จักได้ยังไง แม่ไม่เคยเห็นยายพูดถึงเลย”
นิรชารีบแก้ตัว “ก็คงเป็นคนบ้านเดียวกัน เจอกันคุยภาษาเดียวกันคงจะถูกคอแหละ แม่อย่าไปคิดอะไรกินข้าวต่อเถอะ”
มัทนายังคาใจ แต่ไม่อยากคิดมาก “อืมๆ” แล้วหันไปกินข้าวต่อ
นิรชาหันมองทศนนท์อย่างโล่งอก
ฝ่ายมาลีเปลี่ยนชุดห่มผ้าสไบเป็นชาวลับแลแล้ว เดินเข้ามาในถ้ำกับปรางทิพย์ มองไปที่ประตูเข้าเมืองลับแลตรงหน้า น้ำตาคลอด้วยความคิดถึงบ้านเกิด
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาบ้านเกิดอีก”
มาลีน้ำตาไหลเป็นสายหยดลงที่พื้นดิน
ปรางทิพย์มณฑาทองน้ำตาคลอมองดูมาลี แล้วรีบเบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพน่าเวทนาเพราะยังเจ็บแค้นอยู่ ปรางทิพย์มณฑาทองตัดใจ พูดเสียงแข็งท่าทีเฉยชาโดยไม่หันไปมอง
“เจ้าพร้อมจักเข้าไปในเมืองแล้วหรือไม่”
มาลีพยักหน้ารับน้ำตานองหน้า ปรางทิพย์เดินฝ่าหมอกนำเข้าไปยังเมืองลับแล มาลีตามไป
ที่บ้านท่านอัมรินทรา บรรยากาศเงียบเหงา บงกชมาลาในชุดดำ นั่งปักผ้าสีหน้าเหม่อลอยหมองเศร้า เหมือนจมอยู่ในความคิดถึงบางอย่าง
จนมีเสียงเรียกของปรางทิพย์มณฑาทองดังขึ้น “ท่านน้า…”
บงกชมาลาหันมาทางเสียง พลันมีสีหน้าตกใจ อึ้งไปครู่หนึ่ง มองจ้องอย่างพิจารณา เมื่อเห็นมาลีเดินเข้ามากับปรางทิพย์
เมื่อเห็นหน้าชัดๆ บงกชมาลาถึงกับน้ำตาคลอๆ มาลีทรุดก้มลงกราบแทบเท้ามารดา น้ำตาหยดรินลงบนเท้า บงกชมาลารีบก้มลงประคองมาลีขึ้นมา แล้วสวมกอดเต็มรักเต็มคิดถึง
“มัลลิกานารีลูกแม่”
มาลีร้องไห้โฮ “ท่านจำข้าได้รึท่านแม่”
“แม่หรือจักจำลูกตนเองมิได้” บงกชมาลาเอามือปาดน้ำตาให้มาลี “เจ้าหายไปไหนมา แม่คิดว่าชาตินี้จักไม่ได้พบเจ้าอีกเสียแล้ว”
“ข้าออกไปอยู่เมืองมนุษย์ ท่านแม่ข้าขอโทษ ที่ทำให้ท่านพ่อกับผู้ชายทุกคนต้อง...”
บงกชมาลากอดปลอบ “แม่รู้ว่าลูกมิได้มีเจตนาเป็นแน่แท้ จงไปขอขมาต่อดวงวิญญาณของพวกเขาที่สุสาน”
มาลีพยักหน้ารับ ทั้งคู่กอดกันด้วยความรักและความคิดถึง ปรางทิพย์มณฑาทองยืนมองนิ่งๆ เริ่มใจอ่อน แต่รีบตัดใจเบือนหน้าหนี
ไม่นานต่อมา ทั้งคู่พากันมาอยู่ที่สุสานเมืองลับแล ในวงล้อมของต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตระหง่านเรียงราย เห็นป้ายชื่ออัมรินทราติดอยู่ที่ต้นหนึ่ง มาลียืนกอดต้นไม้นั้นร้องไห้แทบขาดใจ
“ท่านพ่อข้าขอโทษ”
“ร้องไปพวกเขาก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก” ปรางทิพย์หมั่นไส้
มาลีก้มลงกราบไปรอบๆ ขอขมาต่อต้นไม้ทุกต้น
“ข้าขอโทษที่ทำให้พวกท่านต้องมีชะตาเช่นนี้ แต่บัดนี้ข้ากลับมาชดใช้ให้พวกท่านแล้ว เจ้าโปรดเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ เหตุใดผู้หญิงในเมืองจึงได้ฟื้นจากความตาย”
ปรางทิพย์มณฑาทอง นึกถึงอดีตอันปวดร้าว
อ่านต่อตอนที่ 29