เพรงลับแล ตอนที่25 | คืนอมาวสี
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ปรางทิพย์เดินออกมาส่งทรงกลดที่รถ จังหวะหนึ่งทรงกลดถามขึ้นอย่างห่วงใย
“คุณปรางแน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไรมาก”
“ค่ะ ฉันแค่รู้สึกเพลีย ไม่มีแรง แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ที่คุณอุตส่าห์หาข่าวเรื่องลูกชายคุณเทศมาเล่าให้ฉันฟัง”
“ยินดีครับ ไว้ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะมาหาคุณปรางอีกนะครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มแทนคำตอบ ทรงกลดยิ้มลาก่อนจะเดินไปขึ้นรถ
“ผมกลับก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
ทรงกลดขึ้นรถขับรถออกไปเลย ปรางทิพย์มองตามจนรถแล่นพ้นรั้วบ้านไปแล้ว จึงเหลียวไปมองจุดที่บุษบาลาวัณย์ยืนอยู่ และพบว่าสาวลับแลคู่ปรับยังคงอยู่ตรงนั้น เอ่ยขึ้นอย่างรู้เท่าทัน
“ข้ารู้ ว่าเจ้าตามชายผู้นี้มาใช่หรือไม่”
พลันบุษบาลาวัณย์ในชุดสาวลับแลก็ปรากฏกายขึ้นอยู่ต่อหน้าปรางทิพย์ เสียงแข็งใส่
“อย่ามายุ่งกับพี่คอนของข้า”
ปรางทิพย์ชะงัก คุ้นหูชื่อนี้อย่างประหลาด
“คอน”
ปรางทิพย์นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
วันนั้น เธอ เทศ และ มัลลิกานารี ออกมาเที่ยวเมืองมนุษย์ และมัลลิกานารีถูกโจร2คน ฉกถุงทองไป จนเกิดต่อสู้กับเทศ และ คอนได้มาช่วยไว้ จนได้รู้จักกัน
โดยที่ในตอนนั้นโจร1 จึงเข้ามาต่อยใส่หน้าเทศเต็มแรง เทศเอามือป้องไว้แล้วต่อยสวนกลับไปจนโจร1 ลงไปกองที่พื้น
โจร2 รีบเข้ามาช่วยทำร้ายเทศ แต่เทศตั้งการ์ดแล้วเตะเข้าที่กลางลำตัวโจร2 ลงไปกองที่พื้น
เทศเห็นว่าโจรทั้งสองไม่มีทางสู้เลยหันหลังเดินออกมา ทว่า โจร1 วิ่งเข้ามาจับตัวเทศจากด้านหลัง โจร2 มองเทศอย่างเจ็บแค้นใจ ต่อยเข้าที่หน้าเทศเบี่ยงตัวหลบ โจร2 จึงต่อยเข้าที่หน้าโจร1อย่างจัง
เทศสะบัดตัวหลุด โจร1 เตะเข้าที่ชายโครงเทศอย่างจัง จนเทศเสียหลัก โจร2 จะเข้ามาซ้ำ
จู่ๆ มีใครคนหนึ่งกระโดดถีบโจร2 จนกระเด็นแล้วหันมาต่อยโจร1 เทศยังไม่เห็นว่าใครคนนั้นที่แท้เป็นคอน
เทศรีบตั้งสติลุกขึ้นมาช่วยสู้ จนโจรทั้งสองสู้ไม่ไหววิ่งหนีออกไป
เทศหันมาขอบคุณ แล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่าเป็นคอนที่ช่วยตน ทั้งคู่คาดไม่ถึงที่มากันอีกแล้ว
“อ้าว! นี่ท่านเองรึ ข้าต้องขอบน้ำใจอีกครั้งที่เข้ามาช่วย ไม่เช่นนั้นข้าต้องเสียท่าไอ้พวกโจรเป็นแน่”
“ไม่เป็นไร ข้าทนเห็นใครถูกทำร้ายไม่ได้ เป็นอันต้องเจ็บตัวเข้าช่วยทุกที” คอนว่า
เทศรู้สึกถูกชะตา “ข้าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ว่าแต่ท่านเข้ามาทำอะไรที่นี่รึ”
“ข้าคิดว่าจะกลับไปดูแลพ่อกับแม่ข้าที่หมู่บ้าน...”
“พี่เทศ พี่เป็นอย่างไรบ้าง” มีเสียงแทรกเข้ามา
เห็นปรางทิพย์มณฑาทองกับมัลลิกานารีปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
คอนอึ้ง มองปรางทิพย์อย่างตกหลุมรัก
“แม่หญิงผู้นี้คือ...”
“แม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทอง เป็นคู่หมายของข้า ส่วนนี่แม่หญิงมัลลิกานารีเป็นเพื่อนกัน”
คอนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ยอมแพ้ สองสาวยกมือไหว้ คอนรับไหว้
“ไหว้พระเถิดแม่หญิงทั้งสอง”
เทศยื่นถุงทองคืนให้มัลลิกานารี “พี่ชายท่านนี้ช่วยพี่สู้กับโจร ดูซิว่าของยังอยู่ครบหรือไม่”
มัลลิกานารีเปิดถุงทองออกดู
“อยู่ครบจ้ะ” แล้วหยิบทองก้อนหนึ่งยื่นให้คอน “เอ้านี่ ข้าให้ท่านเป็นการขอบน้ำใจ”
คอนทำเป็นมองอึกอัก แต่แอบตาวาว
“ของมีค่าเช่นนี้ข้ารับไม่ได้”
“รับไปเถิด หากไม่ได้ท่าน พวกเราคงต้องเสียทองทั้งถุงไป”
คอนแอบมองถุงทองตาเป็นมัน ในที่สุดก็ยื่นมือออกไปรับทองที่มัลลิกานารียื่นให้
“แม่หญิงช่างมีน้ำใจ”
เทศหันมาถามคอนว่า
“จริงสิข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านเป็นคนที่ไหน เผื่อมีโอกาสผ่านไปข้าจะได้ตอบแทนน้ำใจบ้าง”
“ข้าชื่อคอน เป็นคนหมู่บ้านข้างๆ นี่เอง ถ้ามาก็ถามคนแถวนี้ได้เลย”
ปรางทิพย์นึกภาพใบหน้าของคอนออก แล้วหันมาบอกบุษบาลาวัณย์
“คอนน่ะรึ คุณทรงกลดไม่มีทางเป็นชายผู้นั้นได้ หากเขายังมีชีวิตอยู่ บัดนี้ต้องมีอายุกว่า 90 ปีแล้ว”
“พี่คอนของข้ามาเกิดใหม่เป็นคุณทรงกลด เช่นเดียวกับที่เจ้าคิดว่าชายผู้นั้นเป็นพี่เทศของเจ้าอย่างไรเล่า ข้ากับพี่คอนรักกันและมีบุพเพสันนิวาสร่วมกันมา”
ปรางทิพย์ยิ้มเยาะ “เจ้าแน่ใจรึว่าพี่คอนของเจ้าในชาตินี้จักยังรักเจ้าเช่นเดิม ในเมื่อเขายังตามมาเกี้ยวข้าถึงที่นี่”
“แล้วชายผู้นั้นที่เจ้าคิดว่าเป็นรักแท้นั่นเล่า ข้าได้ยินว่าเขาหนีตามเพื่อนรักของเจ้าไปมิใช่รึ”
ปรางทิพย์ซึ่งอ่อนอยู่แล้วถึงกับซวนเซ เมื่อถูกจี้ใจดำเข้าเต็มเปา บัวคำรีบวิ่งเข้ามาประคองไว้
“แม่หญิง!”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มหยันปรางทิพย์เดินออกไปอย่างผู้มีชัย แล้วหายวับไปตรงประตูรั้วบ้าน
บัวคำมองอย่างแค้นใจ
“ไม่คิดเลยว่านางบุษบาลาวัณย์จะเคืองแค้นแม่หญิงได้มากถึงเพียงนี้”
“ปล่อยนางเถิดพี่บัวคำ”
ปรางทิพย์แหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าแล้วเริ่มมีอาการอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
“ถึงวันนี้อีกแล้วสินะ”
บัวคำหันมองตามแล้วเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้
“รีบกลับเข้าบ้านเถิดแม่หญิง”
ปรางทิพย์พยักหน้ารับ ให้บัวคำประคองพาเดินเข้าบ้านไป
บัวคำประคองปรางทิพย์พากันเดินเข้ามาในห้องลับ เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง
“วันพรุ่งก็จะเป็นวันอมาวสีแล้ว แม่หญิงจักหาคนบาปได้จากที่ใดกัน”
“อย่าได้เป็นกังวลไปเลยพี่บัวคำ ข้ารู้สึกได้ว่ามีคนบาปอยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
พูดจบ ปรางทิพย์ก็เดินขึ้นไปบนห้องลับ บัวคำนิ่งมองตามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ภายในโถงชั้นล่างบ้านบานเย็นที่บัดนี้ไร้ผู้อยู่อาศัย เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวกันฝุ่นเอาไว้ อนุชิตเดินลับๆ ล่อๆ เข้ามาภายในนั้น เหลียวซ้ายแลขวา สอดตามองหาชู้รัก
“มิ้น มิ้นจ๋า มาหรือยังจ๊ะ มิ้น...”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบใดๆ กลับมา
ไม่นานนักก็เหมือนมีคนกำลังจ้องมองไปยังอนุชิต
อนุชิตมองหาจนแน่ใจว่ามินตายังไม่มา จึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา
“ทำไมยังไม่มาอีก”
มีมือผู้หญิงเล็บยาวสีแดงยื่นเข้ามาหาชายหนุ่มเหมือนจะบีบคอ แต่แล้วมือนั้นกลับเปลี่ยนไปปิดตาอย่างนึกสนุก อนุชิตตกใจ
“ทายซิ ใครเอ่ย...”
อนุชิตคลี่ยิ้มออกมา จำเสียงนั้นได้
“จะเป็นใครไปได้ล่ะจ๊ะ ถ้าไม่ใช่โลกแห่งความสุขของพี่”
มินตาเอามือปิดตาชู้รักหัวเราะคิกคัก อนุชิตคว้าหมับเข้าที่ข้อมือแล้วกระชากเธอมาด้านหน้า
“ว้าย”
มินตาเซถลาออกไปด้วยไม่ทันตั้งตัว อนุชิตรีบเข้าประคองอุ้มเธอขึ้นมาแล้วหัวเราะอย่างย่ามใจ
“ชอบแกล้งพี่นักใช่ไหม แบบนี้ต้องเจอดีซะแล้ว”
โดยไม่พูดเปล่าอนุชิตอุ้มเธอเดินตรงไปที่โซฟากลางห้อง แล้วทิ้งตัวมินตาลงที่โซฟา
“ว้าย! พี่นุอะ มิ้นเจ็บนะ...”
มินตาส่งน้ำเสียงยั่วยวนและสายตาเชิญชวนให้กับอนุชิตอย่างเปิดเผย อนุชิตทนไม่ไหว ปลดกระดุมเสื้อเดินตรงเข้าไปหามินตาอย่างหื่นกระหาย
ยินเสียงมินตาหัวเราะคิกคักยั่วยวน ดังฝ่าความมืดมิดภายในบ้านหลังนั้นขึ้นมา
“ไม่นะพี่นุ อย่าทำแบบนี้สิ ไม่เอา...”
ขณะเดียวกันนั้น นิรชาขับรถมอเตอร์ไซค์มาตามถนนมุ่งหน้าไปทางบ้านผู้ใหญ่จรัล เธอมองออกไปเหมือนมีอะไรอยู่ที่กลางถนน
“นั่นอะไรน่ะ”
มีผู้ชายนอนฟุบหน้าอยู่กลางถนน นิรชาเพ่งมองอย่างแปลกใจ เธอหยุดมอเตอร์ไซค์ก่อนที่จะวิ่งไปถึงอย่างรู้สึกระแวงสงสัย
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าจะบาดเจ็บ”
นิรชาใช้ความคิดอย่างรู้สึกสับสนว่าจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่ พลันเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“ตามหมอมาช่วยดีกว่า”
นิรชาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
อีกฝั่ง ที่อนามัย จาริณีเดินมาส่งปรัชญาสองคนกำลังจะกลับบ้าน เสียงโทรศัพท์มือถือของหมอดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วกดรับสาย
“ครับเนียร์”
นิรชาพูดสายกับหมอปรัชญาจากถนนกลางหมู่บ้าน
“หมอ เนียร์เจอคนบาดเจ็บนอนอยู่ที่กลางถนน”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ขณะที่นิรชากำลังคุยสายอยู่และกำลังจะเหลียวมองไปที่คนเจ็บ เธอก็ต้องตกใจร้องกรี๊ดสุดเสียงจนโทรศัพท์ร่วงหล่นจากมือ
“แอร๊ยยย”
สิงห์พุ่งตรงเข้ามาหาเธออย่างประสงค์ร้าย
ปรัชญาได้ยินเสียงกรีดร้องของนิรชาลอดออกมาทางโทรศัพท์ ก็ตะโกนถามออกไปอย่างตกใจ
“เนียร์เกิดอะไรขึ้น”
จาริณีมองปรัชญาอย่างตกใจเช่นกัน
นิรชาวิ่งฝ่าความมืดหนีเข้าไปในป่าข้างทาง เธอตกใจกลัวอย่างเห็นได้ชัด สิงห์วิ่งไล่กวดนิรชามาติดๆ นิรชาเหลือบหันกลับมามองสิงห์สีหน้าหวาดกลัว พร้อมกับเร่งฝีเท้าวิ่งหนี
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที ช่วยด้วย”
นิรชาหยุดหอบหายใจ สิงห์วิ่งตามมาจนทัน กระชากผมของเธอจนหน้าแหงนหงาย
“โอ๊ย!”
นิรชาหยุดกึก เอามือจับที่โคนผมของตัวเองด้วยความเจ็บ หันกลับมามองชายชั่วอย่างตกใจกลัวสิงห์หยุดหอบด้วยความเหนื่อย แล้วจ้องมองนิรชาอย่างโกรธแค้น
“หนีเก่งนักนะนังนี่”
“ปล่อยฉันนะ แกทำอย่างนี้กับฉันทำไม ฉันไปทำอะไรให้แก”
“จะตายอยู่แล้วยังจะอยากรู้ไปอีกทำไม”
สิงหยิบปืนออกมาเล็งใส่ ไวเท่าความคิดนิรชากัดแขนสิงห์ข้างที่จับผมของเธอสุดแรง
“โอ๊ย”
สิงห์ร้องขึ้นด้วยความเจ็บ ปล่อยมือจากผมนิรชา แล้วมองที่แขนเห็นมีเลือดซึมออกมาก็กรธสุดขีด
“มึง! ตาย!”
แต่ก่อนที่สิงห์จะยกปืนขึ้นมายิง นิรชาก็เตะผ่าหมากเต็มแรง จนมันตัวงอลงไปกองกับพื้นไปไม่เป็น
“อูย!...”
นิรชาฉวยโอกาสนี้ใส่ตีนผีวิ่งหนีตายออกไป
สิงห์นอนตัวงออยู่ที่พื้นครู่หนึ่ง มันค่อยๆ สลัดความเจ็บปวดทิ้ง ลุกขึ้นตามนิรชาออกไป
ที่โถงบ้านบานเย็น เวลานี้ได้กลายเป็นวิมานรักของสองชู้รัก อนุชิตและมินตาไปแล้ว
ไม่นานัก ก็อนุชิตและมินตาเดินจับมือคลอเคลียกันออกมาจากในตัวบ้าน อนุชิตกอดและหอมมินตาอีกครั้งอย่างรู้สึกอาลัยอาวรณ์
“อื้ม...ชื่นใจของพี่นุ อยู่ต่อกันอีกสักพักไม่ได้เหรอจ๊ะมิ้น”
มินตาชอบใจ “ไม่ได้หรอกจ้ะพี่นุ ดีนะที่ช่วงนี้พี่หนอมกินยาแล้วเข้านอนเร็ว แต่ถ้าหมดฤทธิ์ยาแล้วตื่นขึ้นมาเห็นมิ้นไม่อยู่บ้าน ประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่”
“แต่ว่าวันนี้พี่ไม่อยากจากมิ้นไปเลย น่า...นะ...อยู่กันต่ออีกสักหน่อยนะ”
อนุชิตออดอ้อน พร้อมกับระดมจูบหอมมินตาอย่างหลงใหล ไม่อยากจากกัน
“มิ้นก็อยากอยู่ต่อเหมือนกัน แต่เอาไว้คราวหน้านะพี่ เรายังมีเวลาหาความสุขด้วยกันอีกเยอะ”
อนุชิตทำเป็นงอนเหมือนเด็กถูกขัดใจ มินตาหัวเราะคิกชอบใจ
“โอ๋ๆ อย่าโกรธเลยนะ เอาไว้คราวหน้านะๆๆ”
ระหว่างนี้ตาด่านหนีบขวดเหล้าเดินโซเซผ่านมาจากทางด้านหลังอนุชิต มองมินตาที มองหน้าอนุชิตที ก่อนจะชี้หน้าอนุชิตโพล่งขึ้น
“ไม่ใช่ไอ้หนอมนี่” ด่านมองจับผิดมินตา “นังมิ้นแกมายืนคุยอะไรกับใคร แล้วไอ้หนอมล่ะ ไปไหน”
อนุชิตตกใจ ขณะที่มินตารู้สึกรำคาญอย่างเห็นได้ชัด ตะเพิดส่ง
“เมาแล้ว อย่ามายุ่งน่ะตาด่าน จะไปไหนก็ไปเลย ไป”
ด่านหน้าม่อยลงเพราะโดนมินตาดุ แต่ก็พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“นี่มันมืดแล้วนา...ไม่กลัวผีเหรอ...”
“ผีไม่เห็นน่ากลัวตรงไหน คนสิน่ากลัวมากกว่า”
“กลับเถอะนะ...กลับบ้านเถอะ…”
อนุชิตควักเงินในกระเป๋าออกมายื่นส่งให้ด่าน
“เอ้า เอาเงินนี่ไป แล้วก็อย่าพูดมากล่ะ”
ด่านเห็นเงินแล้วตาโต คว้าเงินหมับอย่างดีใจ ก่อนจะเดินเซออกไป
“งะๆๆๆ เงินๆๆๆๆ”
ด่านมองเงินในมือเดินยิ้มกริ่มออกไปด้วยความดีใจ ผ่านบุษบาลาวัณย์ในชุดสาวลับแลที่ยืนซุ่มอยู่มุมหนึ่ง ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดกึก หันมามองสาวลับแลบด้วยสีหน้าตกใจเหมือนเห็นผี
บุษบาลาวัณย์ยืนจ้องอนุชิตและมินตาอยู่
ด่านตกใจวิ่งร้องตะโกนหนีออกไปอย่างขวัญเสีย
“กลัวแล้วๆ ด่านกลัวแล้ว เรื่องนี้ด่านจะไม่ยุ่ง ด่านกลัวแล้ว”
มินตาและอนุชิตหันมองด่านด้วยสีหน้าแปลกใจ สองคนไม่เห็นบุษบาลาวัณย์
“ตาด่านเป็นอะไร”
“อย่าไปถือสาแกเลยพี่ ตานี่บ้าๆ บอๆ แถมเมาทั้งวัน ฉันไปก่อนนะพี่”
“จ้ะ เดินดีๆ นะ ทางมันมืด พี่เป็นห่วง”
มินตาหอมแก้มอนุชิตฟอดใหญ่แล้วเดินจากไป
อนุชิตทำท่าชื่นใจและอาลัยอาวรณ์มองตามมินตา
บุษบาลาวัณย์จ้องตาสะกดจิตอนุชิต จู่ๆ เขาก็นิ่งไป บุษบาลาวัลย์ยิ้มร้ายสมใจออกมา
สิงห์ยังคงวิ่งไล่จี้ตามนิรชาเข้ามาในป่าริมทาง แต่จู่ๆ ครูสาวก็หายไป
“มันไปไหนวะ วิ่งเร็วชิบ”
สิงห์หยุดมองหาว่านิรชาวิ่งหนีไปทางไหนกันแน่ กระทั่งเขามองเห็นหลังใครบางคน นั่งหลบอยู่หลังต้นไม้ขนาดเล็ก สิงห์ยิ้มสะใจก่อนจะพูดขึ้น
“ฮึ...เหนื่อยจนไปไม่ไหวแล้วล่ะสิ อีนังนี่เล่นกูซะระบมไปหมด งานนี้มึงไม่รอดแน่”
สิงห์ขึ้นลำกล้องปืนแล้วเดินดิ่งเข้าไปหาพร้อมกับเล็งปลายกระบอกปืนไปที่หัวของใครคนนั้น อย่างมั่นใจ
“คราวนี้มึงไม่รอดแน่”
ปรางทิพย์ในคราบพิณทิพย์ค่อยๆ ผินหน้ากลับมามองสิงห์ แสยะยิ้มให้มัน เป็นรอยยิ้มที่น่าเกลียดน่ากลัว จนไอ้สิงห์ตกตะลึง อึ้งไป ปืนหล่นจากมือ
ด้านทศนนท์พาตัวเองมายืนกดกริ่งที่หน้าประตูขึ้นบ้านปรางทิพย์ จนกระทั่งเห็นบัวคำเปิดประตูบ้านลงมาดู
“วันนี้คุณปรางไม่สะดวกที่จะออกมารับรองคุณทศค่ะ”
ทศนนท์แปลกใจ “ทำไมครับ คุณปรางโกรธอะไรผมหรือเปล่า”
“แล้วคุณทำอะไรให้คุณปรางโกรธหรือเปล่าล่ะคะ”
ทศนนท์หน้าเสีย สะอึกอึ้งกับคำถามย้อนกลับของบัวคำ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ผมแค่แวะมาดู ได้ยินว่าคุณทรงกลดมาที่นี่ ผมกลัวว่าเขาจะสงสัยอะไรน่ะครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ แม่หญิงให้เขากลับไปตั้งแต่หัววันแล้ว”
ทศนนท์พยักหน้าเข้าใจ
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
ทศนนท์หันหลังจะเดินกลับออกไป พลันสายตาของเขารวมทั้งบัวคำก็เหลียวไปเห็นตาด่านวิ่งเตลิดตรงมาทางพวกเขาทั้งสองคน
“ช่วยด้วยๆ มันมาอีกแล้ว ช่วยด้วย ด่านกลัว ช่วยด่านด้วย...”
ด่านวิ่งหนีเข้ามาชนทศเข้าอย่างจัง ทศนนท์ต้องจับตัวเอาไว้
“ใจเย็นๆ ครับตาด่าน ใจเย็นๆ มีอะไรเหรอครับ”
ด่านมองเห็นหน้าทศนนท์แล้วก็ยิ่งมีสีหน้าวิตก
“พี่เทศ หนีเร็วพี่เทศ มันมาอีกแล้ว มันจะมาฆ่าคนอีกแล้ว”
“ใครครับ ใครจะฆ่าใคร”
“ผี ผีแม่ม่าย มันจะฆ่าคนอีกแล้ว ตะๆๆๆๆ ตายๆๆๆ มันจะตายกันหมด”
ทศนนท์และบัวคำหันมองหน้ากันอย่างตกใจ
ระหว่างนี้ถนอมขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมา พอด่านมองเห็นก็ผละจากทศนนท์ไปขวางรถถนอมเอาไว้ ถนอมเบรกจนตัวโก่ง
“ตาด่าน อยากตายหรือไง มาขวางรถฉันทำไมเนี่ย”
“เอ็งตามหาเมียอยู่เหรอไอ้หนอม นู่น...ข้าเห็นมันอยู่บ้านนังบางเย็นนู่น”
“ช่างนังมิ้นมันก่อนเถอะตาด่าน ถอยไปฉันจะรีบไปบ้านผู้ใหญ่ เขากำลังระดมคนช่วยกันตามหาครูเนียร์กันใหญ่แล้ว”
ทศนนท์ได้ยินรู้สึกตกใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้พูดอะไร
ด่านถอยหลบรถให้ถนอมรีบขับรถออกไป
ทศนนท์รีบไปขึ้นรถกระบะของตน ขับตามไป
ส่วนที่บ้านศักดิ์ มัทนาทำท่าจะเป็นลมนอนพับอยู่บนโซฟา กฤตณีช่วยโบกพัดให้ด้วยความเป็นห่วง
“ป่านนี้ไม่รู้ยัยเนียร์จะเป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงมีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อนเลยนะ”
“พ่อกับแม่ก็ดันมาไปงานเลี้ยงรุ่นอะไรกันวันนี้นะ ทำไมทุกอย่างมันดูแปลกๆชอบกล จะมีอะไรไม่ดีไหมเนี้ย”
กฤตณีบ่นออกมาด้วยความเครียด พอหันไปเจอหน้ามัทนาเลยนึกได้ รีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอ่อ..ทำใจดีๆ ไว้นะคะป้ามัท พวกผู้ใหญ่กำลังระดมคนออกตามหาอยู่ เนียร์ต้องปลอดภัยแน่นอนค่ะ”
กฤตณีเดินไปมาสุดท้ายตัดสินใจพูดขึ้น
“ถ้าตอนนี้หนูจะขอไปตามหาเนียร์ จะเป็นอะไรไหมคะ”
“หนูไปเถอะจ๊ะ พวกฉันอยู่กันเองได้” มาลีบอก
“งั้นหนูไปแล้วนะคะ”
กฤตณีวางพัดในมือแล้วิ่งตุ๊ต๊ะออกจากบ้านไป
มัทนามองหน้ามาลีอย่างเป็นกังวล
ส่วนที่สำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ เนตรมายากำลังร่ายมนต์บริกรรมคาถาหน้าพานสายสิญจน์กลุ่มใหญ่ ก่อนจะหยิบโถเลือดหมาดำมาเทราดลงที่สายสิญจน์กลุ่มนั้น โดยมีเชื่อมคอยช่วยงานอยู่ข้างๆ กระทั่งเสร็จพิธี
“คราวนี้เจ้าแม่ปลุกเสกสายสิญจน์เลือดหมาดำเยอะเป็นพิเศษ มีอะไรหรือเปล่าเจ้าแม่”
“ฉันรู้สึกว่าคราวนี้เราอาจต้องใช้มันเพื่อกำจัดนังผีแม่ม่ายนั่นให้สิ้นซาก”
“ดูเจ้าแม่มั่นใจมากเลย”
“ในเมื่อรู้วิธีกำจัดมันแล้ว ฉันก็ต้องลงมือทำให้สำเร็จ เพียงแต่ต้องรอเวลา”
พลันลูกเทพก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้า
“แม่จ๋า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว นังผีร้ายนั่นมันกลายร่างเป็นปีศาจ แล้วตอนนี้มันกำลังจะออกไปฆ่าคนแล้ว”
“ขอบใจมากลูกรัก”
เนตรมายานิ่งฟังลูกเทพพูดก่อนจะยิ้มขึ้นและหันบอกกับเชื่อม
“นี่ไงเวลาที่ฉันรอมาถึงแล้ว จัดเตรียมของทุกอย่างให้พร้อมป้าเชื่อม เราจะออกไปล่านังผีแม่ม่าย”
“จ้ะ เจ้าแม่”
เชื่อมรีบไปจัดเตรียมของใส่ย่ามตามคำสั่ง เอาตุ๊กตาลูกเทพไปด้วย
เนตรมายาหยิบมือถือออกมากดเบอร์ทรงกลดแล้วโทร.ออก พูดด้วยสีหน้ายิ้มกระหยิ่ม
“คุณกลด คุณอยากเห็นไหมว่านังนั่นมันเป็นผีแม่ม่ายจริงๆ...คืนนี้ฉันจะพาคุณไปดูให้เห็นกับตา”
เนตรมายามีสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
กฤตณีมองไปรอบๆ ศาลาหน้าบ้านผู้ใหญ่จรัล เห็นมีเพียงตน จรัลและปรียา ก็โวยวายขึ้น
“คนที่จะไปช่วยตามหายัยเนียร์มีกันอยู่แค่นี้เองเหรอจ๊ะผู้ใหญ่ แบบนี้จะหากันเจอได้ยังไง แล้วไม่รู้จะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนฉันหรือเปล่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนหมู่บ้านเราจะแล้งน้ำใจกันได้ขนาดนี้
ปรียาเดินเข้ามาหากฤตณีแล้วพูดขึ้น
“ใจเย็นๆ ก่อนสิหนูคิตตี้ พวกเราไม่มีใครนิ่งนอนใจเรื่องของครูเนียร์เลยนะ ตั้งแต่รู้ว่าครูเนียร์เกิดเรื่อง ทีมช่วยเหลือก็ออกไปตามหากัน 2 ทีมแล้ว”
“แกมาช้าที่สุดแล้ว ถ้าพวกเขามัวแต่มารอแก มีหวังคงได้ยินข่าวร้ายอย่างที่ปากแกพูดนั่นแหละ”
กฤตณีจ๋อยสนิท
“ขอโทษนะจ๊ะลุงผู้ใหญ่ ก็คิตตี้ตกใจนี่นา งั้นเราออกไปตามหาเนียร์กันเลยนะคะ”
“แม่รออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน อีกสักพักพวกทีมตำรวจและเจ้าหน้าที่ก็คงจะมา”
“จ้ะพี่”
เนตรมายา เชื่อมและทรงกลดเดินเข้ามาพอดี จรัลหันไปเห็น
“อ้าวนั่น เจ้าแม่กับคุณทรงกลดก็จะออกไปตามหาครูเนียร์เหมือนกันเหรอครับ”
“เปล่า พวกฉันจะมาตามผู้ใหญ่ไปจับผีแม่ม่าย” เชื่อมว่า
“วันนี้นังผีร้ายนั่นมันกลายร่างและกำลังอ่อนแรง เป็นโอกาสดีที่เราจะไปจับตัวมัน” เจ้าแม่บอก
กฤตณีมองพวกเนตรมายาอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าจนป่านนี้แล้วพวกเขายังอยากจะตามจับผีแม่ม่ายกันอีก
“เรื่องผีเอาไว้ก่อนเถอะป้า ตอนนี้เราไปช่วยคนกันก่อนดีกว่าไหม”
“จริงสิครับ ตอนนี้ครูเนียร์เป็นยังไงบ้าง” ทรงกลดถาม สืบความคืบหน้าไปในตัว
“ไม่รู้ครับ ยังไม่มีใครเจอครูเนียร์ เห็นแต่รถมอเตอร์จอดทิ้งไว้อยู่ข้างทาง”
“งั้นเราคงต้องรีบไปช่วยครูเนียร์แล้วล่ะครับ”
“เอาละ ถ้าทุกคนพร้อมกันแล้วก็ตามฉันมา”
ทุกคนเดินตามจรัลออกไป ทรงกลดลอบยิ้มสมใจ เดินรั้งท้ายตามคนอื่นๆ ไป
ในป่าละแวกน้ำตก สิงห์เดินตัวแข็งทื่อด้วยมนตร์สะกดจิตตามพิณทิพย์ออกไป พิณทิพย์หยุดเดิน สิงห์หยุดตาม หญิงชราค่อยๆ ผินใบหน้าชวนสยองกลับมามองสิงห์แล้วแสยะยิ้ม สั่งด้วยน้ำเสียงหลอนๆ
“จงไปทำหน้าที่ของเจ้า”
ที่ป่าอีกด้านหนึ่ง อนุชิตถูกสะกดจิต เดินตัวแข็งทื่อเข้ามาในป่า ตรงไปทางน้ำตก บุษบาลาวัณย์หันมามอง แล้วหันกลับเดินนำอนุชิตเข้าไปในป่า ยิ้มเยือกเย็นมีแผนชั่ว
นิรชาวิ่งเตลิดหนีตายฝ่าความมืดเข้าไปในป่าลึกด้วยความตื่นกลัว ตามร่างกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าถูกกิ่งไม้ หนามแหลมครูดตามแขนตามใบหน้าจนมีแผลเลือดไหลซิบ แต่ไม่มีเวลาใส่ใจ
ครูสาวหันมองไปข้างหลังด้วยกลัวว่าสิงห์จะตามมาทัน ออกวิ่งต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตา กระทั่งเธอสะดุดเข้ากับบางอย่างแล้วล้มลง
“โอ๊ย”
นิรชาเจ็บแปลบที่ขา อยากจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ต้องปิดปากตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้คนร้ายได้ยิน หญิงสาวควานมือเปะปะออกไปจะคลำดูตรงที่เจ็บ แต่กลับจับเจอบางอย่างแทน
“นี่มัน...”
นิรชาเพ่งมองฝ่าความมืดจนเห็นว่าเธอจับขาของใครบางคนที่นอนก้มหน้าอยู่กับพื้น
“คนนี่นา เป็นอะไรหรือเปล่า นี่คุณ คุณเป็นอะไร..ทำไงดี”
ด้วยความที่คิดอยากจะช่วย นิรชาพยายามเขย่าปลุกเขาให้ตื่น กระทั่งมีแสงไฟจากไฟฉายสาดส่องเข้ามาเธอจึงรู้ว่ามีคนผ่านมา
นิรชาเขม้นมองว่าเป็นใคร อดกลัวไม่ได้ว่าอาจจะเป็นมือปืน
แต่แล้วเธอก็ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจเมื่อพบว่าเป็นทศนนท์
“คุณทศ... ช่วยด้วย มีคนเจ็บอยู่ทางนี้ ช่วยด้วย”
แสงไฟฉายและเสียงคนเดินหลายคนใกล้เข้ามา เธอจึงเร่งตะโกนขึ้น
“ทางนี้ค่ะ ทางนี้มีคนเจ็บทางนี้”
แสงไฟยิงตรงเข้ามาสาดเข้าตานิรชาจังๆ จนเธอต้องยกมือขึ้นป้อง กระทั่งแสงไฟสาดไปเจอใบหน้าของคนที่นอนอยู่ที่พื้น นิรชาร้องกรี้ด
“อ๊ายยยย”
นิรชากรีดร้อง ถอยกรูดออกไปจนติดต้นไม้อีกด้าน กลัวจนตัวสั่น
ทศนนท์และถนอมถือไฟฉายเดินเข้ามาถึง
ทศนนท์มองเห็นนิรชาก็รีบวิ่งเข้าไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง
“คุณเนียร์ เป็นอะไร”
นิรชาโผเข้ากอดทศนนท์ กลัวจนตัวสั่นชี้ไปที่ศพตรงพื้น
“คุณทศ คุณ...คุณนุ...”
ทศนนท์สาดไฟไปตามมือที่นิรชาชี้ เห็นอนุชิตนอนตาย หน้าซีด ดวงตาเหลือกลานเหมือนหวาดกลัว และตกใจถึงขีดสุด เขาถึงกับเข่าอ่อน
“พี่นุ!”
ในป่าท้ายหมู่บ้านทางไปน้ำตกนางลับแล
เนตรมายาเดินนำ เชื่อม กฤตณี จรัล ทรงกลด ขจร และศรชัย เดินฝ่าความมืดเข้ามาในป่า จู่ๆ เนตรมายาหยุดเดินกึก ทุกคนหยุดตาม เจ้าแม่เหลียวมองรอบๆ ป่า รับรู้ได้ถึงบางอย่าง
“ตรงโน้น” เจ้าแม่ชี้ไปด้านขวามือ “เราต้องทำพิธีกันตรงโน้น
กฤตณีกับจรัล มองหน้ากันอย่างเอือมระอา
“เราไปต่อกันเถอะ อย่าไปสนใจพวกเขาเลย”
ขณะกำลังจะเดินออกไป จรัลเห็นว่าทรงกลดไม่เดินตามมาด้วยจึงถามขึ้น
“แล้วคุณทรงกลดไม่ไปกับพวกเราเหรอครับ”
“ผมขออยู่ดูแลพวกผู้หญิงทางนี้ดีกว่าครับ”
“ก็ดีครับ งั้นพวกผมล่วงหน้าไปก่อนนะครับ”
กฤตณีกับจรัลพากันเดินออกไป
ทรงกลดรอให้สองคนพ้นตัวไปแล้ว จึงเข้ามาถามเนตรมายาที่กำลังจะเดินออกไปทางขวามือ
“นี่คุณกำลังจะทำอะไร”
“ฉันกำลังจะทำพิธีล้อมป่า”
เนตรมายาจ้องมองทรงกลดสีหน้าจริงจัง
กลุ่มของปรัชญา จาริณีและเสถียร กำลังเดินตามหานิรชาอยู่ที่ป่าอีกด้าน
“หมอคิดว่าครูเนียร์จะถูกคนดักทำร้ายจริงเหรอคะ”
“ผมว่าใช่นะ เพราะก่อนหน้าเนียร์ก็เคยโดนดักทำร้าย ดีที่คุณทศไปช่วยไว้ทัน”
“น่าจะเป็นไปได้ไหมคะว่าจะเป็นเรื่องที่ดินของชาวบ้าน”
เสถียรรีบจุ๊ปาก “จุ๊ๆ อย่าพูดดังไปค่ะคุณจ๋า ถ้าเป็นเรื่องที่ดินจริงๆ คนบงการเรื่องนี้ก็คงไม่พ้นคุณทรงกลดแน่ๆ”
“จ๋าไม่เข้าใจจริงๆ กับแค่เรื่องที่ดิน ทำไมเขาต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนกันไปหมด นี่ถึงขนาดฆ่าแกงกันด้วย”
“เรื่องเงินเรื่องอำนาจ มันไม่เข้าใครออกใครหรอกครับคุณจ๋า”
“แอร๊ยยยย”
เสียงเสถียรร้องกรี๊ดขึ้น เมื่อมองเห็นบางอย่างตรงหน้า
ปรัชญาและจาริณีตกใจ หันมองเสถียรแล้วถามขึ้นพร้อมๆ กัน
“เกิดอะไรขึ้นพี่น้ำหวาน”
“คนค่ะ มีคนนอนอยู่ตรงนั้น”
สองคนคิดเตลิดอุทานลั่น “เนียร์” / “ครูเนียร์”
ปรัชญาและจาริณีมองหน้ากัน ใจคอไม่ดีทั้งคู่ สาดแสงไฟไปตามที่เสถียรชี้ แล้วเห็นว่าคนที่นอนอยู่เป็นสิงห์ ทั้งคู่ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบเข้าไปดู
“เป็นอะไรไปคะเนี่ย โดนงูกัดหรือสัตว์ทำร้ายหรือเปล่า”
“พี่น้ำหวานเอากระเป๋ามาเร็วค่ะ”
เสถียรรีบเอากระเป๋าพยาบาลมาเปิดออกเพื่อเตรียมจะช่วยเหลือคนป่วยตามที่จาริณีบอก
“เตรียมปั๊มหัวใจเลยไหมคะหมอ”
จาริณีเตรียมจะปลดกระดุมเสื้อสิงห์ออกเพื่อจะให้ปรัชญาปั๊มหัวใจคนไข้
ปรัชญามองหาจุดที่บาดเจ็บของสิงห์แต่ไม่พบ เขาจึงจับชีพจรที่แขน แล้วเปลี่ยนมาจับชีพจรที่ต้นคอดูอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“คงไม่ต้องแล้วล่ะคุณจ๋า พวกเรามาไม่ทัน หัวใจหยุดเต้นแล้ว”
จาริณีหยุดมือที่กำลังจะปฐมพยาบาล ขณะที่เสถียรกลับมีสีหน้าตกใจกลัว
“แอร๊ยย คนตาย แอร๊ยยยย”
ฝั่งทศนนท์กำลังปลอบนิรชาให้ใจเย็นลง
“ไม่เป็นไรแล้วคุณเนียร์ คุณไม่เป็นไร คุณปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัว”
นิรชาพยายามรวบรวมสติจนเริ่มใจเย็นลง ขณะที่ถนอมกำลังสำรวจอนุชิตอยู่
“ฉันหนีคนร้ายที่กำลังตามฆ่าฉัน จนมาเจอกับคุณนุ...”
เสียงกรีดร้องของเสถียรดังมาจากอีกฟากของป่า
“แอร๊ยย คนตาย แอร๊ยยยย”
สามคนหันไปมองตามเสียง
ถนอมจำได้ “นั่น มันเสียงไอ้เถียรนี่ครับ
“ผมก็ว่าน่าจะใช่”
สักพักพวกเขาก็มองเห็นแสงไฟจากไฟฉายที่กำลังปิดเปิด คล้ายส่งสัญญาณ SOS
“นั่นมันสัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลือค่ะ” นิรชาบอก
“งั้นเดี๋ยวผมไปดูทางโน้นก่อนนะครับ”
“ครับ”
ถนอมเดินลุยป่าออกไปทางพวกเสถียร ทศนนท์หันมองนิรชา ก็เห็นว่าเธอเริ่มดีขึ้นแล้ว
“คุณหายตกใจบ้างหรือยัง
“ค่ะ ฉันดีขึ้นแล้ว”
ทศนนท์ผละจากนิรชาแล้วลุกเดินเข้าไปดูศพอนุชิต
ฝ่ายยายพิณทิพย์เดินหลังค่อมฝ่าความมืดออกมา กำลังพ้นตัวออกจากป่า แต่แล้วก็เหมือนกับเดินชนคลื่นสนามพลังบางอย่าง จนร่างกระเด็นกระดอนกลับมา ต้องนิ่งมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
สักพักเสียงสวดมนต์ของเนตรมายาก็ดังลอยมาตามลม พิณทิพย์ได้ยินแล้วรู้สึกปวดแสบแก้วหูอย่างแรง
“มะโทรัง อะตะระโร เวสะวะโน นะหากปิ ปิสาคะตาวาโหมิ มหายักขะ เทพะอนุตะรัง เทพะดา เทพะเอรักขัง ยังยังอิติ เวสะวะนัน ปรางทิพย์มณฑาทอง มหาลักชามะนง มะภูอารักขะ นะพุททิมะมัตตะนัง กาลปะติทิศา สัพเพยักขา ปะลายัตตะนิ”
“โอ๊ย!.....โอ๊ย!...”
เสียงสวดมนต์สิ้นสุดลง แต่พิณทิพย์กลับมีอาการอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด พลันมีเสียงหัวเราะอย่างสะใจของลูกเทพดังก้องไปทั่วพนา พิณทิพย์เหลียวมองหาที่มาของเสียงแต่ก็หาไม่เจอ
“เป็นยังไงบ้างล่ะ ยายแก่ปีศาจ ผีร้ายอย่างแกสู้แม่ฉันไม่ได้หรอก แม่ฉันเก่งที่สุด ฮ่าๆๆๆๆ คราวนี้แกไม่รอดแน่ยายแก่ปีศาจ”
พิณทิพย์รู้สึกอ่อนแรงจนแทบจะล้มตัวลงกับพื้น
บัวคำใส่ชุดดำอำพรางตัววิ่งเข้ามาอีกฝั่ง ตกใจเมื่อมองเห็นสนามพลังที่กั้นระหว่างเธอกับพิณทิพย์เอาไว้
“แม่หญิง แม่หญิงเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
พิณทิพย์หันไปมองบัวคำอย่างอ่อนแรง
“ข้าไม่ไหวแล้วพี่บัวคำ”
“รอก่อนนะเจ้าคะแม่หญิง ข้าจะช่วยท่านออกมาเอง”
บัวคำใช้ฝ่ามือผลักไปที่สนามพลัง แต่แล้วเธอก็กระเด้งออกมาอย่างแรง ปรางทิพย์มองบัวคำด้วยความเป็นห่วง
บัวคำไม่ยอมแพ้วิ่งเข้าชนสนามพลัง แต่ก็ถูกพลังสะท้อนกลับมาอีก บัวคำไม่ย่อท้อ ถอยออกไปเพื่อจะพุ่งชนมันอีกครั้ง จนพิณทิพย์ต้องร้องห้ามขึ้น
“พอเถิดพี่บัวคำ เนตรตาทิพย์รู้คาถาสะกดชาวเราแล้ว พี่รีบหนีไปเถิดไม่เช่นนั้นพวกเราอาจถูกจับทั้งคู่”
“แล้วแม่หญิงเล่า จะทำเช่นไรกัน ตอนนี้แม่หญิงกลับเข้าไปซ่อนตัวในเมืองเราก่อน จนกว่าจะถึงคืนวันพรุ่งนะเจ้าค่ะ”
พิณทิพย์พยักหน้า “พี่บัวคำมิต้องเป็นห่วงข้า กลับไปรอข้าที่บ้านเถิด”
บัวคำพยักหน้ารับเอาคำ สองนายบ่าวมองหน้ากันน้ำตาคลอๆ เป็นห่วงกันและกัน
พิณทิพย์เดินหลังค่อมอย่างอ่อนแรงฝ่าความมืดกลับเข้าป่า บุษบาลาวัณย์ปรากฎกายขึ้นขวางทางเอาไว้เย้ยหยันอย่างสะใจ
“เป็นอย่างไรเล่า เจ้ายังอยู่ดีหรือไม่นางปรางทิพย์มณฑาทอง”
“หลีกไป”
“เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้าด้วยเล่า ในเมื่อตัวเจ้าอ่อนแรงถึงเพียงนี้” บุษบามองสมเพช “เจ้าไม่สงสัยรึ ว่ามนุษย์โง่พวกนั่นรู้บทสวดสำคัญของเมืองเราได้อย่างไร”
พิณทิพย์ชะงัก มองสงสัย
“เดิมทีเจ้าเป็นคนฉลาดนัก คิดไม่ออกรึ ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด”
บุษบาลาวัณย์หัวเราะเยาะเสียงดัง พิณทิพย์มองอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“คิดบ้างหรือไม่ ว่าสักวันมนต์นั้นมันจะย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าเอง”
“มันจะทำร้ายข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้ากำลังจะละทิ้งความเป็นคนเมืองลับแลแล้ว”
พิณทิพย์ตกใจ
“ตอนนี้คนที่จะถูกทำร้าย มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น”
บุษบาลาวัณย์สะบัดแขนฟาดออกไปด้วยความสะใจ พิณทิพย์โดนพลังกระแทกเข้าจนล้มลง กระอักออกมาเป็นลิ่มเลือด บาดเจ็บสาหัส
ขณะเดียวกัน เนตรมายายังคงนั่งบริกรรมคาถาอยู่ภายในวงล้อมสายสิญจน์ โดยมีเชื่อมที่คอยช่วยซัดน้ำมนต์ไปรอบๆ เป็นระยะๆ กระทั่งเชื่อมกลับมานั่งลง ทรงกลดจึงเอ่ยถามขึ้น
“นี่เจ้าแม่จะปราบผีแม่ม่ายได้จริงๆ เหรอป้า”
“นั่นสิ ฉันก็คิดว่าแค่เป็นเรื่องหลอกพวกชาวบ้านให้กลัวเท่านั้น” ศรชัยว่า
เชื่อมฉุน “พวกแกไม่รู้อะไร ผีแม่ม่ายมีจริง และเจ้าแม่ของเราก็มีวิชาอาคมแกร่งกล้า ไม่ว่าผี หรือปีศาจตนไหนก็ต้องสยบต่อเจ้าแม่ทั้งนั้น”
“แต่นี่ผมก็เห็นเจ้าแม่บริกรรมคาถาสักพักแล้วนะ” ทรงกลดเองก็ไม่เชื่อนัก
“ของแบบนี้มันต้องใจเย็นค่ะ ต้องรอให้มนต์ทำงานก่อน ใจเย็นๆ นะคะ”
เนตรมายาหยุดบริกรรมคาถาแล้วลืมตาขึ้น
ตุ๊กตาลูกเทพที่อยู่ตรงหน้าขยับตัวส่งแสงวาบ แต่ทรงกลด ขจรและศรชัย ไม่เห็นและไม่ได้ยิน
“ว่ายังไงลูกแม่ มันอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่ป่าข้างน้ำตกนี่เองจ้ะแม่ รีบไปจัดการยายแก่ปีศาจนั่นเถอะ มันกำลังอ่อนแรงเต็มทีแล้ว”
ทรงกลดมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ “คุณคุยกับใคร”
เนตรมายาหันมามองทรงกลดที่กำลังมองเธออย่างสงสัยอยู่ว่าเธอพูดกับใคร เนตรมายายิ้มไม่ตอบแต่กลับถามคำถามกลับทรงกลด
“คุณพร้อมหรือยัง จะได้ไปดูให้เห็นกับตา”
ทรงกลดมองเนตรมายา ด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ
ขณะที่พิณทิพย์กำลังจะวิ่งหนีแต่ถูกบุษบาลาวัณย์ใช้พลังกระชากตัวกลับมา พิณทิพย์ซัดพลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิดสวนกลับ บุษบาลาวัณย์ยกมือขึ้นปัดส่งพลังออกไปกระแทกกับพลังของพิณทิพย์ จนพิณทิพย์กระเด็นลอยไปกระแทกกับต้นไม้หล่นตุ้บลงมากองกับพื้น พิณทิพย์เจ็บหนักและกระอักเลือดอีกครั้ง บุษบาลาวัณย์หัวเราะเยาะอย่างสะใจสมใจ
“ข้านับถือความใจสู้ของเจ้ายิ่งนัก ทั้งๆ รู้อยู่ว่าในสภาพนี้เจ้ามิอาจจะสู้ผู้ใดได้ เจ้าก็ยังมิยอมแพ้”
เสียงเนตรมายาดังขึ้น “แกหนีฉันไม่รอดหรอกนังผีร้าย”
บุษบาลาวัณย์หันมองไปตามเสียงแล้วสลายกายไปทันที
พิณทิพย์กระอักเลือดอยู่อย่างนั้น ในขณะที่พวกเนตรมายาเดินเข้ามา
“เจอแล้ว มันอยู่ตรงนี้ไงเจ้าแม่”
“เอาสายสิญจน์เลือดหมาดำมัดมันไว้”
เชื่อมหยิบสายสิญจน์ออกมาจะเอาไปมัดพิณทิพย์ แต่พิณทิพย์หันมองดุจนเชื่อมนึกกลัว
“เจ้าแม่....”
“เข้าไปเถอะ ตอนนี้มันบาดเจ็บหมดฤทธิ์เดชแล้ว แม้แต่แมลงสาบสักตัวมันยังไม่มีแรงฆ่าเลย”
เชื่อมส่งสายสิญจน์ให้ขจรและศรชัยช่วยกันมัดพิณทิพย์เอาไว้
พิณทิพย์ร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด พยายามดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต แต่ก็ยังไม่อาจสู้พลังของสายสิญจน์ที่เปล่งประกายรัดร่างของเธอเอาไว้ พิณทิพย์ดิ้นรนจนหมดแรงแล้วสลบไป
ทรงกลดนิ่งมองภาพของพิณทิพย์อย่างสยดสยอง ไม่อยากเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับปรางทิพย์
“คุณรู้ได้ยังไงว่ายายคนนี้เป็นผีแม่ม่ายและเป็นคนเดียวกับ...คุณปราง”
“ถ้าหากเป็นคนธรรมดา โดนสายสิญจน์แค่นี้คงไม่ร้องครวญครางเจ็บปวดขนาดนี้หรอกคุณทรงกลด”
ทรงกลดเริ่มคล้อยตาม เห็นด้วยกับสิ่งที่เนตรมายาพูด ก่อนจะหันไปหาขจรและศรชัย
“เอาตัวไป”
ขจรกับศรชัยหิ้วปีกร่างไร้สติของพิณทิพย์ออกไป
ฟากทศนนท์ส่องไฟฉายสำรวจศพของอนุชิตอย่างละเอียด
“อาการตายของพี่นุแปลกๆ นะครับ เขาตาเหลือกลานเหมือนตกใจกลัวอะไรบางอย่าง แถมร่างกายก็ไม่มีบาดแผลใดๆ ด้วย”
เสียงปรัชญาดังขึ้น “นั่นคืออาการช็อค แล้วหัวใจวายแบบเฉียบพลันครับ”
ทศนนท์กับนิรชาหันไปมอง
เห็นถนอมเดินนำจาริณี กฤตณี เสถียร และปรัชญา เดินเข้ามาสมทบ กฤตณีรีบวิ่งเข้าไปกอดนิรชาที่ยังคงนั่งอยู่ที่ข้างต้นไม้
“เนียร์เป็นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นไร แค่ตกใจนิดหน่อย”
“มีบาดแผล หรือบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
จาริณีเดินเข้ามาดูอาการนิรชา ส่องไฟมอง เห็นมีรอยแผลจากกิ่งไม้ข่วนอยู่ตามแขนของเธอเต็มไปหมด
เสถียรเห็นสภาพครูสาว รีบเอากระเป๋าปฐมพยาบาลมาให้
“ตายแล้ว แผลเต็มไปหมดเลยค่ะครูเนียร์”
จาริณีและเสถียรช่วยกันทำแผลให้กับนิรชา
ปรัชญาซึ่งเข้าไปตรวจดูศพอนุชิตหันมาพูดกับทศนนท์
“คุณนุหัวใจวายแน่นอนครับ จากสภาพศพแล้วไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือบาดเจ็บเลย”
“ผู้ใหญ่รีบกลับไปติดต่อตำรวจแล้ว” เสถียรมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว “ฟ้าก็ใกล้สางแล้วด้วย เราไปคุยกันต่อที่บ้านดีไหมคะ”
ทศนนท์มองศพอนุชิตอย่างค้างคาใจ และเขาอดคิดไม่ได้ว่าเป็นฝีมือยายพิณทิพย์
เช้ามืด ผู้ใหญ่จรัลยังอยู่ในชุดเดิม และปรียา นั่งรออยู่ที่ศาลาตรงลานหน้าบ้าน ตำรวจ1 เหมือนเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ววางสายลง เดินเข้ามาหาสองคน
“อีกสักพักพวกเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังจะมาถึงครับ”
“ดีครับ เดี๋ยวทุกคนก็จะกลับมากันแล้ว”
ปรียามองไปทางถนนหน้าบ้าน เห็นทุกคนกำลังเดินเข้ามา
“นั่นไงคะ พูดถึงก็มาพอดีเลย”
ทุกคนเดินกลับเข้ามาที่บ้านจรัล ตำรวจมองไปที่นิรชา
“ตอนนี้ครูเนียร์ปลอดภัยแล้ว แต่พวกเรากลับเจอศพในป่าถึง 2 ศพ”
“หนึ่งในนั้นเป็นศพของคนที่จะทำร้ายฉันด้วยค่ะ” นิรชาบอก
“งั้นคงต้องให้ครูเนียร์ช่วยให้ปากคำกับทางตำรวจด้วยนะครับ” ตำรวจบอก
“ได้ค่ะ”
“แล้วเรื่องศพ” ตำรวจหันมาทางจรัล
“เจ้าถนอมเฝ้าอยู่ครับ ประเดี๋ยวถ้าทีมกู้ภัยมาก็จะได้ไป เคลื่อนย้ายศพกัน”
จรัลหันกลับมาคุยกับทุกคน
“เอาล่ะทุกคน กลับบ้านไปพักผ่อนกันได้แล้ว ส่วนครูเนียร์หลังจากนี้คงต้องระวังตัวให้มากหน่อยนะ เพราะดูท่าแล้วเจ้ามือปืนคนนั้นมันต้องถูกใครจ้างวานมาแน่” ผู้ใหญ่บอก
“จริงจ้ะผู้ใหญ่ พวกเราคงต้องช่วยกันสอดส่อง ระวังภัยให้ลูกบ้านของพวกเราทุกคน” เจ๊น้ำหวานว่า
กฤตณีหมั่นไส้ “ทำเป็นพูดดีนะ เมื่อตะกี้ใครกันที่ร้องจะเป็นจะตาย กะอีแค่ให้อยู่เฝ้าศพยังไม่กล้าเลย”
“เรื่องศพเรื่องคนตายน้ำหวานไม่ยุ่ง ขอยุ่งแค่เรื่องคนเป็นดีกว่านะ”
“ผมต้องอยู่รอเจ้าหน้าที่อยู่ที่นี่ วานคุณทศไปส่งเนียร์ที่บ้านด้วยนะครับ”
“ยินดีครับ”
สองหนุ่มยิ้มให้กัน
“งั้นพวกฉันกลับก่อนนะคะผู้ใหญ่”
ทุกคนต่างไหว้ลากัน ทศนนท์เดินเคียงข้างออกมาพร้อมกับเนียร์และคิตตี้
บนสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ ห้องเก็บของถูกปิดทึบแทบไม่ได้งาน ถูกเปิดออก ขจรและศรผลักพิณทิพย์ ซึ่งมีสายสิญจน์พันกายไว้ เข้าไปไว้ในห้องนั้น แล้วรีบปิดประตูด้วยความกลัว
“ขังมันเอาไว้ที่นี่ล่ะ”
“ทำไมเจ้าแม่ต้องเอาตัวมันมาขังเอาไว้ที่สำนักเราด้วย เอามันไปประจานให้พวกชาวบ้านได้รู้ไม่ดีกว่าเหรอ”
“เรื่องนั้นฉันทำอยู่แล้ว แต่ต้องรอให้ถึงคืนนี้ก่อนจะดีกว่า ทุกคนจะได้เห็นกับตาตอนมันกลายร่างกลับเป็นนังปรางทิพย์”
เชื่อมพยักหน้ารับเอาคำ ทรงกลดนิ่งฟังอยู่ยังคงรู้สึกกังขา
“ดูคุณแน่ใจมากเลยนะ ว่ายายแก่นี่เป็นคุณปรางทิพย์”
“วันนี้คุณจะได้รู้และได้เห็นกับตาตัวเองว่าสิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง” เจ้าแม่หันมาทางเชื่อม “ป้าเชื่อมเอาสายสิญจน์ที่เหลืออยู่ให้ขจร กับศรชัย เอาไปล้อมให้ทั่วสำนัก กันไม่ให้มันหนีออกไปได้”
เชื่อมหยิบสายสิญจน์ส่งให้ขจรและศรชัย
“เราทำถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องมีใครเฝ้าก็ได้ใช่ไหมเจ้าแม่”
“ไม่ได้ ป้าเชื่อมจะต้องเฝ้ามันเอาไว้”
เชื่อมผวา “ไม่เอาหรอกเจ้าแม่ ฉันกลัว...”
“งั้นให้เจ้าขจรกับศรชัยช่วยเฝ้าก็แล้วกัน”
ขจรและศรชัยหันมองหน้ากันอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แต่ก็ไม่กล้าพูดขัดอะไร
ทรงกลดนิ่งมองพิณทิพย์ที่นอนสลบอยู่อย่างใช้ความคิด
ที่โถงรับแขกชั้นล่างบ้านศักดิ์ ทั้งสี่คน ศักดิ์ ตาล มาลี และมัทนา นั่งรอทุกคนอยู่ที่ห้องนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
“ยัยเนียร์จะโชคดีแบบนี้ได้ซักกี่หนกันคะแม่ ถูกตามฆ่าติดๆ กันแบบนี้ ไอ้คนบงการยังไงมันก็ไม่ปล่อยยัยเนียร์แน่ เราจะทำยังไงกันดีคะ” สีหน้ามัทนาที่เอ่ยถึงลูกสาวมีวี่แววกังวลอยู่เต็ม
“ไม่มีใครช่วยใครได้หรอกนะมัท เรื่องของกรรมที่ต่างคนก็ต่างต้องเผชิญ มันเป็นสิ่งที่สวรรค์ท่านลิขิตเอาไว้แล้ว”
มัทนาหนักใจ “ทำไมแม่ดูไม่ร้อนใจบ้างเลยล่ะคะ ทั้งๆ ที่แม่รักยัยเนียร์มากที่สุด แต่กลับพูดถึงแต่เรื่องเวร เรื่องกรรม จนมัทเริ่มไม่แน่ใจแล้วนะคะว่าแม่จะรู้อะไรมากกว่าที่พวกเรารู้หรือเปล่า”
มาลียิ้มให้ “แม่ก็รู้เท่าที่พวกเรารู้นั่นแหละ แต่แม่เพียงแค่รู้สึกว่าหลานแม่เป็นคนดี คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง จนแม่เชื่อว่าสวรรค์คงไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้ต้องลำบากอยู่คนเดียวเป็นแน่”
มัทนามองมารดางงๆ สายตามองไป กฤตณี นิรชา และ ทศนนท์ เดินเข้าบ้านมา มัทนาและมาลีรีบลุกเดินเข้าไปรับอย่างดีใจ
มัทนาจับตัวลูกดู เห็นแผลขีดข่วนตามแขนและใบหน้าก็ตกใจ
“นี่เหรอลูกที่ว่าไม่เป็นอะไร ดูสิมีแผลเต็มไปหมดเลย”
“ก็แค่แผลกิ่งไม้ข่วนน่ะค่ะแม่”
“จริงค่ะ ทายาไม่กี่วันก็หาย” คิตตี้เสริม
“แม่ว่าเรากลับกรุงเทพฯ กันเถอะนะลูก ขืนอยู่ที่นี่ต่อลูกคงต้องเจ็บหรือไม่ก็...”
มัทนาไม่สบายใจ และไม่อยากพูดต่อด้วยความกลัว
“เนียร์กลับไม่ได้หรอกค่ะแม่ ถ้าเนียร์กลับไปตอนนี้ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เนียร์ทำมาทั้งหมดเสียเปล่า”
“จริงค่ะ ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ มันดิ้นทำถึงขนาดนี้จริงๆ แสดงว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะสำเร็จแน่”
“ปล่อยเด็กๆ ทำในสิ่งที่เขาต้องทำเถอะมัท แม่เชื่อว่าเนียร์จะต้องเอาตัวรอดจากเรื่องร้ายๆ พวกนี้ได้” มาลีหันไปมองทศนนท์ พูดเชิงขอร้องขึ้นว่า “ยายฝากดูแลหลานของยายคนนี้ด้วยนะคุณทศ”
“ครับคุณยาย ผมจะดูแลคุณเนียร์อย่างสุดความสามารถ”
นิรชายิ้มให้ทศนนท์แทนคำขอบคุณ
เมื่อทศนนท์เปิดประตูห้องนอนเดินเข้ามา แล้วต้องชะงัก ตกใจเมื่อพบว่ามีใครบางคนอยู่ในห้อง
“บัวคำ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”
บัวคำเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าหวั่นวิตก
“คุณทศ ช่วยด้วย ช่วยคุณยายด้วย”
“คุณยาย?”
ทศนนท์นึกถึงวันนั้น เขาเห็นยายพิณทิพย์เดินผ่าความมืดออกมา ตรงเข้ามาหาประกิตจากทางด้านหลัง เมื่อมองผ่านประกิตไปก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นบุษบาลาวัณย์จ้องอยู่ แต่ไม่มีเวลาใส่ใจ หันไปทางท่านสุบรรณเหรา
“ข้าแต่ท่านสุบรรณเหรา ข้านำคนบาปมาบูชาแด่ท่านแล้ว”
ประกิตอยู่ตรงกลางหวาดกลัวสุดขีด ปากคอสั่นเพราะเริ่มเดาเหตุการณ์ทั้งหมดออก มันเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นด้วยความกลัว
“ไม่นะ ไม่! ฉันยังไม่อยากตาย ไม่!”
ประกิตลนลาน หาลูกทางหนี ตัดสินใจวิ่งออกไปทางปากถ้ำ สุบรรณเหรากระพือปีก แล้วพ่นน้ำพิษใส่เขาทันที ประกิตชะงักตัวแข็งทื่อ
“อ๊าก!!!”
ทศนนท์แอบมองอยู่ไกลๆ เห็นความตายของประกิตเต็มตา ยืนอึ้งตาค้าง ตกใจกับสิ่งที่เห็น
พิณทิพย์หันหลังกลับออกไปต้องชะงักตกใจสุดขีด รีบเดินเข้าไปหาทศนนท์โดยเร็ว
ทศนนท์นึกได้ ถามเรื่องที่คาใจ “ใช่สิ คุณยายฆ่าพี่นุทำไมครับบัวคำ”
บัวคำแปลกใจ “คุณนุตายแล้วรึ”
“บัวคำต้องรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับว่าคุณยายฆ่าคนเพื่อบูชายัญ”
“แต่เรื่องคุณนุฉันไม่รู้จริงๆ คุณยายไม่น่าจะทำอย่างนั้น ดูท่าคุณนุไม่ใช่คนบาป แล้วยิ่งเป็นเพื่อนของคุณด้วย คุณยายไม่มีทางทำให้คุณโกรธแน่ แต่ว่าตอนนี้คุณทศรีบไปช่วยคุณยายก่อนได้ไหมคะ”
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คุณยายถูกพวกเนตรมายาจับตัวไปค่ะ”
ทศนนท์ทั้งเครียดและสับสน “แล้วคุณปรางล่ะครับ คุณปรางอยู่ที่ไหน ไม่ได้ตามไปช่วยคุณยายเหรอครับ”
บัวคำเริ่มอึกอัก ไม่รู้จะตอบทศนนท์อย่างไรดี
“คุณปรางก็บาดเจ็บหนักเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ถ้าเราช่วยคุณยายได้ก็เท่ากับเราช่วยคุณปรางได้ด้วย”
ทศนนท์ยังรู้สึกงงๆ กับคำพูดของบัวคำ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เอ่ยถามขึ้นว่า
“ตอนนี้คุณยายอยู่ที่ไหน”
ทศนนท์มองจ้องบัวคำ รอฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
เนตรมายากำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่โต๊ะรับแขกตรงชานเรือน เหมือนกำลังรอคอยใครสักคนอยู่
“เจ้าแม่น่าจะไปพักผ่อนสักหน่อยนะ ไม่ได้นอนมาทั้งคืน”
“ฉันรู้ป้าเชื่อม แต่ฉันกำลังรอใครบางคนอยู่”
“ใครหรือเจ้าแม่”
สิ้นเสียงเชื่อม ประตูบันไดสำนักก็เปิดผางออกอย่างแรง เห็นทศนนท์เดินหุนหันเข้ามา
เนตรมายากับเชื่อมหันมอง
“นั่นไง คนที่ฉันกำลังรอมาแล้ว”
ทศนนท์เดินดิ่งเข้ามาหาเนตรมายาอย่างเอาเรื่อง
“พวกคุณจับคุณยายพิณทิพย์มาที่นี่ใช่ไหม”
“ฉันรู้ว่าคุณจะต้องมาที่นี่ หากคุณรู้ว่านังปรางทิพย์หายตัวไป”
“คุณทำตัวเป็นศาลเตี้ย กักขังหน่วงเหนี่ยวคนแก่ไม่มีทางสู้ คุณทำแบบนี้ทำไมคุณเนตร”
“ฉันอยากให้คุณตาสว่างสักที นังปรางทิพย์มันปีศาจ”
“แต่คนที่คุณจับตัวมาเป็นคุณยายของคุณปราง”
“ก็นั่นแหละ มันเป็นคนคนเดียวกัน”
ทศนนท์อึ้งไปเลย แต่ก็ยังบอกปฏิเสธไปด้วยไม่อยากเชื่อ
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เชื่อ”
เนตรมายานิ่งมองทศนนท์อย่างเจ็บปวด
“คุณคงจะรักมันมากสินะ ถึงได้คอยปกป้องมันอยู่ตลอดเวลา”
เชื่อมสอดขึ้นว่า “อย่าเสียเวลาพูดเลยเจ้าแม่ เราก็รู้ดีอยู่ว่าพูดไปยังไงคุณทศก็ไม่เชื่อ”
เนตรมายาจ้องหน้าทศนนท์ “ถ้าฉันพูดแล้วคุณไม่เชื่อ เอาไว้รอคืนนี้ คุณจะได้รู้ความจริง”
“ไม่ ผมไม่รอ ยังไงผมต้องพาคุณยายกลับให้ได้”
ทศนนท์จะบุกเข้าไปค้นหาพิณทิพย์ในบ้าน แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อขจรและศรชัย ถือปืนเดินออกมาขวาง พูดข่มขู่
“ลองบุกเข้ามาสิ แกถูกยิงไส้แตกแน่”
“ยิงคนบุกรุกตายในบ้านเรา ไม่น่าจะมีความผิดนะ”
เนตรมายารีบมาขวางขจรและศรชัยไว้
“อย่านะ ลดปืนลง อย่าทำอะไรคุณทศ ขอร้องล่ะค่ะคุณทศ คุณช่วยกลับไปก่อนได้ไหม”
“ไม่ เป็นตายร้ายดียังไง ผมต้องได้ตัวคุณยายกลับไป”
เนตรมายาเจ็บจี๊ดที่ขั้วหัวใจ หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ค่อยๆ หันหลังให้ทศนนท์ แล้วบริกรรมคาถาออกมาเบาๆ
พลันลูกเทพก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าทศนนท์ มีเพียงเชื่อมที่เห็น ดวงตาลูกเทพมีแสงวาบออกมา ชี้นิ้วไปที่ทศนนท์ จากนั้นร่างทศนนท์ก็นิ่งไป
ลูกเทพเดินนำลงเรือนไป ทศนนท์ตามออกไปโดยดี ขจรและศรชัยหันมองหน้ากันงงๆ
“อะไรของมันวะ อยู่ดีๆ จะไปก็ไปซะงั้น”
“นั่นสิ งงเลย” ศรชัยก็งง
เนตรมายาหันกลับมามองทศนนท์ด้วยสีหน้าเจ็บปวด
สายวันนี้ เสถียรวิ่งแหกปากร้องตะโกนเข้ามาในร้านกาแฟบ้านศักดิ์ ตรงโต๊ะที่สี่คนนั่งคุยกันอยู่
“ข่าวล่ามาแล้วจ้า ข่าวล่ามาแล้ว”
“อะไรนังน้ำหวาน ข่าวล่าอะไรของแก” ตาลถาม
“ก็ข่าวล่า เรื่องเมื่อคืนยังไงล่ะคะ พวกเจ้าหน้าที่ส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลในเมืองแล้วแต่ยังไม่ทราบสาเหตุว่าทั้ง2ศพตายเพราะอะไร แต่หมอสันนิษฐานว่าตายเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน”
“แล้วลูกเมียของคุณนุล่ะคะว่ายังไงบ้าง” คิตตี้นึกสงสาร
“นั่นล่ะค่ะน่าสงสาร พากันร้องห่มร้องไห้กันระงม แล้วบอกว่าจะยังไม่ทำศพจนกว่าจะรู้ว่าผัวตายเพราะอะไร”
“แล้วคนร้ายล่ะพี่น้ำหวาน”
“คนร้ายชื่อสิงห์ค่ะ มีประวัติเป็นมือปืนอาชีพมาจากซุ้มมือปืนแถบตะวันออก แสดงว่าไม่ใช่คนแถวนี้แน่นอน”
“เป็นไปได้ไหมพี่ ที่ทั้งสองคนนั้นจะต่อสู้กันแล้วก็ตายทั้งคู่” คิตตี้ตั้งข้อสังเกต
“โถ่ คุณน้องขา จะเป็นไปได้ยังไงกันคะ หมอก็บอกอยู่ว่าทั้งคู่ไม่มีบาดแผลจากการต่อสู้เลยสักนิด ช่างคิดนะคะคุณน้อง”
“แล้วหนูไม่เห็นอะไรผิดสังเกตบ้างเลยหรือ” ตาลถาม
“เนียร์ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะตอนที่คนร้ายวิ่งไล่ล่าเนียร์อยู่ จู่ๆ ก็หายไป แล้วระหว่างนั้นเนียร์ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
มีเสียงประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียงของหมู่บ้านดังขัดขึ้น ทุกคนหันไปฟัง
“ประกาศ ประกาศ ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะบอกว่าคืนนี้จะมีการเปิดโปงผีแม่ม่ายให้ทุกคนได้รู้ ถ้าใครอยากเห็นหน้าชัดๆ ก็ให้ไปรวมตัวกันที่สำนักเนตรตาทิพย์ ประกาศ ประกาศอีกครั้ง ไม่มีอะไรมาก ลูกบ้านคนไหนสนใจอยากรู้ตัวผีแม่ม่าย ให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่สำนักเนตรตาทิพย์ จบประกาศ”
ทุกคนหันมองหน้ากัน งงกับคำประกาศของผู้ใหญ่จรัล
“อะไรกันเนี่ย เพิ่งเกิดเรื่องคอขาดบาดตายมาแท้ๆ ทำไมยังไปสนใจเรื่องผีแม่ม่ายกันอยู่อีก ไม่เข้าใจจริงๆ”
ทุกคนได้แต่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา
ที่บ้านจรัล มินตานั่งร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายใส่จรัลเป็นนายสองนาน
“ผู้ใหญ่ต้องจับตัวนังผีแม่มายที่ฆ่าพี่นุให้ได้นะ อย่าให้พี่นุต้องตายฟรี เราจะต้องปราบมัน แก้แค้นแทนพี่นุให้ได้”
“เออ ข้ารู้น่ะ ตอนนี้เจ้าแม่เนตรตาทิพย์ก็กำลังจะจัดการให้อยู่”
“พอจับมันได้ ต้องสับมันให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น สับๆๆๆๆ แล้วโยนให้หมากินให้หายแค้น”
นิรชา คิตตี้ และเสถียรเดินเข้ามาได้ยินพอดี
“แหม...นังมิ้นโกรธแค้นอย่างกับผัวตัวเองตายยังงั้นแหละ”
“ก็...ก็ฉันกลัวมันจะเอาพี่หนอมของฉันไปด้วยน่ะสิ”
“แถไปได้เรื่อยเชียวนะแก”
นิรชามองหน้ามินตาอย่างเอือมระอา “ไม่ว่าอะไรๆ ก็โทษแต่ผีแม่ม่ายอย่างเดียวเลยนะคะ”
“ถ้าครูไม่เชื่อ แล้วครูจะมาทำไม”
“พวกฉันจะมาถามข่าวคนร้ายต่างหากล่ะ ใครเขาอยากสนใจเรื่องผีสางกัน” คิตตี้บอก
“ผู้ใหญ่มีความคืบหน้าเรื่องการตายของคุณนุ กับคนร้ายหรือเปล่าคะ” นิรชาถามขึ้น
“ทางตำรวจและพวกคุณหมอไม่มีคำตอบที่แน่ชัดให้ แต่ผมเชื่อว่าคนร้ายกับนุตายเพราะสาเหตุเดียวกันแน่ๆ นั่นคือผีแม่ม่าย”
จรัลตอบสีหน้าจริงจัง
นิรชากับกฤตณีมองหน้ากันอย่างผิดหวัง
บัวคำย่องเข้ามาในอาณาเขตสำนัก มองซ้ายแลขวาอย่างระวังตัว จนเจอที่ลับตาและสงบเงียบจึงลงนั่งหาทางช่วยนายหญิง
“เสียดาย พลังของข้ามีน้อยเหลือเกิน ข้าจึงเข้าไปช่วยแม่หญิงไม่ได้ หากบุญของข้ากับท่านยังมีอยู่ ก็ขอให้ท่านได้ยินเสียงของข้าด้วยเถิด”
บัวคำพนมมือขึ้นไหว้วิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะนั่งสมาธิแล้วหลับตาลงแล้วเริ่มสวดมนต์
บนสำนักที่หน้าห้องขังพิณทิพย์ เนตรมายาหลับตาลงใช้สมาธิ รับรู้ถึงของบัวคำ เธอลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยออกมา
“ลูกน้องมันตามมาช่วยมันแล้ว ลูกแม่ มาช่วยแม่เร็วเข้า” ลูกเทพปรากฏกายขึ้น “ไปจัดการกับลูกน้องมันที่อยู่ด้านนอกให้แม่ที”
“จ้าแม่” ลูกเทพหายวับไป
เนตรมายาถอดสร้อยประคำจากข้อมือขว้างใส่ประตูห้อง เกิดควันดำขึ้นล้อมรอบห้อง ตามมาด้วยเสียงพิณทิพย์ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานดังขึ้น
“โอ๊ย”
เนตรมายายิ้มร้ายออกมาด้วยความสะใจ
อ่านต่อตอนที่ 26