เพรงลับแล ตอนที่ 23 | โกงความตาย
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ในบรรยากาศอันร่มรื่นที่โอบล้อมบ้านหลังนี้ คุณยายมาลีนั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่ที่เก้าอี้โยกมุมหนึ่งในโถงบ้าน ส่วนมัทนาเช็ดจานอยู่ในครัว พลันมีเสียงสิ่งของหล่นแตกดังเพล้งขึ้นมา
มาลีนึกว่ามัทนาทำจานหล่นแตกตามเคย จึงละสายตาจากหนังสือ หันไปตะโกนถาม
“ทำจานแตกอีกแล้วเหรอมัท”
มัทนาตะโกนตอบมาว่า
“เปล่านี่คะแม่ เสียงเหมือนอะไรหล่นอยู่แถวหน้าโทรทัศน์น่ะค่ะ หนูเก็บจานเสร็จเดี๋ยวไปดูให้ค่ะ”
มาลีนิ่วหน้า วางหนังสือแล้วลุกเดินออกไปดูที่หน้าทีวี
“เสียงเหมือนของแตกเลยนะ”
มาลีเดินบ่นมาพลางมองหาว่าอะไรหล่นแตกกันแน่ กระทั่งเจอกรอบรูปคว่ำหน้าอยู่ที่พี้น
“นี่ไง เจอแล้วหล่นอยู่ตรงนี้เอง”
มาลีหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดู แล้วต้องชะงักตกใจ กรอบรูปที่แตกนั้นเป็นรูปของหลานสาวสุดสวาท มัทนาเดินเข้ามาสมทบ
“อะไรหล่นแตกคะแม่”
มาลีหันมามองมัทนาพร้อมสีหน้าเป็นกังวลถึงขีดสุด บอกลูกอย่างร้อนรน
“มัทโทร.หายัยเนียร์ด่วนเลยลูก”
มัทนาเดินเข้ามาดูรูปในมือแม่ ใจหายวับ รีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากโทร.หานิรชาทันที
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง ขณะที่มัทนาและมาลีลุ้นรอคอยอย่างเป็นกังวล
“รับสายสิยัยเนียร์ รับสายสิลูก”
เสียงสัญญาณขาดหายไปมีเสียงตอบรับดังออกมา
“ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก”
มัทนาและมาลีมองหน้ากันด้วยสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ฝ่ายศรชัยกับสิงห์ซึ่งสวมหมวกโม่งดำทั้งสามคน เดินกลับออกมาหลังจากจัดการกับนิรชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทศนนท์วิ่งมาเห็นพวกมันทั้งคู่เข้าพอดี
“เฮ้ย พวกแกทำอะไรคุณเนียร์”
“วอนหาที่ตายนักใช่ไหมไอ้หน้าขาว”
สิงห์จะหยิบปืนพกที่ด้านหลังออกมายิงทศนนท์
ศรชัยร้องห้ามกลัวเรื่องจะบานปลาย “อย่ายุ่งกับมัน รีบหนีก่อนเถอะ”
ทั้งสิงห์และศรชัยรีบเบี่ยงเดินออกไปอีกทาง
“ทำร้ายคนแล้วคิดจะหนีเหรอ”
ทศนนท์ไม่ยอม เข้าขวางไว้ สิงห์ไม่พูดพร่ำทำเพลงปล่อยหมัดใส่ที่หน้าก่อน แต่ทศนนท์ตั้งรับทัน ฉากหลบพร้อมกับต่อยสวนเข้าไปที่ท้องสิงห์อย่างจังจนสิงห์จุกเซถอยออกไป ศรชัยพุ่งเข้าต่อยสู้ทศนนท์
ทศนนท์หลบหลีก จับแขนศรชัยบิดเอามือไพล่หลังแล้วเตะตัดเข้าที่ลำตัวศรชัย แต่ขณะนั้น ก็เสียงปืนก็ดังขึ้น
“เปรี้ยง!”
ทศนนท์โดนสิงห์ยิง กระสุนถากแขน แต่ก็แรงพอจะส่งให้ร่างทศนนท์กระเด็นออกไป
“โอ๊ย”
ศรชัยยันตัวลุกขึ้นได้รีบวิ่งไปหาสิงห์
“รีบหนีก่อนเถอะ”
สองคนรีบวิ่งหนีไปออกไป
“อย่าหนีนะ โอ๊ย”
ทศนนท์พยายามจะลุกวิ่งตาม แต่รู้สึกเจ็บแปลบที่แผลถูกยิงเวลานี้มีเลือดไหลออกมา จึงได้แต่มองตามไอ้โม่งทั้งสองที่วิ่งหนีกันไปไกลแล้วอย่างเจ็บใจ จนนึกถึงนิรชาขึ้นมา
“คุณเนียร์”
ทศนนท์พยายามยันกายลุกขึ้น แล้วตรงไปหานิรชาที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่
“คุณเนียร์ คุณเป็นยังไงบ้าง คุณถูกยิงตรงไหนหรือเปล่า คุณเนียร์”
ทศนนท์จับไหล่นิรชาเขย่าเรียกสติ แต่ทำอย่างไรนิรชาที่ยังไม่ฟื้น
ทศนนท์สำรวจแผลตามตัวนิรชาแต่ก็มองไม่เห็นแผลถูกยิง กระทั่งสายตาไปสะดุดตาที่กระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกข้างซ้าย เป็นรูถูกกระสุนเจาะ แต่ไม่มีเลือดออก
“รอยถูกยิงนี่ แต่ไม่มีเลือดออก”
มีบางอย่างแลบออกมาจากในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของนิรชา ทศนนท์ดึงมันออกมาดู พอเห็นเป็นใบไม้ทองคำก็แปลกใจมาก
“ใบไม้ทองคำ คุณเนียร์ เป็นยังไงบ้าง...”
ทศนนท์คิดว่ากระสุนปืนยิงโดนใบไม้ทองคำ แล้วทำให้นิรชาสลบไปเพราะแรงกระแทกไม่ได้บาดเจ็บอะไร เขาพยายามปลุกและประคองนิรชาให้ลุกขึ้น แต่จังหวะหนึ่งมือก็ไปสัมผัสโดนเลือดที่ด้านหลังนิรชา ชายหนุ่มมองมือด้วยสีหน้าตกใจ
“คุณเนียร์”
ร่างนิรชาในอ้อมแขนทศนนท์ยังคงไม่ได้สติ แต่หายใจรวยรินเหมือนกำลังจะหมดลม ชายหนุ่มใจหายวาบ ตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
“ไม่...คุณเนียร์ คุณอย่าเป็นอะไรนะ ฟื้นสิ...”
นิรชาขยับเปลือกตาพยายามลืมตาขึ้นมาแต่ก็ไม่มีแรง ตาของเธอกลับหลับลงอย่างอ่อนแรง
“อย่าเพิ่งหลับนะคุณเนียร์ ผมจะพาคุณไปหาหมอ เข้มแข็งไว้นะคุณเนียร์ คุณได้ยินผมไหม”
ดวงตาของนิรชาปิดลงสนิท ทศนนท์มองอย่างตกใจ เขากอดนิรชาเข้ามาแนบอก
“คุณเนียร์ ไม่นะ ไม่”
พลันทศนนท์นึกถึงน้ำอมฤตที่ปรางทิพย์ให้มา
“คุณเก็บยานี้ไว้ให้ดีนะคะ เวลาเกิดเหตุจำเป็นจริงๆค่อยเอามาใช้”
เขารับมาแบบงงๆ “นี่ยาอะไรเหรอครับ”
“ยาสมุนไพรผสมกับน้ำอมฤตค่ะ ชาวเมืองเราจะปรุงยานี้ขึ้นแค่ปีละครั้งเท่านั้นในวันมหาปุรณมีและจะใช้ในยามจำเป็นเพื่อช่วยชีวิต แต่ยานี้ไม่สามารถชุบชีวิตใครได้ ถ้าเขาผู้นั้นถึงแก่อายุขัยแล้ว”
ทศนนท์มองขวดน้ำอมฤตอึ้งๆ ไม่เชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ
“ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรกับคุณ ให้คุณดื่มน้ำนี่นะคะ ทุกอย่างจะกลับมาปกติ”
ทศนนท์ดึงความคิดกลับมา ค่อยๆ วางร่างนิรชาลงกับพื้น หยิบขวดน้ำอมฤตจากระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ที่ร้านกาแฟ กฤตณี ศักดิ์และตาล นั่งนิ่งมองกระเป๋าสะพายใส่เอกสารของนิรชาที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมยัยเนียร์ถึงทำกระเป๋าหล่นไว้ที่ลานจอดรถหน้าสำนักงานทนายได้”
“โชคดีนะ ที่คนในสำนักงานทนายเขามาเจอเข้า ไม่งั้นทั้งเงินทั้งโทรศัพท์หายเกลี้ยง” ตาลว่า
“แต่ปกติเนียร์ไม่น่าสะเพร่าทำของสำคัญหล่นหายได้”
ศักดิ์ใจคอไม่ดี “หรือว่าจะเกิดเรื่องกับหนูเนียร์”
กฤตณีกับตาลมองหน้าศักดิ์ ใจไม่ดีพอกัน
พลันเสียงโทรศัพท์มือของกฤตณีก็ดังขึ้น สาวอวบเห็นเบอร์ที่โทร.เข้ามาเป็นชื่อ “ป้ามัท” ก็มีสีหน้าประหลาดใจ รีบกดรับสาย
“ค่ะป้ามัท”
มัทนาคุยสายกับกฤติณีอยู่ในโถงบ้านที่กรุงเทพฯ มีมาลีคอยฟังอยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“หนูคิตตี้ เนียร์อยู่กับหนูหรือเปล่าจ๊ะ ทำไมป้าติดต่อเนียร์ไม่ได้เลย”
กฤตณีหันมองกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพูดขึ้น
“เนียร์เข้าไปในเมืองแล้วทำกระเป๋าหล่นหายน่ะค่ะป้ามัท”
มัทนาตกใจ “ยายเนียร์เนี่ยนะทำกระเป๋าหล่นหาย”
“ใช่ค่ะ คนที่สำนักงานทนายเพิ่งเอามาคืนให้ แต่ป้ามัทไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ยัยเนียร์ไม่ได้ไปคนเดียว มีคุณทศนนท์ไปด้วย ไว้ใจได้ค่ะ”
“ยังไงป้ากับคุณยายก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี หนูช่วยโทร.เช็คให้ป้าทีได้ไหม”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวคิตตี้โทร.เช็คให้”
“ขอบใจจ๊ะ ได้ความยังไงโทรมาบอกป้าด้วยนะ”
“ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ”
กฤตณีกดวางสาย แล้วรีบกดโทร.ออกหาทศนนท์
มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น แต่ไม่มีคนรับสาย กฤตณีนิ่งรอด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง
ตาลและศักดิ์ที่คอยฟังอยู่ด้วย นิ่งมองกฤตณีสีหน้าเป็นกังวล
“เป็นไง ติดต่อได้ไหมลูก”
“ไม่มีคนรับสายค่ะแม่”
ทั้ง 3 คนมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ทางด้านทศนนท์ประคองนิรชาขึ้นมา
“คุณเนียร์ แข็งใจหน่อยนะครับ จิบยานี่ จะช่วยให้ดีขึ้น”
ทศนนท์จับปากนิรชาให้อ้าออก แล้วเทน้ำอมฤตใส่ปากเธอครึ่งขวด เขานิ่งมองอาการนิรชามองลุ้นให้เธอกลืนมันลงไป
“กลืนลงไปคุณเนียร์ คุณต้องกลืนมันลงไป”
นิรชากลืนน้ำอมฤตลงคอไป
ทศนนท์โล่งใจ จับตัวนิรชาให้คว่ำหน้ามาซบพิงที่ไหล่ของตน ใช้มือดึงเสื้อที่เป็นรูกระสุนปืนให้ขาดกว้างออก ให้เห็นแผลชัดเจน จากนั้นก็ใช้น้ำอมฤตส่วนที่เหลือเทลงไปที่แผลช้าๆ มองอย่างตกตะลึง
แผลถูกยิงกลางหลังนิรชามีควันลอยพวยพุ่งออกมา พริบตาเดียวเท่านั้นก็เผยให้เห็นผิวหนังที่เรียบเนียนเหมือนไม่เคยมีแผลถูกยิงมาก่อน ทศนนท์มองอย่างอัศจรรย์ใจ
นิรชาเริ่มรู้สึกตัว ขยับเหมือนจะลุกขึ้น ทศนนท์ประคองนิรชาให้นั่งสบายๆ
นิรชานิ่วหน้า นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
เธอถูกยิงดัง “เปรี้ยง!” เข้าที่กลางหลังเลือดท่วม ก่อนจะล้มหน้าคว่ำลงที่พื้น
สิงห์กับศรชัยรีบวิ่งเข้ามาดู นิรชาพลิกตัวหันกลับมาสีหน้าอ่อนแรง นิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดพยายามจะลุกขึ้น
สิงห์ตามเข้ามายิงซ้ำที่หน้าอกด้านซ้ายอีกหนึ่งนัด “เปรี้ยง!”
นิรชาจำได้ ผวาตัวโผเข้ากอดทศนนท์ด้วยความตกใจ
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วยๆ มีคนจะฆ่าฉัน ช่วยฉันด้วย...”
ทศนนท์กอดร่างอันสั่นเทาด้วยความกลัวของนิรชา ลูบผมเบาๆ พูดปลอบขวัญ
“คุณปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไรแล้วครับคุณเนียร์”
นิรชามองไปรอบๆ ตัว ไม่เห็นคนร้ายที่ฆ่าเธอแล้ว จึงผละออกจากอ้อมกอดของทศนนท์
“เมื่อกี้มีคนตามฆ่าฉัน”
“ผมรู้ครับ พวกมันหนีไปแล้ว”
นิรชาเห็นที่แขนทศนนท์มีเลือดออก ก็ตกใจ
“คุณก็ถูกยิงเหมือนกัน”
ทศนนท์มองแผลที่แขนตน
“ผมไม่เป็นไร แค่โดนถากๆ เท่านั้น”
นิรชามองดูแผลที่แขนทศนนท์แล้วก็เห็นจริงอย่างที่พูด ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ฉันจำได้ว่าฉันถูกยิงที่หลัง แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกเจ็บเลย”
นิรชาเอี้ยวตัวดูที่หลังและเอามือแตะเหมือนต้องการเช็คให้แน่ใจ
ทศนนท์เห็นท่าทีนิรชาแล้วนึกขำ
“คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่ผมว่าคุณน่าจะไปโรงพยาบาลตรวจดูสักหน่อย”
“ฉันไม่เป็นไร ไม่รู้สึกเจ็บตรงไหนเลย คุณนั่นแหละที่ต้องไปหาหมอ ไปค่ะ เดี๋ยวฉันพาคุณไปเอง”
นิรชาลุกขึ้นพยุงทศนนท์ให้ลุกขึ้น
“ค่อยๆ นะคะ ดูสิคุณเลือดออกด้วย”
ทศนนท์ลุกตาม ยิ้มชื่นมองความเอาใจใส่ของนิรชาที่มีต่อตนอย่างสุขใจ
ฟากปรางทิพย์และบัวคำ พากันเดินมาหยุดที่หน้าบ้านพักทศนนท์ หารือกันอย่างเป็นกังวล
“แม่หญิงคิดว่า บุษบาลาวัณย์กับเจ้าแม่เนตรมายามีส่วนเกี่ยวข้องกันกระนั้นรึ”
“ใช่ มิเช่นนั้นคุณทศจะไปปรากฏตัวที่สำนักของนางได้อย่างไร”
“แล้วเราจะช่วยคุณทศได้อย่างไรเล่าแม่หญิง”
“ข้าจักต้องพาเขาไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย”
“เมื่อวานแม่หญิงก็กล่าวเช่นนี้ แต่คุณทศกลับมิยอมไป”
“เพื่อความปลอดภัย อย่างไรข้าจักต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้จงได้”
ปรางทิพย์กดกริ่งที่หน้าประตูบ้านพักทศนนท์
สักพักพีรพรก็ออกมาเปิดประตูบ้าน สีหน้าแปลกใจ
“อ้าว...สวัสดีครับคุณปราง วันนี้พี่ทศไม่อยู่ครับ”
ปรางทิพย์มีสีหน้าตกใจ “ไปไหนหรือคะ”
“พี่ทศเข้าไปในเมืองน่ะครับ”
ระหว่างนี้รถยนต์ของกฤตณีขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพัก ทุกคนหันไปมอง กฤตณีรีบลงรถมาหน้าตาตื่น ร้องบอกพีรพรอย่างร้อนรนใจ
“คุณพี คุณทศถูกยิง ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
สองสาวมองหน้ากัน พีรพรตกใจ “อะไรนะ พี่ทศถูกยิงเหรอ”
ปรางทิพย์ถามกฤตณีอย่างร้อนใจ “คุณทศเป็นอะไรหรือเปล่า
“น่าจะไม่เป็นไรมากค่ะ ตอนนี้ทำแผลอยู่ที่โรงพยาบาลในเมือง คิตตี้กำลังจะไปเยี่ยม”
“ผมไปด้วย รอเดี๋ยวนะ ขอหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์แป๊บ”
พีรพรรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ปรางทิพย์และบัวคำหันมองหน้ากันตกใจ
ปรางทิพย์พูดกับบัวคำเบาๆ พอได้ยินกัน 2 คน “เขาไม่ได้เอาติดตัวไปด้วยหรือ”
“นั่นสิ”
ไม่นานนัก พีรพรก็วิ่งกลับออกมาสมทบ
“ไปครับ ผมพร้อมแล้ว”
“คุณปรางกับพี่บัวคำไปด้วยกันไหมคะ”
สองสาวมองหน้ากฤตณีและพีรพรที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่
ส่วนที่บ้านทรงกลดในเวลาเดียวกันนี้ ทรงกลดนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องทำงาน นิ่งมองสิงห์ ขจรและศรชัย รายงานเรื่องงานที่เขาสั่งให้ไปทำ อย่างพึงพอใจ
“ดีมาก”
ทรงกลดหยิบซองเงินออกมา 3 ซอง วางลงที่โต๊ะ ตรงหน้าใครมัน
“เอ้านี่ รางวัลของพวกแก ซองใหญ่เป็นของไอ้สิงห์”
สามคนหยิบซองเงินยิ้มหน้าบานประสานเสียงขอบคุณ
“ขอบคุณครับนาย”
ทรงกลดกำชับกับสิงห์ว่า “ช่วงนี้แกหนีไปเก็บตัวสักพักนะไอ้สิงห์ รอให้เรื่องนังครูนั่นเงียบเมื่อไหร่ แกค่อยกลับมา”
“ครับนาย”
ทรงกลดยิ้มชั่วออกมาเต็มหน้าหล่อๆ อย่างสาสมใจ
ภายในโรงพยาบาลในตัวเมืองเวลานี้ มีคนไข้ รวมทั้งหมอและพยาบาลเดินกันขวักไขว่วุ่นวายได้ที่
นิรชาเพิ่งตรวจร่างกายเสร็จ และกำลังนั่งรอทศนนท์ที่ทำแผลอยู่บนเตียงคนไข้ข้างๆ กัน มีม่านกั้นเอาไว้ กระทั่งม่านเปิดออก พยาบาลเดินออกมาพร้อมกับเครื่องมือทำแผล นิรชาจึงลุกเดินเข้าไปหาทศนนท์
“เป็นไงบ้างคะคุณทศ”
“สบายมากครับ แค่เย็บไม่กี่เข็มเอง” เขายิ้มให้เธอ
“ยังจะยิ้มได้อีก คุณต้องมาเจ็บตัวเพราะฉันแท้ๆ”
“แค่โดนถากๆ เท่านั้น ไม่กี่วันก็หาย”
“ดีนะคะแค่โดนถากๆ ถ้าโดนเต็มๆ อย่างฉันล่ะก็” นิรชานึกขึ้นได้ “จริงสิ ฉันยังจำความรู้สึกตอนโดนยิงได้อยู่เลย แต่ทำไมคนที่เจ็บกลับกลายเป็นคุณ ส่วนฉันไม่เป็นอะไรเลย”
“คงเป็นเพราะกระสุนโดนของที่อยู่ที่กระเป๋าเสื้อคุณน่ะสิ”
นิรชาหยิบใบไม้ทองคำในกระเป๋าเสื้อออกมาดู แล้วเก็บมันไว้ตามเดิม
“อันนี้ฉันพอจะเข้าใจ แต่คุณเห็นรอยเลือดที่เสื้อด้านหลังฉันไหม”
นิรชาหันหลังให้ดู มีรอยเลือดเลอะเต็มด้านหลัง และมีรูโหว่ที่เสื้อ ทศนนท์ถอดเสื้อนอกออกมาคลุมให้นิรชา พูดสัพยอกเบนเรื่องไป
“ปิดๆ ไว้หน่อยดีกว่า ผมเห็นเสื้อในคุณหมดแล้ว”
นิรชาเขินจนหน้าแดง ก่อนจะพูดแก้เขินออกมา
“เสื้อฉันขาดเป็นรูกระสุน แถมเลือดยังเลอะเต็มหลัง ใครดูก็รู้ใช่ไหมว่าฉันต้องบาดเจ็บ แต่แปลกจัง ทำไมแผลสักนิดก็ไม่มี”
“ผมก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่เห็นคุณตอนโดนยิง” เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วนี่ตำรวจมาสอบปากคำคุณหรือยัง”
“มาแล้ว ตอนที่ตำรวจถามฉันเรื่องอาการบาดเจ็บ ฉันก็ตอบเขาไม่ถูกเหมือนกัน แต่คุณสิ มาช่วยฉันกลับเจ็บมากกว่า...ขอบคุณนะคะ ถ้าฉันไม่ได้คุณช่วยไว้ ฉันคงแย่”
ทศนนท์ยิ้มมองนิรชา
หมอปรัชญาเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวายใจ จนกระทั่ง กฤตณี ปรางทิพย์ พีรพร และบัวคำ เดินเข้ามาสมทบ
“เป็นยังไงบ้างคะ ออกมากันหรือยัง” คิตตี้ถาม
“ยังเลยครับ ผมได้ยินว่าถูกยิงทั้งคู่”
กฤตณีอึ้งไป “ยัยเนียร์ด้วยเหรอคะ แล้วป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างเนี่ย”
ระหว่างนี้เอง นิรชาประคองทศนนท์เดินออกมา ทุกคนกรูเข้าไปหาทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วง
ปรางทิพย์ถามทศนนท์เร็วปรื๋อ “เป็นยังไงบ้างคะคุณทศ”
“แค่กระสุนถากที่แขนครับ ไม่เป็นไรมาก”
“โห หนังเนียวจริงนะพี่ ไอ้ผมก็ตกใจ คิดว่าโดนหนัก” พีรพรเย้า
ทศนนท์ยิ้มขำ “ผิดหวังล่ะสิ”
“โถ่พี่ พูดซะเสียกำลังใจ คนอุตส่าห์รีบมาด้วยความเป็นห่วง”
นิรชามองปรางทิพย์ยิ้มทัก ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวออกห่างทศนนท์ ซึ่งทศนนท์รับรู้ได้
“แล้วนี่รู้กันได้ยังไงคะว่าเรามารักษาตัวกันอยู่ที่นี่”
“เพื่อนผมที่ประจำอยู่ที่นี่โทร.บอก ทันทีที่รู้ผมก็รีบบึ่งรถมาเลย” หมอบอก
“แกรู้ไหมเนียร์ว่าฉันตกใจมากขนาดไหน ไหนดูสิถูกยิงตรงไหน”
กฤตณีมองตามตัวเพื่อนว่ามีบาดแผลตรงไหน จนเห็นคราบเลือดที่ติดอยู่ที่ปลายเสื้อนิรชา เธอขยับเสื้อคลุมที่ไหล่นิรชาออกดู
“นี่แกถูกยิงที่หลังเหรอเนียร์”
ปรัชญาตกใจ “จริงเหรอ”
กฤตณีมองที่หลังนิรชาไม่เห็นมีรอยแผลออะไร นอกจากเสื้อที่ขาดก็งงเป็นไก่ตาแตก
“อ้าว ไหงไม่มีแผลล่ะ”
“ฉันก็งงอยู่เหมือนกัน จริงๆ ฉันก็คิดว่าฉันถูกยิงนะ แต่ทำไมกลายเป็นคุณทศก็ไม่รู้”
ปรางทิพย์หันมองทศนนท์เชิงถาม ทศนนท์สบตาวูบ
ตำรวจท้องที่เดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ขอโทษครับ คุณทศนนท์หรือเปล่าครับ”
“ครับ ผมเองครับ”
“รบกวนขอสอบปากคำสักครู่นะครับ”
“ครับ ได้ครับ”
ทศนนท์รีบเดินตามตำรวจออกไป
ปรางทิพย์และบัวคำมองหน้ากันอย่างสงสัย จู่ๆ ปรางทิพย์ก็เบิกตาโตนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร ใจหายวับด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียคนรักไป
ปรางทิพย์ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างหมดแรง บัวคำรีบเข้ามาประคอง
นิรชาตกใจ “คุณปรางเป็นอะไรไปคะ”
ปรางทิพย์เงยหน้ามองนิรชา ก่อนจะหันไปมองทศนนท์ที่เดินตามตำรวจไป น้ำตาคลอๆ ด้วยความเสียใจ มั่นใจแล้วว่าทศนนท์ใช้น้ำอมฤตช่วยชีวิตนิรชา
อีกฟาก ที่ห้องนอน บนสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์
เนตรมายาแต่งตัวสวยงามในลุคใหม่ เธอกำลังมองตัวเองในกระจกแล้วยิ้มอย่างมีความหวัง
“คุณทศ คุณไม่ชอบฉันที่เป็นเหมือนแม่มดหมอผี ฉันก็เปลี่ยนให้คุณได้ ดูซิคุณจะหันมามองฉันบ้างไหม”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เนตรมายากดรับ ถามรัวๆ เป็นชุด
“อะไรนะ คุณทศถูกยิง ที่ไหน ใครเป็นคนยิง นี่มันอะไรกัน คุณทศจะมีศัตรูทั้งคนทั้งผีเลยหรือไง...โรงพยาบาลในเมือง ได้..ไปเจอกันที่นั่นเลย”
เนตรมายารีบหันไปคว้ากระเป๋าเพื่อจะไปเยี่ยมทศนนท์ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใครบางคน
บุษบาลาวัณย์ยืนขวางทางเนตรมายาอยู่
“ถึงไป เจ้าก็ช่วยอะไรชายผู้นั้นไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ฉันมีคาถาอาคม ต้องช่วยปัดรังควานนังผีร้ายออกไปจากชีวิตคุณทศได้แน่”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มเยาะ “คาถาอาคมพวกนั้นทำอะไรนางไม่ได้หรอก เจ้าต้องหาวิธีไม่ให้นางเอาตัวนายทศไป ไม่งั้นเขาจะไม่ได้กลับมาอีกเลย”
“ไม่เห็นต้องมาบอก เรื่องนั้นฉันต้องทำอยู่แล้ว”
“เจ้าทำคนเดียวหรือ หากทำได้เจ้าคงทำสำเร็จไปนานแล้ว ตอนนี้เจ้าต้องให้ข้าช่วย มิเช่นนั้นก็อย่าหวังจะชนะนางปรางทิพย์มณฑาทองได้”
เนตรมายาสะดุดหูกับชื่อเรียกนั้นอีกครั้ง
“ปรางทิพย์มณฑาทอง มันเป็นใครกันแน่”
เนตรมายาจ้องหน้าบุษบาลาวัณย์อย่างต้องการคำตอบ อีกฝากกระตุกยิ้มร้ายๆ ที่มุมปาก
พีรพรขับรถเข้ามาจอดที่ข้างตัวบ้านปรางทิพย์ ทศนนท์ลงจากรถมาเปิดประตูให้ปรางทิพย์และบัวคำ
สองสาวลงจากรถ ปรางทิพย์มองทศนนท์ด้วยใบหน้าบึ้งตึงจนเขาเหวอ ก่อนจะหันไปถามบัวคำงงๆ
“นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ”
“ยังไม่รู้ตัวอีกหรือคะคุณทศ คุณนี่ช่างไม่รู้อะไรเลย”
บัวคำรำคาญ ปลีกตัวเดินเข้าบ้านไปก่อน
พีรพรบ่นบ้าอยู่ในรถ เมื่อเห็นสถานการณ์มาคุ
“งานเข้าแล้วไงพี่ พิษรักแรงหึงของผู้หญิง ผมบอกแล้วให้เลือกสักคนก็ไม่เชื่อ กลับกันเลยไหมพี่”
“นายกลับไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะกลับฉันจะโทร.หาอีกที”
พีรพรตะโกนแซว “เช้าก็ไล่ เย็นก็ไล่ ใช่ซี้ ผมมันไม่ได้อยู่ในโลกทั้งสองใบของพี่นี่” ทศนนท์ขึงตามองเอ็ด “โอเค ผมกลับไปก่อนแล้วกันนะพี่ ผมไปนะครับคุณปราง”
รอจนเห็นรถที่พีรพรขับแล่นพ้นไป ทศนนท์จึงหันมาหาปรางทิพย์ แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร เธอก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียว
“ฉันบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าให้ใช้น้ำอมฤตในยามฉุกเฉินเท่านั้น และให้เก็บเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้เด็ดขาด”
“แต่ตอนนั้นมันฉุกเฉินจริงๆ นะครับ ครูเนียร์กำลังจะตาย ผมก็เลยต้องช่วย”
“คุณไม่คิดถึงผลที่จะตามมาเลยหรือไง ถ้าครูเนียร์ไปบอกเรื่องนี้กับคนอื่น เมืองของเราอาจต้องตกอยู่ในอันตราย”
“ครูเนียร์ไม่ใช่คนแบบนั้น เขาไม่มีทางเอาความลับของคนอื่นไปบอกใคร”
ปรางทิพย์ตัวชาเมื่อได้ยินทศนนท์ออกตัวปกป้องนิรชาจนออกนอกหน้า เธอผลุนผลันเดินเข้าบ้านไปด้วยความน้อยใจ
ทศนนท์มองตามหน้าเครียดจัด
ปรางทิพย์เดินเข้ามาในห้องรับแขกทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ยังขุ่นเคืองใจไม่คลาย จนบัวคำเดินถือน้ำตะไคร้เย็นออกมาวางที่โต๊ะ
“ดื่มน้ำให้เย็นใจก่อนเถิดแม่หญิง”
ปรางทิพย์เสียงสั่น น้ำตาคลอๆ “คุณทศกำลังเปลี่ยนไป”
“แล้วแม่หญิงจักทำเช่นไร”
“ข้าคงต้องเร่งให้เขาจดจำเรื่องราวในอดีตให้ได้เร็วขึ้น”
บัวคำคิดตาม “นี่ก็จวนครบสองขวบปี ที่แม่หญิงได้รับการปลดปล่อยแล้ว หากล่าช้ากว่านี้ ประตูเมืองอาจต้องถูกปิดตาย คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้าตลอดไป”
ปรางนิ่งคิดตามสีหน้าเครียดเคร่ง
ทศนนท์เดินเข้ามาทันได้ยินพอดี
“มันคืออะไรกันครับ ผมต้องจำอะไรได้เหรอ แล้วทำไมประตูเมืองต้องถูกปิดตาย”
สองสาวหันไปมองทศนนท์ ตกใจทั้งคู่
ปรางทิพย์ลุกเดินมาหาเขา ทศนนท์มองจ้องปรางทิพย์นิ่งๆ แววตาเต็มไปด้วยคำถาม
ปรางทิพย์เดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าทศนนท์ ยื่นมือไปจับมือเขาเอาไว้ ทั้งสองมองประสานสายตากันนิ่งนาน
สองคนย้อนกลับในเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต
เวลานั้นเทศได้เปลี่ยนชุดขาวกลับมาเป็นชุดชาวลับแลแล้ว และกำลังจะถูกทหารนำตัวไปหาสุบรรณเหรา ปรางทิพย์เข้ามาขวางไว้
“ท่านพ่อ ไปโปรดอย่าทำเช่นนี้เลย”
“ชายผู้นี้ได้กระทำผิด และยินยอมรับผิดที่ได้ก่อไว้โดยมิมีข้อแม้ใดๆ อีกทั้งความผิดที่กระทำก็ถือว่าผิดทั้งศีลแลข้อห้ามของบ้านเมืองเรา ท่านสุบรรณเหราจะเป็นผู้ตัดสินความผิดของเขาเอง”
ปรางทิพย์ใจหาย เข้าใจว่าเทศต้องรับโทษโดยการเนรเทศออกจากเมืองเป็นแน่
“ท่านก็รู้ว่าเหตุที่พี่เทศต้องผิดศีล ก็เพื่อปกป้องผู้อื่น หาได้กระทำเพื่อตนเองไม่ หากเจตนาอันบริสุทธิ์ของพี่เทศนั้นถือเป็นความผิดที่มิอาจให้อภัยได้ ข้าก็จักขอความเมตตาจากท่านสุบรรณเหรา ให้ข้าได้ออกไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์กับพี่เทศ”
“ด้วยความรักของข้าที่มีต่อแม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทอง ข้ายอมสละแล้วทุกอย่าง กระทั่งช่วงชีวิตที่เหลืออยู่บนเมืองมนุษย์ เพื่อแลกกับการได้อยู่ครองคู่กับนาง”
สุริยเดชอยู่หัวเราะขึ้นอย่างเย้ยหยัน ไม่เชื่อในน้ำคำของเทศ
“เจ้ายินยอมถึงเพียงนั้นเทียวหรือ ชีวิตที่ปราศจากกิเลสมาหล่อเลี้ยง มันไม่หอมหวานเหมือนที่เจ้าเคยเจอในเมืองมนุษย์หรอกนะ”
ช่อทิพย์วิมาดามองหน้าเทศ “ข้าเชื่อมั่นว่าว่าเจ้ามีความรักและความจริงใจต่อลูกข้าอย่างแท้จริง เพราะเจ้าได้แสดงให้พวกเราได้ประจักษ์ชัดแจ้งแล้ว ส่วนเรื่องผิดศีลที่เกิดขึ้น หากมองจากเจตนาอันดี ข้าคิดว่าเจ้ายังมีจิตใจที่บริสุทธิ์อยู่”
สุริยเดชฮึดฮัด ไม่พอใจ
“ถ้าเช่นนั้นจะช้าอยู่ใย ก็ให้ท่านสุบรรณเหราเป็นผู้ตัดสิน”
“หากจิตใจของเจ้ามั่นคงต่อลูกของข้าจริง ก็ต้องพิสูจน์ให้ท่านสุบรรณเหราเห็น” จอมจักราบอก
เทศพยักหน้ารับเอาคำ บอกกับปรางทิพย์อย่างมั่นใจ
“ขอรับท่านพ่อเมือง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง กลับไปรอข้าอยู่ที่บ้าน”
“พี่เทศ...”
จอมจักราเดินนำไป ทหารคุมตัวเทศตามไปติดๆ ปรางทิพย์มองตามคนรักตาละห้อย ทั้งกังวลและห่วงใยสุดจะประมาณ
ในเวลาต่อมา ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของปรางทิพย์ดังมาจากชานเรือนท่านจอมจักรา
“ไม่นะ พี่เทศเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา อย่าทำเช่นนี้กับพี่เทศเลยนะเจ้าคะ ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยพี่เทศด้วยเถิดเจ้าค่ะ อย่าทำเช่นนี้เลย พี่เทศ หนีไปเถิด ออกไปจากที่นี่ ได้โปรดหนีไป”
ปรางทิพย์ร้องไห้ไม่หยุดเป็นที่น่าเวทนา เทศมองหญิงคนรักด้วยสายตาแน่วนิ่ง ไม่หวั่นกลัวใดๆ
“ข้ามิเป็นไรดอกแม่หญิง หากจักตาย ข้าก็ขอตายเพื่อพิสูจน์ความรักอันแท้จริงของเรา”
“หากจิตใจของเจ้ามั่นคง จงเชื่อมั่นแลอย่าได้หวาดกลัวต่อสิ่งใด” จอมจักราบอกเทศ
ช่อทิพย์วิมาดาเสริมว่า “สิ่งที่ท่านสุบรรณเหรากระทำ ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผล เจ้าจงเชื่อ เหมือนดั่งที่ชาวเราทุกคนในเมืองลับแลเชื่อ”
เทศพยักหน้ารับเอาคำ ก่อนจะหันมองปรางทิพย์ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
“ข้าเชื่อว่าความจริงใจของข้า จักต้องข้ามผ่านทุกสิ่งทุกอย่างไปได้”
เทศมองจ้องหน้าปรางทิพย์ด้วยสายตาลึกซึ้ง
ที่ลานทดสอบ ค่ำคืนนั้น เปลวไฟอาคมลุกโชนอยู่ตรงหน้าเทศ เขามองเปลวไฟนั้นด้วยสายตาแน่วนิ่ง จู่ๆ ปรางทิพย์ก็ดพล่งขึ้น
“หากต้องตาย เราจักตายด้วยกัน”
พร้อมกับว่าเธอเดินเข้าไปยืนเคียงข้างเทศจับมือที่วางอยู่ข้างลำตัวคนรักกุมเอาไว้ พร้อมจะเดินเข้าไปในกองเพลิงด้วยกัน
จอมจักราและช่อทิพย์วิมาดาตกใจ เทศมองหน้าปรางทิพย์อย่างคาดไม่ถึง
ที่สำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์
เนตรมายาพยักหน้ารับเอาคำ เมื่อรับฟังสิ่งที่บุษบาลาวัณย์เล่าจนจบแล้ว
“นังนั่นไม่ใช่ผี หรือปีศาจธรรมดา มันเป็นถึงลูกสาวเจ้าเมืองลับแล มิน่าฉันถึงกำจัดมันไม่ได้สักที”
“แต่ถ้าหากพวกเราร่วมมือกัน ข้ามั่นใจว่าต้องกำจัดนางได้แน่”
แม่หมอจอมอาคมและสาวลับแลตัวแสบสบตากัน เหมือนเป็นสัญญาว่าตกลง
ส่วนที่ร้านกาแฟร้านขายของบ้านศักดิ์
มัทนาและมาลี คอยชะเง้อคอมองออกไปหน้าร้านอย่างเป็นห่วงและร้อนใจ
“ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง ฉันเป็นห่วงเด็กๆ จริงๆ เลยค่ะคุณตาล” มัทนาว่า
“คงไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณมัท คิตตี้ก็โทร.มาบอกแล้วว่าหนูเนียร์ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย”
“นี่ถ้ารู้ก่อนว่าคุณมัทกับคุณมาลีจะมา ผมคงบอกให้พวกคุณแวะไปหาหนูเนียร์ที่โรงพยาบาลในเมืองก่อนแล้ว”
“พอดีคุณแม่รู้สึกไม่ดีน่ะค่ะ กลัวว่าหลานจะมีอันตรายก็เลยรีบมากันเลย”
“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่มารบกวน โดยไม่แจ้งก่อนล่วงหน้า” มาลีบอกอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราคนกันเองอยู่แล้ว พวกเราต่างหากที่ต้องขอโทษที่ดูแลหนูเนียร์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร” ตาลบอก
“เรื่องที่เกิดไม่ใช่ความผิดของใครหรอกค่ะ มันเป็นชะตาที่เขาจะต้องเผชิญ” คุณยายว่า
ศักด์และตาลชะงัก มองมาลีอย่างประหลาดใจ
รถของกฤตณี และรถปรัชญาวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านไล่ๆ กัน ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน
นิรชา กฤตณีและปรัชญาเดินเข้ามา พอมองเห็นมัทนาและมาลีนั่งรออยู่ต่างก็ตกใจ รีบเดินเข้าไปหาไหว้ทักทั้งสองท่าน
“สวัสดีค่ะคุณแม่ คุณยาย”/ “สวัสดีครับ คุณแม่ คุณยาย” / “สวัสดีค่ะคุณป้า คุณยาย”
มัทนาและมาลีรับไหว้ทุกคน มัทนาเดินเข้าไปสวมกอดลูกสาว จับตัวนิรชาอย่างสำรวจตรวจตราโดยที่มาลีก็คอยมองหลานสาวอย่างห่วงใยเช่นกัน
“เป็นยังไงบ้างบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก พอแม่กับยายมาถึงแล้วรู้ข่าวว่าหนูอยู่ที่โรงพยาบาล แม่กับยายแทบจะเป็นลม”
“เนียร์ไม่เป็นอะไร ไม่บาดเจ็บตรงไหนเลยค่ะแม่ ดูสิคะ ยังแข็งแรงสบายดี” นิรชายิ้มให้
“แล้วนี่แจ้งตำรวจกันไปหรือยัง” มัทนาถาม
“ตำรวจมาสอบปากคำไปเรียบร้อยแล้วครับ ส่วนที่เหลือก็รอแค่ให้ตำรวจตามจับมือปืนและสืบว่าใครเป็นคนบงการเรื่องนี้” หมอบอก
“เจอขนาดนี้แล้ว ช่วงนี้พวกเราคงต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
“จริงยัยเนียร์ ต่อไปนี้ห้ามออกไปไหนมาไหนคนเดียวเป็นอันขาดนะ” คิตตี้ว่า
“หรือจะกลับไปอยู่บ้านเราสักพักไหมลูก เพื่อความปลอดภัย”
“แต่เนียร์ยังมีเรื่องที่ต้องทำ ไหนจะเรื่องของชาวบ้าน ถ้าเนียร์หนีไปแล้วพวกชาวบ้านล่ะคะ”มัทนาและมาลีพยักหน้าเข้าใจ กระทั่งตาลพูดตัดบทขึ้น
“เอาล่ะๆ ปล่อยให้หนูเนียร์เข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหมคะ ดูสิมอมแมมจนดูไม่ได้แล้ว”
“ใช่ๆ เดี๋ยวอีกสักพักค่อยออกมากินข้าวด้วยกัน”
นิรชาหันมองมาลีแล้วพูดขึ้น
“คุณยาย ไปกับเนียร์หน่อยนะคะ เนียร์มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
มาลีนิ่วหน้ามองนิรชา
ยายหลานคุยกันอยู่ที่โต๊ะบริเวณหลังร้าน นิรชาหยิบใบไม้ทองคำออกมาขณะเอ่ยขึ้น
“ที่หนูรอดมาได้เป็นเพราะใบไม้ทองคำที่คุณยายให้ไว้ค่ะ”
มาลีนิ่งมองคลี่ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับรู้
“หนูสงสัยว่าทำไมมันสามารถกันกระสุนได้ ต่อให้เป็นทองคำก็เถอะ มันก็น่าจะมีร่องรอยของกระสุนที่ตัวหนูบ้าง เพราะหนูจำได้ว่ามือปืนนั่นมันจ่อยิงหนูเต็มๆ”
“ใบไม้ทองคำนี้มีพลังพุทธคุณที่สามารถช่วยคุ้มครองคนดีให้ปลอดภัยได้”
“งั้นที่หนูโดนยิงที่หลังแล้วไม่เป็นอะไรเลย ก็คงเพราะพลังของใบไม้ทองคำเหมือนกันนี่เอง”
มาลีฟังแล้วแปลกใจ “หนูถูกยิงที่หลังด้วยเหรอ”
“ค่ะ โดนยิงเข้าที่กลางหลังนี่เลย หนูคิดว่าหนูจะตายแล้วซะอีก”
นิรชาถอดเสื้อคลุมของทศนนท์ออก เผยให้เห็นเสื้อเปื้อนเลือดที่ด้านหลังของเธอ
มาลีจ้องมองแล้วเห็นที่เสื้อเป็นรอยขาดจนเผยให้เห็นด้านหลังของนิรชา ที่ไม่มีร่องรอยของแผลเลยสักนิด เธอนิ่งมองมันอย่างสงสัย
“เลือดที่เปื้อนเสื้อนี้มาจากไหน”
“น่าจะเป็นเลือดของหนูเองค่ะคุณยาย เพราะหนูจำได้ชัดเลยว่าโดนเข้าที่กลางหลังเต็มๆ”
“ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าจะยิงไม่เข้า ก็ต้องไม่มีเลือดออก แต่นี่...”
มาลีทักท้วง นิ่งคิดอย่างรู้สึกตกใจ
“ตอนหนูโดนยิงมีใครที่อยู่กับหนูหรือเปล่า”
“คุณทศค่ะ คุณทศมาช่วยหนูเอาไว้”
“คุณทศคือใคร”
นิรชานึกถึงทศนนท์แล้วยิ้มเยื้อนบางๆ ออกมา โดยไม่รู้ตัว มาลีนิ่งมองท่าทีนั้นอย่างใช้ความคิด
ที่เมืองลับแล เปลวไฟลุกโชนโหมแรง เทศและปรางทิพย์จับมือกันเดินเข้าไปในกองไฟ ปรางทิพย์หันมองเทศน้ำตาไหลริน สวมกอดเขาด้วยความรัก ทั้งคู่กอดประคองกันแน่นอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง
จู่ๆ มีลมพัดอย่างรุนแรงจากเบื้องบนจนไฟดับมอดลงในพริบตา ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ใบไม้ทองคำร่วงหล่นลอยคว้างลงมา
เทศหงายมือออกไปรองรับ ใบไม้ทองคำ ร่อนลงวางนิ่งสนิทอยู่บนฝ่ามือของเทศ เห็นท่านสุบรรณเหราเจ้าของผลงานกระพือปีกบินจากไป พร้อมเสียงประกาศดังกึกก้องไปทั่วลานนั้น
“บัดนี้ เจ้าได้กลายเป็นคนเมืองลับแลอย่างสมบูรณ์แล้ว”
จอมจักราและช่อทิพย์วิมาดายิ้มออกมาได้ มองทั้งสองคนด้วยความดีใจ ปรางทิพย์เต็มตื้นน้ำตาไหลรินออกมา เธอและเทศคุกเข่าลงก้มกราบท่านสุบรรณเหรา ด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
บนเรือนบ้านท่านจอมจักรา ในวันต่อมาวุ่นวายโกลาหลได้ที่
มัลลิกานารี บัวคำพิลาศ และเรณูศจี ถือตะกร้าใบตองและดอกไม้ขึ้นเรือนมา
มัลลิกานารีและเรณูศจี แยกเอาใบตองมาสมทบกับเหล่าสาวใช้ที่กำลังช่วยกันทำพานบายศรีกันอยู่ที่ชานเรือน ส่วนบัวคำถือตะกร้าดอกไม้ไปที่กลุ่มหญิงสาวอีกวงก็กำลังช่วยกันเด็ดกลีบดอกกุหลาบหลากสีใส่ขันเงินและทองไว้เป็นจำนวนมาก
ช่อทิพย์วิมาดาและจอมจักรา เดินออกมามองดูทุกคนที่ช่วยกันจัดเตรียมงานแต่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก็พลอยเป็นสุข อิ่มเอมใจไปด้วย
“ท่านพี่ ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกเราถึงมีความปรารถนาเช่นนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่งานเล็กๆที่เรียบง่าย ข้าก็เชื่อมั่นว่าจะต้องอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักเป็นแน่” ท่านแม่เมืองว่า
พระอาทิพย์โผล่พ้นขอบฟ้าเมืองลับแลในยามเช้าอันสดใส เห็นเหล่านกกาโบยบินออกจากรังไปหากิน
ในห้องแต่งตัวบนเรือนท่านจอมจักรายามนี้ ปรางทิพย์ในชุดเจ้าสาวสีแดงสวยงาม นั่งยิ้มมองตนเองอยู่ที่หน้ากระจกเงาอย่างชื่นชมและเปี่ยมสุข
มัลลิกานารีและบัวคำพิลาส ซึ่งช่วยกันแต่งตัวให้ พากันชื่นชมอยู่ข้างๆ มีความสุขไปด้วย
“ปรางทิพย์มณฑาทอง เจ้าเป็นเจ้าสาวที่งามที่สุดตั้งแต่ข้าเคยเห็นมา”
“งามจริงๆ ช่างงามยิ่งกว่าแม่หญิงใด” บัวคำเสริม
ปรางทิพย์ยิ้มปลาบปลื้มกับคำยกยอของสองสาว
“ขอบน้ำใจท่านทั้งสอง ความสุขย่อมทำให้คนเรางามขึ้นกว่าเดิมได้”
ช่อทิพย์วิมาดาเปิดประตูห้องเดินยิ้มเข้ามา พร้อมกับเรณูศจีซึ่งอยู่ในชุดนางรำ
“เป็นอย่างไรบ้าง แต่งตัวกันเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”
“วันนี้แม่หญิงช่างงดงามยิ่งนัก” เรณูศจีชมจากใจ
ปรางทิพย์ยิ้มรับ “ขอบน้ำใจจ้ะ”
“แต่แม่ว่าลูกยังขาดบางอย่างไป”
ปรางทิพย์มองกระจกเงาอย่างสงสัย “ขาดอะไรหรือท่านแม่”
ท่านแม่เมืองเอื้อมมือไปหยิบสร้อยคอออกมาจากผอบที่เรณูศจีถืออยู่ละเปิดออกให้
“ยังขาดสร้อยคอรับขวัญวันแต่งงานจากแม่อย่างไรเล่า”
ช่อทิพย์วิมาดาเดินเข้าไปสวมสร้อยให้กับธิดาสุดสวาท
ปรางทิพย์นิ่งมองอย่างเต็มตื้น ทุกคนยิ้มปลื้ม สุขใจไปตามกันๆ
“สร้อยนี้เป็นสร้อยที่ท่านแม่รักมากมิใช่หรือเจ้าคะ”
“ใช่ มันเป็นสร้อยวันแต่งงานที่แม่ได้มาจากยาย และบัดนี้มันก็ถึงเวลาที่จะต้องตกเป็นของเจ้าแล้ว”
“ท่านแม่...”
ปรางทิพย์รู้สึกปลาบปลื้มจนพูดอะไรไม่ออก
“ต่อจากนี้เจ้าจงรักษาสมบัติอันเป็นที่รักของเจ้าไว้ให้จงดี และแม่ขอให้เจ้าจงมีแต่ความสุขเช่นนี้ตลอดไป”
ปรางทิพย์ก้มกราบที่อกมารดา
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านแม่...”
สองแม่ลูกซาบซึ้งจนแทบน้ำตาจะไหล กระทั่งเสียงเพลงบรรเลงดังแว่วเข้ามา เรณูศจีจึงพูดขึ้น
“คงได้ฤกษ์แล้วท่านแม่เมือง ข้าออกไปเตรียมตัวก่อนนะเจ้าค่ะ”
ช่อทิพย์วิมาดาหันไปพยักหน้าให้ เรณูศจีเดินออกไป
ปรางทิพย์มองตัวเองในกระจกด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ที่ลานหน้าบ้านท่านจอมจักรา มีซุ้มดอกไม้ประดับประดาอยู่ตามจุดต่างๆ บานสะพรั่งสวยงาม เสียงบรรเลงเพลงดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
เรณูศจีและบุหงารำไพ ทั้งคู่อยู่ในชุดนางรำ ถือพานเงิน พานทอง บรรจุกลีบดอกไม้อยู่เต็มกำลังร่ายรำอวยพรให้คู่บ่าวสาวในงานแต่งงาน
ขณะที่สุริยเดชยืนหลบมุมอยู่ในงานด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ไม่นานต่อมา เทศในชุดเจ้าบ่าวเดินเข้ามาจากด้านนอกบ้าน เรณูศจีและบุหงารำไพร่ายรำแยกออกเป็นสองฝั่ง เพื่อเปิดทางให้เทศเดินเข้ามาที่บริเวณหน้าบันไดบ้าน กระทั่งถึงตีนบันได เขาแหงนมองไปที่บนตัวบ้านอย่างรอคอย
ปรางทิพย์เดินออกมายืนอยู่ที่หัวบันได โดยมีมัลลิกานารีและบัวคำตามมา
เทศมองจ้องปรางทิพย์ไม่วางสายตา ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปหา หงายมือขึ้นแล้วยื่นออกไปข้างๆ ตัว ปรางทิพย์ค่อยๆ วางมือของเธอลงบนมือข้างนั้นของเทศ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
เทศกุมมือปรางทิพย์เดินเคียงกันลงบันไดมาอย่างช้าๆ กระทั่งลงมายืนเคียงคู่กันที่ลานพิธีหน้าเรือนด้านล่าง จับมือกันเดินผ่านทางที่เทศเพิ่งเดินเข้ามา
เรณูศจีและบุหงารำไพหยิบกลีบดอกไม้ในพานที่พวกเธอถือ โปรยขึ้นเหนือศีรษะตลอดทางให้กับบ่าวสาวทั้งคู่
แขกทุกคนในงานต่างยิ้มชื่นชมในความสวยงามเหมาะสมกัน และพลอยอิ่มเอมใจไปกับทั้งสองคน
เทศและปรางทิพย์จูงมือกันเดินมาจนถึงแท่นพิธี ซึ่งมีจอมจักราและช่อทิพย์วิมาดานั่งรออยู่บนเก้าอี้แล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งคุกเข่าลงที่ด้านหน้าทั้งสองท่าน
บัวคำถือพานบายศรีมาส่งให้กับเทศ เทศรับมาแล้วยื่นมันมาให้ปรางทิพย์ร่วมถือกับตน
ทั้งคู่ช่วยกันประคองพานบายศรีส่งไปให้จอมจักราและช่อทิพย์วิมาดา
ท่านพ่อเมืองและท่านแม่เมืองรับเอาไว้ แล้วส่งต่อให้กับเรณูศจี หลังจากนั้น มัลลิกานารีก็นำผอบเล็กๆ มาส่งให้ท่านพ่อเมือง จอมจักรารับมาเปิดออกในผอบมีผงทองคำ
จอมจักราใช้นิ้วแตะลงไปในผอบ แล้วนำมาเจิมที่หน้าผากสามจุดให้กับเทศและปรางทิพย์จนเสร็จ พลันผงสีทองที่ติดอยู่ที่หน้าผากของทั้งคู่ก็เปล่งประกายวูบวาบแล้วหายวับดับแสงลง
“บัดนี้เจ้าทั้งสองถือเป็นผัวเมียกันอย่างถูกต้องเหมาะสม พ่อขออวยพรให้เจ้าทั้งสองจงครองคู่กันอย่างมีความสุขสืบไป”
ช่อทิพย์วิมาดาฝากฝังธิดากับเทศ “ต่อจากนี้ชีวิตของปรางทิพย์มณฑาทอง จะสุขหรือทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว แม่ขอฝากให้เจ้าดูแลปรางทิพย์มณฑาทองให้ดีที่สุด”
“ข้าขอสาบาน ข้าจักรักและดูแลแม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทองตลอดไป”
ปรางทิพย์และเทศยิ้มให้กัน แล้วก้มลงกราบแทบเท้าของจอมจักราและช่อทิพย์วิมาดา
สุริยเดชมองอยู่มุมหนึ่ง จ้องมองเทศอย่างเคียดแค้นชิงชัง
ค่ำคืนนั้น เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ดวงโตดูสวยงาม ปรางทิพย์นั่งถอดเครื่องประดับอยู่ที่หน้ากระจกเงา เทศเดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง เขาเอาดอกมณฑาทองมาเหน็บที่มวยผมของเจ้าสาว
ปรางทิพย์มองผ่านกระจก ด้วยสีหน้าประหลาดใจระคนดีใจ ดึงมันออกมาดม
“ดอกมณฑาทอง?”
“ข้าตั้งใจไปเก็บมาให้เจ้า”
“ข้าจำได้ว่าครั้งแรกที่เราเข้าเมืองมา ท่านก็เก็บมันให้ข้า”
“ข้ารู้ว่ามันมีชื่อเรียกแบบเดียวกับเจ้า ดังนั้นดอกไม้นี้จึงเปรียบเหมือนตัวแทนความรักของข้าที่มีต่อเจ้า และมันจะยังคงเบ่งบานและสวยงามอยู่ในใจของข้าตราบชั่วนิรันดร์”
เทศเอ่ยคำหวานบอกรักพร้อมกับจ้องมองตาปรางทิพย์ผ่านกระจกเงาด้วยสายตาวาบหวาม
ปรางทิพย์เอียงอายจนต้องหลบตาชายหนุ่ม
เทศยิ้มชอบใจ ก่อนจะบรรจงปลดปิ่นปักผมปรางทิพย์ออก ปล่อยให้ผมค่อยๆ ทิ้งตัวลง
เทศลูบไล้เส้นผมปรางทิพย์เรื่อยลงมาจนถึงลำคอ เลื่อนลงมาปลดผ้าคลุมไหล่ออก แล้วก้มลงไปจูบที่ไหล่เจ้าสาวอย่างอ้อยอิ่ง ปรางทิพย์ห่อไหล่ยิ้มเอียงอาย
เปลวเทียนบนเชิงเทียน ถูกลมพัดเป่าให้ดับวูบลง พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลตาสาดเข้ามาในห้องหอทางหน้าต่าง
ข่าวครูเนียร์รอดตายรู้ถึงหูทรงกลดแล้ว เขาบันดาลโทสะ โกรธถึงขีดสุด เดินเข้าไปตบหน้าขจรและศรชัย ที่ยืนหน้าจ๋อยกุมไข่อยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานเต็มแรง เสียงดัง เผียะ! เผียะ! สองสมุนหน้าหัน
“ทำงานประสาอะไรวะ ปล่อยให้มันรอดไปได้”
“ผมเห็นเต็มๆ ตาเลยนะครับนาย มันโดนยิงไป 2 นัด นัดหนึ่งโดนที่กลางหลัง แล้วไอ้สิงห์มันก็เข้าไปยิงซ้ำตัดขั้วหัวใจมันเลย” ศรชัยบอกอย่างมั่นใจ
“โดนขนาดนั้น มันไม่มีทางรอดไปได้แน่” ขจรเสริม
ทรงกลดด่ากลับ “ไม่รอดบ้าอะไรล่ะ พวกมันไม่ได้เจ็บหนักอะไรเลย แถมตอนนี้ก็ยังนอนสบายใจเฉิบอยู่ที่บ้าน ถ้างานนี้มีหลักฐานสาวมาถึงกู พวกมึงเดือดร้อนแน่”
“ไม่หรอกครับนาย พวกเราไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย”
“พวกมันไม่มีทางรู้แน่ครับว่าพวกเราเป็นคนทำ” ขจรเสริม
“มึงแน่ใจได้ยังไง รีบเข้าไปเช็คดูในหมู่บ้านให้แน่ใจ ว่าพวกมันไม่รู้จริงๆ ไปสิ” ทรงกลดไม่วางใจ
“ครับนาย”
ทั้งคู่รับคำแล้วรีบเดินจากบ้านไปเลย ทรงกลดมองตามไปอย่างเป็นกังวล
บุษบาลาวัณย์เดินกลับเข้าบ้านมา เห็นขจรและศรชัยเดินสวนออกมาอย่างร้อนรน ก็อดแปลกใจไม่ได้ ทรงกลดเดินออกหันมาเห็นบุษบาลาวัณย์ก็ตกใจ กลัวจะได้ยินเรื่องที่คุยกับสองสมุน
“คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฉันเพิ่งมาถึง เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมสองคนถึงวิ่งหน้าตั้งออกไปอย่างนั้น”
ทรงกลดผ่อนหายใจ โล่งออก “พอดีงานมีปัญหานิดหน่อย แล้วนี่คุณเป็นยังไงบ้าง ทำไมไม่โทร.ให้ผมไปรับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันหายดีแล้ว”
ทรงกลดจับแขนบุษบาลาวัณย์สำรวจดูว่าเธอหายเป็นปกติจริงหรือเปล่า
“ไหน ขอผมดูซิว่าคุณหายดีแล้วจริงๆ”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มดีใจเมื่อเห็นทรงกลดเป็นห่วงตน เธอแกล้งทำเป็นเวียนหัวแล้วทรุดลง
“โอ๊ย”
ทรงกลดตกใจรีบประคองบุษบาลาวัณย์เอาไว้
“คุณเป็นอะไรไปคุณบุษ”
“รู้สึกเวียนหัว หน้ามืดค่ะ”
“เดี๋ยวผมเรียกแต้มเอายาดมมาให้”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง พักสักหน่อยก็คงหาย คุณช่วยพาฉันไปส่งที่ห้องหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ครับ ค่อยๆ เดินนะครับ”
ทรงกลดประคองบุษบาลาวัณย์เดินไปที่ห้องนอนของเธอ
ทรงกลดประคองบุษบาลาวัณย์ตรงมาที่เตียงแล้วพาเธอนั่งลงบนเตียง
“เป็นไงบ้าง ไหวไหม ค่อยๆ นั่งนะครับ”
บุษบาลาวัณย์แกล้งทำเป็นหมดแรงทรุดตัวล้มลงบนเตียงนอน
“โอ๊ย! คุณทรงกลด ฉันไม่ไหวแล้ว”
“คุณบุษระวัง”
บุษบาลาวัณย์ฉวยจังหวะที่ทรงกลดไม่ทันระวังตัว ดึงรั้งเขาให้ล้มตามเธอลงมาที่เตียง ทรงกลดล้มทับไปบนตัวบุษบาลาวัณย์ ใบหน้าของสองคนห่างกันแค่คืบ สองสายตาประสานกันจังๆ ความต้องการบางอย่างที่เริ่มประทุขึ้น จนทั้งคู่รับรู้ได้ แต่ทรงกลดพยายามข่มอารมณ์ตัวเองผละออก
“ผม...ผมขอโทษ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“โอ๊ย หลัง หลังฉันค่ะ”
ทรงกลดไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเล่นละครรีบช่วยดูให้ แต่ทันทีที่เขาก้มตัวลงมาเท่านั้น บุษบาลาวัณย์ก็คล้องคอของเขาไว้อย่างรวดเร็ว
ทรงกลดตกใจนิดๆ “คุณบุษ…”
บุษบาลาวัณย์ลูบไล้ฝ่ามือข้างหนึ่งของเธอไปตามอกแกร่งของทรงกลดอย่างจงใจเล้าโลม
“ทำไม ตกใจเหรอคะ”
“เปล่า ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะทำแบบนี้อีก เพราะตอนนี้คุณไม่เมา”
“แล้วใครบอกว่าตอนนั้นฉันเมาล่ะคะ”
บุษบาลาวัณย์ โน้มคอทรงกลดเข้ามาจูบ และเขาก็จูบตอบเธออย่างเคลิ้มคล้อย สาวลับแลแกล้งผลักเขาให้ห่างออกแล้วถามขึ้น
“ตอนนี้คุณมีใครอยู่ในใจหรือเปล่าคะ”
“มี...” ทรงกลดนิ่งงันไป บุษบาลาวัณย์ชักสีหน้าไม่พอใจ “ก็คุณไงล่ะ…”
พูดจบทรงกลดก็ยื่นหน้าขึ้นไปจูบปากบุษบาลาวัณย์ บดขยี้อย่างเร่าร้อนรุนแรง
ทศนนท์สะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าวันต่อมา ชายหนุ่มมองไปรอบๆ ห้อง จนแน่ใจว่าเขาอยู่ในห้องนอนที่บ้านพักแล้ว
“ชาติก่อนเราเคยแต่งงาน เป็นผัวเมียกับคุณปรางเหรอเนี่ย”
ทศนนท์นิ่งคิด ทบทวนถึงสิ่งที่เขาเพิ่งไปพบและเจอมา แล้วประหวัดไปถึงอีกใครอีกคน
“แล้ว...”
ร่างนิรชาในอ้อมแขนทศนนท์ยังคงไม่ได้สติ แต่หายใจรวยรินเหมือนกำลังจะหมดลม ชายหนุ่มใจหายวาบ ตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
“ไม่...คุณเนียร์ คุณอย่าเป็นอะไรนะ ฟื้นสิ...”
นิรชาขยับเปลือกตาพยายามลืมตาขึ้นมาแต่ก็ไม่มีแรง ตาของเธอกลับหลับลงอย่างอ่อนแรง
“อย่าเพิ่งหลับนะคุณเนียร์ ผมจะพาคุณไปหาหมอ เข้มแข็งไว้นะคุณเนียร์ คุณได้ยินผมไหม”
ดวงตาของนิรชาปิดลงสนิท ทศนนท์มองอย่างตกใจ เขากอดนิรชาเข้ามาแนบอก
“คุณเนียร์ ไม่นะ ไม่”
ทศนนท์ดึงความคิดตัวเองกลับมา สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
“ทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น หรือว่า….”
ทศนนท์ตระหนักชัดรับรู้ความรู้สึกในใจตนอย่างตกใจ พลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“พี่ทศ ตื่นหรือยัง มีคนมาหาครับ”
ทศนนท์หันไปมองประตู ด้วยสีหน้าแปลกใจ
พีรพรยกน้ำมาเสิร์ฟรับรองให้ นิรชา มาลีและมัทนา ก่อนลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“รอสักครู่นะครับ พี่ทศตื่นแล้วกำลังจะลงมา”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ไม่ต้องรีบ เราแค่จะมาขอบคุณคุณทศที่ช่วยยัยเนียร์เอาไว้ แต่พวกเรามารบกวนแต่เช้า ก็รู้สึกเกรงใจอยู่เหมือนกัน” มัทนายิ้มชื่น
“รบกงรบกวนอะไรกันครับ พวกเราคนรักๆ ชอบๆ กันทั้งนั้น”
แขกผู้ใหญ่ทั้งสองท่านฟังพีรพรพูดแล้วก็รู้สึกทะแม่งๆ นิรชาทักท้วงขึ้นว่า
“คุณพีจะบอกว่าคนรักกัน ชอบกันใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับใช่ ผมจะพูดแบบนั้นล่ะครับ”
“คุณเป็นคนรุ่นใหม่ ยังหนุ่มยังแน่น ไม่ต้องพยายามพูดภาษาโบราณกับยายก็ได้ พูดธรรมดาแบบคุณนั่นแหละดีแล้ว ยายฟังเข้าใจ”
“เหรอครับ แหม...ผมก็อยากเป็นหนุ่มโบราณกับเขาเหมือนกัน”
พีรพรหัวเราะแก้เก้อ ทุกคนหัวเราะขำกับท่าทางตลกๆ นั้น
ทศนนท์เดินเข้ามาพอดี เขายกมือขึ้นสวัสดีผู้ใหญ่สองท่าน
“สวัสดีครับ”
หญิงชรามองจ้องหน้าทศนนท์ อุทานออกมาในสีหน้าอันตกตะลึงพรึงเพริดถึงขีดสุด
“พี่เทศ...”
อ่านต่อตอนที่ 24