xs
xsm
sm
md
lg

เพรงลับแล ตอนที่21 | รัก ลวง พราง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เพรงลับแล ตอนที่21 | รัก ลวง พราง

บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์

ภายในห้องตรวจรักษาคนไข้บนสถานีอนามัยเช้านี้ หมอปรัชญาตรวจอาการทศนนท์อยู่ในนั้นจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“อาการโดยรวมของคุณทศค่อนข้างดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน แผลหัวแตกที่ด้านหลังก็ไม่ติดเชื้อ เดี๋ยวถ้าคุณพีมา ก็มารับยาแล้วกลับบ้านได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณครับหมอ”
ปรัชญายื่นแฟ้มประวัติคนไข้คืนให้จาริณีแล้วเดินออกไป จาริณีถามทศนนท์อย่างมีน้ำใจขึ้นว่า
“คุณทศจะให้จ๋าช่วยโทร.ตามคุณพีให้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณจ๋า เดี๋ยวผมโทรตามเอง นายพีกลับไปอาบน้ำที่บ้านป่านนี้น่าจะเสร็จแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวจ๋าไปจัดยาไว้ให้ ถ้าคุณพีมาก็ให้ไปรับได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
จาริณีเดินออกไป
ทศนนท์หยิบมือถือที่ตู้ข้างเตียงคนไข้ออกมากดโทร.ออก เขารอสายกระทั่งมีคนรับ
“พีเหรอ หมอบอกให้พี่กลับบ้านได้แล้วนะ งั้นไม่เป็นไร พี่กลับเองได้ แกกับพี่นุไปประชุมกันเถอะ แค่นี้นะ”
ทศนนท์วางสายด้วยสีหน้าครุ่นคิด

นิรชาและกฤตณีเดินเข้าในอนามัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปรัชญาเดินออกมาเจอกันพอดี
“เนียร์ คิตตี้ มาแต่เช้าเลย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
นิรชาและกฤตณีเดินเข้ามาหาปรัชญา
“เมื่อกี้ยัยเนียร์เพิ่งไปมีเรื่องมาค่ะ”
“มีเรื่อง กับใคร แล้วเป็นอะไร บาดเจ็บที่ไหนหรือเปล่า”
ปรัชญามองนิรชาถามรัวๆ อย่างตกใจ มองหาว่านิรชาบาดเจ็บหรือไม่
นิรชาขำ “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น เนียร์ไม่เป็นอะไร ไม่บาดเจ็บตรงไหนเลย”
ปรัชญาถอนใจ “ก็เมื่อกี้คิตตี้บอกว่ามีเรื่อง”
“ก็แค่ทะเลาะกับพวกนายทรงกลดนิดหน่อยน่ะ”
“ใช่ นี่หมอรู้ไหม ยัยเนียร์บุกไปลุยด่าพวกนั้นถึงที่สำนักเชียวนะ แต่เสียดายสู้พวกนั้นไม่ได้”
ปรัชญาอดกังวลไม่ได้ “ก็แหงล่ะ เขาคนเยอะ แถมมีอิทธิพลอีก เนียร์กับครูคิตตี้บุกไปอย่างนั้นก็เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงชัดๆ”
“ตอนนี้เราก็รู้แน่ชัดแล้วว่าเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ คุณทรงกลด กับมิ้นร่วมมือกันหลอกซื้อที่ดินพวกชาวบ้าน ฉันอยากจะช่วย แต่ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลย”
นิรชาคับแค้นใจจนน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา เจ็บใจที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้ ปรัชญามองเข้าใจเดินเข้ามาโอบไหล่ปลอบ
“ใจเย็นๆ ทุกปัญหาต้องมีทางออก เรามาช่วยกันคิดดีกว่า”
นิรชาปาดน้ำตา “แต่ตอนนี้ฉันมืดแปดด้านเลยนะหมอ พวกชาวบ้านก็ย้ายออกไปจวนจะหมดหมู่บ้านแล้ว”
นิรชาซบลงกับไหล่ของปรัชญาอย่างเหนื่อยล้า ทศนนท์เดินออกมาเห็นภาพนี้ถึงกับชะงักงันไป กฤตณีหันมาเห็นเข้า
“อ้าว คุณทศ หายดีแล้วเหรอคะ”
นิรชาผละออกจากปรัชญา ทศนนท์พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มกฤตณี
“คุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วครับ”
“ไม่รอคุณพีก่อนล่ะครับ”
“พีเข้าไปประชุมในเมืองน่ะครับ”
“อ้าว แล้วคุณทศจะกลับยังไงล่ะครับ”
“ไม่เป็นไรครับคุณหมอ บ้านพักผมอยู่ไม่ไกลผมกลับเองได้”
“ให้คิตตี้กับเนียร์ไปส่งดีกว่าไหมค่ะ คุณทศยังเจ็บอยู่เดินไกลเดี๋ยวได้เป็นลมล้มพับไปกลางทางซะก่อน”
ทศนนท์หันมามองนิรชาทั้งคู่สบตากันจังๆ ปรัชญาเห็นจึงรีบชิงพูดขึ้น
“ผมไปส่งคุณทศเอง รอเดี๋ยวนะครับ ผมกำลังจะเลิกงานแล้ว”
ที่หน้าประตูทางเข้าอนามัย จาริณีเข็นรถคนไข้ มีอาการบาดเจ็บที่ขา วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“หมอคะ คนไข้ฉุกเฉิน มอเตอร์ไซค์ล้มค่ะหมอ”
“งั้นรีบพาเข้าห้องตรวจเลยครับ ขอโทษนะครับคุณทศ”
ทศนนท์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
จาริณีเข็นรถเข้าไปในห้องตรวจ ปรัชญารีบตามไป
ทศนนท์ นิรชาและคิตตี้ มองหน้ากันอึ้งๆ

สุดท้ายเป็นนิรชาและกฤตณีพาทศนนท์มาส่ง เวลานี้นั่งด้วยกันที่ห้องรับแขกภายในบ้านพักช่าง
“ขอบคุณครับ ผมเกรงใจจริงๆ เมื่อคืนก็รบกวนเรื่องอาหาร วันนี้ก็ต้องลำบากมาส่งผมอีก”
“รบกงรบกวนอะไรกันคะคุณทศ พวกเราคนกันเองทั้งนั้น”
“แล้วนี่คุณจะกินยาเลยหรือเปล่าคะ”
กฤตณีหยิบซองยาที่เธอเพิ่งวางไปที่โต๊ะขึ้นมาดู
“นี่มันยาหลังอาหารทั้งนั้นเลยนี่คะคุณทศ”
“ที่บ้านคุณมีอะไรให้กินก่อนกินยาไหมคะ”
ทศนนท์ยิ้มแห้งๆ เหมือนรู้ว่าในบ้านไม่น่ามีอะไรให้กิน
“ตอนนี้น่าจะมีแต่มาม่าเหลืออยู่ในตู้ครับ”
กฤตณีโวยวาย “ได้ยังไงกันคะคุณทศ คนป่วยที่ไหนเขากินมาม่ารองท้องล่ะ เขาต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ เนียร์ แกอยู่กับคุณทศที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันกลับไปเอากับข้าวที่บ้าน”
กฤตณียิ้มเจ้าเล่ห์มองนิรชาตาใส เหมือนต้องการจะเปิดโอกาสให้นิรชาอยู่กับทศนนท์ตามลำพัง
“เดี๋ยวสิ”
ยังไม่ทันที่นิรชาจะพูดอะไรต่อ กฤตณีก็ชิงหันหลังเดินออกจากบ้านไปโดยไม่ฟังเสียง
นิรชาหันมองทศนนท์ ที่กำลังมองเธออยู่เหมือนกัน เธอเริ่มทำตัวไม่ถูกจึงพูดขึ้น
“เอ่อ...คุณจะดื่มน้ำหน่อยไหมคะ”
ทศนนท์ยิ้มขัน “ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นเจ้าของบ้าน ผมต่างหากที่น่าจะเป็นคนหาน้ำให้คุณ”
ทศนนท์ลุกเดินไปหยิบน้ำที่ตู้เย็น
“งั้น... ฉันขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะคะ”
“ตามสบายครับ”

นิรชาเดินมาที่หน้าห้องน้ำ แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ เธอหยุดชะงักอยู่แค่ที่หน้าประตู ก่อนจะมองเข้าไปในห้องน้ำอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ทศนนท์รินน้ำใส่แก้วอยู่หน้าตู้เย็นหันมามองนิรชานิ่งๆ สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นานทศนนท์ก็นึกได้ เขาเดินเข้าไปหานิรชาที่หน้าห้องน้ำ สีหน้ายิ้มกริ่ม
“ไม่มีตุ๊กแกแล้วล่ะครับ”
นิรชาหันมองมาทศนนท์ แล้วหันกลับไปมองที่ห้องน้ำอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ
“ถ้าคุณกลัว เดี๋ยวผมเข้าไปดูให้ก่อนก็ได้นะครับ”
ทศนนท์พูดติดตลกขำๆ แต่นิรชากลับรู้สึกเหมือนโดนปรามาสจึงพูดสวนขึ้นว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่กลัวแล้ว”
นิรชาก้าวเข้าไปในห้องน้ำอย่างมั่นใจ ทศนนท์แกล้งร้องทักเสียงดังลั่น
“คุณระวัง! ตุ๊กแกตัวเบ้อเริ่มเลย”
“แอร๊ย”
นิรชากรี๊ด หลับหูหลับตารีบวิ่งออกมาจนชนทศนนท์เข้าอย่างจัง ร่างกระเด็นล้มไป
“ครูเนียร์ระวัง”
ทศนนท์คว้าตัวนิรชาไว้ทัน นิรชาตกใจมองหน้าทศนนท์ ทั้งคู่สบตากันต่างฝ่ายต่างอึ้งไป จนเสียงมือถือดังขัดจังหวะขึ้น
นิรชาได้สติรีบขยับตัวยืนจนมั่นคงแล้วถอยออกห่างทศนนท์ สีหน้าแดงระเรื่อขึ้นด้วยความอาย รีบหยิบมือถือขึ้นมากดรับ แล้วเดินออกไปคุยสาย
“ค่ะแม่...”
ทศนนท์มองตามนิรชาออกไป

ที่เมืองลับแล
บุหงารำไพพยุงบุษบาลาวัณย์ที่บาดเจ็บสาหัส เดินมาตามทางมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ จังหวะหนึ่งบุษบาลาวัณย์หมดแรง ร่างทรุดฮวบลง บุหงารำไพต้องช่วยประคองขึ้น
“เข้มแข็งเอาไว้ เราใกล้จะถึงบ่อน้ำอมฤตแล้ว”
“ข้าทนได้”

ฝ่ายปรางทิพย์แต่งตัวเรียบร้อยแล้วยืนนิ่งอยู่ บัวคำพิลาศและเรณูศจีหยิบผ้าคลุมไหล่มาห่มให้ ปรางทิพย์หันหน้ากลับมามองสองสาว สีหน้าสดชื่น และสวยงามขึ้นดังเดิมแล้ว
บัวคำและเรณูศจี หยิบของใช้แล้วเดินตามปรางทิพย์ออกไป
ส่วนบุษบาลาวัณย์พยายามฝืนตัวเองออกเดินต่อ พอเดินผ่านโค้งเนินหินเข้ามาบริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ พลันหางตาของเธอก็เหมือนมองเห็นอะไรบางอย่าง ที่เนินหินอีกฝั่งหนึ่ง
มันเป็นชายผ้าคลุมของปรางทิพย์ปลิวสยายลับโค้งเนินหินนั้นไป
บุษบาลาวัณย์หยุดกึก หันขวับไปมองจนบุหงารำไพรู้สึกแปลกใจ
“มีอันใดรึ”
“เมื่อครู่ ข้าคล้ายเห็นใครบางคนเพิ่งออกไป”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน บ่อน้ำอมฤตมีไว้เพื่อรักษาผู้บาดเจ็บ ในเมืองเรามิมีผู้ใดบาดเจ็บมาเป็นเวลานานแล้ว”
บุษบาลาวัณย์ยังคงนิ่งมองออกไปอย่างค้างคาใจ
“แต่ข้าว่า ข้าเห็น”
บุษบาลาวัณย์จะเดินไปดูให้รู้แน่ แต่แล้วก็เจ็บปวดไปทั้งร่างจนทรุดลงตรงนั้น
“โอ๊ย!”
บุหงารำไพประคองขึ้น
“รีบไปเถิด อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าเป็นห่วงยิ่งนัก”
บุษบาลาวัณย์ตัดใจให้บุหงารำไพประคองพาไป แต่ก็ยังไม่วายหันมองออกไปที่โค้งเนินหินฝั่งตรงข้ามอย่างสงสัย

บุหงารำไพประคองบุษบาลาวัณย์เข้ามาด้านใน ตรงมาที่ริมบ่อน้ำอมฤตที่บัดนี้ยังมีควันพวยพุ่งออกมา และมีกลีบดอกไม้สีสดใสนานาชนิดลอยอยู่บนผิวน้ำ ทั้งคู่เห็นแล้วหันมามองหน้ากัน
“มีคนเพิ่งเข้ามารักษาตัวจริงๆ”
“เช่นนั้นที่เจ้าเห็นเมื่อครู่....”
“ใช่ และจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...”
บุษบาลาวัณย์เหลียวมองไปที่ทางออกอีกฝั่งด้วยสีหน้าโกรธแค้น ก่อนจะหันกลับมามองไปที่บ่อน้ำอมฤตด้วยสายตารังเกียจ แต่ต้องหยุดความคิดทั้งปวงด้วยรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

นิรชาปลีกตัวออกมาคุยโทรศัพท์กับมัทนา ที่โถงหน้าห้องรับแขกบ้านทศนนท์
“ตอนนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่นักเรียนแล้วล่ะค่ะแม่ พวกนายทุนเข้ามาในหมู่บ้าน หลอกซื้อที่ดินของชาวบ้านจนเกือบหมด ทุกคนต้องอพยพย้ายที่อยู่กันเข้าไปอยู่ในตัวเมือง เด็กๆ ก็ต้องลาออกจากโรงเรียน ตามพ่อแม่ไปด้วย...
ทศนนท์ถือแก้วน้ำเดินเข้ามาได้ยิน เขายุดชะงักนิ่งฟัง
นิรชาเสียงเศร้า “แม่คะ เนียร์อยากจะช่วยพวกเขา แต่ถ้าต้องช่วยทั้งหมู่บ้าน เนียร์คงทำไม่ได้... เนียร์รู้ค่ะแม่ แต่เนียร์ก็อดใจหายไม่ได้ แล้วถ้า... ถ้าโรงเรียนต้องปิดจริงๆ เนียร์จะทำยังไงดีคะแม่...”
ทศนนท์แอบมองนิรชาอย่างเห็นใจ
“เนียร์ยังกลับบ้านไม่ได้หรอกค่ะแม่ ยังไงซะเนียร์ก็จะต้องหาทางช่วยทุกคนให้ถึงที่สุด...ขอบคุณค่ะแม่ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
นิรชากดวางสาย ทศนนท์เดินถือแก้วน้ำมาวางที่โต๊ะ ไม่ต้องการจะให้นิรชารู้ว่าเขาแอบได้ยินที่เธอคุยกับแม่
นิรชาเดินหน้าเครียดกลับเข้ามาในห้องรับแขก ทศนนท์นั่งมองอยู่ก่อนแล้ว พูดขึ้นอย่างเป็นห่วง พร้อมกับยกแก้วน้ำส่งให้
“ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
นิรชารับน้ำมาดื่มแล้วนั่งลงอย่างใช้ความคิด ทศนนท์มองอย่างเห็นใจ
“ทำไมคุณถึงมาเป็นครูที่หมู่บ้านนี้ครับ ทั้งๆ ที่คนมีความรู้ความสามารถอย่างคุณจะไปทำงานที่ไหนก็ได้”
“ไม่รู้สิคะ ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าติดใจอะไรหมู่บ้านนี้นักหนา”
“แล้วคุณรู้จักที่นี่ได้ยังไงล่ะครับ”
“ฉันรู้จักหมู่บ้านนี้ครั้งแรก ตอนมาเที่ยวบ้านคิตตี้ช่วงปิดเทอมน่ะค่ะ พอมาเห็น ฉันก็ตกหลุมรักที่นี่อย่างไม่รู้ตัว”
“ตกหลุมรักเลยเหรอครับ”
“ค่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน หลังจากวันนั้นฉันก็ตั้งใจว่าจะมาเป็นครูสอนเด็กๆ ที่นี่”
พอนิรชาพูดถึงความหลังก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนทศนนท์รู้สึกผ่อนคลายไปด้วย
“แล้วคุณล่ะคะ ทำไมถึงเลือกมาทำงานในที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้”
“ผมรู้สึกว่าป่านางลับแลมีอะไรบางอย่างที่น่าค้นหา และผมก็รู้สึกผูกพันกับที่นี่อย่างประหลาด”
“คงเป็นคุณปราง”
ทศนนท์ครุ่นคิด “ผม...รู้สึกตั้งแต่ก่อนที่ผมจะพบคุณปรางเสียอีก ป่าผืนนั้นมันเหมือนมีปริศนาอะไรสักอย่างที่ผมอยากจะค้นหา และผมต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร”
นิรชาอยากจะถามทศนนท์ต่อ แต่กฤตณีเดินถือของกินพะรุงพะรังเข้ามาพอดี
“กับข้าวมาแล้วค่ะกับข้าว มาค่ะคุณทศมากินข้าวก่อนจะได้กินยาค่ะ”
ทศนนท์กับนิรชารีบไปช่วยกฤตณียกของ

ที่สำนักงานโยธาในตัวเมือง พีรพรและอนุชิตเดินออกมาจากห้องประชุม พีรพรมีท่าทีหงุดหงิด
“สรุปตอนนี้พวกเราก็ยังเอาคนงานลงไปที่ไซท์งานไม่ได้ ต้องรองบประมาณก่อน”
“ก็ต้องงั้นแหละพี พอดีเลยช่วงนี้หัวหน้าก็กำลังป่วยอยู่”
“จริงสิ ผมต้องรีบกลับแล้ว ป่านนี้ไม่รู้ว่าพี่ทศถึงบ้านพักหรือยัง แล้วพี่นุจะกลับพร้อมผมเลยไหม”
“แกกลับไปก่อน พี่ว่าจะแวะไปค้างที่บ้านสัก 2-3 วัน แล้วค่อยตามเข้าไป”
“งั้นผมกลับก่อนนะ”
พีรพรผละไป อนุชิตมองตามนิ่งๆ ก่อนจะเดินยิ้มออกไปอีกทาง

ที่แท้อนุชิตพาตัวเองมานั่งรอทรงกลดอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านทรงกลดนั่นเอง แต้มเอาน้ำมาเสิร์ฟให้
“น้ำค่ะ”
“ขอบคุณครับ” อนุชิตรับน้ำมาดื่ม
“ท่านบอกให้รอสักครู่นะคะ ท่านกำลังกลับมาแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”
แต้มเดินออกไป สักพักทรงกลด ขจรและศรชัยก็เข้าบ้านมา และตรงมาหาอนุชิต
“โทษทีที่ให้รอนาน พอดีผมติดธุระที่กรมที่ดินนิดหน่อย”
อนุชิตยืนขึ้นรับทรงกลดท่าทีนบนอบ
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็เพิ่งจะมาถึงไม่นาน”
“งั้นก็เชิญนั่งเลย เชิญครับ เชิญ”
อนุชิตและทรงกลดนั่งลงที่เก้าอี้ ทรงกลดเริ่มเปิดฉากคุยเข้าประเด็น
“ประชุมวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
“เรียบร้อยดีครับ เป็นไปอย่างที่คุณทรงกลดคาดไว้ ตอนนี้น่าจะมีเวลาอีกสักพักให้คุณทรงกลดเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“ต้องขอบคุณคุณนุมากที่คอยส่งข่าว ช่วยให้งานของผมราบรื่นขึ้นมาก”
“ไม่ใช่เพราะผมหรอกครับ เป็นเพราะคุณทรงกลดเตรียมการมาเป็นอย่างดีต่างหาก อ้อแล้ววันนี้ผมก็เอาแผนที่มาด้วย”
อนุชิตหยิบแผนที่โครงการตัดถนนออกมากางที่โต๊ะให้ดู ทรงกลดมองอย่างสนใจ
“นี่คือเส้นทางที่จะตัดถนนกันเข้าไปใช่ไหม”
“ใช่ครับ แล้วถ้าคุณทรงกลดพร้อมเมื่อไหร่ ผมก็จะส่งพวกคนงานเข้าไปปักหมุดในพื้นที่ที่จะต้องดำเนินงาน แผนที่ชุดนี้เป็นชุดก็อปปี้ ผมให้คุณทรงกลดเก็บเอาไว้ดูนะครับ”
อนุชิตม้วนแผนที่กลับคืนแล้วส่งให้ ทรงกลดรับไว้แล้วส่งต่อให้ขจร
“ขอบคุณมาก”
ทรงกลดหันไปหาศรชัยเชิงบอก ศรชัยรีบยื่นซองที่เตรียมไว้ให้นาย ทรงกลดรับแล้วยื่นมันส่งให้กับอนุชิต
“ค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคุณนุ”
อนุชิตยิ้มกว้างดีใจ รีบรับซองมา
“ขอบคุณมากครับคุณทรงกลด หมดธุระแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”
อนุชิตลุกขึ้น ทรงกลดลุกตาม พร้อมกับยื่นมือออกไป
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ”
อนุชิตจับมือตอบ “ครับ ยินดีมากครับคุณทรงกลด”
ทั้งทรงกลดและอนุชิตจับมือแล้วยิ้มให้กัน

ตกตอนเย็น ที่สำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ เนตรมายาบริกรรมคาถาปลุกเสกสายสิญจน์ชุบเลือดหมาดำอยู่หน้าแท่นบูชา ไม่นานนัก ม้วนสายสายสิญจน์ในพาน เริ่มมีแสงเปล่งประกายขึ้น
เนตรมายาลืมตาขึ้นมอง ยิ้มสมใจ เชื่อมนั่งอยู่ใกล้ๆ ถามขึ้น
“ใช้ได้แล้วหรือเจ้าแม่”
เนตรมายาพยักหน้า “แค่รอจังหวะที่จะได้ใช้มันเท่านั้น”
พลันตุ๊กตาลูกเทพก็ส่งเสียงพูดขึ้น
“แม่ พวกที่บ้านผู้หญิงใจร้ายหายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้”
เนตรมายาและเชื่อมมองหน้ากัน
“ได้เวลาแล้วสินะ”
เนตรมายาหันมองไปมองม้วนสายสิญจน์ชุบเลือดหมาดำอย่างมีแผน

ฝ่ายนิรชาและกฤตณีเดินถือจานอาหารมาวางที่โต๊ะ ซึ่งมีทศนนท์นั่งอยู่
“ครูคิตตี้เอามาเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“นี่ยังน้อยนะคะ พอแม่รู้ว่าจะเอามาให้คนป่วยกิน แม่ก็รีบเข้าครัวไปทำอาหารเพิ่มใหญ่เลย ถ้าคิตตี้ไม่ห้ามเอาไว้ก่อน คุณทศคงมีหวังได้กลับไปหาหมอใหม่แน่”
“ทำไมล่ะคิตตี้”
“อ้าว! ก็คุณทศท้องแตกไงล่ะแก”
สองคนหัวเราะขำกับมุกกฤตณี
“ไป เลิกพูดเล่นได้แล้ว ไปช่วยยกข้าวมาเถอะ คุณทศคงหิวแย่แล้ว”
ทศนนท์ยิ้มชื่น นิรชาและกฤตณีพากันเดินเข้าครัวไป
พีรพรเดินเข้าบ้านมาพอดี
“พี่ทศผมกลับมาแล้ว เป็นยังไงบ้าง”
พีรพรเห็นทศนนท์นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร และมีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะก็ยิ้มทะเล้น มองอย่างรู้ทันพูดแซวขึ้น
“ดีนะเนี่ยที่ผมไม่ซื้อกับข้าวเข้ามา กะอยู่แล้วว่าคุณปรางจะต้องมาเตรียมอาหารให้พี่ทศกิน”
ทศนนท์มองหน้าพีรพรอย่างตกใจ
“เฮ้ย...ไม่ใช่”
“ไม่ต้องมาทำเขินเลย ผมอิจฉาพี่จริงๆ มีแฟนทั้งสวยทั้งดีอย่างคุณปรางเนี่ย”
นิรชาและกฤตณีเดินถือจานข้าวออกมาจากในห้องครัวพอดี พีรพรเห็นถึงกับอึ้งไป ทศนนท์ก็ทำสีหน้าไม่ถูกเช่นกัน
นิรชายืนอึ้ง เจ็บปวดในใจอย่างบอกไม่ถูก
กฤตณีเห็นท่าทีเพื่อนก็หันไปถลึงตาใส่คู่ปรับ พีรพรยังคงทำลายบรรยากาศไม่หยุดหย่อน
“เอ่อ...พี่ทศนี่โชคดีชะมัด เวลาป่วยก็มีสาวๆ มารุมดูแล ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่” ท้ายประโยคเขาหันไปพูดใส่กฤตณี “เห็นแล้วผมชักอยากจะหัวแตกบ้างแล้วสิ”
“ตอนนี้คุณก็กำลังหน้าแตกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากจะหัวแตกเพิ่มอีกก็ได้ มา! เดี๋ยวฉันจัดให้”
กฤตณียกจานข้าวในมือขึ้นจะขว้างใส่พีรพร นิรชาจับมือห้ามไว้กฤตณีจึงยอมลดมือลง
“คิตตี้”
นิรชาพากฤตณีเดินมาที่โต๊ะอาหารพร้อมกับวางจานข้าวลงที่โต๊ะ แล้วพูดกับทศนนท์
“คุณพีกลับมาก็ดีแล้ว พวกฉันจะได้กลับ ยาของคุณทศอยู่ที่โต๊ะรับแขกนะคะ”
“แล้วไม่ทานด้วยกันก่อนเหรอครับ” ทศนนท์ใจหาย
“ฉันกลับไปกินที่บ้านดีกว่าค่ะ”
“จริงค่ะ หมดอารมณ์กินข้าวที่นี่แล้ว”
ตอนท้ายคิตตี้ประชดพีรพร จนเขาหน้าจ๋อย นิรชาหันมามองทศนนท์เชิงบอกลา ทศนนท์มองตอบ
กฤตณีเดินตามนิรชาออกไป แต่ไม่วายหันมาจ้องเอาเรื่องพีรพรพร้อมกับทำท่าเอานิ้วปาดคอตัวเองขู่ พีรพรจ๋อยหนัก
ทศนนท์มองตามนิรชา สับสนหนักกับความรู้สึกในใจของตัวเองยามนี้

ที่เมืองลับแล ปรางทิพย์ก้มกราบอำลาช่อทิพย์วิมาดาซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าของเธอ
“เจ้าเพิ่งจะหายดี เหตุใดจึงไม่อยู่พักที่บ้านก่อนเล่า”
“ลูกจะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้วท่านแม่ ลูกอยากรู้ว่าตอนนี้พี่เทศกับลูกของลูกเป็นอย่างไรบ้าง”
บัวคำช่วยเสริมว่า
“และอีกอย่าง...นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่ท่านสุบรรณเหรากำหนดแล้วเจ้าข้า ท่านแม่เมือง”
ช่อทิพย์วิมาดาพยักหน้าเข้าใจ อดถามไม่ได้ว่า
“พ่อเทศจำเรื่องราวเมื่อชาติก่อนได้แล้วรึ”
“รำลึกได้บ้างแล้วเจ้าข้า” บัวคำบอก
“และหากเมื่อใดที่พี่เทศจดจำเรื่องราวได้ทั้งหมด ลูกก็จะได้รู้ว่าลูกชายของลูกตอนนี้อยู่ที่ใด เป็นอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้ลูกเป็นกังวลนักท่านแม่”
“เจ้ากังวลสิ่งใดกัน”
“บุษบาลาวัณย์อาฆาตมาดร้ายพี่เทศนัก นางคงไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้เป็นแน่ ลูกกลัวว่านางจักหวนกลับไปทำร้ายพี่เทศอีก”
ช่อทิพย์วิมาดาพยักหน้าเข้าใจ “คราที่แล้วที่นางมาหาแม่ แม่ก็เป็นห่วง กลัวว่าเจ้ากับนางจักมีเรื่องปะทะกันอยู่ เมื่อสักครู่แม่ก็เพิ่งรู้ว่า บุษบาลาวัณย์กลับเข้าเมืองมารักษาตัวที่บ่อน้ำอมฤตเช่นกัน เอาเถิดประเดี๋ยวแม่จะช่วยปรามนางเอง”
ปรางทิพย์ยิ้มดีใจก้มลงกราบลามารดาอีกครั้ง บัวคำกราบตาม
ช่อทิพย์วิมาดามองหน้าเรณูศจี เรณูศจีพยักหน้ารับทราบ

เย็นนั้น พีรพรพาทศนนท์มานั่งที่โต๊ะรับแขก ก่อนจะเดินไปหยิบยาส่งให้ทศนนท์พร้อมกับน้ำ
“ยาหลังอาหารครับพี่”
“ขอบใจมาก”
ทศนนท์หยิบยาไปกิน พีรพรรอจนเขากินยาเสร็จจึงเอ่ยถามขึ้น
“ถามจริงเถอะพี่ พี่ไปไหนกับคุณปรางมากันแน่”
ทศนนท์สะดุ้งนิดๆ หันมามองพีรพรอย่างตกใจ
“ทำไม แกรู้อะไรมา”
“ก็พี่ส่งไลน์มาบอกว่าไปธุระด่วน แล้วไปธุระอีท่าไหนถึงได้หัวแตกมาแบบนี้ หรือว่า...โดนคุณปรางทุบหัวมา”
พีรพรคิดเองเออเองและตกใจเอง
“บ้าแล้ว คิดอะไรของแก ฉันไปธุระมาจริงๆ”
“ธุระบ้านคุณปรางเนี่ยนะ” พีรพรจับผิด
“แกรู้ได้ยังไงว่าฉันไปบ้านคุณปราง”
“ก็มีคนเห็นน่ะสิพี่ ถ้าพี่จะหนีงานพาแฟนไปเดทก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่นี่อะไรไปเดทอีท่าไหนถึงได้หัวแตกกลับมา”
“ฉันไม่ได้ไปเดท ฉันไปธุระจริงๆ อย่างที่เล่าไปแล้วไงว่าตอนกลับมาเกิดเจอคนร้ายเข้าไปในบ้านคุณปราง เลยเกิดการต่อสู้กัน”
พีรพรยังไม่วายสงสัย
“แปลกนะ คุณปรางกับพี่บัวคำ พี่ทศโดนทำร้ายขนาดนั้นยังไม่เอาเรื่อง”
“คุณปรางโลกส่วนตัวสูง คงไม่อยากวุ่นวายล่ะมั้ง”
พีรพรพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็เหล่มองทศนนท์ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ตกลงพี่ทศนี่จะเอายังไงกันแน่ คุณปรางก็สวย ครูเนียร์ก็น่ารัก เจ้าแม่เนตรก็เซ็กซี่ พี่จะเลือกใครผมจะได้ทำตัวถูก”
“ทำไม แกจะได้จีบถูกคนหรือไง”
“อ้าว ก็ใช่สิพี่”
ทศนนท์อึ้ง นิ่งงันไป ด้วยรู้ว่าพีรพรแอบชอบนิรชาอยู่
“ครูเนียร์น่ะเหรอ”
“โอ๊ย ครูเนียร์เขาไม่ชอบผมหรอกพี่ ผมมีที่หมายตาคนใหม่แล้ว นั่นแน่...พี่พูดแบบนี้กะจะรวบหมดเลยใช่ไหมล่ะ นี่กะจะไม่เหลือใครให้ผมเลยใช่ไหม”
ทศนนท์ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น จึงพูดล้อเล่นหยอกกลับ
“ก็ยังมีครูคิตตี้ไง”
ทศนนท์ลุกเดินออกไปเลย พีรพรคิดตามแล้วทำท่าขนลุกขนพอง
“หา...ครูคิตตี้เนี่ยนะ”

บุษบาลาวัณย์เดินเข้ามาในสวนสวยกับบุหงารำไพ สีหน้าท่าทางสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“หากข้าไม่ได้บ่อน้ำอมฤตช่วยเยียวยา ป่านนี้ข้าคงยังต้องทนทุกข์จากอาการบาดเจ็บอยู่เป็นแน่ ขอบใจเจ้ามากนะบุหงารำไพ”
“เจ้าหายก็ดีแล้ว ทีนี้บอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ได้อย่างไร”
“เรื่องนี้เจ้าอย่ารู้เลยบุหงารำไพ เจ้าเป็นคนของเมืองลับแลที่ยังต้องรักษาศีล ข้าอยากให้เจ้าคงไว้ซึ่งความดีและความบริสุทธิ์ในจิตใจของเจ้า”
“เช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้าเถิด”
บุษบาลาวัณย์และบุหงารำไพหยุดชะงักลงเมื่อเห็นช่อทิพย์วิมาดายืนรออยู่ มีเรณูศจีอยู่ข้างๆ
“เป็นอย่างไรบ้าง หายดีแล้วใช่หรือไม่”
บุษบาลาวัณย์มีสีหน้าไม่พอใจ “ท่านเจตนามาหาข้าหรือ”
บุหงารำไพเห็นท่าทางแข็งกระด้างของบุษบาลาวัณย์ที่แสดงต่อช่อทิพย์วิมาดาก็รู้สึกเป็นกังวล
“บุษบาลาวัณย์ เหตุใดจึงพูดจาเช่นนั้นกับท่านแม่เมือง”
“มิเป็นไรบุหงารำไพ ข้าไม่ถือสาผู้ที่ยังอยู่ในวังวนของอคติทั้ง 4 ดอก”
บุษบาลาวัณย์ได้ยินก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ขณะที่บุหงารำไพกลับมีท่าทางสงบนิ่งลง
“ท่านมีสิ่งใดอยากจะพูดกับข้า ก็จงว่ามาเถิด”
“ข้าอยากมาเตือนสติเจ้า ว่าอย่าคิดทำร้ายผู้ใดอีก หากเจ้าไม่คิดเชื่อฟัง ข้าจักแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านสุบรรณเหราตัดสิน”
บุษบาลาวัณย์คุมแค้น “เหตุใดท่านเตือนเพียงข้า ลูกท่านต่างหากที่ผิดมากกว่า กล้านำคนนอกเข้ามา จนเป็นเหตุให้เมืองของเราต้องกลายเป็นเมืองแม่ม่าย หมดสิ้นลูกหลาน ไร้ผู้สืบเชื้อสายอีกตลอดไป”
“ลูกข้ามิได้มีเจตนา และนางก็กำลังชดใช้”
“ชดใช้โดยการตามหาและคอยปกป้องชายที่ทำลายเมืองของเราเช่นนั้นรึ”
“เจ้าไม่รู้แจ้งอย่าด่วนตัดสินใจเช่นนั้น” เรณูศจีเถียงแทน
“เจ้าจงฟังข้าให้ดี ปรางทิพย์มณฑาทองมีเงื่อนไขที่นางต้องพบกับวิบากกรรม ส่วนเจ้า...ข้าขอเตือน หากเจ้าก่อเรื่องอีก ข้าจักต้องแจ้งแก่ท่านสุบรรณเหราให้ลงโทษเจ้าเป็นแน่”
ช่อทิพย์วิมาดาจ้องมองสำทับด้วยสีหน้าจริงจังแล้วเดินกลับออกไป บุษบาลาวัณย์คุมแค้นมองตอบอย่างเจ็บใจ

เย็นนั้น ทรงกลดนั่งดูแผนที่อยู่ภายในห้องรับแขกของบ้าน คมสันเดินเข้ามาในนั้นทักขึ้นว่า
“ได้ยินว่านายอนุชิตเข้ามานี่”
“ครับพ่อ เขาเอาแผนที่เส้นทางตัดถนนเข้ามาให้ นี่ไงครับ”
ทรงกลดเงยหน้าขึ้นมอง พลางกางแผนที่ออกให้พ่อดู คมสันลงนั่งด้วยมองดูอย่างสนใจ
“เยี่ยมเลย งานคงคืบหน้าไปมากแล้ว”
ทรงกลดยิ้มดีใจที่ได้รับคำชมก่อนจะชี้ตรงเขตตะวันตกของหมู่บ้านในแผนที่
“พื้นที่เขตตะวันตกนี่เราได้มาเกือบหมดแล้ว จะเหลือก็แต่เขตฝั่งบ้านผู้ใหญ่ที่เรายังไม่ได้ดำเนินการอะไร”
“ฝั่งนั้นอย่าเพิ่งไปยุ่ง ตอนนี้สั่งให้ผู้รับเหมาเข้าไปดูพื้นที่ก่อนสร้างได้แล้ว”
คมสันจ้องมองที่พื้นที่ที่ว่างอยู่ในแผนที่อย่างแปลกใจ
“แล้วพื้นที่ว่างตรงนั้นมันคืออะไร”
“อ๋อ บ้านหลังที่อยู่ตรงนี้เขายังไม่ได้ย้ายออกไป แต่พ่อไม่ต้องห่วง ยังไงซะเจ้าของบ้านก็ต้องยอมแน่ เขาไม่มีทางเลือกแล้ว”
คมสันพยักหน้าเข้าใจ “อืม ทำให้ดีๆ ล่ะอย่าให้มีอะไรผิดพลาด แล้วเรื่องนังหนูนั่นว่ายังไง? แกอย่าให้ใครมาตายที่บ้านนะ”
“คุณบุษกลับไปรักษาตัวที่บ้านแล้วครับ”
“ดี งั้นแกก็ให้กลับไปเลยนะ ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
“ไม่ได้หรอกครับพ่อ”
คมสันหงุดหงิด “ทำไม! นี่แกจะทำอะไร ปกติแกควงผู้หญิงไม่เคยซ้ำหน้า แต่คนนี้ถึงกับให้มาอยู่ที่บ้านเป็นเดือนๆ พูดตรงๆ ว่าพ่อไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนี้”
“ผมมีเหตุผลครับพ่อ ที่ผมยอมให้เขามาอยู่ที่บ้านเพราะผมอยากรู้เรื่องของเขาให้มากกว่านี้”
คมสันตบโต๊ะอย่างไม่พอใจ
“นี่ตกลงแกจะเอายังไง แล้วคุณปรางล่ะ ทั้งสวยทั้งรวยขนาดนั้น แกจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ เหรอ ชาตินี้ทั้งชาติแกจะไปหาแบบคุณปรางได้ที่ไหน”
ทรงกลดยิ้มกริ่ม ด้วยเข้าใจความหมายของคมสัน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“ใจเย็นๆ ครับ เดี๋ยวผมจะพาพ่อไปดูอะไรบางอย่าง”
คมสันนิ่งมองลูกชายด้วยสีหน้าสงสัย

ภายในห้องนอนบุษบาลาวัณย์ที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในนั้น ทรงกลดเปิดประตูพาคมสันเดินเข้ามา
“ผมมีของของคุณบุษที่อยากให้พ่อเห็น”
ทรงกลดตรงไปที่หัวเตียงนอน มีห่อผ้าวางอยู่ ทรงกลดหยิบมันมา คมสันเบือนหน้าหนีอย่างไม่อยากสนใจ
“ใช้ห่อผ้าอย่างกับคนโบราณ”
แต่พอทรงกลดแกะห่อผ้าออก คมสันก็หันกลับมามองอย่างประหลาดใจ ไม่ค่อยอยากเชื่อ
“นี่มันอะไร”
“ทองไงครับพ่อ ทองคำบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้ผสมอะไรเลย”
คมสันหยิบทองขึ้นมาดู ตาลุกวาว
“ทองจริงๆ ด้วย นังหนูนั่นไปเอามาจากไหนมากมายขนาดนี้”
“ผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ผมเคยเห็นคุณปรางเอาทองแบบเดียวกันนี้บริจาคให้วัดในหมู่บ้าน”
คมสันคิดตาม “งั้นหนูปรางกับนังหนูนี่ก็...”
“ครับ ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะมาจากที่เดียวกัน”
“แสดงว่าที่นั่นต้องมีสายแร่ทองคำอยู่แน่ๆ”
สองพ่อลูกจ้องมองกันตาลุกวาวอย่างเห็นพ้อง

ที่บ้านพักช่างสำรวจคืนเดียวกัน ทศนนท์เข้านอนสักพักแล้ว แต่นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา สุดท้ายตัดสินลุกขึ้นมาเปิดโคมไฟหัวเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ขึ้นมามองอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ข้อความไลน์ลงไปเหมือนจะกดส่งถึงใครคนนั้น แต่แล้วกลับชะงักอย่างเริ่มรู้สึกลังเล
“ป่านนี้จะนอนหรือยังนะ”

อีกฟากนิรชาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนอนด้วยจิตใจที่เหม่อลอย สายตาของเธอแทบไม่ได้มองที่หนังสือในมือเลยด้วยซ้ำ กระทั่งใบหน้าของเธอเริ่มเคร่งเครียดขึ้นเมื่อนึกไปถึงเรื่องบางอย่าง
พีรพรมองเห็นทศนนท์ที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารพร้อมกับมีอาหารวางอยู่จำนวนมาก เขามองอย่างรู้ทันพร้อมกับพูดแซวขึ้น
“ดีนะเนี่ยที่ผมไม่ซื้อกับข้าวเข้ามา กะอยู่แล้วว่าคุณปรางจะต้องมาเตรียมอาหารให้พี่ทศกิน”
ทศนนท์มองพีรพรพูดอย่างตกใจ
นิรชาหน้าเครียด เสียงไลน์ที่เครื่องโทรศัพท์ของนิรชาดังขึ้น นิรชาหันไปมองโทรศัพท์ที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง แล้วหยิบมันขึ้นมาดู นิรชามีสีหน้าตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นแปลกใจ พึมพำงงๆ
“มีอะไรเนี่ย”
หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏข้อความจากไลน์ทศนนท์ “สวัสดีครับ ครูเนียร์นอนหรือยังครับ”
นิรชาไม่กล้าเปิดขึ้นอ่าน เธอพยายามตัดใจ ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่ข้างเตียงตามเดิม แล้วรีบปิดไฟห่มผ้านอน เธอพยายามข่มตาตนเองให้หลับ
กระทั่งสักพักเสียงไลน์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง นิรชาลืมตาขึ้น

ฝ่ายทศนนท์กำลังนั่งลุ้นมองโทรศัพท์ว่านิรชาจะเปิดอ่านหรือเปล่า รออยู่สักพักกระทั่งชายหนุ่มเริ่มถอดใจ
“สงสัยจะหลับไปแล้ว”
ทศนนท์ปิดหน้าจอ วางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะข้างเตียงตามเดิม แต่ขณะที่เขากำลังจะปิดไฟ เสียงไลน์เข้าก็ดังขึ้น ทศนนท์ดีใจรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่าน แต่ดันเป็นข้อความไลน์จากอนุชิต
“ช่วงนี้งานยังไม่มีอะไรมาก ผมขอลาอยู่กับครอบครัว 2-3 วันนะครับ”
ทศนนท์มีสีหน้าผิดหวัง พิมพ์ตอบกลับว่า “ครับ” แล้ววางโทรศัพท์ลงที่เดิม
เสียงไลน์ดังขึ้นอีกครั้ง ทศนนท์หันไปมองโทรศัพท์สีหน้าเซ็งๆ แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมาในฉับพลัน
ทศนนท์คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านแทบไม่ทัน ยิ้มแก้มแทบแตกเมื่ออ่านจบ รีบพิมพ์ตอบทันที
“ยังไม่นอนหรือครับ ผมรบกวนหรือเปล่า”
ทศนนท์กดส่งไปแล้วรอคำตอบของนิรชาอย่างใจจดใจจ่อ
เสียงไลน์ดังตอบมา ทศนนท์รีบอ่าน “กำลังจะนอนค่ะ”
“ขอบคุณที่ช่วยดูแลผมนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ทศนนท์กำลังจะพิมพ์ข้อความต่อ จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดของพีรพร
“ตกลงพี่ทศนี่จะเอายังไงกันแน่ คุณปรางก็สวย ครูเนียร์ก็น่ารัก เจ้าแม่เนตรก็เซ็กซี่ พี่จะเลือกใครผมจะได้ทำตัวถูก”
ทศนนท์สับสนอย่างหนัก ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองว่าคิดยังไงกันแน่
“คุณปราง...”

ฟากนิรชายืนยิ้มอยู่ริมหน้าต่าง รอข้อความไลน์จากทศนนท์ กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นเธอก็ยังไม่รู้สึกตัว กฤตณีเปิดประตูห้องเข้ามาเห็น มองท่าทีนิรชาอย่างแปลกใจ
“ยืนยิ้มอะไรอยู่คนเดียวน่ะยัยเนียร์”
นิรชาสะดุ้ง หันมามองกฤตณี
“อ้าว คิตตี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็เข้ามาตั้งแต่แกยืนยิ้มหวานอยู่คนเดียวนั่นแหละ นี่เป็นอะไร ในมือถือมีอะไรเหรอ ถึงยืนยิ้มมองอยู่นั่น ฉันเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว”
“บ้าน่ะ มีอะไรซะที่ไหน”
“งั้นทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีก ปกติเห็นนอนแต่หัวค่ำ”
“เพิ่งตอบไลน์เสร็จน่ะกำลังจะนอนแล้ว”
“ใครไลน์มาดึกดื่นป่านนี้”
นิรชาอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกไป
“พอคุณทศ... เขาไลน์มาขอบคุณพวกเรา”
กฤตณีเนื้อเต้น “คุณทศเขามีไลน์แกด้วยเหรอเนียร์”
“มีสิ ก็ตอนที่ฉันส่งคลิปที่เขานอนละเมอไปให้เขาดูไง แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยไลน์คุยกันเลย”
“นี่ฉันว่ามันไม่ธรรมดานะแก จู่ๆ เขาไลน์มาหาแบบนี้...”
“มโนไปละคิตตี้ อย่าลืมสิว่าเขามีคุณปรางอยู่แล้ว”
เมื่อนิรชาคิดได้เช่นนั้น สีหน้าของเธอก็เริ่มสลดลงอย่างเห็นได้ชัด กฤตณีมองเพื่อนอย่างเห็นใจ
“แกว่าคุณทศกับคุณปรางเป็นแฟนกันจริงเหรอเนียร์”
“มันก็ชัดนะ”
“เป็นแฟนกันประสาอะไร คุณทศเจ็บขนาดนั้นไม่ยักกะมาดูแล ฉันว่าพวกเขายังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
นิรชาคิดตาม แต่แล้วก็ชิงพูดตัดบทออกมา
“ช่างเถอะมันเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา ไปๆ ไปได้แล้ว ฉันจะนอน”
ท้ายประโยคนิรชาหันมาไล่กฤตณี จนกฤตณีเริ่มจับพิรุธได้ จึงล้อขึ้น
“เหรอ...ทีอย่างนี้ง่วงเชียวนะ...”
นิรชาเขินรีบดันหลังกฤตณีให้ไปที่ประตูห้องนอนที่เปิดค้างอยู่
“ไปกลับไปนอนได้แล้ว”
“หวังว่าคืนนี้จะนอนหลับฝันดีนะแก”
นิรชารีบปิดประตูห้องนอนลงพร้อมกับหันหลังพิงประตูด้วยความเขินอาย

เช้าวันต่อมา ปรางทิพย์และบัวคำเดินมาที่ประตูหน้าบ้าน พลันมีเสียงหัวเราะคิกคักของลูกเทพดังก้องไปทั่ว
“ฮ่าๆๆๆ”
บัวคำและปรางทิพย์มองหาที่มาของเสียง ลูกเทพหัวเราะคิกคัก ปรากฏตัวขึ้นที่ตรงหน้าของสองสาว
บัวคำมองตาเขียว “มาซนแถวนี้อีกแล้วเจ้าเด็กไม่รู้จักโต”
ลูกเทพชักสีหน้าไม่พอใจ เตะไปที่หน้าแข้งบัวคำอย่างแรง
“นี่แน่ะ”
“โอ๊ย! เด็กไร้มารยาท”
บัวคำลูบขาตัวเองด้วยความเจ็บ ก่อนจะกระโจนเข้าไปจับตัวลูกเทพด้วยความโมโห แต่ลูกเทพหายตัวไปแล้ว บัวคำคว้าอากาศหน้าคะมำไปที่ประตูบันได ปรางทิพย์ต้องช่วยดึงบัวคำเอาไว้
“พี่บัวคำ ระวัง”
บัวคำตกใจไม่แพ้ปรางทิพย์ ทรงตัวขึ้นยืนพร้อมกับถอนหายใจ
“เจ้าเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ต้องจับมาตีซะให้เข็ด”
บัวคำหันมาหาคุณปรางทิพย์ แต่กลับเห็นนายหญิงเอาแต่ยืนจ้องที่หน้าประตูบ้านไม่วางตา
“อะไรหรือเจ้าคะแม่หญิง”
ปรางทิพย์และบัวคำ ตกตะลึงเมื่อพบว่ารอบๆ บ้านมีสายสิญจน์พันอยู่
“ผู้ใดบังอาจเอาของสกปรกเช่นนี้มาล้อมบ้านเรา”
สองนายบ่าวนิ่งมองที่ประตูบ้าน แล้วหันมามองหน้ากันเหมือนรู้ว่าเป็นฝีมือใคร

ลูกเทพปรากฏกายขึ้นที่ริมถนนหน้าบ้านปรางทิพย์ มีเครื่องเซ่นคาอยู่ในปาก ผีเด็กเคี้ยวกินหยับๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย ไม่นานก็ลูบท้องอิ่มแปร้
ไม่นานนักเนตรมายากับเชื่อมก็เดินเข้ามา ลูกเทพหันไปเห็น ยิ้มแต้ขอบคุณ
“เครื่องเซ่นมือนี้อร่อยจังเลยแม่จ๋า”
“ชอบใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวคราวหน้าป้าจะทำแบบนี้ให้กินอีก”
“เปลี่ยนเป็นของอย่างอื่นบ้างก็ได้นะป้า อย่างไก่ทอดหรือแฮมเบอร์เกอร์อะไรงี้ หนูก็ชอบ”
“โห...ฝรั่งเชียว แต่เอาเถอะเดี๋ยวคราวหน้าถ้าเข้าเมืองป้าจะจัดให้”
ลูกเทพนึกได้ “แม่จ๋า..ผู้หญิงใจร้ายพวกนั้นกลับมากันแล้วนะ แล้วตอนนี้ก็เข้าบ้านไม่ได้ด้วยจ๊ะ”
“ชัดเลยเจ้าแม่ พวกมันเป็นผีแม่ม่ายจริงๆ”
เนตรมายายิ้มสมใจ
“คราวนี้แหละฉันจะประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่า นังปรางทิพย์เป็นผีแม่ม่าย”
เนตรมายาเดินออกไปด้วยสายตามุ่งมั่น เชื่อมตามเป็นเงา ลูกเทพหายแว้บไป

ปรางทิพย์และบัวคำยืนมองสายสิญจน์เลือดหมาดำที่พันอยู่เต็มหน้าประตูเข้าบ้าน อย่างใช้ความคิด
“แล้วเราจักเข้าบ้านกันอย่างไรเล่าเจ้าคะแม่หญิง”
“มันต้องมีสักทาง ที่เราจักเอามันออกไปได้”
บัวคำหันไปหยิบกิ่งไม้บริเวณนั้นขึ้นมา ยื่นไปเกี่ยวสายสิญจน์นั้นให้หลุดออกจากประตู ปรางทิพย์ร้องห้ามด้วยความตกใจ
“พี่บัวคำ อย่า!”
แต่ช้าไป พลันที่ปลายไม้แตะเข้ากับสายสิญจน์ ก็เกิดประกายไฟพร้อมกับคลื่นไฟฟ้าไหลตามไม้มาจนถึงตัว ร่างบัวคำดั่งถูกไฟฟ้าแรงสูงช็อต กระเด็นไปอย่างแรง
“โอ๊ย!”
ปรางทิพย์รีบเข้าไปช่วยพยุงขึ้นมา
“เป็นอย่างไรบ้างพี่บัวคำ”
“นี่อะไรกันแม่หญิง สายสิญจน์นั่นมีฤทธิ์ร้ายแรงเช่นนี้เชียวหรือ”
“ข้าก็คิดอยู่ว่ามันต้องร้ายแรง ขนาดเมื่อตอนที่ชาวบ้านเอามันมาล้อมบ้านยังมิโดนตัวเรา เรายังถึงกับร้อนจนแทบไม่ไหว”
บัวคำนึกขึ้นได้ เบิกตาโตอย่างขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที
“แล้วนี่ถ้าเมื่อครู่ข้าล้มลงไปโดนมันเข้า....”

มีเสียงหัวเราะเยาะอย่างสะใจของเนตรมายาดังเข้ามา
“ฮ่าๆๆ เป็นไงล่ะ เข้าบ้านไม่ได้ล่ะสิ ให้มันรู้ซะบ้างว่าสายสิญจน์เลือดหมาดำของข้าขลังขนาดไหน นังผีแม่ม่าย”
สองสาวหันขวับไปมองเนตรมายาที่เดินหัวเราะเข้ามา มีเชื่อมใช้มือถือถ่ายคลิปตามกันมาติดๆ
“เธอทำแบบนี้อีกแล้วนะ จะระรานกันไปถึงไหน” ปรางทิพย์รำคาญ
“ก็จนกว่าพวกแกจะยอมรับกับทุกคนว่าเป็นผีแม่ม่าย แล้วออกไปจากหมู่บ้านนี้น่ะสิ”
“เลิกเอาคนในหมู่บ้านนี้มาอ้างสักที ที่เธอทำทั้งหมดนี้เพราะอยากได้คุณทศต่างหาก ตาสว่างได้แล้ว คุณทศเขาไม่เคยมองเธอเลย” บัวคำด่า
รถของทรงกลดแล่นเข้ามาจอดข้างตัวบ้านพอดี เนตรมายามัวแต่โมโหที่ถูกจี้ใจดำจึงไม่ทันมอง โต้ออกไปเสียงแข็ง
“ตอนนี้ไม่มอง แต่ถ้าเมื่อไหร่เขารู้ว่าพวกเธอเป็นผีแม่ม่ายที่ชอบฆ่าผู้ชายเป็นว่าเล่น เขาจะต้องหันมามองฉัน”
“ไม่มีทาง คนเราถ้าไม่รักแล้ว ทำยังไงก็ไม่มีทางรักได้หรอก”
“คนเรามันเปลี่ยนใจกันได้”
เนตรมายาปรี่เข้าไปผลักปรางทิพย์ จงใจให้ล้มไปโดนสายสิญจน์เลือดหมาดำที่ประตู ปรางทิพย์ตกใจสุดขีด
“ว้าย”
“แม่หญิง!”
ปรางทิพย์เซถลาไปที่ประตู ทรงกลดเข้ามารับเอาไว้ได้ทันเฉียดฉิว
“คุณปราง”
เนตรมายาและเชื่อม เห็นทรงกลดเข้ามาขวางก็ตกใจ อุทานอย่างคาดไม่ถึง
“คุณทรงกลด”

ส่วนที่อนามัย จาริณีนั่งตรวจเช็ครายการยาอยู่ที่โต๊ะทำงาน หมอปรัชญาเดินเข้ามาทักถาม
“ทำอะไรอยู่ครับคุณจ๋า”
จาริณีหันมามองแล้วยิ้มให้
“กำลังเช็ครายการยาที่เข้ามาใหม่ค่ะหมอ คนไข้หมดแล้ว หมอจะพักกินข้าวกลางวันเร็วหน่อยก็ได้นะคะ”
“จริงสิ ผมลืมไปเลยว่าจะมาบอกอะไรคุณจ๋า เที่ยงนี้ผมจะไปกินข้าวที่ร้านน้าศักดิ์นะครับ”
จาริณีอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะถามเสียงเบาหวิว
“หมอจะไปกินข้าวกับครูเนียร์เหรอคะ”
“ครับ เมื่อกี้เนียร์เพิ่งโทร.มาบอกอยากจะคุยเรื่องที่ดินของชาวบ้าน”
จาริณีหน้าเศร้าลงไปเห็นได้ชัด หันไปมองปิ่นโตที่วางอยู่ข้างโต๊ะ หมอปรัชไม่ทันสังเกตท่าทีผู้ช่วยคนสวย เขามองเห็นทศนนท์เดินเข้ามาพร้อมกับพีรพร จึงทักขึ้น
“มาล้างแผลเหรอครับคุณทศ คุณพีก็มาด้วย”
“ครับ พีเขาเซ้าซี้บอกจะมาเป็นเพื่อนให้ได้”
“แหม ก็ช่วงนี้ไม่มีงาน อยู่ที่บ้านเบื่อๆ สู้มาเที่ยวอนามัยดีกว่า”
ท้ายประโยคพีรพรหันไปยิ้มให้จาริณี ฝ่ายนั้นยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร
“อย่าเห็นอนามัยเป็นที่เที่ยวเลยดีกว่าค่ะคุณพี”
“ผมอยากมาเที่ยว แต่ไม่อยากมาเป็นคนป่วยนะครับคุณจ๋า”
“อ๋อเหรอคะ” จาริณีหันไปทางทศนนท์ “ขอบัตรคนไข้ให้จ๋าด้วยค่ะคุณทศ”
ทศนนท์ยื่นบัตรคนไข้ให้ ปรัชญาเอ่ยขึ้นว่า
“เสร็จแล้วก็ตามผมมาที่ห้องตรวจได้เลยนะครับ”
ปรัชญาเดินออกไป
จาริณีหยิบแฟ้มประวัติคนไข้ของทศนนท์ที่ข้างโต๊ะ แล้วเดินนำออกไป
“ตามจ๋ามาได้เลยค่ะคุณทศ”
ทศนนท์พยักหน้ารับแล้วเดินตามจาริณีไป
พีรพรกำลังจะเดินตามไป แต่สายตามองเห็นปิ่นโตที่ข้างโต๊ะจาริณี เขายิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

ทางฝ่ายทรงกลดประคองปรางทิพย์เอาไว้ได้ ถามเสียงนุ่มนวลอย่างเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างครับ คุณปรางเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ปรางทิพย์พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนให้เป็นปกติ แต่ทรงกลดยังประคองอยู่ บัวคำโล่งอก รีบเข้ามาดูปรางทิพย์
“ขอบคุณคุณทรงกลดมากค่ะ ถ้าไม่ได้คุณทรงกลดช่วยไว้ฉันคงล้มไปแล้ว”
ทรงกลดหันมามองเนตรมายาด้วยสายตาเอาเรื่อง
“นี่คุณทำบ้าอะไร ผมเคยเตือนคุณแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับคุณปราง”
“ไม่ยุ่งไม่ได้ ฉันต้องเปิดโปงโฉมหน้าของนังผีแม่ม่ายนี่ให้ทุกคนได้รู้ คุณดูสิ ว่าพวกมันกลัวสายสิญจน์เลือดหมาดำของฉันขนาดไหน”
“สายสิญจน์สกปรกเปื้อนเลือดแบบนี้ มันน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงมากกว่า แล้วนี่คุณปรางเพิ่งจะหายป่วยด้วย เกิดติดเชื้อโรคขึ้นมาแล้วป่วยอีก ใครจะรับผิดชอบ”
ปรางทิพย์แกล้งไอออกมาแล้วซบลงที่อกทรงกลด และแสร้งทำเป็นอ่อนแรงเพื่อเรียกคะแนนสงสารและเห็นใจจากทรงกลด และมันได้ผล ทรงกลดตกใจ
“คุณปราง เป็นอะไรไปครับ” เขาหันไปบอกบัวคำ “เร็วเข้าบัวคำ รีบพาคุณปรางเข้าบ้านเร็ว”
บัวคำละล้าละลังไม่กล้าไปเปิดประตู ทรงกลดกลับเข้าใจว่าบัวคำขยะแขยงสายสิญจน์นั้น
“ประคองคุณปรางไว้ก่อนครับ”
บัวคำรับปรางทิพย์ไปประคองไว้ ทรงกลดเดินเข้าไปที่ประตูแล้วรื้อสายสิญจน์ออกไปจนหมด ก่อนจะกลับมาพยุงปรางทิพย์ต่อ
“รีบเปิดประตูเร็วครับ คุณบัวคำ”
บัวคำรีบไปเปิดประตู ทรงกลดหันมาตวาดใส่เนตรมายา
“คุณเนตร คุณรีบกลับไปเลยนะ อย่าให้ผมเห็นคุณที่นี่อีก”
ปรางทิพย์แกล้งทรุดลง ทรงกลดรีบประคองพาปรางทิพย์เข้าไปในบ้าน
“คุณปราง”
เนตรมายาและเชื่อมมองตามสองนายบ่าวอย่างเจ็บใจ

ในห้องตรวจที่อนามัย จาริณีกำลังปิดแผลให้ทศนนท์ พีรพรที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ถามขึ้น
“เมื่อกี้ผมเห็นปิ่นโตที่โต๊ะคุณจ๋า คุณจ๋าทำกับข้าวมากินเองทุกวันเลยเหรอครับ”
“ค่ะ”
“แหม ผมยังติดใจรสชาติอาหารที่คุณจ๋าทำมาให้พวกเรากินเมื่อคราวที่แล้วอยู่เลย”
“คุณพีจะอยู่กินมื้อเที่ยงกับจ๋าก็ได้นะคะ จ๋าทำมาเยอะ๐
ปรัชญาที่นั่งจดบันทึกคนไข้อยู่ที่โต๊ะได้ยิน หันมามองอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก จาริณีเห็นสีหน้านั้นพอดี
“คุณทศด้วยนะคะ”
“ขอบคุณครับ แต่คุณจ๋าทำมาเผื่อใครหรือเปล่า”
“คือมันเป็นส่วนของคุณหมอน่ะค่ะ แต่หมอบอกว่าวันนี้จะไปกินข้าวกับครูเนียร์”
ทศนนท์หูผึ่งเมื่อได้ยินว่าปรัชญามีนัดกินข้าวกับนิรชา พีรพรยิ้มร่า รีบพูดขึ้นอย่างดีใจ
“ก็เลยได้สิทธิ์นั้นไป แหม...ลาภปากของผมจริงๆ เลยนะครับเนี่ย ผมไม่เกรงใจนะครับคุณจ๋า”
“ค่ะคุณพี ทานได้เต็มที่เลย”
ทศนนท์นั่งฟังอยู่เงียบๆ รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

ที่ร้านกาแฟ ร้านอาหารบ้านศักดิ์ สองผัวเมียนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะในร้าน รอคอยฝั่งข่าวอย่างใจจดใจจ่อ
“ไม่รู้จะเป็นยังไงกันบ้างนะ ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว”
ศักดิ์พูดปลอบใจเมีย “ก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกมั้งแม่”
ตาลหันมองศักดิ์กังวลไม่หาย หันออกไปมองนอกร้าน เห็นใครบางคนจึงรีบพูดขึ้นอย่างดีใจ
“นั่นไง มากันแล้วๆ”
นิรชาและกฤตณีเดินเข้ามาสมทบ
“ทนายเขาว่ายังไง” ศักดิ์ถามอย่างร้อนใจ
ตาลซักต่อร้อนใจไม่ต่างกัน “เป็นยังไงบ้างลูก”
กฤตณีและนิรชายิ้มให้กัน ก่อนจะพากันนั่งลงที่โต๊ะด้วย แล้วพูดขึ้นอย่างดีใจ
“no problem ไม่มีปัญหาจ้า” คิตตี้ยิ้มร่า
“ทนายปีใหม่บอกว่า คดีนี้พวกเรามีสิทธิชนะค่ะ เพราะพี่ขวัญถูกหลอกให้เซ็นเอกสารโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รับรู้ข้อความในสัญญา และเจ้าของบ้านก็ไม่ได้มีเจตนาจะขายบ้านด้วย”
ศักดิ์และตาลต่างดีใจและโล่งใจ
“น่าดีใจแทนนังขวัญจริงๆ เลย แม่เห็นมันแล้วก็สงสาร มันเป็นคนรักบ้าน เกิด อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กจนโต ถ้าต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นมันคงลำบากน่าดู”
“ความดีความชอบทั้งหมดต้องยกให้ยัยเนียร์ อุตส่าห์ยอมลงทุนใช้กฎหมายมางัดข้อกับพวกนายทรงกลด”
“แล้วหนูเนียร์ไปได้ทนายที่ไหนมาว่าความให้ล่ะ ดูจากอิทธิพลของคุณคมสัน พ่อของคุณทรงกลดแล้ว ไม่น่าจะมีทนายคนไหนในแถบนี้กล้าว่าความสู้คดีให้”
“คุณแม่แนะนำมาค่ะ เห็นว่าเป็นเพื่อนสมัยเรียน”
ศักดิ์หน้าเครียด อดกังวลไม่ได้ ตาลเห็นจึงถามขึ้น
“คิดอะไรอยู่เหรอพ่อ”
“พ่อเป็นห่วงน่ะ”
“จะห่วงทำไมล่ะพ่อ เราควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ ที่ตอนนี้พวกเราเริ่มมีความหวังกันแล้ว และถ้าคดีบ้านพี่ขวัญชนะ บ้านของคนอื่นๆ ที่โดนแบบเดียวกัน ก็อาจจะชนะได้เหมือนกัน”
สองสาวยิ้มให้กัน แต่ศักดิ์ยังคงมีสีหน้าเครียดเคร่งอยู่ไม่คลาย เตือนขึ้นอย่างเป็นห่วง
“แต่เราระวังไว้หน่อยก็ดีนะ คุณคมสันเขามีอิทธิพลมาก พ่อว่างานนี้เขาไม่ยอมอยู่เฉยแน่”
ทุกคนหันมามองศักดิ์แล้วอึ้งไปตามๆ กัน

อีกฟาก ที่เมืองลับแล บนเรือนท่านจอมจักรา บรรยากาศเงียบสงัดหม่นหมอง ช่อทิพย์วิมาดาและเรณูศจีนั่งทำพานบายศรีดอกไม้กันอยู่
ช่อทิพย์วิมาดาถอนหายใจแรงด้วยความกังวล ก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ท่านพี่...หากท่านรับรู้ โปรดช่วยคุ้มครองพวกเรา ชาวลับแลเมืองบังบด อย่าให้มีเรื่องร้าเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีกเลย”
เรณูศจีมองสงสัย “เหตุใดท่านแม่เมืองจึงคิดเช่นนั้น”
“ข้ากังวลใจยิ่งนัก บุษบาลาวัณย์ต้องไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่ ข้ากลัวเหลือเกินเรณูศจี ว่าความโลภโมโทสัน อยากได้ อยากมีของมนุษย์ จักย้อนกลับมาทำร้ายพวกเราอีกครั้ง”
เรณูศจีตกใจ ช่อทิพย์วิมาดาถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม

ปรางทิพย์ยังคงท่าทีอ่อนแรงเหมือนจะเป็นลม นอนพักอยู่ที่เก้าอี้ยาวห้องรับแขก โดยมีบัวคำคอยอังยาดมให้ตลอดเวลา ทรงกลดมองอย่างห่วงใย
“เป็นยังไงบ้างครับ รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“ฉันดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
“ถ้าคุณปรางยังเจ็บ หรือไม่สบายตรงไหนรีบบอกผมเลยนะครับ ผมจะพาไปหาหมอเอง”
“ขอบคุณมากนะคะ ที่คุณทรงกลดช่วยเหลือฉันตลอด ฉันไม่รู้ว่าจะตอบแทนคุณทรงกลดอย่างไรดี”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”
ทรงกลดยิ้มมองปรางทิพย์สายตาลึกซึ้งมีความหมาย ปรางทิพย์มองเข้าใจ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“พี่บัวคำไปหาน้ำเย็นๆ ให้คุณทรงกลดสักแก้วสิจ๊ะ”
บัวคำพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป
“แล้วนี่คุณทรงกลดมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีหรอกครับ พอดีผมเข้ามาทำธุระที่บ้านผู้ใหญ่ก็เลยนึกถึงคุณปราง”
“ขอบคุณค่ะที่นึกถึง โชคดีที่ครั้งนี้คุณทรงกลดมาช่วยพวกฉันไว้ได้ทัน”
“ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมคุณเนตรจ้องจะหาเรื่องคุณปรางตลอดเวลา ทั้งๆ ที่คุณปรางก็เป็นมิตรกับทุกคนที่นี่”
ปรางยิ้มไม่ตอบใดๆ ออกไป ทรงกลดถึงถามต่อ
“จริงสิครับ คุณปรางนี่เดิมเป็นคนที่ไหนเหรอครับ”
“คุณทรงกลดอยากรู้ไปทำไมเหรอคะ”
“ผมแค่อยากรู้จักคุณปรางให้มากขึ้นน่ะครับ โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ทางฝั่งคุณปราง”
“ท่านจากไปแล้วค่ะ ฉันถึงต้องมาอยู่ที่นี่”
“ผมเสียใจด้วยครับ พอดีผมเคยเจอใครคนหนึ่งที่มีลักษณะ ท่าทางคล้ายๆ คุณปราง”
ปรางทิพย์ชะงักมองอย่างสนใจ และคิดว่าอาจจะเป็นลูกชายของเธอ
“ใครคะ ผู้ชาย...หรือผู้หญิง”
“ผู้หญิงครับ”
ปรางทิพย์นิ่งคิดสงสัย ว่าอาจจะเป็นบุษบาลาวัณย์หรือมัลลิกานารี
“เธอชื่ออะไร แล้วอยู่ที่ไหนคะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เราแค่เคยเจอกันผ่านๆ น่ะครับ รู้สึกเขาจะเคยเล่าว่าบ้านเดิมอยู่ในป่าหลังน้ำตกนางลับแล”
บัวคำเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำแล้วได้ยินเข้าพอดี หันไปมองสบตาปรางทิพย์ ท่าทางตกใจกันทั้งคู่

ทรงกลดลอบสังเกตท่าทีสองสาวอยู่แล้ว ยิ้มเจ้าเล่ห์สมใจออกมา

อ่านต่อตอนที่22


กำลังโหลดความคิดเห็น