เพลงลับแล ตอนที่20 | น้ำอมฤตชุบชีวา
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
บัวคำยืนตากยาสมุนไพรในกระด้งอยู่ที่ลานหน้าบ้าน แต่แล้วต้องชะงัก เงี่ยหูฟังเสียงปรางทิพย์ร้องให้ช่วยดังมาจากในเรือน
“แม่หญิงกลับมาแล้วรึ”
บัวคำเหลียวไปมองที่บันได มีเสียงตบประตูดังโครมครามก็ยิ่งตกใจ รีบวางงานทันที
แต่พอหันตัวจะเดินไปก็เห็นบุษบาลาวัณย์เดินสีหน้าถมึงทึงตรงดิ่งไปยังประตูบันได ไวเท่าความคิดบัวคำเห็นท่าไม่ดี ร่อนกระด้งยาใส่สกัดไว้ทัน
บุษบาลาวัณย์เห็นกระด้งลอยเข้าใส่ พร้อมสมุนไพร ดอกไม้แห้ง ลอยกระเด็นตามมา จึงรีบสะบัดผ้าขึ้นรับ และหลีกหลบได้ทัน ขึงตามองจ้องบัวคำอย่างคียดแค้น
“เจ้าทำอะไรข้ามิได้ดอก บัวคำพิลาศ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็จงถอยไป”
“เหตุใดข้าต้องกลัวเจ้ากันเล่า”
“เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”
สองสาวจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วพุ่งเข้าใส่ขย้ำคอกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
บุษบาลาวัณย์โดนมือบีบคอแทบหายใจไม่ออก บัวคำเองก็หน้าแดงทำท่าจะหายใจไม่ออก
สุดท้ายสาวลับแลทั้งคู่ต่างหายใจไม่ออก เลยใช้พลังเท่าที่มีปล่อยใส่กันจนกระเด็นไปคนละทาง
บัวคำรีบลุกขึ้นจะวิ่งเข้าซ้ำแต่ต้องชะงัก เมื่อพบว่าบุษบาลาวัณย์ดูอ่อนแรงสู้ไม่ไหว ไม่รู้ว่านางแสร้งเจ็บทำให้บัวคำตายใจ
“เจ้าจงกลับออกไป แล้วอย่ามาที่นี่อีก”
บุษบาลาวัณย์ไอโขลกๆ เหมือนบาดเจ็บสาหัส บัวคำมองประเมินว่าอีกฝ่ายคงสู้ไม่ไหวแล้ว จึงหันกลับจะเข้าบ้านไป
บุษบาลาวัณย์อาศัยทีเผลอพุ่งเข้าจิกหัวจากด้านหลัง แล้วจับบัวคำโยนลอยไปฟาดกับต้นไม้แถวนั้น
บัวคำกระอักเลือดเจ็บเจียนตา พยายามฝืนตัวเองแต่สุดท้ายสังขารไม่ไหว หมดสติไปในที่สุด
บุษบาลาวัณย์ยิ้มร้ายสะใจสมใจ เหลียวขวับเข้าไปในเรือนสายตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
ปรางทิพย์ยังคงตะโกนเรียกหาบัวคำ
“พี่บัวคำ…พี่บัวคำ”
แต่กลับไม่มีเสียงตอบใดๆ ทศนนท์เองก็เริ่มไม่ไหว
“นอนนิ่งๆนะคะ” ปรางทิพย์ถอดผ้าคลุมไหล่มาซับเลือดที่หัวให้ทศนนท์ “เดี๋ยวฉันไปเอาผ้ามาทำแผลให้”
ปรางทิพย์รีบเดินออกไปโดยทิ้งผ้าคลุมไหล่ไว้กับทศนนท์
บุษบาลาวัณย์เข้าบ้านมาแล้ว หลบมุมยืนมองยิ้มร้ายกาจออกมาอย่างมีแผน
“ดี อยู่ที่นี่กันให้หมดก็ดี ข้าจะได้กำจัดเสียให้สิ้น”
บุษบาลาวัณย์พุ่งเข้าใส่บีบคอทศนนท์หมับ ทศนนท์ตกใจพอๆ กับประหลาดใจ สะบัดจนร่างบุษบาลาวัณย์ออกจนกระเด็นไป
“คุณเป็นใคร มาทำร้ายผมทำไม”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มร้าย ไม่สนใจตอบคำถาม
ทรงกลดถือถุงของฝากมาเต็มไม้เต็มมือมองไปรอบๆแล้วตะโกนเรียก
“คุณปราง…คุณปรางครับ บัวคำ..มีใครอยู่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบรับ
มีเสียงดังโครมเหมือนมีการต่อสู้กันในบ้าน ทรงกลดตกใจ แล้วยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อสายตาไปสะดุดกับร่างบัวคำที่นอนฟุบอยู่ที่พื้น รีบถลาเข้าไปช่วย พยุงบัวคำขึ้นเรียกสติ
“บัวคำ…บัวคำ…”
บัวคำได้สติ
“เกิดอะไรขึ้น แล้วคุณปรางล่ะอยู่ไหน”
บัวคำรวบรวมแรงยกแขนชี้ไปด้านใน
“อยู่ด้านใน รีบเข้าไปช่วยคุณปรางที”
ทรงกลดจับบัวคำให้นั่งพิงต้นไม้ถนัดๆ “รอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะไปช่วยคุณปรางก่อน”
บัวคำพยักหน้ารับเอาคำ ทรงกลดกระโจนขึ้นบันไดเรือน เปิดประตูเข้าไปในบ้านอย่างร้อนใจ
บุษบาลาวัณย์จับคอทศนนท์ยกขึ้น จนเท้าลอยขึ้นไม่แตะพื้น ขณะที่ทศนนท์พยายามจะเอาเท้าแตะพื้น ทศนนท์โดนบีบคอยกลอยขึ้นจนหน้าแดง เริ่มจะขาดอากาศหายใจ
“พวกแกต้องชดใช้ให้พ่อกับพี่ชายข้า”
ปรางทิพย์เดินเข้ามาเห็นตกใจสุดขีด ทิ้งของในมือลงพื้นโลดแล่นเข้าไปช่วยทศนนท์ ผลักบุษบาลาวัณย์ออกเต็มแรงจนฝ่ายนั้นล้มลง ร่างทศนนท์ทรุดลงกับพื้นเรือน
ปรางทิพย์เองก็อ่อนแรงลงทรุดฮวบไปกับพื้น พยายามขืนตัวเองไว้
บุษบาลาวัณย์ลุกขึ้นมาได้ก่อน สะบัดผ้าคลุมไหล่ใส่ปรางทิพย์เต็มแรง แต่ทศนนท์พุ่งเข้ามาเอาตัวบังปรางทิพย์ไว้ ผ้าคลุมไหล่เลยฟาดใส่แผ่นหลังทศนนท์จังๆ จนล้มลงหน้าต่อตาปรางทิพย์
บุษบาลาวัณย์จะเข้าซ้ำไม่ให้ใครตั้งตัวทัน แต่ปรางทิพย์ฮึดขึ้นสู้ด้วยความแค้น วาดมือตบเข้าที่หน้าบุษบาลาวัณย์จนกระอักเลือดออกมา
ดวงตาปรางทิพย์เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ วาดมือขึ้นจะซ้ำ แต่แล้วก็ชะงัก ได้สติ ดึงตัวเองออกจากความโกรธ
“ไม่”
ปรางทิพย์ผ่อนลมหายใจ แววตากลับมาเป็นปกติ
อันเป็นจังหวะเดียวกับที่มีเสียงของทรงกลดเรียกดังขึ้น
“คุณปรางครับ คุณปราง”
บุษบาลาวัณย์ตกใจจำเสียงนั้นได้ เหลียวไปทางเสียง
“คุณทรงกลด”
ปรางทิพย์เป็นห่วงทศนนท์ จึงตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียง
“คุณทรงกลด ฉันอยู่ในนี้ ช่วยฉันด้วย”
บุษบาลาวัณย์อาศัยทีเผลอ พุ่งเข้าไปผลักปรางทิพย์จนตัวลอยกระเด็นไปกระแทกผนังบ้านดังโครม
จากนั้นก็รีบถอยหลังหลบมุมแทรกผนังบ้านหายตัวไป เมื่อทรงกลดวิ่งเข้ามา ก็เห็นเพียงปรางทิพย์กำลังอ่อนแรงทรุดลงที่พื้น เขาเข้ารับไว้ทันท่วงที
“คุณปราง!คุณปราง”
“ฉันไม่เป็นไร คุณทศ...คุณช่วยไปดูคุณทศที...นะคะ”
“ครับ”
ทรงกลดจำใจหันไปช่วยทศนนท์ที่นอนหมดสติอยู่ที่พื้น
ในเวลาเดียวกัน นิรชากับกฤตณีเดินคุยกันมาตามถนนในหมู่บ้าน สีหน้าเซ็งๆ
“อุตส่าห์ตามไป ไม่เห็นได้อะไรเพิ่มเลยแก”
“เอาน่า คนเราทำความผิดอะไรไว้ สักวันมันก็หลุดมาเองแหละ”
“หรือพี่แต้มจะรู้ตัวหรือเปล่า”
“นั่นสิ” นิรชาสงสัย บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นบางอย่างในบ้านปรางทิพย์ “เอ๊ะ...นั่นมันนายทรงกลดนี่”
กฤตณีมองตาม “เออใช่ๆ แล้วเขาพยุงใครอะดูคุ้นๆ อ้าว! คุณปรางกับคุณทศใช่ไหมนั่น”ฃ
ทรงกลดพยุงทศนนท์ซึ่งหมดสติอยู่เข้าไปในรถ
ปรางทิพย์กับบัวคำพยุงกันตามออกมา ท่าทางเจ็บหนักทั้งคู่
“ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ เรารีบเข้าไปช่วยพวกเขากันเถอะ”
นิรชาพยักหน้ารับ ทั้งคู่รีบวิ่งเข้าไปสมทบ
สองสาวยิ้มทัก กฤตณีแสดงน้ำใจกับปรางทิพย์ “ให้พวกเราช่วยไหมคะ”
ปรางทิพย์ยิ้มรับเนือยๆ
“ขอบคุณค่ะ”
สองครูสาวเข้าช่วยประคองปรางทิพย์กับบัวคำขึ้นรถ พอนิรชาเห็นทศนนท์สลบอยู่ในรถก็ยิ่งตกใจ
“นี่คุณทศเป็นอะไรคะ คุณปรางเองก็เหมือนถูกทำร้ายมาเหมือนกัน”
ทรงกลดตัดบท “รีบพาทุกคนไปหาหมอก่อนครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังระหว่างทาง”
“ค่ะๆ งั้นเดี๋ยวฉันกับคิตตี้ไปด้วยนะคะ จะได้ช่วยดูคุณปรางกับพี่บัวคำให้”
“ขึ้นรถเลยครับ”
ทุกคนขึ้นรถไปด้วยกัน ทรงกลดออกรถอย่างเร็วและแรง มุ่งหน้าไปทางสถานีอนามัย
ทศนนท์และปรางทิพย์ยังอยู่ในชุดชาวเมืองลับแล โดยที่ปรางทิพย์ทิ้งผ้าคลุมไหล่ไว้ที่บ้าน
ในห้องตรวจและรักษา ปรัชญาทำแผลให้ทศนนท์เรียบร้อยแล้ว เขาเริ่มได้สติ มองไปรอบๆ ไม่เห็นปรางทิพย์จึงถามหาด้วยความเป็นห่วง
“คุณปรางล่ะครับ อยู่ที่ไหน”
ปรางทิพย์กับบัวคำท่าทางดีขึ้นทั้งคู่ เดินข้ามาหาทศนนท์
“ฉันอยู่นี่ค่ะคุณทศ” ปรางทิพย์ยิ้มโล่งใจ มองทศนนท์อย่างห่วงใย “คุณเป็นไงบ้าง”
นิรชามองทั้งคู่แล้วซึมไปนิดๆ จาริณีถือเครื่องมือเดินตามมา
“คุณปราง พี่บัวคำคะ ไปตรวจความดันให้เรียบร้อยก่อนค่ะ”
ปรางทิพย์เลี่ยงไม่ยอมไปตรวจ เพราะกลัวความลับที่ไม่ใช่มนุษย์จะถูกเปิดเผย
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันหายดีแล้วค่ะ”
“ถึงยังไงก็ต้องตรวจก่อนนะคะ บางทีมองภายนอกอาจจะไม่พบสิ่งผิดปกติ”
“พวกเราไม่เป็นไรจริงๆ” บัวคำสำทับ
ทรงกลดเอ่ยขึ้นว่า “หรือจะเข้าไปตรวจในเมืองก็ได้ เครื่องไม้เครื่องมือจะได้ครบกว่านี้”
จาริณีไม่พอใจคำพูดดูแคลนนั้น “ถ้าเครื่องวัดความดันก็คงเหมือนกันทุกที่แหละค่ะ ยกเว้นจะไปตรวจซีทีสแกน ที่นี่คงไม่มี”
ปรัชญาไม่อยากให้มีเรื่อง “เดี๋ยวผมคุยให้เอง งั้นไม่ต้องตรวจก็ได้ครับ แต่ให้คุณจ๋าทำแผลให้ก่อน”
ปรางทิพย์กับบัวคำมองหน้ากัน ท่าทีอ่อนลง
จาริณีเป็นปลื้มที่หมอแก้ปัญหาได้ดี “นั่งตรงนี้นะคะเดี๋ยวจ๋าจะไปเตรียมอุปกรณ์มาทำแผลให้”
“ค่ะ แล้วอาการคุณทศเป็นยังไงบ้างคะ”
“เท่าที่ตรวจมีแค่แผลพกซ้ำตามร่างกายและหัวแตกนิดหน่อย ไม่ถึงขนาดต้องเย็บ แต่ถ้าจะให้แน่ใจกว่านี้ต้องไปตรวจให้ละเอียดในตัวเมืองอีกที”
“คงไม่ต้องไปตรวจในเมืองหรอกครับผมดีขึ้นแล้ว แล้วผมจะกลับบ้านได้เลยไหมครับหมอ” ทศนนท์บอก
ทรงกลดนึกได้ “ตกลงใครทำร้ายพวกคุณเหรอครับ เดี๋ยวผมจะไปช่วยแจ้งความให้”
บัวคำรีบตัดบท “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คนร้ายไม่ได้ทรัพย์สินอะไรไป”
“แต่พวกมันอาจจะย้อนกลับมาก็ได้นะคะ” จาริณีเป็นห่วงจริงๆ
“คงไม่กล้าแล้วล่ะค่ะ เพราะคนร้ายก็บาดเจ็บเหมือนกัน”
ทุกคนมีสีหน้าแปลกใจ ทรงกลดจะซักต่อ ทศนนท์รีบตัดบท
“แล้วผมกลับบ้านได้เลยไหมครับหมอ”
“ผมว่าคืนนี้คุณควรพักที่นี่ดูอาการก่อนจะดีกว่าเผื่อมีอาการแทรกซ้อน ผมจะได้ส่งตัวไปที่อำเภอ”
นิรชากระซิบเบาๆ ชวนกฤตณีกลับ “คิตตี้เสร็จธุระแล้วเรากลับกันเถอะ”
“อะไรกันแกช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดสิ” กฤตณีไม่เห็นด้วยหันไปถามหมอ “แปลว่าคุณทศต้องนอนที่นี่เหรอหมอ” หมอปรัชพยักหน้ารับ “งั้นดีเลยเดี๋ยวคิตตี้นอนเฝ้าให้เอง”
ปรางทิพย์มองทศนนท์อย่างเป็นกังวล โพล่งขึ้นด้วยกลัวว่าบุษบาลาวัณย์กลับมาทำร้าย
“คุณทศจะนอนที่นี่ไม่ได้”
กฤตณีตกใจ “อุ๊ย…คิตตี้ล้อเล่นนะคะ”
บัวคำแตะแขนเชิงห้ามไว้ เพราะปรางทิพย์เองต้องรีบกลับไปเมืองลับแลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ในวันนี้ ที่สำคัญยาเมืองมนุษย์ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้
“คุณปรางคะ ปล่อยให้คุณทศนอนพักที่นี่ก่อนเถอะค่ะ พวกเรากลับกันไปก่อน แล้วค่อยมาใหม่จะดีกว่า”
ทรงกลดเห็นดีด้วย “นั่นสิครับคุณปรางกับบัวคำก็เจ็บกันทั้งคู่ ผมว่ากลับไปพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมจะไปส่ง”
“เดี๋ยวฉันกับคิตตี้จะไปตามคุณพีมาเฝ้าคุณทศให้เองค่ะ” นิรชาบอก
“แล้วหมอก็เอาชุดมาเปลี่ยนให้คุณทศด้วยล่ะ” คิตตี้เพิ่งสังเกตเห็นว่า ทศนนท์กับปรางทิพย์ แต่งตัวโบราณเหมือน เลยถามทศนนท์โดยไม่ได้คิดอะไรว่า “แต่งตัวเข้าคู่กันแบบนี้ ไปเที่ยวไหนกันมาเหรอคะ”
“เอ่อ...”
ทศนนท์มองหน้าปรางทิพย์แว่บเดียว ได้แต่ยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
นิรชามองทั้งคู่ด้วยความเศร้า เข้าใจว่าที่ทศนนท์หายไปเพราะไปเที่ยวกับปรางทิพย์มา
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวผมช่วยดูแลให้เอง” หมอปรัชบอกปรางทิพย์
บัวคำมองปรางทิพย์ เร่งให้รีบตัดสินใจ ปรางทิพย์มองทศนนท์อย่างชั่งใจ
อีกฟากหนึ่ง บุษบาลาวัณย์ในชุดมนุษย์ปรากฎตัวขึ้นกลางห้องโถงแล้วล้มฟุบลงกับพื้น มีห่อผ้าห่อทองคำจากเมืองลับแลติดมาด้วย
คมสันเดินออกมาเห็นเข้าก็ตกใจตะโกนเรียกสาวใช้ให้มาช่วย
“จี๊ด! จี๊ดอยู่ไหน ออกมานี่หน่อย”
“ขาคุณท่าน...”
สาวใช้วิ่งหน้าตั้งออกมามองบุษบาลาวัณย์ด้วยความตกใจ
“ว้าย...”
จี๊ดรีบเข้าไปช่วยพยุง บุษบาลาวัณย์กระอักเลือดออกมา
“ว้ายตายแล้ว! อ้วกเป็นเลือดอีกแล้ว จะทำยังไงดีคะท่าน”
คมสันครุ่นคิดหนักใจ
“เดี๋ยวฉันจะรีบโทรตามหมอ เธอช่วยพยุงไว้ก่อน”
คมสันหยิบมือถือขึ้นมากดโทร.ออก บุษบาลาวัณย์พยายามตั้งสติ คว้ามือถือคมสันมากดวางสาย
“ไม่ต้องโทรค่ะเดี๋ยวฉันก็ดีขึ้น” เธอหันไปทางสาวใช้ “พาฉันขึ้นไปบนห้องที”
จี๊ดมองกล้าๆกลัวๆ
บุษบาลาวัณย์ตะคอกเร่ง “เร็วๆสิ”
จี๊ดรีบพยุงพาบุษบาลาวัณย์ลุกขึ้นเพราะกลัวโดนด่า คมสันมองเห็นห่อผ้าตกอยู่ที่พื้น รีบเดินเข้าไปหยิบขึ้นมามองอย่างสงสัย
“นี่ถุงอะไรทำไมมันหนักๆ”
บุษบาลาวัณย์หันขวับมาคว้าห่อผ้ากลับไปอย่างหวงแหน
“รีบพาฉันขึ้นไปเร็วๆ”
จี๊ดรีบพยุงบุษบาลาวัณย์เดินออกไป
คมสันมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด สงสัยทั้งอาการป่วย และห่อผ้าที่บุษบาลาวัณย์หวงแหนนั้น
ฝ่ายปรางทิพย์ลงจากรถโดยมีบัวคำช่วยประคอง ทรงกลดรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองปรางทิพย์แต่ปรางทิพย์ผละตัวออกไม่ให้เขาโดนตัว ทรงกลดนิ่งไปไม่ถือสา แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูบันไดขึ้นบ้านให้
บัวคำประคองปรางทิพย์มาที่ประตูบ้าน
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
“ด้วยความยินดีครับ เดี๋ยวผมเข้าไปส่งด้านใน”
บัวคำเสียงแข็งแทบเป็นตวาด “ไม่ต้อง!...ค่ะ คุณกลับไปเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันดูแลคุณปรางเอง”
ทรงกลดเป็นห่วง “จะดูแลกันได้ยังไง บัวคำก็เจ็บอยู่นะ อีกอย่างบ้านก็มีแต่ผู้หญิงถ้าคนร้ายกลับมาจะทำยังไง”
ปรางทิพย์ยิ้มบางๆ ให้ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ฉันกับพี่บัวคำเราอยู่กันได้”
“แต่…”
เสียงมือถือทรงกลดดังขัดขึ้น เขามองลังเลใจจะรับไม่รับดี
“รับเถอะค่ะ เผื่อมีธุระสำคัญ”
ทรงกลดพยักหน้าห็แล้วกดรับสายจากบิดา
“ครับพ่อ” ทรงกลดรับฟังด้วยสีหน้าตกใจ “อะไรนะ...ครับๆ…เดี๋ยวผมจะรีบกลับไปดูเอง” เขาวางสายแล้วหันมามองปรางทิพย์ท่าทีอึกอัก “ผม…”
ปรางทิพย์เข้าใจ
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ปรางทิพย์พยักหน้าให้ บัวคำมองตามทรงกลดที่เดินไปขึ้นรถ ขับออกไปเลย อย่างโล่งใจ
บัวคำประคองปรางทิพย์เข้าบ้านมา
ปรางทิพย์นึกขึ้นได้ “ทำไมพี่บัวคำถึงได้ปรามข้าไม่ให้อยู่ดูแลคุณทศ”
บัวคำมองห่วง “แม่หญิงต้องรีบกลับไปทำพิธีรักษาตัวที่บ่อน้ำอมฤตก่อน เพราะทั้งข้าและแม่หญิงต่างเสียพลังไปอักโข ถึงอยู่ก็ช่วยอะไรคุณทศไม่ได้อยู่ดี”
ปรางทิพย์หนักใจ “แต่ข้า…”
“แม่หญิงเป็นห่วงคุณทศ กลัวบุษบาลาวัณย์จะกลับมาทำร้ายอีกใช่หรือไม่”
ปรางทิพย์ถอนหายใจด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“หรือแม่หญิงกลัวครูเนียร์”
ปรางทิพย์หันมองบัวคำแล้วอึ้งไป
บัวคำได้แต่ปลอบใจ “อย่าได้วิตกไปเลยแม่หญิง หากเป็นคู่กันแล้วผู้ใดก็พรากพวกท่านมิได้ดอก”
ปรางทิพย์มองบัวคำอย่างเข้าใจแต่ไม่วายกังวล
กฤตณีกับนิรชาลงจากมอเตอร์ไซค์หน้าบันไดขึ้นบ้าน กฤตณีตะโกนเรียกพีรพรเสียงดัง
“คุณพี…คุณพี…”
นิรชาช่วยเรียกแต่เห็นเงียบๆ ก็แปลกใจ “คุณนุ…คุณนุ…หรือว่าเขายังไม่กลับกัน”
“นั่นสิ”
“มีอะไรเหรอครับครูเนียร์ ครูคิตตี้”
พีรพรลงบันไดมาหาสองสาวมองด้วยสีหน้าสงสัย
“ตอนนี้คุณทศได้รับบาดเจ็บ กำลังรักษาตัวและต้องพักดูอาการอยู่ที่อนามัยค่ะ”
พีรพรตกใจ “เป็นไปได้ไง พี่ทศบอกจะไปธุระ แล้วอยู่ๆทำไมถึง...”
กฤตณีตัดบท “อย่าเพิ่งถามอะไรเลย คุณรีบไปเตรียมของแล้วไปเฝ้าไข้คุณทศจะดีกว่า”
พีรพรลนลานใหญ่ตามประสา “แล้วผมจะไปยังไง รถก็ไม่มี”
กฤตณีมองหมั่นไส้ “ขาก็ไม่ขาดนี่”
“งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน คิตตี้แกไปส่งฉันที่บ้าน ส่วนคุณก็ไปเตรียมตัว แล้วแกค่อยมารับคุณพีไปส่งที่อนามัย”
“ให้ผมไปกับครูคิตตี้นี่นะ ยางจะแตกไหมเนี่ย” พีรพรหยอกๆ เอาคืน
กฤตณีฉุน “งั้นเดินไปเองก็แล้วกัน”
“ผมล้อเล่น ขอบคุณนะ เดี๋ยวผมรีบไปเก็บของก่อน”
กฤตณีพยักหน้ารับเซ้งๆ พีรพรรีบวิ่งกลับขึ้นเรือนไปเตรียมของ
นิรชามองกฤตณียิ้มขำๆ ให้กัน ไม่ถือสาพีรพร
ทศนนท์เปลี่ยนชุดใหม่แล้ว เวลานี้นอนอยู่บนเตียงคนไข้ หันหลังให้ประตู จนเสียงเปิดประตูดังขึ้น
ทศนนท์พูดโดยไม่ได้หันมองนึกว่าเป็นพีรพร “มาแล้วเหรอ พี่ลืมบอกแก...”
แต่พอหันไปดูพบว่าเป็นใครก็ต้องแปลกใจ เห็นเนตรมายาเดินเข้ามาพร้อมกับเชื่อม
“คุณทศเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหน หรืออยากทานอะไรไหม เดี๋ยวเนตรให้ป้าเชื่อมไปหามาให้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมดีขึ้นแล้ว แต่ก็ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”
เชื่อมช่วยเสริม “ห่วงมากเลยแหละค่ะ นี่พอรู้ข่าวเรื่องคุณทศ เจ้าแม่ก็รีบมาเลยนะคะ”
เนตรมายาเหลือบไปเห็นรอยช้ำที่คอทศนนท์ก็ตกใจ รีบเข้าไปจับดูอย่างห่วงใย
“คอของคุณ...”
ทันทีที่แตะถูกคอทศนนท์แม่หมอก็ชะงัก มีควันสีดำลอยใส่มือโดยมีเนตรมายาเห็นคนเดียว เจ้าแม่คุมแค้น
“นี่มันทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ นังปีศาจ”
ทศนนท์ได้ยินไม่ถนัด “คุณหมายถึงอะไร”
เสียงเปิดประตูห้องเปิดเข้ามาดังขัดจังหวะขึ้นก่อน ตามด้วยพีรพรเดินปรี่เข้ามาหา ถือถุงเสื้อผ้ามาด้วย
“พี่ทศเป็นไงบ้าง เกิดเรื่องอะไรกันแน่พี่”
เชื่อมมองพีรพร คันปากยิบๆ เนตรมายามองเชิงห้าม เหมือนมีแผนในใจแล้ว พีรพรยิ้มทักเจ้าแม่กับคนสนิท
“คุณเนตรกับป้าเชื่อมก็มาเยี่ยมพี่ทศเหรอครับ”
เนตรมายายิ้มรับ หันไปขอตัวกับทศนนท์
“คุณพีมาแล้ว งั้นฉันขอตัวนะคะคุณทศ กลับกันเถอะ”
เชื่อมมองเนตรมายางงๆ ว่าอยู่ๆ ก็เปลี่ยนไป แต่ก็เดินตามออกไปโดยดี
“กลับแล้วนะคะ”
ทั้งคู่เดินออกไปเลย
ทศนนท์มองตามอย่างแปลกใจ ที่อยู่ๆ ก็กลับไปกันง่ายๆ พีรพรเองก็ยังเง็ง
“ทำไมวันนี้ดูพวกเขาแปลกๆ ไป”
“คงไม่มีอะไรหรอก”
ทศนนท์นิ่งคิดเป็นห่วงปรางทิพย์กลัวจะโดนบุษบาลาวัณย์ย้อนกลับมาทำร้าย แล้วก็อดคิดไม่ได้กลัวเนตรมายามีแผนทำร้ายปรางทิพย์อีก
กฤตณีกำลังพยายามสตาร์ตมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าสถานีอนามัย แต่สตาร์ตเท่าไหร่ก็ไม่ติด
“เป็นอะไรคะลูก อยากให้แม่ไปเฝ้าไข้พ่อเหรอ ถึงไม่อยากให้กลับ” คิตตี้เล่นเองขำเอง
มีเสียงเนตรมายากับเชื่อมคุยกันดังแทรกขึ้น
“ทำไมอยู่ๆ เจ้าแม่ถึงยอมกลับง่ายๆ ล่ะ”
“อยู่ไปก็ช่วยคุณทศไม่ได้น่ะสิ”
กฤตณีชะงัก หันไปมอง พยายามเงี่ยหูฟัง เห็นเนตรมายากับเชื่อมเดินคุยกันลงบันไดมา
“เจ้าแม่จะช่วยคุณทศยังไง แล้วทำไมไม่เตือนคุณทศเรื่องนังผีแม่ม่ายล่ะ”
“เตือนไปคุณทศก็ไม่เชื่ออยู่ดี สักวันฉันจะทำให้คุณทศเห็นว่านังผีนั่นมันร้ายกาจขนาดไหน”
เชื่อมนึกได้ “จะไปยากอะไรล่ะ เจ้าแม่ก็ทำเสน่ห์ใส่คุณทศเลยสิ ขี้คร้านจะรีบตามเจ้าแม่ไปทุกที่”
กฤตณีตาโตตกใจ
“ทำเสน่ห์เลยเหรอ”
กฤตณีรีบจูงมอเตอร์ไซค์ออกไป ไม่อยากให้สองคนเห็น
เนตรมายาหันมายิ้มขื่นๆ กับเชื่อม
“จะทำแบบนั้นเพื่ออะไร ในเมื่อได้ไปก็มีแต่ซากที่ไร้หัวใจอยู่ดี คนอย่างฉันต้องได้ทั้งตัวและหัวใจเท่านั้น
เสียงสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์ขับแล่นออกไป เนตรมายากับเชื่อมมองตามเสียงนั้นอย่างแปลกใจ
ทางด้านบุษบาลาวัณย์นอนขดตัวงออยู่บนเตียง ด้วยท่าทางอ่อนแรง มีสาวใช้ใส่หน้ากากผ้าปิดปากปิดจมูก ช่วยเช็ดตัวอยู่ข้างๆ
บุษบาลาวัณย์ลุกขึ้นโก่งคอทำท่าทางเหมือนจะอาเจียน จี๊ดรีบเอากระโถนมารองให้ พลางมองอย่างรังเกียจกลัวติดเชื้อ มีเสียงประตูห้องเปิดเข้ามา ทรงกลดปรี่เข้ามามอง เห็นสภาพบุษบาลาวัณย์ก็ตกใจ
“คุณเป็นขนาดนี้ ทำไมไม่ยอมไปหาหมอ”
“ฉันไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ทรงกลดพยักหน้าบอกสาวใช้ “ออกไปก่อน เดี๋ยวฉันดูแลคุณบุษเอง”
“ค่ะ”
จี๊ดรีบออกไป ทรงกลดรอจนจี๊ดปิดประตูลง จึงถามบุษบาลาวัณย์เสียงขุ่นอย่างสงสัย
“ทำไมคุณถึงดื้ออย่างนี้ แค่ไปหาหมอทำไมถึงไม่ยอมไป”
“หมอช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“ได้ไม่ได้ก็ต้องไป” เขาพยายามดึงบุษบาลาวัณย์ให้ลุกขึ้น “มาเดี๋ยวผมจะพาคุณไปเอง”
บุษบาลาวัณย์ดึงมือกลับไม่พอใจ “ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีใครช่วยฉันได้”
ทรงกลดเป็นห่วง และชักหงุดหงิดมากขึ้น “ถ้าหมอช่วยคุณไม่ได้ ผมก็คงช่วยคุณไม่ได้เหมือนกัน ผมว่าคุณน่าจะกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านคุณนะ เพราะผมเองก็ไม่มีเวลามานั่งเฝ้าคุณทั้งวันหรอก”
ทรงกลดหันกลับจะเดินออกไป
บุษบาลาวัณย์อึ้งนิ่งงันไป กลัวทรงกลดไม่พอใจ รีบร้อนคว้าแขนเข้าไว้ จนห่อผ้าตกลงที่พื้น แง่งทองคำจากห่อผ้าตกกระจายลงเกลื่อนพื้น ทรงกลดมองทองคำด้วยสีหน้าตกใจ
“คุณไปเอาทองมาจากไหนเยอะแยะ”
“ที่บ้านฉันมีมากกว่านี้อีก แทบจะเอามาปูเป็นทางเดินได้เลย”
แววตาทรงกลดวาววาบด้วยความโลภขึ้นมาทันที ก้มลงเก็บทองใส่ห่อผ้าคืนให้ พูดด้วยท่าทีอ่อนลง
“ผมจะโทร.บอกหมอให้มาตรวจดูอาการคุณที่นี่ก็แล้วกัน”
บุษบาลาวัณย์ไม่อยากมีปัญหา “ตามใจคุณ”
ทรงกลดมองสาวลับแลด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เงาพระจันทร์สะท้อนในน้ำของบ่อน้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของน้ำตกนางลับแลมาช้านานแล้ว แสงจันทราสาดส่องต้องผิวน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์ยิ่งดูเขล้มขลัง
เรณูศจีเดินถือตะเกียงเจ้าพายุนำหน้าทุกคนเข้ามาในนั้น มืออีกข้างถือตะกร้าใส่ดอกไม้และอุปกรณ์ทำพิธี
บัวคำพิลาศประคองปรางทิพย์มณฑาทองเดินตามเข้ามา ในมือถือตะเกียงเจ้าพายุส่องทาง
เรณูศจีถือตะเกียงเดินตรงมาที่บ่อน้ำอมฤตแล้วจุดกะลาสาย เพื่อเป็นการขอขมา แล้วโปรยกลีบดอกไม้ลงในน้ำตามพิธีโบราณ กลีบดอกมณฑาทองและดอกไม้สีแดง สีขาว ลอยวนในบ่อนั้น
เรณูศจีหลับตาพนมมือขึ้นไหว้เพื่อทำพิธี
ไม่นานนักเริ่มมีควันลอยขึ้นเหนือน้ำ เหมือนบ่อน้ำแร่จากธรรมชาติ เป็นการส่งสัญญาณว่าพร้อมใช้งานแล้ว
เรณูศจีลืมตาขึ้นมองแล้วยิ้มที่ทำพิธีสำเร็จแล้ว
“น้ำอมฤตพร้อมแล้วเจ้าคะแม่หญิง”
เรณูศจีเข้าไปช่วยประคองปรางทิพย์มณฑาทองคนละข้างกับบัวคำพิลาศ
สามสาวยืนนิ่งที่หน้าบ่อ
บัวคำพิลาศและเรณูศจีช่วยกันปลดผ้าแถบคลุมกายปรางทิพย์มณฑาทองแล้วหมุนผ้าออกช้าๆ วางผ้าแถบกองอยู่ที่พื้นปากบ่อ
ผ้าถุงเป็นอาภรณ์สุดท้ายที่ปลดเปลื้องจากกายปรางทิพย์ลงมากองที่พื้น จนร่างเปลือยเปล่า เธอก้าวเท้าลงไปในบ่ออมฤตช้าๆ จนน้ำเริ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ
แสงไฟจาก กะลาสาย
ปรางทิพย์มณฑาทองลงแช่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ไอน้ำลอยฟุ้งเป็นหมอกควันสวยๆ ด้วยแสงสีนวลจากแสงตะเกียง และกะลาสาย มีกลีบดอกไม้ลอยเหนือน้ำส่งกลิ่นหอมคละคลุ้ง
ปรางทิพย์มณฑาทองหลับตา เหงื่อบนใบหน้าผุดออกมาเป็นเม็ดๆ เหมือนร่างกายกำลังขับไล่ความเจ็บปวดออกมา น้ำในบ่อผุดพราย เดือดขึ้นเป็นลำดับ
ใต้แสงจันทร์และแสงจากตะเกียง รวมทั้งกะลาสาย พบว่าใบหน้าปรางทิพย์มณฑาทองเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอลืมตาขึ้นเหมือนจะทนไม่ไหว
บัวคำพิลาศแลเรณูศจี มองหน้ากันอย่างกังวลใจ
ส่วนที่ร้านกาแฟศักดิ์-ตาล กฤตณีกำลังช่วยกันกับนิรชาเก็บของปิดร้าน
“เนียร์แกจะไม่แสดงความคิดเห็นอะไรบ้างเหรอ”
นิรชาเก็บของ ไม่อยากสนใจ “จะให้ฉันทำอะไรล่ะคิตตี้ คุณทศกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย อีกอย่างฉันก็ไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณเนตรจะทำอะไรคุณทศได้”
“แต่เรื่องทำเสน่ห์นี่มันมีมาตั้งแต่พระเจ้าเหาแล้วนะแก ไม่เชื่อก็ต้องหาทางป้องกันไว้จะดีกว่า เกิดยัยหมอผีนั่นมีวิชาเข้าจริงๆ มีหวังคุณทศเสร็จมันแน่”
“พอๆ เลย รีบเก็บของเร็วๆ”
กฤตณีตกใจ “ตายแล้วแก”
“อะไรอีกล่ะ”
“ป่านนี้คุณทศจะได้กินข้าวหรือยังนะ”
นิรชาประชด “เดี๋ยวก็คงมีคนเอาข้าวไปให้เขาเองแหละ เสน่ห์แรงขนาดนั้น”
“แล้วถ้าไม่มีคนเอาข้าวไปส่งล่ะจะทำยังไง เขาป่วยอยู่นะ มาอยู่ไกลบ้าน แถมยังมาเจ็บตัวอีก แกนึกดูสิมันจะอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอาดูรสิ้นสูญไปทุกๆ สิ่งแค่ไหน”
นิรชามองหมั่นไส้ “มาเป็นเพลงเลยนะแก”
“เนียร์…ฉันเป็นห่วงเขา”
“เขาไหน”
กฤตณียิ้มเจ้าเล่ห์ “ทุกคนที่หล่อหน้าตาดีและยังไม่มีแฟน”
“แกนี่ ฉันไม่เข้าใจเลยทำไมชอบอะไรนักหนา” นิรชาส่ายหัวขำๆ
กฤตณียิ้ม “ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เปย์ด้วยกับข้าวจ้า เผื่อเขาจะเห็นในความมีน้ำใจของฉันบ้าง” กฤติณีมองจับผิด ดักคอนิรชา “แต่แกห้ามชิงตัดหน้าฉันนะ”
“อะไรๆ จะไปไหม เดี๋ยวฉันก็เปลี่ยนใจไม่ไปด้วยหรอก”
“ไปๆ เดี๋ยวฉันไปเอาหมูมาผัดให้คุณทศดีกว่า” กฤตณียิ้มๆ เดินตุ๊ตะนำออกไป
นิรชามองตาม ยิ้มขำในความขี้หลีของสาวอวบอารมณ์ดี
ไม่นานต่อมา กฤตณีและนิรชาเดินถือปิ่นโตเข้ามาในห้องพักฟื้นที่อนามัย เห็นพีรพรกำลังโซ้ยมาม่าอยู่แล้วหยุดชะงักมองที่ปิ่นโต
“คุณทศคะ คิตตี้เอากับข้าวมาฝากค่ะ จะกินเลยไหมคะ เดี๋ยวคิตตี้ป้อน”
ทศนนท์นอนเอนอยู่บนเตียงยิ้มให้สองสาว “ขอบคุณครับผมกินเองได้”
พีรพรยิ้มกริ่ม มองอ้อนนิรชา “มีอะไรมาฝากบ้างครับ ผมกำลังหิวเลย แล้วก็มีนางฟ้ามาโปรดแท้ๆ”
“ต้องขอบคุณครูคิตตี้ค่ะ เจ้านั้นเขาลงมือเข้าครัวเองเลย”
กฤตณียืดตัวยิ้มรับอย่างภาคภูมิ “ก็สวยและจิตใจดีแบบนี้ หาทั้งปฐพีก็ไม่เจอนะจ๊ะ”
“สวยชัดมาก มาแบบจอทีวีดิจิตอล Full HD เลย” พีรพรทำท่าสยองประกอบ
กฤตณีแว้ดใส่ “นี่! หาว่าฉันอ้วนเหรอ”
“เปล่านี่ครับ ครูคิตตี้ก็ผอมนิดเดียวเอง นอกนั้นอ้วนหมด”
กฤตณีเต้นเร่าๆ “นี่”
“เอาล่ะๆ กินข้าวกันดีกว่านะคะ เดี๋ยวคุณทศจะได้กินยา” นืรชายื่นปิ่นโตให้พีรพร “นี่ของคุณค่ะ”
“พี่กินเองได้ใช่ไหม ผมจะได้กินเลย”
“ได้สิ หัวแตกนะไม่ได้แขนหัก”
นิรชายื่นปิ่นโตให้ทศนนท์ “นี่ของคุณค่ะ”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณนะครับครูคิตตี้ อาหารน่ากินมาก”
“คนก็น่ากินนะคะ” คิตตี้ว่า
ทศนนท์ยิ้มขำ ปลดสายปิ่นโตตักข้าวเข้าปาก
“กินเยอะๆนะคะเพราะคิตตี้ใส่หัวใจลงไปด้วย”
ทศนนท์และพีรพรสำลักข้าวพรวดออกมาพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะพีรพร เวอร์สุดๆ นิรชาตกใจรีบรินน้ำใส่แก้วให้ทศนนท์ดื่มด้วยความเป็นห่วง
“ตายแล้ว...คุณ เป็นยังไงบ้าง”
ปรัชญาในชุดปกติ เดินเข้ามาเห็นแล้วอึ้งไป นิรชาหันมาเห็น
“อ้าวหมอ…มาพอดี ฉันทำกับข้าวมาเผื่อเยอะเลย จะกินเลยไหม”
ปรัชญาทำหน้าไม่ถูก “ได้ๆ”
นิรชาเดินมาหยิบปิ่นโตให้ปรัชญา
ทศนนท์มองปรัชญาและนิรชาแววตาเศร้า เจ็บปล่าในใจ เพราะเริ่มมีใจให้ครูสาวแล้วทีละนิดๆ
ปรัชญาเห็นวี่แววนั้นในสายตา
อีกฟากหมอประจำบ้าน เก็บเครื่องมือตรวจ สีหน้าแปลกใจสุดจะประมาณ
“อาการเป็นไงบ้างครับหมอ”
หมอถอนหายใจ “ผมไม่เคยเจอแบบเคสนี้เลย”
ทรงกลดนิ่วหน้าฉงน “เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ผมตรวจหาคลื่นหัวใจไม่ค่อยเจอ ไหนจะความดันที่ไม่คงที่อีก”
ทรงกลดหันไปมองบุษบาลาวัณย์งงๆ สาวลับแลหลบตาวูบ
“มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ”
“นั่นสิครับ ผมเองก็แปลกใจ อยากให้คุณทรงกลดพาคุณบุษบาไปตรวจให้แน่ใจอีกทีที่โรงพยาบาล เผื่อเป็นอะไรจะได้รีบทำการรักษา”
บุษบาลาวัณย์บอกขึ้นทันที “ฉันดีขึ้นแล้วค่ะ ตอนนี้อยากพักผ่อน”
ทรงกลดมองบุษบาลาวัณย์อย่างแปลกใจ
“ครับ” หมอยื่นยาให้ทรงกลด “ให้คุณบุษทานยานี่ไปก่อน แล้วยังไงรีบไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกทีนะครับ”
“ครับ ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมลงไปส่ง”
ทรงกลดและหมอเดินออกไป
บุษบาลาวัณย์มองตามอย่างโล่งใจ
เหตุที่หมอตรวจคลื่นหัวใจไม่เจอ เพราะบุษบาลาวัณย์ยังเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพอยู่ ยังไม่ได้ออกมาอยู่โลกมนุษย์เต็มตัวเหมือนคุณยายมาลี ของนิรชา หรือ มัลลิกานารี นั่นเอง
เหตุการณ์ที่สถานีอนามัยคืนนั้น ทศนนท์ พีรพร และหมอปรัชญานั่งกินข้าวในห้องพักฟื้น
“เดี๋ยวฉันกับคิตตี้ขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ทุกคนมองไปเห็นจาริณีเปิดประตูเข้ามาในห้อง จาริณีอึ้งไปรีบเอาปิ่นโตหลบหลังไว้ทำตัวไม่ถูก กลัวว่าจะเข้ามาขัดจังหวะ
“อ้าวจ๋า เอาข้าวมาส่งหมอเหรอ” คิตตี้ทัก
“เปล่าๆ ฉัน…”
“ก็เห็นอยู่ว่าถือปิ่นโตมา” หมอปรัชลุกเดินเข้าไปหาจ๋า “ไหนดูซิมีอะไรมาฝาก”
จาริณีแอบปิ่นโตไว้ไม่กล้าให้ จนหมอเข้ามาแย่งปิ่นโตไป เปิดออกดูแล้วยิ้มกว้างดีใจ
“มีแต่ของชอบผมทั้งนั้นเลยนะเนี่ย”
จาริณีน้อยใจนิดๆ “แต่พวกคุณกินข้าวกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“เพิ่งจะเริ่มกินครับ ถ้ายิ่งมีของอร่อยๆอย่างนี้มาเพิ่มอีก ผมคงกินจนตัวแตกแน่ๆ”
จาริณียิ้มใจชื้นขึ้นมาทันที
พีรพรแทรกขึ้น “ผมจะมีบุญได้ชิมอาหารฝีมือคุณจ๋าบ้างไหมน้อ”
ครูคิตตี้แว้ดใส่ด้วยความหมั่นไส้ “นี่จะตะกละไปถึงไหนกันฮะ ในมือนั่นก็ยังกินไม่หมด แล้วยังจะกินอีก เดี๋ยวก็ได้ท้องแตกตายหรอก”
“ตะกละตรงไหนครับ ผมปากกับใจตรงกัน อยากกินก็บอกอยากกิน ทำไมต้องคิดให้เยอะ มัวแต่คิดแล้วไม่พูดก็อดกันพอดี”
กฤตณีอึ้งพูดไม่ออก ส่วนอีกสองคู่ทศนนท์ นิรชา ปรัชญา จาริณี ก็อึ้งทั้งแถบ ที่โดนแทงใจดำ
รุ่งเช้าวันต่อมา พระอาทิตย์ลอยตัวขึ้นเหนือยอดไม้เหนือหมู่บ้านนางลับแล เห็นฝูงนกบินออกจากรังไปหากิน
ที่ร้านกาแฟศักดิ์กับตาล นิรชากับกฤตณีกำลังช่วยกันเปิดร้าน สักครู่ก็เห็นศักดิ์ถือปิ่นโต ส่วนตาลถือตะกร้าดอกไม้ออกมาจากบ้าน ทั้งคู่เตรียมจะไปวัด
“จัดของรอพ่อไปก่อนนะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะไปวัด” ศักดิ์บอกตาลเสริมว่า
“กับข้าวแม่ทำไว้แล้ว เอาออกมาจัดเลยนะคิตตี้”
“จ้า พ่อกับแม่รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวหนูกับเนียร์ทำต่อเอง”
ศักดิ์กับตาลเดินออกไปที่ถนน มุ่งหน้าสู่วัดบ้านนางลับแลฃ
นิรชากับกฤตณีก้มหน้าก้มตาช่วยกันจัดเตรียมของต่อ จนมีเสียงเรียกสองสาว
“ครูเนียร์ ครูคิตตี้”
นิรชากับกฤตณีหันไปทางเสียงนั้นด้วยสีหน้าแปลกใจ เห็นขวัญยืนหน้าเศร้าอยู่หน้าร้าน
“เกิดอะไรขึ้นพี่ขวัญ” นืรชารีบเดินไปรับพามานั่งที่โต๊ะในร้าน “เข้ามานั่งก่อนสิ”
“ฉันจะมาลา ขอบคุณครูเนียร์กับครูคิตตี้ที่ดูแลวีระเป็นอย่างดีนะจ๊ะ”
กฤตณีชะงัก มองสงสัย “จะไปไหนกันล่ะพี่ขวัญ”
ขวัญหลบตาวูบ “ฉันกับลูกจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว”
นิรชาเข้ามาจับไหล่ปลอบใจ “พี่ขวัญเล่าให้ฟังหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ขวัญปล่อยโฮ ร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น “ตอนนี้ฉันไม่มีเงินไปคืนคุณทรงกลด เลยต้องขายที่แล้วย้ายออกไปอยู่ที่อื่นจ้ะครู”
ได้ฟังแล้วปรี๊ด นิรชาถึงกับของขึ้น
“นี่บีบกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ มันโกงกันชัดๆ”
“โทษใครไม่ได้หรอกจ้ะครู ฉันโง่เอง เลยทำให้ลูกต้องพลอยลำบากไปด้วย”
นิรชาถอนหายใจ “ตอนนี้พี่เป็นหนี้นายนั่นอยู่เท่าไหร่”
ชาวบ้านมองจ้องอย่างสนใจ และอยากรู้อยากเห็น
“ฉันรับเงินไปห้าแสน ใช้จ่ายกับงานศพและใช้หนี้ไปบางส่วน หมดไปสองแสนห้าจ้ะ”
“งั้นก็เหลืออยู่สองแสนห้าใช่ไหมคะ” ครูสาวหนักใจ พยายามใช้ความคิด “เอางี้ เดี๋ยวฉันจะช่วยพี่ขวัญเอง พี่ขวัญไม่ต้องย้ายออกไปหรอก”
“ขอบคุณครูเนียร์นะคะ” ขวัญดีใจแต่พลันหน้าก็เศร้าลง “แต่มันไม่ใช่แค่สองแสนห้าจ้ะ ตอนนี้รวมดอกเบี้ยแล้ว ยอดทั้งหมดที่ต้องจ่ายเจ็ดแสน”
“อะไรนะ ตั้งเจ็ดแสน”
ชาวบ้าน1 แทรกขึ้นว่า “ครูเนียร์ช่วยฉันด้วยนะจ๊ะ ฉันก็เป็นหนี้เหมือนกัน”
ชาวบ้าน2 เอาด้วย “ฉันด้วยจ้ะ ฉันด้วย ฉันก็เป็นหนี้ ช่วยฉันด้วยนะจ๊ะ”
“ถ้าครูเนียร์ช่วยนังขวัญก็น่าจะช่วยพวกฉันด้วยสิจ๊ะ ฉันเองก็ลำบากไม่มีที่ไปขาย”
“ใช่ๆ นังขวัญมันยังดีกว่าพวกเราอีก อย่างน้อยๆมันก็ขายที่ได้ ดูพวกเราสิที่ก็ไม่มีขายแถมยังต้องทนอยู่กับผีแม่ม่ายอีก ไม่รู้จะตายวันไหน”
ชาวบ้านส่งเสียงแข่งกันยกใหญ่ กฤตณีเห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาช่วย
“พอๆ ครูเนียร์ไม่ใช่มูลนิธินะ ที่จะมีเงินมาช่วยทุกคนได้ พวกฉันก็ทำงานกินเงินเดือนเหมือนกัน”
ขวัญเกรงใจกลัวมีเรื่องวุ่นวาย “ครูไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะ ฉันกับลูก เรายังพอมีหนทาง อย่างน้อยฉันขายที่ให้คุณทรงกลดไป ก็ยังเหลือเงินส่วนต่างไว้พอทำทุนอยู่”
นิรชาอึ้งนิ่งงันไป หนักใจทำอะไรไม่ได้
“พวกพี่ๆ อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวฉันกับครูเนียร์จะพยายามหาช่องทางช่วยทุกคนเอง แต่ตอนนี้ขอเวลาให้พวกเราได้คิดหาวิธีกันก่อน ไปคุยกับฉันข้างในก่อน”
กฤตณีดึงตัวนิรชาเข้าไปด้านในร้าน นิรชาอึ้งๆ ขณะเดินตามกฤตณีไป
ชาวบ้านมองตามพลางซุบซิบๆ ไม่เลิก
กฤตณีดึงนิรชาเข้ามาคุยด้านในร้าน เตือนสติให้ข้อคิดเพื่อน
“เนียร์แกจะคิดง่ายๆ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุไม่ได้นะ นึกดูสิ ถ้าแกช่วยพี่ขวัญ แล้วผู้ปกครองเด็กคนอื่นล่ะ”
นิรชาหนักใจ “จริงของแกคิตตี้ ถ้าฉันแก้ที่ปลายเหตุไม่ได้ ฉันก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุสินะ
“นั่นสิ เราจะทำยังไงกันดี”
“ในเมื่อนายทรงกลดคือต้นเหตุ ฉันก็ต้องไปคุยกับเขา”
กฤตณีเห็นด้วย ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างมีความหวัง
ที่ชานเรือน สำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์
ขจรยื่นซองให้มินตาซึ่งใส่แว่นตาดำกลบขอบตาเขียวที่ตะบันหน้ากับเสถียร และนั่งตรวจซองเอกสารอยู่ที่โต๊ะ ก่อนจะบอกกับชาวบ้านว่าที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้า
“วันนี้มารับทรัพย์กันแต่เช้าเลยนะจ๊ะ”
พวกชาวบ้านตื่นเต้นดีใจ
“คุณทรงกลดคะ รายชื่อครบแล้ว มิ้นเริ่มแจกเลยนะคะ”
“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ตามสบายเลย”
“คนแรกมาเลยจ้า ป้าหน่อยจ้า รับทรัพย์แล้วอย่าลืมไปรับน้ำมนต์และรับของนำโชคจากเจ้าแม่ด้วยนะจ๊ะ”
หน่อยรับซองแล้วดึงเงินออกมาดูตาโต หันไปยกมือไหว้ทรงกลดปลกๆ
“ขอบคุณค่ะคุณทรงกลด” ทรงกลดยิ้มหล่อให้ “ขอบใจนะนังมิ้น ขนาดเจ็บอยู่แท้ๆ แกยังอุตส่าห์มาช่วย แกนี่คนดีมีน้ำใจแท้ๆเลย ไอ้ถนอมนี่มันได้เมียดีจริงๆ”
มินตายิ้มภูมิใจ “ช่วยพวกป้าฉันก็ถือว่าได้ทำบุญ ฉันไม่อยากเห็นใครต้องมาตายจากไปอีก”
ชาวบ้านชายแทรกขึ้น “แล้วแกล่ะ ไม่รีบย้ายออกไปเหรอ ได้ข่าวว่าผัวแกก็ป่วยเพราะผีแม่ม่ายเหมือนกันนี่”
“ฉันก็กะว่าพออะไรๆ ลงตัวก็จะรีบย้ายเหมือนกันแหละจ้า คนต่อไป...”
คนที่ได้รับซองเงินแล้วรีบมารับน้ำมนต์จากเนตรมายา ซึ่งสวดมนต์แล้วเป่าใส่ทุกคน
เนตรมายาหยิบพวงกุญแจตุ๊กตาลูกเทพ ซึ่งแต่ละตัวมียันต์ที่หน้าผากจากพานแจกให้ชาวบ้าน
“นี่ตุ๊กตาอะไรเหรอจ๊ะเจ้าแม่”
“น้องแนตตี้เป็นตุ๊กตาลูกเทพจิ๋วรุ่นข้าให้แกร่ำรวย ใครมีไว้บูชาถ้าดูแลเขาดีๆจะให้คุณทั้งโชคลาภและคอยปกป้องคุ้มภัย” เชื่อมสาธยาย
ชาวบ้านชายรับไปแล้วยกมือสาธุ “สาธุ แนตตี้มาอยู่ด้วยกัน ให้โชคให้ลาภนะลูก”
พวกชาวบ้านทุกคนต่างพากันรีบมารับน้ำมนต์และตุ๊กตาด้วยท่าทางดีใจ
“เจ้าแม่ฉันขอไปฝากลูกกับผัวฉันด้วยได้ไหมจ๊ะ”
เนตรมายาหยิบให้ “ได้สิ แต่ต้องดูแลเขาดีๆ นะ เขาจะตอบแทนบุญคุณให้สมหวังเอง”
เชื่อมเสริมว่า “แต่ถ้าขอไปแล้วไม่ดูแลก็ระวังเขาจะน้อยใจแล้วหนีกลับมาหาเจ้าแม่นะ”
“เอาล่ะๆ จากนี้ถือว่าทุกคนหลุดล้นจากภัยอันตรายแล้ว ขอให้เดินทางปลอดภัย เริ่มต้นชีวิตใหม่กันอย่างมีความสุขนะ
เนตรมายาพรมน้ำมนต์ให้ ทุกคนยกมือไหว้ก้มรับน้ำมนต์อย่างชื่นมื่น
เนตรมายาหันมามองหน้ากับทรงกลดแล้วยิ้มมุมปากให้กัน
ขณะที่ชาวบ้านชายหญิงเดินถือซองเงิน และพวงตุ๊กตาลูกเทพลงมาจากบนสำนักเจ้าแม่ด้วยท่าทางเริงร่าดีใจ นิรชากับกฤตณีเดินเข้ามาเห็น หยุดมองด้วยสีหน้าขุ่นเคืองใจ
หน่อยร้องทักเมื่อเห็นกฤตณี “อ้าว ครูคิตตี้ก็มาขายที่เหมือนกันเหรอ ไหนตาศักดิ์บอกจะไม่ขายไง”
“เปล่าจ้าป้าหน่อยฉันมาเรื่องอื่น”
“ครูคิตตี้กับครูเนียร์คงมารับของนำโชคจากเจ้าแม่น่ะสิ” ชาวบ้านชายยื่นตุ๊กตาให้ดู “ดูสิลูกสาวฉันน่ารักน่าชังไหมล่ะ”
กฤตณีหันมองนิรชาแล้วยิ้มแห้งเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรเพราะชาวบ้านไม่น่าจะเชื่อ
“งั้นฉันไปล่ะนะครูคิตตี้ครูเนียร์ ต้องรีบไปเก็บของย้ายบ้าน” หน่อยว่า
นิรชามีสีหน้าหนักใจ “ป้าขายที่กันหมดแล้วเหรอคะ”
“ขายหมดแล้ว ต่อไปฉันก็จะมีชีวิตใหม่แล้ว ฉันไปล่ะนะ” หน่อยบอก
นิรชากำลังจะพูดปรามไม่ให้ชาวบ้านย้ายออกไป
กฤตณีมองปรามนิรชาไว้แล้วส่งสายตาไปบนสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ นิรชาข่มใจสีหน้าเซ็งๆ
พวกชาวบ้านพากันเดินออกไป
กฤตณีมองตามพลางส่ายหน้า “ตุ๊กตาอะไรกันจะนำโชค ไปกันใหญ่”
“ฉันว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ”
นิรชาและกฤตณีหันมองหน้ากันอย่างสงสัยแล้วรีบเดินเข้าไปในสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์
ตรงนอกชาน สำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ ทรงกลดยื่นซองเงินให้มินตา มินตายกมือไหว้รับซองแล้วดึงเงินออกมาดูตาตื่น
“นี่เงินอะไรคะคุณทรงกลด ทำไมมันเยอะอย่างนี้”
“ก็เงินค่าแรงที่มาช่วยงานฉันไงล่ะ ถ้าหาคนมาขายที่ได้เยอะกว่านี้ก็ยิ่งจะได้มากกว่านี้อีก”
มินตาตื่นเต้นดีใจ ยกมือไหว้ปลกๆ “ขอบคุณค่ะ มิ้นจะหาคนมาขายอีกนะคะ”
น้ำเสียงเย้ยหยันของนิรชาดังขึ้น “ฉันว่าแล้วมันต้องมีอะไร”
นิรชากับกฤตณีเดินขึ้นมาบนสำนักเจ้าแม่
“มีอะไร”
“แทนที่จะช่วยกันพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญก้าวหน้า นี่อะไร พาคนนอกมาทำร้ายคนในหมู่บ้าน แล้วยังใช้เล่ห์เพทุบายบีบให้ชาวบ้านขายที่ด้วยวิธีสกปรกอีก” คิตตี้ด่ามิ้นไม่ไว้หน้า
“นี่ อยู่ๆ แกมายื่นด่าฉันฉอดๆได้ไงยัยคิตตี้ เงินนี่ก็เป็นเงินที่ฉันทำงานโดยสุจริตไม่ได้ไปโกงใครนะโว้ย แกไม่เห็นเหรอว่าชาวบ้านมาขายที่กันเอง ไม่มีใครได้บังคับสักหน่อย” มินตาแก้ตัว
นิรชาจ้องทรงกลดอย่างไม่พอใจ “ไม่โกง…จริงเหรอ แล้วที่ของพี่ขวัญล่ะ”
“ผมทำอะไรมีหลักฐานทุกอย่าง จะว่าผมโกงได้ยังไง”
เนตรมายายิ้มเยาะ “ฉันว่าครูกลับไปเถอะ ดูจากดวงซะตาแล้วน่าจะตกงานเร็วๆ นี้ รีบเอาเวลาไปหางานทำใหม่จะดีกว่า อย่ามายุ่งเรื่องของชาวบ้านเลย”
“ไม่ต้องมากำหนดซะตาชีวิตฉัน เพราะฉันเป็นคนกำหนดมันเอง ถ้าคุณจะว่างขนาดนั้นน่าจะเอาเวลาไปตรวจดวงซะตาของคนเลวๆ ดูบ้างนะว่าจะมีจุดจบยังไง” ครูสาวปรายตามองไปทางทรงกลด
ขจรกะศรชัยไม่พอใจ เดินเข้ามาท่าทีข่มขู่นิรชาและกฤตณี ปกป้องทรงกลด
“ผมว่าพวกคุณกลับไปซะดีกว่า”
กฤตณีเห็นท่าไม่ดีจึงพยักหน้าชวนนิรชากลับ
“เนียร์ฉันว่าเรากลับกันเถอะ”
นิรชามองทรงกลดอย่างไม่ยอมแพ้ “แต่...”
“ไปเถอะน่า แล้วค่อยคิดกัน”
กฤตณีดึงแขนนิรชาออกไป
ทรงกลด มินตา เนตรมายา มองหน้ากันอย่างสะใจที่อีกฝ่ายทำอะไรพวกตนไม่ได้
ในทันที่หันหลังให้นิรชาก็ยิ้มสะใจสมใจ จนกฤตณีสงสัยกระซิบถามเบาๆ
“แกยิ้มอะไรเนียร์”
นิรชามองที่มือถือยิ้มเจ้าเล่ห์บอกเพื่อนเบาๆ “อย่างน้อยฉันก็มีหลักฐานว่าพวกนี้คือพวกเดียวกัน”
ที่เมืองลับแลคืนนั้น บุหงารำไพในชุดผ้าแถบสีดำมวยผมยกสูง นั่งตีขิมหน้าเศร้าอยู่ใต้แสงตะเกียงในสวนดูหลอนๆ ไม่นานนักบุษบาลาวัณย์ก็เดินโซเซเข้ามาหา
บุหงารำไพวางเครื่องดนตรี เข้าไปช่วย “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ารึ บุษบาลาวัณย์”
“ช่วยพาข้าไปที่บ่อน้ำอมฤตที”
บุษบาลาวัณย์ทรุดกายลงอย่างหมดแรง บุหงารำไพพยุงไว้มองสภาพอย่างแปลกใจ
คืนนี้เป็นคืนที่สองแล้ว ที่ปรางทิพย์มณฑาทองแช่บ่อน้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์ ไอน้ำลอยขึ้นมาเหนือน้ำ
ปรางทิพย์มณฑาทองโผล่ขึ้นเหนือน้ำในบ่อนั้นอย่างช้าๆ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวา ตามตัวเปล่งประกายเป็นแสงวิบวับสีขาว ปรางทิพย์มณฑาทองมองตามร่างกายตัวเองแล้วยิ้ม
บัวคำพิลาศและเรณูศจีมองหน้ากันอย่างพึงพอใจ ช่วยกันจับชายผ้าคนละด้านเพื่อขึงผ้าบังตาให้ปรางทิพย์มณฑาทองเดินขึ้นมาจากน้ำ
ปรางทิพย์มณฑาทองเดินขึ้นมาจากน้ำช้าๆ บัวคำพิลาศและเรณูศจีหยิบผ้าไปคลุมไหล่ให้
ปรางทิพย์มณฑาทองยืนอยู่ขอบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มาดดุจดั่งนางพญา
อ่านต่อตอนที่ 21