เพรงลับแล ตอนที่16 | มัลลิกานารี
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ปรางทิพย์พาตัวเองเดินเข้ามาในบ้านร้างของเทศ หยุดอยู่ตรงโถงรับแขกมองไปรอบๆ ยิ้มในสีหน้า อย่างขื่นขม ทั้งรักทั้งเกลียด
ทศนนท์เดินตามหลังเข้ามาในบ้าน สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย
“คุณปรางมาที่นี่ทำไมเหรอครับ”
“คุณอยากรู้ไม่ใช่เหรอคะว่าผู้ชายในรูปเป็นใคร ทำไมหน้าตาเหมือนคุณ”
ทศนนท์สนใจใคร่รู้มาก “ใช่ครับ ผมกับเขาต่างกันแค่อดีตกับปัจจุบันเท่านั้น ถ้าไม่เห็นกับตา ผมคงไม่เชื่อว่าคนเราจะเหมือนกันได้ขนาดนี้”
ปรางทิพย์ยิ้มมุมปากประชดในที “บางทีอดีตกับปัจจุบัน อาจจะไม่ต่างอะไรกันเลยก็ได้”
ทศนนท์มองสงสัย
“แล้วคุณจะจำมันได้เอง”
ปรางทิพย์หันกลับมาหา แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ทศนนท์ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
ทศนนท์ย้อนไปดูเรื่องราวในอดีตกับปรางทิพย์
ที่บ้านหลังเดียวกันนี้ เมื่อ70 ปีที่แล้ว สภาพบ้านด้านนอกร่มรื่น ภายในตกแต่งสวยงามน่าอยู่
ความรักงอกงามเบ่งบานในใจของ เทศ หนุ่มเมืองมนุษย์ รูปงาม เขากำลังจับกุมมือปรางทิพย์มณฑาทองอยู่ ปรางทิพย์มองหน้าเทศ เห็นเทศมองเธอด้วยสายตาหวานซึ้ง อย่างคนกำลังตกหลุมรัก
ปรางทิพย์ในอาภรณ์สาวเมืองลับแลเฉิดฉาย ยิ้มเขินอายไม่กล้าสบสายตา ชักมือออกเบาๆ
“เจ้าไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวข้า มิเช่นนั้น…” ปรางทิพย์ไม่กล้าพูดต่อ
“มิเช่นนั้นอะไรรึแม่หญิง”
ปรางทิพย์อึกอัก
“มิเช่นนั้น…จะถือว่าเจ้าทำผิดประเพณีเอาได้” เพราะเทศไม่นับถือผีเช่นชาวลับแล
“แล้วเมื่อครั้งก่อนที่ข้าช่วยเจ้า ไม่ผิดประเพณีรึ”
ปรางทิพย์ครุ่นคิด นึกถึงตอนเทศถูกเนื้อต้องตัวเพื่อช่วยชีวิตเธอจากการติดบ่วงแร้ว ตาข่ายของพวกพรานป่า
“ครั้งนั้นถือว่าเป็นการช่วยชีวิต เป็นเหตุจำเป็น จึงไม่นับว่าผิด”
“ถึงอย่างไรข้าก็ได้ล่วงเกินให้แม่หญิงเสียหายอยู่ดี หากข้าจะขอรับผิดชอบในสิ่งที่ข้ากระทำลงไป...”
“ข้าบอกแล้วว่าไม่จำเป็น”
“ถ้าเช่นนั้นเหตุจำเป็นคงเป็นใจของข้าเอง หากแม่หญิงกลับเข้าไปในเมืองของท่านแล้วเราไม่ได้พบกันอีก ข้าคงขาดใจตายเป็นแน่แท้
ปรางทิพย์หวั่นไหวไปกับแววตาแสนจริงใจของเทศ แต่ยังไม่กล้าตอบรับ ได้แต่หลบตา
“คำของมนุษย์นั้นเชื่อมิได้”
“เช่นนั้นขอให้ข้าได้พิสูจน์ โดยไปสู่ขอแม่หญิงจากพ่อกับแม่ได้หรือไม่”
ปรางทิพย์ตกใจ พูดอะไรไม่ออก
เทศจับมือปรางทิพย์มากุมอีกครั้ง แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและความรัก
“แม่หญิงรู้หรือไม่ ข้าหลงรักแม่หญิงตั้งแต่ครั้งที่แรกที่เราพบกันกัน และที่ข้ารอให้แม่หญิงออกมาครั้งนี้ เพราะอยากจะบอกให้แม่หญิงรับรู้ว่าข้าจริงใจต่อท่าน แต่หากแม่หญิงไม่คิดเช่นเดียวกับข้า ข้าก็จะถือว่าข้าสิ้นวาสนาต่อท่าน”
ปรางทิพย์ดึงมือออก สีหน้าว้าวุ่น เดินออกไป เทศอึ้งไป ก่อนจะรีบเดินตามปรางทิพย์ออกไป
“แม่หญิง”
ปรางทิพย์วิ่งหน้าเศร้าๆ ออกมาหน้าบ้าน เทศวิ่งตามออกมาขวางปรางทิพย์ให้หยุด
“แม่หญิง หยุดก่อนเถิด แม่หญิงฟังข้า”
“อย่าทำเช่นนี้เลย เราทั้งสองต่างกันมาก มิอาจอยู่ครองคู่กันได้”
“ทำไมจะมิได้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากมายสักเพียงไหน ข้าก็ไม่กลัว”
“มันมิได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดดอก”
“แม่หญิงพูดเช่นนี้ หมายความว่าท่านเองก็มีใจตรงกับข้าใช่หรือไม่”
“ข้า…”
ปรางทิพย์ได้แต่อึกอักไปมา เพราะนางโกหกไม่ได้ และก็ไม่กล้าพูดบอกออกไปตรงๆ
เทศยิ้มกริ่ม “แม่หญิงก็ใจตรงกับข้า เช่นนั้นจงบอกวิธีมาเถิด ว่าข้าต้องทำเช่นไร”
“เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าจะไม่เสียใจในภายหลัง เพราะหากเจ้าตัดสินใจแล้วจะเปลี่ยนใจมิได้”
เทศพูดจริงจัง “เชื่อข้าเถิดแม่หญิง ข้ามิได้หลอกลวงต่อท่าน จึงได้พาท่านมาที่บ้านข้า ให้เห็นว่าข้าไม่มีผู้ใดจริงๆ”
ปรางทิพย์เอามือแตะที่แผลเป็นเหนือคิ้วซ้ายของเทศเบาๆ นึกถึงเหตุการณ์ที่เทศต้องบาดเจ็บจากการช่วยชีวิตตนที่ติดบ่วงแร้วนายพราน
“เจ้าเคยยอมเจ็บเพื่อช่วยข้า ข้าเชื่อเจ้า”
เทศจับมือปรางทิพย์มาแนบอกตัวเอง
“หากแม่หญิงอ่านใจข้าได้ ข้าอยากให้รู้ว่าหัวใจของข้าได้มอบให้แม่หญิงเพียงคนเดียวจนหมดสิ้นแล้ว”
ปรางทิพย์หลบสายตาเอียงอาย
“คำของชายเมืองมนุษย์ช่างหวานนัก ข้าคงต้องพาเจ้าไปให้ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าช่วยอ่านใจดูว่าจริงหรือไม่”
เทศดีใจ “ข้ายินดีนักแม่หญิง ต่อไปเรียกข้าว่าพี่เทศจะได้หรือไม่”
“พี่เทศ”
ทั้งคู่สบตากันลึกซึ้ง
“แต่งงานกับพี่เถิดนะแม่หญิง”
ปรางทิพย์ยิ้มพยักหน้ารับเอาคำ เทศคว้าตัวปรางทิพย์เข้ามากอดด้วยความดีใจ แล้วหลับตาดื่มด่ำกับความสุขสมหวังที่อยู่ตรงหน้า
ปรางทิพย์ยิ้มชื่น ค่อยๆ เอนหัวซบลงที่อกเทศอย่างเชื่อใจ แววตาเต็มไปด้วยความสุขเช่นกัน
ทั้งคู่ตระกองกอดกันเต็มรักอยู่ที่หน้าบ้านเทศนั่นเอง
เรือนไม้หลังโอ่อาสวยเด่นเป็นสง่าตั้งตระหง่าน
ทุกคนรวมตัวกันอยู่ภายในห้องโถงบ้านพ่อเมืองจอมจักรา เมืองลับแล
จอมจักราและช่อทิพย์วิมาดานั่งบนตั่งไม้ แต่งตัวสวยงามแปลกตา มีเรณูศจีสาวใช้ นั่งกับพื้นอยู่ข้างๆ คอยปรนนิบัติพัดวีให้ ท่านอำมาตย์ อัมรินทรา บิดาของมัลลิกานารี ซึ่งนั่งบนตั่งด้านข้างจอมจักราที่ลดระดับลงหนึ่งขั้น เพราะตำแหน่งต่ำกว่า
ทุกคนส่งสายตามองไปทางเดียวกันเหมือนกำลังรอใครสักคน
สักครู่จึงเห็นบัวคำพิลาศ ค่อยๆ คลานเข่าเข้ามาแจ้งช่อทิพย์วิมาดาว่า
“แม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ และพาชายผู้นั้นกลับมาด้วย”
ทุกคนหันไปมองที่ประตูด้วยสายตาแปลกใจ
ปรางทิพย์มณฑาทองเดินเคียงเทศเข้ามาในห้อง ทั้งคู่ถือพานดอกไม้มาด้วย พากันลงคลานเข่าเข้าหาจอมจักราและช่อทิพย์วิมาดา
ปรางทิพย์ก้มลงกราบก่อน แล้วยื่นพานดอกไม้ให้จอมจักราและช่อทิพย์เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ ทั้งสองท่านรับพานดอกไม้ไปด้วยสีหน้าสงสัย
ปรางทิพย์หันไปยิ้มส่งให้เทศเชิงบอก
เทศก้มลงกราบแล้วยื่นพานดอกไม้ให้จอมจักราและช่อทิพย์วิมาดา ทั้งสองท่านรับพานดอกไม้จากเทศมาสีหน้ารู้เท่าทัน
ประเพณีของเมืองลับแล การยกพานดอกไม้มาไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นธรรมเนียมการสู่ขอลูกสาว หรือ การขอขมาเมื่อมีการทำผิดกฎเมือง
จอมจักราจ้องหน้าถามย้ำเทศ “เจ้าแน่ใจแล้วรึ ถึงได้นำพานดอกไม้มาให้ข้ากับแม่เมือง”
เทศตอบด้วยท่าทีนอบน้อม “ข้าจริงใจกับแม่หญิงปรางทิพย์ และพร้อมจะทำทุกอย่าง ขอเพียงท่านพ่อเมืองกับท่านแม่เมืองยอมรับในตัวข้า”
“แต่การอยู่ในบ้านเมืองนี้เจ้าต้องรักษาศีลด้วยชีวิต เจ้าพร้อมแล้วรึ” ช่อทิพย์วิมาดาถาม
“ข้ายินยอมปฏิบัติตามทุกอย่าง ขอเพียงท่านพ่อเมืองกับท่านแม่เมืองให้โอกาสข้า” เทศว่า
จอมจักรามองจ้อง “แต่ถ้าเจ้าเลือกที่จะอยู่ที่นี่ เจ้าจะกลับไปอยู่เมืองมนุษย์อีกไม่ได้แล้ว เจ้าจักยินยอมหรือไม่”
“ข้ายินยอม เพราะพ่อแม่ข้าได้สิ้นไปหมดแล้ว และข้าก็ไม่มีพี่น้องที่ไหน มีเพียงญาติห่างๆกันเท่านั้น”
จอมจักรกาหันมาทางธิดาสุดสวาท “แล้วเจ้าเล่า แน่ใจในชายผู้นี้แล้วหรือ”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้ามองเห็นน้ำใสใจจริงในตัวเขา”
ปรางทิพย์หันมองหน้าเทศ ทั้งสองมองตากันลึกซึ้ง
“ท่านพี่ เด็กทั้งสองคงมีวาสนาต่อกันจริงๆ เราควรช่วยเหลือพวกเขาให้สมหวัง” ช่อทิพย์วิมาดาเห็นงามเต็มที่
จอมจักรายิ้มให้เทศ “ข้ามิขัดขวาง หากพวกเจ้ารักชอบพอกันจริงๆ แต่…เจ้าต้องรักษาศีลและลองใช้ชีวิตเป็นคนเมืองนี้ให้ครบสองรอบวันเพ็ญ ถ้าเจ้าทำตามกฎได้ ข้าจักยอมรับและจัดงานแต่งให้พวกเจ้า”
เทศยิ้มรับด้วยความดีใจ ก้มลงกราบที่เท้าจอมจักราและช่อทิพย์วิมาดา
“ขอบน้ำใจท่านพ่อเมืองและท่านแม่เมืองยิ่งนัก ข้าสัญญาว่าจะรักษาศีลอย่างเคร่งครัด”
จอมจักราหันไปทางอัมรินทรา “ระหว่างนี้เขาต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของท่าน ข้าขอฝากท่านให้ช่วยอบรมการใช้ชีวิตเยี่ยงคนเมืองเราให้เขาด้วยเถิด”
อัมรินทราน้อมรับ “ขอรับท่านพ่อเมือง”
เทศมองจ้องปรางทิพย์ด้วยแววตาเปี่ยมสุข
ชาวลับแลส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่คิดซับซ้อน ไม่อิจฉาริษยา และไม่โกหก ชอบก็บอกชอบ เกลียดก็บอกเกลียด พวกเขาจะมองโลกในแง่ดี ถึงจะไม่ชอบมนุษย์ แต่ก็ยอมให้โอกาสเทศเพราะเชื่อในสัจจะ
จะมีก็แต่บุษบาลาวัณย์มีนิสัยที่ไม่เหมือนใคร เธอไม่ชอบรักษาศีลและอยากรู้อยากเห็น อยากออกไปเมืองมนุษย์
บงกชมาลา ภรรยาของอำมาตย์ อัมรินทรา สวมใส่อาภรณ์ พร้อมเครื่องประดับสวยงาม นั่งเย็บผ้าอยู่ที่ชานเรือน ได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันไดมาก็วางผ้าลง หันไปมองยิ้มดีใจเมื่อเห็นอัมรินทราเดินขึ้นบันไดมามีเทศเดินตามหลัง
บงกชมาลาเพ่งมองสงสัย เพราะการแต่งตัวของเทศไม่ใช่คนบ้านเมืองนี้
อัมรินทราแนะนำเทศกับภรรยาให้รู้จักกัน
“นี่เมียข้า บงกชมาลา แม่บงกชมาลา คนนี้คือพ่อเทศ”
เทศยกมือไหว้นอบน้อม บงกชมาลารับไหว้จ้องมองเทศ
“ดูจากการแต่งกายแล้ว เจ้ามาจากเมืองมนุษย์ใช่หรือไม่”
เทศยิ้มๆ ท่านอำมาตย์กล่าวเสริมว่า
“ใช่ พ่อเทศมาจากเมืองมนุษย์แต่เขาแตกต่างจากมนุษย์ผู้อื่น เขาจะมาอยู่ที่บ้านเราเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตของคนเมืองนี้ เพราะเขาคือคู่หมายของแม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทอง”
บงกชมาลายิ้มยินดีเปี่ยมไมตรีจิต
“อย่างนั้นหรือท่านพี่ เจ้าจงอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิดพ่อเทศ ข้าจะช่วยสอนการปฎิบัติตนและบำเพ็ญเพียรให้เจ้าเอง”
เทศยกมือไหว้ทั้งสองท่าน “ขอบน้ำใจพวกท่านมากนักที่ช่วยเหลือข้า ข้าจะปฎิบัติตามคำสอนของพวกท่านอย่างเคร่งครัด”
“แล้วนี่แม่มัลลิกานารีหายไปไหน ข้าว่าจะให้ไปเตรียมห้องหับให้พ่อเทศเสียหน่อย”
“ก็คงไปเล่นซุกซนตามเคย เดี๋ยวก็กลับมาเอง”
อัมรินทราถอนใจ ส่ายหน้า “ลูกคนนี้ไม่ยอมโตสักที ทั้งๆ ที่ก็รุ่นราวคราวเดียวกับแม่ปรางทิพย์มณฑาทองแท้ๆ ดูสิตอนนี้แม่หญิงจะออกเรือนอยู่แล้ว”
ลูกเรายังทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่อีก
“ช่างนางเถิดท่านพี่ ปล่อยให้นางได้ทำในสิ่งที่นางชอบดีกว่า เดี๋ยวข้าไปช่วยจัดห้องหับให้เอง”
เทศเกรงใจ “ข้าทำเองก็ได้ พวกท่านแค่บอกว่าอะไรอยู่ตรงไหนก็พอ ที่จริงให้ข้านอนที่ไหนก็ได้”
“อย่าได้เกรงใจไปเลย เจ้าจงไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวก่อนเถิด” อัมรินทราว่า
“เดี๋ยวข้าไปจัดเสื้อผ้าชุดใหม่ให้”
บงกชมาลาลุกเดินเข้าไปทางห้องหนึ่ง
เทศมองทั้งคู่อย่างซาบซึ้งน้ำใจ และชื่นชมคนเมืองลับแลที่มีน้ำใจงดงาม จริงใจกับคนต่างถิ่น
เทศถือขันน้ำและเสื้อผ้าชุดใหม่เดินตรงไปอาบน้ำที่ศาลาท่าน้ำในสวน ระหว่างทางเขาหยุดยืนมองชื่นชมบรรยากาศรอบๆ
จนมีเสียงร้อง “โอ๊ย” ของมัลลิกานารีดังขึ้น
เทศชะงักตกใจ พลันมะม่วงทั้งพวงก็หล่นลงมาเฉียดไหล่ไป เทศเงยหน้าขึ้นดูแล้วต้องตกใจ
บนนั้น มัลลิกานารีกำลังใช้มือเกี่ยวกิ่งมะม่วงไว้ไม่ให้ตกลงมา
“ช่วยด้วย...”
สีหน้าท่าทางของมัลลิกานารีชักเริ่มจะไม่ไหว มือเกาะกิ่งไม้ไม่อยู่แล้ว ร่างค่อยๆ ไหลลงมา เทศมองประเมิน หาจังหวะช่วยรับร่างให้ สุดท้ายมัลลิกานารีตกลงมาจากต้นมะม่วง
เทศขยับตัวไปช่วยรับไว้ได้ แต่ทั้งคู่ล้มลงไปด้วยกัน เทศกอดมัลลิกานารีไว้ในอ้อมแขน ทั้งคู่มองหน้ากันอึ้งๆ
เทศได้สติรีบผละออกโดยไม่ได้คิดอะไร มัลลิกานารียิ้มหน้าเจื่อนๆ รู้สึกผิด
เทศลุกขึ้นเก็บข้าวของที่วางไว้ ยื่นมือให้มัลลิกานารีจับเพื่อพยุงตัวขึ้น
มัลลิกานารีไม่กล้าจับมือ รีบลุกขึ้นเอง มองหน้าเทศอย่างขอบคุณและถูกชะตา
เทศมองเอ็นดู “เจ้าคงจะเป็นลูกสาวท่านอัมรินทราใช่หรือไม่”
“ท่านรู้ได้อย่างไร” มัลลิกานารีมองจับสังเกตเทศ “ดูจากการแต่งตัวแล้วท่านไม่ใช่คนที่นี่”
เทศบ่นเบาๆ ขำๆ “ก็ซุกซนจริงๆอย่างที่ท่านว่า”
“ท่านพูดถึงใคร
“มิได้ว่าอันไดดอกแม่หญิง รีบกลับเรือนไปเถิด ท่านพ่อกับท่านแม่เจ้ารออยู่”
มัลลิกานารีสงสัย “แล้วท่านเป็นใคร ยังไม่ได้บอกเราเลย”
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
เทศยิ้มขำๆ เดินไปทางท่าน้ำอย่างอารมณ์ดี
มัลลิกานารีเหลียวมองตาม นึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร พอเห็นมะม่วงตกอยู่ที่พื้นก็รีบก้มเก็บเอามือปัดฝุ่นออก ยิ้มพอใจ ไม่วายหันไปมองตามเทศพึมพำกับตัวเอง
“ท่านเป็นใครกันแน่ แต่ก็ขอบน้ำใจที่ช่วยข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเจ็บตัวอีกเป็นแน่มัลลิกานารีเอ๋ย”
มัลลิกานารีเดินยิ้มออกไปพร้อมกับมะม่วงในมือ
ฝ่ายปรางทิพย์มณฑาทองนั่งปักชุดแต่งงานของเทศอยู่บนเรือน ด้วยสีหน้ามีความสุข โดยมีบัวคำพิลาศช่วยดูอยู่ข้างๆ
ปรางทิพย์กางเสื้อออกดูขนาด พลางถามบัวคำ “พี่บัวคำว่าพี่เทศจะใส่ได้หรือไม่”
บัวคำช่วยดูให้ “ต้องใส่ได้พอดีเป็นแน่แม่หญิง”
ปรางทิพย์ยกเสื้อขึ้นดูอย่างพึงพอใจ
เสียงสุริยะเดชดังขึ้นมา “กำลังทำอะไรอยู่หรือแม่หญิงปรางทิพย์”
ปรางทิพย์เอาเสื้อลง หันไปมองตามเสียง
เห็นสุริยะเดชเดินหน้าถมึงทึงเข้ามาหา รู้เรื่องปรางทิพย์จะแต่งงานกับเทศแล้ว
“พี่สุริยะเดช มาหาท่านพ่อรึ ท่าน...”
“ข้ามาหาเจ้า ข้าอยากรู้นัก เหตุใดเจ้าจึงได้ดื้อดึงพามนุษย์ผู้นั้นกลับเข้ามาในเมืองของเราอีก เจ้ารู้หรือไม่พวกมนุษย์จักนำพาแต่ความเดือดร้อนมาสู่บ้านเมืองเรา” สุริยะเดชน้ำเสียงขุ่น
“แต่มนุษย์ที่ท่านกล่าวถึงคือคู่หมายของข้า และท่านพ่อท่านแม่ก็เห็นสมควรให้ข้ามีคู่ครองแล้ว”
สุริยะเดชตัดพ้อ “เจ้าก็รู้ว่าข้าคิดเช่นไรกับเจ้า แต่เจ้ากลับมีใจให้กับมัน”
“พอเถิดพี่สุริยะเดช ถึงข้าจะเกิดและโตมาพร้อมกับท่านแต่ข้าก็มิเคยคิดกับท่านเป็นอื่น นั่นเป็นความนึกคิดของท่านเพียงฝ่ายเดียว หาใช่ความคิดของข้าไม่”
สุริยะเดชโกรธ “เจ้าทำให้น้องข้าถูกจองจำยังไม่พอ เจ้ายังจะนำคนนอกมาทำร้ายบ้านเมืองและย่ำยีจิตใจข้าอีก”
บัวคำท้วง “บุษบาลาวัณย์ก่อกรรมเองถึงได้ถูกลงโทษ มันมิใช่ความผิดของแม่หญิงเลยแม้แต่น้อย”
สุริยะเดชตวาด “หุบปากของเจ้าเสีย บัวคำพิลาศ มิใช่เวลาที่เจ้าจักมาออกความเห็น”
บัวคำมองสุริยะเดชอย่างเอือมระอา คร้านจะทะเลาะด้วย
ปรางทิพย์ไม่อยากให้ความหวัง “ให้ข้าได้แก้ตัวด้วยสิ่งใดก็ได้ แต่มิใช่การรักตอบท่าน”
สุริยะเดชไม่ยอมแพ้ ตรงเข้ามาจับมือปรางทิพย์อ้อนวอนขอร้อง
“แม่หญิงมิเห็นใจข้าหรือ…”
บัวคำพุ่งมากันไว้
“ท่านกลับไปเสียเถิด อย่าทำเช่นนี้เลย มันดูไม่งาม”
“เจ้าเป็นเพียงบ่าว มิต้องมาห้ามข้า” สริยะเดชตวาดลั่น
“โปรดอย่าพาลเกรี้ยวกราดกับผู้อื่นเลย ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจมีใจรักใครได้อีกแล้วนอกจากพี่เทศคนเดียวเท่านั้น”
สุริยะเดชอึ้ง มองจ้องหน้าปรางทิพย์มณฑาทองด้วยความเจ็บช้ำ ดวงตาแดงกล่ำ
“สักวันเจ้าจักต้องได้รับรู้รสชาติความเจ็บปวดเช่นข้า”
สุริยะเดชเดินปึงปังออกไป ปรางทิพย์กับบัวคำมองหน้ากันอย่างโล่งใจ
เทศในชุดชาวเมืองลับแล ร่วมวงกินอาหารมื้อแรกกับครอบครัวอัมรินทราอย่างเอร็ดอร่อย เขามองกับข้าวต่างๆ อย่างสนใจ มัลลิกานารีจึงช่วยชี้แนะนำกับข้าวให้อย่างสดใส เหมือนพี่ชายกับน้องสาว
วันต่อมา มัลลิกานารีมาหาปรางทิพย์ที่บ้านกระซิบบอกข่าวเทศด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ปรางทิพย์ยิ้มสุขใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
หลายวันต่อมา ผักผลไม้และกับข้าวมากมายบนโต๊ะอาหาร เทศได้แต่นั่งมอง ไม่ยอมตักกับข้าว เพราะเริ่มเบื่ออาหารมังสวิรัติ
มัลลิกานารีตักอาหารให้ เทศยกมือเชิงบอกว่าพอแล้ว ทุกคนมองเป็นห่วง
วันต่อมา มัลลิกานารีมาแจ้งข่าวเทศด้วยสีหน้าเศร้าๆ ปรางทิพย์เป็นห่วงไม่สบายใจ
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน ช่อทิพย์วิมาดากำลังจัดสมุนไพรใส่กระด้งตากแดด บัวคำคอยช่วย ปรางทิพย์มณฑาทองเดินเข้ามาหน้าเครียด ท่าทางหนักใจ และกังวลเรื่องเทศนั่นเอง ช่อทิพย์วิมาดามองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นรึ ดูสีหน้าเจ้าเหมือนมีเรื่องกังวล”
ปรางทิพย์เข้าไปกอดมารดา “ท่านแม่ ตอนนี้ลูกสงสารพี่เทศยิ่งนัก เห็นมัลลิกานารีเล่าว่าช่วงนี้พี่เทศกินอะไรไม่ค่อยได้ คงจะคิดถึงบ้าน ข้าจึงอยากจะขอพาพี่เทศกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองมนุษย์ได้หรือไม่เจ้าคะ”
ช่อทิพย์วิมาดาหนักใจ “ในเมื่อเขาตัดสินใจจะมาอยู่ที่นี่แล้วก็ต้องตัดใจให้ได้ ไม่มีเหตุอันควรต้องคิดถึงสิ่งอื่นใดอีก”
“แต่พี่เทศก็รักษาศีลอย่างเคร่งครัดมาตลอดนะเจ้าคะท่านแม่ อีกไม่กี่เพลาก็ถึงกำหนดแล้ว ให้ลูกได้พาพี่เทศกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ”
“มันจะดูไม่งาม เพราะถึงเช่นไรเจ้าก็ยังมิได้ตกแต่งเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน ยิ่งใกล้แต่งยิ่งต้องระวังให้มาก ประเดี๋ยวมันจะผิดประเพณีเอาได้”
ปรางทิพย์อ้อนวอน “ถ้าลูกไปกับพี่เทศแล้วดูไม่งาม ท่านแม่อนุญาตให้มัลลิกานารีไปกับลูกได้หรือไม่เจ้าคะ”
“แต่…”
ปรางทิพย์โพล่งออกไป “ถือว่าให้ลูกได้ลองใจพี่เทศเป็นครั้งสุดท้ายเถิดเจ้าค่ะ”
“ลองใจอย่างไรกันเล่าจึงต้องไปถึงเมืองมนุษย์”
“ถ้าพี่เทศไม่รักลูกจริง กลับออกไปครั้งนี้หากเขาทำผิดศิลแม้เพียงข้อเดียวที่เจตนา ข้าก็จักปล่อยพี่เทศไป เพราะถือว่าสิ้นสุดวาสนาต่อกัน”
ช่อทิพย์วิมาดาถอนหายใจในความดึงดันวู่วามของธิดา “เช่นนั้นเจ้าก็รีบกลับมาก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเถิด”
ปรางทิพย์มณฑาทองยิ้มดีใจ
ช่อทิพย์วิมาดามองธิดาสุดสวาทด้วยความรักและเห็นใจ
สามคนเดินคุยกันมาตามทางเดินในป่า ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นเขียวขจี
“นี่เราไม่ได้ออกมาข้างนอกด้วยกัน นานแค่ไหนแล้วหนา ปรางทิพย์มณฑาทอง”
ปรางทิพย์มณฑาทองเดินเคียงคู่มากับเทศ
“ก็นานโขอยู่”
“แต่เจ้าก็แอบออกมาหาพี่เทศอยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่เล่า
เทศหันมาสบตาคนรัก ปรางทิพย์มณฑาทองยิ้มเอียงอาย เปลี่ยนเรื่องคุย
“เจ้าอยากเข้าไปเที่ยวเมืองมนุษย์มิใช่ดอกรึ รีบไปเถิด ประเดี๋ยวจักกลับไม่ทัน”
“ข้าเคยออกมาเห็นเพียงแค่ป่าหน้าน้ำตก ข้าอยากเข้าไปเที่ยวบ้านเมืองของพี่เทศบ้าง”
แต่แล้วทุกคนก็ต้องชะงัก มัลลิกานารีหันไปมองรอบๆ จมูกเตะกลิ่นหอมฉุยมาตามลม
“นี่มันกลิ่นอะไรกัน ใครมาเผาอะไรที่นี่”
เทศสูดดมกลิ่นหวลแล้วมองหาที่มา จนเห็นควันที่ลอยออกมาจากพุ่มไม้ด้านหนึ่ง
“น่าจะมาจากทางโน้น พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวข้าไปดูเอง”
สองสาวพยักหน้ารับ เทศเดินนำตามกลิ่นไป
มัลลิกานารีครุ่นคิดมีแผน เดินตามเทศไป แต่ถูกปรางทิพย์มณฑาทองดึงแขนไว้ส่ายหน้าเบาๆ เชิงห้าม
มัลลิกานารีมองสงสัย นี่จะเป็นการเข้าไปเที่ยวเมืองมนุษย์ครั้งแรกของนาง
ตรงชายป่าติดต้นไม้ใหญ่ เห็นควันโขมงจากกองไฟลอยพ้นพุ่มไม้แถวนั้น
เป็นคอนนั่นเอง นั่งย่างไก่ป่าอยู่ที่นั่น ไก่ทั้งตัวกลิ่นหอมฉุย สุกได้ที่ สีสันน่ากินมาก
พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาทางนี้ คอนตกใจรีบคว้ามืดขึ้นกำในมือ
จนเห็นเทศโผล่พ้นพุ่มไม้ เดินตรงเข้ามาจึงร้องถามออกไป
“เจ้าเป็นผู้ใด มาทำอะไรแถวนี้”
เทศเดินเข้ามาด้วยท่าทางเป็นมิตร
“ข้ากำลังจะเข้าไปในหมู่บ้าน เผอิญเห็นควันไฟโขมงจึงเข้ามาดูว่าเกิดอันใดขึ้น ที่แท้ท่านกำลังย่างไก่อยู่นี่เอง”
เทศมองที่ไก่ย่าง กลืนน้ำลายลงคอ ท่าทางหิวโหย เพราะไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานาน
คอนเห็นสายตาเทศจ้องไก่ย่างตาเป็นมัน จึงฉีกขาไก่ยื่นให้กินอย่างมีน้ำใจ
“มากินด้วยกันสิ ดูท่าทางเอ็งจะหิว”
เทศมองจ้องไก่ย่างร้อนๆ ควันฉุย กลิ่นหอมกรุ่น อย่างลำบากใจ
ต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองอย่างหนัก ในที่สุดเขาทำท่ายื่นมือออกไปเหมือนจะรับมากิน แต่กลับโบกมือปฏิเสธ
“ขอบน้ำใจท่านมาก แต่ข้าไม่กินเนื้อสัตว์”
คอนมองเทศอย่างแปลกใจ หยิบกล้วยข้างๆ ส่งให้แทน เทศรับกล้วยไปกิน คอนหรี่ตามองเทศอย่างจับสังเกต
“เอ็งมาจากเมืองหลังน้ำตกใช่หรือไม่”
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“ข้ารู้จักแม่หญิงนางหนึ่งที่กินแต่ผักผลไม้ นางชื่อบุษบาลาวัณย์ เอ็งรู้จักหรือไม่”
“ข้าไม่รู้จักคนที่ท่านพูดถึง”
คอนหน้าเศร้าผิดหวัง ตัดพ้อกับตัวเอง “นางคงไม่ออกมาหาข้าอีกแล้ว”
“แล้วเหตุใดท่านจึงมารอนางอยู่ที่นี่” เทศมองรอบๆ “แถวนี้ไม่มีบ้านคนเลย”
“บุษบาลาวัณย์บอกให้ข้ามารออยู่ที่นี่ ข้ารอมาเป็นปีแล้วยังไม่เห็นนางออกมาอีกเลย”
เทศมองเห็นใจ “ข้าชื่อเทศ แล้วท่านชื่ออะไร เผื่อข้าเจอนางข้าจะบอกนางให้ว่าท่านยังรอนางอยู่”
“ข้าชื่อคอน ขอบน้ำใจเจ้ายิ่งนัก”
สองหนุ่มไม้รู้ว่ามัลลิกานารีแอบมองอยู่ตั้งแต่ต้น ก่อนจะถอนตัว วิ่งหน้าตาตื่นกลับไปหาปรางทิพย์
มัลลิกานารีวิ่งหน้าตาตื่นกระหืดกระหอบเข้ามาหา ปรางทิพย์มณฑาทองมองฉงน
“เกิดอะไรขึ้นรึ”
“พี่…พี่เทศ”
ปรางทิพย์ใจเสีย “พี่เทศเป็นอะไรรึ”
มัลลิกานารีกลับว่า “พี่เทศเป็นคนดี”
ปรางทิพย์โล่งใจ “โธ่...ข้าตกใจหมด นึกว่าพี่เทศเป็นอะไร แล้วนี่เจ้าเห็นอะไรรึ”
มัลลิกานารียิ้มชื่นชมเทศ “ข้าจะแอบตามไปดูว่ากลิ่นประหลาดนั้นคืออะไร ข้าถึงได้เห็นว่าพี่เทศไม่ยอมรับเนื้อสัตว์ที่ชายผู้นั้นยื่นให้ เพราะพี่เทศยึดมั่นในศีลทั้งต่อหน้าจะลับหลังยังไงเล่า”
ปรางทิพย์มณฑาทองยิ้มภูมิใจ
“ข้าก็มั่นใจว่าพี่เทศเป็นคนดี”
“ไม่มีอะไรแล้วเราไปกันเถิด”
เทศเดินตรงเข้ามาสมทบ
“ได้ความอย่างไรหรือพี่เทศ”
“แค่นายพรานเข้ามาหาของป่า และกำลังย่างไก่เพื่อเป็นอาหารเท่านั้น”
ปรางทิพย์ลองใจ “แล้วพี่เทศไม่อยากกินอาหารนั้นบ้างรึ”
“อยากสิ แต่ข้าอยากอยู่กับเจ้ามากกว่า”
ปรางทิพย์มณฑาทองยิ้มปลื้ม มัลลิกานารีมองทั้งคู่แล้วยิ้มตาม
เทศนึกขึ้นได้ “จริงสิ พรานผู้นั้นยังถามหาแม่หญิงที่ชื่อบุษบาลาวัณย์ด้วย”
สองสาวมองหน้ากันอย่างแปลกใจ แต่ไม่ตอบอะไร
มัลลิกานารีรีบเปลี่ยนเรื่อง “ข้าว่าเรารีบไปกันเถิด ข้าอยากเห็นเมืองมนุษย์เต็มทีแล้ว”
เทศพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปด้วยกัน สองสาวมองหน้ากันอย่างโล่งอก
มัลลิกานารีตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งอย่างในตลาด ชาวบ้านเอาของมาขาย ส่วนใหญ่แบกับดิน บ้างวางบนแคร่ไม้แบบง่ายๆ
แม่ค้าและชาวบ้านต่างพากันมองมัลลิกานารีและปรางทิพย์มณฑาทองแปลกๆ เพราะแต่งตัวไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปแถมใส่เครื่องประดับสวยงามแปลกตา
ปรางทิพย์มณฑาทองเข้าไปเลือกดูผ้าอย่างสนใจ
“แม่หญิงอยากได้หรือไม่ข้าจักซื้อให้”
“ผ้าทอของชาวบ้านลวดลายแปลกไม่เหมือนของเมืองเรา” มัลลิกานารีแทรกขึ้นพลางยกผ้าขึ้นทาบตัวเองแล้วทาบปรางทิพย์ “ข้าว่าผืนนี้สวยเหมาะสมกับปรางทิพย์มณฑาทองนัก ว่าไหมพี่เทศ”
เทศมองปรางทิพย์อย่างชื่นชม “เจ้าชอบหรือไม่”
“ของเหล่านี้ข้ามีตั้งมากมายอยู่แล้ว ไปดูอย่างอื่นกันเถิด”
“แล้วเจ้าล่ะอยากได้สิ่งใดหรือไม่”
มัลลิกานารีกำลังนิ่งคิด อยู่ๆ ก็มีคนเข้ามาชน เป็นเหตุให้ใบไม้ทองคำของมัลลิกานารีที่เหน็บไว้ตรงเอวหล่นลงที่พื้น แต่มัลลิกานารีไม่รู้ตัว นึกถึงเรื่องอื่น
“ข้ารู้แล้วว่าข้าอยากได้สิ่งใด”
มัลลิกานารีเดินตรงไปที่ร้านขนมครก
เทศกับปรางทิพย์มณฑาทองเดินตามไปด้วย
โดยไม่รู้ตัวว่าใบไม้ทองคำใบหนึ่งหล่นอยู่กับพื้น และมีใครคนหนึ่งหยิบใบไม้นั้นขึ้นไป
มัลลิกานารีถือถุงผ้าใส่ทองไว้ในมือ แล้วยืนรอขนมครกที่หน้าร้าน
พลันมี โจร2 เข้ามาฉกถุงทองในมือไป มัลลิกานารีตกใจจะวิ่งตาม แต่โจร1 โผล่เข้ามาผลักมัลลิกานารีจนล้มลงที่พื้น แล้ววิ่งออกไป
เทศรีบเข้ามาพยุงมัลลิกานารีขึ้น
“เป็นอะไรหรือไม่ มัลลิกานารี”
ปรางทิพย์มณฑาทองตกใจเข้ามาช่วยประคองตัวมัลลิกานารี
“ข้าไม่เป็นไร”
“เจ้าช่วยดูมัลลิกานารี เดี๋ยวพี่จะตามคนพวกนั้นไป”
พูดเท่านั้นเทศก็แล่นลิ่ววิ่งตามโจรไป สองสาวมองตามอย่างเป็นห่วง
โจร1โจร2 เปิดถุงทองออกดู พากันตาโตตื่นเต้น
“โอ้โห...นี่มันทองทั้งนั้นเลยนี่”
“พวกเรารวยแล้วพี่”
เทศปรี่เข้ามากระชากถุงทองคืนมาได้
“มันไม่ใช่ของพวกเอ็ง”
โจร2 กระชากถุงทองคืน แต่เทศไม่ยอม
โจร1 จึงเข้ามาต่อยใส่หน้าเทศเต็มแรง เทศเอามือป้องไว้แล้วต่อยสวนกลับไปจนโจร1 ลงไปกองที่พื้น
โจร2 รีบเข้ามาช่วยทำร้ายเทศ แต่เทศตั้งการ์ดแล้วเตะเข้าที่กลางลำตัวโจร2 ลงไปกองที่พื้น
เทศเห็นว่าโจรทั้งสองไม่มีทางสู้เลยหันหลังเดินออกมา ทว่า โจร1 วิ่งเข้ามาจับตัวเทศจากด้านหลัง โจร2 มองเทศอย่างเจ็บแค้นใจ ต่อยเข้าที่หน้าเทศเบี่ยงตัวหลบ โจร2 จึงต่อยเข้าที่หน้าโจร1อย่างจัง
เทศสะบัดตัวหลุด โจร1 เตะเข้าที่ชายโครงเทศอย่างจัง จนเทศเสียหลัก โจร2 จะเข้ามาซ้ำ
จู่ๆ มีใครคนหนึ่งกระโดดถีบโจร2 จนกระเด็นแล้วหันมาต่อยโจร1 เทศยังไม่เห็นว่าใครคนนั้นที่แท้เป็นคอน
เทศรีบตั้งสติลุกขึ้นมาช่วยสู้ จนโจรทั้งสองสู้ไม่ไหววิ่งหนีออกไป
เทศหันมาขอบคุณ แล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่าเป็นคอนที่ช่วยตน ทั้งคู่คาดไม่ถึงที่มากันอีกแล้ว
“อ้าว! นี่ท่านเองรึ ข้าต้องขอบน้ำใจอีกครั้งที่เข้ามาช่วย ไม่เช่นนั้นข้าต้องเสียท่าไอ้พวกโจรเป็นแน่”
“ไม่เป็นไร ข้าทนเห็นใครถูกทำร้ายไม่ได้ เป็นอันต้องเจ็บตัวเข้าช่วยทุกที” คอนว่า
เทศรู้สึกถูกชะตา “ข้าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ว่าแต่ท่านเข้ามาทำอะไรที่นี่รึ”
“ข้าคิดว่าจะกลับไปดูแลพ่อกับแม่ข้าที่หมู่บ้าน...”
“พี่เทศ พี่เป็นอย่างไรบ้าง” มีเสียงแทรกเข้ามา
เห็นปรางทิพย์มณฑาทองกับมัลลิกานารีปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
คอนอึ้ง มองปรางทิพย์อย่างตกหลุมรัก
“แม่หญิงผู้นี้คือ...”
“แม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทอง เป็นคู่หมายของข้า ส่วนนี่แม่หญิงมัลลิกานารีเป็นเพื่อนกัน”
คอนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ยอมแพ้ สองสาวยกมือไหว้ คอนรับไหว้
“ไหว้พระเถิดแม่หญิงทั้งสอง”
เทศยื่นถุงทองคืนให้มัลลิกานารี “พี่ชายท่านนี้ช่วยพี่สู้กับโจร ดูซิว่าของยังอยู่ครบหรือไม่”
มัลลิกานารีเปิดถุงทองออกดู
“อยู่ครบจ้ะ” แล้วหยิบทองก้อนหนึ่งยื่นให้คอน “เอ้านี่ ข้าให้ท่านเป็นการขอบน้ำใจ”
คอนทำเป็นมองอึกอัก แต่แอบตาวาว
“ของมีค่าเช่นนี้ข้ารับไม่ได้”
“รับไปเถิด หากไม่ได้ท่าน พวกเราคงต้องเสียทองทั้งถุงไป”
คอนแอบมองถุงทองตาเป็นมัน ในที่สุดก็ยื่นมือออกไปรับทองที่มัลลิกานารียื่นให้
“แม่หญิงช่างมีน้ำใจ”
เทศหันมาถามคอนว่า
“จริงสิข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านเป็นคนที่ไหน เผื่อมีโอกาสผ่านไปข้าจะได้ตอบแทนน้ำใจบ้าง”
“ข้าเป็นคนหมู่บ้านข้างๆ นี่เอง ถ้ามาก็ถามคนแถวนี้ได้เลย”
“เช่นนั้นเราแยกกันตรงนี้ หากมีวาสนา วันหน้าเราคงได้พบกันอีก”
เทศยิ้มขอบคุณ ประทับใจในความมีน้ำใจของคอน
ทันทีที่สามคนพ้นตัวไป คอนหยิบบางอย่างออกมาจากผ้าคาดเอวยิ้มร้าย มันคือใบไม้ทองคำของมัลลิกานารีนั่นเอง
ดวงอาทิตย์อัสดง กำลังจะตกดินในไม่ช้านี้ ขณะปรางทิพย์มณฑาทอง เทศ และมัลลิกานารีกำลังเดินทางกลับเมืองลับแล
แต่จู่ๆ มัลลิกานารีก็มีสีหน้าตกใจ แตะตามเนื้อตัวดูหาใบไม้ทองคำ แต่ไม่เจอ
“ใบผ่านทางข้าหาย”
“เจ้าหาดูดีหรือยัง” ปรางทิพย์นึกได้ “หรือจะทำตกอยู่ที่ตลาด”
“ถ้าตกอยู่ที่ตลาดก็คงจะหายไปแล้วเป็นแน่”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็กลับเข้าเมืองไม่ได้”
เทศสงสัย “เหตุใดจึงเข้าไม่ได้เล่า พวกเจ้ากลับเข้าไปเอาใบไม้แล้วข้ารออยู่ตรงนี้ก็ได้”
“แต่ข้าเป็นคนทำใบผ่านทางหาย ข้าต้องเป็นคนรออยู่ที่นี่แล้วท่านเป็นคนไปกับปรางทิพย์มณฑาทองถึงจะถูก”
“ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้เป็นแน่” เทศบอก
“ถ้าเช่นนั้นพี่เทศก็จงรอข้าอยู่ที่นี่เถิด แล้วข้ากับมัลลิกานารีจะรีบกลับมารับ”
มัลลิกานารีโพล่งขึ้น “ไม่ได้”
ปรางทิพย์ปลอบ “เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ข้าเองก็เคยทำหาย แต่วันนั้นโชคดีที่พี่เทศช่วยเก็บไว้ให้ จึงทำให้ข้าได้รู้จักกับพี่เทศ”
เทศยื่นใบไม้ทองคำของตนให้มัลลิกานารี “จักเสียเวลาอยู่ใย รีบเข้าไปแล้วรีบกลับมารับข้าเถิด”
มัลลิกานารีสีหน้าหนักใจไม่คลาย ปรางทิพย์มณฑาทองมองเชิงขอร้องให้รีบเข้าเมืองไปด้วยกัน
มัลลิกานารีตัดใจรับใบไม้มาอย่างรู้สึกผิด
เทศยิ้มชิงปลอบ พยักพเยิดให้สองสาวรีบกลับเข้าเมืองไป
ที่ห้องโถงบนเรือนท่านพ่อเมือง
จอมจักรา ช่อทิพย์วิมาดา และ บัวคำพิลาศ อยู่ในนั้น ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฟังสุริยะเดชฟ้องเรื่องปรางทิพย์ออกไปกับเทศ
“ท่านพ่อเมือง ข้าเห็นชายผู้นั้นพาแม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทองกับมัลลิกานารีออกไปเมืองมนุษย์”
“ใครกันเป็นคนอนุญาตให้พวกเขาออกไป”
“ข้าเองท่านพี่ ข้าเห็นว่ามัลลิกานารีก็ไปด้วย ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย” ช่อทิพย์วิมาดาว่า
สุริยะเดชอึ้งไป แล้วพูดแก้เหมือนหวังดี
“ถึงจะเป็นคู่หมาย แต่ถ้ายังมิได้แต่งงานก็ยังถือว่ามิควรอยู่ดีขอรับท่านพ่อเมืองท่านแม่เมือง ยิ่งแม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทองเป็นถึงบุตรสาวท่านพ่อเมืองยิ่งต้องทำตามกฏอย่างเคร่งครัด”
จอมจักราเสียหน้า “กลับมานี่ข้าต้องเอ็ดนางหน่อยแล้ว ที่ชอบทำอะไรตามใจตัว”
“เช่นนั้นคงต้องเอ็ดข้าด้วย เพราะข้าเป็นคนปล่อยให้นางไปเอง”
ช่อทิพย์วิมาดามองหน้าสามี แต่จอมจักราเมินมองไปไม่พูดอะไร
ช่อทิพย์หันมามองสุริยะเดชเชิงถาม แต่สุริยะเดชไม่กล้าตอบเช่นไร
“ถ้ามิได้ออกไปทำเรื่องผิดกฎผิดศีลก็มิเป็นไร แต่หากทำผิดก็ต้องว่าไปตามกฎ” จอมจักรากล่าว
สุริยะเดชลอบยิ้มร้าย มีแผนในใจ ช่อทิพย์วิมาดามองไปเห็นบางอย่างร้องขึ้น
“นั่นไง.. พวกเขากลับมาแล้ว”
เป็นปรางทิพย์มณฑาทองกับมัลลิกานารีรีบเดินเข้ามา ก้มกราบเคารพจอมจักราและช่อทิพย์วิมาดา
สุริยะเดชมองจับผิด “เหตุใดพวกเจ้ากลับมากันสองคน”
ปรางทิพย์ตัดบท “ตอนนี้อย่างเพิ่งถามสิ่งใดเลย ข้าต้องรีบไป ท่านพ่อลูกขอยืมใบผ่านทางของท่านพ่อได้หรือไม่”
“เกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่” ปรางทิพย์ไม่ยอมตอบ ท่านพ่อเมืองหันมาหามัลลิกานารี “แจ้งแก่ข้ามา มัลลิกานารี”
มัลลิกานารีก้มหน้าไม่กล้าตอบ และไม่กล้าสู้หน้าใครเพราะรู้สึกผิดเต็มหัวใจ
ช่อทิพย์วิมาดายื่นใบผ่านทางให้ธิดา “เอาของแม่ไปแล้วเจ้าจงรีบกลับมาอธิบายให้แม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ปรางทิพย์ก้มกราบมารดารับใบไม้มา “ขอบพระคุณท่านแม่ แล้วลูกจะรีบกลับมาแจงให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ช่อทิพย์วิมาดาพยักหน้ารับเอาคำ สองสาวมองหน้ากัน ก้มกราบช่อทิพย์แล้วรีบออกไป
ทุกคนมองสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ปรางทิพย์ เทศ และมัลลิกานารี ผ่านประตูเมื่อเข้ามาในโถงถ้ำอีกฟากเรียบร้อยแล้ว ปรางทิพย์มองใบผ่านทางในมือแล้วหันไปมองมัลลิกานารีด้วยสีหน้ากังวล เทศมองฉงนสองสาว
“ข้าก็เข้ามาได้แล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงยังดูกังวลนัก”
ปรางทิพย์ข่มใจ “มิได้มีเหตุอันใดดอกพี่เทศ ข้าเพียงแต่รู้สึกผิดที่มิได้ช่วยมัลลิกานารีรักษาข้าวของ ทั้งๆ ที่เป็นของสำคัญแท้ๆ”
“ข้าต่างหากเล่าที่เป็นคนผิด ทำให้ทุกคนต้องมาเดือดร้อน”
“ที่แท้พวกเจ้ากำลังคิดเรื่องนี้อยู่รึ ไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีช่วยพวกเจ้า” เทศบอก
“วิธีอะไรรึพี่เทศ”
เทศเพียงยิ้มโดยไม่ยอมตอบ สองสาวมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
จอมจักรา ช่อทิพย์วิมาดา สุริยะเดช บัวคำพิลาศ มองไปที่ประตูหน้าบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จนเห็นปรางทิพย์มณฑาทอง เทศ และมัลลิกานารี เข้ามากราบเคารพจอมจักราและช่อทิพย์วิมาดา
สุริยะเดชเปิดฉากใส่ไฟทันที “หากทำใบผ่านทางหายต้องรับโทษเช่นไรหรือท่านพ่อเมือง”
จอมจักรานิ่งไปพักหนึ่ง “โทษนั้นมีอยู่แล้ว แต่จะได้รับโทษหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าคนผู้นั้นมีเจตนาอย่างไร”
“ความผิดครั้งนี้ข้า…”
เทศแทรกขึ้น “ข้าเป็นคนทำใบผ่านทางหายเอง ข้ายินยอมที่จะรับโทษขอรับท่านพ่อเมือง”
ปรางทิพย์มณฑาทองกับมัลลิกานารีมองหน้ากันอย่างตกใจ เมื่อเทศโกหก
จอมจักราโกรธจัด “ใบไม้เพียงใบเดียวเจ้ายังรักษาไว้มิได้ แล้วลูกสาวข้าเล่าเจ้าจักดูแลได้อย่างไร”
“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านผิดหวัง แต่ข้ามิได้ตั้งใจ”
“ท่านพ่อ ข้าเองก็เคยเกือบทำใบไม้หาย โชคดีที่พี่เทศช่วยไว้ ไม่เช่นนั้นท่านคงได้ลงโทษข้าเป็นแน่”
“แต่เจ้าก็มิได้ทำหายนี่” ท่านพ่อเมืองท้วง
สุริยะเดชแทรกขึ้น “เหตุใดเราต้องมาถกเถียงกันเพราะมนุษย์เพียงคนเดียว แค่ไล่ออกจากเมืองก็หมดเรื่องแล้ว”
มัลลิกานารีสูดหายใจรวบรวมความกล้า
“ข้าเป็นคนทำใบไม้หายเอง พี่เทศไม่ได้ทำ พี่เทศเพียงแค่จะช่วยให้ข้าพ้นโทษเท่านั้นเอง”
ทุกคนหันมองหน้ากันตกใจเพราะการโกหกถือว่าผิดศีล สุริยะเดชยิ้มสะใจ
“แสดงว่ามนุษย์ผู้นี้พูดปดมดเท็จ ถือศีลเพียงไม่กี่ข้อยังทำไม่ได้ ข้าว่าเจ้าควรจะกลับออกไปอยู่ในที่ที่เจ้ามาจะดีกว่า”
“ข้ามิได้พูดปด ในเมื่อข้าเป็นคนพาแม่หญิงทั้งสองออกไป เพราะฉะนั้นหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกนางย่อมถือว่าข้าต้องรับผิดชอบ”
ปรางทิพย์ช่วยพูดให้เทศกับบิดา ความผิดเพียงน้อยนิด และพี่เทศมิได้มีเจตนา ท่านพ่ออย่าลงโทษพี่เทศเลยนะเจ้าค่ะ อีกอย่างนี่เป็นความผิดครั้งแรก พี่เทศยังไม่รู้กฎข้อนี้”
“ถ้าจะลงโทษจริงๆ ก็ขอให้ลงโทษข้าเถิด เพราะข้าเป็นคนทำผิดตั้งแต่ต้น”
จอมจักรากริ้ว “ไม่ได้ ถ้าไม่พูดปดตั้งแต่แรก เรื่องราวก็มิได้ใหญ่โตอันใดดอก เจ้าอย่ามาพูดว่าผิดมากผิดน้อย ในเมื่อทำผิดไปแล้ว ถึงอย่างไรก็คือผิด”
จอมจักรามองเทศอย่างหนักใจหันไปทางบัวคำพิลาศ
“ไปตามทหารเข้ามาเพื่อพาตัวชายผู้นี้ไปที่อาศรม”
บัวคำพิลาศรับคำ ปรางทิพย์คุกเข่าลงขอร้องอ้อนวอนบิดา
“ท่านพ่อ…ได้โปรด...”
มัลลิกานารีคุกเข่าช่วยพูดขอร้องด้วย “ท่านพ่อเมืองจับข้าไปเถิด ข้านี่แหละเป็นคนทำผิดเอง”
จอมจักราไม่สนใจลุกหนีออกไป แต่ละคนมองเห็นใจปรางทิพย์ มีเพียงสุริยะเดชที่ยิ้มสมใจ
ทุกคนมาถึงอาศรมปฏิบัติศีล ทหาร1 กับทหาร2 จับคุมเทศไว้มั่น จอมจักราหันไปสั่งบัวคำพิลาศ
“เอาชุดไปให้เขาเปลี่ยน”
“เจ้าค่ะท่านพ่อเมือง”
บัวคำพิลาศก้มหน้ารับคำ เอาชุดสีขาวไปยื่นให้ทหาร
“โทษของเจ้าคือต้องอยู่ปฏิบัติธรรมถือศีลอยู่สันโดษ ห้ามพูดห้ามพบผู้ใดจนกว่าจะครบกำหนดในวันปุรณมี”
“ขอบพระคุณท่านยิ่งนักท่านพ่อเมือง ข้าจะปฏิบัติตนให้ดีและเรียนรู้การใช้ชีวิตของคนเมืองนี้ให้ถ่องแท้ จะได้มิทำสิ่งใดผิดกฎอีก”
“พี่เทศข้าขอโทษที่ช่วยพี่เทศไม่ได้เลย พี่อดทนหน่อยหนา”
เทศยิ้มรับ “ข้าจะทำให้ได้ แม่หญิงอย่าได้เป็นกังวลไปเลย ทำใจให้สบายเถิด ทำโทษแค่นี้ถือว่าท่านพ่อเมืองมีเมตตาต่อเรามากนัก”
“อย่าถือว่าเป็นเรื่องง่าย ถ้าเจ้าทำผิดศีลอีกเพียงข้อเดียว เจ้าจักต้องถูกนำตัวไปบูชาต่อท่านสุบรรณเหราหรืออาจต้องถูกส่งตัวกลับไปเมืองมนุษย์ มิต้องกลับมาที่นี่อีก”
“พี่เทศจักไม่มีวันเป็นเช่นนั้น” ปรางทิพย์ย้ำคำ
จอมจักราสั่งทหาร “พาตัวเข้าไป”
ทหารพาตัวเทศเดินเข้าไปในอาศรมปฏิบัติ เทศหันมามองปรางทิพย์จนสุดสายตาจนประตูปิดลง
ปรางทิพย์มณฑาทองมองตามน้ำตาคลอ มัลลิกานารีรู้สึกผิด
“ข้าขอโทษที่ทำให้พวกท่านต้องพลัดพรากกัน”
ปรางทิพย์สวมกอดมัลลิกานารี พยักหน้าปลอบอีกฝ่าย
“เป็นการจากเพียงชั่วคราวเท่านั้น เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย”
ถึงตอนนี้ ทศนนท์ค่อยๆได้สติขึ้นมา มองไปรอบๆ อย่างสงสัย รอบๆ บ้านอยู่ในสภาพเก่าดังเดิม
ทศนนท์เอามือขยี้ตาเพื่อเรียกสติแล้วมองอีกครั้ง แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม เขามองปรางทิพย์อย่างสงสัย
“คุณคือแม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทอง และผมคือเทศใช่ไหมครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มดีใจ “คุณจำฉันได้แล้วใช่ไหม”
ทศนนท์นิ่วหน้าลังเล “ผม…”
บัวคำวิ่งเข้ามา รีบพูดแทรกขึ้นอย่างร้อนใจ
“คุณปรางคะ ตอนนี้ก็ใกล้จะค่ำแล้ว เราควรรีบออกไปจากที่นี่ก่อน”
ปรางทิพย์ชะงักงัน นึกขึ้นได้ว่าเธอต้องกลายร่างในคืนนี้ จึงหันไปบอกทศนนท์
“อีกไม่นานคุณจะจำฉันได้เอง”
ทศนนท์อยากจะซักถามอะไรต่อ แต่บัวคำแทรกขึ้น
“รีบออกไปก่อนเถอะค่ะ”
บัวคำรีบพาปรางทิพย์ออกไป
“คุณปราง…คุณปรางครับอย่าเพิ่งไป”
ทศนนท์เรียกไว้ แต่ทั้งคู่ไม่หยุดฟัง แถมรีบร้อนเดินออกไป จนทศนนท์อดสงสัยไม่ได้
ที่บ้านนิรชา
มัทนาแม่ของนิรชา นั่งเด็ดผักเตรียมทำอาหารอยู่ที่ศาลาพักร้อนในสวนสวยหน้าบ้าน โดยมีมาลี ยายของนิรชา นั่งคุยเป็นเพื่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้ารั้ว ทั้งคู่หันไปมอง แล้วลุกขึ้นไปดูอย่างสงสัย
ประตูบ้านเปิดออกให้รถปรัชญาขับเข้ามาจอดในบ้าน
มัทนาเขม้นมองจำรถได้ “นั่นรถหมอปรัชนี่”
นิรชาอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังเดินขากระเผลกๆ อยู่
มัทนาและมาลีมองฉงนว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิรชา เดินเข้าไปหา
ปรัชญาพยุงนิรชาและช่วยถือกระเป๋าให้ พากันยกมือไหว้สองท่าน นิรชายกมือไหว้แล้วรีบเข้าไปกอดมาลีและมัทนา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก ทำไมถึงเป็นแบบนี้” มัทนามองเป็นห่วง
“แค่อุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวก็หาย”
มาลีนิ่งมอง นึกถึงเรื่องที่ฝันถึงนิรชาเมื่อคืน
“ไหนบอกอีกวันสองวันถึงจะมาไงล่ะลูก”
“ก็หนูทนคิดถึงคุณแม่กับคุณยายไม่ไหว เลยต้องรีบให้หมอปรัชมาส่งน่ะค่ะ” นิรชามองหาบิดา “แล้วคุณพ่อล่ะคะ”
“คุณพ่อไปประชุมที่ต่างประเทศ อาทิตย์หน้าถึงจะกลับ”
“ว้า…ก็อดเจอกันอีกแล้วล่ะสิ”
“อย่าบอกนะว่าจะมาแค่วันสองวันแล้วก็กลับเหมือนรอบที่แล้ว” มาลีดักคอ
นิรชารีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณยายขาหนูหิวจังเลย มีอะไรให้กินไหมคะ”
“พอรู้ทันก็รีบเปลี่ยนเรื่องเลยนะ”
“งั้นรีบเข้าบ้านกันก่อนเถอะ” มัทนามองหน้าปรัชญา “อยู่กินข้าวด้วยกันนะจ๊ะหมอปรัช”
ปรัชญายิ้มรับเอาคำทันที “ผมก็มาเพราะสิ่งนี้แหละครับ อาหารบ้านคุณยายอร่อยจนผมอยากจะขอสมัครเป็นหลานอีกคน”
มัทนาแกล้งดุ “จะมาเป็นหลานได้ไงหมอปรัช มาทั้งทีก็มาเป็นลูกเขยเลยสิ”
ปรัชญายิ้มดีใจ
“ยินดีครับผม”
นิรชารีบเปลี่ยนเรื่อง “รีบเข้าไปดูของฝากกันเถอะค่ะ คิตตี้ฝากของให้คุณแม่กับคุณยายเต็มไปหมดเลยค่ะ”
ทุกคนเดินเข้าบ้านไป นิรชายิ้มโล่งอก
ปรัชญามองนิรชาอย่างรู้ทัน ส่ายหน้าขำๆ ยิ้มมุมปากไม่ถือสา
อีกฟาก หมู่บ้านนางลับแลเป็นเวลาโพล้เพล้ ดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดิน
ปรางทิพย์ในชุดสีดำมีผ้าดำคลุมผมนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับที่เรือนหลังใหญ่ บัวคำนั่งมองอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นห่วงและมีท่าทีหนักใจชัดแจ้ง
“วันนี้เราจะเอาใครไปบูชายันต์ต่อท่านสุบรรณเหรารึแม่หญิง”
ปรางทิพย์ไม่ตอบยิ้มในสีหน้าอย่างเยือกเย็น
ไม่นานนักปรางทิพย์ก็เริ่มหายใจแรง เธอรีบหลับตาลงเพื่อข่มอาการ บัวคำก้มหน้ารับแล้วแล้วปิดประตู มือบัวคำล็อกกุญแจห้องลับ
บัวคำเดินมาที่เครื่องเสียงโบราณตรงโต๊ะหน้าห้อง เปิดแผ่นเพลงบรรเลงดนตรีไทยแล้วเร่งเสียงให้ดังมากขึ้น เพื่อกลบเสียงกรีดร้องของปรางทิพย์ตอนกลายร่างเป็นพิณทิพย์นั่นเอง
บรรยากาศยามค่ำคืนในหมู่บ้านเงียบสงบ เสียงลมพัดต้นไม้สลับกับเสียงหมาหอนโหยหวนลอยลมมา ขับให้บรรยากาศสงบนั้นดูน่ากลัว
ทศนนท์ในชุดนอน นั่งนิ่งมองใบไม้ทองคำกับแง่งขมิ้นทองคำในมืออย่างครุ่นคิด เสียงดนตรีไทยดังลอยตามลมจากไกลๆ ลมพัดหน้าต่างกระแทกดังปัง
ทศนนท์หันมองตามเสียงแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่าง มองเหม่อออกไปทางบ้านปรางทิพย์ มีเสียงดนตรีไทยดังแว่วมาจากทางนั้น
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ทศนนท์ถามตัวเอง ยกใบไม้ทองคำขึ้นมาดู “หรือว่าคุณปรางจะเป็น…”
คำพูดเนตรมายาดังก้องขึ้นในหู “นังผีนั่นมันไม่ใช่ผีธรรมดาๆ แน่”
“ไม่มีใครเป็นผีอะไรทั้งนั้น ผมแค่หลับแล้วฝันว่าไปบ้านคุณปราง”
ทศนนท์ดึงตัวเองกลับมา เหลียวมองไปทางบ้านปรางทิพย์ ถามตัวเองอย่างลังเล
“คุณปรางกำลังพยายามจะบอกอะไรหรือเปล่า หรือว่าจะเป็นอดีตชาติของเรา”
โต๊ะหมู่บูชาในห้องพระบ้านนิรชา มีดอกไม้ประดับในแจกันสวย และธูปเทียนถูกจุดบูชาแล้ว มาลี สวมใส่ชุดขาวนั่งสมาธิอยู่ในห้องพระนี้
จนกระทั่งมีเสียงประตูเปิดเข้ามามาลีหันไปมองตามเสียง เห็นนิรชาในชุดนอนตรงเข้ามานั่งกอดมาลีจากด้านหลังทีท่าออดอ้อน
มาลีเอี้ยวแขนมากอดตอบ “ทำไมไม่นอนพักล่ะลูก เดินทางมาทั้งวันแล้ว”
“ก็เนียร์คิดถึงคุณยายนี่” นิรชาหอมแก้มมาลี “เนียร์ขอนอนตักคุณยายได้ไหมคะ”
“ได้สิลูก” หญิงชรายิ้มชื่น
นิรชาทิ้งตัวนอนลงหนุนตักยาย มาลีลูบผมหลานสาวด้วยความรัก
“โตขนาดนี้แล้วยังอ้อนยายเป็นเด็กๆ อีก แล้วหนุ่มที่ไหนจะรับหลานยายไปเลี้ยงล่ะเนี่ย”
“ไม่ต้องมีใครเลี้ยงหรอกค่ะเพราะเนียร์จะอยู่ให้คุณยายเลี้ยงไปจนแก่เลย”
“เนียร์โตแล้วนะลูก ควรจะเปิดใจมองใครบ้าง เพราะยายเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้อีกกี่ปี ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน” มาลีบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
นิรชามองค้อน งอนใส่ “ไม่เอา คุณยายห้ามพูดแบบนี้ค่ะ หลานกลับมาบ้านทั้งทีต้องตามใจหลานคนนี้ให้มากๆ สิคะ”
มาลีบิดแก้ม “ก็ตามใจจนยอมปล่อยให้ไปไหนต่อไหนแล้วนี่ ดูสิถ้าไม่ปิดเทอมก็ไม่ได้เจอนะเนี่ย”
“ไม่เจอแต่ก็คิดถึงทุกวันนะคะ” นิรชามองไปยังโต๊ะหมู่บูชา แล้วนึกขึ้นได้ “คุณยายคะคุณยายช่วยเล่านิทานเรื่องเมืองหลังม่านหมอกที่มีผู้คุมนครเป็นพญานกอีกได้ไหมคะ เนียร์อยากฟัง”
“อะไรกันฟังมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เบื่อบ้างเหรอลูก”
นิรชาส่ายหัวยิ้มแป้น มาลีพยักหน้าพลางยิ้มรับ เอามือลูบผมนิรชาด้วยความเอ็นดู
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”
นิรชานอนหนุนตักมาลี ฟังเรื่องเล่าจากคุณยายด้วยสีหน้ามีความสุข
เหตุการณ์ในอดีต เริ่มต้นที่หน้าอาศรมปฏิบัติธรรม
ปรางทิพย์มณฑาทองยืนหน้าเศร้าอยู่ตรงนั้น ชะเง้อมองเข้าไปข้างในอย่างรอคอย มีมัลลิกานารียืนข้างๆ มองอย่างเห็นใจ
คุณยายมาลีเล่าเรื่องให้หลานรักฟังต่อไปเรื่อยๆ
“หลังจากพรานหนุ่มได้ทำผิดกฎของเมือง เลยต้องถูกนำตัวไปที่อาศรม…เจ้าหญิงก็ได้แต่เฝ้ารอพรานหนุ่มด้วยความโศกเคร้าทุกข์ทรมานใจอย่างที่สุด”
เวลาผ่านไป วันแล้ววันเล่า ปรางทิพย์มณฑาทองตรอมใจ นั่งร้องไห้เสียใจ เฝ้ารอคอยการกลับมาของเทศ ข้างหน้ามีอาหารที่มัลลิกานารีนำมาให้ทาน แต่นางไม่แตะต้องหรือกินสักคำ
มัลลิกานารีมองปรางทิพย์มณฑาทองด้วยความเห็นใจและรู้สึกผิด
“เจ้าไม่ยอมกินอะไรมาหลายวันแล้ว เจ้าต้องกินเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นเจ้าจักไม่สบายเอาได้”
“ข้ากินอะไรไม่ลงจริงๆ”
“ท่านพ่อเมืองเป็นคนมีใจยุติธรรมและปกครองเมืองเราด้วยความรัก ท่านคงไม่ลงโทษให้พี่เทศต้องเป็นอันใดดอก”
“เจ้าก็รู้ว่าพ่อข้าทำตามกฎที่ท่านสุบรรณเหราสั่งอย่างเคร่งครัด ถ้าพี่เทศรักษาศีลไม่ได้ล่ะ”
มัลลิกานารีเชื่อมั่นในตัวเทศ “ไม่มีทาง พี่เทศรักเจ้ามาก เขาจักต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อได้อยู่กับเจ้าเป็นแน่”
ปรางทิพย์กังวลไม่คลาย “แต่ข้ากลัว…”
มัลลิกานารีปลอบใจ “เชื่อข้าเถิด หากสองคนมีวาสนาต่อกันแล้วคงไม่มีสิ่งใดพรากพวกเจ้าจากกันได้”
ปรางทิพย์มณฑาทองแววตาคลายความกังวลลง
เวลาในเมืองลับแลผ่านไป จากคืนพระจันทร์เสี้ยว ถึงวันปุรณมี พระจันทร์เต็มดวง ครบวันรอบปล่อยตัวเทศ ทุกคนมองไปเห็นทหารพาเทศในชุดนุ่งขาวห่มขาวเดินออกมาจากอาศรม เทศท่าทางอิดโรย แต่สีหน้าสดใส มีความหวัง
ปรางทิพย์มณฑาทองจะโผเข้าหาเทศด้วยความเป็นห่วง จอมจักรากันไว้ ร้องสั่งบัวคำพิลาศ
“พานายเจ้าถอยออกไป”
บัวคำพิลาศดึงปรางทิพย์มณฑาทองออกมา
“ท่านพ่อ…ปล่อยพี่เทศไปเถิด ให้พวกเราออกไปอยู่เมืองมนุษย์ก็ได้ ขอเพียงให้เราได้อยู่ด้วยกัน”
จอมจักรากริ้วมองธิดาสุดสวาทอย่างไม่พอใจ สั่งทหารเสียงกร้าว
“เจ้ามิต้องพูดสิ่งใดแล้ว พาตัวออกไปเปลี่ยนผ้า แล้วรอข้าที่โถงถ้ำรอพบสุบรรณเหรา”
ทุกคนตกใจ คิดไปต่างๆ นานา ว่าเทศต้องถูกส่งตัวกลับไปเมืองมนุษย์เป็นแน่
“พี่เทศ..ข้าขอโทษ” ปรางทิพย์ปล่อยโฮ วิ่งถลาเข้าไปหาคนรัก ถูกทหารกันไว้ไม่ให้เข้าใกล้
เทศพยายามขัดขืนสะบัดแขนเต็มแรงแต่ก็ไม่หลุด จึงคุกเข่าลงอ้อนวอนต่อหน้าจอมจักรา
“ขอให้ข้าได้ลาแม่หญิงปรางทิพย์มณฑาทองเป็นครั้งสุดท้ายเถิดท่านพ่อเมือง”
“เจ้าไม่ต้องพูดสิ่งใด ทุกอย่างได้ถูกลิขิตไว้แล้ว”
จอมจักราเดินออกไปอย่างเย็นชา ทุกคนมองเทศและปรางทิพย์มณฑาทองอย่างสงสารและเห็นใจ
สุริยะเดชยิ้มมุมปากสะใจ ขณะที่มัลลิกานารีร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ
สถานการณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้ทุกคนต่างเข้าใจไปเองว่าเทศจะถูกท่านจอมจักรานำตัวไปลงทัณฑ์
แววตาของหญิงชราเศร้าสร้อย น้ำตาคลอๆ เมื่อนึกถึงอดีต น้ำตาไหลหยดลงบนตัวนิรชา มาลีตกใจ แต่พอก้มลงมองก็ต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
นิรชานอนหนุนตักมาลีหลับไป มาลีรีบเอามือเช็ดน้ำตาที่หยดลงบนแขนของนิรชา แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด
มาลีนึกถึงอดีตแล้วรู้สึกผิดในใจ “ข้าขอโทษที่ทำให้พวกท่านต้องพลัดพรากจากกัน ไม่รู้บัดนี้พวกท่านทั้งสองเป็นเช่นใด แต่จงรู้ไว้เถิดว่าข้าเองก็เจ็บปวดทรมานใจไม่ต่างจากพวกท่านเช่นกัน”
นิรชาขยับตัวค่อยๆตื่น แต่ไม่ได้ยินที่มาลีพูด/ มาลีรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มตัวเอง
นิรชาอยู่ในท่าทีสะลึมสะลือ “เนียร์หลับไปตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย แล้วนิทานจบแล้วเหรอคะคุณยาย”
“ยังไม่จบหรอกลูก เดี๋ยวมีโอกาสยายจะเล่าให้ฟังอีก แต่ตอนนี้กลับไปนอนก่อนเถอะ” คุณยายมาลีว่า
“งั้นเนียร์ขอนอนกับยายนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปนอนกับแม่”
มาลียิ้มรับ พลางลูบผมนิรชาอย่างเอ็นดู
ใต้แสงตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนอยู่ในห้อง เห็นร่างปรางทิพย์นั่งสมาธิอยู่กลางห้อง ไม่นานก็เริ่มมีเหงื่อแตกกาฬเป็นเม็ดๆ ทั่วใบหน้า ตัวเริ่มสั่นควบคุมไม่ได้
ปรางทิพย์เริ่มรู้สึกปวดแสบปวดร้อนตามตัว ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและมีแสงเรืองรองขึ้นรอบตัว ปรางทิพย์ปวดร้าวสายตัวแทบขาด ต้องพยายามฝืนกลั้นความเจ็บปวดไว้ถึงขีดสุด
ปรางทิพย์รำพันถึงเทศด้วยความขมขื่น ทั้งรักทั้งแค้น และโกรธตัวเองที่ไม่ยอมลืมเขาสักที
“ทำไมข้าต้องมาเจ็บปวดเพราะรักพี่เช่นนี้ ทำอย่างไรข้าจึงจะลืมพี่ได้สักที”
ปรางทิพย์น้ำตาร่วงริน กรีดร้องเสียงโหยหวนเพื่อปลดปล่อยความเจ็บปวด ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ลงไปดิ้นทุรนทุรายบนพื้นห้อง
ท้องฟ้าเหนือบ้านปรางทิพย์ทะมึนหม่น ฟ้าแลบแปล่บปลาบ สลับกับเสียงฟ้าร้องฟ้าคำรณน่ากลัว
ผิวหนังเนื้อตัวปรางทิพย์เหี่ยวย่น ดวงตาสวยใสเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น กรงเล็บยาวงอกออกมานิ้วจิกพื้นห้อง
ผลจากการเปลี่ยนรูปร่างทำเกิดลมกรรโชกอย่างรุนแรงในห้อง ส่งให้หน้าต่างที่ปิดอยู่สั่นดังลั่นตะเกียงแกว่งไกวอย่างรุนแรงจนไฟดับไปเอง
ทั้งห้องมืดสนิทลง เสียงลมลอดช่องหน้าต่างดังหวีดหวิว ประสมกับเสียงกรงเล็บที่กรีดข่วนตามพื้นตามกำแพงดังบาดลึกในความรู้สึก ฟังแล้วชวนขนลุกขนพองสยองเกล้าสุดจะประมาณ
อ่านต่อตอนที่ 17