เพรงลับแล ตอนที่15 | ‘เจ้าแม่เนตร’ ฉะ ‘ผีแม่ม่าย2’
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ตรงโถงใหญ่ของถ้ำ บริเวณปากทางเข้าเมืองลับแล อันเป็นที่อยู่ของท่านสุบรรณเหรา บุษบาลาวัณย์ตรงเข้ามาในนั้น ก้มลงกราบเคารพนบนอบ
“ท่านสุบรรณเหรา เหตุใดข้าจึงกลับเข้าไปในเมืองของเรามิได้”
“เพราะเจ้ามิยอมรักษาศีล แล้วยังหลบหนีออกไปหลงระเริงในเมืองมนุษย์อีกด้วย”
“แต่ข้าได้นำคนบาปมาบูชายัญต่อท่านแล้ว”
“ข้ายังมิเห็นมันผู้ใดผ่านเข้ามาสักคน”
บุษบาลาวัณย์อึ้งไป มั่นใจว่าต้องมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาอีกแน่ๆ
“เช่นนั้นข้าบุษบาลาวัณย์ขอลาต่อท่านสุบรรณเหรา”
บุษบาลาวัณย์ก้มลงกราบลา สุบรรณเหราอบรมสอนสั่ง
“อย่าได้สร้างกรรมเพียงเพื่อสนองตนเอง จนทำร้ายผู้อื่นอีกเลย บุษบาลาวัณย์”
บุษบาลาวัณย์อึ้งนิดๆ โดนจี้ใจดำ รีบก้มหน้าหันหลังเดินออกไป
บุษบาลาวัณย์เดินมาตามทางจนเกือบถึงปากถ้ำ แล้วต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่างที่พื้น มันคือผ้าคลุมไหล่ของปรางทิพย์ที่ทำหล่นไว้นั่นเอง
บุษบาลาวัณย์เดินไปหยิบผ้าขึ้นมามองเห็นลายปักผ้า ก็จำได้ว่าเป็นของปรางทิพย์
“แกอีกแล้วหรือนังปรางทิพย์มณฑาทอง!”
บุษบาลาวัณย์กำผ้าแน่นกรีดร้องออกมาอย่างอาฆาตแค้น
ฝ่ายทรงกลดถือซองใส่เงินสดเดินลงมาในห้องรับแขกด้วยสีหน้าแปลกใจ เพราะแขกคนสวยไม่ได้อยู่ในนั้น
ทรงกลดเหลียวจนทั่วห้อง แต่ก็ไม่เจอปรางทิพย์ กระทั่งเห็นแต้มเดินถือจานผลไม้เข้ามาวางที่โต๊ะรับแขก
“แต้ม คุณปรางหายไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ เมื่อกี้ยังบอกว่าหิว แล้วบอกให้แต้มไปหาผลไม้มาให้อยู่เลย”
แต้มพูดจบก็ค้อมตัวเดินออกไป
“หรือว่าจะออกไปเดินเล่น”
ทรงกลดกำลังจะออกไปตามหา ปรางทิพย์ก็เดินเข้ามาพอดี
“อ้าว คุณปราง ไปไหนมาครับ”
“ฉันไปเดินเล่นในสวนมาค่ะ บ้านคุณทรงกลดนี่สวยนะคะ กว้างขวางน่าอยู่มาก”
“คุณปรางชอบหรือครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มบางๆ แล้วเดินไปนั่งที่โซฟา
“ช่วงนี้คุณพ่อมาค้างกับผมพอดี คุณปรางอยู่ทานข้าวกับคุณพ่อผมนะครับ จะได้คุยกับท่านเรื่องเจ้าของบ้านร้างนั่นด้วย”
ปรางทิพย์ตาเป็นประกายด้วยความดีใจ
“แต่ว่าฉันเป็นมังสวิรัตินะคะ”
“ไม่มีปัญหาครับ ผมสั่งให้คนจัดอาหารตามที่คุณชอบได้”
ทรงกลดให้ปรางทิพย์
ทรงกลด ปรางทิพย์ และคมสัน พ่อของทรงกลด นั่งกินอาหารด้วยกันบนโต๊ะอาหาร คมสันมองปรางทิพย์อย่างพินิจพิเคราะห์ พร้อมกับยิ้มให้อย่างพึงพอใจ
“หนูนี่สวยกว่าที่เจ้ากลด มันเล่าให้อาฟังเสียอีกนะ”
“เหรอคะ”
“หนูเป็นคนที่สวยไม่เหมือนใคร ยิ่งนุ่งผ้าไทยแบบนี้ด้วย ยิ่งสวยสง่า สูงส่ง จนลูกชายอาดูไม่เหมาะสมกับหนูเลย”
“โธ่พ่อ พูดแบบนี้คะแนนผมก็ตกฮวบเลยสิ”
“ก็มันจริงนี่ ดูคุณปรางสิ อย่างกับเจ้าหญิง ส่วนแก...”
ทรงกลดทำเป็นน้อยใจ “พ่อหาว่าผมเหมือนหมามองเครื่องบินล่ะสิ”
ทั้งคมสันและปรางทิพย์ต่างหัวเราะขำท่าทีทรงกลด คมสันหันมาทางปรางทิพย์
“รู้ไหมหนูปราง ไอ้กลดมันไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมากินข้าวกับพ่อเลยนะ แสดงว่ามันให้ความสำคัญกับหนูมาก”
ทรงกลดรู้สึกใจชื้นขึ้นแล้วหันมองปรางทิพย์อย่างรอคอยคำตอบ
“ขอบคุณมากนะคะคุณทรงกลด ฉันดีใจที่คุณคิดอย่างนั้น”
ทรงกลดยิ้มดีใจ ปรางทิพย์รีบเปลี่ยนเรื่องหันมาถามคมสัน
“เห็นคุณทรงกลดเคยเล่าว่า ท่านรู้จักคุณเทศเจ้าของบ้านร้าง”
คมสันนิ่งนึก “สมัยนั้นอายังเด็ก พ่ออาเป็นเพื่อนรักกับลุงเทศ เลยไปเล่นที่นั่นบ่อยๆ”
“ได้ยินว่าเจ้าของบ้านหายสาบสูญไป”
“ใช่ เท่าที่อาเห็น วันๆ ลุงเทศจะเข้าไปในป่า ตามหาแต่ถ้ำอะไรสักอย่าง จนอยู่ดีๆ วันหนึ่ง ลุงเทศเข้าป่าแล้วก็หายไปเลย สงสัยคงจะตายไปแล้ว” คมสันเสียงเศร้า
“แล้วลูกชายเขาล่ะคะ”
คมสันตกใจ หันมามองปรางทิพย์อย่างแปลกใจ “หนูรู้ได้ยังไงว่าลุงเทศมีลูกชาย”
“ผมเล่าให้คุณปรางฟังเองครับ”
“ผู้ใหญ่จรัลก็เคยพูดถึงเหมือนกันค่ะ”
คมสันพยักหน้าเข้าใจ “อ๋อ...ผู้ใหญ่จรัล พวกเราเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แล้ววันหนึ่ง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ลุงเทศก็ส่งเจ้าทัศไปอยู่กับญาติ แล้วก็ขาดการติดต่อกันไปเลย”
“แล้วคุณปรางจะซื้อบ้านหลังนั้นจากใครได้ละครับพ่อ”
“ดูหนูคงอยากได้บ้านหลังนั้นมากสินะ”
“ถ้าติดต่อเจ้าของบ้านไม่ได้ ก็คงไม่มีหวัง”
“จริงๆ แล้วมันก็มีหนทางนะ บ้านหนูอยู่ติดกับบ้านหลังนั้น หนูก็เข้าไปถือครองที่ดิน แล้วยื่นเรื่องขอซื้อที่ดินที่เจ้าของหายสาบสูญกับทางหน่วยงานรัฐ เท่านี้บ้านและที่ดินผืนนั้นก็เป็นของหนูแล้ว แต่เรื่องมันอาจจะยุ่งยากและล่าช้าสักหน่อย” คมสันแนะนำ
“ปรางเข้าใจค่ะ ขอบคุณนะคะที่ให้คำปรึกษา”
ปรางทิพย์รู้สึกผิดหวัง กินข้าวไปเงียบๆ ทรงกลดตักผัดผักใส่จานให้
“ผัดผักนี่ก็อร่อยครับ ทานเยอะๆ นะครับคุณปราง”
“ขอบคุณค่ะ”
ปรางทิพย์ใคร่ครวญครุ่นคิด
ทางฝั่งทศนนท์ เขากำลังคุยกับนิรชา ทั้งคู่มีสีหน้าเครียดเคร่งอย่างเห็นได้ชัด
“คุณทศ คุณว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไหม”
“อะไรครับ”
“ฉันว่าวันนั้น มันต้องมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับเราสองคน”
ทศนนท์พลันนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำตอนเขาตัดสินใช้ร่างกายตัวเองให้ไออุ่นกับนิรชา เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบา อย่างรู้สึกผิด
“คุณรู้แล้วเหรอ”
“ใช่”
“คือว่า...ผมไม่ได้...”
ทศนนท์พยายามจะอธิบายกับสิ่งที่ตนกระทำ แต่นิรชากลับพูดแทรกขึ้นมาอีกเรื่อง
“คุณคิดดูนะ แถบหน้าผาที่เราตกลงไปมันอยู่ที่ทางออกหน้าหมู่บ้านชัดๆ แล้วทำไมอยู่ดีๆ เราถึงมาโผล่ที่ป่าตรงน้ำตกท้ายหมู่บ้านได้”
เห็นทศนนท์หน้าเหวอๆ นิรชาแปลกใจ
“นี่คุณไม่ได้สงสัยเหมือนฉันเหรอ”
ทศนนท์อึกอัก “เอ่อ...ผมก็คิดอยู่”
“ใช่ไหมล่ะ”
“แต่ผมว่าบางที โพรงที่เราตกลงไป มันอาจจะเป็นทางเชื่อมกันกับที่น้ำตกก็ได้นะ เพราะกว่าผมจะอุ้มคุณออกมาได้ก็เล่นเอาผมแทบแย่เหมือนกัน”
นิรชารู้สึกผิด “ขอโทษนะ ที่ฉันเป็นภาระให้คุณ”
“ไม่เป็นไรครับ ที่เกิดเรื่องขึ้นเพราะคุณตามไปช่วยตอนผมละเมอ”
“แต่ ฉันก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่าคุณปรางตามมาช่วยพวกเราได้ยังไง”
ทศนนท์คิดตาม “เรื่องนี้ผมก็อยากรู้เหมือนกัน”
ทศนนท์และนิรชามองหน้ากันด้วยความสงสัย
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงในยามเย็น แสงอัสดงสาดส่องเหนือบ้านทรงกลด
บุษบาลาวัณย์ค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นที่พุ่มไม้ในสวนสวยบ้านทรงกลด
ขณะที่กำลังจะก้าวกลับเข้าบ้าน พลันสายตาก็มองเห็นทรงกลดเดินออกมา บุษบาลาวัณย์ยิ้มดีใจ
“รู้ได้ยังไงว่าเรากลับมาแล้ว”
บุษบาลาวัณย์จะเดินไปหาทรงกลด แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นทรงกลดเดินตรงไปยังรถที่ลานจอด เปิดประตูที่นั่งข้างคนขับ
บุษบาลาวัณย์ตัวแข็งทื่อ ความโกรธแค้นแล่นเป็นริ้วๆ เข้าสู่หัวใจ เมื่อเห็นว่าเป็นปรางทิพย์มณฑาทองเดินออกจากตัวบ้าน ตรงไปขึ้นรถที่ทรงกลดเปิดประตูรออยู่
ทรงกลดปิดประตูลงแล้วเดินอ้อมมาขึ้นนั่งประจำที่คนขับ แล้วขับรถออกไป
บุษบาลาวัณย์ยืนนิ่งเป็นเสาหิน โกรธถึงขีดสุด คำรามในลำคอ
“แกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ทศนนท์ถือถุงใส่โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ เดินตรงมาที่ประตูบ้านปรางทิพย์ มีเสียงรถทรงกลดแล่นมาจอดข้างบ้าน ทศนนท์หยุดหันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจ
ทรงกลดลงจากรถหันมองทศนนท์แว่บเดียว แล้วรีบเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้ปรางทิพย์
ปรางทิพย์ลงรถมา เธอมองเห็นทศนนท์ตั้งแต่รถเลี้ยวเข้าบ้านมา แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็นเขา
“ขอบคุณคุณทรงกลดมากนะคะที่วันนี้เป็นธุระจัดการเรื่องต่างๆ ให้”
“ไม่เป็นไรครับ สำหรับคุณปรางแล้วผมยินดี”
“คุณเป็นคนดีจริงๆ มิน่าชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ถึงรักคุณกันทุกคน”
“แต่ก็ยังมีบางคนนะครับ ที่อยากให้รัก แต่ยังไม่รัก”
ทรงกลดมองปรางทิพย์สายตาส่อความหมายลึกล้ำ
ทศนนท์นิ่งฟัง สีหน้าเครียด
“เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาและความจริงใจค่ะ”
“แสดงว่า คุณปรางยอมให้เวลาผมแสดงความจริงใจใช่ไหมครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มหวานให้ทรงกลด เลี่ยงอย่างสุภาพ
“ถ้ามีโอกาส คราวหน้าปรางขอเลี้ยงอาหารขอบคุณคุณทรงกลดบ้างนะคะ”
“ยินดีมากเลยครับ”
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง นี่ก็จวนจะค่ำแล้ว คุณทรงกลดรีบกลับเถอะค่ะ ขับรถกลางคืนมันอันตราย”
ทรงกลดยิ้มกริ่ม “ครับ ถ้ามีธุระอะไรคุณปรางโทร.หาผมได้ หรือถ้าไม่มีธุระก็โทร.ได้นะครับ ผมยินดีรับโทรศัพท์คุณปรางตลอด 24 ชั่วโมง”
“ค่ะ”
ทรงกลดเดินกลับไปขึ้นรถ ปรางทิพย์หันไปยิ้มส่งจงใจให้ทศนนท์เห็น
ทรงกลดกลับรถแล้วขับออกไป หันมายิ้มเยาะทศนนท์อย่างผู้มีชัย
ทศนนท์หันมามองปรางทิพย์ด้วยรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
ปรางทิพย์นิ่งมองทศนนท์ จนกระทั่งเขาออกเดินตรงมาหา เธอเมินมองเปิดประตูรั้วเดินเข้าบ้านไปโดยไม่ปิดประตู
ทศนนท์เร่งฝีเท้า ตะโกนเรียกปรางทิพย์
“คุณปรางครับ เดี๋ยวก่อนครับ คุณปราง”
ทศนนท์รีบเดินตามปรางทิพย์ไป
ปรางทิพย์เดินขึ้นบันไดมาถึงหน้าประตูบ้าน ทศนนท์ตามมาทัน
“คุณปรางครับ คุณเดินหนีผมทำไม”
ปรางทิพย์ชะงักเท้า ยืนทำใจ แล้วหันหน้ามาพูดกับทศนนท์ด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“คุณมีธุระอะไรกับฉัน”
ทศนนท์อึ้งไป กับท่าทีห่างเหินดังกล่าว ชายหนุ่มยื่นถุงโทรศัพท์ส่งให้ปรางทิพย์
“ผมซื้อโทรศัพท์มาฝากคุณ”
“ขอบคุณนะคะ แต่ว่าฉันมีแล้ว คงไม่รบกวนคุณทศนนท์ เพราะคุณทรงกลดจัดการซื้อมาให้พร้อมกับเปิดเบอร์ให้ฉันเรียบร้อยแล้วด้วย”
ทศนนท์สะอึกเป็นรอบที่สอง แต่ก็ยังแข็งใจคุยกับปรางทิพย์
“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมขอเบอร์โทรของคุณปรางหน่อยได้ไหมครับ”
“คงไม่จำเป็นมั้งคะ เพราะเราคงไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกัน”
ทศนนท์สะอึกอึ้งอีกรอบ ก่อนจะโพล่งออกมาอย่างงงๆ
“ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมคุณถึงพูดจาห่างเหินกับผมขนาดนี้”
“นี่คุณยังจะมาถามฉันอีกเหรอ”
“ก็ต้องถามสิครับ เพราะว่าผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณโกรธผมเรื่องอะไร”
“ฉันว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่าค่ะ ฉันยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับคุณตอนนี้”
พูดจบปรางทิพย์ก็เดินเข้าบ้านไปเลยอย่างปวดใจ
บัวคำเดินถือน้ำออกมาจะเสิร์ฟให้ทั้งคู่ ถึงกับอึ้งเพราะปรางทิพย์เกือบจะชนเอา บัวคำหยุดตัวเองไว้ได้ ขณะที่ปรางทิพย์เดินเข้าบ้านไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
บัวคำมองอาการปรางทิพย์ด้วยสีหน้าฉงน วางถาด แล้วเดินออกมาหาทศนนท์ที่ยังคงยืนงงอยู่หน้าประตูบ้าน
“คุณปรางเป็นอะไรคะ”
“ไม่รู้สิครับ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคุณปรางเขาโกรธผมเรื่องอะไร ถามแล้วก็ไม่ยอมบอก”
“ฉันว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่าค่ะ เพราะฉันก็ไม่เคยเห็นคุณปรางเป็นแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน”
ทศนนท์ชะเง้อมองตามปรางทิพย์ไปตาละห้อย
ค่ำวันนี้ ยินเสียงเพลงซึงท่วงทำนองหวานเศร้าจับใจ ดังแว่วออกมาจากในตัวบ้าน พาลให้บรรยากาศรอบๆ เศร้าสร้อยวังเวงไปด้วย
ปรางทิพย์นั่งดีดซึงอยู่ให้องนอน ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ภาพบาดตาในถ้ำผุดขึ้นมาหลอกหลอน
นิรชาเดินออกมาจากถ้ำไม่ไหว ทรุดฮวบลงทศนนท์กุลีกุจอช่วยอย่างห่วงใย ช้อนอุ้มร่างเธอขึ้นมา
อีกเหตุการณ์เมื่อทศนนท์กลับมาพร้อมกับทุกคน พอไม่เห็นนิรชาก็มีสีหน้าตื่นตกใจ ต่อว่าเธอที่ปล่อยให้นิรชาหายไป
ยิ่งนึกก็ยิ่งเสียใจ ปรางทิพย์ดีดซึงด้วยสีหน้าอันปวดร้าว ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอาบสองแก้มและร่วงหยดรดลงที่ซึง
ทศนนท์ยืนอยู่ข้างบ้าน เหลียวมองขึ้นไปที่ชั้นบนห้องปรางทิพย์ นิ่งฟังเสียงซึงที่ยังคงดังแว่วหวานเศร้าสร้อย
“ทำไมเสียงซึงของคุณถึงได้เศร้าขนาดนี้”
ทศนนท์เดินคอตกออกถนนไป
บุษบาลาวัณย์แอบดูอยู่ในมุมมืด มองตามทศนนท์ที่เดินหน้าเศร้าออกไป แล้วเหลียวขึ้นไปมองชั้นบนห้องปรางทิพย์ ยิ้มเยาะออกมาอย่างสะใจ ก่อนจะเดินตามทศนนท์ไป
บริเวณถนนหน้าบ้านทศนนท์ทั้งมืดทั้งเปลี่ยวและเงียบสงัด ทศนนท์เดินหน้าเศร้ามาจนเกือบถึงหน้าบ้านพัก โดยไม่รู้ว่าบุษบาลาวัณย์เดินพรางตัวตามทศนนท์มาอย่างประสงค์ร้าย สาวลับแลจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา
ทศนนท์หยุดเดิน รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง หันขวับไปทางข้างหลัง สอดตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร
ทศนนท์สลัดความคิดแปลกๆ ทิ้ง จะเดินขึ้นบันไดบ้านพัก
ฉับพลันทันใดนั้นเอง บุษบาลาวัณย์ก็พุ่งเข้าหาวาดกรงเล็บเข้าใส่ทศนนท์ทันที
ปรางทิพย์ดีดซึงสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่อย่างนั้น จู่ๆลมก็พัดเข้ามาในห้องอย่างแรง ส่งให้แก้วน้ำที่วางอยู่บนหัวเตียงตกลงมาแตก ปรางทิพย์ชะงักสังหรณ์ใจโดยประหลาด
“คุณทศ...”
บุษบาลาวัณย์วาดกรงเล็บตะปบเข้าที่คอของทศนนท์ แต่กลับโดนพลังบางอย่างจากสร้อยข้อมือลูกประคำที่ลอยมาจากทางหนึ่ง กระแทกเข้าใส่หน้าจังๆ อานุภาพจากแสงนั้นกระแทกใส่จนร่างบุษบากระเด็นหายวับไป เสียงบุษบาลาวัณย์ร้องกรี๊ดโหยหวน แต่ทศนนท์ไม่เห็นและไม่ได้ยิน
ที่ทศนนท์รับรู้ตอนนี้ คือมีบางอย่างหล่นมาใส่หัวตนและค้างอยู่ เขาหยิบมันมาดูด้วยสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นเป็นสร้อยข้อมือลูกประคำ
ระหว่างนี้ เนตรมายาและเชื่อมรีบวิ่งเข้ามาหาหน้าตาตื่น
“คุณทศ คุณเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีใช่ไหมคะ”
“คุณโยนสร้อยนี่ใส่ผมทำไม”
“เปล่านะคะ ฉันไม่ได้โยนใส่คุณ ฉันโยนไล่นังปีศาจที่มันกำลังจะทำร้ายคุณต่างหาก”
ทศนนท์ไม่เชื่อและไม่พอใจ “ปีศาจอีกแล้วเหรอครับ”
“เรื่องจริงนะคะ เจ้าแม่เห็นนังปีศาจร้ายจริงๆ แล้วสร้อยหินศักดิ์สิทธิ์เส้นนี้เจ้าแม่ก็ใส่ติดตัวตลอด ถ้าไม่ฉุกเฉินจริงๆ เจ้าแม่ไม่มีวันถอดมันออกแน่” เชื่อมอธิบาย
ทศนนท์มองเนตรมายาเห็นวี่แววความห่วงใย ก็มีท่าทีอ่อนลง ยื่นสร้อยข้อมือคืนให้ เนตรมายารับคืนไป
“นังผีแม่ม่ายมันตั้งใจมาเอาชีวิตคุณ”
“ขอเถอะครับ เลิกใส่ร้ายคุณปรางซะที”
“แต่เมื่อกี้คุณเกือบจะโดนมันฆ่าตายแล้วนะคุณทศ นี่ถ้าไม่เพราะฉันลืมโทรศัพท์ไว้ที่นี่แล้วกลับมาเอา ป่านนี้คุณคงตายไปแล้ว”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงและหวังดีกับผม” ทศนนท์อารมณ์เสียเรื่องท่าทีมึนตึงของปรางทิพย์ จึงเลี่ยงไม่คุยต่อ “แต่ขอโทษนะครับ วันนี้ผมเหนื่อยมากและไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับคุณด้วย”
ทศนนท์เดินหงุดหงิดขึ้นเรือนไป เนตรมายาไม่ยอม จะเดินตามทศนนท์ขึ้นไป
“คุณทศคะ คุณต้องเชื่อที่ฉันพูดนะคะ คุณทศ”
เชื่อมดึงแขนเนตรมายารั้งไว้
“วันนี้คุณทศดูอารมณ์ไม่ค่อยดี กลับกันก่อนเถอะเจ้าแม่”
เนตรมายามองทศนนท์ด้วยความเป็นห่วงและน้อยใจที่เขาไม่ยอมเชื่อ
ด้านกฤตณีพยุงนิรชาเข้ามาในห้องนอน
“ค่อยๆ นะแก ค่อยๆ อย่างนั้นแหละ”
กฤตณีช่วยนิรชาเดินมากระทั่งนั่งลงที่เตียงนอน
“ฉันดีขึ้นมากแล้ว ไข้ก็ไม่มีแล้วด้วย ไม่ต้องประคบประหงมฉันขนาดนี้ก็ได้”
“ต้องสิ แกเป็นเพื่อนรักของฉันนะ ฉันจะดูแลแกน้อยกว่านี้ได้ไง แล้วนี่มียาที่ต้องกินก่อนนอนด้วยไม่ใช่เหรอ”
กฤตณีหยิบยาสมุนไพรลูกกลอนที่ปรางทิพย์ให้มา บนหัวเตียงมาส่งให้พร้อมกับแก้วน้ำ นิรชารับไปกินเรียบร้อยแล้วคืนแก้วให้เพื่อน
“ยาของคุณปรางนี่ดีจริงๆ เลยนะ กินแค่แป๊บเดียวอาการไข้ของฉันก็เกือบจะหายแล้ว ดูสิตัวก็ไม่ร้อน แถมยังไม่มีอาการปวดหัวเลยด้วย”
“แต่ว่าขาแกยังเดี้ยงอยู่เลยนะ ฉันว่าคืนนี้ฉันต้องนอนเป็นเพื่อนแกซะแล้ว เผื่อมีอะไรฉันจะได้ช่วยแกได้”
นิรชารู้ทันว่าสาวอวบกลัวผี “เฮ้ยอย่ามาๆ ฉันรู้ว่าแกหลอนเสียงซึงบ้านคุณปรางมากกว่า”
กฤตณีเสียงสูง “เปล๊า...พูดอะไรไร้สาระ คนอย่างฉันเคยกลัวอะไรซะที่ไหน”
เสียงดนตรีไทยโหยหวนดังขึ้น กฤตณีสะดุ้งโหยง
“ว้าย มาอีกแล้วเสียงนี้อีกแล้ว”
“เสียงจากโทรศัพท์ฉันเอง”
กฤตณีแปลกใจ “เสียงโทรศัพท์ แกเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมตั้งเสียงเพลงหลอนแบบนี้”
กฤตณีเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะเครื่องแป้งมาส่งให้นิรชา
“เสียงนี้มันเฉพาะเบอร์ของยายฉันน่ะ ยายฉันชอบฟังเพลงดนตรีไทย”
นิรชารับมือถือมากดรับสาย พูดด้วยน้ำเสียงสดใส
“ค่ะคุณยาย...เนียร์สบายดีค่ะ... ตอนนี้ปิดเทอมแล้วค่ะ กะว่าอีกวันสองวันจะกลับบ้าน”
ทรงกลดนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดู เลื่อนไปที่เบอร์ปรางทิพย์
“จะนอนหรือยังนะ”
แต้มเดินถือถ้วยเครื่องดื่มเข้ามาเสิร์ฟให้ทรงกลด/ทรงกลดรับไปดื่ม
“คุณบุษกลับบ้านไปแล้วหรือคะ”
“กลับแล้วแต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มาใหม่”
แต้มมองทรงกลดด้วยสีหน้าสงสัย ทรงกลดอ่านออก
“คุณบุษกลับไปเอาของที่บ้าน และคงจะพักอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่ คุณบุษเป็นแขกคนสำคัญ เวลาฉันไม่อยู่ ถ้าเขาอยากได้อะไรก็จัดหาให้ด้วย เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
แต้มรับเอาคำแล้วเดินออกไป
ทรงกลดกดโทรศัพท์โทรออกหาปรางทิพย์ แต่แล้วสายตาของเขาก็หันไปมองเห็นบุษบาลาวัณย์เดินเข้าในบ้าน ทรงกลดรีบกดตัดสาย หันมาทักบุษบาลาวัณย์ด้วยความแปลกใจ
“คุณบุษ กลับมาได้ยังไงครับเนี่ย”
บุษบาลาวัณย์เดินเข้ามานั่งกับทรงกลด ด้วยท่าทีอ่อนล้า โรยแรง และมีรอยแดงที่หน้าผากเห็นชัด ทรงกลดมองฉงน
“ฉันจ้างรถพวกชาวบ้านมาส่ง”
“แล้วนั่นหน้าผากคุณไปโดนอะไรมา”
บุษบาลาวัณย์จับหน้าผากดูแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบ แต่ต้องเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้
“อุบัติเหตุนิดหน่อย”
“มันแดงมากเลย ทายาสักหน่อยนะ เดี๋ยวผมให้แต้มไปเอายามาทาให้”
“ไม่ต้อง!”
บุษบาลาวัณย์เผลอตัวพูดแทบเป็นตวาด ก่อนจะรีบปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“ไม่ต้อง เดี๋ยวก็หายเอง”
ทรงกลดไม่อยากเซ้าซี้จึงเปลี่ยนเรื่องถามใหม่
“ตามใจคุณ อ้อ...แล้วไหนล่ะของที่คุณบอกว่าจะกลับไปเอา”
“ไม่มี ฉันยังไม่ได้เข้าไปเอา พอดีมีเรื่องขึ้นซะก่อน”
ทรงกลดสงสัย “มีเรื่องอะไรเหรอ ผมจำได้ว่าผมไปส่งคุณถึงหน้าหมู่บ้าน...”
บุษบาลาวัณย์ตัดบทขึ้น “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวขึ้นห้องพักก่อนนะคะ”
พูดจบก็รีบเดินขึ้นห้องไปทันที ทรงกลดมองตามด้วยความสงสัย
นิรชายังคุยกับยายที่ปลายสาย
“ค่ะคุณยาย เนียร์คิดว่าจะกลับบ้านช้าหน่อยค่ะ เพราะต้องเคลียร์งานที่โรงเรียน คุณแม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ...ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
นิรชากดวางสาย ถอนหายใจอย่างโล่งอก
กฤตณีนิ่งมองนิรชาคุยโทรศัพท์อยู่ตั้งแต่ต้น ถามขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจ
“แก โกหกผู้ใหญ่มันบาปนะแก”
“ฉันรู้ แต่ฉันไม่อยากให้แม่กับยายไม่สบายใจ แล้วยายฉันก็ชอบฝันไม่ดีด้วย แกก็รู้ว่ายายฉันน่ะฝันแม่นแค่ไหน”
กฤตณีตกใจ “นี่คุณยายฝันบอกเหตุอีกด้วยเหรอ”
“ใช่ แล้วยิ่งหลังๆ มานี่ แม่บอกว่า เวลาคุณยายนั่งสมาธิก็ชอบเห็นอะไรแปลกๆ แล้วให้โทร.มาเตือนให้ฉันระวังตัวอยู่เรื่อย”
“ฉันว่าเราควรจะฟังๆ คุณยายไว้บ้างก็ดีนะ เพราะระยะหลังมานี่แกก็เจอแต่เรื่อง แล้วล่าสุดที่แกหายไปนี่ ก็เล่นเอาฉันตกใจ จนทำอะไรไม่ถูกเลย”
นิรชาซึ้งใจ “ขอบใจนะคิตตี้ แกนี่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันจริงๆ”
กฤตณีนึกได้ “จริงสิ แกยังไม่ได้เล่าละเอียดเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พอตกลงไปในโพรงแล้วเจออะไรบ้าง”
นิรชานิ่งนึกทบทวน “ตอนตกลงไปฉันก็สลบไปเลย พอฉันตื่น ฉันก็เห็นว่าบริเวณรอบๆ ที่พวกฉันอยู่มันเป็นถ้ำ แล้วโพรงที่พวกฉันตกลงมามันก็สูงมากด้วย”
“โห ดีนะที่พวกแกไม่กระดูกหัก หรือช้ำในตาย เอ๊ะ! แต่ฉันว่าแกเข้าเมืองไปทำซีทีสแกนดูหน่อยดีกว่าไหม เผื่อมีกระดูกหรือชิ้นส่วน ส่วนไหนของแกหักแล้วเราไม่รู้”
“ไม่ต้องหรอกน่ะ หมอปรัชก็ตรวจดูให้หมดแล้วนี่ แต่ตอนนั้น ฉันก็เจ็บมากจริงๆ จนเป็นไข้ไม่ได้สติด้วย ดีที่ได้คุณทศช่วยเอาไว้”
นิรชาเผลอยิ้มปลื้ม เมื่อได้ยินชื่อทศนนท์ กฤตณีเห็นมีหรือจะไม่แซว
“อย่าบอกนะว่าคุณทศ ทำ CPR ให้แกด้วย ว้าว! เหมือนเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้าไปช่วยเจ้าหญิงเลยอะ”
นิรชาคิดตามแล้วเขินจนหน้าแดง ปฏิเสธเสียงสูง
“จะบ้าเหรอแก”
กฤตณีจ้องมองจับผิดนิรชา
“เสียงสูงนะแก...”
“เสียงสง... เสียงสูงอะไร ไปๆนอนได้แล้ว ฉันง่วง”
กฤตณีล้มตัวลงนอนข้างๆ นิรชาท่าทีงงๆ
นิรชาหันหลังให้กฤตณี ยิ้มเขินอยู่คนเดียว
สองคนกลับถึงสำนักเจ้าแม่แล้ว
เนตรมายานำสร้อยข้อมือหินศักดิ์สิทธิ์ใส่พานพร้อมกับเอาผ้ายันต์ปิดทับไว้ แล้วสวดมนต์เป่าไปที่ผ้ายันต์ 3 ครั้ง ก่อนจะนำพานไปตั้งวางไว้บนโต๊ะหมู่บูชา
เชื่อมเห็นเนตรมายาทำพิธีเสร็จแล้ว จึงพูดขึ้น
“เสียของจริงๆ เลยนะเจ้าแม่ นี่ขนาดเจ้าแม่ยอมใช้หินศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุณทศแท้ๆ เขายังไม่เห็นความดีของเจ้าแม่เลย”
“ช่างเถอะ ก็เขาไม่เห็นอย่างที่ฉันเห็นนี่” เจ้าแม่ถอนใจ “ส่วนหินศักดิ์สิทธิ์ รอให้ล้างกลิ่นไอปีศาจเสร็จ อีกไม่ก็วันฉันก็เอากลับมาใช้ได้ใหม่”
เชื่อมมองเนตรมายาอย่างเห็นใจ
“แล้วนังผีร้ายที่เจ้าแม่เห็น ใช่นังปรางหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ นังผีร้ายตนนี้ไม่ใช่นังปรางแน่ ถึงฉันจะเห็นหน้ามันไม่ชัด แต่เสื้อผ้าและการแต่งตัวไม่ใช่นังปรางแน่”
“หรือว่าจะเป็นสมุนของมัน ถ้ามันจ้องจะฆ่าคุณทศอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ฉันว่าตอนนี้คุณทศน่าจะอยู่ในอันตราย”
เนตรมายานิ่งฟัง คิดตามที่เชื่อมพูด แล้วรู้สึกกังวล
“ถ้าอย่างนั้น ฉันคงจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว”
พูดจบเนตรมายาก็หยิบตุ๊กตาลูกเทพออกมา แล้วสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง
“ลูกไปเฝ้าที่บ้านคุณทศให้แม่ที ถ้าเกิดเห็นอะไรผิดปกติให้รีบมาบอกแม่ทันที”
“จ้ะแม่จ๋า”
ตุ๊กตาลูกเทพหายวับไป เนตรมายายังกังวลไม่คลาย
คืนเดียวกัน ปรางทิพย์นั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองสร้อยคอของตนที่เอาคืนมาจากตู้เซฟทรงกลด บัวคำหวีผมให้ เห็นสร้อยจึงถามขึ้น
“แม่หญิงได้สร้อยคืนมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“ใช่ วันนี้ที่ข้าออกไป ก็เพื่อจะไปนำสร้อยของข้ากลับมา และมันก็เป็นอย่างที่ข้าคิด สร้อยยังอยู่ที่บ้านคุณทรงกลดจริงๆ”
“ดูท่า คุณทรงกลดจักตกหลุมรักแม่หญิงเข้าให้แล้ว จึงได้ยกสร้อยเส้นนี้ให้กับแม่หญิงง่ายๆ”
“เขาไม่ได้ยกมันให้ข้า”
บัวคำฟังแล้วตกใจ “ว่ากระไรนะแม่หญิง คุณทรงกลดไม่ได้ยกให้! เช่นนั้นแม่หญิงลักมันมาหรือเจ้าคะ แย่แล้ว! แม่หญิงก็รู้อยู่ หากพวกเราทำผิดศีล จักต้องไปรับการลงโทษจากท่านสุบรรณเหรา คราวที่แล้วที่ข้ามุสา ข้าถูกลงโทษจนเจ็บปวดนัก แม่หญิงจักทนได้หรือเจ้าคะ”
“แต่เดิมสร้อยเส้นนี้มันเป็นสมบัติของข้า ข้าไม่เคยยกมันให้กับผู้ใด ในเมื่อมีคนถือวิสาสะหยิบของของข้าไป ข้าก็แค่ไปนำมันกลับมา จักถือว่าข้าผิดศีลได้อย่างไร”
บัวคำคิดตาม “จริงด้วย”
ปรางทิพย์เปิดลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งออก เอาสร้อยคอใส่เก็บไว้ในกล่องเดิม บัวคำยังมีข้อข้องใจสำคัญ
“แล้ววันนี้ เหตุใดแม่หญิงจึงดูมึนตึงกับคุณทศนักเล่าเจ้าคะ”
สีหน้าปรางทิพย์เศร้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด บัวคำซักต่อ
“หรือว่าเป็นเพราะที่คุณทรงกลดมาส่งแม่หญิง”
พลันสายตาของปรางทิพย์ก็ลุกวาวขึ้นมาด้วยความโกรธ
“ไม่ใช่ มันเป็นเพราะ...ครูเนียร์”
บัวคำชะงัก ทวนคำด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ครูเนียร์หรือเจ้าคะ”
รุ่งเช้าวันใหม่ ศักดิ์กับตาลตื่นแต่เช้ามืด ช่วยทำกับข้าวจนแล้วเสร็จ กลิ่นหอมฉุย และเตรียมเปิดร้านขายกาแฟ และข้าวแกงตามปกติ นิรชาและกฤตณีลงเรือน เดินเข้ามาช่วย ศักดิ์ทักขึ้น
“หมอปรัชว่ายังไงบ้างล่ะ”
“ใกล้หายแล้ว แต่ต้องทายาแล้วพันผ้าต่ออีกสักพัก แล้วก็กินยาต่อเนื่องให้หมดจ๊ะพ่อ”
“ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะ” ตาลยิ้มให้
ศักดิ์และตาลเดินเข้าไปช่วยกันตั้งโต๊ะด้านใน
ทศนนท์และพีรพรเดินเข้ามาที่หน้าร้านเป็นลูกค้าสองคนแรก กฤตณีเห็นจึงเดินเข้าไปหา
“มาแต่เช้าเลยนะคะคุณทศ วันนี้มีกับข้าวหลายอย่างเลยค่ะ เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ทั้งนั้นเลย”
พีรพรรีบเดินเข้าไปดูที่โต๊ะด้านใน ด้วยทนความหอมฉุยของอาหารไม่ไหว
“โห น่ากินทุกอย่างเลยนะครับ เลือกไม่ถูกเลยว่าจะกินอย่างไหนดี พี่ทศว่าไง อยากกินอะไร”
“นายสั่งเถอะ สักสองสามอย่างก็ได้”
ศักดิ์เปิดร้านเรียบร้อย เดินยกพานใส่ฝ้ายขาวผูกข้อมือจำนวนหนึ่งออกมาที่โต๊ะหน้าร้าน
“คุณทศมาพอดีเลย”
“ครับ?” ทศนนท์หันมายิ้มทักตอบศักดิ์ ด้วยสีหน้าสงสัย
“พวกเรากำลังจะทำพิธีสู่ขวัญให้หนูเนียร์ คุณทศมาก็ดีแล้ว จะได้ทำพิธีพร้อมๆ กันเลย มาครับมานั่งรวมกันที่เก้าอี้นี่”
ทศนนท์เดินงงๆ ไปตามคำเชิญของศักดิ์ พีรพรอธิบายให้ฟังว่า
“มันเป็นพิธีผูกข้อมือเรียกขวัญของชาวบ้านน่ะครับพี่ ผู้ใหญ่เขาจะทำให้กับลูกหลานที่ป่วยหนักหรือเกิดอุบัติเหตุเพื่อช่วยให้หายเร็วๆ”
ทศนนท์หันไปถามนิรชา
“ข้อเท้าคุณเป็นยังไงบ้าง”
“ใกล้หายดีแล้วล่ะค่ะ”
ตาลหยิบฝ้ายสีขาวออกมาพันเป็นเส้นแล้วยื่นส่งให้ศักดิ์
“หนูเนียร์ยื่นแขนออกมาลูก”
นิรชายื่นแขนออกไปที่ด้านหน้าตามบอก ศักดิ์บรรจงกวาดฝ้ายออกและเกลี่ยเข้ากับข้อมือเนียร์พร้อมกับพูดให้ศีลให้พร
“ร้ายกวาดหนีๆ ดีกวาดเข้าๆ สิ่งร้ายๆ ที่ผ่านมาขอให้ผ่านพ้นไป ต่อไปก็ขอให้พบเจอแต่เรื่องดีๆ”
ศักดิ์ผูกฝ้ายขาวกับข้อมือนิรชาเกลี่ยที่ปมแล้วเป่าไปที่ฝ้ายเบาๆ นิรชายกมือไหว้ขอบคุณ
ศักดิ์หันไปหยิบฝ้ายมาอีกเส้น ผูกให้กับทศนนท์ที่ยื่นแขนออกมารอท่า ศักดิ์บรรจงกวาดฝ้ายออกและเกลี่ยไล่ตามข้อมือทศนนท์ให้พรตามธรรมเนียม
“ร้ายกวาดหนีๆ ดีกวาดเข้าๆ สิ่งร้ายๆ ที่ผ่านมาขอให้ผ่านพ้นไป ต่อไปก็ขอให้พบเจอแต่เรื่องดีๆ”
ตาลผูกข้อมือให้นิรชาต่อจากผัว
กฤตณียืนมองนิรชากับทศนนท์ ที่นั่งคู่กันให้พ่อกับแม่ผูกข้อมือก็นึกสนุก พูดแซวขึ้น
“แหม ดูๆ ไปก็เหมือนกำลังผูกข้อไม้ข้อมือให้คู่แต่งงานใหม่เลยนะเนี่ย”
พีรพรยิ้มกริ่ม เห็นด้วย “นั่นสิครับ ผมก็ว่าเหมือน”
นิรชาและทศนนท์หันไปมองหน้ากัน ต่างคนต่างเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พอตาลผูกข้อมือให้เสร็จ นิรชารีบไหว้ขอบคุณแล้วขอตัวขึ้นบ้าน
“ขอบคุณค่ะ เนียร์ขอตัวเข้าบ้านก่อนนะคะ”
นิรชารีบร้อนลุกด้วยความเขินอาย ขาที่ยังไม่หายดีพลิกเจ็บแปลบขึ้นมาจนซวนเซเกือบล้ม
“ว้าย”
ทุกคนมองตกใจ ทศนนท์อยู่ใกล้และไวกว่าเขารีบเข้าช่วยพยุงเธอไว้ได้ทัน
“เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เจ็บข้อเท้านิดหน่อย”
ทศนนท์ค่อยๆ ประคองให้นิรชานั่งลงที่เก้าอี้เหมือนเดิม
“แหม ฉันแซวแค่นี้ทำเขิน เล่นเอาทุกคนตกอกตกใจกันไปหมดเลยนะเนียร์”
ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนาน แต่สองหนุ่มสาว ทำหน้าไม่ถูกทั้งคู่
“เอาล่ะๆ คิตตี้ก็เลิกแซวเพื่อนได้แล้ว ไป... ไปช่วยแม่ยกกับข้าวมากินด้วยกัน คุณทศกับคุณพีก็ทานร่วมโต๊ะเดียวกันกับพวกน้าเลยนะคะ”
สองหนุ่ม “ขอบคุณครับ” พร้อมกัน
ทุกคนเดินเข้าไปช่วยกันยกสำรับกับข้าวมาวางที่โต๊ะอย่างขันแข็ง
นิรชาก้มหน้างุดลอบมองทศนนท์อย่างเขินอาย
ส่วนที่บ้านทรงกลดในตัวเมือง
บุษบาลาวัณย์นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร แต้มนำสเต็กเนื้อสันมาเสิร์ฟลงตรงหน้าให้
สาวลับแลมองจานสเต็ก ขึ้นเสียงใส่อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“อะไรกันน่ะ ทำไมถึงทำเนื้อย่างมาให้ฉันกิน”
“นี่ไม่ใช่เนื้อย่าง มันคือสเต็กเนื้อสันที่คุณชอบทานไงคะ”
“ไม่ เอามันออกไป ต่อจากนี้ฉันจะไม่กินของพวกนี้อีกแล้ว”
แต้มข่มอารมณ์ถาม “ถ้าไม่รับสเต็ก งั้นจะเปลี่ยนเป็นข้าวต้มหมูไหมละคะ”
“ไม่ ฉันจะไม่กินเนื้อสัตว์ ฉันจะกินแต่ผักผลไม้เท่านั้น”
“โธ่...ก็นึกว่าอะไร จะกินสลัดผัก รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวแต้มไปจัดมาให้ใหม่”
แต้มรีบเดินกลับไปที่ห้องครัว คมสันได้ยินเสียงโวยวายเดินผ่านมาดู ในมือถือบางอย่าง เห็นบุษบาลาวัณย์ มองจานสเต็กอย่างไม่สบอารมณ์ และผลักจานสเต็กนั้นออกไปอย่างหงุดหงิด บ่นบ้ากับตัวเอง
“มันเป็นเพราะเจ้าที่ทำให้พลังของข้าถดถอย ต่อไปข้าจะไม่กินเจ้าอีก”
คมสันนิ่งมองแล้วส่ายหน้า ก่อนจะหันไปเห็นทรงกลดเดินลงบันไดมาจากชั้นบน จึงตรงเข้าไปหาลูกชาย
“พ่อมีเรื่องจะคุยกับแก”
ทรงกลดมองบิดาด้วยสีหน้าฉงน แปลกใจ
พ่อลูกปิดประตูนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก คมสันวางของที่ถือมาลงบนโต๊ะกลาง
“ไง เดี๋ยวนี้เปลี่ยนสไตล์หันมาคบแม่ชีแล้วเหรอ”
ทรงกลดงง “แม่ชี พ่อหมายถึงใคร”
“ก็ผู้หญิงที่อยู่ที่โต๊ะอาหารนั่นไง พ่อเห็นเขาโวยวายนังแต้มเรื่องจัดสเต็กไปให้กินแล้วไม่ยอมกิน บอกจะกินแต่ผัก”
“อ๋อ คุณบุษ”
คมสันมองจ้องหน้าทรงกลด รอคอยฟังคำอธิบาย
“ไม่มีอะไรครับพ่อ ผมแค่เห็นเขากำลังลำบากก็เลยช่วยให้มาพักที่นี่ชั่วคราว ก็เท่านั้น”
“ถ้าแค่นั้นก็ดี ยังไงก็อย่าให้คุณปรางรู้ก็แล้วกัน ถ้าเกิดเขารู้เข้าเขาไม่เอาแกแน่”
“ผมจัดการได้น่า”
คมสันถอนหายใจ ก่อนจะหยิบแผนที่หนังสัตว์บนโต๊ะส่งให้ลูกชาย ทรงกลดรับไปดูด้วยสีหน้างุนงงสงสัย
“นี่เป็นแผนที่หนังสัตว์ ที่พวกพรานเขาไว้ใช้บันทึกเส้นทาง ฉันเคยเห็นปู่แกไปเอามาจากบ้านลุงเทศ ฉันบังเอิญไปค้นเจอในหีบที่อยู่ห้องเก็บของ แล้วมันมีแค่แผ่นนี้แผ่นเดียวที่ไม่ได้ขีดกากบาทเอาไว้”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะพ่อ ในเมื่อคุณปรางเขาต้องการหาทายาทของปู่เทศ ไม่ใช่แผนที่เดินป่า”
“มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณปรางหรอก แต่พ่อแค่คิดว่าเส้นทางในแผนที่นี้น่าจะเป็นเส้นทางเดินป่าครั้งสุดท้ายก่อนที่ลุงเทศจะหายตัวไป”
“แต่ผมว่ายังไงมันก็ไม่ช่วยให้คุณปรางซื้อบ้านหลังนั้นได้อยู่ดี” ทรงกลดพรายยิ้ม นึกอะไรออก “แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อยผมก็ยังเอาเรื่องนี้ไปหาเรื่องคุยกับคุณปรางได้”
คมสันยิ้ม ชอบอกชอบใจ “เออ...ไอ้ลูกคนนี้นี่ ค่อยฉลาดขึ้นมาหน่อย”
ทรงกลดและคมสันมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างรู้กัน
เหตุการณ์ที่ร้านข้าวแกงร้านกาแฟบ้านศักดิ์ ทุกคนกำลังนั่งกินอาหารร่วมกันอยู่ตรงโต๊ะหน้าร้าน อย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่น่าเชื่อนะคะ เมื่อวันสองวันก่อนพวกเราเพิ่งเกิดเรื่องวุ่นวายทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับกันอยู่เลย แต่วันนี้ดูสิกลับมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนเดิม แถมยังได้สมาชิกมาร่วมวงเพิ่มขึ้นด้วย” ครูคิตตี้เอ่ยขึ้น
พีรพรเสริมทันที “เขาเรียกว่าฟ้าหลังฝนไงครับ ต่อจากนี้ไปคงมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นมาแทนแล้วล่ะ ใช่ไหมครับพี่ทศ”
“พี่ก็หวังให้เป็นอย่างนั้น”
นิรชาทักท้วง “แต่ฉันว่า ถ้าคุณยอมไปรักษาเรื่องโรคนอนละเมอซะที ทุกอย่างมันก็น่าจะดีขึ้นได้นะคะ”
“นี่คุณพูดเพราะห่วง หรือประชดผมครับคุณเนียร์” ทศนนท์ยิ้มเย้า
“ที่ฉันพูดเพราะเป็นห่วง...จริงๆ นะ”
ทศนนท์อึ้ง นิ่งงันไป รับรู้ถึงความห่วงใยของครูสาวห้าวเป้ง
นิรชานึกได้แก้เขินโดยการยื่นแขนไปตักกับข้าวจานที่อยู่อีกฟากโต๊ะ แต่เอื้อมไม่ถึง
กฤตณีบุ้ยใบ้บอกทศนนท์ “ตักผัดถั่วลันเตาให้ยัยเนียร์หน่อยสิคะคุณทศ ยัยเนียร์เขาชอบกิน”
ทศนนท์ตักผัดถั่วลันเตาใส่จานให้นิรชา
“นี่ครับผัดถั่วลันเตา”
“ขอบคุณค่ะ”
ระหว่างนี้เนตรมายาและเชื่อมเดินเข้ามาในร้านตรงเข้ามาที่โต๊ะ เจ้าแม่เปิดฉากเหน็บแนมทศนนท์ด้วยอารมณ์หึงหวง
“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนใจจากอาหารโบราณ มากินกับข้าวบ้านๆ ของครูเนียร์แล้วเหรอคะคุณทศ
ทุกคนหันมามองเนตรมายาเป็นตาเดียว สีหน้าเบื่อหน่ายไม่ค่อยพอใจนัก
กฤตณีสวนกลับเบาๆ “ถึงอาหารจะบ้านๆ แต่รสชาติน่ะจัดจ้าน หนุ่มๆ บ้านไหนมากินก็ติดใจทั้งอาหารทั้งสาวบ้านนี้กันทุกคน”
“ดูไม่ค่อยจะหลงตัวเองสักเท่าไหร่เลยนะ” เชื่อมหมั่นไส้
“อาหารร้านน้าตาลอร่อย ปกติผมก็มาฝากท้องที่นี่เป็นประจำอยู่แล้วนี่ครับ” ทศนนท์บอก
เชื่อมสะดุดตากับข้อมือของนิรชากับทศนนท์มีฝ้ายสีขาวผูกอยู่ ฟ้องเจ้าแม่ทันที
“อะไรกัน นี่หายเข้าไปในป่าสองต่อสองแค่คืนเดียว ถึงกับผูกข้อไม้ข้อมือกันเลย ดูสิเจ้าแม่เขาแต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว”
เนตรมายามองทั้งคู่ตาร้อน
“แค่ผูกข้อไม้ข้อมือเรียกขวัญเท่านั้นเอง” ศักดิ์ว่า
ตาลดักคออย่างรู้ทัน “อย่าเอาไปพูด ไปโพนทะนาผิดๆ แบบนั้นนะ ทั้งหนูเนียร์ทั้งคุณทศจะเสียหาย”
เนตรมายาไม่เชื่อ “ไม่ใช่จริงๆ เหรอ”
พีรพรบอกแทนว่า “ไม่ใช่จริงๆ ครับ เป็นแค่พิธีสู่ขวัญธรรมดา”
“ฉันกับคุณทศเราไม่ได้รักกัน ไม่เคยเป็นแฟนกันมาก่อน จะแต่งงานกันได้ยังไง” นิรชาเสริม
ทศนนท์ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาหยุดกินข้าวและรวบช้อน ลุกขึ้นดื้อๆ
“ผมอิ่มแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ทศนนท์ลุกเดินออกไปเลย ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน
“พี่ทศ แต่ผมยังไม่อิ่มเลยพี่”
พีรพรตะโกนตามไป แต่อีกฝ่ายไม่เหลียวหลัง จึงรีบก้มลงกินข้าวต่ออย่างรีบเร่ง
คนอื่นมองตาม งงกันทั้งแถบ รวมทั้งแม่หมอและศิษย์คนสนิท
ทศนนท์นั่งซึมอยู่ที่ห้องรับแขกบนเรือน
เหตุการณ์ใกล้ชิดกันในถ้ำระหว่างเขากับครูสาวผุดขึ้นมาในห้วงคิด นิรชามีอาการหนาวสั่นเพราะไข้ขึ้นสูง ทรงตัวไม่อยู่และเริ่มค่อยๆ เอนตัวล้มพิงไหล่ของทศนนท์ สุดท้ายนิรชาซุกหน้าเข้ากับอกของทศนนท์เพื่อคลายหนาวโดยไม่รู้ตัว
ทศนนท์ดึงความคิดกลับมา บ่นกับตัวเองเบาๆ
“ทำไมนึกถึงแต่เรื่องนี้อยู่ได้”
พีรพรกลับจากบ้านศักดิ์ เดินเข้ามาทันได้ยินเสียงบ่นพอดี
“นั่งบ่นอะไรคนเดียวพี่ จริงอะไร”
ทศนนท์หันมามองพีรพรด้วยสีหน้าตกใจ
“เปล่า ไม่มีอะไร แค่คิดอะไรเพลินๆ”
พีรพรทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตรงข้ามทศนนท์ ตัดพ้อขึ้น
“ทำไมอยู่ดีๆ พี่ทิ้งผมนั่งกินข้าวคนเดียว”
“คนเดียวที่ไหน นั่งกันอยู่ตั้งหลายคน”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วนี่พี่เป็นอะไร ก่อนหน้าก็ยังอารมณ์ดีๆ อยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงดูหงุดหงิดนัก”
ทศนนท์เมินหน้าหนีไปทางอื่น คร้านจะคุย ไม่มีอารมณ์จะอธิบาย
พีรพรมองจ้องจับพิรุธทศนนท์
“นี่อย่าบอกนะว่า ที่เป็นแบบนี้ เพราะน้อยใจที่ครูเนียร์พูด...”
เหมือนโดนจี้ใจดำจังๆ ทศนนท์อึ้งไป ตกใจกับความรู้สึกตัวเอง พีรพรสังเกตเห็น ล้อใหญ่
“แนะๆๆๆๆๆ แน้... ทำหน้าแบบนี้ พี่ทศชอบครูเนียร์จริงๆ ใช่ไหม แบบนี้ก็แย่สิ ถ้าพี่ชอบครูเนียร์ แล้วคุณปรางล่ะพี่”
ทศนนท์อึ้งไป สีหน้าสับสนเมื่อนึกไปถึงปรางทิพย์
“ใช่สิ คุณปราง”
ทศนนท์รีบลุกเดินลงจากบ้านไปทันที
“อ้าว พี่ทศจะไปไหน”
พีรพรมองตามงงๆ
ทางด้านทรงกลดเดินออกมาที่สนามหญ้าในสวนสวยหน้าบ้าน เขานิ่งมองแผนที่หนังสัตว์ในมือก่อนจะยิ้มออกมา ควักโทรศัพท์ออกมากดโทร.ออก
อีกฟาก ปรางทิพย์นั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน อย่างใช้ความคิด พลันเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียงก็ดังขึ้น ปรางทิพย์เดินไปหยิบขึ้นมากดรับ คุยสายกับทรงกลด
“สวัสดีค่ะ คุณทรงกลด”
ทรงกลดคุยสายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ “สวัสดีครับ ดีใจจังคุณปรางจำได้ด้วยว่าเป็นเบอร์ผม”
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะคะ ก็คุณทรงกลดบันทึกเบอร์ใส่ในเครื่อง แถมยังถ่ายรูปคุณใส่ไว้ให้ด้วย”
ทรงกลดหัวเราะชอบใจ “แล้วเป็นยังไงครับ ใช้โทรศัพท์คล่องขึ้นหรือยัง มีปัญหาอะไรติดขัดไหมครับ”
“ไม่มีหรอกค่ะ จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับใคร เพิ่งมีคุณทรงกลดที่โทร.เข้ามาคนแรก”
“แหม ผมประเดิมคนแรกเลยเหรอครับเนี่ย ถ้าคุณปรางมีอะไรสงสัยหรือไม่เข้าใจ โทรถามผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณค่ะ ถ้าคุณทรงกลดไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอวางสายก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวๆๆ ครับคุณปราง พอดีผมมีข่าวดีจะบอก คือคุณพ่อผมบังเอิญไปเจอของบางอย่างของปู่เทศในห้องเก็บของน่ะครับ ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะมีประโยชน์อะไรกับคุณปรางหรือเปล่า ถ้าเกิดคุณปรางสนใจ...”
“ฉันสนใจค่ะ ฉันอยากเห็น ของอะไรเหรอคะ”
ทรงกลดดีใจ “เป็นแผนที่ที่บันทึกในหนังสัตว์น่ะครับ ไว้ถ้าผมว่างเมื่อไหร่ ผมจะรีบเอาไปให้คุณปรางดูที่บ้านเลยนะครับ....แค่นี้นะครับ...ครับ...สวัสดีครับ”
ทรงกลดวางสายยิ้มสมใจและมีความหวัง
บุษบาลาวัณย์แอบฟังอยู่ตรงประตูบ้าน มองทรงกลดอยู่ด้วยสายตาเคืองขุ่น และโกรธแค้นปรางทิพย์ที่มาวุ่นวายกับผู้ชายของตน
“แก...นังปรางทิพย์”
ปรางทิพย์วางสายจากทรงกลด พึมพำกับตัวเอง
“แผนที่อะไรกันนะ”
บัวคำเปิดประตูห้องเดินเข้ามา
“แม่หญิง คุณทศมาหาแม่หญิง ตอนนี้รออยู่หน้าบ้าน แม่หญิงจะให้เข้ามาหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้ายังไม่อยากคุยอะไรกับเขาตอนนี้ บอกให้เขากลับไปเสีย”
“ข้าบอกคุณทศไปแล้ว แต่คุณทศยืนยันว่าจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้พบแม่หญิง”
ปรางทิพย์นั่งนิ่งขึง มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ร้านค้าร้านกาแฟคึกคักแล้ว มีชาวบ้านทยอยเข้ามาซื้อของกันเป็นไม่ขาดสาย
นิรชาละสายตาจากความวุ่นวายในร้าน มองออกไปนอกร้าน จนสายตาหันไปเห็นทศนนท์เดินเข้าไปในบ้านปรางทิพย์
แม้จะมองจากจากระยะไกลๆ แต่ก็ดูออกว่าทศนนท์กระวนกระวาย ร้อนรนใจชอบกล
“เป็นอะไรของเขา มีปัญหาอะไรกับคุณปรางหรือเปล่า”
นิรชาคิดไปแล้วก็เริ่มไม่สบายใจ เธออยากจะหันไปเรียกกฤตณี แต่เมื่อมองกฤตณีที่กำลังง่วนอยู่กับการขายของให้ลูกค้าแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ
นิรชาหยิบไม้เท้าช่วยเดินที่วางอยู่ใกล้ๆ แล้วค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นเดินออกไปช้าๆ
ทศนนท์ยังคงเฝ้ารออยู่หน้าประตูบันไดขึ้นเรือน ท่าทีกระวนกระวาย กระทั่งเห็นความเคลื่อนไหวตรงประตู และยิ้มออกมาได้ เมื่อเห็นปรางทิพย์เดินออกมาจากในบ้านพร้อมบัวคำ
“คุณปราง...”
“คุณกลับไปเถอะค่ะคุณทศ เราสองคนไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว” ปรางทิพย์บอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไร้เยื่อใย
ทศนนท์งงหนัก “นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณปราง ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจ ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหม
ปรางทิพย์นิ่งงัน ไม่พูดสักคำ ขณะที่บัวคำกลับรู้สึกอึดอัดจนแย้มเชิงเหน็บแนมขึ้นว่า
“คุณปราง หมายความว่าคนที่คุณควรสนใจ ควรจะเป็นครูเนียร์มากกว่าเข้าใจหรือยังคะคุณทศ”
ทศนนท์อึ้งไป เข้าใจปรุโปร่ง รีบอธิบาย
“คุณกำลังเข้าใจผมผิดนะครับคุณปราง ผมกับครูเนียร์ เราไม่มีอะไรกัน”
“สิ่งที่คุณพูด มันไม่ใช่อย่างที่ฉันเห็น คุณกลับไปเถอะ ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวของคุณ”
ปรางทิพย์ผละหนีเดินขึ้นบันไดบ้าน ทศนนท์รั้งไว้น้ำเสียงร้อนรน
“เดี๋ยวสิครับคุณปราง ผมขอโทษถ้าผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจ แต่ผมไม่ได้มีอะไรกับครูเนียร์จริงๆ นะครับ”
นิรชาเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจขึ้นมาจนต้องหยุดชะงักฝีเท้า แต่ด้วยคิดว่าทศนนท์กำลังมีปัญหากับคนรักเพราะตน เธอจึงเปล่งเสียงพูดออกไปเพื่อหยุดปรางทิพย์
“ฉันยืนยันได้ค่ะว่า ฉันกับคุณทศ พวกเราไม่มีอะไรกัน”
ปรางทิพย์หยุดกึก ชะงักฝีเท้า หันมามองนิรชา
“ครูเนียร์”
นิรชาเดินเข้ามาใกล้ประตูรั้ว เพื่อคุยกับปรางทิพย์ให้ถนัดขึ้น
“ถ้าคุณปรางเข้าใจฉันกับคุณทศผิด เพราะเรื่องที่พวกเราหลงป่าไปด้วยกัน ฉันขอบอกเลยว่า นั่นมันเป็นเหตุสุดวิสัย ฉันบาดเจ็บและป่วยหนัก ถ้าคุณทศไม่ช่วยฉันฉันก็คงตายอยู่ที่นั่น คุณทศเขาไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกับฉันจริงๆ ค่ะ มันเป็นแค่การช่วยเหลือกันของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น”
นิรชามองทศนนท์ที มองปรางทิพย์ที บอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“พวกคุณสองคนอย่าโกรธกันอีกเลยนะคะ ฉันไม่อยากเป็นต้นเหตุให้คนรักกันต้องมาผิดใจกันเพราะฉัน”
พูดจบนิรชาก็หันหลังกลับ ค่อยๆ พยุงตัวเดินกลับออกไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด
ทั้งปรางทิพย์ บัวคำ และทศนนท์ นิ่งมองนิรชาด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน
ทศนนท์สับสนหนัก อยากจะเข้าไปช่วยนิรชา แต่ไม่อาจทำให้ปรางทิพย์เข้าใจผิดซ้ำได้อีก
ปรางทิพย์มองทศนนท์ อ่านความหมายที่ซ่อนอยู่ในสายตาของเขาที่มองตามนิรชาอย่างห่วงใย พึมพำกับบัวคำน้ำเสียงขมขื่น
“ผู้ชาย ไม่ว่าชาติใด ภพใด ก็ยังคงหลายใจไม่เคยเปลี่ยน”
บัวคำนิ่งมองปรางทิพย์อย่างสงสาร
“แม่หญิง...”
ปรางทิพย์ยืดตัวขึ้นอย่างหยิ่งทะนง จงใจพูดออกไปดังๆ เพื่อเรียกสติของทศนนท์
“คุณยังอยากจะเข้ามาไหม”
ทศนนท์รีบหันกลับมามองปรางทิพย์ ความรู้สึกผิดกัดกินใจ
บัวคำเดินมาเปิดประตูรั้วบันไดให้ทศนนท์
ปรางทิพย์เดินนำขึ้นบ้านไป ทศนนท์รีบเดินตามเข้าไป
กฤตณียืนอยู่ตรงถนนหน้าร้านมองหานิรชาอย่างกังวลใจ จนเห็นนิรชาเดินกะเผลกๆ สีหน้าซึมๆ เข้ามา จึงรีบเข้าไปช่วยพยุงพามานั่งโต๊ะด้วยความเป็นห่วง
“แกไปไหนมาเนียร์ เมื่อกี้ยุ่งๆ อยู่ เผลอแป๊บเดียวแกก็หายไป”
นิรชายิ้มหน้าเจื่อนๆ “ฉันเดินไปคุยกับคุณทศมา”
กฤตณียิ้มล้อ “อย่างนี้นี่เอง แต่เอ๊ะ...ทำไมสีหน้าแกไม่ดีเลย”
นิรชาหน้าเศร้าลง “ฉันเห็นเหมือนคุณปรางงอนเขาอยู่ เรื่องที่คุณทศอยู่กับฉันในถ้ำ ฉันไม่สบายใจเลยนะแก ที่ทำให้พวกเขาต้องผิดใจกัน”
กฤตณีถอนหายใจไม่วายจับผิดเพื่อน “แกอย่าไปคิดมากเรื่องคุณทศเลยนะ ถ้าแกไม่ได้คิดอะไรกับเขาเดี๋ยวเขาก็เคลียร์กันได้เองแหละ ยกเว้นแกจะคิด อันนั้นน่ะเคลียร์กันยาก”
นิรชาอึ้งไป โวยวายกลบเกลื่อน
“แกจะบ้าเหรอคิตตี้ ใครๆ ก็รู้ว่าคุณทศเขาชอบคุณปราง แล้วฉันจะไปคิดอะไรกับเขาทำไม”
“บ้าตรงไหน ฉันก็รู้ ฉันยังชอบเลย นี่ยังไม่รวมหมอปรัชอีกคนนะ เดี๋ยวฉันไปเอากระเป๋ามาให้ดีกว่า เดี๋ยวหมอปรัชมาจะได้รีบไป มั่วแต่เม้าท์แกได้ถึงบ้านมืดพอดี”
กฤตณีเดินออกไป
นิรชาเหลียวมองไปทางบ้านปรางทิพย์อีกครา จิตใจโหวงๆ สีหน้าเศร้าโดยไม่รู้ตัว
อ่านต่อตอนที่ 16