เพรงลับแล ตอนที่13 | เอาสร้อยข้าคืนมา
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
คืนเดียวกันนี้ นิรชาและกฤตณีอยู่ในชุดนอนเดินออกมาจากตัวบ้าน ตรงมาที่ลานหน้าร้านกาแฟ นิรชามองไปเห็นปรัชญานั่งรออยู่ที่โต๊ะหินแล้ว สองสาวจึงเดินเข้าไปหา นั่งด้วยอีกฟากของโต๊ะ
“นัดมาคุยมาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ มีอะไรเหรอหมอ”
ปรัชญามีท่าทีอึดอัด หันมองนิรชาด้วยสีหน้ากังวล
“คือ..ผม..อยากมาขอโทษ ที่ทำตัวไร้สาระงอนไม่เข้าเรื่อง ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเนียร์เลย เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”
นิรชาวางหน้านิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา
“ได้สิ เรื่องแค่นี้ทำลายมิตรภาพระหว่างเราไม่ได้หรอกหมอ”
ปรัชญาโล่งอก “ผมนึกว่าจะเสียเพื่อนดีๆอย่างครูเนียร์ไปแล้ว”
“เรื่องอะไรฉันจะยอม ฉันเองก็ไม่ยอมเสียเพื่อนดีอย่างหมอไปเหมือนกัน”
ปรัชญาแกล้งอำเล่น “ถ้าวันไหนเปลี่ยนใจบอกผมด้วยนะจะได้ลองใหม่”
นิรชามองดุ “ยัง…ยังไม่หยุดอีก”
กฤตณีนึกสนุก ยิ้มหวานเอ่ยขึ้น “คนที่พร้อมจะเปลี่ยนสถานะยืนพร้อมอยู่ตรงนี้จ้า จะจีบก็ได้นะว่างอยู่ ใช้นามสกุลพ่อมาจนเบื่อแล้ว อยากเปลี่ยนนามสกุลบ้าง”
ปรัชญากวนกลับ “แต่ผมอยากโฟกัสเรื่องงานมากกว่าครับ”
“คิตตี้ไม่น่าโฟกัสตรงไหนเหรอหมอ ดูสิสวยขนาดนี้”
ปรัชญายิ้มขำรู้ทันว่าสาวอวบอารมณ์ดีแกล้งเล่น
“ไม่เล่นแล้ว ว่าแต่หมอจะกินอะไรไหม” คิตตี้ถาม
นิรชางง “อยู่ๆไปเรื่องกินได้ไงแก”
“ก็ฉันอยากฉลองให้กับมิตรภาพที่ยาวนานระหว่างพวกเราไง” กฤติณีมองปรัชญาที นิรชาที อย่างซาบซึ้ง “อยู่แก่เป็นเพื่อนกันตลอดไปนะ”
นิรชายื่นมือขวาออกมา กฤตณีเอามือขวาวางทับ ปรัชญาเอามือทับมือกฤตณีอีกที สามคนมองหน้ากัน ยิ้มให้กันอย่างสุขใจ
เช้าวันต่อมา ผู้ใหญ่จรัล กำลังยืนคุยงานอยู่กับถนอมและเสถียร ในห้องคอนโทรลเครื่องเสียงบนเรือน
“งานศพไอ้สนจัดเตรียมอะไรไปแล้วบ้าง”
“ฉันนิมนต์พระท่านไว้เรียบร้อยแล้วจ้ะผู้ใหญ่” ถนอมว่า
“ส่วนเรื่องสถานที่ฉันก็จัดเตรียมไว้แล้ว เหลือแต่ข้าวของที่จะใช้ทำบุญในงาน” เสถียรบอก
จรัลถอนใจ “เฮ้อ...น่าสงสารมันจริงๆ เงินทอง ญาติพี่น้องมันก็ไม่มี มาตายไปแบบนี้ไม่รู้จะหาใครช่วยทำบุญให้มัน”
ปรียาเดินเข้ามาสมทบ
“ถึงต้องมีผู้ใหญ่บ้านไว้ดูแลลูกบ้านไงพี่ เรื่องของทำบุญฉันกับลูกก็ช่วยกันเตรียมไปบ้างแล้ว บางทีพวกชาวบ้านที่รู้จักกัน คงจะมาช่วยกันทำบุญในงานบ้างก็ได้นะพี่”
“ใช่ๆ ผู้ใหญ่” เสถียรเห็นด้วย
จรัลคิดตามแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะหันไปบอกถนอมกับเสถียร
“งั้นพวกเอ็งก็ไปจัดการงานที่เหลือให้เรียบร้อย”
“จ้า...ผู้ใหญ่”
ถนอมกะเสถียรรับเอาคำ แล้วเดินออกไป
จรัลหันไปเปิดเครื่องเสียง แล้วกระแอมกระไอทดสอบกล่องเสียงกับไมค์ แล้วประกาศขึ้น
“ประกาศๆ ไม่มีอะไรมาก...วันนี้ที่วัดจะมีงานเผาศพนายสนธยา ลูกบ้านของหมู่บ้านเรา ลูกบ้านคนไหนว่างหรือสนใจอยากร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานศพให้ ก็เชิญไปสมทบทุน ทำบุญร่วมกันได้.... ประกาศ ประกาศอีกครั้ง ไม่มีอะไรมาก ฯลฯ” ผู้ใหญ่ประกาศวนซ้ำอีกรอบ แล้วปิดเครื่องขยาย
เสียงประกาศของผู้ใหญ่จรัลดังไปทั่วหมู่บ้าน และดังมาถึงบ้านปรางทิพย์
“...ลูกบ้านคนไหนว่างหรือสนใจอยากร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานศพให้ ก็เชิญไปสมทบทุน ร่วมทำบุญกันได้....”
ปรางทิพย์และบัวคำที่กำลังปรุงอาหารอยู่ในครัว หันไปมองตามเสียงแล้วนิ่งฟัง กระทั่งเสียงประกาศจบไป
“เผาศพมัน... วันนี้แล้วสินะ...”
“แล้วแม่หญิงจะไปหรือไม่”
“ไปสิ...พวกมันเอาสมบัติของข้าไป ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าคืนนั้น นอกจากมันยังมีใครเข้ามาด้วยอีก”
ปรางทิพย์พูดด้วยสีหน้าเคียดขึ้ง จริงจัง
งานเผาศพสนธยาที่เมรุวัดตอนสายๆ มีชาวบ้านทยอยมาร่วมงานกัน แต่ค่อนข้างบางตา บ้างก็มีข้าวของมาช่วยงาน บ้างก็ให้ซองช่วยงานกับผู้ใหญ่จรัล
ศักดิ์ เดินนำ นิรชา กฤตณี ถือผ้าไตรจีวรมามอบให้กับจรัล
“ผู้ใหญ่ ฉันเอาผ้าไตรจีวรมาช่วย เมียฉันมันต้องเฝ้าร้านเลยไม่ได้มาด้วย”
จรัลรับมาแล้วส่งต่อให้ถนอมและเสถียร
“ขอบใจมากศักดิ์ ยังขาดผ้าไตรจีวรถวายพระสงฆ์อยู่พอดี”
ศักดิ์ทอดถอนใจ “ฉันก็คิดอยู่แล้วว่างานไอ้สน มันคงต้องจัดตามมีตามเกิด”
“แต่มันยังโชคดีนะ ที่มีพวกชาวบ้านช่วยกันบริจาคจัดงานให้” ถนอมว่า
นิรชาซึ้งน้ำใจ “น่าดีใจแทนนายสนจริงๆ เลยนะคะ ที่มีลุงผู้ใหญ่เป็นแม่งาน”
“ก็ตามกำลังล่ะครับครูเนียร์”
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกค่ะลุงผู้ใหญ่ พวกเรารู้ว่าลุงผู้ใหญ่เป็นคนดี พวกเราถึงได้เลือกลุงผู้ใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้านเราไงล่ะคะ” กฤตณีชื่นชมจากใจ
ทุกคนหัวเราะกันครื้นเครงในคำยกยอของกฤตณี
“เอาล่ะๆ เลิกยอลุงได้แล้ว พาพ่อไปนั่งในศาลาเถอะ”
ศักดิ์ นิรชา กฤตณี เดินเข้าไปนั่งในศาลาสวดศพ รวมกับชาวบ้าน
ไม่นานต่อมา ปรางทิพย์และบัวคำนุ่งดำทั้งชุดเดินเข้ามาในงาน ทุกคนในศาลาหันมองเป็นตาเดียว ปรางทิพย์และบัวคำเดินตรงไปหาจรัลพร้อมกับยื่นซองให้
“ฉันช่วยงานค่ะผู้ใหญ่”
จรัลรับซองมา “ขอบคุณครับคุณปราง ไม่คิดว่าคุณปรางจะมางานไอ้สนมัน”
“พอคุณปรางได้ยินผู้ใหญ่ประกาศก็อดไม่ได้ที่จะมาช่วยทำบุญน่ะจ้ะ” บัวคำยิ้มบอก
“ไอ้สนมันเป็นศพอนาถาน่ะครับ ไม่มีญาติจัดงานให้ ก็ต้องให้ชาวบ้านที่รู้จักกันช่วยๆ กันจัดงานให้มัน”
“นายสนไม่มีญาติสักคนเลยหรือคะ” ปรางทิพย์หยั่งเชิง
“ใช่ครับ เจ้านี่มันเกิดมา พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ตายหมด คนที่มันสนิทด้วยมากที่สุดก็มีแต่ไอ้ประกิตคนเดียว”
ปรางทิพย์สนใจ “ประกิต ใครกันคะผู้ใหญ่ มาช่วยงานด้วยหรือเปล่า”
“มาครับ” จรัลมองหา “เอ...เมื่อกี้ยังเห็นเดินช่วยงานอยู่แถวๆ นี้อยู่เลยนี่นา”
บัวคำซักต่อ “พวกเขาคงสนิทกันมาก”
“ใช่ครับ ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร มันก็ไปด้วยกัน ทำด้วยกันตลอด”
จรัลมองไปจนเจอประกิตเดินออกมาจากด้านหลังเมรุ จึงตะโกนเรียก
“อ้าว นั่นไง ไอ้ประกิต เฮ้ย...”
ปรางทิพย์และบัวคำมองตามไป เห็นประกิตเดินออกมาจากด้านหลังเมรุ พอมันเจอปรางทิพย์ก็มีสีหน้าตกใจกลัวอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะรีบเดินหลบไปที่ด้านหลังเมรุตามเดิม
ปรางทิพย์มองประกิตอย่างสงสัย
ที่บ้านพักนายช่าง พีรพรเจียวไข่ออกมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร
ทศนนท์แต่งตัวพร้อมกับถือเอกสาร เดินเข้ามาสมทบที่โต๊ะอาหาร
“พี่นุเป็นยังไงบ้าง ยังไม่ดีขึ้นเลยเหรอ”
“ยังบ่นเพลียๆ แล้วก็มึนหัวอยู่เลยพี่ ลุกก็ไม่ขึ้นขอนอนอย่างเดียว แปลกนะครับ คนที่จมอยู่ใต้น้ำตั้งนานน่ะเป็นผมต่างหาก แต่พี่นุกลับยังไม่หาย”
“นั่นสิ ดูเราแข็งแรงจนแทบจะหายดีแล้วนี่”
พีรพรตบอกโชว์
“ไม่รู้สึกเจ็บที่หน้าอกแล้วด้วย ยาคุณปรางนี่ดีจริงๆ เลย จริงสิ พี่นุไม่ได้กินยาคุณปรางเลยนี่
“ทำไมไม่กินล่ะ”
“เห็นบอกว่าไม่ถูกกับยาสมุนไพรน่ะครับ แต่ผมว่าเหมือนพี่เขาระแวงอะไรก็ไม่รู้ ผมบอกให้กินจะได้หายเร็วๆ ก็ไม่ยอม ดื้อจริงๆ”
ที่จริงแล้ว อนุชิตไม่ยอมกินยา เพราะไม่ไว้ใจปรางทิพย์
“งั้นวันนี้พี่คงต้องไปคุยกับผู้รับเหมาคร่าวๆ ไว้ก่อน เอาไว้พี่นุดีขึ้นค่อยให้โทร.ไปสั่งงานกันอีกที”
ทศนนท์หันไปมองทางห้องอนุชิตด้วยความเป็นห่วง
ชาวบ้านมาร่วมงานเผาศพ ต่างทยอยกันเดินไปวางดอกไม้จันทน์ แล้วทยอยเดินลงมาจากเมรุปรางทิพย์และบัวคำ แยกออกมายืนอีกด้านหนึ่ง มินตามาถึงเหลือบมองอย่างสงสัย ปากเสียตามเคย
“ที่จู่ๆ มางานศพไอ้สนเนี่ย เพราะตัวเองเป็นคนทำให้มันตายหรือเปล่า”
ทุกคนตกใจหันมอง ตำหนิมินตา
“อย่าพูดบ้าๆ นะนังมิ้น นี่คิดจะใส่ร้ายว่าคุณปรางเป็นฆาตกรเชียวเหรอ” เสถียรปราม
ศักดิ์ตำหนิมินตา “คุณปรางจะไปฆ่าไอ้สนมันทำไม ประเดี๋ยวก็โดนข้อหาหมิ่นประมาทหรอกเอ็ง”
“ก็มันจริงนี่ลุงศักดิ์ ผีแม่ม่ายเอาตัวไอ้สนไป มันเลยมาดูผลงานตัวเอง” มินตายังไม่ยอมเลิก
สุดสวยและชายเดินเข้ามาสมทบกับทุกคน
“อะไรๆ กันคะ เห็นได้ยินผีๆ ผีอะไร”
“ก็พี่มิ้นน่ะสิพี่สุดสวย เอาแต่พร่ำพูดอยู่นั่น ว่าคุณปรางเป็นผี” คิตตี้บอก
สุดสวยนิ่งฟังแล้วเริ่มคิด
“แหม...อันที่จริงสุดสวยก็ไม่ได้มีอคติอะไรกับคุณปรางเธอหรอกนะคะ ออกจะชอบคุณปรางเธอด้วยซ้ำ แต่ว่า...”
“อ้าว น้องสุดสวยทำไมทำอย่างนี้ล่ะจ๊ะ พูดอ้ำๆ อึ้งๆ ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ คนฟังก็ลุ้นตายเลย” ชายว่า
สุดสวยเห็นทุกคนมองมาและรอฟังด้วยความสนใจ จึงพูดออกมาอย่างเสียไม่ได้
“ก็..สุดสวย แค่รู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง”
พร้อมกับว่า สุดสวยหยิบมือถือของตนออกมา แล้วเปิดภาพที่คาใจ ยื่นให้ทุกคนดู
เป็นภาพที่สุดสวยถ่ายเซลฟี่ในงานทำบุญที่วัดวันนั้น โดยปรางทิพย์ที่อยู่ด้านหลังเบลอจนแทบมองไม่เห็น
“สุดสวยเห็นแล้วก็พยายามหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายกับตัวเอง แต่สุดสวยก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ทำไมจะต้องมีแต่ภาพคุณปรางเท่านั้นที่ไม่ติด”
“ภาพที่กล้องคิตตี้ก็เป็นเหมือนกันค่ะ”
กฤตณีหยิบมือถือของตนมาเปิดให้คนอื่นๆ ดู ภาพปรางทิพย์ที่อยู่ด้านหลังเบลอจนแทบมองไม่เห็น ทุกคนมองดูอย่างสนใจ
“เห็นไหมล่ะ ผิดจากที่ฉันพูดซะที่ไหน ในภาพทุกคนถ่ายติดกันหมด มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่จะถ่ายไม่ติด” มินตาสบช่อง
“ทุกคนก็คิดมากเกินไป ผีที่ไหนจะมาเข้าวัดทำบุญได้” นิรชาเถียง
“ก็ผีแม่ม่าย ที่ชอบกินผู้ชายเป็นอาหารไงล่ะ”
เมื่อมีการโต้เถียงกันเกิดขึ้น ชายจึงรีบชิงพูดเสนอไอเดียเพื่อห้ามศึก
“เอาล่ะครับๆ ถ้าสงสัยกันมาก ทำไมไม่ไปลองขอถ่ายรูปกับคุณปรางใหม่อีกที เอาให้เห็นแบบจะๆ ไปเลย”
สุดสวยยิ้มหน้าบาน มองชายอย่างรู้สึกชื่นชมในความฉลาดเฉลียวของผัว
“โอ้ว...พี่ชาย ทำไมถึงฉลาดอัจฉริยะได้ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าสุดสวยจะมีวาสนาได้คนเก่งอย่างพี่ชายมาเป็นสามีสุดสวย”
สุดสวยโผเข้ากอดผัว ชายยิ้มเขิน ก่อนจะดันตัวสุดสวยให้ออกห่าง
“พี่รู้จ้าสุดสวยจ๋า แต่นี่มันวัดนะจ๊ะ”
นิรชาคิดตามและเห็นด้วย “ที่พี่ชายพูดก็เข้าท่านะคิตตี้ ฉันว่าถ้าเราเอาแต่สงสัยคุณปราง
อยู่แบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้ไปพิสูจน์กันให้รู้ไปเลยดีกว่า”
กฤตณีเห็นด้วย แต่เมื่อเห็นสายตาที่ทุกคนมองมายังตน เหมือนต้องการให้เป็นคนพิสูจน์เรื่องนี้ สาวอวบถึงกับขนลุก
“นี่...ทุกคน...อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันไป”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันเป็นคำตอบ
“ไม่เอาอะ ให้พี่สุดสวยไปสิ พี่สุดสวยเป็นคนที่สงสัยเรื่องนี้มากที่สุด”
“ไม่นะ พี่ไม่เอา พี่ไม่ไป”
สุดสวยปฏิเสธ รีบไปหลบอยู่หลังผัว มินตาหัวเราะเยาะ
“เรื่องผีๆ แบบนี้ใครเขาจะอยากพิสูจน์ล่ะครูเนียร์”
“งั้นฉันไปเอง”
นิรชาควักมือถือออกมาแล้วเดินตรงไปหาปรางทิพย์ ทุกคนมองตกใจ
อีกฟาก ทรงกลดและบุษบาลาวัณย์นั่งร่วมโต๊ะกินอาหารด้วยกันที่บ้าน ทรงกลดยิ้มพึงพอใจ ที่เห็นบุษบาลาวัณย์ปรับตัวได้เร็วทั้งเรื่องการแต่งตัวและกินอาหารเหมือนคนเมือง
“ยิ้มอะไรหรือ”
“เปล่า ผมแค่รู้สึกว่าคุณเปลี่ยนไปจากที่ผมเห็นคุณครั้งแรก”
“แล้วไงคะ ดีหรือไม่ดี”
“ดีขึ้นสิครับ ตอนนี้คุณกลายเป็นคนเมืองจนแทบจะไม่มีเค้าของสาวชาวป่าเลย คุณปรับตัวได้เร็วมาก”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มยืด ภาคภูมิใจในตัวเอง
“ทั้งหมดเป็นเพราะคุณไงคะ”
บุษบาลาวัณย์มองสบตาทรงกลดลึกซึ้ง อีกฝ่ายยิ้มรับแววตากรุ้มกริ่ม
เสียงโทรศัพท์มือถือทรงกลดดังขึ้น บุษบาลาวัณย์มองฉงน
ทรงกลดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ หันมามองบุษบาลาวัณย์เชิงขอตัว แล้วลุกเดินออกไปคุยโทรศัพท์ บุษบาลาวัณย์มองตามไม่วางตา
“ว่าไง งานที่ฉันสั่งแกไปทำได้เรื่องยังไงบ้าง”
เป็นขจรที่โทร.มา และกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าสำนักงานเขต ในตัวเมือง
“ไม่มีครับนาย เจ้าหน้าที่และทุกคนที่พวกผมไปถามมา บอกว่าคนในหมู่บ้านมีที่อยู่และบัตรประชาชนทุกคน แต่ไม่มีชื่อของคุณบุษบาลาวัณย์และครอบครัว พวกเขายังพูดแซวเลยว่า ถ้าเป็นพวกเผ่าผีตองเหลืองที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็อาจเป็นไปได้”
ทรงกลดนิ่งฟัง หันไปมองบุษบาลาวัณย์อย่างสงสัย
บุษบาลาวัณย์ยังคงจ้องเขาอยู่ ทรงกลดหันหลังให้ ก่อนจะพูดขึ้น
“เอาล่ะๆ ถ้าไม่ได้เรื่องอะไรก็พอแค่นี้”
เสียงขจรดังลอดผ่านโทรศัพท์ออกมาว่า “ครับนาย”
ขณะที่ทรงกลดกำลังจะกดวางสาย จู่ๆ บุษบาลาวัณย์ก็คว้าโทรศัพท์มือถือทรงกลดไปพลิกดูอย่างแปลกใจและสงสัย
“นี่มันคืออะไร แล้วคุณคุยอยู่กับใคร”
บุษบาลาวัณย์เอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูฟัง แล้วจ้องมองมันอย่างประหลาดใจ
“ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลย”
ทรงกลดยิ้มขำมองเอ็นดูบุษบาลาวัณย์
“เขาเรียกว่าโทรศัพท์มือถือ เอาไว้ติดต่อคุยธุระกับคนที่อยู่อีกที่หนึ่งได้”
“เหมือนคุยกันทางกระแสจิตไหม”
ทรงกลดหัวเราะขัน “มันก็คล้ายๆ กัน แต่เราคุยกันผ่านการพูด ผ่านคลื่นในอากาศ เลยไม่ต้องใช้กระแสจิต”
บุษบาลาวัณย์ตาลุกวาวก่อนจะพูดขึ้นด้วยความสนใจ
“ฉันอยากได้”
ทรงกลดเลิกคิ้วมองบุษบาลาวัณย์อย่างฉงนฉงาย
ทางด้านปรางทิพย์หันมองไปที่เมรุตลอดเวลา คอยมองไปที่ประกิตที่ช่วยงานอยู่บนเมรุไม่วางตา นิรชาเดินตรงเข้ามาหาปรางทิพย์และบัวคำ
“สวัสดีค่ะคุณปราง พี่บัวคำ”
สองนายบ่าวหันมามองนิรชา ปรางทิพย์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ส่วนบัวคำยิ้มบางๆ คอยดูท่าที
“สวัสดีค่ะครูเนียร์”
“เนียร์รู้จักคุณปรางมานานแล้ว แต่ไม่เคยมีโอกาสได้คุยกันเลย”
“ไม่แปลกหรอกค่ะ คุณปรางเธอไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน” บัวคำออกตัว
“จริงค่ะ แต่ถ้าวันไหนพี่บัวคำ กับคุณปรางเบื่อๆ อยากหาเพื่อนคุย ก็ไปที่ร้านได้นะคะ ที่นั่นมีกาแฟอร่อยๆ ของลุงศักดิ์ให้ดื่มด้วยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เอ่อ...วันนี้คุณปรางสวยมากเลยค่ะ ขนาดใส่ชุดผ้าไทยสีดำยังสวยเลย”
ปรางทิพย์ยิ้มบางๆ
“ไม่ทราบจะรบกวนคุณปรางมากไปหรือเปล่า เนียร์อยากถ่ายรูปคู่กับคุณปรางสักรูปน่ะค่ะ”
บัวคำตกใจ จะปฏิเสธแทน แต่ปรางทิพย์รีบยกมือห้าม บอกไปว่า
“ได้สิคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
นิรชายิ้มกว้าง เปิดโทรศัพท์ยกขึ้นมาจะถ่ายเซลฟี่กับปรางทิพย์ แต่ระยะภาพไม่ได้เลยหันไปหาบัวคำ
“พี่บัวคำคะ ช่วยถ่ายรูปคู่ให้เนียร์กับคุณปรางได้ไหมคะ”
บัวคำทำหน้างงๆ นิรชารีบยัดมือถือให้
“แล้ว...ฉันต้องทำยังไงคะ”
“นี่นะคะ พี่บัวคำมองที่หน้าจอตรงนี้ พอเห็นเนียร์กับคุณปรางชัดๆ แล้วก็กดตรงนี้”
บัวคำพยักหน้ารับเอาคำ นิรชาเดินไปยืนข้างปรางทิพย์ โดยไม่ทันเห็นว่า จังหวะนี้เองปรางทิพย์วางมือแนบข้างลำตัว ค่อยๆ หงายฝ่ามือขึ้นนิดๆ มีพลังงานบางอย่างแผ่กระจายออกมาจากฝ่ามือแล้วฟุ้งกระจายขึ้นใส่หน้าปรางทิพย์ บัวคำเห็นรีบกดชัดเตอร์
“พร้อมนะคะ”
นิรชาเดินเข้าเปิดดูรูป เห็นรูปติดเป็นปกติก็ให้บัวคำถ่ายอีก กลับไปโพสท่าถ่ายภาพคู่กับปรางทิพย์อย่างสนุกสนาน
กลุ่มกฤตณีและสุดสวยยืนลุ้นอยู่อย่างตื่นเต้น พอเห็นนิรชาถ่ายภาพคู่กับปรางทิพย์ได้เป็นปกติ ก็ดีใจกันยกใหญ่
“นั่นไง ฉันว่าแล้ว ว่าคุณปรางไม่ใช่ผีสางที่ไหน”
“ฉันก็คิดเหมือนกันเลยพี่สุดสวย”
“แบบนี้มันเห็นชัดๆ ย้ำๆ เลยนะครับว่า คุณปรางเธอเป็นคน ถ่ายรูปได้” ชายบอก
“ไม่ได้แล้ว พลาดไม่ได้ วันนี้คุณปรางสวยขนาดนี้ ต้องถ่ายรูปไปเก็บไว้เป็นที่ระลึก”
สุดสวยไม่รอช้ารีบวิ่งไปหานิรชาและปรางทิพย์ กฤตณีวิ่งตามไปด้วย
“รอฉันด้วยสิพี่สุดสวย รอด้วย”
มินตาหน้าแตก มองค้อนแล้วเดินหนีออกไปทันที
นิรชา สุดสวย กฤตณี และ ปรางทิพย์ ถ่ายรูปกันอย่างมีความสุข
ประกิตอาศัยจังหวะนั้นหลบออกไปเงียบๆ
ประกิตลนลานกลับมาบ้านด้วยท่าทีหวาดกลัวสุดชีวิต จู่ๆ มีหมาวิ่งตัดหน้าจนมันเซพลัดตกลงไปข้างทาง ประกิตตาเหลือกลาน หลับตายกมือไหว้ท่วมหัว ด้วยความกลัวสุดขีด
“ไม่ ไม่นะ ไม่...อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันยังไม่อยากตายๆ”
ทุกอย่างเงียบกริบ ประกิตค่อยๆ ลืมตาขึ้น กลอกตามองไปซ้ายทีขวาทีจะลุกออก แต่แล้วก็เกือบจะชนเข้ากับยายพิณทิพย์ ซึ่งยืนจ้องดวงตาดุดันน่ากลัว
ประกิตตาเหลือกจะวิ่งหนี แต่ขาดันก้าวไม่ออก
“ไม่นะ ไม่...อย่าฆ่าฉันๆๆ”
“สร้อยข้าอยู่ไหน แกเอาสร้อยข้าไปไว้ที่ไหน!” พิณทิพย์ถามเสียงแข็ง
“สร้อย สร้อยอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง” ประกิตปากแข็ง
“อยากจะตายเหมือนไอ้สนใช่ไหม”
ประกิตร้องลั่น “ไม่ๆ มันไม่ได้อยู่กับฉัน เมียฉันเอามันไปทิ้งแล้ว”
พิณทิพย์ได้ยินดังนั้นก็โกรธจัด พุ่งร่างเข้าไปคว้าคอประกิตบีบอย่างแรง
ประกิตดิ้นทุรนทุราย กลัวสุดขีดจนช็อกและสลบไป
แต้มถือถุงข้าวของมากมายกลับบ้าน ใช้กุญแจเปิดประตูบ้านเข้ามา ส่งเสียงร้องเรียกหาผัว
“พี่กิต ทำอะไรอยู่ฉันเคาะประตูตั้งนาน ทำไมไม่มาเปิด”
แต้มเปิดประตูเข้ามา มองด้วยสีหน้าเอือมระอา เห็นประกิตนอนอยู่ที่พื้น ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย เดินไปวางของลงที่โต๊ะ แล้วมาลงนั่งข้างๆ ปลุกผัว
“พี่กิตตื่น ตื่นได้แล้ว อะไรเนี่ย เมาอีกแล้ว เมาแต่เช้า ไหนว่าจะไปช่วยงานเผาไอ้สนมันไง ทำไมเมาหลับเป็นหมาแบบนี้อีกแล้วล่ะ พี่กิตตื่น มาดูนี่ ฉันซื้ออะไรมาฝากตั้งเยอะแยะ ตื่น...”
ประกิตค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเห็นแต้มก็ตกใจ
“ผี!ๆ อย่า...อย่าฆ่าฉัน ช่วยด้วย”
“บ้าพี่กิต ผีที่ไหนกัน นี่ฉันเอง”
ประกิตตั้งสติได้ มองไปรอบๆ ห้อง อย่างหวาดระแวง และงงว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“แต้ม เมื่อกี้ข้าเห็นผี มันมาทวงสร้อยของมันคืน”
“ฝันกลางวันอีกแล้วสิพี่” แต้มส่ายหัวระอาผัว
“จริงๆ นะแต้ม มันมาทวงสร้อยของมันคืน สร้อยเส้นนั้นเอ็งทิ้งมันไปแล้วใช่ไหม”
ประกิตคาดคั้นถามเมีย แต้มสารภาพ
“เออๆๆ มันไม่ได้อยู่ที่ฉันแล้ว สร้อยเพชรของแท้สวยขนาดนั้นจะทิ้งทำไมให้เสียของ”
ประกิตสะดุดหู “เอ็งไม่ได้เอาไปทิ้งเหรอ”
“ฉันขายให้คุณทรงกลดไปแล้ว”
ที่ด้านหลังบ้าน ปรางทิพย์ในคราบยายพิณทิพย์ใช้คลุมผมดูลึกลับน่ากลัว ยืนแอบฟังอยู่ตั้งแต่ต้น
นิรชาแต่งตัวทะมัดทะแมงพร้อมสำหรับการเดินทางไกลกลับบ้าน เก็บเสื้อผ้าและข้าวของใส่กระเป๋าโดยมีกฤตณีนั่งช่วยอยู่ข้างๆ พร้อมกับยื่นห่อของฝากให้นิรชา
“แก...อันนี้ฉันฝากไปให้แม่แกด้วยนะ”
นิรชารับของไปแล้วมองอย่างสงสัย “อะไรเหรอ”
“ผ้าทอพื้นบ้านนี่แหละ ฉันรู้ว่าน้ามัทชอบ”
นิรชาหัวเราะ “ถึงชอบ แต่แกก็ไม่ต้องซื้อฝากทุกครั้งที่ฉันกลับไปหาแม่ก็ได้ ที่มีอยู่ก็ใส่ยังไม่ครบเลย”
“แม่แกใส่ของพวกนี้ทุกวัน มันก็ต้องมีขาดมีพังกันบ้างแหละ”
นิรชาหมั่นไส้ “จ้า แม่คนรวย”
“ใช่รวย...รวยน้ำใจนะจ๊ะ ไม่ใช่รวยเงิน”
นิรชาและกฤตณี หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ศักดิ์และตาลเดินถือของฝากเข้ามาเช่นกัน
“อันนี้ของฝากจากพ่อกับแม่นะเนียร์”
นิรชารับไป “โห...อะไรคะเยอะแยะเลย”
“ก็พวกปลาแห้ง หมูแดดเดียวน่ะ ของบ้านๆ เห็นว่าแม่เราชอบกิน”
“แต่ต้องเป็นฝีมือแม่นะพ่อ ถ้าเป็นพ่อทำคงไม่ไหว คราวที่แล้วที่เอาไปฝาก ฉันยังจำได้อยู่เลยที่น้ามัทแทบกลืนไม่ลง แต่เห็นว่าพ่ออุตส่าห์ทำไปฝากเลยต้องฝืนใจกิน”
“เออ...ก็คราวที่แล้วแม่แกไม่สบาย ฉันก็เลยต้องทำ แต่คราวนี้แม่แกทำเอง” ศักดิ์ว่า
“ดีแล้วจ้ะพ่อ ฉันส่งสารน้ามัท”
ทุกคนมองหน้ากันต่างหัวเราะสนุกสนาน เมื่อนึกถึงวีรกรรมที่ผ่านมาของศักดิ์
“คิตตี้ แล้วแกไม่ไปเที่ยวบ้านฉันจริงๆ เหรอ”
“เอาไว้ปิดเทอมหน้าละกัน ตอนนี้แม่เพิ่งเปิดร้านขายข้าวแกงเพิ่ม ฉันขออยู่ช่วยแม่ก่อนดีกว่า”
นิรชาพยักหน้าเข้าใจ
“ยังไงก็ขับรถระวังๆ เดินทางดีๆ นะลูก” ตาลกำชับ
ศักดิ์เสริมว่า “ค่อยๆไปไม่ต้องใจร้อน เหนื่อยก็พัก”
นิรชามองศักดิ์กับตาลอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะ”
ที่ห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง บุษบาลาวัณย์เดินถือโทรศัพท์มือถือที่ทรงกลดซื้อให้ออกมาจากในร้านขายมือถือด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ ทรงกลดเดินตามออกมาพร้อมกับในมือถือถุงใส่กล่องโทรศัพท์มือถืออีกเครื่อง
“ชอบไหมครับ”
“ชอบมาก นี่เป็นโทรศัพท์เครื่องแรกของฉันเลยนะ แล้วนี่ฉันใช้มันได้เลยใช่ไหม”
บุษบาลาวัณย์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู แต่กลับไม่ได้ยินอะไร เธอจ้องมองมันอย่างสงสัย
“ทำไม ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”
ทรงกลดยิ้มเอ็นดูในความไร้เดียงสาของบุษบาลาวัณย์
“ตอนนี้มันยังใช้ไม่ได้ เดี๋ยวพอใส่ซิมการ์ดแล้ว ผมจะสอนวิธีใช้ให้ ผมว่า…เราไปนั่งในร้านกาแฟดีกว่า แล้วผมจะค่อยๆ สอนวิธีใช้ให้คุณ”
ทรงกลดมองหา กระทั่งเจอร้านกาแฟเข้า เขาคว้ามือบุษบาลาวัณย์พาเดินตามเขาไปที่ร้านกาแฟทันที
บุษบาลาวัณย์มองมือทรงกลดที่จับมือของตนแล้วยิ้มชอบใจ เดินตามเขาไป
ทรงกลดพาบุษบาลาวัณย์เข้ามาภายในร้านกาแฟ เดินตรงไปที่นั่งที่โต๊ะว่าง เลื่อนเก้าอี้ให้บุษบาลาวัณย์นั่ง ขณะที่ตนเองเดินอ้อมมานั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอ
พนักงานหญิงเดินเข้ามารับออเดอร์
“รับอะไรดีคะ”
บุษบาลาวัณย์มองพนักงานหญิงงงๆ แล้วก็หันมองทรงกลดเชิงถาม
ทรงกลดยิ้มๆ แล้วหันไปสั่งกับพนักงาน
“ผมขอคาปูชิโน่ร้อนหนึ่งแก้ว แล้วเอาโกโก้เย็นกับสตอร์เบอร์รี่ชีสเค้กให้คุณผู้หญิง”
“คาปูชิโน่ร้อนหนึ่งแก้ว โกโก้เย็นหนึ่งแก้ว สตอร์เบอร์รี่ชีสเค้กหนึ่งชิ้นนะคะ”
“ครับ”
พนักงานหญิงเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ บุษบาลาวัณย์กระซิบถามทรงกลด
“ไอ้ที่คุณบอกเขาไปมันคืออะไร”
“มันคือเครื่องดื่มและขนมครับ ผมรับรองว่าอร่อย ถ้าคุณได้ชิมแล้วจะติดใจ”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มดีใจ ทรงกลดหยิบโทรศัพท์มือถือจากบุษบาลาวัณย์มาจัดการให้
“เดี๋ยวผมจะใส่ซิมการ์ดให้ แล้วค่อยๆ สอนวิธีใช้ให้คุณ”
บุษบาลาวัณย์นิ่งมองทรงกลดจัดการกับโทรศัพท์มือถือของเธอด้วยความตั้งใจ
ที่โต๊ะด้านหลังบุษบาลาวัณย์ ทศนนท์กำลังนั่งทำงานอยู่กับไอแพด เขานั่งหันหลังเก้าอี้ชนกับเก้าอี้ที่บุษบาลาวัณย์นั่ง
กลับจากวัด จรัล ปรียา ถนอม เสถียร เดินขึ้นเรือนมา จรัลล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยปรียานั่งตาม
“เฮ้อ...จบงานซะที พวกเอ็งก็ไปพักกันได้แล้วไป เหนื่อยกันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่ แล้วเดี๋ยวมืดๆ ค่อยไปเก็บเถ้ากระดูกไอ้สนมัน”
เสถียรออกตัว “ฉันไม่ไปนะผู้ใหญ่ กลางค่ำกลางคืนกับป่าช้า ฉันไม่ค่อยถูกโฉลกด้วย”
“อ้าว ไอ้นี่ ถ้าเอ็งไม่ไป แล้วใครจะไป” ถนอมบ่น
“ก็แกกับนังมิ้น เมียแกไง ตอนกลางคืนมันชอบออกไปโน่น ไปนี่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
ถนอมยัวะ “พูดแบบนี้เดี๋ยวก็สวยหรอก นั่นเมียข้านะโว้ย”
จรัลรำคาญตัดบทเสียงดุ “เอาล่ะๆ อย่าเถียงกัน ไปด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ พวกเอ็งออกไปเลยไป ข้าเหนื่อยแล้ว”
ถนอม เสถียร เจอจรัลดุเข้าให้เลยหน้าม่อยเดินกลับบ้านไป
“พูดถึงไอ้สนแล้ว มันก็ยังโชคดีที่ไม่ได้ตายเพราะผีแม่ม่ายเหมือนไอ้จาว ลูกเรานะพี่”
“ไม่รู้ว่าไอ้จาวจะได้ไปเกิดหรือยัง หรือว่ายังต้องไปอยู่กับนังผีแม่ม่ายนั่น เฮ้อ...” จรัลทอดถอนใจ
ปรางทิพย์และบัวคำเดินเข้ามาได้ยิน ปรางทิพย์หยุดชะงักฝีเท้านิ่งไป จรัลหันมาเห็น
“อ้าวคุณปราง บัวคำ ผมนึกว่าพวกคุณกลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้วซะอีก”
ปรางทิพย์และบัวคำเดินเข้ามาหาจรัลและปรียา
“พวกเรากลับบ้านไปแล้วค่ะ แต่พอดีคุณปรางนึกขึ้นได้ว่า มีธุระอยากถามผู้ใหญ่”
“งั้นเชิญนั่งกันก่อนครับ เชิญๆ”
ปรียาลุกออกไป ปรางทิพย์และบัวคำนั่งลงที่เก้าอี้
“ผู้ใหญ่รู้ไหมว่าบ้านคุณทรงกลดอยู่ที่ไหน”
จรัลแปลกใจ “รู้ครับ บ้านคุณทรงกลดอยู่ในตัวเมือง คุณปรางมีธุระอะไรกับคุณทรงกลดหรือครับ”
“คุณทรงกลดเคยรับปากจะไปสืบหาเจ้าของบ้านร้างที่อยู่ติดกับบ้านฉัน แต่นี่ก็หลายวันแล้ว เห็นเขาเงียบไป ฉันอยากรู้ความคืบหน้าแต่ไม่รู้จะติดต่อเขายังไง”
“อ๋อ...ไม่ยากนี่ครับ โทร.ถามคุณทรงกลดเลยก็ได้”
“แต่ฉันไม่มีเบอร์โทร.”
“ผมมีครับ รอสักครู่”
จรัลรีบหยิบโทรศัพท์ตนขึ้นมา เปิดเบอร์โทร.ทรงกลดแล้วส่งให้ปรางทิพย์ดู
ปรางทิพย์นิ่งมอง บัวคำจึงเอ่ยขึ้น
“พวกเราไม่มีโทรศัพท์หรอกผู้ใหญ่”
“อ้อ..ผมลืมไป โทษทีครับ งั้นเดี๋ยวผมโทรให้”
จรัลกดโทรศัพท์โทร.ออก
อีกฝั่ง พนักงานร้านกาแฟ เอาเครื่องดื่มและเค้กมาเสิร์ฟให้ บุษบาลาวัณย์รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เห็นอย่างมาก
“ลองสิครับ”
บุษบาลาวัณย์มองงงๆ ว่าจะเริ่มต้นกินอย่างไร จะเอามือจับเค้ก แต่ทรงกลดรีบจับมือบุษบาลาวัณย์ห้ามไว้ แล้วตักเค้กป้อนให้เอง บุษบาลาวัณย์กินเค้กอย่างรู้สึกถูกปาก
“อืม...อร่อยมาก”
“โกโก้ก็อร่อยนะครับ”
ทรงกลดเอาหลอดใส่ปากบุษบาลาวัณย์พลางอธิบาย
“ดูดผ่านหลอดนี้ครับ”
บุษบาลาวัณย์ก้มลงดูดโกโก้ในแก้วด้วยความเอร็ดอร่อย แต่พอกลืนลงไปก็ตกใจ
“เหตุใดจึงบาดคอเช่นนี้”
ทรงกลดงง “บาดคอ”
“น้ำนี้รสชาติประหลาดดี จะขมก็ไม่ใช่ หวานก็ไม่เชิง แต่เย็นบาดคอนัก”
“อ๋อ” ทรงกลดหัวเราะ “มันใส่น้ำแข็ง นี่ครับ ไอ้ก้อนๆ นี่คือน้ำแข็ง ถ้ายังไม่ชินก็ค่อยๆ ดื่มไปก่อน”
บุษบาลาวัณย์ดื่มน้ำโกโก้เย็นอีกครั้ง
มีเสียงโทรศัพท์มือถือทรงกลดดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์ผู้ใหญ่จรัลก็กดรับอย่างแปลกใจ
“ครับ สวัสดีครับผู้ใหญ่”
“สวัสดีครับคุณทรงกลด พอดีว่าคุณปรางเธอขอให้ผมโทรหาคุณน่ะครับ”
“คุณปรางมีอะไรเหรอครับ”
ทศนนท์นั่งอยู่ได้ยินชื่อปรางแล้วอึ้งไป หันมามองด้านหลัง เห็นคนที่กำลังคุยอยู่คือทรงกลด
ทรงกลดเองก็เห็นทศนนท์เช่นกัน แต่ทำเหมือนไม่เห็นและไม่ได้มองมา
“เห็นบอกมีธุระจะคุยด้วย เรื่องบ้านร้างข้างบ้านคุณปรางน่ะครับ”
“อ๋อ ครับ ได้ครับ เดี๋ยวยังไงอีกวันสองวัน ผมจะเข้าไปหาคุณปราง แล้วจะมีของไปฝากคุณปรางด้วย”
ทรงกลดหันมองถุงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ
“ครับ สวัสดีครับ”
ทรงกลดกดวางสายแล้วยิ้มขึ้นมาอย่างผู้มีชัย ก่อนจะทำเป็นหันมองไปที่ทศนนท์ที่ยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างไม่วางตา แกล้งทักขึ้น
“อ้าว คุณทศ มากินกาแฟที่นี่เหมือนกันเหรอครับ”
บุษบาลาวัณย์กินเค้กอย่างอร่อย ถึงกับชะงัก หันหลังไปมองตามทรงกลด ก็เห็นเป็นทศนนท์ที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านหลังเธอ บุษบาลาวัณย์จ้องทศนนท์ตาลุกวาว คิดว่าเป็นเทศ
“ครับ พอดีเข้ามาทำธุระ เมื่อกี้ได้ยินคุณทรงกลด คุยโทรศัพท์กับคุณ...ปราง คุณปรางมีโทรศัพท์แล้วเหรอครับ”
ทรงกลดยักท่ายิ้มเป็นต่อ “อ๋อ คุณปรางเธอขอให้ผู้ใหญ่โทรศัพท์มาตามผมให้ไปหาน่ะครับ เห็นผมหายหน้าไปหลายวัน”
ทศนนท์ได้ยินดังนั้นยิ่งมีสีหน้าร้อนรนใจ
ทรงกลดยิ้มสะใจ ไม่ทันเห็นว่าบุษบาลาวัณย์มองจ้องทศนนท์เขม็งโดยไม่วางตา
ที่บริเวณหน้าร้านกาแฟข้างตัวบ้านศักดิ์กับตาล กฤตณีกำลังช่วยนิรชาขนกระเป๋ามาขึ้นรถ ตาลกับศักดิ์ยืนรอส่งอยู่ด้วย ปรัชญาเดินเข้ามาที่ร้านพอดี ตาลหันไปเห็น
“วันนี้ปิดร้าน ไม่มีอะไรขายนะคะหมอ”
“ผมทราบครับ แค่จะแวะมาส่งเนียร์ นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว”
“แต่ก็ทันนี่หมอ” นิรชาแบมือออกไปทวงของฝาก “ของฝากที่จะฝากให้แม่เนียร์”
“อยากได้จริงอ่ะ”
“อ้าว เห็นทุกทีก็มีไปให้”
“งั้นคราวนี้ขอฝากลูกเขยหล่อๆ ไปด้วยสักคนได้ไหมล่ะ”
ปรัชญายื่นหน้าเข้าไปหาและทำน้ำเสียงล้อเลียน นิรชาขำ
“เล่นไม่เลิกนะหมอ”
ปรัชญาทำเสียงล้อเล่นไม่หยุด “ก็พูดไปงั้น เผื่อฟลุค”
“จะหวังฟลุคทำไม ที่ได้แน่ๆ มีอยู่ตรงนี้ ทั้งโสดทั้งสวย จะเอาไหมล่ะหมอ” คิตตี้บอก
ปรัชญารีบเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ
“พอดีผมนัดคนไข้ไว้ช่วงบ่าย เดี๋ยวผมรีบไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า เดินทางปลอดภัยนะครับเนียร์ ผมไปละ”
ปรัชญาเดินออกไป
ทุกคนหัวเราะขันกับท่าทางล้อเล่นกวนๆ ของหมอ กฤตณีตะโกนไล่หลังตามไป
“อ้าว ไม่สนใจจริงๆ เหรอคะหมอปรัช งานนี้ได้ชัวร์ไม่ต้องรอไม่มั่วนิ่มนะคะ”
“กลับมาก่อนหมอ ถึงที่ร้านจะไม่ได้เปิดขาย แต่บ้านนี้ยังมีข้าวให้กิน มาๆ มากินข้าวด้วยกัน”
ปรัชญาหยุดเดินแล้วหันกลับมายิ้มอย่างชอบใจ
ยามเย็น รถของทศนนท์วิ่งมาตามถนนมุ่งหน้ากลับเข้าหมู่บ้าน ทศนนท์ขับรถมาด้วยสีหน้าครุ่นคิดหนักเรื่องปรางทิพย์
“คุณปรางไม่มีโทรศัพท์ แต่ยังอุตส่าห์ไปบ้านผู้ใหญ่ให้ช่วยโทรเรียกคุณทรงกลดให้มาหาหมายความว่ายังไง”
ทันใดนั้นเอง เหมือนมีอะไรบางอย่างวิ่งตัดหน้ารถของเขา
“เฮ้ย!”
ทศนนท์เบรกรถจนหน้าคว่ำ หัวเขากระแทกเข้ากับพวงมาลัยรถอย่างแรง ทศนนท์นิ่งแล้วมึนไป
มีเสียงร้องโอดโอยขอให้คนช่วยดังแว่วเข้ามาในรถ
“โอ๊ย! ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย โอ๊ย...”
ทศนนท์เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ หันมองไปตามเสียง ตัดสินใจดับเครื่องยนต์ แล้วประคองตนที่รู้สึกเจ็บและมึนๆ ที่หัว เปิดประตูลงรถไป
ทศนนท์ลงจากรถ ขณะที่เสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลืออย่างเจ็บปวดยังคงดังอยู่ตลอดเวลา
“โอ๊ย! ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย โอ๊ย...”
ทศนนท์เดินเข้าไปที่พงหญ้าข้างทางพร้อมกับตะโกนเรียก
“คุณครับ อยู่ไหนครับ ผมมาช่วยแล้ว คุณครับ คุณ...”
ทศนนนท์ชะงัก เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนอนฟุบหน้าอยู่ เขาตกใจรีบเข้าไปช่วย
“คุณครับ คุณ เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ไปครับ ผมจะพาไปโรงพยาบาล”
ทันทีที่ทศนนท์เข้าไปถึงตัวหญิงสาวคนนั้น ตั้งใจจะประคองเธอลุกขึ้น หญิงคนนั้นก็หันหน้ามามองเผยให้เห็นว่าเป็นบุษบาลาวัณย์นั่นเอง
ทศนนท์ตกใจ ผงะไปวูบหนึ่ง ดวงตาบุษบาลาวัณย์เปล่งประกายเป็นสีแดงวาบขึ้น ทศนนท์ถูกสะกดจิตนิ่งงันไป
นิรชาขับสวนออกมาจากหมู่บ้านมุ่งหน้าขึ้นเหนือ กลับไปเยี่ยมบ้าน
พลันสายตาก็เห็นบางอย่างตรงหน้า เธอเขม้นมอง เห็นรถทศนนท์จอดอยู่ริมทาง นิรชาขับรถเข้ามาจนใกล้ ค่อยๆ ชะลอรถจอดลงข้างทาง เปิดประตูลงมาดูที่รถของทศนนท์ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“รถคุณทศนี่”
นิรชาจ้องมองผ่านกระจกหน้าต่างเข้าไปในรถ แต่ไม่เห็นมีใครอยู่ก็ยิ่งสงสัย
“ทำไมมีแต่รถ แล้วคนล่ะไปไหน คุณทศคะ คุณทศ...”
แต่แล้วจู่ๆ มีมือใครบางคนเอื้อมมาแตะที่บ่าของนิรชา เธอสะดุ้ง หันขวับไปมองด้วยความตกใจ พอเห็นเป็นตาด่านยืนมองเธออยู่ด้วยสีหน้าวิตกกังวล ก็โล่งใจ
“ตาด่าน”
“แย่แล้วๆ พี่เทศแย่แล้ว ช่วยพี่เทศด้วย”
นิรชางง “เทศ เทศไหนคะตา”
“พี่เทศ พี่เทศขับรถคันนี้มา”
“นี่รถคุณทศไม่ใช่เหรอ”
“ต้องช่วยพี่เทศ มีคนจะฆ่าพี่เทศ” ตาด่านเริ่มกลัวและสับสน “ตะๆๆๆๆ ตายๆๆ ตายแน่ๆ พี่เทศกำลังจะตะๆๆๆๆ ตายยยยย”
ด่านพูดไปหันไปมองที่พงหญ้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว
นิรชามองตามสายตาด่าน เห็นหลังของทศนนท์เดินดุ่มๆ อยู่ในพงหญ้าท่าทีเหมือนคนละเมอ
“นั่นมันคุณทศนี่! ละเมออีกแล้วเหรอ”
ไม่รอช้านิรชารีบวิ่งตามไป
“คุณทศ! คุณทศ อย่าเข้าไป”
นิรชาวิ่งตามทศนนท์เข้าใปในพงหญ้า
“คุณทศ คุณทศรอเดี๋ยว อย่าเข้าไป นี่คุณจะละเมอเดินกลางวันแสกๆ เลยเหรอ คุณทศ!”
ทศนนท์เหมือนไม่ได้ยิน เขายังคงเดินตรงเข้าไปเรื่อยๆ
“ดีล่ะ คราวนี้จะถ่ายคลิปไว้ให้คุณดูเป็นหลักฐาน ว่าคุณอาการหนักจนต้องไปหาหมอรักษาได้แล้ว”
นิรชาเปิดโทรศัพท์ถ่ายวิดีโอ เดินเข้าไปดึงตัวทศนนท์ไว้ จับตัวเขย่าๆ เพื่อเรียกเขาให้ตื่น
“คุณทศ ตื่น! ตื่นได้แล้วคุณทศ!”
ทศนนท์หยุดเดิน แต่ยังคงไม่รู้สึกตัว
ระหว่างนี้ บุษบาลาวัณย์เดินนำอยู่ข้างหน้า หันขวับกลับมามองนิรชาอย่างไม่พอใจ
เหมือนว่าเห็นใครจากหางตา นิรชาหันขวับไปมอง แต่กลับไม่เห็นมีใคร
“ทำไมเมื่อกี้ เหมือนเห็นใครยืนอยู่”
โดยไม่ทันตั้งตัว นิรชาถูกทศนนท์สะบัดตัวจนเธอล้ม
“โอ๊ย!”
โทรศัพท์มือถือของเธอกระเด็นจากมือหล่นหายไปในพงหญ้า
“คุณทศ ยังไม่รู้สึกตัวอีก”
ทศนนท์ไม่ได้ยิน เขาเดินทื่อต่อไป
นิรชาจะลุกขึ้นแต่รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้า พอมองไปทางทศนนท์กำลังเดินไปก็ตกใจ
“คุณทศ หยุดเดี๋ยวนี้นะ ทางนั้นมันเป็นทางไปหน้าผา หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณทศ!”
นิรชารีบลุกเดินกะเผลกๆ ตามทศนนท์ออกไปด้วยความเป็นห่วง
บรรยากาศในหมู่บ้านเป็นตอนพบลค่ำ ด่านวิ่งโซซัดโซเซกลับเข้ามาในหมู่บ้าน ตะโกนร้องให้คนช่วยไม่หยุดปาก
“ช่วยด้วยๆ ช่วยพี่เทศด้วย ช่วยพี่เทศที ใครก็ช่วยพี่เทศที”
สุดสวยกับชายเดินเข้าบ้าน ด่านเห็นจึงวิ่งเข้าไปจับแขนชายไว้
“ช่วยด้วย ช่วยพี่เทศที ช่วยพี่เทศด้วย พี่เทศกำลังจะตะๆๆๆๆ ตายๆๆๆ”
“เอาแล้ว เมาอีกแล้วลุง วันๆ ก็ขอแต่ให้คนช่วยพี่เทศๆ ฉันน่ะช่วยพี่เทศไม่ได้หรอก ฉันไม่ใช่พระ ถ้าอยากให้มีคนช่วยเทศ...ก็ไปที่วัดโน่นเลยลุง” ชายบ่น
สุดสวยหัวเราะชอบใจในความตลกและขี้เล่นของชาย
สุดสวยแหมพี่ชายนี่ตลกนะ
ด่านไม่ตลก ด่านจริงจัง มีคนกำลังจะฆ่าพี่เทศจริงๆ ผี...ผีแม่ม่าย มันเป็นผีแม่ม่าย กำลังจะเอาตัวพี่เทศไป
สุดสวยได้ยินตกใจรีบดึงแขนชายออกจากด่าน
สุดสวยว้าย! ตายแล้ว ผีแม่ม่ายเหรอ อย่ามายุ่งกับพี่ชายของสุดสวยนะ ไปเลยพี่ชาย รีบกลับบ้านเลยเร็ว!
สุดสวยรีบลากตัวชายกลับบ้านโดยไม่รับฟังเสียงเรียกของด่านเลยแม้แต่น้อย
ด่านวิ่งลนลานเข้ามาจนถึงหน้าทางเข้าบ้านปรางทิพย์ ร้องตะโกนบอกอย่างคนขวัญเสีย
“เดี๋ยวช่วยก่อน ช่วยพี่เทศก่อน แย่แล้ว พี่เทศ พี่เทศกำลังจะโดนฆ่า”
ปรางทิพย์และบัวคำเพิ่งกลับมาจากบ้านจรัลเห็นเข้า
“วันนี้ตาด่านเป็นอะไร ทำไมดูแปลกๆ”
ด่านทั้งกลัวและสับสน มองหาคนช่วย
“ใครก็ได้ ช่วยที ช่วยพี่เทศที ช่วยพี่เทศด้วย”
ปรางทิพย์ได้ยินชื่อเทศ เริ่มสังหรณ์ใจ บัวคำมองหน้าปรางทิพย์ แล้วรีบเดินเข้าไปหาด่าน
“ตาด่าน เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”
ด่านหันรีหันขวาง ก่อนบอกขึ้นว่า
“พี่เทศแย่แล้ว พี่เทศกำลังจะโดนฆ่า มันจะฆ่าพี่เทศที่ชายป่า”
ปรางทิพย์เดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย
“พี่เทศของด่านนี่ หมายถึงคุณทศหรือเปล่า”
ด่านมองหน้าปรางทิพย์ และชะงัก ตกใจกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ ไม่ ด่านไม่รู้ ด่านไม่ยุ่งๆ ด่านกลัวๆ”
ด่านรีบเดินหนีปรางทิพย์ทันที บัวคำรีบดึงแขนไว้
“เดี๋ยวตาด่าน แล้วที่พูดน่ะใคร ใครจะฆ่าใคร”
“ผู้หญิง ผู้หญิงคนนั้น มันกำลังจะฆ่าพี่เทศ มันจะเอาพี่เทศไปอีกแล้ว”
พูดเท่านั้นด่านก็สะบัดแขนเต็มแรงหลุดจากมือของบัวคำ วิ่งหนีไป
ปรางทิพย์นิ่งคิดก่อนจะหันมองบัวคำ
“ผู้หญิง หรือว่า...”
“บุษบาลาวัณย์” ทั้งคู่อุทานออกมาพร้อมกัน
ปรางทิพย์ตกใจสุดขีด
ตาด่านวิ่งลนลานร้องโวยวายให้คน “ช่วยพี่เทศๆ” หนีมาชนเข้ากับเนตรมายาอย่างจังเกือบล้ม เชื่อมประคองเจ้าแม่ไว้ทัน
“เจ้าแม่! ระวัง”
เนตรมายาโมโห “โอ๊ย! ตาด่าน เดี๋ยวก่อน พี่เทศนี่หมายถึงคุณทศหรือเปล่า”
“พี่เทศ คุณทศ ไม่รู้ด่านไม่รู้ ด่านไม่ยุ่ง ใครฆ่าใคร ด่านไม่ยุ่ง”
ด่านหันไปมองปรางทิพย์ด้วยความหวาดกลัว ลนลานหนีไป
เนตรมายามองประเมินอาการของด่านอย่างติดใจสงสัย ก่อนจะหันมามองเอาเรื่องปรางทิพย์
“นี่แกเอาตัวคุณทศไปอีกแล้วใช่ไหม นังผีแม่ม่าย”
ปรางทิพย์มองเนตรมายาอย่างไม่พอใจ
“ต้องใช่แน่ๆ เลยเจ้าแม่ ดูสิมันมองเจ้าแม่อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ” เชื่อมผสมโรง
จู่ๆ เกิดเสียงฟ้าร้องตามด้วยฟ้าผ่าเปรี้ยงเหมือนเป็นลางร้าย ปรางทิพย์หันมาทางบัวคำ
“คุณทศกำลังมีภัย เราต้องรีบไปช่วย”
เนตรมายาคว้ามือปรางทิพย์ไว้หมับ ไม่ยอมให้ไป
“จะไปไหน แกไปไม่ได้นะ”
บัวคำเข้ามาดึงมือเนตรมายาออกจากปรางทิพย์ แล้วผลักเนตรมายาออกไป
“ว้าย แก นังขี้ข้า แกผลักฉัน”
“คุณปรางรีบไปเลยค่ะ ทางนี้บัวคำจัดการเอง”
ปรางทิพย์เดินหนีออกไปเลย เชื่อมรีบเข้าไปช่วยพยุงเนตรมายา
“เป็นยังไงบ้างเจ้าแม่”
“ฉันไม่เป็นไร รีบตามมันไป เร็ว”
เนตรมายาและเชื่อมรีบลุกขึ้นจะตามปรางทิพย์ไป
“หยุดนะ แกจะไปไหนไม่ได้ นังผีแม่ม่าย”
บัวคำเข้ามาขวางคนทั้งคู่ไว้ และเผลอใช้พลังผลักเนตรมายาและเชื่อมจนกระเด็นล้มลงกองกับพื้น บาดเจ็บทั้งคู่
ตรงชายป่าใกล้หน้าผา บรรยากาศวังเวง ทศนนท์เดินดิ่งตรงไปที่หน้าผานั้น ดูหวาดเสียวน่ากลัว นิรชาวิ่งกะเผลกๆ ตามมา เรียกเขาไว้
“คุณทศ หยุดก่อน ทางนั้นหน้าผานะ คุณได้ยินที่ฉันพูดไหม คุณทศ!”
ทศนนท์ยังคงเดินนิ่ง ตรงไปที่หน้าผา เหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าวทศนนท์ก็จะตกหน้าผา
จู่ๆ เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยง ตามมาด้วยฟ้าแลบแปลบปลาบ ฟ้าร้องคำรณ สะท้านสะเทือนไปทั่วบริเวณ
นิรชาแหงนมองฟ้า รีบเร่งฝีเท้าจนทันทศนนท์ เธอคว้าตัวเขาแล้วดึงร่างกลับมาอย่างแรง
“คุณทศ! ระวัง!”
ด้วยแรงกระชาก ร่างทศนนท์ถลาเข้าใส่ตัวนิรชาจังๆ หญิงสาวรับน้ำหนักของชายหนุ่มไม่ไหว จึงล้มหงายและโดนร่างทศนนท์ล้มทับกลิ้งกันไปที่เชิงหน้าผา
“ว้าย”
บุษบาลาวัณย์ยืนมองนิรชาและทศนนท์อยู่ที่มุมหนึ่ง ด้วยสายตาไม่พอใจ
“คุณทศ ตื่นซะที ฉันหนักนะ คุณทศ”
นิรชาทั้งเขย่าทั้งทุบ ปลุกเขาให้ตื่น จนทศนนท์เริ่มรู้สึกตัว
“ตื่นได้ซะที ลุกออกไปจากตัวฉันได้แล้ว ฉันหนัก”
ทศนนท์สะลึมสะลือ แต่ก็พยายามจะลุกขึ้น
ส่วนบุษบาลาวัณย์ไม่ยอมแพ้ นางกางแขนออก รวบรวมพลังจนดวงตาเปล่งแสงสีแดงออกมา
ท้องฟ้าเหนือบริเวณนั้นเริ่มมีเงาดำคืบคลานเข้ามาตลุม ก่อนจะหมุนวนกลายเป็นหลุมก้อนเมฆสีดำขนาดมหึมา ลมโหมแรงขึ้นๆ จนทศนนท์และนิรชาหมุนกลิ้งไปตามแรงลมและตกลงไปในโพรงด้วยกัน
นิรชาร้องกรี๊ดสุดเสียง “อ๊ายยยยยยย”
นิรชาและทศนนท์หล่นมาจากด้านบนตกลงมาในถ้ำด้านล่าง อันเป็นโถงที่อยู่ของสุบรรณเหราโชคดีที่ได้ฟางแห้งรองรับแรงกระแทก
ทศนนท์ค่อยๆ ลุกขึ้น มองไปรอบๆ จนกระทั่งเห็นนิรชาที่หมดสติอยู่ก็ร้องเรียกอย่างตกใจ
“คุณเนียร์!”
ฟ้าร้องดังครืนครัน แล้วสายฝนก็สาดลงมาจากโพรงด้านบน หล่นใส่ร่างนิรชากับทศนนท์จนทั้งสองเปียกปอน
“เฮ้ย! มาตกอะไรตอนนี้เนี้ย”
ทศนนท์พานิรชาเขยิบหนีอย่างทุลักทุเล
ส่วนที่ร้านขายของบ้านศักดิ์
ปรัชญา ศักดิ์ ตาลและกฤตณี กำลังนั่งกินข้างอยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน
“เป็นไงคะหมอ ข้าวฟรีนี่อร่อยสุดๆ เลยใช่ไหมคะ” คิตตี้เหน็บขำๆ
“ครับ อร่อยสุดๆ เลยครับ โดยเฉพาะฝีมือของน้าตาล”
“แหม พอมีข้าวให้กิน ก็ปากหวานเชียวนะคะหมอ” ตาลว่า
“ไม่ได้ปากหวานครับ อาหารฝีมือน้าตาลอร่อยจริงๆ”
เนตรมายาและเชื่อมวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ร้านกาแฟหน้าตาตื่น
“ช่วยด้วยๆ คุณทศเกิดเรื่องแล้ว”
ทุกคนหันมามองเนตรมายาเป็นตาเดียว ศักดิ์ถามด้วยสีหน้างุนงง
“เกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมเจ้าแม่กับเชื่อมถึงมอมแมมกันมาอย่างนั้นล่ะ”
“เรื่องพวกฉันเอาไว้ก่อนเถอะพี่ศักดิ์ ตอนนี้รีบหาคนไปช่วยคุณทศก่อน” เชื่อมบอก
ปรัชญาแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คุณทศถูกผีแม่ม่ายลวงเข้าไปในป่านอกหมู่บ้าน ถ้าไม่รีบไปช่วย คุณทศต้องตายแน่ๆ”
ทุกคนมีสีหน้าตกใจ
“รีบโทรศัพท์หาผู้ใหญ่เลยพี่ศักดิ์” ตาลรีบบอกผัว
ศักดิ์ควักมือถือออกมาโทรหาผู้ใหญ่ มีเสียงสัญญาณติด แต่ไม่มีคนรับสาย ศักดิ์หน้าเครียด
“ไม่มีคนรับ ผู้ใหญ่ไม่รับสาย”
“งั้นเดี๋ยวผมไปบอกเองครับ” ปรัชญารีบลุกออกไป
เนตรมายาร้อนรนใจ
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงต้องรอผู้ใหญ่ด้วย”
“ก็เพราะเรื่องมันใหญ่ไงครับเจ้าแม่ เราถึงต้องให้ผู้ใหญ่ช่วย”
กฤตณีดึงสติเนตรมายา “ผู้ใหญ่เป็นผู้นำชุมชนของที่นี่ มีทั้งลูกน้องและหน่วยงานที่จะสามารถช่วยเหลือคนที่หายเข้าไปในป่าได้ พวกเรารู้ว่าคุณเป็นห่วงคุณทศ แต่ยังไงก็ต้องใจเย็นๆ”
“จริงอย่างที่ครูคิตตี้พูดนะเจ้าแม่ ยังไงเรื่องนี้เราก็ต้องพึ่งผู้ใหญ่บ้าน”
เนตรมายามีสีหน้าร้อนรนใจไม่คลาย กฤตณีมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างกังวล
“ฝนเริ่มตั้งเค้าแล้ว ถ้าฝนตกการค้นหาจะลำบากมากแน่ๆ”
ทุกคนมองตามหน้าเครียด
พลบค่ำ บริเวณหน้าน้ำตก บริเวณโถงถ้ำที่ถนนทางเดินโรยด้วยเพชรนิลจินดาทอดยาวออกไป
ปรางทิพย์รีบเดินเข้ามาหน้าตาตื่น เธอหยุดแล้วหันมองไปรอบๆ สีหน้าตกใจ
“ไม่นะพี่เทศ ข้าเฝ้ารอพี่มาหลายสิบปี จนพี่มาเกิดใหม่แล้วกลับมาหาข้า พี่จะจากข้าไปเช่นนี้อีกไม่ได้”
ปรางทิพย์พร่ำพูดและมองหาทศนนท์ไปทั่วทั้งโถงถ้ำ แต่ไม่พบก็ใจหาย เธอทรุดเข่าลงกับพื้นอย่างรู้สึกหมดแรง
ที่ถนนทางออกหมู่บ้าน เห็นรถของทศนนท์และนิรชาจอดอยู่ติดๆ กัน
รถกระบะของจรัลวิ่งเข้ามาและจอดต่อท้ายรถนิรชา ทุกคนลงจากรถกระบะ พร้อมกับมองที่รถของนิรชาสีหน้าแปลกใจ
“นี่มันรถยัยเนียร์นี่” คิตตี้จำได้
ปรัชญาร้อนรนใจ “รถเนียร์จอดอยู่ที่นี่ แล้วเนียร์ไปไหน”
“รถคุณทศก็จอดอยู่นั่น พวกเขาสองคน จอดรถไว้แล้วไปด้วยกันหรือเปล่า”
เนตรมายาอึ้งไป ฉุนนิดๆ “ไปด้วยกัน หมายความว่ายังไง จะบอกว่าคุณทศกับครูเนียร์แอบเข้าไปในป่าด้วยกันงั้นเหรอ”
“ฉันจะบอกว่าถ้าเขาไปด้วยกันสองคน คงจะไม่มีเหตุร้ายอะไรต่างหาก” คิตตี้รำคาญ
เนตรมายาไม่พอใจ “เข้าป่าไปด้วยกันสองคน จะไม่ร้ายได้ยังไง”
จรัลตัดบท “เอาล่ะๆ เลิกเถียงกันเถอะ พวกเรารีบแยกย้ายกันไปหาดีกว่า”
“ถ้าเป็นตามอย่างที่ตาด่านเล่า เถียรว่าครูเนียร์อาจจะมาเห็นเหตุการณ์เข้า แล้วถูกผีมันดึงตัวไปด้วย” เสถียรว่า
“อาจเป็นได้” ถนอมเห็นด้วย
ปรัชญาร้อนรนใจ ออกเดินหาไปตามข้างทาง ก่อนจะมองเห็นความผิดปกติที่พงหญ้าข้างทาง
“ดูนี่สิครับ พงหญ้าทางนี้เหมือนกับเคยมีคนเดินผ่าน”
ทุกคนหันมองตาม เห็นพงหญ้าที่ราบ เหมือนมีคนเดินผ่านไป
กฤตณีตาดีเห็นบางอย่างตกอยู่ในพงหญ้า จึงเดินเข้าไปดูและเห็นเป็นโทรศัพท์ กฤตณีหยิบมันขึ้นมาดูจึงรู้ว่าเป็นของนิรชา
“นี่มันโทรศัพท์ของยัยเนียร์ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ทั้งสองคนน่าจะไปทางนี้ครับ” พีรพรบอกอย่างมั่นใจ
“ผู้หญิงรออยู่ที่นี่ มันอันตรายไม่ต้องเข้าไป ยกเว้นเจ้าแม่ครับ”
กฤตณีอ้าปากจะพูด จรัลตัดบทเสียงเข้มว่า
“ถ้าอยากให้ครูเนียร์ปลอดภัย ทำตามนี้!”
จรัลรีบเดินนำทุกคนไป กฤตณีและเชื่อมที่มองตามอย่างไม่พอใจ
บรรยากาศในถ้ำ ที่มีเพียงแสงส่องลงมาจากโพรงด้านบนของตัวถ้ำ ฝนเริ่มซาแล้ว เหลือเพียงหยดน้ำเล็กน้อย
ทศนนท์ประคองนิรชาจากบริเวณโพรงมานอนยังพื้นถ้ำส่วนที่ไม่โดนฝน พยายามตั้งสตินิ่งมองนิรชาที่สลบแน่นิ่งไปไม่รู้สึกตัว
“คุณเนียร์ เป็นยังไงบ้าง คุณเนียร์”
นิ่งไม่มีเสียงตอบใดๆ จากนิรชา ทศนนท์ใช้นิ้วอังที่จมูกแล้วต้องตกใจ ตัดสินใจปั๊มหัวใจและเป่าปากผายปอดให้นิรชา
“ฟื้นขึ้นมาคุณเนียร์ คุณจะตายไม่ได้นะ ฟื้นขึ้นมา”
ทศนนท์ทำ CPR อยู่สักพัก ก้มลงไปเป่าลมใส่ปากนิรชา
พลันนิรชาก็ลืมตาขึ้น อารามตกใจเธอผลักทศนนท์ออกอย่างแรง ไอโขลกๆ ออกมา
ทศนนท์เข้ามาลูบหลังนิรชาด้วยความเป็นห่วง นิรชาหันมองทศนนท์อย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
“คุณหมดสติไป ผมเลยช่วยทำ CPR ให้ พวกเราตกลงมาจากปล่องด้านบนแล้วฝนก็ตกพอดี คุณจำได้ไหม”
นิรชาคิดทบทวน หันมองไปรอบๆ อย่างงุนงง
“ฉันจำได้แค่เราตกลงมาจากป่าทางออกหมู่บ้าน หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวเลย ขอบคุณนะคะที่ช่วยชีวิตฉัน แล้วที่นี่มันที่ไหน”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนจะเป็นถ้ำ”
“เราเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง”
“ผมไม่แน่ใจ รู้สึกเหมือนตกจากที่สูง ได้สติอีกทีก็อยู่ในถ้ำแล้ว”
“คุณนี่ละเมอเป็นเรื่องเป็นราวจริงจังเลยนะ”
ทศนนท์ตกใจ “ละเมอ”
“ก็ใช่น่ะสิ นี่คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าตัวเองจอดรถแล้วเดินละเมออยู่ในป่านอกหมู่บ้านตอนกลางวันแสกๆ ถ้าฉันไม่ไปห้ามคุณ คุณก็คงเดินตกหน้าผาตายไปแล้วด้วย”
“ผมเนี่ยนะจะละเมอเดินไปที่หน้าผา”
“คุณไม่เชื่ออีกแล้วใช่ไหม”
นิรชาจะหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง แต่ก็นึกได้ว่าทำหล่นไป
“คุณผลักฉัน จนมือถือฉันหล่นหายไปแล้ว คราวนี้ยังไงคุณก็ต้องเชื่อฉัน ที่ฉันต้องมาตกระกำลำบากแบบนี้ก็เพราะตามมาช่วยคุณ”
ทศนนท์พยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออกจนเขาเริ่มสับสน นิรชาเริ่มมีอาการหนาวสั่น
“หนาวหรือเปล่า”
นิรชาพยักหน้า “ในนี้มันชื้น ฉันอึดอัดเหมือนหายใจไม่ค่อยออกด้วย เราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง ต้องปีนออกทางเดิมหรือเปล่า”
ทศนนท์มองขึ้นไปด้านบน “ปล่องมันสูงมากนะ ผมว่ามันคงต้องมีทางออกอีกทาง ต้องลองเดินหาดู”
ทศนนท์ลุกขึ้นจะเดินไปหาทางออก
นิรชาลุกตามแต่เกิดที่เจ็บข้อเท้า จึงทรุดฮวบลงไป ทศนนท์มองเห็นรีบเข้ามาช่วยพยุง
“คุณเนียร์”
ทศนนท์มองนิรชาด้วยสายตาห่วงใย
บรรยากาศที่ริมหน้าผาใกล้มืดลงทุกขณะ ทุกคนเดินมาจนถึงริมหน้าผาสีหน้าตกใจ
“ดูเหมือนรอยเท้าของพวกเขาจะมาหยุดอยู่ตรงนี้”
“ที่นี่มันหน้าผานะครับผู้ใหญ่” หมอว่า
“อย่าบอกนะครับว่าพี่ทศ กับครูเนียร์...ตกหน้าผา” พีรพรตกใจ
ทั้งปรัชญาและพีรพรมองหน้ากันอย่างรู้สึกร้อนใจและวิตกกังวลไม่แพ้กัน
ถนอมมองลงไป “อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ทั้งสองคนเป็นคนระวังตัว ไม่น่าจะพลาดขนาดนั้น”
“นี่มันจวนจะมืดแล้ว พวกเรากลับไปตั้งหลักที่บ้านผมก่อนเถอะ” จรัลสรุป
“ไม่ได้นะครับผู้ใหญ่ ยิ่งตกกลางคืน ในป่าก็ยิ่งอันตราย” หมอทักท้วง
“ก็เพราะมันอันตรายไงครับ ผมถึงแนะนำให้ทุกคนออกไปกันก่อน รอพวกเจ้าหน้าที่ป่าไม้กับทีมค้นหามาช่วยดีกว่า”
เนตรมายาหันมองประเมินไปรอบๆ เหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
“ฉันว่า ที่นี่มันมีอะไรแปลกๆ”
“อะไรหรือเจ้าแม่”
เนตรมายาเดินไปที่ริมหน้าผา หลับตาลงบริกรรมคาถาวาดมือออกไปเพื่อสัมผัสลมที่ริมหน้าผา
ทุกคนมองอย่างแปลกใจ สักพักเนตรมายาก็ลืมตาขึ้น
“พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าพวกเขาไม่ออกมาภายใน 3 วัน ก็อาจจะ...ไม่รอด”
ปรัชญาไม่พอใจ “อดข้าว 3 วัน ยังไม่ตายหรอกครับ ถ้ายังมีน้ำให้ดื่ม”
เนตรมายาส่ายหน้า “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดน่ะสิคุณหมอ”
“พวกเขาไม่ได้ไปไหนไกลหรอก ผมจะช่วยตามหาจนกว่าจะเจอ”
เนตรมายาสีหน้าเป็นกังวล ในขณะที่ปรัชญามองอย่างไม่เชื่อถือ
ทางด้านทศนนท์เข้ามาประคองนิรชา แล้วพาเธอกลับลงไปนั่งอย่างเดิม
“เป็นยังไงบ้าง”
“ฉันเจ็บที่ข้อเท้าน่ะค่ะ สงสัยข้อเท้าจะแพลง”
“ผมว่าคุณนั่งพักก่อนดีไหม”
“ฉันยังไหวค่ะ พวกเรารีบหาทางออกจากที่นี่กันดีกว่า”
ทศนนท์นึกได้ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วเปิดไฟฉายขึ้น
“ไหน ขอผมดูชัดๆ หน่อยนะ”
ทศนนท์มองดูข้อเท้านิรชา เห็นว่ามันเริ่มบวมและแดงขึ้นมา
“โอ้โห...ทั้งบวมทั้งแดงเลย เจ็บมากไหม”
“นิดหน่อยค่ะ”
ทศนนท์ส่งมือถือให้ “ช่วยส่องให้หน่อยครับ”
ทศนนท์หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อเอามาพันที่ข้อเท้าให้ นิรชานิ่งมองซึ้งๆ แต่พอทศนนท์เงยหน้าขึ้นมา นิรชาแก้เขินด้วยการเสพูดเรื่องโทรศัพท์
“โทรศัพท์คุณยังใช้ได้นี่นา รีบโทร.ออกขอความช่วยเหลือสิคะ”
“ไม่มีสัญญาณครับ ตอนนี้ที่เราจะใช้ประโยชน์จากมันได้ ก็น่าจะแค่ไฟฉายเท่านั้น”
“ก็ยังดี”
นิรชาพยายามจะลุกขึ้น ทศนนท์ช่วยประคองอย่างเป็นห่วง
“คุณไหวนะ”
“ค่ะฉันไหว”
ทศนนท์สังเกตเห็นที่แขนนิรชามีเลือดซึมออก
“แขนคุณเลือดออกด้วยนี่ โดนหินบาดเหรอ”
“ก็คุณผลักฉันล้มไปโดนเอง จำไม่ได้เหรอ”
ทศนนท์หน้าเหวอไป
เหตุการณ์ที่บ้านทรงกลด
ในห้องนอนที่ว่างเปล่าของบุษบาลาวัณย์ ทรงกลดเคาะประตูเรียกเธออยู่หน้าห้อง
“คุณบุษครับ อาหารเย็นตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้วครับ ลงไปทานข้าวได้แล้วครับ คุณบุษ...”
เงียบไม่มีเสียงตอบใดๆ ทรงกลดสีหน้าแปลกใจ ตะโกนเรียกอีกครั้ง
“คุณบุษครับ เป็นอะไรหรือเปล่า คุณบุษ ผมเข้าไปนะครับ”
ทรงกลดเปิดประตูเข้าไปในห้อง ตะโกนเรียกบุษบาลาวัณย์พร้อมกับเดินไปดูที่ห้องน้ำ แต่ก็ไม่เห็น เดินไปดูที่ระเบียงก็ไม่เจอ
“คุณบุษครับไปทานข้าวได้แล้วครับ คุณบุษหายไปไหน ก็เห็นๆ อยู่ว่าขึ้นห้องมาตั้งแต่บ่าย ไปไหนนะ....”
ทรงกลดเดินออกมาพร้อมกับปิดประตูลง
โดยหากเขามองผ่านช่องประตูที่กำลังปิดลง จะเห็นว่าบุษบาลาวัณย์ยืนหน้าถมึงทึงอยู่ที่ระเบียง
ประตูปิดลง ทรงกลดขยับตัวจะเดินกลับลงไป ประตูห้องบุษบาลาวัณย์ก็เปิดออก ทรงกลดหันไปมอง เห็นบุษบาลาวัณย์ยืนอยู่ที่หน้าประตู
“อ้าว คุณบุษอยู่ในห้องเหรอครับ”
“ค่ะ ฉันอยู่”
“เป็นไปได้ยังไง เมื่อกี้ผมเข้าไปดูไม่เห็น”
บุษบาลาวัณย์รีบสวนขึ้น “ฉันอยู่ที่ระเบียงค่ะ”
ทรงกลดสอดตามองไปที่ระเบียงอีกครั้ง และหันมามองบุษบาลาวัณย์อย่างงุนงงสงสัย
แสงไฟฉายจากมือถือส่องนำทางสองคน
ทศนนท์ประคองนิรชา พากันเดินลึกเข้าไปในถ้ำ แต่มาถึงแค่ปากทาง ยังไม่เห็นทางเดินที่โรยด้วยเพชรนิลจินดา
“เดินต่อไหวไหมคุณเนียร์”
นิรชารับเสียงเบาหวิว “ไหว...ฉันยังไหว...”
ทศนนท์มองเห็นนิรชามีเหงื่อออก หน้าซีดขาว และซวนเซนิดๆ เริ่มทรงตัวไม่อยู่
“แต่ผมว่าคุณไม่น่าจะไหวแล้วนะ”
นิรชาไม่มีแรงที่จะตอบ หอบหายใจอย่างแรง
ทศนนท์เอามือจับที่หน้าผากนิรชา แล้วพูดขึ้นอย่างตกใจ
“ตัวคุณร้อนจี๋เลย ผมว่าคุณมีไข้ น่าจะพักก่อนนะ”
“ฉัน...ไหว...”
นิรชาฝืนตอบ แต่ร่างกลับทรุดฮวบลง ทศนนท์ตกใจ
“คุณเนียร์”
นิรชาหมดสติลงในอ้อมกอดของทศนนท์
อ่านต่อตอนที่14