เพรงลับแล ตอนที่12 | แต่งหญิงหลอกผีแม่ม่าย
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
เช้าวันนี้ พวกผู้ชายในหมู่บ้านกลัวผีแม่ม่ายมาเอาตัวไป พากันแต่งหญิงเอาชุดเมียมาใส่ สวมวิกผม แต่งตัวแต่งหน้าจัดจ้าน ทาปากแดง ทาเล็บแดง
ชายก็เช่นกันนุ่งชุดของสุดสวยใส่วิกผมยาว ออกมาทำหุ่นฟางห้อยไว้หน้าประตูรั้วบ้านกันผีแม่ม่าย เสถียรเดินผ่านมา เห็นแค่ด้านหลัง ให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นสุดสวย
“ลงทุนออกมาติดเองเลยเหรอนังสวย แกนี่จะเอาใจไอ้ชายมันเกินไปเปล่า ให้มันทำอะไรเองบ้างเถอะ”
ชายหันมามอง เผยให้เห็นว่าแต่งหน้าจัดจ้านทาปากแดงทาเล็บแดงเต็มอัตรา ส่วนชายเองก็ตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นว่าเสถียรก็แต่งหน้าสวยจัดเต็ม ปากแดงเล็บแดง ทำผมอย่างสวยแปลกตา
ต่างคนต่างตะลึงจังงังในความสวยของอีกฝ่าย
ระหว่างนี้ มีชาวบ้านหญิงเดินผ่านมากลุ่มหนึ่ง หยุดมองเสถียรอย่างแปลกใจ
“ว้ายๆ พี่เถียรเปลี่ยนไป ยืนเทียบกับพี่ชายนี่พี่เถียรสวยกว่าเยอะเลยนะ” หญิง1 แซว
เสถียรรีบยิ้มเก๊กหล่อวางมาดเหมือนผู้ชาย
“โถ่…ข้าผู้ชายนะ จะสวยได้ไงล่ะ” ชายโวยวาย
เสถียรทำเสียงห้าว “อ้าว! ข้าก็ผู้ชายนะโว้ย ที่แต่งแบบนี้เพราะกลัวผีแม่ม่ายเฉยๆ หนุ่มโสดอย่างข้าตายไปไม่คุ้มเพราะยังไม่เคยมีเมียกับเขาสักที”
ชายแกล้งแซว “ยังไม่เคยมีเมียสักที แล้วเคยมีผัวกี่ที”
เสถียรเผลอตัว รีบเก๊กแมนแทบไม่ทัน “สองที เฮ้ย!ไม่เคยโว้ย ข้าผู้ชายทั้งแท่ง”
“ทั้งตัวและหัวใจหรือเปล่า”
เสถียรอึ้ง นิ่งงันไป ชายนึกบางอย่างขึ้นได้รีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอ่อ..ปิดเทอมนี้ฝากดูโรงเรียนด้วยนะ ครูเนียร์จะกลับไปเยี่ยมบ้าน ข้าก็กะว่าจะพาน้องสวยไปดูแสงเหนือ”
“โห ฉันเคยดูทีวี มันอยู่ไกลมากเลยนะพี่” หญิงชาวบ้านตื่นเต้น
ชายทำหน้างงๆ “ไกลอะไร อยู่แค่เชียงใหม่เอง”
เสถียรด่า “ไอ้โง่ แสงเหนืออยู่ที่ต่างประเทศ ไม่ไช่ภาคเหนือ”
“อ้าว ก็นึกว่าภาคเหนือมีแสงเหนือ อุตสาห์เก็บเงินกันตั้งนาน”
“ดูหิ่งห้อยท้ายหมู่บ้านไปก่อนแล้ว”
เสถียรขำกับความซื่อของชาย หญิงชาวบ้านยิ้มขำๆ
มีเสียงของบัวคำดังแทรกเข้ามา “เกิดอะไรขึ้นรึ ทำไมแต่งตัวกันแบบนี้ล่ะ”
สองคนหันไปมองตามเสียง เห็นบัวคำยืนมองจ้องพวกตนด้วยสีหน้าสงสัย เสถียรอธิบายเป็นตุเป็นตะ
“จะไม่ให้แต่งแบบนี้ได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อผีแม่ม่ายมันออกมาล่าผู้ชายอีกแล้ว นี่ขนาดศพไอ้สนยังไม่ทันได้เผาเลยนังผีนั่นมันยังจะออกมาเอาตัวคุณพีกับคุณนุไปอีก ดูมันหิวผู้ชายมากเลยช่วงนี้”
“ใช่ๆ โชคดีที่คุณทศไปช่วยไว้ทัน ไม่งั้นได้สังเวยไปอีกสองแน่ๆ” ชายเสริม
บัวคำตกใจ “แล้วคุณทศเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เห็นว่าทุลักทุเลน่าดูเลยแหละกว่าจะช่วยขึ้นมาได้ ดีที่อยู่กันหลายคนเลยไม่มีใครเป็นอะไร พูดแล้วขนลุก” เสถียรว่า
บัวคำรีบเดินกลับบ้านไปด้วยท่าทีร้อนรนใจ เสถียรกับชายมองตามงงๆ ผู้หญิงกลุ่มนั้นแยกย้ายกลับบ้านไป
ตอนสายๆ ที่ห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง
บุษบาลาวัณย์สวมใส่เสื้อผ้าเชยๆ ที่แต้มหามาให่ใส่ห้อยถุงทองติดตัวตลอดเวลา ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางห้าง พลางมองไปรอบๆ อย่างตาตื่นตื่นใจ
ผู้คนที่เดินผ่านไปมามองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับเป็นตัวประหลาด บางรายซุบซิบๆ กัน แต่บุษบาก็ไม่ได้ใส่ใจ มองไปรอบๆ แล้วเดินเข้าไปจับหุ่นโชว์ชุดชั้นในอย่างแปลกตาไม่เคยเห็น
ทรงกลดยิ้มกว้างเอ็นดู “ถ้าคุณชอบเดี๋ยวผมซื้อให้”
บุษบาลามองฉงนแปลกใจ “ข้าใส่อย่างนี้ก็ได้หรือ”
ทรงกลดขำ “ใส่ได้ แต่ต้องใส่ไว้ด้านในนะ”
บุษบาลาวัณย์มองชุดชั้นในอย่างรู้สึกพิศวงงงงัน แต่พลันสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ผู้หญิงแต่งตัวเซ็กซี่มาดไฮโซที่เดินผ่านมา บุษบาพุ่งเข้าไปถาม
“แม่หญิง ข้า… ฉันอยากได้ชุดที่เธอใส่”
หญิง1ตกใจ พอเห็นสภาพแล้วมองเหยียดๆ คุยทับถมสำเนียงเว่อร์ๆ “อะไร อยู่ๆจะมาขอชุดฉันได้ไง รู้ไหมชุดนี้ราคาเท่าไร และไม่ใช่แค่มีเงินอย่างเดียวจะซื้อได้นะ ต้องมีเทสต์ด้วย”
บุษบาไม่เข้าใจ รีบหยิบทองในห่อผ้ายื่นให้
“งั้นฉันเอานี่แลกได้หรือไม่”
หญิง1มองเหยียด “ทองเก๊แบบนี้ เอาเก็บไว้เล่นลิเกเถอะ”
บุษบาลาวัณย์ชักเริ่มไม่พอใจ “เอ๊ะ นางผู้นี้ ทองของฉันไม่ใช่ทองปลอมเสียหน่อย”
ทรงกลดเห็นท่าไม่ดี ปราดเข้ามาขอโทษหญิง1
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเพื่อนผมไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอก”
“ถ้าไม่สบายก็น่าจะให้อยู่บ้านนะคะ ออกมาแล้วจะลำบากคนอื่นเปล่าๆ”
ทรงกลดพยักหน้ารับ ขณะที่หญิง1สะบัดหน้าเดินหนีไป
“อย่าไปถือสาเขาเลยนะ เดี๋ยวผมพาคุณไปซื้อชุดใหม่เอง แต่คุณต้องอย่าลืมตัวพูดภาษาบ้านคุณอีกนะ คนที่นี่เขาไม่พูดแบบนั้นกันแล้ว”
บุษบาลาวัณย์มองอย่างตั้งใจพยายามเรียนรู้
ทรงกลดมองแปลกใจ ว่าทำไมอยู่ๆ บุษบาลาวัณย์ถึงอยากแต่งตัวเซ็กซี่
ทรงกลดถือของพะรุงพะรังพาบุษบาลาวัณย์เข้าไปในร้านเสริมสวยในห้าง
ปล่อยให้ช่างเสริมสวยช่วยกันทำผมแต่งหน้าให้บุษบาลาวัณย์ไป ส่วนทรงกลดนั่งเล่นโทรศัพท์รอที่โซฟารับรอง
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ทรงกลดก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา เห็นผู้หญิงใส่รองเท้าส้นสูงเดินมาหยุดตรงหน้า เมื่อไล่สายตามองขึ้นไปจึงเห็นเป็นบุษบาลาวัณย์แต่งหน้าทำผมสวยเซ็กซี่มาดนางแบบส่งยิ้มมาให้
ทรงกลดอึ้ง ตกตะลึงในความงามของบุษบาลาวัณย์ที่แปลงโฉม จนไม่เหลือสภาพเดิม
ด้านบัวคำใส่ยาสมุนไพรที่แผล และพันผ้าที่นิ้วให้กับปรางทิพย์จนเสร็จ ปรางทิพย์มีสีหน้าหนักใจ
“บุษบาลาวัณย์ออกมาครานี้ คงหมายกระทำการบางอย่าง จึงได้คิดเอาตัวนายอนุชิตไปบูชายัญ”
“หากนางเห็นคุณทศ เขาก็อาจจะมีภัย เช่นครั้งที่นางหมายทำร้ายพ่อเทศ เราต้องรีบไปเตือนเขาให้ระวังตัวนะเจ้าคะ”
“หากนางจักทำอะไรคุณทศ ข้าไม่ยอมเป็นแน่”
“นางถูกกักขังด้วยความผิดมานานเจ็ดสิบปี เมื่อถูกปลดปล่อยแทนที่จักสำนึกผิดแต่กลับออกมาสร้างเวรสร้างกรรมกับผู้บริสุทธิ์อีก”
“นางอาจจะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ คนอย่างนางคงไม่ยอมวางเฉย เพราะนางโทษว่าข้าเป็นคนทำให้นางต้องถูกท่านสุบรรณเหราลงโทษ”
ปรางทิพย์ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อ 70 กว่าปี ก่อน
บ้านปรางทิพย์ในเมืองลับแล เป็นบ้านไม้เรือนไทยสวยงาม ใต้ถุนยกสูง นอกชานบนเรือนมีกระด้งตากยาสมุนไพรอยู่ ทั้งมะตูมแห้ง ตะไคร้แห้ง และดอกอัญชันแห้ง
ปรางทิพย์กำลังเลือกเก็บมะตูมที่แห้งดีแล้วจากกระด้งใส่ตะกร้าเล็กๆ
“เหตุใดเจ้าจึงมาขัดขวางข้า”
ปรางทิพย์มองตามเสียง เห็นบุษบาลาวัณย์ ยืนจ้องมองมาตาขุ่นขวาง
“เจ้ากำลังจะทำผิด ข้าช่วยเจ้าไว้ต่างหาก”
“ข้าไม่ต้องการ ข้าต้องการแค่ชายผู้นั้น แต่เจ้ากลับเข้าไปขวางข้า”
“แต่เขามิได้มีความผิดอันใด เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เจ้าจะเอาเขาไปบูชายัญท่านไม่ได้ มิเช่นนั้นเจ้าก็จักต้องรับโทษเสียเอง”
“ข้าจักรับโทษหรือไม่มันก็เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าถือตัวว่าเป็นลูกพ่อเมืองแล้วจะทำอะไรก็ได้”
“ข้ามิเคยยกตนข่มผู้อื่น แต่เจ้าทำผิดคิดจะทำร้ายผู้อื่น ทั้งๆที่เขามิใช่คนบาป เจ้าหลอกล่อให้เขาเข้ามา...หรือเจ้าคิดจะหนีออกไปเมืองมนุษย์ บุษบาลาวัณย์”
“ข้าจะคิดเช่นไรมันก็เรื่องของข้า มิได้เกี่ยวกับเจ้า หรือเจ้ากับชายผู้นั้น...”
เสียงทรงอำนาจดังขึ้น “เกิดอะไรขึ้น มีเรื่องอะไรกัน”
บุษบาลาวัณย์กับปรางทิพย์หันไป เห็นจอมจักราบิดาของปรางทิพย์จ้องมองมา
“ไม่มีอะไรดอกท่านพ่อ” ปรางทิพย์รีบบอก
บุษบาลาวัณย์มองปรางทิพย์อย่างไม่พอใจ เดินเข้าไปกระซิบเบาๆ เชิงขู่
“อย่าให้ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังปกปิดอะไรอยู่”
จากนั้นบุษบาลาวัณย์ก็สะบัดหน้าเดินออกไปอย่างแค้นเคือง
จอมจักรามองตามอย่างแปลกใจ หันมามองธิดาด้วยสายตาเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ปรางทิพย์ยิ้มบางๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่โถงรับแขกบ้านพักนายช่าง เนตรมายา กับ อนุชิตซึ่งยังมีท่าทางอ่อนเพลียเล็กน้อย นั่งคุยกันอยู่ในนั้น
“นายพีบ่นปวดหัวเลยเข้าไปนอน แต่เดี๋ยวก็คงจะดีขึ้นครับ”
ทศนนท์พาปรางทิพย์กับบัวคำเข้ามาพอดี เนตรมายาฉุนกึกแอบมองปรางทิพย์อย่างไม่พอใจ
ปรางทิพย์ไม่ใส่ใจ ยื่นห่อยาสมุนไพรให้อนุชิต
“ได้ยินว่าไม่ค่อยสบาย ฉันเลยเอายาสมุนไพรมาให้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
สีหน้าแววตาอนุชิตมองปรางทิพย์อย่างหวาดระแวงนิดๆ
เนตรมายามองเชือดเฉือน มั่นใจว่าปรางทิพย์เป็นคนทำ เหน็บแนมออกไป
“เพิ่งรู้เหรอคะ นึกว่ารู้เรื่องตั้งนานแล้ว”
“ก็รู้พอๆ กับพวกคุณนั้นแหละค่ะ” บัวคำตอบแทน
“แล้วรู้เรื่องที่ไอ้สนตายไหม ฉันอยากรู้ใครฆ่าไอ้สน มันช่างใจดำอำมหิตนัก เอ๊ะ แต่จะไปรู้ได้ยังไง เพราะคุณปราง ‘ไม่ได้ฆ่า’…ใช่ไหมคะคุณปราง”
เนตรมายาตีรวน มองปรางทิพย์ด้วยสายตาข่มขวัญเต็มที่
ปรางทิพย์อึ้งไปพูดไม่ออก มองสู้สายตาเนตรมายาอย่างไม่ยอมแพ้
ทศนนท์เห็นท่าไม่ดีรีบขัดขึ้นคลี่คลายบรรยากาศ
“ยานี้กินยังไงนะครับคุณปราง”
“ต้มกับน้ำสามแก้วให้เหลือหนึ่งแก้วแล้วดื่มเช้าเย็นนะคะ อาการจะค่อยๆดีขึ้น คุณก็ดื่มได้นะคะ เพราะเป็นยาบำรุง”
“ผมไปทานที่บ้านคุณปรางดีกว่าครับจะได้ไม่ต้องต้มเอง”
ปรางทิพย์กับทศนนท์ส่งสายตาหวานซึ้งให้กัน เนตรมายานั่งคุมแค้น มองภาพบาดตา
“คุณปรางมาก็ดีแล้ว งั้นช่วยผูกข้อมือให้กับคุณนุด้วยนะคะ พอดีด้ายยังเหลือ จะได้เป็นกำลังใจให้คนป่วยหายไวๆ เนตรผูกไปแล้ว”
คนในหมู่บ้านนางลับแลเชื่อว่าเวลาเกิดอุบัติเหตุหรือไม่สบาย พอฟื้นไข้ต้องผูกข้อมือรับขวัญกลับบ้านและเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
พร้อมกับว่าเนตรมายาจงใจยื่นสายสิญจน์ให้ ปรางทิพย์ชะงักมองอย่างอึดอัด บัวคำมองหน้าปรางทิพย์อึ้งๆ
เนตรมายายิ้มในสีหน้ามองลุ้นว่าปรางทิพย์จะหยิบด้ายหรือไม่
สุดท้ายปรางทิพย์รับด้ายมาผูกข้อมือให้อนุชิต โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยื่นสายสิญจน์อีกเส้นให้ทศนนท์
“ฝากให้คุณพีด้วยนะคะ”
เนตรมายาแทบแดดิ้น ที่ทำอะไรปรางทิพย์ไม่ได้
ทศนนท์เดินลงบันไดมาส่งทุกคน พอเอามือจับๆ หากุญแจรถไม่เจอ
“คุณปรางรอผมตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอากุญแจก่อน”
ปรางทิพย์ยิ้มรับ ทศนนท์รีบวิ่งขึ้นบ้านไป
เนตรมายาสบช่องรีบเข้าไปต่อว่าปรางทิพย์ เพราะเข้าใจว่าปรางทิพย์เป็นคนทำร้ายสนธยาและหลอกล่ออนุชิตให้ลงไปในน้ำ
“เอาตัวไอ้สนไปแล้วยังไม่พออีกเหรอ อีพวกผีอดอยาก ขนาดเพิ่งทำบุญให้แท้ๆ นี่คงกะมาดูผลงาน จะได้กลับไปวางแผนหลอกล่ออีกล่ะสิ”
บัวคำไม่พอใจ “เลิกคิดไปเอง เลิกใส่ร้ายคุณปรางได้แล้ว”
ปรางทิพย์บอกเสียงเข้มสีหน้าเรียบ “ อย่ายุ่งกับฉันเลยดีกว่า เพราะเธอเองก็ไม่ได้รู้เรื่องๆจริงนี่ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ถ้าไม่รู้ฉันไม่เข้ามายุ่งหรอก และฉันจะไม่มีทางปล่อยให้เธอทำอะไรคุณทศได้แน่ๆ”
เสียงทศนนท์ดังขัดจังหวะขึ้น “มาแล้วครับ”
ทศนนท์แปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของสามสาว
“ดูจริงจังกันจังเลยนะครับ คุยอะไรกันอยู่เหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่เสนอให้คุณปรางซื้อรถไว้ใช้ ไปไหนมาไหนจะได้ไม่…ลำบาก” แม่หมอ4G เน้นคำจงใจแดกดันปรางทิพย์ “รวยถึงขนาดทำบุญสร้างวัดด้วยทองคำ ก็น่าจะซื้อรถไว้ใช้ได้สบาย คันไม่กี่ล้านเอง”
ปรางทิพย์ยิ้มรับ “ก็ดีค่ะ คงต้องให้คุณทศช่วยไปเลือกให้นะคะ ฉันไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถสักเท่าไหร่”
ทศนนท์ยิ้มกว้าง “ยินดีครับ แต่จริงๆ ไม่ต้องซื้อก็ได้นี่ครับ จะไปไหนเดี๋ยวผมพาไปง่ายกว่า”
ปรางทิพย์ยิ้มในสีหน้า พลางเหลือบมองเนตรมายาอย่างสะใจ
เนตรมายากัดฟันคุมแค้นแทบกระอักเลือด
ปรางทิพย์กับทศนนท์เดินเข้ามานั่งคุยกันในโถงรับแขก บัวคำตามเข้ามาแล้วแยกไปด้านใน
“โชคดีนะคะที่คุณไม่เป็นอะไร ไม่งั้นฉันคง…”
ทศนนท์ยิ้มขำ “คงอะไรครับ คงเสียใจหรือเปล่า”
“ยังจะเล่นอีก คุณรู้ไหมว่าที่น้ำตกนั่นมันอันตรายแค่ไหน”
“ไม่ต้องห่วงหรอกผมว่ายน้ำเก่งจะตาย”
“แต่ถึงยังไงฉันก็เป็นห่วง ช่วงนี้ฉันอยากให้คุณระวังตัว อย่าเข้าไปที่น้ำตกบ่อยๆ ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็พยายามไปกันหลายๆคน เกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยกันได้ทัน”
“ถ้าคุณหมายถึงเรื่องที่ชาวบ้านลือกัน ผมไม่เชื่อหรอกครับ”
“คุณไม่เชื่อ ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีนี่”
ทศนนท์อึ้งไป “ครับ ผมจะระวังตัวให้มากขึ้น ผมดีใจจังที่คุณเป็นห่วง”
ทศนนท์ยิ้มมองปรางทิพย์ตาเป็นประกาย ปรางทิพย์หลบสายตาเอียงอาย
“พรุ่งนี้ผมจะเข้าเมือง คุณปรางอยากได้อะไรไหมครับ เอามือถือไหมเดี๋ยวผมดูให้”
“ฉันคงไม่มีความจำเป็นต้องใช้หรอกค่ะ”
“จำเป็นสิครับ ผมจะได้โทรหาได้ไง”
ทศนนท์จดสายตามองจ้องปรางทิพย์โดยไม่ละสายตา ปรางทิพย์ช้อนตาขึ้นมองสบตาอย่างเอียงอาย
ทรงกลดกลับถึงบ้านในเวลาโพล้เพล้พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เวลานี้เขาอยู่ในห้องรับแขก ยื่นบัตร ATM และสมุดบัญชีแบงค์ให้บุษบาลาวัณย์
“นี่ ATM ของคุณ ผมเอาเงินทั้งหมดฝากไว้ในนี้แล้ว ถ้าคุณจะซื้ออะไรเอาใบนี้กดเงินออกมาได้เลย เดี๋ยวว่างๆ ผมจะสอนอีกที ส่วนนี่สมุด บัญชี เก็บไว้ดีๆนะครับ ผมเอาบัตรประชาชนผมเปิดบัญชีให้เพราะคุณไม่มีบัตร”
บุษบาลาวัณย์มองงงๆ จับบัตรกับสมุดเขย่าๆ ดู “เงินที่ฉันขายทองอยู่ในนี้ทั้งหมดเลยเหรอ มันเข้าไปได้ยังไง แล้วมันไปซ่อนอยู่ตรงไหน”
บุษบาลาวัณย์นั่งทับรีโมททีวี จู่ๆ จังหวะบิดตัวทีวีเปิดขึ้น บุษบาตกใจลุกเดินไปจับหน้าจอทีวีอย่างสงสัย
“ทำไมคนพวกนี้ถึงได้เข้าไปอยู่ข้างใน พวกเขาโดนคำสาปหรือ”
ทรงกลดขำ “คำสาปที่ไหนคุณ อันนี้เขาเรียกว่าทีวี มันเป็นเครื่องฉายภาพที่ส่งสัญญาณมาจากที่อื่นอีกที ไม่มีคนอยู่ในนั้นจริงๆ หรอก”
บุษบาลาวัณย์กลับมายังนั่งมองโทรทัศน์อย่างงุนงง ไม่เข้าใจนัก ในจอทีวีเห็นภาพผู้คนกำลังเมาเหล้าเต้นรำกันอย่างสนุกสนานในผับ
“ที่นี่ที่ไหน ฉันอยากเห็น”
ทรงกลดถอนหายใจ ตอบเสียงเนือยๆ “เขาเรียกว่าผับ”
“ผู้คนที่นี่ทำเช่นนี้ได้หรือ”
ทรงกลดยักไหล่ “ได้สิครับ เรามีอิสระ จะทำอะไรก็ได้”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มมุมปาก แล้วเริ่มโยกตามชี้ไปในทีวี
“พาฉันไปที่นี่นะ”
ทรงกลดอึ้งไป นิ่งมองสาวสวยผู้เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดคนนี้ ก่อนจะพยักหน้ารับขำๆ
บุษบาลาวัณย์ยิ้มกว้างอย่างสุขใจ
ส่วนปรางทิพย์นั่งอยู่หน้ากระจกเงาโบราณ บัวคำช่วยหวีผมให้เตรียมตัวจะเข้านอน
“คุณทศไม่อยู่ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ออกไปตามหาสร้อย”
“มันต้องเกี่ยวกับไอ้คนที่ตายไปแน่ๆ หรือไม่มันก็น่าจะเข้ามามากกว่าหนึ่งคน”
“เรื่องสร้อยยังพอจักสืบหาไม่ยาก แต่เรื่องบุษบานี่สิข้าจักไปตามหานางที่ใด”
“อย่าเพิ่งคิดไกลเลยแม่หญิง ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานนี้นางต้องปรากฎตัวเป็นแน่ หากนางยังอยากอยู่ในเมืองมนุษย์ต่อไป”
“แต่ข้าสังหรณ์ใจชอบกลว่านางอาจจะทำสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด”
บัวคำครุ่นคิดกังวลไม่คลาย
“ข้าต้องรีบหานางให้พบ ก่อนที่นางจักก่อเรื่องขึ้น”
ปรางทิพย์ผินหน้ามองไปทางหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าสว่างจ้าด้วยแสงดวงจันทรา
ฝ่ายทรงกลดประคองบุษบาลาวัณย์กลับถึงบ้าน พาขึ้นห้องนอนรับรองในสภาพเมามายไม่มีสติ
“เข้าผับวันแรกก็เมาเละซะแล้ว”
พอถึงหน้าห้องทรงกลดเปิดประตูให้ แล้วเดินหันหลังจะกลับไปห้องตัวเอง
“พี่จำข้าไม่ได้เลยหรือ ใยจึงได้ลืมข้าเสียสิ้น” บุษบาลาวัณย์ตัดพ้อ คิดว่าทรงกลดคือคอน คนรักเก่าของเธอ
ทรงกลดหันกลับมามองอย่างสงสัย
บุษบาลาวัณย์เดินตรงเข้ามาหา แววตาเต็มไปด้วยคำถามและความคิดถึง โผเข้ามากอดทรงกลดเต็มรัก คลอเคลียนัวเนีย จนทรงกลดเกือบจะเคลิ้มไป แต่ตั้งสติขึ้นได้
“คุณเมามากแล้ว อย่าทำแบบนี้เลย”
ทรงกลดข่มใจเดินออกไป บุษบาลาวัณย์มองตามอย่างไม่ยอมแพ้
ทรงกลดเข้าห้อง ถอดเสื้อออกเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวจะเข้าห้องน้ำ บุษบาลาวัณย์เดินเข้ามากอดทรงกลดจากด้านหลัง เอาหน้าแนบแผ่นหลังด้วยความคิดถึง ทรงกลดมองที่มือที่ลูบไล้ไปทั่วแผงอกแกร่งของตน จนเริ่มเคลิ้มตาม บุษบาดึงหน้าทรงกลดมาหา แล้วผลักเขาลงบนเตียง ทรงกลดพยายามข่มใจลุกขึ้น
“คุณกลับไปที่ห้องคุณเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย เรายังไม่รู้จักกันมากถึงขนาด...”
บุษบาลาวัณย์ตามขึ้นมาเอามือปิดปากทรงกลด “รู้จักสิ ทำไมจะไม่รู้จัก พี่จำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ”
ทรงกลดงงๆ “คุณพูดเหมือนเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน”
บุษบาลาวัณย์ยิ้มหวาน “ไม่เป็นไร ฉันจะทำให้คุณจำฉันให้ได้”
“ใครเห็นเข้าคุณจะเสียหายเอาได้นะ”
“ไหนคุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าที่เมืองนี้ผู้คนจะทำอะไรก็ได้”
บุษบาลาวัณย์ก้มหน้าคลอเคลียลูบไล้อกทรงกลดอย่างยั่วยวน จนทรงกลดปล่อยใจ เพราะไม่อาจต้านแรงปรารถนาได้
ทั้งคู่ปลดปล่อยอารมณ์กำหนัดในใจ เล้าโลมรุกเร้าโรมรันกันอย่างร้อนแรง บุษบาลาวัณย์ถูกทรงกลดรุกกลับถอยหลังไปชนตู้จนกล่องสร้อยตกลงมา
บุษบาเห็นสร้อยจำได้ว่าเป็นสร้อยของปรางทิพย์ บุษบาอึ้งไปแล้วก้มลงหยิบสร้อยขึ้นมาดู
“สร้อยเส้นนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“เจ้าของเขาเดือดร้อนเรื่องเงิน ผมเลยช่วยซื้อไว้”
บุษบาลาวัณย์โต้เสียงแข็ง “ไม่จริง”
“คุณรู้จักเจ้าของสร้อยเส้นนี้เหรอ”
บุษบาลาวัณย์ไม่ตอบ วางสร้อยไว้แล้วเดินหุนหันออกไปทันที ทรงกลดตะโกนเรียกไว้ก็ไม่เป็นผล
“เดี๋ยวก่อน แล้วคุณจะไปไหน”
บุษบาลาวัณย์เดินสีหน้าถมึงทึงออกมาที่สวนสวยหน้าบ้าน แววตาดุดันแข็งกร้าว คำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นที่มีต่อปรางทิพย์
“ปรางทิพย์มณฑาทอง ที่แท้เจ้าก็ออกมาอยู่ที่นี่”
สิ้นเสียงของบุษบาลาวัณย์ ก็เกิดเสียงฟ้าร้องฟ้าคำรณดังกัมปนาทขึ้น ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านนางลับแลยามนี้น่ากลัวสุดจะประมาณ
บุษบาลาวัณย์ คิดถึงเหตุการณ์เมื่อ 70 ปี ก่อน
ตอนนั้น คอนในชุดนายพรานป่า จดสายตามองไปยังบุษบาลาวัณย์ที่เล่นน้ำอยู่ ด้วยท่วงท่ายั่วยวนอ่อนช้อยสวยงาม นุ่งผ้าถุงใส่ผ้าแถบเกาะอกรัดรึง สวยงามเหมือนนางในวรรณคดี
คอนมองบุษบาลาวัณย์อย่างหลงใหลดั่งต้องมนต์สะกด ยกธนูขึ้นเล็งใส่บุษบาลาวัณย์แล้วยิงออกไป
บุษบาลาวัณย์กรีดร้องดังลั่น เมื่อเห็นคอนวิ่งลุยน้ำตรงเข้ามาหา นางหลับตาด้วยความตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
“แม่หญิง เป็นอะไรหรือไม่”
บุษบาลาวัณย์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อฟังจากน้ำเสียงที่ทักถามจะดูเป็นมิตรมากกว่าศัตรู ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมองเห็นคอนชูงูที่มีลูกธนูเสียบอยู่ให้ดู แววตาก็อ่อนลง
“ข้านึกว่าเจ้าจะยิงข้าเสียอีก”
คอนยิ้มหล่อ “ข้าจะทำเช่นนั้นทำไมล่ะแม่หญิง ข้าเห็นงูกำลังจะทำร้ายเจ้า จึงต้องรีบยิง ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตกใจ”
“ขอบน้ำใจที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้”
บุษบาลาวัณย์มองอย่างซาบซึ้งใจ คอนยิ้มรับอย่างหลงใหล
บุษบาลาวัณย์เดินหนาวสั่นขึ้นมาตรงโขดหินหน้าน้ำตก
คอนรีบถอดผ้าขาวม้ามาคลุมไหล่ให้ บุษบาลาวัณย์ยิ้มขอบคุณ แล้วเดินไปที่โขดหินซึ่งมีผ้ากับเครื่องประดับวางอยู่
คอนเห็นเครื่องประดับกองอยู่กับพื้น ก็ตาโต แต่เก็บอาการ
บุษบาลาวัณย์หยิบผ้ามาคลุมไหล่ ใส่เครื่องประดับ แล้วคืนผ้าขาวให้คอน
“นี่ของเจ้า”
“เจ้าเก็บไว้เถอะ ดูเหมือนเจ้าจะยังหนาวอยู่”
บุษบาลาวัณย์มองซาบซึ้ง เริ่มรู้สึกถูกชะตากับชายแปลกหน้าผู้นี้
คอนมองไปรอบๆ ไม่เจอใคร “เจ้าเข้ามาทำอะไรในป่าลึกขนาดนี้ ไม่กลัวหรือ”
“บ้านข้าอยู่หลังน้ำตกนี่เอง”
“หลังเขาลูกนี้มีหมู่บ้านด้วยรึ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” คอนมองสงสัย คิดไปเองว่าอยู่ด้านหลังเขา
บุษบาลาวัณย์ยิ้มไม่ตอบอะไร
“แล้วทำไมเจ้าถึงใส่เครื่องประดับมากมาย ไม่กลัวโดนปล้นเอาหรอกหรือ”
“บ้านข้าก็ใส่กันเช่นนี้ ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
คอนตาลุกวาว “ที่หมู่บ้านเจ้าค้าขายเครื่องประดับกันหรือ”
“เหตุใดต้องค้าขาย ของพวกนี้มีมากมายในบ้านเมืองข้า ไม่มีใครซื้อขายกันดอก”
คอนเดินไปเด็ดดอกไม้ป่ามายื่นให้บุษบาลาวัณย์ พลางส่งสายตาหวานซึ้ง
“ดอกไม้นี้เหมาะกับเจ้ายิ่งนัก”
บุษบาลาวัณย์รับดอกไม้มาปักที่มวยผม หันไปมองคอนในท่าทีเอียงอาย
พระจันทร์สาดแสงไปทั่วราวไพร
คอนจัดการก่อกองไฟ แล้วเอาแต่มองจ้องบุษบาลาวัณย์อย่างหลงใหล
“เจ้าเข้ามาในป่าเช่นนี้ ลูกเมียเจ้าไม่เป็นห่วงดอกหรือ” ชาวเมืองลับแลกลัวการทำผิดศีล
คอนโกหกหน้าตาย “ข้ายังไม่มีลูกเมีย มีแค่พ่อกับแม่ที่ต้องดูแล ข้าถึงได้ออกมาหาของป่าไปขาย”
“เจ้าช่างกตัญญูนัก”
“ว่าแต่วันนี้เจ้าไม่กลับบ้าน พ่อแม่เจ้าไม่เป็นห่วงหรอกหรือ”
“ข้าเบื่อไม่อยากทำตามกฎ”
คอนมองจ้องบุษบาไม่ละสายตา “เช่นนั้นเจ้าก็อยู่กับข้าที่นี่เถิด”
“เจ้ามองข้าเหมือนจะกินเลือดกันเนื้อ”
“ข้าไม่เคยเห็นใครงามเหมือนเจ้า งามจนข้าไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้ ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น”
“ข้าได้ยินมาว่าคนบ้านเมืองเจ้ามักพูดคำลวง”
คอนยิ้ม หลอกล่อ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจข้า จะไปหาพ่อกับแม่ข้าด้วยกันก็ได้”
บุษบาลาวัณย์เคลิ้ม เริ่มหลงคำลวง “จักให้ข้าไปกับเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเราเพิ่งรู้จักกัน”
“เชื่อใจข้าเถิดนะแม่หญิง”
คอนจับมือแล้วหอมแก้มบุษบาลาวัณย์เบาๆ นางสะดุ้งตกใจนิดๆ คอนสวมกอด บุษบาลาวัณย์ก้มหน้ายิ้มเอียงอาย ร่างทั้งสองเอนลงไปที่พื้นซึ่งมีผ้าของคอนปูรองรับ
กองไฟลุกโชนเหมือนแรงปรารถนาในใจสองหนุ่มสาว
ช่วงข้าวใหม่ปลามัน หลายวันมานี้ คอนคอยดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารการกินให้บุษบาลาวัณย์เป็นอย่างดี เขาเข้าป่าแต่เช้า กลับมาพร้อมหิ้วกล้วยน้ำว้าทั้งเครือสุกน่ากินมาปอกยื่นให้
บุษบาลาวัณย์ยิ้มรับด้วยความปลาบปลื้ม
ตกกลางคืน คอนย่างปลาจนสุกควันหอมฉุย
บุษบาลาวัณย์เดินเข้ามานั่งซบอิงไหล่คอน แล้วยื่นกล้วยให้กิน คอนยิ้มชื่นหยอกล้อฉอเลาะกันไปมา คอนยื่นปลาให้ แต่บุษบาลาวัณย์ส่ายหน้าไม่รับ
“ทำไมเล่า เจ้าไม่ชอบกินปลารึ”
“คนเมืองข้าไม่กินเนื้อสัตว์”
คอนมองฉงน แล้วแกะเนื้อปลายื่นให้
“ลองดูสิ แล้วเจ้าจะชอบ”
บุษบาลาวัณย์ลังเล คอนจึงป้อนเนื้อปลาใส่ปากให้ พอนางเคี้ยวแล้วกลืนลงคอก็ติดใจ ดึงปลาจากคอนไปแทะกินเองอย่างเอร็ดอร่อย คอนมองยิ้มๆ
“ไม่นึกเลยว่าเนื้อสัตว์จะรสชาติดีเช่นนี้”
“หากเจ้าชอบ วันหน้าข้าจะล่าสัตว์อื่นมาให้เจ้าลองอีก”
บุษบาลาวัณย์ชะงัก มองคอนด้วยสีหน้ากังวล
“ข้าไม่อยากกลับไปเมืองของข้าเลย กฎเกณฑ์ช่างมากมายนัก”
“ข้าก็ไม่อยากกลับเข้าหมู่บ้านข้า อยากอยู่กับเจ้าอย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน”
“แต่วันนี้ข้าคงต้องกลับแล้ว พี่คอนไปกับข้าหรือไม่ จักได้ไปพบกับพี่ชายข้าด้วย”
คอนตีหน้าเศร้า “ข้าคงไปกับเจ้าไม่ได้ดอก พ่อกับแม่ข้าท่านแก่ชรามากแล้วไม่มีใครดูแล ข้าเองออกมาครั้งนี้ก็ไม่ได้อะไรกลับไปอีก คงไม่มีอะไรไปขายแลกข้าวแลกน้ำแน่ๆ”
บุษบาลาวัณย์มองกำไลและเครื่องประดับที่แขนของตน แล้วตัดสินใจถอดออกมาใส่ห่อผ้ายื่นให้ คอนแกล้งไม่พอใจ
“อย่าทำเช่นนี้เลย เจ้าดูถูกข้า คิดว่าข้าอยากได้ของของเจ้าหรือแม่หญิง”
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น แต่พี่เป็นผัวข้า พ่อแม่พี่ก็เหมือนพ่อแม่ข้า ข้าอยากให้พี่เอาของพวกนี้ไปดูแลท่าน”
คอนปฏิเสธ “ไม่ ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่เคยให้อะไรเจ้า แล้วจะให้ข้าเอาของของเจ้าไปอีก ข้าทำไม่ได้”
บุษบาลาวัณย์ชื่นชม “พี่คอนเอาไปเถิด บ้านเมืองข้ามีของพวกนี้มากมายจนไม่มีค่าอันใด ข้าเต็มใจยกให้พี่”
คอนมองซาบซึ้ง “อย่างนั้นข้าจะเอาของพวกนี้ไปขาย เอาเงินไปสร้างบ้านไว้รอเจ้า ข้าจะรอเจ้าที่นี่จนกว่าเจ้าจะกลับมา”
บุษบาลาวัณย์หลงคำหลอกลวงเต็มๆ “ข้าจะเข้าไปขนสมบัติพวกนี้ออกมามากๆ แล้วข้าจะไปอยู่กับพี่ พี่ต้องกลับมารับข้านะ”
คอนมองบุษบาลาวัณย์อย่างซาบซึ้งใจ
หายไปหลายวัน บุษบาลาวัณย์เดินกลับขึ้นมาบนบ้านเรือนไทย มีเสียงทักขึ้นอย่างไม่พอใจ
“หายไปไหนมา หรือเจ้าแอบออกไปเที่ยวเมืองมนุษย์มาอีก”
บุษบาลาวัณย์หันไปมอง เห็นสุริยะเดชผู้เป็นพี่ชายเดินมาหา ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ที่นั่นไม่เห็นเป็นอย่างที่พี่เล่าเลยนี่ ผู้คนไม่ได้น่ากลัวสักนิด”
สุริยะเดชมองดุ “ข้าบอกสิ่งใดเจ้าไม่เคยฟัง”
“แล้วพี่รู้หรือไม่ว่าทำอย่างไรจึงจักออกไปใช้ชีวิตอยู่เมืองมนุษย์ตลอดไปได้”
“หากเจ้าออกไปเกินสามวันก็เท่ากับทรยศต่อเมืองลับแล เจ้าจะกลับเข้ามาที่นี่อีกไม่ได้ ยกเว้นเจ้าจะหาคนบาปมาบูชายัญ เพื่อขออนุญาตจากท่านสุบรรณเหรา”
บุษบาลาวัณย์ชะงัก หน้าเครียดไปนิดๆ
“หากอยู่ในเมืองมนุษย์ ข้าต้องแก่ชราและตายตามอายุขัยใช่หรือไม่”
“ใช่” สุริยะเดชสงสัย “เจ้ากำลังคิดจักทำสิ่งใด บุษบาลาวัณย์”
บุษบาลาวัณย์ไม่ตอบ เดินหนีเข้าบ้านไป สุริยะเดชมองตาม ด้วยสีหน้ากังวล
ในเวลาต่อมา บุษบาลาวัณย์ออกมายืนชะเง้อมองหาคอนที่หน้าน้ำตก หอบผ้าห่อสมบัติมาด้วย
มีเสียงคนเดินเข้ามา บุษบาลาวัณย์ยิ้มดีใจคิดว่าเป็นคอน พอมองไปเห็นเป็นเทศ จึงรีบหลบ
บุษบาลาวัณย์เจอเทศที่มารอพบปรางทิพย์อยู่หลายวันติดกัน
จนวันหนึ่งเทศทำท่าเหมือนถอดใจจะเดินกลับออกไป บุษบาลาวัณย์ครุ่นคิดหนักใจคิดถึงคำพูดสุริยะเดช
“หากเจ้าออกไปเกินสามวันก็เท่ากับทรยศต่อเมืองลับแล เจ้าจะกลับเข้ามาที่นี่อีกไม่ได้ ยกเว้นเจ้าจะหาคนบาปมาบูชายัญ เพื่อขออนุญาตจากท่านสุบรรณ”
บุษบาลาวัณย์วางห่อสมบัติไว้ แล้วตัดสินใจเดินลงน้ำไป
เทศยิ้มดีใจคิดว่าปรางทิพย์ออกมาแล้ว หันหลังกลับไปมองแล้วตามเธอไป
เทศเดินเข้ามาในโถงถ้ำ เห็นทางแยกไปเมืองลับแลที่ด้านหนึ่งมืดมิดแต่มีแสงประกายระยิบระยับ และอีกด้านมีแสงที่ปลายอุโมงค์
เทศมองไปทางเข้าเมืองลับแลแต่ไม่เห็นใคร
เทศหันมองอีกทางที่มีประกายระยิบระยับประดับด้วยเพชรนิลจินดา เห็นบุษบาลาวัณย์ยืนหันหลังอยู่ นางเห็นว่าเทศเดินเข้ามาแล้วจึงรีบเดินตรงเข้าไปทางที่ปูด้วยเพชรนิลจินดา
เทศร้องบอก “นั่นไม่ใช่ทางเข้าเมืองนี่แม่หญิง”
บุษบาลาวัณย์หยุดชะงักแล้วผินหน้ามามองเทศ เห็นแต่ด้านข้าง
เทศเริ่มลังเลจะเดินตามไปดีไหม ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินตามบุษบาลาวัณย์ไปเรื่อยๆ
“แม่หญิง…ท่านจะพาข้าไปไหน”
เทศเดินตามบุษบาลาวัณย์ลึกมากขึ้นจนใกล้จะถึงโถงของท่านสุบรรณเหรา
จู่ๆ ก็มีมือใครบางคนมาปิดปากเทศ แล้วดึงเขาออกไป
เทศตกใจ หันมามองเห็นเป็นปรางทิพย์ส่งสัญญาณห้ามพูด ดึงแขนเทศพาวิ่งหนีไป
บุษบาลาวัณย์ตามออกมายืนมอง มาดนางพญาผมสยายอยู่ตรงหน้าผาน้ำตกนางลับแล มองตามปรางทิพย์ที่พาเทศหนีไป กรีดเสียงร้องโหยหวนด้วยความโกรธแค้น เสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า
บุษบาลาวัณย์หมดหวัง หันไปมองบริเวณหน้าน้ำตก แล้วยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เมื่อเห็นคอนเดินวนไปมารอคอยอยู่ที่หน้าน้ำตก นางวิ่งเข้าไปหาโผกอดคอนด้วยความคิดถึง
“พี่คอน”
“ข้าขอโทษที่ข้ามาช้า พ่อข้าป่วยจึงออกมาไม่ได้”
“ข้ารอได้ ข้าเชื่อว่าพี่จะไม่ทิ้งข้า ข้าจะไปกับพี่ ต่อให้ต้องแลกกับสิ่งใดข้าก็ยอม”
บุษบาลาวัณย์ยื่นห่อผ้าสมบัติให้คอน
“ของพวกนี้ข้านำมาจากบ้านของข้า”
คอนเปิดออกดู ตาลุกวาว เห็นก้อนทองคำและเพชรพลอยส่องประกายงดงาม
“เรานำสมบัติพวกนี้ไปขายได้ใช่หรือไม่”
คอนแสร้งตีหน้าเศร้า
“ใช่...แต่...ของที่ข้าเอากลับไปครั้งก่อน ข้าเอาไปขายรักษาพ่อข้าหมดแล้ว ยังไม่ได้ทำบ้านของเราเลยนะแม่หญิง”
บุษบาลาวัณย์มองห่อสมบัติ “แล้วของพวกนี้ล่ะ ยังไม่พออีกหรือ”
“ของพวกนี้มากมายก็จริง แต่คงพอให้สุขสบายได้ไม่นาน”
คอนหลอกล่อ ปั้นสีหน้าหนักใจ บุษบาลาวัณย์สงสารและเห็นใจ
“เช่นนั้นข้าจะกลับไปเอาออกมาอีก อีกสองวันพี่มารอข้าที่นี่นะ”
ทรงกลดมองบุษบาลาวัณย์อย่างซาบซึ้งใจ
สองวันต่อมา บุษบาลาวัณย์กำลังห่อยาสมุนไพรเตรียมจะหนีออกไปหาคอน สุริยะเดชเดินเข้ามา มองไปที่ห่อยามากมาย
“เจ้าจะเอายาไปทำกระไรตั้งมากมาย มีใครป่วยรึ”
“บ้านเมืองเรามีคนป่วยเสียที่ไหนกันเล่า นอกจากนักโทษ”
“เจ้าจะนำไปออกค้าขายกับพวกมนุษย์หรือบุษบาลาวัณย์ บอกพี่มา”
บุษบาลาวัณย์รีบเก็บไม่สนใจสุริยะเดช
“ข้านึกแล้วว่าเจ้าต้องไปก่อเรื่องมาเป็นแน่ ท่านพ่อเมืองจึงได้ตามหาตัวเจ้า”
“หากข้าเป็นคนก่อเรื่อง นังปรางทิพย์มณฑาทอง ลูกท่านพ่อเมืองก็ก่อเรื่องเช่นกัน”
“เหตุใดเจ้าพูดจาว่าร้ายผู้อื่นเช่นนั้น” สุริยะเดชติง
“ข้าไม่เคยว่าร้ายนางดอก แต่ที่ข้าพูดคือความจริง นางพาชายผู้นั้นหนีออกไป ถือว่ามีความผิดหรือไม่เล่า”
“มันยังกลับมาอีกหรือ ถือว่ามันผู้นั้นไม่ฟังคำเตือนจากข้า”
สุริยะเดชนึกถึงเทศ กัดฟันแน่น แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
บุษบาลาวัณย์โกยเพชรนิลจินดาใส่ห่อผ้าอย่างรีบร้อน จนมีเสียงดังมาจากบริเวณทางเดินไปยังโถงถ้ำ
“วางสมบัติพวกนั้นลงประเดี๋ยวนี้!
บุษบาลาวัณย์ตกใจ แต่ไม่ยอมวางลง แถมกอดห่อผ้าไว้แน่น
จอมจักรา สุริยะเดช และปรางทิพย์ยืนอยู่พร้อมกับทหารอีก 4-5 คน
“เจ้าจะเอาสมบัติไปไม่ได้ หากท่านสุบรรณเหราไม่อนุญาต”
“วางลงเถิดน้องพี่ อย่าทำผิดกฎเลย” สุริยะเดชบอก
บุษบาลาวัณย์คุกเข่าลงอ้อนวอนจอมจักรา
“ปล่อยข้าไปเถิดนะท่านพ่อเมือง สมบัติก็มีตั้งมากมาย ข้าขอออกไปใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ทั่วไป ข้ายินยอมรับกรรมที่จะตามมาเองทุกอย่าง”
“ไม่ได้ กฎต้องเป็นกฎ ไม่ว่าใครทำผิดกฎย่อมต้องชดใช้”
บุษบาลาวัณย์โมโห “แล้วบุตรสาวท่านเล่า นางพาชายเมืองมนุษย์หนีออกไป ถือว่าผิดหรือไม่”
จอมจักราหันมองไปที่ปรางทิพย์มณฑาทอง ถามคาดคั้น
“จริงหรือไม่”
“จริงเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ข้าเพียงช่วยผู้บริสุทธิ์” ปรางทิพย์หันไปทางบุษบาลาวัณย์ “เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ ว่าเจ้าหลอกล่อชายผู้นั้นเข้ามา หวังบูชายัญเพื่อให้ตัวเจ้าได้สมใจ ทั้งๆที่ชายผู้นั้นมิได้มีจิตใจโลภโมโทสันเลยแม้แต่น้อย”
“เจ้าไม่ต้องกังวลดอกบุษบาลาวัณย์ ต่อให้ผู้ใดทำผิดข้าก็ไม่ละเว้น แม้แต่ตัวข้าเองก็เช่นกัน”
บุษบาลาวัณย์วางห่อผ้าลง “เช่นนั้นข้าไม่เอาสมบัติพวกนี้ไปแล้วก็ได้ ขอเพียงให้ข้าออกไปอยู่ในเมืองมนุษย์ได้หรือไม่”
จอมจักราหน้าเครียดหนักใจ เพราะเห็นบุษบาลาวัณย์มาตั้งแต่เด็ก
“เจ้าไม่น่าทำเช่นนี้เลยบุษบาลาวัณย์ เจ้ามีความผิดจะมากจะน้อยก็คือลงมือกระทำแล้ว ข้าตัดสินเจ้าไม่ได้ดอก ผู้ตัดสินคือท่านสุบรรณเท่านั้น”
บุษบาลาวัณย์กลัวจับใจมองหน้าสุริยะเดชเชิงขอร้อง สุริยะเดชอ้อนวอนขอร้อง
“ท่านพ่อเมืองอย่าส่งบุษบาลาวัณย์ไปเลยข้าขอร้อง ส่งตัวข้าไปแทนนางด้วยเถิด”
“ไม่ได้ดอก กรรมผู้ใดทำผู้นั้นต้องชดใช้”
สุริยะเดชร้องไห้ออกมาด้วยความสงสาร บุษบาลาวัณย์ซาบซึ้งใจ โดยไม่มีใครคาดคิดนางตัดสินใจวิ่งผ่าวงล้อมออกไป แต่ทหารจับตัวไว้ทัน
บุษบาลาวัณย์ดิ้นรนขัดขืน เหลียวไปปรางทิพย์อย่างอาฆาตแค้น
ทหารคุมตัวบุษบาลาวัณย์มานั่งคุกเข่ารอรับโทษที่โถงถ้ำ ทุกคนก้มกราบสุบรรณเหราอย่างนบนอบ
“นางบุษบาลาวัณย์ผู้นี้ได้ทำผิดศีล โดยการล่อลวงผู้บริสุทธิ์ให้มาบูชาแก่ท่าน และยังแอบขโมยสมบัติออกไปยังเมืองมนุษย์ สุดแล้วแต่ท่านจะพิพากษาด้วยเถิด” จอมจักรากล่าว
สุบรรณเหรามองจ้องบุษบาลาวัณย์
“บังอาจนักบุษบาลาวัณย์ เจ้าจักต้องถูกจองจำเป็นเวลาเจ็ดสิบปีของเมืองมนุษย์ เพื่อให้สำนึกถึงความผิดที่ก่อขึ้น”
บุษบาลาวัณย์อึ้ง น้ำตาไหลรินออกมามองจ้องปรางทิพย์อย่างอาฆาตแค้น
“เจ้าเป็นคนทำให้ข้ามีชะตากรรมเช่นนี้ เจ้าต้องชดใช้ เจ้าต้องถูกจองจำทรมานเหมือนข้า ข้าขอให้เจ้าต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ข้าขอให้เจ้าทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับข้า”
ปรางทิพย์มองบุษบาลาวัณย์เหมือนรู้สึกผิดในใจ
“ทำผิดแล้วยังมีจิตเคียดแค้นผู้อื่น หวังว่าหลังจากนี้อีกเจ็ดสิบปี เจ้าจะรู้สำนึกเสียบ้าง”
สิ้นเสียงของท่านสุบรรณเหรา ทหารก็จับตัวบุษบาลาวัณย์ไปตรึงไว้ที่ผนังถ้ำ
บุษบาลาวัณย์ยกมือไหว้ร้องขอ แต่จู่ๆร่างของนางก็ถูกควันปกคลุมก่อนจะดูดกลืนหายเข้าไปในนั้น
“บุษบาลาวัณย์น้องพี่”
สุริยะเดชวิ่งเข้าไปจับที่ผนังถ้ำอยากช่วยบุษบาลาวัณย์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ควันค่อยๆ หายไปจนเห็นเป็นผนังถ้ำปกติ
นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา บุษบาลาวัณย์ก็ยิ่งโกรธแค้นไม่หาย
“ข้ายังจำได้ไม่เคยลืม ข้าจักทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้ารับรู้ถึงความเจ็บปวดเช่นเดียวกับข้า”
บุษบาลาวัณย์กำมือแน่น ดวงตาแข็งกร้าววาววับเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
อ่านต่อตอนที่13