เพรงลับแล ตอนที่10 | รักซ้อนหลายเศร้า
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
พระอาทิตย์ลอยตัวขึ้นเหนือยอดภูเขาห่างหมู่บ้านออกไป
ทศนนท์ลงจากรถที่จอดไว้ข้างบ้าน เดินดุ่มมายืนชะเง้อมองหาปรางทิพย์ที่ประตูบันไดหน้าเรือน
ทศนนท์มองไปรอบๆ บ้าน เห็นประตูหน้าต่างปิดเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ จึงเดินขึ้นบันไดไปเคาะประตูเรียก
“คุณปราง…คุณปรางอยู่ไหมครับ”
เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน จนทศนนท์แปลกใจ เพราะปกติปรางทิพย์และบัวคำไม่ค่อยออกไปไหน จึงเคาะเรียกอีกครั้ง
“คุณปราง…พี่บัวคำ…มีใครอยู่ไหมครับ”
ทศนนท์เริ่มเป็นกังวลเมื่อนึกถึงข่าวลือเรื่องเขากับนิรชา กลัวปรางทิพย์จะเข้าใจผิด
“คุณปราง ผมรู้นะว่าคุณอยู่ข้างใน ผมขอเข้าไปได้ไหม”
ไม่มีเสียงตอบเช่นเดิม ทศนนท์เขย่าประตูเรียกดู พบว่าประตูเรือนถูกล็อคจากด้านใน
ชายหนุ่มหน้าเครียดจัด และถอดใจหันหลังกลับจะเดินลงบันไดไป
จู่ๆ มีเสียงประตูเปิดออก ดังขึ้น ทศนนท์ชะงักดีใจ หันกลับไปมอง เห็นประตูเรือนโบราณสองบานพับ ค่อยๆ เปิดกว้างออกเองอย่างช้าๆ
เขานิ่วหน้าฉงน เพราะไม่เจอใคร แต่ไม่ได้ใส่ใจมาก รีบเข้าบ้านไปทันที
อีกฟาก นิรชากับกฤตณีลงเรือนมา สองครูสาวหิ้วกระเป๋าผ้าใส่สมุดการบ้านเด็กๆ เตรียมไปโรงเรียน
แต่แล้วนิรชาก็ต้องอึ้งไปเมื่อมองไปในร้านเห็นหมอปรัชญากำลังช่วยศักดิ์กับตาลจัดข้าวของเปิดร้าน อย่างแข็งขัน
นิรชามองปรัชญาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไปทางปั้นปึ่ง เพราะยังไม่หายเคืองที่เขามีเรื่องชกต่อยกับทศนนท์
ปรัชญาหันมาเห็น มองนิรชาอย่างสำนึกผิด
“อ้าว มากันแล้วเหรอ” ตาลทักสองสาว ชื่นชมปรัชญายกใหญ่ “ดูสิ วันนี้คุณหมอมาช่วยแต่เช้าเลย”
“หมอชอบคิตตี้ก็ไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้คิตตี้โฟกัสผิดคนอยู่ได้”
“หมอปรัชเขาไปชอบแกตั้งแต่ตอนไหนนังคิตตี้” ศักดิ์เง็ง
“พ่อ ก็เห็นๆอยู่ว่าหมอเข้าทางพ่อกับแม่ชัดๆ ถ้าไม่สนใจฉัน จะมาช่วยพ่อกับแม่ตั้งร้านเหรอ” คืตตี้ยิ้มให้ปรัชญาคว้าแขนหมอหมับ “ใช่ไหมคะหมอ”
ปรัชญายิ้มแหยๆ หน้าปูเลี่ยนๆ แกะแขนออก
“คิตตี้สวยขนาดนี้ ผมไม่อยากทำให้ผู้ชายทั้งตำบลเสียใจนะครับ”
“แหม หมอก็พูดไป” กฤตณียิ้มเขินๆ หันมามองนิรชางงๆ “แล้วนี่แกเป็นอะไร ยืนนิ่งเป็นประตูบ้านเลย”
“เปล่า ไม่มีอะไร พอดีตรวจการบ้านนักเรียนยังไม่เสร็จ เดี๋ยวฉันต้องรีบไปทำต่อที่โรงเรียน แกจะออกไปด้วยเลยไหม”
“เนียร์ไม่กินข้าวก่อนเหรอ ข้าวเช้าสำคัญนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
นิรชาบ่ายเบี่ยงไม่อยากคุยกับปรัชญา
“นั่นสิแก ฉันหิว กินก่อนนะเดี๋ยวค่อยไป เดี๋ยวฉันป่วยมาก็ต้องลางาน นักเรียนก็ต้องขาดครู ดูสิมันเดือดร้อนเป็นทอดๆ เลยนะ” กฤตณีอ้อน
นิรชาพยักหน้ารับหน่ายๆ “อืม…จะกินก็รีบไปตักไป”
“น่ารักที่สุดเลยคุณเพื่อน งั้นแกไปนั่งเลยเดี๋ยวฉันบริการเอง” กฤตณีหยิกแก้มเพื่อนแล้วหันมาอ้อนหมอ “หมอปรัชช่วยคิตตี้ตักหน่อยนะ คิตตี้เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ถืออะไรหนักๆ ไม่ไหว”
ปรัชญายิ้มให้กฤตณีแต่สายตามองจ้องนิรชาเหมือนอยากอธิบาย
นิรชาไม่สนใจแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ
นิรชานั่งหน้าบึ้งอยู่ที่โต๊ะ กฤตณีกับปรัชญาถือกับข้าวเข้ามาวางบนโต๊ะ
“หมอนั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวคิตตี้ไปเอาน้ำมาให้”
กฤตณีเดินออกไป เปิดทางให้ปรัชญาได้ปรับความเข้าใจกับนิรชา
ปรัชญายิ้มให้ ตักข้าวเอาใจนิรชา เพราะรู้ได้ว่าไม่พอใจตนอยู่
“แกงเขียวหวานของโปรดเนียร์ นี่กินเยอะๆ นะจะได้มีแรงสอนนักเรียน”
สุดสวยเดินถือปิ่นโตเข้ามาซื้อกับข้าวตามนโยบายลดโลกร้อนของหมู่บ้าน เห็นเข้าก็แอบอมยิ้ม
“คิตตี้เอาแกงเขียวหวานใส่ปิ่นโตให้ด้วย เร็วๆ นะคิดถึงผัวจะรีบกลับไปกิน…ข้าวกับผัว”
สุดสวยพูดเสร็จก็นั่งรอโต๊ะข้างๆ
“แหม... ช่วยลดโลกร้อนแต่ใจอย่าร้อนสิจ๊ะ รอแป๊บพี่สวย เดี๋ยวได้หวานสมใจจ้า”
นิรชาคุยอยู่กับปรัชญาด้วยท่าทีอึดอัด
“ไม่ต้องพยายามหรอกหมอ เราโตๆ กันแล้ว ฉันไม่คิดเลยว่าหมอจะไม่มีเหตุผลขนาดนี้ เรื่องมันยิ่งวุ่นวายอยู่แล้วก็ยังจะทำให้มันวุ่นเข้าไปอีก”
“ผมขอโทษจริงๆ ผมนึกว่าเขาทำร้ายเนียร์ ถึงได้ทำแบบนั้น”
นิรชาตำหนิ “ปกติหมอก็ไม่ใช่คนใจร้อนแบบนี้นี่ มีอะไรก็น่าจะถามกันก่อน เป็นเพื่อนกันซะเปล่า น่าจะรู้ว่าเนียร์เป็นคนยังไง”
ปรัชญาอึ้ง นิ่งงันไป โดนพูดแทงใจดำ ตัดพ้อออกไปด้วยความน้อยใจ
“เพื่อน…เหรอเนียร์”
“ใช่ ฉันถึงได้โกรธที่หมอทำแบบนั้น ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงไม่สนใจหรอกนะ”
ปรัชญาเสียใจ “ที่ผมทำเรื่องย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะผมแค่อยากมีเพื่อนเหรอเนียร์”
นิรชาเป็นฝ่ายอึ้ง รับรู้แล้วว่าปรัชญาคิดกับตนเกินคำว่าเพื่อน พยายามพูดรักษาน้ำใจ แต่ไม่อยากให้ความหวัง
“เราชอบหมอนะ”
ปรัชญายิ้มตาเป็นประกาย สุดสวยหูผึ่ง
“ชอบแบบเพื่อน เพื่อนที่มีแต่ความหวังดีให้กันเท่านั้นเอง”
ปรัชญาหน้าเสีย พูดอะไรไม่ออก ลุกเดินออกไปดื้อๆ
กฤตณีถือปิ่นโตยื่นให้สุดสวย มองตามปรัชญาไปด้วยสีหน้างุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
สุดสวยเองก็ทำอะไรไม่ถูก รีบเดินออกไป กฤตณีมองนิรชาถามด้วยสายตาว่าเกิดอะไรขึ้น
นิรชาหลบตาไม่อยากพูดอะไร
ด้านทศนนท์เดินเข้ามาในโถงบ้านปรางทิพย์ด้วยสีหน้าหนักใจ
ปรางทิพย์กับบัวคำซึ่งกำลังนั่งห่อยาที่ตากแห้งใส่ขวดโหลแก้วเงยหน้าขึ้นมอง
“ผมนึกว่าจะไม่ได้เจอคุณปรางแล้ว เห็นบ้านเงียบๆนึกว่าคุณออกไปไหน”
ปรางทิพย์ยิ้มในสีหน้า “พอดีฉันกับพี่บัวคำช่วยกันเก็บยาเลยไม่อยากออกไปไหน”
“ใช่ค่ะ เวลาเราบดยาเราต้องปิดบ้านไม่อยากให้ลมพัดเข้ามาในบ้านเดี๋ยวยาที่บดไว้จะเสียหายเอาได้”
ทศนนท์ยิ้มออก “เป็นแบบนี้นี่เอง ผมก็นึกว่าคุณปรางจะโกรธเรื่องผมกับครูเนียร์ซะอีก”
ปรางทิพย์ยิ้มรับอย่างรู้ทัน “ฉันไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรอกค่ะ”
“ผม…” ทศนนท์พยายามอธิบาย แต่ปรางทิพย์สวนขึ้น
“ไม่ต้องอธิบายอะไรหรอกค่ะ ฉันเชื่อคุณ”
ทศนนท์โล่งอก มองตาปรางทิพย์ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
“เดี๋ยวพี่เอายาเข้าไปเก็บด้านใน แล้วคุณปรางจะไปเลยไหมคะ”
ทศนนท์สนใจ “จะไปไหนกันเหรอครับ ให้ผมไปส่งไหม”
“ฉันแค่จะไปบ้านข้างๆนี่เองค่ะ” ปรางทิพย์บอกบัวคำว่า “เอายาไปเก็บแล้วไปกันเลย”
“บ้านร้างหลังนั้นเหรอครับ”
“ค่ะ ฉันชอบแอบเข้าไปบ้านหลังนั้นบ่อยๆ เพราะหวังว่าวันหนึ่งเจ้าของบ้านหลังนั้นจะกลับมา”
สีหน้าปรางทิพย์เศร้าลงเห็นชัด
ทศนนท์สงสัย “ทำไมต้องรอเจ้าของบ้านหลังนั้นด้วยล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คงเพราะฉันถูกชะตากับบ้านหลังนั้น เลยอยากจะขอซื้อ”
“ผมเองก็รู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนั้นอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกคุ้นเคยยังไงไม่รู้”
ปรางทิพย์ยิ้มแล้วหันไปมองบัวคำอย่างมีความหวัง บัวคำยิ้มเหมือนทุกอย่างเริ่มไปได้ดี
นิรชากับกฤตณีเดินเข้ามาในห้องพักครู นิรชาเดินเบลอๆ ไปนั่งที่โต๊ะทำงานแล้วเตรียมสมุดหนังสือ
กฤตณีจัดเตรียมสมุดหนังสือ แต่เหลือบไปเห็นนิรชา จึงมองด้วยความเป็นห่วง
“เนียร์ ตกลงเรื่องเมื่อเช้ามันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมอยู่ๆ หมอปรัชถึงเดินออกไปไม่ร่ำไม่ลาใครแบบนั้น”
นิรชาครุ่นคิด “คิตตี้ ถ้ามีคนมาชอบแกแล้วแกไม่ได้คิดอะไรด้วย แกจะทำยังไง”
กฤตรณียิ้ม ฝันหวาน “ขอให้มีมาเถอะ ฉันจะตอบแทนด้วยความรักทั้งหมดที่ฉันมีเลยแหละ”
“มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ แกลองนึกดูนะ คนที่เขาแอบชอบเรา แปลว่าเขาชอบในตัวตนของเราและทุกสิ่งที่เราเป็น โดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อเขา พูดไปแกก็ไม่เข้าใจหรอก แกไม่เคยแอบชอบใครนี่”
“แล้วถ้าเราบอกเขาไปว่าเราเป็นได้แค่เพื่อนล่ะ เขาจะ…”
กฤตณีสวนขึ้น “อย่าบอกนะว่าเมื่อเช้าหมอปรัชสารภาพรักกับแกแล้วแกปฏิเสธเขาไป”
นิรชานิ่งไปไม่กล้าตอบ
“แกนี่มันฆาตกรเลือดเย็นชัดๆ เลยว่ะ แกรู้ไหมเขาจะเจ็บปวดขนาดไหน อกหักนี่มันปางตายเลยนะเนียร์ เจ็บเหมือนโดนแทงที่หัวใจเลยแหละ” คิตตี้หน้าเศร้า “ฉันเป็นบ่อยฉันเข้าใจดี”
“แต่ฉันไม่เคยคิดกับหมอปรัชเกินเพื่อนนะแก อีกอย่างฉันก็รักษาน้ำใจไม่ได้พูดอะไรแรงๆ ไปนี่”
“ไม่แรงนี่คืออะไร เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เธอดีเกินไป เราไปกันไม่ได้หรือ บลาๆๆ โอ๊ยเยอะแยะ จะพูดอะไร จะพูดเบาแค่ไหนคนฟังก็เจ็บหมดแหละแก”
“ก็ฉันไม่ได้คิดกับหมอปรัชเกินเพื่อนนี่ ฉันผิดด้วยเหรอ”
“มันไม่มีใครผิดหรอกแก แต่เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา แกเองก็น่าจะลองเปิดใจดู หมอปรัชทั้งหล่อทั้งดีขนาดนั้น เป็นฉันจะรีบรวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัวเลย” คิตตี้ปาดน้ำลาย จ้องจับผิดเพื่อน “หรือแกชอบใครอยู่ แกชอบคุณทศหรือเปล่าบอกฉันมาเลย”
“จะบ้าเหรอ!ฉันน่ะเหรอชอบนายนั่น”
เสียงออดเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น นิรชารีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไปกันเถอะคิตตี้ เดี๋ยวไม่ทัน”
นิรชารีบเดินออกไป กฤตณีเดินตามออกไปด้วยสีหน้าสงสัย
ที่บ้านร้างบรรยากาศเงียบสงบ ปรางทิพย์ลูบไปตามเครื่องเรือน ประหวัดถึงเรื่องราวในอดีต ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับเทศ ปรางทิพย์น้ำตาคลอ
“ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่พี่ลืมข้าไปแล้วจริงๆหรือ”
ทศนนท์มองไปรอบๆ สงสัยว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร
“คุณปรางพูดถึงใครครับ”
ปรางทิพย์ช้อนตามองทศนนท์แล้วยิ้มให้ พลันทศนนท์ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่าภาพรอบตัวของเขาเปลี่ยนเป็นสีซีเปีย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีสดใส สภาพบ้านเป็นระเบียบเหมือนในอดีต
ทศนนท์มองไป เห็นเทศกับปรางทิพย์ในอดีต โดยเทศกำลังตอกตะปู ปรางทิพย์ยื่นภาพ ให้เทศแขวนที่ฝาผนัง เทศหันมองมาทางทศนนท์
ทศนนท์เห็นจังๆ ว่าหน้าเทศเหมือนหน้าตัวเองยังกะแกะ ถึงกับผงะตกใจ
ทศนนท์มีสีหน้าตื่นตกใจสุดขีด จนปรางทิพย์ร้องทัก
“คุณทศเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ทศนนท์พยายามตั้งสติ เอามือจับตัวเอง
“ผมไม่ได้ฝันไปนี่ ผมเห็น…”
“คุณเห็นอะไรคะ”
“ผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่ง คุณปรางเห็นเหมือนผมหรือเปล่าครับ”
ปรางทิพย์ยิ้ม กำลังจะตอบ แต่แล้วมีเสียงดังจากด้านนอกเหมือนกำลังขนย้ายของ
“วางเบาๆ ขนลงมาให้หมดเลย ตรงนั้นก็เอาลงมาด้วย”
ปรางทิพย์มองฉงน ลุกเดินไปดูว่าเป็นเสียงใครกัน ทศนนท์เดินตามไปด้วย
ศรชัยกำลังขนกระถางต้นกุหลาบลงจากรถ โดยมีทรงกลดชี้นิ้วสั่ง
“เอาลงมาเรียงตรงนี้เลย เรียงให้สวยๆนะ”
บัวคำเปิดประตูเดินลงเรือนมาดู ด้วยท่าทางไม่พอใจนัก
“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่ แล้วนี่คุณเอากระถางต้นไม้พวกนี้มาทำไม”
“ผมมาหาคุณปรางครับ เมื่อกี้ผมตะโกนเรียกอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีใครออกมา ผมเลยให้ลูกน้องขนดอกไม้ลงมาวางตรงนี้ก่อน”
“มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ”
ทรงกลดหันหลังกลับไปดู เห็นปรางทิพย์เดินเข้ามากับทศนนท์ เขายิ้มให้ปรางทิพย์นัยน์ตาเป็นประกาย โดยไม่สนใจทศนนท์ที่มาด้วย
“ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมเจอชาวบ้านกำลังขนต้นไม้จากสวนไปขาย ผมเลยอยากอุดหนุนพวกเขา จะได้ไม่ต้องขนเข้าเมืองให้เสียน้ำมัน”
บัวคำมองทรงกลดอย่างไม่พอใจ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณปรางรึ”
“เกี่ยวสิครับ” ทรงกลดมองจ้องปรางทิพย์ “พอผมเห็นดอกไม้สวยๆ ผมก็นึกถึงคุณปรางขึ้นมาทันที”
ขจรเสริมว่า “เจ้านายก็เป็นแบบนี้แหละครับ เห็นคนเดือดร้อนไม่ได้ต้องรีบช่วย ยังไม่หมดนะครับ ยังมีอีก”
ขจรวิ่งไปเปิดประตูรถหยิบดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่มาให้เจ้านาย ทรงกลดยื่นช่อดอกไม้ให้ปรางทิพย์
“สำหรับคุณปรางครับ”
ทศนนท์มองทรงกลดไม่พอใจ
ปรางทิพย์รับดอกไม้ตามมารยาท เหลือบมองทศนนท์ กลัวเขาเข้าใจผิด
“ขอบคุณค่ะ งั้นฉันขอตัวเข้าข้างในก่อนนะคะ”
“แล้วดอกไม้พวกนี้ล่ะครับ ให้ขนเข้าไปไว้ด้านในไหม”
“เอาไว้ตรงนี้แหละค่ะ ด้านในคงไม่มีที่ลงแล้ว”
ทรงกลดรู้สึกเสียหน้า แต่รีบกลบเกลื่อนด้วยท่าทีมั่นใจ
“ไม่เป็นครับ ขอให้คุณปรางนึกถึงผมทุกครั้งที่เห็นต้นไม้พวกนี้ก็แล้วกัน แล้วนี่...คุณปรางไปไหนมาเหรอครับ”
ทศนนท์แทรกขึ้นไม่พอใจ “ผมกับคุณปรางไปที่บ้านร้างมาครับ”
ทรงกลดสงสัย มองไปที่บ้านร้าง “มีอะไรหรือเปล่าครับ จะว่าไปบ้านหลังนี้ก็สวยไม่เบาเลยนะครับ ผมเองก็ยังเคยนึกอยากซื้อไว้เหมือนกัน”
“แต่คงจะยากหน่อยแล้วล่ะครับเพราะเจ้าของบ้านไม่รู้หายไปไหน” ทศนนท์ว่า
“แต่ผมว่าผมพอจะมีทางนะ”
ปรางทิพย์หันมามองทรงกลดอย่างตื่นเต้น
“คุณรู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้เหรอคะ”
“ผมไม่รู้จักหรอกครับ”
ปรางทิพย์สีหน้าหมดหวัง
“แต่ปู่ผมเป็นเพื่อนกับเจ้าของบ้านหลังนี้”
ปรางทิพย์มองทรงกลดด้วยแววตาเป็นประกาย มีความหวัง
อีกฟาก เหตุการณ์ที่สถานีอนามัย มีคนไข้มากพอสมควร หมอปรัชญาตรวจอาการคนไข้เสร็จกำลังจดรายชื่อยายื่นให้จาริณี
“เดี๋ยวคุณจัดยาตามนี้นะครับ”
“ค่ะ”
จาริณีรับเอาคำ มองหมอปรัชญาด้วยความเป็นห่วง
“เดี๋ยวกินยาตามที่หมอให้ไปนะ แต่ถ้ายังมีอาการอยู่ให้รีบกลับมาหาหมอนะครับ”
“ขอบคุณค่ะหมอ ขอบคุณที่มาอยู่ในที่กันดารแบบนี้ ไม่งั้นพวกเราชาวบ้านคงแย่”
จาริณีมองที่กระดาษที่ปรัชญาจดให้ สีหน้าสงสัย
“หมอคะ นี่มันยาล้างแผลนี่คะ คนไข้ปวดท้องไม่ใช่เหรอ”
คนไข้ตกใจ “ถึงขนาดต้องล้างท้องเลยเหรอคะหมอ”
จาริณียื่นกระดาษให้หมอ ปรัชญาอ่านแล้วตกใจ รู้สึกผิดมาก
“ผมขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมจดให้ใหม่” หมอจดกระดาษยื่นให้จาริณีใหม่
จาริณีมองห่วงๆ “หมอไม่สบายหรือเปล่า พักก่อนไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับผมไหว คนไข้ด้านนอกเหลืออีกกี่คน”
“เหลืออีกหนึ่งคนค่ะ หมอไหวจริงๆ นะคะ”
สุดสวยที่กำลังเก็บขยะอยู่รีบแทรกขึ้น
“หมอคงอยากล้างแผลใจตัวเองหรือเปล่าคะ”
ปรัชญาหน้าเศร้าลงอย่างเจ็บปวด
จาริณีมองปรามสวย “พี่สวยพูดอะไรแบบนั้นล่ะ”
สุดสวยมองหมอที จ๋าที พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่พูดเรื่องจริง บางครั้งหมอน่าจะมองๆคนแถวนี้ดูบ้างนะ น่ารักนิสัยดี แถมโสดอีกต่างหาก”
คนไข้งงๆ “อ้าว ไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ เห็นไปไหนมาไหนด้วยกัน ฉันก็เข้าใจมาตลอดว่าหนูจ๋าเป็นแฟนกับหมอนะนี่”
“ผมกับคุณจ๋าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันครับ”
จาริณีหน้าเศร้าเสียใจ แต่ก็แกล้งพูดหยอกกลบเกลื่อน
“อย่าเข้าใจผิดอย่างนี้สิคะ จ๋าขายไม่ออกพอดี เดี๋ยวขอตัวไปจัดยาก่อนนะคะ”
จาริณีรีบเดินออกไป
ปรัชญามองตามอย่างรู้สึกผิด แต่ในใจก็ไม่ได้คิดอะไรกับจาริณีจริงๆ
นิรชากับกฤตณีเดินถือสมุดการบ้านนักเรียนเดินตรงมาที่รถ กฤตณีนึกอะไรได้
“เนียร์ฉันลืมของว่ะแก รอฉันแป๊บนะ เดี๋ยวมา”
กฤตณีเดินตุ๊ต๊ะออกไป นิรชาตะโกนตามหลัง
“คิตตี้”
กฤตณีชะงักหันมามอง “มีอะไรเหรอ”
“อย่าวิ่งเร็วนะ เดี๋ยวข้อเข่าเสื่อม” นิรชายิ้มขำๆ
กฤตณีเบะปาก “ถ้าฉันเกิดในสมัยราชวงศ์ถัง หยางกุ้ยเฟยนี่ไม่ได้เป็นสนมเอกแน่ๆ เพราะฉันอวบอั๋นกว่า”
“อวบระยะสุดท้ายแล้วแก”
“อารมณ์เสีย”
กฤตณีสะบัดหน้าใส่นิรชาแล้วเดินตุ๊ต๊ะขึ้นห้องพักครูไป
นิรชามองตามยิ้มขำๆ แล้วหันกลับเดินไปรอเพื่อนที่รถ แต่ต้องชะงัก เมื่อมองไปเห็นเนตรมายากับเชื่อมเดินตรงมาหาตน ด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเอาเลย
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
นิรชามองแปลกใจ
ปรางทิพย์ ทศนนท์ ทรงกลด เดินมานั่งในศาลาริมสระท้ายบ้าน ทรงกลดสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ
“ขอบคุณนะครับที่ให้ผมได้มีโอกาสเข้ามาในบ้านคุณปราง”
“ยินดีค่ะ”
ทรงกลดมองไปรอบบ้านอย่างชื่นชม
“น้ำตะไคร้ร้อนๆ เป็นยาแก้เบื่อ…อาหารและบำรุงธาตุไฟ”
ทรงกลดมองบัวคำอย่างหวาดๆ รีบยกน้ำตะไคร้ขึ้นดื่ม
“อร่อยชื่นใจครับ คุณทศชิมดูสิครับอร่อยนะ”
“ผมดื่มบ่อยแล้ว เชิญคุณกลดตามสบาย ฝีมือพี่บัวคำอร่อยทุกอย่าง ใช่ไหมครับพี่บัวคำ” ทศนนท์คุยข่ม
บัวคำยิ้มรับ ทรงกลดเสียหน้า ปรางทิพย์รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ตะกี้คุณบอกว่าปู่คุณรู้จักเจ้าของบ้านร้างนั่นใช่ไหมคะ”
“ครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มมีความหวัง
“แต่ปู่ผมเสียไปแล้ว”
ปรางทิพย์มีสีหน้าผิดหวัง
“แต่พ่อผมเคยเล่าให้ฟังว่าปู่ผมกับปู่เทศเจ้าของบ้านร้างหลังนี้เป็นเพื่อนรักกัน”
ทศนนท์ตกใจ “ปู่เทศเหรอครับ มีคนทักว่าผมชื่อเทศและภาพในบ้านร้างก็เหมือนผมมาก”
“ใช่ค่ะเหมือนมาก เหมือนคนเดียวกัน”
ปรางทิพย์หันไปจ้องหน้าทศนนท์ลึกซึ้ง
ทรงกลดขัดจังหวะ “แต่พ่อผมเคยบอกว่าปู่เทศมีลูกชายด้วยนะครับ”
ปรางทิพย์มองหน้าบัวคำอย่างตื่นเต้นเพราะนอกจากจะตามหาเทศแล้ว ปรางทิพย์ยังตามหาลูกชายอีกด้วย ปรางทิพย์รีบจับมือทรงกลดเพราะดีใจจนลืมตัว
“ลูก…ลูกฉะ” ปรางทิพย์หลุดปากด้วยความเป็นห่วง แต่นึกขึ้นได้ “ลูกชายเขาอยู่ที่ไหน พ่อคุณรู้ไหม”
“ทำไมคุณถึงอยากรู้เรื่องของบ้านหลังนั้นด้วยครับ”
“ฉันตามหาเจ้าของบ้านหลังนั้นมานานแล้วค่ะ นานจนเริ่มถอดใจ แต่แล้วฉันก็ได้เจอ...” ปรางทิพย์มองหน้าทศนนท์
“คุณเคยเจอเจ้าของบ้านแล้วเหรอครับ” ทรงกลดถาม
“ค่ะ แต่มันยังไม่ชัดเจน ฉันพยายามให้ผู้ใหญ่จรัลช่วยตรวจสอบหาข้อมูลแต่ก็ไม่เจออะไร”
“ที่จริงผู้ใหญ่กับพ่อผมก็รุ่นๆ เดียวกันนะ ถ้ายังไงผมจะคุยกับพ่อให้นะครับ เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง”
ปรางทิพย์ดีใจมาก “ขอบคุณค่ะ”
ทรงกลดยิ้มรับแล้วนึกขึ้นได้ “อย่าบอกนะครับว่าคุณปรางตามหาเจ้าของบ้านเพราะอยากซื้อบ้านหลังนั้น”
“ค่ะ”
ทรงกลดยิ้มดีใจ “ใจตรงกันจังเลยนะครับ ผมเองก็อยากได้บ้านหลังนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าคุณปรางอยากได้ผมจะหลีกทางให้ก็แล้วกัน”
“ขอบคุณนะคะที่จะช่วยเป็นธุระให้ฉัน”
“สำหรับคุณปราง ผมเต็มใจและยินดีทำด้วยใจอยู่แล้วครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มมีความหวัง ทศนนท์มองทรงกลดเหมือนคู่แข่ง
นิรชา เนตรมายา และเชื่อม ยืนคุยกันอยู่ข้างๆ รถ
“มีอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ” นิรชามองหน้าเนตรมายาพูดกวนๆ “คุณก็ไม่ใช่ผู้ปกครองใครนี่”
“เข้าเรื่องเลยแล้วกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลา คุณเป็นอะไรกับคุณทศ”
นิรชายิ้มเยาะ “ก็นึกว่าเรื่องอะไร ฉันกับคุณทศไม่ได้เป็นอะไรกัน”
เชื่อมแทรกขึ้น “แล้วทำไมชาวบ้านเขาลือกันไปทั่ว”
“มันเป็นแค่ข่าวลือ”
เนตรมายาข่มใจ “แล้วเธอคิดอะไรกับคุณทศหรือเปล่า”
นิรชาอึ้งไป ไม่พอใจที่ถูกก้าวก่ายชีวิต “แล้วฉันจำเป็นต้องอธิบายให้พวกคุณเชื่อด้วยเหรอว่าฉันคิดอะไรกับใคร”
“ถ้าไม่มีอะไรก็ดีไป ฉันก็แค่มาเตือน” แม่หมอมองแรงใส่นิรชา “ถ้ายังอยากมีชีวิตต่อไปนานๆ อย่ามายุ่งกับคุณทศอีก”
“ทำไมฉันต้องเชื่อพวกคุณ”
เนตรมายามองตาขวาง “ก็คุณทศเป็นผู้ชายของนังผีแม่ม่าย ถ้าเธอเข้าไปขวางทางมัน มันไม่เก็บเธอไว้แน่”
นิรชาไม่เชื่อ “แค่เรื่องนี้ใช่ไหมที่อยากเตือน”
“ดูฉลาดดีนี่ ถ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นก็แล้วกัน” เชื่อมแดกดัน
กฤตณีเดินเข้ามา มองสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าซีเรียสของแต่ละคน
“มีอะไรกันเหรอท่าทางซีเรียสสส”
“ไม่มีอะไรหรอก กลับกันเถอะ”
“ถือว่าฉันเตือนแล้วนะ” แม่หมอกำชับ
“งั้นคงต้องขอบคุณสินะ ที่อุตส่าห์มาเตือน ขอบคุณนะคะ”
นิรชามองเนตรมายาอย่างไม่ไว้ใจ ส่วนเนตรมายามองนิรชาอย่างไม่พอใจชัดแจ้ง
ทุกคนนั่งคุยกันที่ม้านั่งยาวในศาลาริมบึงน้ำ ทรงกลดหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ออกหาทนายไพศาล
“ฮัลโหล…คุณไพศาล พอดีผมมีธุระด่วนจะให้คุณช่วยหน่อย ผมอยากให้คุณช่วยสืบหาเจ้าของบ้านร้างข้างบ้านคุณปรางทิพย์หน่อย ผมอยากรู้ว่าเขาหายไปไหน แล้วลูกหลานเขาอยู่ที่ไหน คุณช่วยสืบทางทะเบียนราษฏร์ให้ผมทีนะ…โอเค…โอเค”
ทรงกลดวางสายหันกลับมาหา ปรางทิพย์มองทรงกลดอย่างมีความหวัง
“ขอบคุณนะคะ แต่จริงๆแล้วไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ฉันรอไหวเพราะรอมาตั้งนานแล้ว”
ทรงกลดพูดเอาใจ “ไม่ได้หรอกครับ ผมเป็นคนทำอะไรแล้วต้องทำให้เสร็จ ช่วยอะไรแล้วต้องช่วยให้ถึงที่สุด ยิ่งรับปากคุณปรางแล้วผมยิ่งต้องรีบทำ
ปรางทิพย์ยิ้มชื่นชม “ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไง ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“แค่ให้ผมได้มีโอกาสกินข้าวกับคุณสักมื้อก็พอแล้วครับ”
ทศนนท์เริ่มรู้สึกเป็นส่วนเกิน จึงขอตัวกลับ
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มรู้ทัน “แต่คุณบอกมีเรื่องจะคุยกับฉันต่อไม่ใช่เหรอคะ”
“เอาไว้คุยต่อวันหลังก็ได้ครับ คุณจะได้คุยธุระกับคุณทรงกลดต่อ”
“แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
ทรงกลดรู้สึกอึดอัด
“อืม งั้นผมขอตัวดีกว่านะครับ พอดีมีธุระต่อ เดี๋ยวผมคุยกับพ่อได้เรื่องยังไงแล้วจะรีบมาบอกนะครับ ที่จริงโทร.มาก็ได้นี่ ผมขอเบอร์หรือไลน์คุณไว้เลยได้ไหมครับ”
“ฉันไม่มีหรอกค่ะ”
ทรงกลดมองปรางทิพย์ด้วยสีหน้างุนงงมาก ทศนนท์ช่วยอธิบาย
“คุณปรางไม่ใช้มือถือหรอกครับ ถ้ามีเรื่องด่วนจะโทร.เข้าเบอร์ผมก็ได้ครับ เดี๋ยวผมมาบอกคุณปรางเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมาบอกด้วยตัวเองจะดีกว่า”
ทศนนท์กับทรงกลดมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“งั้นฉันขอตัวนะคะ”
“ครับ”
“เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ ตรงนี้ยุงเริ่มมาแล้ว”
ทศนนท์ยิ้มรับเหมือนเป็นคนสำคัญ ทรงกลดเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
เนตรมายากำลังสวดคาถาทำน้ำมนต์ โดยมีเชื่อมคอยอยู่ข้างๆ ทรงกลดเดินเข้ามาในสำนัก แล้วมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ
“วันนี้ทำไมดูเงียบๆ ชาวบ้านหายไปไหนหมด”
เนตรมายาหันมองตามเสียง “เงียบสิดี ฉันจะได้มีสมาธิ”
“ตอนนี้เจ้าแม่เนตรตาทิพย์กำลังทำสมาธิจับตาดูนังผีแม่ม่ายอยู่” เชื่อมบอก
ทรงกลดพูดติดตลก “งั้นก็ต้องเห็นผมด้วยสิ เพราะผมก็เพิ่งกลับมาจากบ้านคุณปราง และก็ไม่ได้มีแค่ผมนะ ตอนนี้คุณทศก็ยังอยู่ที่บ้านนั้นด้วย”
เนตรมายามองไปทางบ้านปรางอย่างโกรธแค้น
“คุณทศนะคุณทศ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง เดี๋ยวสักวันก็โดนมันหลอกเอาจนได้”
“จะว่าไปผมว่าเรดาร์คุณคงมีปัญหาแล้วล่ะ เพราะผมดูยังไงๆคุณปรางก็เป็นคนไม่ใช่ผีแน่นอน”
“คุณดูด้วยตาเปล่าไม่มีทางรู้หรอก เพราะนังผีนั่นมันมีวิชาอาคมแก่กล้านัก มันจะพรางตายังไงก็ได้ให้ผู้ชายหลงใหลในตัวมัน”
“ก็แล้วแต่คุณ แต่สำหรับผมแล้ว คุณปรางเป็นตัวของตัวเองไม่เหมือนผู้หญิงทั่วๆไป จะว่าไปก็จริงอย่างที่คุณพูด ผู้หญิงคนนี้ใครเห็นก็ต้องหลงเพราะเขาแตกต่างจากคนทั่วไป”
“มันต้องแตกต่างอยู่แล้ว เพราะนังนั่นไม่ใช่คน” เชื่อมเสริม
“งั้นผมจะลองพิสูจน์ดู”
เนตรมายาจ้องตาบอกเสียงเข้ม “ฉันเตือนคุณแล้วนะ”
ทรงกลดมองไม่เชื่อเนตรมายา เนตรมายามองหน้ากับเชื่อมอย่างวิตกกังวล
ตอนเย็นที่ร้านค้า ร้านกาแฟบ้านศักดิ์ มีชาวบ้านมาจับจ่ายซื้อของไม่ขาด สองสาวเดินเข้ามาในร้าน นิรชาเล่าเรื่องที่แม่หมอกับลูกศิษย์มาหาให้กฤตณีฟังหมดแล้ว
“ทำไมอยู่ๆ ยัยเจ้าแม่นั่นถึงเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้นะ”
นิรชาไม่ใส่ใจนัก “เขาคงสนใจอีตานายช่างมั้ง อย่าไปใส่ใจเลยแก”
“ไม่ใส่ใจได้ไง วันนี้เขามาเตือนแกถึงโรงเรียน นี่ถ้าเขารู้ความจริงเขาไม่มาฉีกอกฉันเลยเหรอ” คิตตี้ยิงมุกสาวเจ้าเสน่ห์ แต่นิรชาไม่เก็ต
“ความจริงอะไร”
กฤตณีเขินๆ “ก็ความจริงที่ว่า...ฉันกับคุณทศกำลังคบหาดูใจกันอยู่ไง แกไม่เห็นเหรอเช้าถึงเย็นถึงทุกวัน”
นิรชาขำๆ “งั้นคุณทศของแกคงแอบชอบน้าศักดิ์กับน้าตาลด้วยสินะ ถึงได้มาทุกวัน”
“แกก็คิดได้เนอะ คุณทศแอบชอบพ่อฉันฟ้าผ่าตาย หรืออาจจะเป็นแกก็ได้นะ”
นิรชาตัดบท “พอๆ จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว”
กฤตณีแกล้งตีหน้าเศร้า “ถ้าเป็นแกจริงๆ ฉันจะยอมหลีกทางให้”
อนุชิตเดินเข้ามาทันได้ยินกฤตณีพูดตอนท้ายๆ “เป็นอะไรหรือเปล่าครูคิตตี้ ทำหน้าอย่างกับอกหัก”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ที่เห็นแค่แอ็คติ้ง” คิตตี้มองหาพีรพร “ว่าแต่พักนี้ไม่เห็นคุณพีเลยนะคะ กลับบ้านหรือเปล่า”
“อันนั้นอกหักของจริง ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงฤดูทำใจ” อนุชิตมองๆ นิรชา
กฤตณีมองนิรชาทำหน้าเบื่อยหน่าย “แกอีกแล้วเหรอเนียร์ ฉันไม่เข้าใจ ฉันกับแกหน้าเหมือนกันอย่างกับคลานตามกันมาแท้ๆ ทำไมฉันถึงได้โสดขาดคนเหลียวแลแบบนี้ ใช่ไหมคะ สวยเท่ากันแท้ๆ เลย”
อนุชิตยิ้มเออออ แล้วยกปิ่นโตขึ้น “ผมไปดูกับข้าวก่อนนะ เดี๋ยวนายพีจะรอนานเห็นบ่นหิวอยู่ด้วย”
อนุชิตเดินไปชนมินตาที่กำลังเดินเข้ามาในร้านจนปิ่นโตหล่น
อนุชิตรับไว้ทัน ยื่นคืนให้มินตา “ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณนุ”
มินตายิ้มยั่วยวนให้ท่าอนุชิต
ฟากทศนนท์กับปรางทิพย์นั่งคุยกันที่ห้องรับแขก
“เมื่อกี้คุณบอกมีอะไรจะคุยกับผมเหรอ”
“ค่ะ คุณอยากรู้เรื่องเจ้าของบ้านหลังนั้นไม่ใช่เหรอคะ”
ทศนนท์มองสงสัยทำไมปรางทิพย์เรียกเทศเหมือนรู้จักกันมาก่อน
“ครับ ผมมีคำถามมากมายเต็มไปหมดเลย ทำไมจู่ๆ ผมถึงไปตื่นในบ้านร้าง ทำไมในบ้านร้างมีรูปคนหน้าคล้ายผม ทำไมในฝันผมถึงมีคุณ และทำไมแง่งขมิ้นทองคำถึงมาอยู่กับผมแล้วยังมีใบไม้ทองคำอีก”
ปรางทิพย์ยิ้มขำ “จะให้ฉันตอบอะไรก่อนดีคะ เล่นถามมาเป็นชุดแบบนี้”
“ยังมีอีกอย่างนะครับ ทำไมเมื่อกี้ตอนอยู่ในบ้านร้าง ผมเห็นเราทั้งคู่อยู่ในนั้นเหมือนกับเรากำลังเห็นอดีตตัวเอง”
ทศนนท์เริ่มนึกว่าตัวเองกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง แล้วได้เจอกับอดีตของตัวเองและคนรักในอดีตคือปรางทิพย์
“แล้วคุณรู้สึกเหมือนตัวเองคือคนในอดีตหรือเปล่าล่ะคะ”
ทศนนท์ครุ่นคิด “ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่รู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนั้น บางครั้งเหมือนผมเป็นเทศ แต่บางครั้งก็เหมือนเป็นตัวผมเอง”
“แล้วเวลาเจอฉัน คุณรู้สึกยังไงคะ”
ทศนนท์มองลึกซึ้งเข้าไปในดวงตาของปรางทิพย์
“ผมรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก และอยากอยู่ใกล้ๆ คุณตลอดเวลา”
ปรางทิพย์ยิ้มดีใจน้ำตาคลอๆ คิดว่าทศนนท์จำตัวเองได้แล้ว
ปรางทิพย์ค่อยๆ เอื้อมมือไปสัมผัสแก้มทศนนท์ด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
“พี่จำข้าได้แล้วใช่หรือไม่”
ทศนนท์อึ้งนิ่งงันไป
ภาพเหตุการณ์ในอดีต ผุดขึ้นมาในห้วงคิดปรางทิพย์
ณ บริเวณริมตลิ่งหน้าธารน้ำตกนางลับแล เทศเดินไปเดินกระวนกระวายใจอยู่บริเวณนั้น พลางชะเง้อมองไปทางน้ำตกเหมือนรอใครอยู่ เขาเฝ้านั่งรอ นอนรอ อย่างนั้นอยู่หลายวัน
เทศนั่งพักบนโขดหิน ในสภาพอิดโรยอ่อนแรงและสิ้นหวัง
“เราคงหมดวาสนาต่อกันแล้วจริงๆใช่ไหมแม่หญิง”
เทศตัดสินใจลุกขึ้น หันหลังเดินออกไปเศร้าๆ
จนเสียงอะไรบางอย่างตกลงในน้ำ
เทศยิ้มดีใจคิดว่าปรางทิพย์ออกมาแล้ว รีบหันกลับไปดู
พบว่าที่น้ำตก เห็นด้านหลังของแม่หญิงบุษบาลาวัลย์กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน
อาการของเทศดั่งต้องมนต์สะกด ไม่อาจจะละสายตาจากนางไปได้
ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังก้องกังวานไปทั่วราวป่า เทศมองไปตามเสียง จนเสียงนั้นหายไป
เมื่อมองกลับไปที่น้ำตก ก็พบว่าบุษบาลาวัลย์หายไปแล้ว เทศมองหาพลางร้องตะโกนเรียก
“แม่หญิง…แม่หญิงใช่หรือไม่”
เทศหันมองไปที่หน้าน้ำตก
บุษบาลาวัลย์โผล่มายืนหันหลังที่หน้าน้ำตกมาดดั่งนางพญา เธอค่อยๆเผยให้เทศเห็นใบไม้ทองคำที่อยู่ในมือ แล้วผินหน้าเหมือนส่งสัญญาณให้เทศตามมา
“แม่หญิง…รอข้าด้วย”
เทศดีใจรีบเดินตามไป โดยยังไม่รู้ว่า ที่แท้เธอคือ...บุษบาลาวัลย์
เทศเดินเข้ามาในถ้ำ เห็นทางแยกไปเมืองลับแลที่ด้านหนึ่งมืดแต่มีประกายระยิบระยับ และอีกด้านมีแสงที่ปลายอุโมงค์ เทศมองไปทางเข้าเมืองลับแลแต่ไม่เห็นใคร
เทศหันมองอีกทางที่มีประกายระยิบระยับประดับด้วยเพชรนิลจินดา เห็นบุษบาลาวัลย์ยืนหันหลังอยู่
นางเห็นว่าเทศเดินเข้ามาแล้วจึงรีบเดินตรงเข้าไปทางที่ปูด้วยเพชรนิลจินดา
เทศตะโกนเรียก “นั่นไม่ใช่ทางเข้าเมืองนี่แม่หญิง”
บุษบาลาวัลย์หยุดชะงักแล้วผินหน้ามามองเทศ เห็นแต่หน้าด้านข้าง
เทศเริ่มลังเลจะเดินตามไปดีไหม ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินตามบุษบาลาวัลย์ไปเรื่อยๆ
“ แม่หญิง…ท่านจะพาข้าไปไหน”
เทศเดินตามบุษบาลาวัลย์เข้าไปลึกมากขึ้นจนใกล้จะถึงโถงสุบรรณเหรา
จู่ๆ ก็มีมือใครบางคนมาปิดที่ปากเทศแล้วดึงตัวเขาออกไป
เป็นปรางทิพย์นั่นเองที่มองจ้องเทศด้วยความห่วงใย ส่งสัญญาณห้ามพูด ดึงแขนพาเทศวิ่งหนีไป
ปรางทิพย์ดึงมือเทศพาเขาวิ่งหนีเข้าไปในป่า ด้วยความเร็ว สายตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
เทศมองมือปรางทิพย์ที่จับมือเขาไว้จนแน่นอย่างซาบซึ้ง ที่เธอมาช่วย
วิ่งมาได้สักพัก ปรางทิพย์จึงชะลอความเร็วลง หันมองไปด้านหลังว่ามีใครตามมาหรือเปล่า สิ่งที่เห็นทำให้ปรางทิพย์ตกใจ เบิกตาโต
ที่บริเวณหน้าผาน้ำตกนางลับแล บุษบาลาวัลย์ยืนประหนึ่งนางพญาผมยาวสยายอยู่ตรงนั้น จดสายตามองจ้องมายังปรางทิพย์ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น บุษบาลาวัลย์กรีดร้องออกมาด้วยความแค้นใจ เสียงดังกึกก้องไปทั่วพงพนา
ปรางทิพย์และเทศวิ่งมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ มองไปรอบๆ เห็นว่าปลอดภัย จึงหยุดพักเอาแรง สองคนนั่งลงเหนื่อยหอบกันทั้งคู่ เทศรีบไปเด็ดใบไม้ ทำเป็นกรวยตักน้ำให้ปรางทิพย์
ปรางทิพย์รับกรวยใบไม้ไปดื่มอย่างหิวกระหาย เห็นเทศยิ้มกว้างจ้องเอาๆ อยู่อย่างนั้น
“เจ้าไม่ดื่มหรือ มัวแต่มาจ้องมองข้า”
“ข้าไม่นึกเลยว่าจะเจอแม่หญิงอีก”
“เหตุใดจึงไม่รักตัวกลัวตายเสียบ้าง เจ้ากลับมาที่นี่อีกทำไม รู้หรือไม่มันอันตรายมาก เจ้าอาจจะไม่มีชีวิตกลับไปอีกเลย”
“ข้ารู้ แต่ข้าอยากเจอเจ้า”
“มนุษย์นี่ช่างเขลายิ่งนัก ทำตามอารมณ์จนนำภัยเข้าตัว เจ้ารู้หรือไม่หากข้ามาไม่ทัน เจ้าจะมีจุดจบเช่นไร”
“ขอเพียงข้าได้พบแม่หญิงอีกครั้ง ต่อให้ข้าต้องตายข้าก็ยอม”
ปรางทิพย์อึ้งไป แววตาเริ่มอ่อนโยนลง
ทศนนท์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เหงื่อผุดพรายตามใบหน้า มองไปรอบๆ เห็นปรางทิพย์กับบัวคำนั่งมองเขาอยู่ ปรางทิพย์ยิ้มดีใจ
“ตื่นแล้วเหรอคะ”
“ผมฝันอีกแล้ว” ทศนนท์สับสน “หรือมันจะไม่ใช่แค่ฝัน มันคือเรื่องจริงหรือเปล่าคุณรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม”
ปรางทิพย์ยิ้มปลอบ “ใจเย็นๆ ค่ะ ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับแม่หญิงผู้นั้น”
ทศนนท์สับสนหนัก “ผมรู้แค่ว่าเขาเหมือนคุณ และผมก็เหมือนเทศ หรือว่าในอดีตเรา…”
เสียงโทรศัพท์มือถือทศนนท์ดังขัดจังหวะขึ้นก่อน เป็นสายจากสำราญ ทศนนท์มองลังเล ในที่สุดก็ตัดสินใจรับสาย
“ครับพี่ราญ อะไรนะครับ...ครับ ครับ เดี๋ยวผมจะรีบเข้าไปเลย”
รอจนทศนนท์วางสาย ปรางทิพย์จึงถาม
“มีอะไรเหรอคะ”
“มีคนเจอศพที่น้ำตกครับ”
ปรางทิพย์กับบัวคำมองหน้ากันแล้วอึ้งไป
“เดี๋ยวขอตัวนะครับ”
ปรางทิพย์พยักหน้ารับอึ้งๆ ทศนนท์รีบวิ่งออกไป
บัวคำจับมือให้กำลังใจนายหญิง ปรางทิพย์มองตามทศนนท์อย่างหนักใจ
ชาวบ้านทุกคน รวมทั้งตำรวจท้องที่กำลังมุงดูศพสนธยากลางป่าแถวน้ำตก ในขณะที่ทศนนท์เดินเข้ามาสมทบ
สภาพศพหน้าตาถูกตะกุยจนเละแทบจำไม่ได้ ที่คอมีแผลเหวอะ
“ตายอีกคนแล้ว นี่แกไปโดนอะไรมาถึงได้มีสภาพแบบนี้นะไอ้สน” จรัลแปลกใจ
“ถ้าคนอื่นตายคงโยงว่าผีแม่ม่ายแน่ๆ แต่ไอ้สน วันๆ มันเอาแต่ลักเล็กขโมยน้อย หาเงินไปเสพยาไปวันๆ” คนงาน1 ว่า
“นี่ก็คงเมายาตกน้ำตาย” คนงาน2 เสริม
“จะว่าไปก็จริง แต่ทำไมสภาพศพเป็นแบบนี้ ข้าว่ามันแปลกๆ อยู่นะ” จรัลว่า
อนุชิตเห็นด้วย “ผมก็ว่าอย่างงั้นแหละ ถ้าเมายาทำไมมันไม่ตายแถวบ้าน ทำไมมันเข้ามาตายที่นี่แล้วไหนจะรอยที่คอนี้อีก”
คนงาน1 โพล่งขึ้น “หรือจะเป็นฝีมือนังผีแม่ม่าย”
คนงาน2 ออกอาการผวากลัว “ผีแม่ม่ายมันกลับมาอีกแล้วเหรอเนี่ย”
“ผมว่ารอยแผลน่าจะเกิดจากถูกสัตว์ป่าทำร้าย แต่ยังไงก็ต้องรอเอาไปชันสูตรก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรเลยครับ” วิศรุตว่า
“ผมเห็นด้วยครับ เราอย่าเพิ่งสันนิษฐานกันไปเลย ไงพี ช็อกไปเลยเหรอที่ไปเจอศพคนแรก”
พีรพรมองทศนนท์ แต่ไม่ตอบอะไร เดินออกไปเลย เพราะยังเสียใจเรื่องนิรชาอยู่
ทศนนท์ยิ้มรับรู้ ถอนหายใจไม่ถือสาอะไร
ศักดิ์นำภาพถ่ายกฤตณีใส่ชุดผ้าไทยสวยงามขยายใหญ่ ใส่กรอบสวยงาม เป็นชุดไทยในทำบุญใหญ่หลายวันก่อน
“นี่ถึงขนาดขยายใส่กรอบติดไว้หน้าบ้านเลยเหรอพี่ศักดิ์” มินตาเหน็บแนม
“ติดไว้หน้าบ้านเขาจะได้รู้ว่าบ้านนี้ลูกสาวสวย” ศักดิ์บอกอย่างภูมิใจ
มินตาหมั่นไส้ “ติดไว้เป็นยันต์กันผีหรือเปล่า ระวังขายไม่ออกนะ เดี๋ยวผู้ชายเห็นจะตกใจ”
“นี่แกคงภูมิใจน่าดูเลยสินะที่ขายออกตั้งแต่เรียนยังไม่จบ แถมยังท้องอีก” ตาลย้อนเอา
กฤตณียกนิ้วให้ตาล “แรวงส์ ถึงฉันไม่สวยแต่ฉัน limited edition มีแค่ชิ้นเดียวในโลกแถม full option ไม่ได้ฟูลที่แปลว่าโง่อย่างใครบางคน”
มินตาเจ็บใจ กัดฟันกรอดๆ
“อยู่สวยๆ แบบฉันนี่จะได้ไม่เดือดร้อนนังมิ้น แต่ก็สมน้ำหน้าหาเรื่องเอง เลือกรูปที่ถ่ายกับพี่ชายไปขยายมาติดฝาบ้านบ้างดีกว่า ใครเห็นจะได้รู้ว่ากิ่งทองใบหยกเป็นยังไง”
สุดสวยเลื่อนภาพในมือถือดูแล้วทำหน้าตกใจ
“ตายแล้ว”
“ใครตายเหรอนังสวย” ตาลถาม
“คุณปราง” สุดสวยร้องขึ้นอีก
นิรชาสงสัยรีบเข้ามาดูด้วย “คุณปรางทำไมเหรอพี่สวย”
สุดสวยยื่นมือถือให้ทุกคนดู “ดูสิ ภาพที่ฉันแอบถ่ายคุณปรางตอนไปทำบุญที่วัด ภาพมันเสียหมดเลย ทั้งที่วันนั้นฉันก็ยังเห็นภาพอยู่นี่”
ภาพในมือถือสุดสวยทุกคนปกติหมด แต่รอบตัวปรางทิพย์กับบัวคำเป็นแสงสีขาว คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็จะเบลอไปด้วย สุดสวยเอามือเลื่อนภาพก็เป็นทุกภาพ
“ผีมันจะถ่ายรูปติดได้ยังไง” มินตาว่า
“งั้นดูในกล้องฉันก่อน”
นิรชาเลื่อนภาพในมือถือดู ปรากฏว่ารูปของตนที่ถ่ายในวัดมีแสงสีขาวเกือบทุกรูป แตกต่างจากของสุดสวย นิรชาจึงไม่ได้ติดใจสงสัยปรางทิพย์กับบัวคำนัก
ทุกคนดูในมือถือตัวเอง ภาพเป็นเหมือนกันหมด แต่ละคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่เต็นท์แคมป์ทีมสำรวจทาง ทุกคนเดินเข้ามานั่งในเต็นท์แล้ว ผู้ใหญ่จรัลปรารภขึ้นว่า
“ผมว่าต้องนิมนต์พระมาทำพิธีแล้วล่ะ”
ทศนนท์ทักท้วง “แต่เราก็เพิ่งทำพิธีไปนี่ครับ”
“ท่านคงยังไม่พอใจ”
“เพื่อความสบายใจก็ทำไปเถอะครับ ไม่เสียหายอะไรนี่” อนุชิตเห็นด้วย
“ใช่ครับ ถือว่าได้ไหว้เจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาด้วย เราอาจจะไปทำอะไรไม่ถูกใจท่านเข้า” พีรพรว่า
“เพื่อความสบายใจของทุกคนก็รีบทำเลยครับ” ทศนนท์สรุป
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะรีบไปคุยกับชาวบ้านให้รีบเตรียมตัว”
ทุกคนพยักหน้ารับเอาคำ จรัลเดินออกไป
สำราญครุ่นคิด “ผมว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ เพราะที่นี่อยู่กันเงียบสงบมาตั้งนานแล้ว จู่ๆ ก็กลับมาเกิดเรื่องอีก”
ทศนนท์สงสัย “พี่ราญหมายความว่ายังไงเหรอครับ”
อนุชิตสนใจ “นั่นน่ะสิ แปลว่าที่นี่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาแล้วเหรอ”
“หรือว่าจะมีใครไปทำอะไรผิดผีเข้าหรือเปล่า ท่านถึงได้ประกาศให้รู้ว่าไม่ควรล้ำเส้น” พีรพรว่า
“อย่าเพิ่งคิดกันไปไกลเลย” ทศนนท์หันมาทางสำราญ “พี่ราญเคยเล่าเรื่องตำนานที่นี่ให้ผมฟังค้างไว้นี่ครับ ใช่เรื่องเดียวกันไหม”
สำราญพยักหน้ารับเอาคำ สีหน้าครุ่นคิดกึ่งหนักใจ ทุกคนมองสำราญอย่างสนใจอยากรู้และรอฟัง
พระอาทิตย์กำลังจะตก บรรยากาศโพล้เพล้ ฝูงนกโบยบินกลับรัง ชาวบ้านกำลังจูงควายกลับเข้าคอก
ปรัชญายืนเก้ๆ กังๆ ล้างมะเขือพวง อย่างคนทำกับข้าวไม่เป็น จาริณีโขลกน้ำพริกอยู่ คอยแอบมองห่วงปรัชญาว่าจะไหวไหม
“เอาแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อไหมคะหมอ มะเขือพวงนะไม่ใช่แผลผ่าตัด อย่าบอกนะว่าหมอล้างทีละลูก”
“อ้าว…เขาไม่ได้ล้างทีละลูกกันเหรอ”
จาริณียิ้มขำในความซื่อของปรัชญา เดินเข้ามาจะช่วย
“หมอนะหมอ ดีนะที่ให้ล้างมะเขือพวง ถ้าให้หุงข้าวคงได้กินปีหน้าเลยมั้ง”
“ทำไมถึงได้กินปีหน้าล่ะครับ” ปรัชญางงอีก
“ก็คงล้างทีละเม็ดไงล่ะ มานี่เดี๋ยวฉันล้างเองค่ะ”
ปรัชญาลอบมองจาริณี เริ่มรู้สึกดีๆ กับอีกฝ่าย จาริณีรู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่เลยเงยหน้าขึ้นมอง สองคนสบตากันจังๆ ต่างคนต่างอึ้งไป จาริณีรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เปลี่ยนอาชีพจากหมอมาเป็นพ่อครัวแล้ว หายเครียดรึยังคะ”
ปรัชญาพยักหน้าให้ “ขอบคุณที่ชวนผมมาวันนี้ และ..ขอโทษ ที่ผมพูดไปว่าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน ผมแค่ไม่อยากให้คนอื่นมองคุณเสียหาย”
“ฉันเข้าใจค่ะ” จ๋ายิ้มกลบเกลื่อน “ทำกับข้าวกันต่อเถอะค่ะ ฉันหิวไส้จะขาดแล้ว”
ปรัชญายิ้มอย่างสบายใจขึ้น
ที่โต๊ะอาหารเย็นบ้านผู้ใหญ่จรัล ปรียาชะเง้อมองไปทางบันไดเรือนรอสามี ด้วยท่าทางกระวนกระจายใจมากเอาการ ปรัชญากับจาริณีช่วยกันถือถาดอาหารออกมาจัดโต๊ะ มีน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด ผักลวก ไข่เจียว
“พ่อยังไม่กลับมาอีกเหรอแม่”
“นั่นน่ะสิ ไม่รู้เป็นไงบ้าง”
“ตอนแรกจ๋ากับหมอก็ว่าจะไปช่วยดูอยู่เหมือนกัน แต่ดูสภาพหมอแล้วไม่น่ารอด”
ปรียาตกใจ “อ้าว เป็นอะไรเหรอหมอ ท่าทางก็ปกติดีนี่”
“อยู่ในช่วงสภาวะอยากทิ้งตัวจ้ะ”
ปรัชญายิ้มพูดไม่ออก
“อะไรสภาวงสภาวะไม่เห็นรู้เรื่อง” ปรียาเง็ง เห็นท่าทีปรัชญาซึมๆ เลยเปลี่ยนเรื่อง “หมอนี่เก่งนะคะทำกับข้าวก็เป็น ใครได้ไปเป็นสามีคงสบาย จะว่าไปลูกสาวบ้านนี้ก็ยังโสดนะคะ”
จาริณีเขิน “แม่”
ปรัชญายิ้มตามมารยาท “ครับ โสดแล้วยังเก่งด้วยนะ เพราะกับข้าวทั้งหมดนี่ฝีมือคุณจ๋าทำ ส่วนผมล้างผักก็ไม่รอดแล้ว ใครได้ไปเป็นแฟนคงลำบากแย่”
ปรียาพูดเอาใจ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คนเราจะเก่งไปทุกเรื่องได้ไง แค่นี้ก็ไม่มีที่ติแล้วสามผ่านค่ะ”
จรัลเดินเข้ามาสีหน้าเครียด พอเห็นปรัชญาจึงทักทาย
“อ้าว หมอปรัช วันนี้ว่างแล้วเหรอ ดีเลยมีเรื่องจะคุยด้วยอยู่พอดี”
ปรัชญายกมือไหว้ จรัลรับไหว้
“งั้นรีบกินเถอะค่ะ กับข้าวกำลังร้อนๆ”
จรัลลงนั่งที่โต๊ะด้วย จาริณีรีบตักข้าวให้ทุกคน พลางถามพ่อ
“เป็นไงบ้างพ่อเรียบร้อยดีไหม”
จรัลถอนหายใจสีหน้าจริงจัง “ก็น่าสงสารไอ้สนมันอยู่หรอก ญาติก็ไม่มี นี่เจ้าหน้าที่ก็เอาศพมันไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้แค่รอผลชันสูตร พ่อให้ถนอมไปคุยกับชาวบ้านแล้วเรื่องทำบุญป่า”
ปรียาถอนหายใจ “มันตายแล้ว แผ่นดินบ้านเราคงสูงขึ้นมาหน่อย”
จรัลปราม “แกนี่ คนก็ตายไปแล้วจะไปว่ามันทำไม”
“ก็จริงนี่พ่อ ไม่ขโมยของมันก็เสพยา ไม่งั้นก็เข้าๆ ออกๆ คุกอยู่นั่นแหละ” ปรียาว่า
“พอๆ มากินข้าวกันก่อน เกรงใจหมอปรัชบ้าง”
ทุกคนนั่งกินข้าว สีหน้าจรัลยังไม่สบายใจนัก
ทุกคนนั่งคุยกันในเต็นท์ แคมป์สำรวจ
“ตำนานอะไรเหรอครับพี่ราญ”
พีรพรสนใจ “นั่นสิ ไม่เห็นเคยเล่าอะไรให้ผมฟังบ้างเลย”
“ตำนานเมืองลับแลผีบังบด ที่ถูกสะกดด้วยมนต์หมอกมุงเมือง...”
ทุกคนมองสำราญอย่างตื่นเต้น ตั้งใจฟัง
“ตามเรื่องเล่าที่คนเฒ่าคนแก่เคยเล่าให้ฟังต่อๆกันมา หลังม่านน้ำตกจะมีเมืองลับแลซ่อนอยู่ภายใต้มนต์หมอกมุงเมือง โดยนานๆ ทีเจ้าหญิงของเมืองลับแลและบริวารจะหนีออกมาร้องรำทำเพลงที่หน้าน้ำตก...”
ทศนนท์คิดทบทวนเหตุการณ์ประกอบคำบอกเล่าของสำราญ
ตอนนั้นเขาเห็นปรางทิพย์ดีดซึงและนางรำกำลังร่ายรำอย่างสวยงาม
“ผู้คนในเมืองนั้นจะไม่มีวันแก่และตาย ทุกคนมีรูปร่างหน้าตาสวยงามรักษาศีลไม่พูดปด นานๆจะออกมาค้าขายกับมนุษย์ จนอยู่มาวันหนึ่งเจ้าหญิงเมืองลับแลได้ทำผิดกฎหนีออกมาใช้ชีวิตกับมนุษย์ ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย บางเรื่องเล่าก็ว่ามีสัตว์ประหลาดออกมาทำร้ายผู้คนที่เข้าไปใกล้บริเวณน้ำตก”
ทศนนท์นึกถึงตอนเขาเห็นสุบรรณเหรา
“แต่บางเรื่องก็เล่าต่อกันมาว่ามีหญิงสาวรูปร่างสวยงามชอบออกมาหลอกล่อผู้ชาย ถ้าใครหลงตามเข้าไปก็จะหายตัวไปเลยหรือไม่ก็จะกลายเป็นศพลอยอยู่บริเวณหน้าน้ำตก”
เทศเดินตามบุษบาลาวัลย์เข้าไปในถ้ำ
“ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนถึงไม่อยากให้ตัดถนนเข้าไปถึงน้ำตก เพราะกลัวจะเกิดเรื่องเหมือนในอดีตขึ้น แต่มันก็เกิดจนได้”
เสียงเรียกของอนุชิตดังขึ้น “หัวหน้า…คุณทศ”
ทศนนท์สะดุ้งได้สติ “ครับ”
“เป็นอะไรหรือเปล่าหัวหน้า ผมเห็นนิ่งไปตั้งนาน”
“เปล่าๆ ครับ” เขาหันมาซักสำราญอีก “แล้วหมอกมุงเมืองล่ะครับ”
สำราญยิ้มๆ “ผมว่าตอนนี้ก็จะมืดแล้ว เรากลับกันก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังอีกที”
“กำลังสนุกเลยพี่” พีรพรมองไปรอบๆ ชักเริ่มกลัว “แต่ผมว่ากลับก่อนก็ดี ดูๆ ไปแถวนี้มันก็น่ากลัวอยู่นะ”
ทุกคนพยักหน้ารับเห็นด้วย
ทศนนท์มองไปทางน้ำตก ทบทวนคำพูดของสำราญ และภาพอดีตที่ตนเคยเห็นด้วยสีหน้าสับสน
อ่านต่อตอนที่ 11