เพรงลับแล ตอนที่ 6 | เผชิญหน้า
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ร้านกาแฟปิดแล้ว ศักดิ์กับตาล นั่งนับเงินทำบัญชีอยู่ตรงเคาน์เตอร์ กฤตณีเก็บโต๊ะทำความสะอาดร้าน ด้วยสีหน้าเป็นกังวลระคนสงสัย นิรชาล้างแก้วเก็บอยู่ตรงซิงค์สังเกตเห็นก็แปลกใจ
“เป็นอะไรคิตตี้ ทำไมดูเครียดๆ”
“แกว่าคุณทศจะเป็นอันตรายอะไรไหม”
นิรชาไม่ใส่ใจแต่ไม่วายเหน็บ “นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าเรื่องตานั่นอย่าไปห่วงเลย คงพาสาวไปเที่ยวที่ไหนสักที่แหละ”
กฤตณีสงสัยไม่คลาย “แต่ฉันว่ามันยังไงๆอยู่นะ เออ…แล้วทำไมเราไม่ตามไปดูที่บ้านคุณทศล่ะ”
ศักดิ์แทรกขึ้น “อย่าไปยุ่งเรื่องของเขาเลยลูก รีบเก็บร้านจะได้รีบไปพัก”
ตาลเห็นต่าง “แต่ให้คิตตี้มันไปดูหน่อยก็ดีนะพ่อ คนคุ้นเคยกันเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้
กฤตณีขอร้องมองอ้อนวอนนิรชา “เนียร์ แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”
นิรชาอึดอัด ไม่อยากยุ่ง
ตาลช่วยพูด “เนียร์ไปเป็นเพื่อนคิตตี้มันหน่อยเถอะ นี่ก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย ขากลับจะได้มีเพื่อน”
“แทนที่ใกล้มืดแล้วจะให้ลูกอยู่บ้าน แต่กลับบอกให้มันออกนอกบ้าน แม่แกนี่มันยังไงกันนะ”
ตาลมองผัวปรามๆ “พ่อแกนี่ก็ บ้านนายช่างแค่นี้ ขับรถไปดูไม่เจอก็กลับมาไม่เสียหายอะไรหรอก”
ศักดิ์พยักหน้ารับแกนๆ “อืม…งั้นก็ตามใจ ถ้าจะไปก็รีบไป เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”
“ไปกันเถอะ”
นิรชาพยักหน้ารับ ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินตามกฤตณีไปขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ ขี่ออกไปด้วยกัน
บ้านปรางทิพย์ ปิดประตูหน้าต่างทั้งหลัง เหมือนไม่มีคนอยู่ ลมพัดเศษใบไม้ปลิวลู่ไปตามพื้นหน้าบ้าน
บัวคำเปิดประตูเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เมื่อเห็นปรางทิพย์นั่งฟุบอยู่กับเก้าอี้ ในโถงรับแขก อ่านออกว่าเสียพลังไปมากจากการเล่นแร่แปรธาตุย้ายสิ่งของ บัวคำถลาเข้ามาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง
“แม่หญิง...แม่หญิง เป็นยังไงบ้าง”
เมื่อเห็นปรางทิพย์ค่อยๆ ได้สติ ลืมตาขึ้นช้าๆ บัวคำก็โล่งใจ
“แม่หญิงใช้สมาธิจิตย้ายสิ่งของ ถึงต้องเสียพลังไปมากเพียงนี้”
“ข้าไม่มีทางเลือก เพราะมีคนกำลังทำพิธีเรียกตัวทศกลับ ถ้ามีคนมาเจอว่าทศอยู่ที่นี่ จะวุ่นวายไปกันใหญ่”
บัวคำมองปรางทิพย์อย่างสงสารและเห็นใจ
พอนึกถึงเนตรมายาก็หนักใจ “ไม่คิดเลยว่านางผู้นั้นจะมีอาคมแก่กล้านัก”
ปรางทิพย์สนใจ “พี่หมายถึงเนตรมายาใช่หรือไม่”
บัวคำพยักหน้ารับ “ต่อไปแม่หญิงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้แล้ว”
แม้ท่าทีของปรางทิพย์จะยังอ่อนล้าโรยแรงอยู่มาก แต่แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น จะไม่ยอมให้เนตรมายามาขวางทางตนได้
ส่วนที่บ้านพักทีมสำรวจ พีรพร เชื่อม และอนุชิต มองทศนนท์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ในขณะที่เนตรมายายิ้มกว้างดีใจ
“คุณทศกลับมาแล้ว”
พีรพรได้สติถลาเข้าไปจับตัวทศนนท์ “พี่ทศจริงๆใช่ไหม ทำไมผมถึงไม่เจอพี่ ทั้งๆที่ผมหาทุกซอกทุกมุมในบ้านแล้ว” เขาหันไปทางอนุชิต “ใช่ไหมพี่ เราหาทุกที่แล้ว”
ทศนนท์มองหน้าทุกคนด้วยสีหน้าสับสน“ทำไมผมมาอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่ผมควรจะอยู่ที่โน่นแต่กลับมาอยู่ที่นี่ แล้วผมกลับมาจากที่โน่นได้ยังไง”
พีรพรงงๆ “อะไรของพี่ไปที่โน่นที่นี่ ผมงงไปหมดแล้ว”
“นั้นสิ หัวหน้ามาจากที่ไหน แล้วอะไร ยังไง ผมงง”
“แล้วรถมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ทศนนท์พยายามคิดทบทวน แต่แล้วรู้สึกปวดหัวจี๊ด
“คุณได้ยินเสียงเรียกจากฉันใช่ไหม คุณถึงได้กลับมา” เนตรมายาถาม
ทศนนท์นิ่งนึก จำได้ว่ามีคนเรียกดังแว่วๆ
“คุณทศกลับมา…คุณทศกลับมา…”
ทศนนท์พยักหน้ารับ แต่ไม่แน่ใจนัก
พีรพรสนใจ “กลับมาจากไหนครับคุณเนตร”
“กลับมาจากมนต์บังตาไงล่ะ นังผีนั่นมันกำลังจะพาคุณทศไป โชคดีที่ฉันเอะใจรีบมาช่วยไว้ทัน ไม่งั้นคุณทศอาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลยก็ได้”
เชื่อมช่วยเสริมว่า “เจ้าแม่เนตรตาทิพย์มองเห็นทุกอย่าง ผีตนไหนก็ไม่สามารถบังตาเจ้าแม่เนตรได้หรอก”
พีรพรกับอนุชิตมองหน้ากัน ชักเริ่มเชื่อ เพราะทั้งคู่เห็นกับตาว่าทศนนท์ไม่ได้อยู่ในบ้านแน่นอน
ทศนนท์ยืนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นิรชานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กฤตณีมาจอดที่หน้าบ้านทศนนท์ ทั้งคู่มองไปที่หน้าบ้าน เห็นทุกคนยืนอยู่ และมองมาที่พวกตน
นิรชาบุ้ยใบ้ประชดกฤตณี “นั่นไงคุณทศกัณฐ์ของแกยัยคิตตี้ ปล่อยให้คนอื่นตามหา ที่แท้ก็กลับมาอยู่ที่บ้าน ที่นี้แกจะกลับได้ยัง”
“เดี๋ยวก่อนสิแก ไหนๆ ก็มาแล้ว เข้าไปทักทายพวกเขาก่อน”
พีรพรยิ้มแต้ ดีใจ มาเปิดประตูหน้าบ้านให้ ส่งตาหวานมองไปที่นิรชา
“ครูเนียร์กับครูคิตตี้มีธุระอะไรหรือเปล่า เข้ามาก่อนสิครับ”
กฤตณีจอดรถ แล้วเดินตรงเข้าไปหาทศนนท์ด้วยความเป็นห่วง นิรชาจำใจต้องเดินตามเข้าไป
“เห็นคุณพีบอกคุณทศหายไป คิตตี้เป็นห่วงเลยตามมาดูค่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คงมีอะไรเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
“แล้วคุณทศหายไปไหนมาเหรอคะ” คิตติ้ซัก
เห็นทศนนท์อึกอัก นิรชาหมั่นไส้เลยพูดแทรกขึ้น
“จะหายไปไหนก็ไม่ใช่เรื่องของเรา กลับกันเถอะคิตตี้”
เนตรมายาขัดหู มองหมั่นไส้ “กลับไปเถอะ ถึงจะรู้ว่าคุณทศหายไปไหนเธอก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก”
เชื่อมคุยข่ม “เพราะคนที่จะช่วยคุณทศได้มีแค่เจ้าแม่เนตรตาทิพย์คนเดียวเท่านั้น”
อนุชิตกังวลไม่หาย “แล้วพอจะมีวิธีป้องกันไหมเจ้าแม่”
เนตรมายามองไปทางบ้านปรางทิพย์ “นังผีนั่นมันไม่ใช่ผีธรรมดาๆ แน่”
ทศนนท์รีบตัดบทกลัวเนตรมายาใส่ร้ายปรางทิพย์ “ไม่มีใครเป็นผีอะไรทั้งนั้น ผมแค่หลับแล้วฝันว่าไปบ้านคุณปราง ส่วนนายพีก็คงแค่หาผมไม่ทั่วเท่านั้นเอง”
“ใช่ค่ะ” กฤตณีเห็นด้วย มองหน้าพีรพร “คงหาไม่ทั่วเองแล้วมาเล่นใหญ่ให้คนอื่นตกใจ”
“แต่ผมกับพี่นุก็หากันจนทั่วแล้วจริงๆนะ แล้วรถล่ะ หายไปแล้วกลับมาเองได้ด้วยเหรอ”
นิรชาประชดทศนนท์ “เมื่อเช้าคุณคงละเมอขับรถเข้าไปบ้านคุณปราง แล้วก็ละเมอขับรถกลับมาที่นี่สินะ”
ทศนนท์คิดว่าตัวเองแค่ฝัน มองนิรชาอย่างแปลกใจ “คุณเห็นผมด้วยเหรอ”
“เห็นสิ ทำไมตกใจเหรอที่ฉันเห็นคุณ”
ทศนนท์ครุ่นคิด แปลกใจไม่หาย เพราะถ้าหากไม่ใช่ฝันแล้วตนกลับมาบ้านพักได้อย่างไร
ด้านปรางทิพย์ยังอ่อนแรงอยู่มาก ครุ่นคิดสงสัยอยู่ที่มีคนมาขวาง สุดท้ายมองไปทางบ้านพักทศนนท์ ลุกเดินไปหยิบผ้าสไบมาคลุมไหล่เหมือนจะไปข้างนอก
บัวคำมองฉงน “แม่หญิงจะไปไหน”
ปรางทิพย์บอกด้วยแววตามุ่งมั่น “ข้าอยากไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณทศกันแน่”
บัวคำห้ามไว้ด้วยความเป็นห่วง “แต่แม่หญิงเสียกำลังไปมากแล้ว ออกไปตอนนี้จะเป็นอันตรายเปล่าๆ”
ปรางทิพย์เสียงแข็ง ตาวาว “จะเก่งมาจากไหนก็เป็นเพียงมนุษย์ ข้าไม่กลัวหรอก”
ปรางทิพย์ไม่สนใจคำทัดทาน รีบเดินออกบ้านไป บัวคำเห็นท่าไม่ดีรีบตามไป
ทุกคนยังยืนถกกันอยู่หน้าบ้านพัก พีรพรเอาคืนคิตตี้
“เห็นไหมครูเนียร์ยังเห็นเลยว่าพี่ทศออกไปบ้านคุณปราง เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่ได้มั่วนิ่มนะ”
“ถ้างั้นก็ไปถามคุณปรางเลยสิว่าคุณทศกลับมาตอนไหน”
“ถามไปก็ไม่ได้คำตอบอะไรหรอก เพราะนังผีนั่นมันใช้มนต์บังตาไว้” แม่หมอว่า
พีรพรกับอนุชิตทำท่าขนลุกกลัว
“ฉันว่าคงไม่ใช่มันต์บังตาหรอก คงเป็นความรักบังตามากกว่า เห็นเช้าถึงเย็นถึงขนาดนั้น” นิรชาเหน็บ
เนตรมายาชักเริ่มไม่พอใจ “เธอจะไปรู้อะไร”
“ฉันว่าคุณเองก็ควรจะเลิกกล่าวหาคนอื่นได้แล้ว เดี๋ยวจะโดนฟ้องเอานะคุณ” นิรชาโต้กลับ
กฤตณีเห็นด้วย “ใช่ ถ้าคุณปรางเป็นผีอย่างที่คุณว่า ทำไมเขาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ล่ะ”
“มันร้ายกาจกว่าที่พวกเธอคิด พูดกับพวกเธอไปก็ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวฉันจะทำให้ทุกคนเห็นเองว่านังนั้นมันเป็นปีศาจ”
เนตรมายามองไปทางนอกรั้ว ถามเสียงแข็งเหมือนรับรู้ว่ามีใครอยู่ตรงนั้น
“มาแล้วเหรอ อย่าคิดนะว่าจะปิดคนอย่างฉันได้”
ทุกคนมองตามสายตาแม่หมอ แต่ไม่มีเห็นมีอะไร มองหน้ากันงงๆ แปลกใจว่าเนตรมายาคุยกับใคร พีรพรกับอนุชิตมองหน้ากันขนลุกเกรียว
เนตรมายามองจ้อง แล้วเดินตรงไปที่นอกรั้ว ปรางทิพย์กับบัวคำยืนจ้องมองมาทางเนตรมายา รับรู้ทุกอย่างแล้ว โดยที่ไม่มีใครเห็นสาวเมืองลับแลทั้งสอง
เนตรมายาเดินมาหยุดตรงหน้าปรางทิพย์จนหน้าเกือบจะชนหน้า โดยที่แม่หมอก็ไม่รู้ว่าปรางทิพย์ยืนอยู่ตรงนั้นพอดี
ปรางทิพย์มองจ้องเนตรมายานิ่งๆ เนตรมายา หลับตาแล้วทำปากขมุบขมิบท่องบริกรรมคาถาแล้วเป่าพรวดไปที่หน้าปรางทิพย์
เหมือนมีลมพัดเข้าที่หน้าจังๆ ปรางทิพย์ต้องหลับตาแล้วพยายามออกแรงต้านทาน ไม่ยอมปรากฏน่าง เหงื่อผุดเป็นเม็ดๆ เหมือนจะเริ่มไม่ไหว
เนตรมายาเป็นต่อ หมายมั่นจะทำให้ปรางทิพย์ปรากฎตัวต่อหน้าทุกคนให้ได้
โชคดีที่นิรชาเข้ามาขัดจังหวะ ประชดส่ง “กำลังสวดมนต์บังตาอยู่เหรอคะเจ้าแม่”
เนตรมายาเสียสมาธิหยุดสวดทันที หันขวับมามองนิรชาอย่างไม่พอใจ
“ไม่ต้องรู้สักเรื่องจะเป็นอะไรไหม”
แม่หมอหันกลับมาสวดมนต์อีกรอบ แต่ปรางทิพย์กับบัวคำหายไปแล้ว เนตรมายาถอนหายใจ มองหน้านิรชาอย่างไม่พอใจ
“เกือบจะเจออยู่แล้ว เธอนี่มันวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง”
กฤตณีฉุน จะเอาเรื่องแม่หมอ “อยู่ๆ มาว่าเพื่อนฉันได้ยังไง”
ทศนนท์รีบแทรกห้ามขึ้นกลัวเกิดเรื่อง
“นี่มันก็ใกล้จะมืดแล้ว ทุกคนกลับบ้านกันก่อนเถอะนะครับ และผมต้องขอโทษทุกคนด้วยจริงๆ ที่ทำให้วุ่นวาย”
“ไปกลับเถอะ เขาไล่แล้ว”
พีรพรอาสาไปส่งนิรชา “ผมไปส่งไหมครับ”
กฤตณีประชด “จะซ้อนสามไปหรือยังไง พวกฉันมาเองก็กลับเองได้”
พีรพรหน้าเจื่อนไป
กฤตณียิ้มหวานกับทศนนท์ “งั้นคิตตี้ขอตัวก่อนนะคะ”
พีรพรบอกกับนิรชาอีก “ผมไปส่ง”
“ไม่ต้อง ยืนเกะกะอยู่ในบ้านนี่แหละ ปะ…เนียร์กลับกัน”
กฤตณีกับนิรชาเดินออกไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ สตาร์ตเครื่องแล้วขี่ออกไปเลย
ร่างปรางทิพย์วูบมานอนฟุบอยู่ที่เตียงในห้องด้วยสีหน้าเจ็บปวดสุดจะประมาณ บัวคำรีบเข้ามาดูอาการด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“แม่หญิง เป็นยังไงบ้าง”
ปรางทิพย์บอกด้วยท่าทีอ่อนแรง “ข้าคงประมาทนางผู้นั้นเกินไปจริงๆ”
“ดูท่าแล้วนางคงไม่ยอมปล่อยแม่หญิงไปง่ายๆ เพราะดูนางจะสนใจในตัวคุณทศอยู่ไม่น้อย”
สีหน้าปรางทิพย์เปลี่ยนเป็นดุดันเคียดแค้นขึ้นมาทันที
“ข้าไม่เคยทำอะไรนาง แต่ถ้านางอยากเข้ามาขวางทางข้า ก็คงต้องเห็นดีกัน”
เช้าวันใหม่ ในขณะที่ผู้ใหญ่จรัล ปรียา และจาริณีในชุดนางพยาบาล นั่งกินอาหารเช้าร่วมกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร
ยินเสียงเสถียรตะโกนเรียกดังขึ้น “พ่อผู้ใหญ่ พ่อผู้ใหญ่”
เสถียรวิ่งกระหืดกระหอบตาตื่น ขึ้นเรือนมาหาผู้ใหญ่
“เกิดอะไรขึ้น”
จาริณีแปลกใจ “นั่นสิ มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าพี่เถียร วิ่งตาตื่นมาเชียว”
“ก็ไอ้บอล…” เสถียรหอบแฮ่กๆ
ปรียาถามแทรกขึ้นเพราะอยากรู้ “ไอ้บอลมันเป็นอะไร”
“มันตายแล้วจ้า”
จรัลวางช้อนลง กินข้าวไม่ลง ทุกคนตกใจทั้งแถบ
ผู้ใหญ่จรัลถอนใจเฮือกใหญ่ คิดว่าต้องเป็นฝีมือผีแม่ม่าย หรือไม่ก็ต้องเป็นเรื่องผิดประเพณีที่มีคนอยู่ในบ้านปรางทิพย์ เลยทำให้เกิดเรื่องกับคนในหมู่บ้าน
“มันเอาจนได้จริงๆสินะ”
จาริณีสงสัย “พ่อหมายถึงใคร อย่าบอกนะว่าจะโยงไปเรื่องผีแม่ม่ายอีก”
“ถ้าไม่ใช่นังผีแม่ม่ายแล้วจะเป็นใคร”
“โธ่ แม่ แม่ยังไม่รู้เลยว่าพี่บอลเขาตายยังไง ทำไมปักใจเชื่อแต่เรื่องผีอยู่ได้”
ปรียาน้ำตาคลอ คิดถึงจาวที่ตายไปแล้ว “จะไม่ให้เชื่อได้ยังไง ไอ้จาวมันก็ตายเพราะฝีมือนังผีนั่น มีแต่แกที่ไม่รู้จักเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพี่แก”
“พอๆ ไม่ต้องเถียงกัน” จรัลตัดบทหันมาทางเสถียร “ไป…เดี๋ยวข้าจะไปดูที่บ้านไอ้บอลมันหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ปรียาเป็นห่วง “พี่ไม่กินให้เสร็จก่อนล่ะพี่ เดี๋ยวค่อยไปดูก็ได้”
“ ข้าวกลับมากินตอนไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าต้องรีบไปดูที่บ้านไอ้บอลมันก่อน ยิ่งมีแต่เมียกับลูก คงจัดการอะไรกันเองไม่ได้แน่ๆ”
จาริณีวางช้อนลุกเดินไปหยิบกระเป๋าจะออกไป
“งั้นหนูจะไปตามหมอมาดู จะได้รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่”
จรัล จาริณี เสถียร พากันเดินลงเรือนไป
บ้านนายบอลกับนางขวัญ เป็นบ้านไม้เก่าๆ บ่งบอกฐานะอันยากจน มีเพื่อนบ้านผู้คนกำลังทยอยเข้ามาช่วยงานศพ
ด้านในบ้าน ขวัญกับลูกๆ กำลังนั่งกอดกันร้องไห้ด้วยความเสียใจข้างๆศพบอล
ผู้ใหญ่กับเสถียรเดินเข้ามา เห็นเนตรมายาก็แปลกใจ
“อ้าว เจ้าแม่รู้ข่าวแล้วเหรอ”
เนตรมายาเพียงพยักหน้ารับเบาๆ เพราะกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ต่อหน้าศพบอล โดยมีป้าเชื่อมกับมินตาช่วยโยงสายสิญจน์ให้
จรัลปลอบใจนางขวัญ “ทำใจดีๆนะขวัญเอ๊ย ไอ้บอลมันไปสบายแล้ว”
เชื่อมบอกกับทุกคนว่า “อ้าวๆ ทุกคนเงียบๆหน่อย เจ้าแม่จะเริ่มพิธีแล้ว”
ทุกคนต่างพากันเงียบเสียงลง
เจ้าแม่เนตรตาทิพย์กำลังทำพิธีเรียกดวงวิญญาณบอล โดยเอาดินสอพองเจิมที่หน้าผาก แล้วหลับตาสวดมนต์ ก่อนจะพูดขึ้นมา
“วิญญาณนายบอลกำลังจะตามใครสักคนหนึ่งไป”
“ใครกันเจ้าแม่ที่จะพาดวงวิญญาณไอ้บอลไป”
เนตรมายาหลับตาลง สีหน้ากำลังใช้ความคิดหนัก
“ข้ายังเห็นไม่ชัด เห็นแต่ว่ามันเป็นผู้หญิงสาวผมยาว”
เนตรมายาลืมตาขึ้นเหมือนปกติ
“เดี๋ยวต้องทำพิธีอีกรอบ” แม่หมอเอากระดาษมาจดแล้วยื่นให้เสถียรไปหาของมาทำพิธี “ไปหาของมาให้ได้ตามนี้นะ”
จาริณีกับปรัชญาเดินเข้ามาในบ้าน
“ขอโทษนะคะคุณหมอมาแล้ว ขอให้คุณหมอได้ตรวจดูเบื้องต้นหน่อยนะคะ จะได้รู้ว่าเกิดจากอะไร”
ปรัชญาเอาไฟส่องที่ตาบอลตรวจดู แล้วเปิดเสื้อดูว่ามีรอยอะไรไหม ก่อนจะช่วยกันจับตัวบอลพลิกดูตามร่างกาย โดยมีจาริณีช่วยจับและจดรายละเอียดของศพ มีสายตาชาวบ้านมองอย่างใจจดจ่อ
ที่สภากาแฟบ้านตาศักดิ์คึกคักเช่นทุกวัน ยายตาลรู้ข่าวเรื่องการตายของบอลถึงกับอุทานขึ้นอย่างตกใจ
“ตายๆๆ วันก่อนมันยังมาติดค่าเหล้ากับฉันอยู่เลยตาศักดิ์ แล้วจะไปเก็บกับใครล่ะทีนี้”
“โธ่…แม่แก มันตายแล้วก็ปล่อยมันไปเถอะ ถือว่าทำบุญ”
ตาลหน้าเศร้า “อืม…ฉันไม่ไปเก็บมันหรอก นึกแล้วก็สงสารลูกมันยังเล็กอยู่ อย่างนี้นังขวัญมันจะเลี้ยงลูกมันไหวไหมล่ะ ว่าไหมตาศักดิ์”
ศักดิ์กับตาลมองหน้ากันอย่างสลดใจ
เสถียรขับรถมาจอดหน้าบ้าน รีบร้อนเดินเข้ามาในร้าน สั่งของ
“พี่ศักดิ์ เอาธูปเทียนและก็แป้งเจิมด้วยนะ”
“แกจะเอาไปทำบุญที่ไหนเหรอเสถียร” ตาลแปลกใจ
“เปล่าหรอกพี่ตาล ผมจะเอาไปให้เจ้าแม่เนตรตาทิพย์ทำพิธีเปิดตาไอ้บอลมัน จะได้รู้กันไปว่าใครเป็นผีแม่ม่ายกันแน่”
ชาวบ้านขาเม้าท์ได้ฟังต่างพากันสนใจ รีบแห่ไปดูพิธี
นิรชามองอย่างสนใจ
“พิธีอะไร แกเคยเห็นไหมคิตตี้”
กฤตณีส่ายหน้า “ไม่เคย เราไปดูกันไหม ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ายัยเจ้าแม่นั่นจะทำอะไร แกจะได้ไปเยี่ยมวีระลูกศิษย์แกด้วยไง”
นิรชาตกใจ “นายบอลเป็นพ่อของเด็กชายวีระเหรอคิตตี้ งั้นเรารีบไปกันเลยดีกว่า”
กฤตณีพยักหน้ารับ หันไปบอกตาล “แม่ฉันไปดูเขาทำพิธีก่อนนะแม่”
ตาลพยักหน้ารับ แล้วทำมือบอกให้ไปเพราะกำลังยุ่งอยู่
สองสาวเดินออกไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ ขับขี่ไปด้วยกัน
หลังตรวจเสร็จ จาริณีช่วยหมอปรัชญาเก็บอุปกรณ์ตรวจเข้ากระเป๋า
“ผลเป็นไงบ้างครับหมอ ไอ้บอลมันใหลตายใช่ไหม” จรัลซักถาม
“ตามที่ผมได้ชันสูตรศพดูเบื้องต้น น่าจะเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แต่ถ้าอยากรู้ผลที่แน่ชัดกว่านี้ต้องส่งศพไปตรวจในตัวเมืองอีกที”
ขวัญกอดศพร้องไห้โฮ “ไม่ ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาผ่าอะไรพี่บอลเด็ดขาด แค่นี้พี่บอลก็เจ็บปวดมากพอแล้ว”
จรัลปลอบใจ “ใจเย็นๆ ไม่มีใครเขาเอาศพผัวแกไปไหนหรอกนังขวัญ”
มินตาแทรกขึ้น “หัวใจวายอีกแล้วเหรอคะคุณหมอ มันจะบังเอิญไปไหม ที่ผู้ชายในหมู่บ้านทยอยตายไปทีละคนๆ จากโรคคล้ายๆ กัน”
ปรัชญาอธิบาย “ไม่บังเอิญหรอกครับ ตามที่ผมได้สอบถามทางญาติทุกคนที่ตาย ล้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคขาดวิตามินบี ชอบดื่มเหล้าและพักผ่อนไม่เพียงพอ”
เนตรมายาทักท้วง “ขาดวิตามินบีก็ตายได้เหรอคะคุณหมอ”
“ใช่ครับ นอกจากวิตามินบีแล้วถ้าขาดแร่ธาตุโพแทสเซียมก็ยังทำให้หัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เป็นสาเหตุให้หัวใจวายเฉียบพลันได้”
“แต่ปกติพี่บอลก็แข็งแรงดีอยู่นะคะหมอ ไม่น่าจะขาดวิตามินอย่างที่หมอบอก” ขวัญว่า
“ครับ ตามที่ผมได้สอบถามคุณไป ก่อนหน้าที่คุณบอลจะเสียชีวิต เขามีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และเป็นตะคริวนั่นเกิดจากการขาดวิตามินบี ประกอบกับบอลยังดื่มเหล้าเลยทำให้สารพิษตกค้างในร่างกาย”
ขวัญไม่เชื่อ “ฉันไม่เชื่อ พี่บอลแค่ทำงานหนักแค่นั้นเอง แต่คนที่ฆ่าพี่บอลคือนังผีแม่ม่ายต่างหากล่ะ”
ปรัชญากับจาริณีมองหน้ากันอย่างหนักใจ คงเปลี่ยนความคิดชาวบ้านได้ยาก
ระหว่างนี้เสถียรเดินถืออุปกรณ์ทำพิธีเข้ามาให้เนตรมายา
“ของได้มาครบแล้วครับเจ้าแม่”
พวกชาวบ้านต่างพากันล้อมวงเข้ามาดูเจ้าแม่ทำพิธี
เนตรมายามองไปทางบ้านปรางทิพย์แล้วยิ้มร้ายลึกล้ำ
อีกฟาก ในป่าไม้เขียวขจี ฝูงนกบินไปมา
ทศนนท์ยืนกางแผนที่อยู่ในป่าที่สำรวจมาถึง สั่งงานกับอนุชิต พีรพรและคนงาน ยินเสียงเลื่อยดังอยู่ไกลๆ กองไม้ที่ตัดแล้วกองเป็นตั้งๆ
ทศนนท์หันไปกำชับกับคนงาน พวกนั้นรับเอาคำ “พยายามตัดต้นไม้ตามที่คุยกันไว้นะครับ จะได้กระทบป่าไม้ให้น้อยที่สุด...เดี๋ยวจดรายละเอียดต้นไม้ที่ตัดส่งให้พี่อีกที พี่ขอตรวจสอบก่อน ฝากด้วยนะพี”
“ครับพี่ โปร่งใส เชื่อใจได้ ไม่มีมอดไม้แน่นอน”
ทศนนท์ยิ้มขำๆ พลางหันไปสั่งงานอนุชิต “พี่นุช่วยดูเรื่องรถที่จะเข้ามาขนไม้ที่ตัดไปรอบที่แล้วให้ผมหน่อยนะ”
“ครับ เดี๋ยวผมจะรีบให้รถเข้ามาขนไม้ เข้าไปไว้ที่โกดังให้ทันก่อนหน้าฝนจะมา”
เสียงทรงกลดดังขึ้น “สวัสดีทุกคนครับ”
ทุกคนมองไปเห็นทรงกลด เดินยิ้มเผล่เข้ามาหาพร้อมลูกน้อง ขจรกับศรชัย ซึ่งถือถุงข้าวของมาด้วย
ทรงกลดทำเป็นมองอนุชิตแล้วยิ้มทักใจดี “อ้าว คุณนุกลับมาแล้วเหรอ” อนุชิตยิ้มตอบอย่างรู้กัน “ดีๆ ได้คนดีๆ ฝีมือเยี่ยมกลับมาทำงาน ถนนจะได้เสร็จเร็วๆ ชาวบ้านจะได้สบาย นักท่องเที่ยวก็ได้เห็นน้ำตกสวยๆสักที”
“วันนี้เข้ามาทำอะไรในป่าเหรอครับคุณทรงกลด” พีรพรถาม
“ผมผ่านมาดูที่ ที่เพิ่งซื้อใหม่ มันอยู่แถวนี้พอดี เลยแวะเอาน้ำเย็นๆ มาฝาก”
ทรงกลดมองลูกน้องเชิงบอก ทั้งคู่เอาน้ำแจกให้ทุกคน
อำนวย“คุณทรงกลดนี่ใจดีมีน้ำใจไม่เคยเปลี่ยนเลยนะครับ ชาวบ้านในหมู่บ้านเราถ้าไม่ได้คุณช่วยเหลือไว้คงแย่”
“เรื่องเล็กน้อย ผมช่วยอะไรได้ใครได้ก็อยากจะช่วย ชาวบ้านจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” ทรงกลดยิ้มหล่อ
“ต้องขอบคุณ คุณทรงกลดด้วยนะครับที่ช่วยประสานกับหน่วยงานต่างๆ ให้” ทศนนท์ว่า
“ยินดีครับยินดี มีอะไรให้ช่วยบอกได้นะครับไม่ต้องเกรงใจ” ระหว่างนี้ขจรขยับมาใกล้กระซิบๆ ทรงกลดทำท่านึกออก “งั้นผมขอตัวนะครับจะรีบไปช่วยงานศพไอ้บอล สงสารมัน ช่วยงานผมมาตั้งนาน ไม่น่ามาด่วนตายแบบนี้เลย ขอตัวนะครับ”
ทุกคนรับไหว้ทรงกลด ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชื่นชม
ด้านเนตรมายาหลับตาสวดคาถา ในมือถือเทียนวนไปรอบๆ ขันทำน้ำมนต์ ให้น้ำตาเทียนหยดลงในขัน แล้วเอาเทียนจุ่มลงไปในขัน ทุกคนมองอย่างสงสัย
เจ้าแม่ใช้เทียนแท่งเดียวกันป้ายไปที่ตาของบอลเพื่อเริ่มพิธีเปิดตาศพ หลับตาเพ่งสมาธิ ครู่เดียวก็เอ่ยขึ้น
“ข้าเห็นแล้ว”
ทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้น มินตาโพล่งถามขึ้น
“มันเป็นใครกันเจ้าแม่”
“มันเป็นผู้หญิงสาวสวย แต่งตัวไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป” เจ้าแม่บอก
ชาวบ้านต่างพากันถกเถียงกันว่าเป็นใครกันแน่
“แต่งตัวไม่เหมือนพวกเราก็เห็นมีแต่พี่บัวคำ” หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“คงไม่ใช่หรอก แกดูไม่เห็นเหมือนผีเลยสักนิด” ชายชาวบ้านอีกคนท้วง
“ผีอะไรออกมาเดินกลางวันแสกๆ” จาริณีแย้ง
นิรชา กฤตณี ปรัชญา จาริณี มองดูแล้วส่ายหน้าไม่เชื่อ
เนตรมายาหลับตา “ผมดำสยายใส่ผ้านุ่ง”
“ต้องเป็นนังผีปรางทิพย์กับนังผีบัวคำแน่ๆ” มินตาโพล่งขึ้น โกรธแค้นที่ทำจาวตาย
นิรชาขัดขึ้น “พาดพิงคนอื่นให้เสียหายมีความผิดนะคะคุณ”
“ผิดอะไร ฉันสันนิษฐานตามที่เจ้าแม่บอก ในหมู่บ้านเราก็เห็นมีแต่คนบ้านนั้นที่แต่งตัวกันแปลกๆ” มินตาโต้
กฤตณีเถียง “แปลกตรงไหน ผ้าถุงก็ใส่กันมาตั้งแต่พระเจ้าเหาโน่น”
เนตรมายาชี้นิ้วตะเบ็งเสียงแข็งกร้าว ตาเบิกกว้างจ้องมาทางนิรชากับกฤตณี
“ใครไม่เชื่อก็ออกไป อย่าเข้ามาทำลายพิธีของข้า”
“พิธีจอมปลอมหลอกตาชาวบ้าน ถ้าแน่จริงไม่ลอยขึ้นไปบนฟ้าให้ฉันดูหน่อยล่ะจะได้เชื่อว่าเก่งจริงๆ” นิรชาไม่เชื่อ
ปรัชญาหันไปปราม กลัวเกิดเรื่อง “เนียร์อย่ามีเรื่องกันเลย”
นิรชาขัดใจ “ก็จริงนี่หมอ อยู่ๆก็ไปใส่ร้ายปรักปรำคุณปราง โดยที่ไม่มีหลักฐานอะไร”
เนตรมายาเสียงขุ่น “ผีจะมีหลักฐานได้ยังไง”
“งั้นคุณก็ต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าใครเป็นผี ถ้าหามาได้ฉันถึงจะเชื่อ” จาริณีเห็นด้วยกับนิรชา
จรัลมองปรามลูก
“ยัยจ๋า”
เนตรมายาโกรธที่โดนท้าทาย “ได้! ฉันจะพาไปพิสูจน์ตอนนี้เลย”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ว่าเนตรมายาจะพิสูจน์ยังไง
ชาวบ้านเดินแห่ขบวนกันมาที่บ้านปรางทิพย์ซึ่งเวลานี้ประตูหน้าต่างปิดหมดทุกบาน เนตรมายาเดินนำหน้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง
ทุกคนเดินมาหยุดที่หน้าบ้านปรางทิพย์
เนตรมายาสวดมนต์ทำปากขมุบขมิบแล้วเป่ามนต์ลงในขันน้ำมนต์ แล้วเทน้ำมนต์เทราดลงที่พื้นทางเข้าบ้านปรางทิพย์ ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณกับจรัล
จรัลอ้าปากจะตะโกนเรียก แต่อยู่ๆ ประตูบ้านก็เปิดออก ทุกคนมองไป เห็นบัวคำยืนอยู่ในชุดผ้าถุงเสื้อไหมสีเข้ม ทุกคนมองอย่างแปลกใจ
บัวคำถามหน้านิ่งๆ “มีอะไรกันเหรอผู้ใหญ่”
“คุณปรางอยู่ไหม พวกเรามาหาคุณปราง” มินตาบอก
“คุณปรางพักผ่อนอยู่ คงไม่สะดวก”
จู่ๆ มีลมพัดวูบมา ทุกคนต่างยกมือป้องหน้า แล้วพอลมจางหายไปทุกคนต่างพากันแปลกใจ มองไปที่ประตูเรือนอย่างตะลึงพรึงเพริด โดยเฉพาะพวกผู้ชายต่างตะลึงในความงาม
ปรางทิพย์ยืนอยู่หน้าประตู เธอสวมซิ่นไหม ใส่ชุดผ้าไทยโบราณสวยงามแปลกตา
ปรางทิพย์มองประเมิน เห็นรอยน้ำมนต์อาคมตรงพื้น อ่านออกว่าเนตรมายาเทเป็นเส้นเพื่อจะหลอกให้ปรางทิพย์เดินเหยียบข้าม ปรางทิพย์ยืนมองนิ่งๆ เหมือนลังเลไม่กล้าข้าม
เนตรมายามองปรางทิพย์อย่างท้าทาย
“ก้าวออกมาสิ ออกมาคุยกับพวกเราหน่อย”
ชาวบ้านต่างพากันลุ้นว่าปรางทิพย์จะกล้าข้ามเส้นน้ำมนต์ออกมาหรือเปล่า
สุดท้ายปรางทิพย์ค่อยๆ ก้าวท้าวย่ำลงบนน้ำมนต์ออกไปเผชิญหน้าเนตรมายา ด้วยสีหน้าปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากมีใครสังเกตุจะเห็นสีหน้าบัวคำตกใจมาก
ปรางทิพย์ยิ้มเยือกเย็นข่มความเจ็บไว้ “มาทำอะไรกันที่นี่เหรอคะ”
เนตรมายาตกใจไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
จรัลรีบแก้ตัว “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ อาทิตย์หน้าจะมีงานบุญที่วัด พวกเราเลยมาบอก”
ชาวบ้านต่างพากันซุบซิบและถกเถียงกัน ส่วนใหญ่ตำหนิเจ้าแม่
“ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนิ” คิตตี้โพล่งขึ้น
เนตรมายาหน้าเสียพูดไม่ออก
นิรชาประชดเสียงดัง “ก็คุณปรางไม่ใช่อย่างที่คุณเนตรว่าจะไปมีอะไรได้ไงล่ะ”
ชาวบ้านชายคนหนึ่งตกตะลึงในความงามปรางทิพย์ “ถ้าอย่างนี้เรียกผีแม่ม่าย” ชายคนนั้นหันไปมองที่เมียตัวเองแล้วทำท่าตกใจ “แล้วอย่างนี้ผีอะไรวะ”
ถูกนางเมียดึงหูลากกลับบ้าน “แกว่าใครเป็นผีฮะ ไป! กลับไปคุยกันที่บ้าน”
ปรางทิพย์เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ”
มินตาแทรกขึ้น “แล้วเรื่องงานบุญที่วัดคุณจะไปไหม”
“ตอนนี้ฉันไม่ค่อยสบาย ถ้าหายทันก็จะไปค่ะ”
ปรางทิพย์ค้อมศีรษะนิดๆ เป็นเชิงขอตัว ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมบัวคำ
มินตามองหน้ากับเนตรมายาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
ฝ่ายปรางทิพย์เดินเข้ามาในโถงบ้านด้วยสีหน้าปกติ บัวคำหันกลับไปปิดประตูบ้าน พลางถาม
“แม่หญิงไม่เป็นอะไรเลยรึ”
ปรางทิพย์ได้ยินเสียงปิดประตูลง ร่างก็ทรุดตัวลงไปกองกับพื้นมือจับที่เท้า
บัวคำหันมาเจอก็ตกใจรีบเข้าไปดู “แม่หญิง แม่หญิง เป็นอะไร”
บัวคำมองเท้าปรางทิพย์ เห็นเป็นรอยสีแดงเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ปรางทิพย์ทำหน้าเหยเกเจ็บปวด
“ทำไมแม่หญิงต้องยอมทำถึงเพียงนี้” บัวคำตัดพ้อ
“ในเมื่อข้าอยากจะอยู่ที่นี่ ต่อให้ต้องมีชะตากรรมเช่นไรข้าก็พร้อมจะยอมรับมัน”
“แต่แม่หญิงจะสูญเสียความเป็นอมตะไปเรื่อยๆ”
“ขอเพียงข้าได้เขากลับคืนมา ต่อให้ต้องแลกด้วยสิ่งใดข้าก็ยอม”
ปรางทิพย์ยิ้มแค่นๆ อย่างยอมรับต่อโชคชะตา
ทุกคนพากันเดินออกมาที่ถนนหน้าบ้านปรางทิพย์
“ทีนี้ก็หายข้องใจกันได้แล้วสินะคะ ว่าคุณปรางเขาไม่ใช่ผี” นิรชาเอ่ยขึ้น
กฤตณีเสริมว่า “ใช่ ผีอะไรจะสวยขนาดนั้น”
“ผีแม่ม่ายมันก็ต้องสวย ถึงจะล่อผู้ชายไปอยู่กับมันได้ยังไงล่ะ” มินตาแย้งอีก
“ถ้าสวยขนาดนั้นเป็นผีแม่ม่าย ผมขอสมัครใจไปอยู่ด้วยเลย” ชายชาวบ้านยิ้มเพ้อ
เนตรมายาได้แต่มองเข้าไปบ้านปรางทิพย์อย่างคุมแค้น
“สิ่งที่เห็นมันเป็นแค่เปลือกนอก ฉันนี่แหละจะเป็นคนกระชากหน้ากากของนังผีร้ายออกมาให้ทุกคนได้เห็น”
“ไม่แน่นะ ผู้หญิงแก่วันนั้นอาจจะเป็นร่างจริงของนังผีมันก็ได้” เชื่อมว่า
มินตาผสมโรงเห็นด้วย “ใช่ๆ ทำเป็นบอกว่ายายมาหา ฉันว่าเป็นตัวมันเองนั้นแหละ”
ปรัชญาปราม “อย่าไปพาดพิงคนอื่นเลยนะครับ เพราะแค่นี้พวกคุณก็ทำเกินกว่าเหตุแล้ว”
“ระวังจะเจอหลายข้อหาเอานะคะ” จาริณีแดกดัน
จรัลตัดบท “เอาล่ะๆ ไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายกันเลยดีกว่า”
ชาวบ้านทุกคนต่างพากันแยกย้ายกันกลับ
เนตรมายาแอบพูดกับเชื่อมเบาๆ “มันเป็นไปได้ยังไง ทำไมนังผีนั่นมันไม่เป็นอะไรเลย”
เชื่อมกับเนตรมายามองหน้ากันอย่างแปลกใจ
นิรชา กฤตณี จาริณี และปรัชญาเดินคุยกันออกมา กฤตณีอดชื่นชมปรางทิพย์ไม่ได้
“เพิ่งเคยเห็นใกล้ๆเต็มๆตาสักที สวยมากเลยว่าไหมแก”
“ใช่ สวยละเมอของจริงเป็นแบบนี้นี่เอง” นิรชาว่า
กฤตณีมองงงๆ “อะไร ทำไมต้องสวยละเมอ”
“ก็เห็นนายนั่นเช้าก็มาเจอ ตอนเย็นก็ละเมอมาหา อย่างนี้เรียกว่าสวยละเมอได้เปล่าล่ะ”
“แกพูดถึงคุณทศอยู่ใช่ไหมเนี่ย”
นิรชาทำท่าไม่ไม่รู้ไม่ชี้
“เนียร์จะไปโรงเรียนเลยไหมเดี๋ยวผมจะไปส่ง”
นิรชามองดูนาฬิกาแล้วทำท่าตกใจ “ตายแล้วคิตตี้!พวกเราสายแล้ว ไปโรงเรียนไม่ทันแน่ๆ” เธอขอตัวกับปรัชญา “เดี๋ยวฉันขับรถไปเอง หมอไปทำงานเถอะ” จากนั้นก็ดึงแขนกฤตณีวิ่งออกไป
กฤตณีหันกลับมามองปรัชญา “ไม่ได้ไปส่งจะไปรับคิตตี้ตอนเย็นก็ได้นะคะหมอปรัช”
ปรัชญามองตามนิรชายิ้มส่ง โดยไม่เห็นสายตาจาริณีที่แอบมองอย่างเศร้าใจ
“งั้นจ๋าไปกับหมอนะคะ”
“อ๋อ ได้ครับได้ รถผมจอดอยู่ทางนั้น”
ปรัชญากับจาริณีเดินออกไปด้วยกัน
เนตรมายาเดินหงุดหงิดกลับขึ้นสำนักมาพร้อมกับเชื่อม แม่หมอคาใจสงสัยไม่หาย
“ทำไมฉันถึงทำอะไรมันไม่ได้”
“ใช่ ปกติเจ้าแม่ไม่เคยพลาดเลยนะ หรือมันจะไม่ใช่ผี” เชื่อมว่า
เนตรมายาฉุน “นี่ว่าฉันมั่วเหรอ”
เชื่อมตกใจกลัว “เปล่าจ้ะเปล่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“ทำไมวันนี้สำนักดูเงียบๆ ชาวบ้านหายไปไหนกันหมด”
ทรงกลด ส่งเสียงนำมาก่อน เขากับ ขจร ศรชัยเดินขึ้นสำนักมา
เนตรมายาถอนหายใจ “ก็เป็นเพราะนังผีแม่ม่ายนั่นแท้ๆ ทำให้ชาวบ้านเริ่มไม่เชื่อถือฉัน”
“ทำไมไม่หาทางกำจัดมันออกไปเสียล่ะ” ทรงกลดพูด โดยที่ยังไม่เคยเห็นปรางทิพย์
“ก็เพราะมันไม่ใช่คนธรรมดาน่ะสิ”
“ระดับเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ ต่อให้เป็นผีก็พากันหนีกันทั้งป่าช้าอยู่แล้ว”
“ฉันต้องหาวิธีแก้แค้นมันให้ได้”
เนตรมายามองไปทางบ้านปรางทิพย์อย่างเจ็บแค้นใจ
ช่วงพักเที่ยง นักเรียนนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารโรงเรียน
สุชาติ ครูใหญ่ นั่งกินข้าวไปดูเอกสารไป มีครูนิรชานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ผลการเรียนดีมาก”
สุชาติวางเอกสารด้วยสีหน้าหนักใจ
นิรชายังมีความหวัง “ใช่ค่ะครูใหญ่ วีระสอบได้ที่หนึ่งทุกปีเลยนะคะ น่าสงสารที่พ่อเขาเพิ่งมาด่วนจากไป เนียร์เลยอยากจะขอทุนเรียนดีแต่ยากจน เพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้านให้แก”
สุชาติหนักใจ “ผมเข้าใจ แต่ตอนนี้ทางโรงเรียนเรายังไม่มีทุนเข้ามาสนับสนุนเลย”
สีหน้านิรชาเริ่มหมดหวัง
“แต่…ยังพอมีอีกหนทาง คือครูต้องลองไปยื่นเรื่องขอทุนในตัวจังหวัดดู เดี๋ยวผมจะช่วยหาทุนอีกแรง เพราะยังมีเด็กอีกหลายคนที่ยังขาดแคลนทุนการศึกษาอยู่”
นิรชายิ้มกว้าง ยกมือไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ”
สุชาติซึ้งใหญ่ “ขอบใจนะครูเนียร์ ที่ยอมมาอยู่โรงเรียนเล็กๆห่างไกลความเจริญแบบนี้”
นิรชายิ้มรับเอาคำชม แววตาเต็มไปด้วยความหวัง
เนตรมายากับเชื่อมยืนด้อมๆมองๆข้างบ้านปรางทิพย์ เพราอยากรู้ว่าปรางทิพย์มีอาการอย่างไร
เนตรมายาเหลือบไปเห็นรถทศนนท์ขับมาจอดหน้าบ้านปรางทิพย์ เนตรมายารีบหลบกลัวคนเห็นแล้วส่งสัญญาณกับเชื่อม
หน้าประตูบ้านบัวคำมาเปิดประตูให้ทศนนท์
เชื่อมแกล้งล้มลงแล้วตะโกนให้คนช่วยเพื่อเบนความสนใจ
“ช่วยด้วยๆ โอ๊ย...”
บัวคำมองดูอย่างรู้ทัน จึงยืนเฉย
ทศนนท์รีบลงจากรถเข้าไปดูอาการ
“เป็นอะไรไปครับ”
“ช่วยป้าด้วยคุณทศ ป้าเป็นตะคริว”
ทศนนท์พยุงตัวเชื่อมให้ลุกขึ้น แต่ป้าเชื่อมแกล้งลุกไม่ไหว ตะโกนให้บัวคำช่วยอีกแรง
“โอ๊ย...คุณบัวคำช่วยป้าที”
บัวคำยังคงนิ่งไม่อยากจะเข้าไป จนทศนนท์ขอร้อง “พี่บัวคำช่วยผมทีครับ ป้าแกลุกไม่ขึ้น”
จังหวะที่บัวคำเดินเข้ามาช่วยเชื่อม เนตรมายาสบช่องแอบวิ่งเข้าประตูหน้าบ้านไปโดยเร็ว
บัวคำมองจับผิดเชื่อม ในหางตาเหมือนเห็นคนวิ่งเข้าบ้าน
พอบัวคำจะหันไปดู เชื่อมก็แกล้งร้องโอดครวญ และดึงบัวคำไว้เหมือนเจ็บปวดมากๆ พอเห็นว่าเนตรมายาเข้าไปได้แล้ว เชื่อมก็มีอาการดีขึ้นทันตา
ทศนนท์กับบัวคำช่วยกันพยุงเชื่อมลุกขึ้น
“พอจะเดินไหวไหมครับ”
“ดีขึ้นแล้วจ้ะ ขอบคุณพวกคุณนะ”
เชื่อมลุกขึ้นได้ อาการดีขึ้น
“บ้านอยู่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าดีขึ้นแล้ว”
ป้าเชื่อมแกล้งเดินกะเผลกๆ ออกไปอย่างรีบร้อน
ทศนนท์มองตามงงๆ
บัวคำหันไปมองที่ประตูหน้าบ้านเหมือนรู้ทันว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่ๆ
เนตรมายาแอบหลบเข้ามาทางหลังบ้าน มองสำรวจไปรอบๆ เห็นมีแต่ของเก่าโบราณ
เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้น เนตรมายาตกใจหันรีหันขวาง สุดท้ายวิ่งหลบเข้าไปซ่อนตัวใต้โต๊ะอีกห้องที่อยู่ติดกับห้องรับแขก ได้ยินเสียงคนคุยกันดังขึ้นในห้องนั้น
“วันนี้งานยุ่งไหมคะ”
เนตรมายาพยายามเอียงหูฟัง ด้วยสีหน้าอยากรู้ แต่ไม่ค่อยได้ยินเลยย่องออกจากใต้โต๊ะเดินมาแอบดูตรงประตู มองไปเห็นทศนนท์กับปรางทิพย์กำลังคุยกันอยู่ในโถงรับแขก
ปรางทิพย์หันมองมาทางเนตรมายาเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
เนตรมายารีบฉากหลบ สีหน้าตกใจ
ทศนนท์มองตามสายตาปรางทิพย์อย่างสงสัย
“มีอะไรเหรอครับคุณปราง”
ปรางทิพย์ละความสนใจแล้วหันกลับมาคุยกับทศนนท์เหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น
“เปล่า…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
ทศนนท์มองไปรอบๆ เห็นเครื่องบดยาโบราณและกระด้งตากยาวางอยู่เต็มไปหมด เขาหยิบสมุนไพรจากกระด้งขึ้นมาดู
“นี่ใบรางจืดนี่ครับ”
ปรางทิพย์ทึ่ง “คุณทศรู้จักสมุนไพรด้วยเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมรู้จักแต่ใบรางจืดนี่แหละ เพราะคุณแม่ชอบเอามาต้มให้กินเพื่อล้างพิษในร่างกาย”
ปรางทิพย์ยิ้มรับ “ใช่ค่ะ ใบรางจืดถือว่าเป็นราชาแห่งยาถอนพิษ แต่ถ้ารับประทานในปริมาณมากเกินไปก็ไม่ดีต่อร่างกายได้เช่นกัน”
ทศนนท์สนใจ “แล้วคุณปรางจะเอาใบรางจืดมากมายขนาดนี้ไปทำอะไรเหรอครับ”
“ฉันอยากเอายาไปแจกให้ชาวบ้าน เพราะช่วงนี้เห็นคนในหมู่บ้านต่างพากันล้มป่วยหลายคน”
“เอาไว้ถ้าปรุงเสร็จแล้ว ผมจะช่วยเอาไปแจกให้ก็ได้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ทศนนท์ยิ้มอย่างชื่นชมในความมีน้ำใจของปรางทิพย์
ด้านนิรชากับกฤตณีเดินขึ้นมาบนบ้านขวัญ เห็นขวัญและลูกๆ วีระ กับสายไหม นั่งร้องไห้อยู่
สองสาวเข้าไปไหว้เคารพศพบอล นิรชายื่นซองช่วยงานให้ขวัญ สามแม่ลูกยกมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณนะคะครูเนียร์ครูคิตตี้”
“ไม่เป็นไรเราคนบ้านเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้วพี่ขวัญ”
“ใช่ค่ะ” นิรชายิ้มให้วีระ “วีระ วันนี้ครูมีอะไรจะมาบอกเธอด้วยนะ”
“มีอะไรเหรอครับครู” เด็กชายยิ้มเศร้า
นิรชาหยิบซองเอกสารออกมาจากกระเป๋าสะพาย “ครูกำลังจะทำเรื่องขอทุนเรียนดีให้เธอ”
วีระก้มหน้าร้องไห้ นิรชาเข้าไปกอดปลอบ
“ดีใจขนาดนี้เลยเหรอ ไม่ต้องร้องนะคนเก่งของครู”
วีระเงยหน้าปาดน้ำตาพยายามเข้มแข็ง “ผมไม่อยากเรียนแล้วครับครู”
นิรชาตกใจ “เกิดอะไรขึ้น วันก่อนเธอยังบอกให้ครูมาคุยกับพ่อแม่เธออยู่เลยนี่”
ขวัญแทรกขึ้น “เรียนไปก็ไม่มีเส้นสายไปต่อสู้กับพวกลูกคนรวยเขาอยู่ดี อีกอย่างพี่บอลก็เพิ่งตาย บ้านฉันขาดเสาหลัก เลยจะให้วีระมันออกมาช่วยดูแลน้อง ฉันจะได้ไปรับจ้างทำงาน”
“แต่วัยของวีระควรจะได้เรียนหนังสือนะคะ และวีระเองก็เรียนดีมาตลอด อย่าให้ออกจากโรงเรียนเลยนะคะ เดี๋ยวครูจะช่วยหาทุนให้เอง”
กฤตณีช่วยเกลี้ยกล่อมขวัญ “ไม่ได้เรียนโตขึ้นจะทำยังไง เป็นผู้ชายต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ยิ่งต้องมีความรู้ติดตัวนะ”
ขวัญร้องไห้ “พวกครูไม่เข้าใจพวกเราหรอก มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียว เผาศพพี่บอลแล้วฉันก็จะพาลูกย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฉันเป็นห่วงวีระมัน”
นิรชาพยายามทัดทาน “แต่...”
ขวัญตัดบทเสียงแข็ง “อย่าพูดอะไรอีกเลยค่ะครู ครูเปลี่ยนความคิดของพวกเราไม่ได้หรอก ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่เพราะผัวฉันตายที่นี่ ฉันไม่อยากให้ลูกเป็นอะไรไปอีกคน”
พูดจบขวัญก็ร้องไห้ออกมาอีก
นิรชามองหน้ากับกฤตณีอย่างสิ้นหวัง วีระก้มหน้าหงอยๆ
ฝั่งทศนนท์นั่งคุยกับปรางทิพย์ที่ห้องรับแขก
“คุยเรื่องสมุนไพรเสียนานเลย จนลืมถามว่าคุณทศมีธุระอะไรหรือเปล่า”
ทศนนท์นึกขึ้นได้ “จริงสินะ ผมลืมไปเลย ผมว่าจะมาถามคุณปรางว่าเมื่อวานผมกลับไปได้ยังไง”
“คุณทศจำไม่ได้เหรอคะ”
“มันน่าแปลกนะครับ ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ไปอยู่ที่ห้องของตัวเองแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น...”
ปรางทิพย์ยิ้มบางๆ พร้อมกับลุกเดินไปจุดไฟตะเกียงเจ้าพายุ
ทศนนท์มองไปยังปรางทิพย์ที่หันหลังจุดตะเกียงอยู่ เห็นเป็นเงาร่างใต้แสงนวล
จนปรางทิพย์ค่อยๆ ผินหน้าหันกลับมายิ้มให้เขา เหมือนส่งสัญญาณให้ตามมา
ทศนนท์สบตากับปรางทิพย์ แล้วสติสัมปชัญญะทั้งหมดของเขาก็หายไปอีกครา
สองคนอยู่ในอีกมิติหนึ่งยามราตรี
ท่ามกลางแสงสีนวลของคืนพระจันทร์วันเพ็ญ ทศนนท์เดินตามหลังปรางทิพย์ไปเรื่อยๆ ปรางทิพย์เดินถือตะเกียงนำทางไปในความมืดของป่าอันรกทึบ ทศนนท์มองไปรอบๆ อย่างสงสัย
“คุณปราง รอผมด้วยครับ”
ปรางทิพย์หยุดเดิน แล้วหันกลับมายิ้มให้เขา
ทางด้านเนตรมายา เอียงหูฟังเห็นเสียงเงียบไปนานแล้วก็เริ่มสงสัย แม่หมอโผล่หน้าออกมาจากใต้โต๊ะที่ซ่อนอยู่ มองไปรอบๆ จนแน่ใจ จึงวิ่งไปดูที่ห้องโถงว่าทำไมทศนนท์กับปรางทิพย์ถึงเงียบไป แต่ต้องประหลาดใจที่ไม่เจอใคร
ฝ่ายปรางทิพย์ถือตะเกียงนำทางมาถึงม่านน้ำตกทางเข้าเมืองลับแล ทศนนท์มองม่านน้ำตกอย่างงงๆ
ปรางทิพย์ถือตะเกียงเดินอ้อมเข้าไปหลังม่าน ทศนนท์เดินตาม ปรางทิพย์หยุดรอ ยื่นใบไม้ทองคำให้ทศนนท์เพื่อเป็นการ์ดพาเขาข้ามเข้าไปในเมืองลับแล
ทันทีที่ทศนนท์รับใบไม้ทองคำมา เกิดแสงสว่างสีขาววาบขึ้นจากมือที่ถือใบไม้ทองคำ ขึ้นมาบนตัวเขา
แสงนั้นวิ่งวนรอบๆ ร่างทศนนท์ เสื้อผ้าบนตัวเปลี่ยนเป็นชุดโบราณที่เทศใส่
ที่แท้ปรางทิพย์เปลี่ยนทศนนท์เป็นเทศ เพื่อเล่าเรื่องราวให้เขาฟังผ่านประสบการณ์เสมือนจริง
ทศนนท์มองดูตัวเองอย่างแปลกใจ
ทศนนท์ในคราบเทศเดินตามทางในถ้ำเข้าไปถึงปากทาง พลันเกิดแสงสว่างเจิดจ้าวาบเข้าหน้าของเทศจังๆ เขาหลับตาแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าตกตะลึง เมื่อมองเห็นทางเข้าเมืองลับแลตรงหน้า
“ที่นี่ที่ไหนกัน”
อ่านต่อตอนที่7