เพรงลับแล ตอนที่4 | เปิดวาร์ปนางลับแล ‘ปรางทิพย์’
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ทศนนท์เดินตามปรางทิพย์มาจนถึงบริเวณน้ำตกในตอนค่ำ พอปรางทิพย์หยุดเดิน ทศนนท์ก็หยุดตาม เขามองไปรอบๆ อย่างสงสัย
“คุณปรางพาผมมาที่นี่ทำไมครับ”
ปรางทิพย์หันมายิ้มให้ทศนนท์แทนคำตอบ
เสียงดนตรีบรรเลงเพลงหวานเศร้าโศกซึ้งดังขึ้น ทศนนท์เหลียวมองหาต้นเสียงว่ามาจากไหน
แต่พอหันกลับมาอีกที ปรางทิพย์ก็หายไปแล้ว พลันแสงสว่างก็วาบเข้าหน้าของเขาจังๆ
ภาพตรงหน้าทศนนท์สว่างวาบกลายเป็นเวลากลางวัน นั่น ทำให้เขาตะลึงตะไลมากกว่าเดิมทบทวี
ทศนนท์มองไปเห็นน้ำตกนางลับแลอยู่ตรงหน้า และด้านหลังของหญิงสาว 4 คน กำลังร่ายรำ ฟ้อนนางโยน อยู่ในน้ำที่หน้าม่านน้ำตก ด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อยงดงาม พวกเธอนุ่งผ้าถุงตีนจกลับแลงสีสันสวยงามและใส่ผ้าแถบสีดำ ห่มทับด้วยผ้าสะหว้าน หรือ สไบสีดำ และเกล้ามวยผมวิดว้องยกสูง เสียบมณฑาทองที่มวยผม
ทศนนท์ยืนจ้องดั่งตกอยู่ในภวังค์
เหล่านางรำนางฟ้อน ร่ายรำดั่งภาพฝัน ค่อยๆ เดินแยกตัวขึ้นจากน้ำ จนเห็นปรางทิพย์ที่นั่งดีดซึงบนโขดหิน ผิวพรรณผุดผ่องเปล่งประกาย
ทศนนท์ตกตะลึงในความงามของปรางทิพย์
นางรำทยอยเดินออกไปหยิบใบไม้ทองคำที่วางอยู่บนโขดหินคนละใบ แล้วเดินหายไปในม่านน้ำตกเหลือเพียงปรางทิพย์ที่เดินตามไปบนโขดหินเป็นคนสุดท้าย เธอพยายามหาใบไม้แต่ไม่เจอ จึงเดินลึกเข้าไปในป่า
ทศนนท์มองตามอย่างสงสัย
ปรางทิพย์กำลังเดินหาใบไม้ทองคำ สีหน้าเธอกระวนกระวายเห็นชัด
ทศนนท์เดินตามมา ด้วยสีหน้าเป็นห่วง เขาอ้าปากจะถามอะไรเธอบางอย่าง
แต่แล้วปรางทิพย์ก็กรีดร้องด้วยความตกใจ ร่างของเธอลอยหวือขึ้นไปติดที่บ่วงตาข่ายของนายพรานบนต้นไม้
ทศนนท์ตกใจจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่จู่ๆก็มีชายหนุ่มอีกคนวิ่งเข้ามามาจากด้านหลังของทศนนท์ แล้วตรงเข้าไปตัดเชือกเพื่อช่วยปรางทิพย์ลงมา
ทศนนท์ยืนมองอย่างแปลกประหลาดใจ
เป็น เทศ นั่นเองที่ช่วยดึงตาข่ายออก ปรางทิพย์ก้มหน้าตัวสั่นด้วยความตกใจ เนื่องเพราะถูกสอนสั่งปลูกฝังมาตลอดว่าโลกมนุษย์น่ากลัวสุดจะบรรยาย
เทศถามด้วยความห่วงใย
“เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม”
ปรางทิพย์ค่อยๆ ตั้งสติแล้วเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง
ปรางทิพย์มองเทศด้วยสายตาซาบซึ้ง ประทับใจ แต่ไม่ตอบอะไร
เทศเองก็มองจ้องปรางทิพย์อย่างหลงใหลเหมือนดั่งต้องมนต์
เทศพยุงพาปรางทิพย์มานั่งที่โขดหินข้างๆ น้ำตก
“เจ้าไม่กลับไปกับเพื่อนๆเหรอ ข้าเห็นเพื่อนของเจ้ากลับกันไปหมดแล้ว”
ปรางทิพย์ตอบ กล้าๆกลัวๆ “เจ้าเห็นพวกข้าด้วยหรือ”
เทศยิ้มขำมองสงสัย “เห็นสิ ไม่เห็นจะช่วยเจ้าได้เหรอ แล้วทำไมเพื่อนเจ้าถึงเดินเข้าไปหลังน้ำตกนั่น บ้านพวกเจ้าอยู่ในนั้นรึ”
ปรางทิพย์ไม่กล้าตอบ
เทศเห็นท่าจะไม่ได้คำตอบเลยหยิบใบไม้ทองคำขึ้นมา
“เจ้าหานี่อยู่ใช่หรือไม่”
ปรางทิพย์ยิ้มดีใจจะรีบดึงใบไม้คืน แต่เทศชักมือกลับยังไม่ยอมคืนให้
“บอกมาก่อนว่าทำไมทุกคนจึงต้องมีใบไม้ทองคำคนละใบ เอาไว้ใช้ทำอะไรรึ”
“เอาไว้ใช้เข้าไปในเมืองของข้า”
เทศมองปรางทิพย์ด้วยสีหน้าไม่เชื่อนัก
“ข้าอยากเห็นเมืองของเจ้า พาข้าไปดูได้หรือไม่”
ด้วยผู้คนในเมืองลับแลจะไม่พูดโกหก ปรางทิพย์จึงต้องพูดปฏิเสธไปตามตรง
“ไม่ได้! เจ้าเข้าไปไม่ได้หรอก เพราะใบเบิกทางมีเพียงคนละใบ ถ้าเจ้าอยากเข้าไป ต้องรอให้ข้ากลับไปขอใบไม้ใบใหม่มาให้ก่อน”
เทศคิดว่าปรางทิพย์คงไม่อยากให้ไปด้วย จึงคืนใบไม้ให้
“งั้นเอาคืนไปเถอะ จะได้กลับบ้านได้”
“ขอบใจจ้ะ”
ปรางทิพย์รับใบไม้ทองคำมาด้วยความดีใจ แล้วรีบเดินไปหลังม่านน้ำตก
เทศมองตามอย่างสงสัยว่าปรางทิพย์หายไปได้อย่างไร เขาตัดสินใจรีบตามไปดู
ทศนนท์ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมด ด้วยสีหน้าแปลกใจระคนสงสัย แต่ดูเหมือนทั้งสองจะไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นั้นด้วย
ในที่สุดเทศก็ตามปรางทิพย์เข้ามาหลังม่านน้ำตก
ทศนนท์เดินตามเทศเข้าไปอย่างสงสัย
พอเทศเข้ามาหลังม่านน้ำตกก็ไม่เห็นปรางทิพย์แล้ว เขามองอย่างประหลาดใจเอามากๆ เมื่อเห็นเป็นแค่หินก้อนใหญ่มหึมาปิดอยู่หน้าถ้ำ ไม่เห็นทางเข้า
เทศมองสงสัย และพยายามเอามือจับหิน เพื่อหาช่องทางเข้าแต่ก็ไม่เจอช่องอะไรเลย
ทศนนท์มองดูเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วอึ้งไป สีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
“โดนผีหลอกเข้าแล้วไอ้เทศเอ๊ย”
เทศบ่น ถอยออกมาอย่างงุนงง
ทศนนท์พยายามตะโกนเรียกเทศ
“คุณเทศ...คุณเทศใช่ไหมครับ”
เทศหันหลังวิ่งผ่านไปโดยไม่เห็นทศนนท์เลย
ทศนนท์มองตามเทศอย่างงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทศนนท์จะวิ่งตามเทศไป แต่จู่ๆ สุบรรณเหราก็บินตัดหน้าเขาไปอย่างฉิวเฉียด
ทศนนท์ตกใจกลัวร้องเสียงหลง
ที่แท้ทศนนท์นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงในห้องนอน เหงื่อกาฬเต็มหน้าเหมือนคนฝันร้าย
ทศนนท์สะดุ้งตื่นเอามือปาดเหงื่อ มองไปรอบๆ ห้อง ทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ก้มลงมองที่มือขวาของตัวเอง เห็นใบไม้ทองคำเหมือนในฝัน ซึ่งเวลานี้มาอยู่ในมือของเขา
ทศนนท์ตกใจรีบลุกขึ้นนั่งแล้วมองที่ใบไม้ทองคำอย่างประหลาดใจ เสียงไก่ขันดังแว่วมา
ทศนนท์ลุกเดินจากเตียง ไปเปิดหน้าต่าง มองไปทางบ้านปรางทิพย์ เห็นบรรยากาศพระอาทิตย์ทอแสงเรื่อเรืองตอนเช้าตรู่
ทศนนท์ยืนมองไปทางบ้านปรางทิพย์ บ่นพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้างุนงง
“ทำไมถึงฝันอะไรแปลกๆ แล้วใบไม้มาอยู่นี่ได้ยังไง”
ศักดิ์ถือถาดปาท่องโก๋กับกาแฟเดินนำเข้ามาในบ้าน มีทศนนท์กับพีรพรเดินเก้ๆกังๆ ตามมาด้วยความเกรงใจ
“เข้ามาได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ บ้านกับร้านก็เหมือนๆกันแหละ”
นิรชากับกฤตณีนั่งกินข้าวกันที่โต๊ะ ทั้งสองมองอย่างสงสัย
“ลูกค้าที่ร้านเยอะไม่มีที่นั่ง พ่อเลยให้นายช่างเดินมารอในนี้ก่อน” ศักดิ์ชี้ให้ทศนนท์นั่งข้างกฤตณี “นั่งตรงนี้เลยครับ เดี๋ยวให้คิดตี้ไปตักข้าวต้มมาให้” ศักดิ์กำชับกฤตณี “ดูแลนายช่างด้วยนะคิตตี้ เดี๋ยวพ่อออกไปช่วยแม่แกก่อน”
กฤตณียิ้มดีใจ “จ้ะพ่อ นั่งเลยค่ะคุณทศคุณพี”
พีรพรยิ้มให้นิรชาแล้วจะตรงเข้าไปนั่งด้วย
“แกนั่งฝั่งนี้กับพี่ดีกว่า จะได้ให้ผู้หญิงเขานั่งด้วยกัน” ทศนนท์บอก
นิรชาเห็นด้วย ดึงถ้วยข้าวต้มกฤตณีมาวางข้างๆ ตัว กฤตณีถือถ้วยเข้ามาแล้วมองงงๆ แต่ก็ไม่ได้ทักถามอะไร
“ข้าวต้มหมูร้อนๆ มาแล้วค่ะ”
กฤตณีวางข้าวต้มลงให้ทศนนท์กับพีรพร
ทศนนท์เป่าแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่พีรพรยังคนๆอยู่อย่างนั้น นิรชามองทศนนท์ขำๆ
“ดูท่าน่าจะหิว เห็นทำงานหามรุ่งหามค่ำ ดึกๆ ดื่นๆ แทนที่จะนอน ออกมาเดินให้หมามันเห่าอยู่ได้”
ทศนนท์งงๆ “คุณพูดถึงใครเหรอ”
“ก็คุณน่ะแหละ เมื่อคืนเห็นเดินเป็นยามเลย”
ทศนนท์ยิ่งงงใหญ่ ตอนท้ายหันไปถามพีรพร “ผมไปเดินที่ไหน เมื่อคืนผมนอนอยู่ที่บ้านทั้งคืน ใช่ไหมพี แกเห็นพี่ออกไปไหนหรือเปล่า”
พีรพรอึกอักไม่แน่ใจ “อืม ผม…ก็ไม่เห็นพี่ออกไปไหนนะ”
นิรชาเถียงทศนนท์ “แต่ฉันเห็นเป็นคุณจริงๆ ถ้าไม่เชื่อวันหลังฉันจะอัดคลิปให้ดู”
ทุกคนมองหน้ากันงงๆ
ร้านกาแฟวันนี้ ผู้คนเข้ามาซื้อของกันไม่ขาดตอน วุ่นวายได้ที่ ศักดิ์กับตาลช่วยกันขายของและชงกาแฟมือเป็นระวิง
สักครู่หนึ่งก็เห็นสุดสวยกับชายซ้อนมอเตอร์ไซค์กันมาจอดที่หน้าร้าน สุดสวยลงรถเดินยิ้มมาทักตาล
“วันนี้คนเยอะจัง จะทำทันเหรอพี่ หาคนงานมาช่วยได้แล้ว”
ตาลตะโกนไปหลังร้านเพื่อเรียกคิตตี้ที่อยู่ในบ้านให้ออกมาช่วย
“คิตตี้ออกมาช่วยหน้าร้านหน่อยลูก อะไรทำได้ก็ทำเองดีกว่า เศรษฐกิจยิ่งแย่ๆอยู่ นี่กะว่าจะเปิดขายตามสั่งอีกนะ จะได้พอกินพอเก็บสักที”
“เดี๋ยวก็รวยจนไม่มีที่เก็บเงินหรอกพี่ตาล”
“ขอให้จริงเถอะ” ตาลยกมือไหว้ท่วมหัว “สาธุ”
กฤตณีเดินมาช่วยที่หน้าร้าน ทศนนท์กับพีรพรเดินตามออกมารอของที่สั่ง
“กาแฟนัวๆ สองถุงเหมือนเดิมใช่ไหมพี่” กฤตณีบอกกับสุดสวยอย่างรู้ใจ แล้วก้มหน้าก้มตาชงกาแฟต่อ “แต่พี่รอแป๊บนะ เดี๋ยวชงให้คุณทศก่อน”
“วันนี้โรงเรียนหยุด ได้พักเลยนะครูคิตตี้” สุดสวยยิ้มรับ แล้วนึกออก “อ้อ เอาปาท่องโก๋ยี่สิบด้วยนะ”
กฤตณีชงเสร็จยื่นถุงกาแฟค่อนถุงปริมาณปกติกับถุงปาท่องโก๋ให้ชาย แล้วยื่นถุงกาแฟเต็มถุงใหญ่กับปาท่องโก๋ให้ทศนนท์
ชายมองถุงกาแฟของทศนนท์เปรียบเทียบกับของตน เหน็บหน้าตาย เซ็งๆ
“ค่าเงินต่างกันเหมือนเงินบาทกับดอลล่าร์”
“ให้ตามปริมาณความหน้าตาดี ไม่ได้ให้ตามค่าเงินหรอกพี่ชาย”
สุดสวยแทรกขึ้น “ตาย…ถ้ายังงั้นต้องชงเพิ่มอีกถุงแล้วล่ะคิตตี้ เพราะพี่ชายหล่อจัดสลัดผักขนาดนี้ ใช่ไหมพี่ชาย”
ชายทำท่าเก๊กหล่อมาดโอปป้า พูดนิ่งๆ
“พี่ว่าพี่ก็ไม่แพ้ใครหรอกนะ ถ้าไปเดินแถวสยาม อาจจะมีแมวมองติดต่อให้ไปเป็นดารา”
“พี่ชายเป็นดาราในใจสุดสวยคนเดียวก็พอแล้ว จะได้ไม่มีใครแย่ง” สุดสวยเอาหลอดเสียบให้ชายดูด “อย่าไปสนใจคิตตี้มันเลยพี่ กินกาแฟเย็นๆ ให้ชื่นใจก่อนเถอะ จะได้รีบไป”
กฤตณีมองทั้งคู่แล้วแอบขำ
ในเวลาต่อมา ทศนนท์กับพีรพรเดินถือถุงข้าวต้มเข้ามาในบ้าน
“เดี๋ยวพี่นุกินข้าวต้มแล้ว แล้วจะได้ให้กินยาสมุนไพรของคุณปรางด้วย...”
แต่แล้วทั้งสองหนุ่มก็ต้องชะงักอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นอนุซิตถือกระเป๋าเดินทางลงมา
“นั่นพี่นุจะไปไหน”
อนุซิตถือกระเป๋ามานั่งที่โต๊ะมุมรับแขก “พวกคุณมาก็ดีแล้ว ผมว่าจะคุยเรื่องงานอยู่พอดี”
ทศนนท์รู้ทัน “เรื่องงานเอาไว้ก่อนก็ได้พี่ ให้หายดีก่อนค่อยไปทำก็ได้”
อนุซิตหนักใจ “ผมว่าผมคงทำต่อไม่ไหว”
พีรพรเดินเข้ามา พูดแทรกขึ้น “อะไรกันพี่นุ ไม่สบายแค่นี้ถึงกับถอดใจเลยเหรอ”
ทศนนท์พยายามทัดทาน โน้มน้าว “นั่นสิ พี่ไปพักก่อนก็ได้ หายดีแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“บอกตรงๆ ผมไม่อยากเอาชีวิตมาเสี่ยงที่นี่ มันได้ไม่คุ้มเสีย” อนุชิตบอกจริงจัง
“พี่นุเชื่อว่าที่พี่ป่วยนั่นเป็นเพราะผีแม่ม่ายเหรอ ผมว่ามันไม่น่าเป็นไปได้”
“คุณไม่เชื่อคุณก็อยู่กันต่อ ส่วนผมมีลูกเมียต้องดูแลคงไม่เสี่ยงดีกว่า”
ทศนนท์อึ้ง ยอมจำนน “งั้นก็ดูแลตัวเองนะพี่นุ หวังว่างานหน้าเราจะได้ร่วมงานกันอีก”
อนุซิตตบไหล่สองหนุ่ม “พวกคุณก็ดูแลตัวเองดีๆนะ ถ้าเห็นท่าจะไม่ดีก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นเถอะ ที่นี่มันอันตราย”
อนุซิตถือกระเป๋าเดินออกไปเลย
ทศนนท์กับพีรพรมองตามอย่างเข้าใจ
ส่วนที่บ้านปรางทิพย์ สาวสวยนั่งอยู่ที่หน้ากระจกโบราณในห้อง ปล่อยผมสยาย เห็นผมยาวสลวย
“เขาเริ่มจำอะไรได้บ้างหรือยังเจ้าคะ”
บัวคำซึ่งกำลังยืนหวีผมให้ปรางทิพย์ที่หน้ากระจก เอ่ยถาม
ปรางทิพย์ลุกเดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง สีหน้าหนักใจ เมื่อมองไปที่บ้านร้างหลังนั้นของเทศ
“คงต้องใช้เวลาสักพัก” ปรางทิพย์น้ำตาคลอด้วยความเจ็บปวด “ตอนนี้เขายังจำอะไรไม่ได้เลย”
บัวคำมองสงสาร
“ถึงอย่างไร แม่หญิงก็ต้องห้ามเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองลับแลให้ผู้ใดรู้นะเจ้าคะ”
ปรางทิพย์พูดออกมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว “พี่ก็รู้ว่าถ้าข้าทำผิดเงื่อนไขที่ให้ไว้กับท่านสุบรรณเหรา แล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
“ท่านคงอยากปกป้องเมืองมิให้ผู้ใดบุกรุกเข้าไปได้อีก ถ้าเขาเป็นคนเดียวกันสักวันเขาก็ต้องจำแม่หญิงได้”
“เมื่อใดที่เขาจำได้ ข้าจะพาเขากลับไปที่นั่น”
ปรางทิพย์ตาเป็นประกายวาววาบ ทั้งรักทั้งแค้น
ทศนนท์ขับรถมากับพีรพร มองไปที่ข้างทางเห็นตาด่านนั่งฟุบอยู่ที่ริมถนน ทศนนท์รีบจอดรถจะลงไปดู คาใจที่ด่านเคยเรียกตนว่าเทศ ตอนเจอกันวันก่อน
“นั่นคนบ้านะพี่ทศ จะลงไปทำไม” พีทักท้วง
ทศนนท์ไม่ตอบ รีบลงไปดู พีรพรตามลงไป
“ตา…ให้ผมไปส่งที่บ้านไหม”
พีรพรนึกกลัว “พี่ อย่าไปยุ่งกับตาแกเลย รีบไปทำงานเถอะ”
ด่านเงยหน้าขึ้นดู ท่าทีสะลืมสะลือ แล้วยิ้มดีใจ
“พี่เทศ พี่นี่ไม่ยอมแก่เลยนะ” ด่านเมา ส่งเสียงอ้อแอ้ จับที่หน้าตัวเอง แล้วนึกอะไรออก “ดูฉันสิเหี่ยวยันนิ้วเลย หรือว่าพี่ไปที่น้ำตกมาใช่ไหม”
ทศนนท์ นึกถึงตอนเห็นนางรำนางฟ้อนกำลังร่ายรำที่หน้าน้ำตกนางลับแล
“พี่ได้ทองมาเยอะเลยใช่ไหม แบ่งให้ฉันบ้างสิ”
ทศนนท์นึกได้ว่า ตอนตื่นขึ้นมาเจอใบไม้ทองคำในมือ
พีรพรบอกทศนนท์ว่า “พี่ทศ ผมว่าอย่าไปสนใจตาแกเลย แค่คนเมาน่ะ”
“เมาแล้วไงวะ ข้าใช้สายน้ำที่เยียวยาจิตใจและทุกสิ่งทุกอย่างโว้ย” ด่านยัวะ
พีรพรงง “อ้าว ก็พูดรู้เรื่องนี่”
ทศนนท์บอกกับพีรพรว่า “ไปรอพี่ที่รถ เดี๋ยวพี่ขอคุยกับตาแกหน่อย”
พีรพรมองงงๆ ทศนนท์พยักพเยิดย้ำอีกครั้ง พีรพรจึงเดินไปที่รถแต่โดยดี
ทศนนท์หันกลับมาหาด่าน “ตารู้จักผมใช่ไหม หน้าผมเหมือนคนชื่อเทศเหรอครับ”
ด่านทำท่าเหมือนจะบอกความจริง แต่กลับไม่บอกดื้อๆ “ไม่พูดๆ รู้แล้วเจ็บปวด โอ๊ย... มันเจ็บปวดนัก”
ด่านรีบลุกเดินหนีไปเลย ทศนนท์มองตามอย่างผิดหวัง
อีกฟาก เนตรมายา นั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งมาดขรึมเคร่งอยู่หน้าแท่นพิธีบนโถงสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ ปากพึมพำคาถาขมุบขมิบดูน่าเชื่อถือ ชาวบ้านทุกคนก้มหน้าด้วยศรัทธา
สักครู่เนตรมายาก็ลืมตาโพลงเปล่งเสียงออกมาว่า
“คืนนี้ ผีแม่ม่ายมันจะออกอาละวาด”
ชาวบ้านมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความหวาดกลัว
จรัลกังวล “แล้วพวกเราต้องทำยังไงเหรอเจ้าแม่
“ไปเตือนทุกคน ให้อยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ อย่าออกมาดู”
“แต่ผมมีธุระต้องออกไปจะทำยังไงดีเจ้าแม่” ชาย1 ถาม
เนตรมายาตอบเสียงแข็ง “แกอยากลองดี ก็ลองดู อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”
มินตาบอกกับชาวบ้านชาย1 ว่า “พี่ก็ไม่ต้องกลับมาสิ ไปนอนที่อื่นก็ได้นี่ ไม่งั้นก็ไปวันอื่นแทน”
“ไม่งั้นเมียแกได้เป็นหม้ายแน่ๆ” ถนอมว่า
“ใช่ ทุกครั้งที่เจ้าแม่ทักอะไรมามันก็เกิดขึ้นจริงทุกที อย่าเสี่ยงเลยนะ” เสถียรบอก
ทุกคนถกเถียงกันเป็นที่วุ่นวาย
เสถียรและถนอมเดินเข้ามานั่งลงในร้านกาแฟตอนเย็น พร้อมกระจายข่าวจากสำนักเจ้าแม่
“ประกาศๆๆ คืนนี้เจ้าแม่บอกให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด” เสถียรเอ่ยขึ้น
ทุกคนหันมามองเสถียรอย่างสนใจ บางคนเดินเข้าไปฟังใกล้ๆ
มีเสียงตามสายดังขัดขึ้น เป็นเสียงของผู้ใหญ่จรัล
“ประกาศๆ ไม่มีอะไรมาก คืนนี้ให้ทุกคนเข้านอนแต่หัววัน เพราะผีแม่ม่ายจะออกอาละวาด จบประกาศ”
ผู้คนในร้านต่างพากันแตกตื่น ยกเว้นนิรชา
“ทำไมทุกคนถึงเชื่ออะไรง่ายๆแบบนี้นะ” นิรชาถอนหายใจ
“ครูอาจจะไม่เชื่อ แต่พวกเราชาวบ้านมีความเชื่อเรื่องนี้กันมาตั้งนานแล้ว ช่วงคืนเดือนดับ มันเป็นวันที่พวกผีพากันออกมาขอส่วนบุญ”
กฤตณีเชื่อเรื่องนี้อยู่บ้างเลยปรามนิรชา “แกเข้าไปข้างในเถอะ”
“อย่าบอกนะว่าแกก็เชื่อไปกับเขาด้วย”
กฤตณีพยักหน้ารับเบาๆ
“แม่ก็โตมากับความเชื่อแบบนี้เหมือนกัน ตอนเด็กๆ ในช่วงใกล้คืนเดือนดับยายจะห้ามออกไปวิ่งเล่นที่ไหนเลย”
ศักดิ์คิดอย่างเป็นกลาง “หรือไม่ก็อาจจะเป็นกุศโลบายของคนโบราณที่ห้ามออกไปเพราะมันมืด อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้”
นิรชาเห็นด้วย “หนูว่าพ่อน่าจะพูดถูกนะคะ เพราะสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า”
ถนอมได้ยินตั้งแต่ต้น ชักเริ่มไม่พอใจนิรชา “ครูคิดต่างได้ แต่จะเปลี่ยนความเชื่อใครไม่ได้หรอก”
“ก็ครูไม่ใช่ผู้ชายนี่ ถึงได้ไม่กลัวผีแม่ม่าย” ชาย 1 ว่า
ชาย2 เห็นด้วย “ใช่ๆ พวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะ มืดมาจะลำบาก”
นิรชาเหนื่อยใจที่เห็นชาวบ้านทุกคนเชื่อเรื่องนี้เต็มที่ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้
บ้านปรางทิพย์ทั้งหลังมืดสนิท บรรยากาศเงียบสงัด มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น
เป็นเสียงร้องของปรางทิพย์นั่นเองที่กำลังนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้นในห้องลับ
สักครู่หนึ่งปรางทิพย์จึงลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น ก่อนจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง กลายร่างเป็นหญิงแก่ พิณทิพย์ ทั้งตัวแล้ว
ที่ห้องโถงรับแขก บัวคำหันไปมองตามเสียงกรีดร้องอย่างเป็นห่วง
“แม่หญิง!”
ขณะเดียวกันนิรชานั่งตรวจการบ้านนักเรียนอยู่ที่โต๊ะในห้องนอน จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงเรียกของกฤตณี
“เนียร์ ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
“เข้ามาสิ”
กฤตณีเอาผ้าห่มคลุมโปงเห็นแค่หน้าทาแป้งขาววอก ท่าทางเหมือนคนกลัวผี
“อะไรของแกเนี่ย! ยัยคิตตี้”
กฤตณีมองไปเห็นหน้าต่างเปิดอยู่ รีบวิ่งเข้าไปปิดหน้าต่างทุกบานทันที
“แกจะเปิดหน้าต่างท้าผีหรือไง เดี๋ยวก็เจอดีหรอก”
“มาสภาพนี้คือ…”
กฤตณีอ้อนวอน “ขอนอนด้วยนะแก”
เสียงหมาหอนดังประสมกับเสียงนกแสกชวนสยองขวัญ กฤตณีรีบวิ่งไปกอดนิรชา
“ผีมันออกมาแล้วอะ ที่นี้แกเชื่อยัง ดูสิหมาหอนรับกันด้วย”
นิรชากำลังจะพูด เสียงดนตรีไทยดังขัดจังหวะขึ้น และมีเสียงแทรกมาเหมือนเสียงเดินลากเท้าดังแกรกๆ อยู่ที่ถนน
นิรชาลุกเดินจะไปเปิดหน้าต่างดูว่าเสียงอะไรกันแน่
“เฮ้ย...เนียร์”
กฤตณีเข้าไปดึงตัวนิรชาไว้ แล้วส่ายหน้าเชิงขอร้องว่าห้ามเปิด
คืนนี้ ชายใส่ผ้าถุงกับเสื้อคอกระเช้าสยายผมยาว นั่งดูโทรทัศน์หันหลังให้กล้อง ในห้องปิดไฟมืด มีแค่แสงไฟจากโทรทัศน์ สุดสวยใส่ชุดนอนเดินเข้ามาเห็นชายเข้าก็ตกใจ
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากในโทรทัศน์ เสียงเหมือนตอนกระสือถอดหัว
“พี่ชายทำไมมานั่งดูโทรทัศน์มืดๆแบบนี้ น้องสวยตกใจหมด แล้วนี่ดูอะไรเสียงโหยหวนน่ากลัวจัง”
ชายค่อยๆ ผินหน้ามา มีแค่แสงไฟสลัว ๆ จากโทรทัศน์
สุดสวยมองตกใจตาค้าง
ชายใส่วิกผมยาวทาปากแดงแปร๊ด
สุดสวยหลุดปาก “อุ๊ตะ! สวยกว่าฉันแต่งอีกนะเนี่ย”
ชายมองหน้านิ่งๆ “น้องสวยตกตะลึงในความงามของพี่เหรอจ๊ะ”
“ปิดๆ รีบไปนอนได้แล้ว วันนี้จะเปลี่ยนบรรยากาศ”
“แต่พี่ติดละครเรื่องนี้ ขอดูอีกหน่อยนะ”
สุดสวยมองไปที่โทรทัศน์หันหลังให้ท่าทีงอนๆ “อารมณ์เสีย ติดละครทีไรลืมเมียทุกทีเลย”
ชายเข้าไปกอดสุดสวยจากด้านหลัง
“พี่จะลืมเมียสุดสวยของพี่ได้ยังไงล่ะ”
สุดสวยยิ้มพอใจ เสียงร้องโหยหวนของหญิงสาวดังขึ้น
“บอกให้ปิดที...”
สุดสวยโมโหจะหันกลับมาด่าชายที่ไม่ยอมปิดโทรทัศน์ แต่ต้องชะงักไป
โทรทัศน์ปิดแล้ว เพราะไฟดับ และมีเสียงดังมาจากด้านนอก
สองคนมองหน้ากันเหวอๆ ชายตกใจวิ่งหนีเข้ามุ้งไปโดยไม่รอ สุดสวยวิ่งตามพลางตัดพ้อ
“พี่ชายทิ้งน้องเลยเหรอ”
“พี่ไม่ได้ทิ้ง พี่แค่ตกใจมันเลยลืมตัว”
ชายรีบเปิดมุ้งดึงตัวสุดสวยเข้าไปด้วยกัน
บรรยากาศในหมู่บ้านนางลับแลตอนกลางคืนมืดสนิท และเงียบสงัด ลมพัดแรงดังหวีดหวิว เสียงร้องโหยหวนของหญิงสาวดังไปทั่วหมู่บ้าน สลับกับเสียงหมาหอน เสียงนกแสกร้องดังรับกันเป็นทอดๆ
เห็นร่างเหมือนผู้หญิงเดินตัวลอยๆ ไป ในความมืดบนถนน
ขณะที่ทศนนท์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านพัก พีรพรมองไปรอบๆ มีแต่ความเงียบสงัด และมืดสนิทเพราะไฟดับทั้งหมู่บ้าน
“ทำไมวันนี้หมู่บ้านดูเงียบแปลกๆ”
ทศนนท์มองไปรอบๆ “ไฟดับหรือเปล่า มืดทุกหลังอย่างนี้”
เสียงเดินลากเท้าดังขึ้น แกรก...แกรก ทศนนท์มองหาที่มาอย่างสงสัย
“เสียงอะไร”
พีรพรมองไปด้านหน้า เหมือนมีผู้หญิงเดินอยู่ในความมืด เป็นจังหวะเดียวกับทศนนท์ปิดไฟหน้ารถเพื่อจะดับเครื่องยนต์ พีรพรตกใจกลัว รีบร้องบอก
“พี่ทศๆ เปิดไฟหน้าก่อน ผมเห็นเหมือนผู้หญิงเดินอยู่ตรงถนน”
ทศนนท์เปิดไฟอีกรอบ บนถนนมีเพียงความมืดและลมพัดฝุ่นคลุ้ง ไม่เห็นอย่างอื่น
“แกคงตาฝาดมั้ง ไม่เห็นมีอะไรเลย”
พีรพรยืนยัน “แต่ผมเห็นจริงๆนะพี่ แล้วเสียงที่ดังอยู่นี่อีกล่ะ มันคืออะไร”
เสียงลากเท้ายังคงดังแกรกๆ แต่ไกลออกไป
ขณะที่ทั้งคู่กำลังถกกันอยู่นั้น ก็มีเงาตะคุ่มๆ เหมือนคนวิ่งผ่านไปในความมืด
พีรพรตกใจกลัวเสียงสั่น พูดลิ้นพันกัน
“พะ...พี่ทศ เรารีบเข้าบ้านกันเถอะ ดูจากอาการแล้วผีชัวร์”
ทศนนท์ไม่กลัว “จะยากอะไร ก็ไปดูให้เห็นกับตาสิ จะได้รู้ว่าคืออะไรกันแน่ ถ้าเป็นผีเราก็สวดมนต์แผ่เมตตาให้ซะ”
ทศนนท์เปิดประตูรถ พีรพรขอร้อง พลางมองไปรอบๆ ด้วยความกลัว
“อย่าตามไปเลยพี่ ผมไม่อยากรู้หรอกว่ามันคืออะไร”
ทศนนท์เปิดประตูรถเดินออกไปไม่สนคำพูดพีรพร
ทศนนท์เอามือถือส่องไฟตามเงาตะคุ่มๆ พยายามวิ่งตาม แต่ไม่เห็นอะไร พีรพรวิ่งตามหลังมาด้วยท่าทีหวาดกลัว
“เข้าบ้านเถอะพี่ ผมว่ามันแปลกๆ”
“ป๊อดไปได้น่าพี ไม่เห็นมีอะไรเลย”
แต่แล้วสีหน้าพีรพรก็ตื่นตกใจสุดขีด ค่อยๆ ก้มมองที่ไหล่ตัวเอง เห็นมีมือเหี่ยวๆ ดำๆ จับอยู่
พีรพรสติหลุด ร้องลั่น รีบสะบัดไหล่อย่างแรง แล้ววิ่งไปหาทศนนท์
“ช่วยด้วยพี่ทศ ช่วยผมด้วย...”
ทศนนท์เอามือถือส่องดู แล้วถอนหายใจ เมื่อเห็นตาด่านยืนยิ้มอยู่ในความมืด
“ที่แท้ก็ตาเองเหรอ ออกมาทำอะไรมืดๆ ครับ”
พีรพรหันไปมองเห็นตาด่านยิ้มแยกเขี้ยวยิงฟัน เขาถึงกับทรุดลงพื้นอย่างหมดแรง
“โธ่ ตา…อย่าทำแบบนี้อีกนะ หัวใจจะวาย”
ด่านถามพีรพรด้วยสีหน้านิ่งๆ เสียงอ้อแอ้ “แกเจอใช่ไหม ข้าก็เจอ”
“เจออะไรครับตา” ทศนนท์สนใจ
“เดือนดับ เงียบสงัด เปล่าเปลี่ยวใจ”
พูดจบตาด่านก็เดินเมาออกไป
ทศนนท์ตะโกนตามหลัง
“ตาอย่าเพิ่งไป ผมขอถามอะไรหน่อยสิครับ”
ตาด่านไม่สนใจเดินเมาแอ๋ร้องเพลงหายไปในความมืด
“จันทร์เอ๋ยไฉนเลยมารักท้องฟ้า แล้วคนอย่างข้า จะมีหน้าไปอยู่ที่ไหน”
“พี่จะไปถามเอาอะไรกับแก ไม่เคยเห็นแกพูดรู้เรื่องเลย”
ทศนนท์มองตามตาด่านไปอย่างครุ่นคิด
ภายในห้องที่บ้านหลังหนึ่ง หน้ากากผีคนแก่ วิกผม ผ้าถุง และสไบที่ผีแม่ม่ายใส่ถูกโยนลงกับพื้นห้อง
ประกิตลูกน้องทรงกลดยืนอยู่ในเงามืด กำลังกดโทรศัพท์คุยกับใครบางคน
“เรียบร้อยแล้วครับนาย เรื่องไอ้ทองก็ไม่มีใครรู้แน่ครับ”
บรรยากาศในหมู่บ้านตอนเช้า ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านกลายเป็นสีแดงเหมือนจะเกิดเหตุอาเพศ
มินตากับถนอมเดินเข้ามาซื้อของในร้านบ้านกฤตณี มนตาคุยกับตาลออกท่าทางขนลุกเวอร์ๆ
“เมื่อคืนพวกพี่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนไหม พูดแล้วขนลุกไม่หาย ฉันไม่คิดเลยนะว่าเจ้าแม่จะแม่นขนาดนี้”
ชาวบ้านต่างสนใจรีบเข้ามาสมทบ
“ได้ยินสิ ไหนจะไฟดับอีก ฉันงี้นอนไม่หลับเลย” ตาลหันไปถามศักดิ์ “ใช่ไหมพี่”
ศักดิ์ง่วนอยู่กับการชงกาแฟ พยักหน้ารับไปงั้นๆ ไม่ได้สนใจอะไรมาก
“เจ้าแม่เนตรตาทิพย์บอกผีแม่ม่ายมันจะออกมา มันก็มาจริงๆ” มินตาสำทับ
นิรชาไม่เชื่อแทรกขึ้น “พี่เห็นกับตาเหรอว่าผีแม่ม่ายออกมาจริงๆ”
“โอ๊ย…มาแค่เสียงก็ชัดแล้ว เรื่องอะไรฉันจะให้พี่ถนอมเสี่ยงออกไปล่ะ เกิดมันเอาตัวผัวฉันไปจะทำยังไง”
“ก็น่าจะออกไปถ่ายคลิปนะคะ จะได้รู้กันชัดๆไปเลยว่าเสียงเมื่อคืนมาจากไหน”
“ที่จริงเสียงมันก็ดังมาจากแถวๆ นี้นะ” มินตาสงสัยนิรชากับปรางทิพย์
ชาวบ้าน1 คล้อยตาม “ฉันได้ยินเหมือนมีเสียงร้องดังมาจากทางบ้านคุณปราง”
ชาวบ้าน2 ก็เห็นด้วย “ฉันก็ว่างั้น เสียงร้องโหยหวนมันดังอยู่แถวๆบ้านนั่นแหละ”
กฤตณีมองเอาเรื่อง “พูดแบบนี้ พวกเจ๊จะบอกว่าฉันเป็นผีแม่ม่ายหรือยังไง”
“แกกับแม่แกอะ ยังไงก็ไม่ใช่ แต่ไอ้พวกเข้ามาอยู่ใหม่นี่” มินตาปรายตามองนิรชา “ฉันไม่แน่ใจ”
ถนอมปรามมินตา “ไปๆ เดี๋ยวต้องไปช่วยผู้ใหญ่เตรียมงานอีก”
มินตาเดินตามถนอมออกจากร้านไป ชาวบ้านยังจับกลุ่มเม้าท์กันต่อ
ระหว่างนี้ตาด่านนั่งหันหลังไม่สนใจจับกลุ่มพูดคุยกับใคร แถมแต่งชุดขาวสุภาพเหมือนคนละคนจากที่เคยเห็น
สักครู่หนึ่ง ทศนนท์กับพีรพรเดินเข้ามาในร้าน ทศนนท์เดินไปสั่งของกับศักดิ์
“ขอปาท่องโก๋กับกาแฟ และก็…”
ศักดิ์จำได้ “ติดใจข้าวต้มล่ะสิ คิตตี้ไปตักข้าวต้มให้นายช่างหน่อย”
กฤตณียิ้มแต้ดีใจ
ทศนนท์เดินไปสมทบกับพีรพรที่โต๊ะ พีรพรกำลังคุยจ้อกับชาวบ้านเรื่องเมื่อคืน
“เมื่อคืนผมกับพี่ทศนี่เจอเต็มๆ”
“คงเป็นชาวบ้านแถวนั้นแหละ”
พีรพรเหลือบไปเห็นตาด่านนั่งอยู่คนเดียว มองสงสัยว่าใครกันแน่ จนแน่ใจว่าคือด่าน
“ใช่ตาคนเมื่อคืนหรือเปล่าพี่ ทำไมหน้าเหมือนกันจัง”
ทศนนท์มองสงสัย “ใช่ แต่ทำไมวันนี้ดูเหมือนคนละคนกันเลย”
ศักดิ์เดินเข้ามา เอาของให้ลูกค้า
“น้าศักดิ์ครับ” ทศนนท์ชี้ให้มองที่ด่าน “นั่น…”
“อ๋อ…ตาด่านนั่นแหละ วันนี้วันครบรอบพ่อแกเสีย แกเลยไม่กินเหล้า ก็จะเป็นอย่างที่เห็น สติสตังค์ครบแบบนี้แค่ปีละไม่กี่ครั้งเท่านั้นแหละ”
ทศนนท์จะถามต่อ แต่มีเสียงตามสายดังขัดจังหวะขึ้นก่อน
“ประกาศๆ ไม่มีอะไรมาก ให้ทุกคนมาประชุมที่ศาลากลางหมู่บ้าน...”
ทุกคนตั้งใจฟังเสียงตามสาย
ผู้ใหญ่จรัลประกาศเสียงตามสายอยู่ที่บ้าน
“วันนี้เป็นวันแข็ง วันที่ห้า เดือนห้า วันอังคาร เราจะต้องมารวมตัวกันเพื่อทำพิธีกลลวง ผมในนามผู้ใหญ่จรัล ขอความร่วมมือให้พวกท่านมารวมตัวกันโดยด่วน และจงนำข้าวของเครื่องใช้ติดตัวมาเพื่อจะทำพิธีอพยพออกจากหมู่บ้านตามประเพณีโบราณ ไม่งั้นพวกเราชาวนางลับแลจะอยู่หมู่บ้านนี้ไม่เป็นสุข เอาล่ะไม่พูดเยอะเจ็บคอ จบประกาศ”
เกิดความโกลาหลในร้านกาแฟ หลังสิ้นสุดประกาศเสียงตามสาย ตาลกับศักดิ์กำลังวุ่นวายกับการปิดร้าน
ชาวบ้านถามตาลเซ็งแซ่ด้วยท่าทางรีบร้อน “พี่ทั้งหมดเท่าไหร่”
“ไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยมาจ่าย ฉันจำได้”
หมอปรัชญาเดินเข้ามาในร้าน หลังจากได้ยินเสียงประกาศแล้ว
“ผมคงไม่ต้องไปใช่ไหม”
“ไม่ต้องละมั้ง เราไม่เกี่ยวสักหน่อย”
“แต่ผมว่า ยังไงเราอยู่ที่นี่ ก็น่าจะให้ความร่วมมือกับชาวบ้านนะ” ทศนนท์บอก
กฤตณียิ้มปลื้มมองชื่นชม “สามีมโนของตี้ ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์”
นิรชาปฏิเสธ “ไปฉันก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง สู้รออยู่ที่นี่น่าจะดีกว่า”
“ไม่ได้นะเนียร์ พิธีนี้ทุกคนต้องไป เพราะเขาห้ามใครอยู่ในหมู่บ้านเด็ดขาด ไม่งั้นหมู่บ้านจะเกิดอาเพศ” คิตตี้ว่า
“รีบไปเก็บของได้แล้วลูก” ตาลบอกนิรชาและทุกคนเชิงให้ข้อคิด “เรื่องวันแข็งเนี่ย ที่นี่เขาให้ความสำคัญมาก และทำกันมาแต่โบราณแล้ว ถือว่าแม่ขอนะลูก ไม่เชื่อก็ไปดูเพื่อเป็นความรู้ก็ได้”
ทศนนท์เห็นดีด้วย “ผมว่าพิธีแบบนี้ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ นะคุณ”
นิรชาพยักหน้าเข้าใจ “งั้นก็ถือว่าไปดูเป็นประสบการณ์ก็แล้วกัน”
“งั้นผมไปด้วย” หมอบอก
ตาด่านเดินออกไปอย่างรู้งาน
“วันนี้ไม่เมาเหรอตาด่าน” ชาวบ้านแซว
“วันนี้วันแข็ง ใครเขากินเหล้ากัน”
ด่านตอบมาดขรึม แล้วเดินออกไปอย่างสงบเสงี่ยม ทศนนท์มองตามอย่างแปลกใจ
เห็นชาวบ้านกำลังทยอยเข้ามาที่ศาลาประชาคมในหมู่บ้าน แต่ละคนจะแบกหม้อแบกข้าวของเหมือนจะย้ายบ้านติดตัวมาด้วย
จรัลมองนาฬิกาดูเวลา “เอาล่ะ เริ่มเลยนะ เดี๋ยวพวกที่ไปรออยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านจะรอนาน”
เสถียรกับถนอมช่วยกันแจกเกราะไม้ไผ่ เพื่อเอาไว้เคาะไล่สิ่งอัปมงคล
จรัลเริ่มพิธีกลลวง โดยถือคบเพลิงเดินนำหน้าชาวบ้าน พลางประกาศ
“พวกเราชาวหมู่บ้านนางลับแล ขอออกไปตั้งรกรากเพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
คบเพลิงในมือที่ผู้ใหญ่จรัลชูขึ้น
“แสงนี้ เป็นแสงนำทางให้พวกเราได้ไปเจอทางสว่าง และหนทางที่ดี”
จรัลส่งสัญญาณกับทุกคนให้เคาะเกราะไม้ไผ่ได้ เพื่อให้เสียงนี้เป็นเสียงขับไล่สิ่งชั่วร้าย
ทุกคนเดินขบวนกันออกไป
นิรชา ปรัชญา พีรพร เดินเก้ๆกังๆ ทำตัวไม่ถูก ตามไปโดยดี ทศนนท์มองหาปรางทิพย์ไปด้วย
ทุกคนกำลังจะเดินออก จู่ๆ เสถียรก็ทักขึ้น
“แล้วคุณปรางกับคุณบัวคำล่ะ”
เนตรมายาได้ยินชื่อปรางทิพย์ก็ตาลุกวาว สัมผัสได้ถึงพลังพิเศษบางอย่าง
“พวกเขาเพิ่งมาอยู่ คงยังไม่รู้จักพิธีของพวกเรา เดี๋ยวฉันไปตามเอง” จรัลนึกได้หันไปสั่งถนอม “พาคนอื่นๆไปรอที่ปากทางเข้าหมู่บ้านก่อน”
“ผมไปเป็นเพื่อนผู้ใหญ่เองครับ” ทศนนท์อาสา
“เนตรไปด้วยค่ะ”
ทุกคนหันมองมองเนตรมายา สงสัยว่าแม่หมอคนสวยจะตามไปทำไม
ทศนนท์ จรัลและเนตรมายาเดินมาถึงหน้าบ้านปรางทิพย์
จรัลมองหาปรางทิพย์กับบัวคำ แต่เห็นในบ้านไม่มีความเคลื่อนไหว ขณะที่ผลักประตูรั้วเข้าไป แต่ประตูบ้านเปิดออก เห็นบัวคำเดินลงบันไดมาหา
“คุณปรางล่ะครับ” จรัลถาม
“คุณปรางออกไปเยี่ยมญาติในเมือง”
ทศนนท์มองงงๆ ว่าไปตั้งแต่ตอนไหน
“งั้นคุณก็ไปร่วมทำพิธีกับพวกเรา”
“ฉันไม่สะดวกจริงๆ”
เนตรมายาเหมือนรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติในบ้าน มองอย่างจับผิด
“ไม่สะดวกหรือมีอะไรปิดบังพวกเราอยู่”
บัวคำจ้องตอบเหมือนต่างคนต่างรู้กัน “ฉันกลัวว่าไปแล้วจะทำอะไรไม่ถูกแค่นั้นเอง”
จรัลพยายามผูกมิตร “ไม่ต้องกลัวหรอกครับ นี่ก็มีแต่คนกรุงทั้งนั้น”
บัวคำพยักหน้ารับเข้าใจ “งั้นฉันปิดประตูก่อน”
ในขณะที่บัวคำเดินกลับไปปิดประตู เนตรมายามองไปที่หน้าต่างชั้นบนเห็นพิณทิพย์โผล่มามองแล้วรีบฉากหลบไป
“มีคนอยู่บนบ้าน” แม่หมอบอก
บัวคำปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้ ฉันอยู่แค่คนเดียว”
“ถ้าไม่ใช่คน ก็คงจะเป็นผีสินะ”
ทศนนท์ตัดบท “รีบไปกันดีกว่านะครับ เดี๋ยวทุกคนจะรอ”
จรัลเห็นด้วย “งั้นไปกันเลย”
เนตรมายามองบัวคำอย่างคลางแคลงสงสัย
ที่บริเวณทุ่งนาเป็นลานกว้างใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลอง บรรยากาศร่มรื่น
ทุกคนต่างพากันปูเสื่อใต้ร่มไม้ และจัดเตรียมข้าวของจ้าละหวั่น บ้างจับกลุ่มคุยกันสรวลเสเฮฮา
ผู้ใหญ่จรัลตะโกนบอกกับทุกคนว่า
“แยกย้ายกันไปหาของมาทำกับข้าวกินที่นี่ก็แล้วกัน แล้วก็พักเอาแรงไปก่อน ได้ฤกษ์กลับเข้าหมู่บ้านเมื่อไรแล้วฉันจะบอกอีกที”
ชาวบ้านต่างแยกย้ายกันไปอย่างรู้งาน
ตาด่านนั่งแยกตัวไม่สนใจใคร ทศนนท์เดินเข้ามาคุยด้วย
“ตาผมขอนั่งด้วยคนนะครับ”
ตาด่านไม่ว่าอะไรเอาแต่นิ่งมองเหม่อ ถนอมเข้ามาเตือนทศนนท์
“ปล่อยแกเถอะนายช่าง ถ้าแกไม่กินเหล้าแกไม่พูดกับใครหรอก”
ทศนนท์ยิ้มรับ แล้วเดินออกไป
ระหว่างทางเห็นชาวบ้านชายกำลังหว่านแหในคลอง มีพวกผู้หญิงช่วยกันเก็บปลา
นิรชากับกฤตณีกำลังช่วยกันเตรียมหุงหาข้าวปลาอาหาร นิรชามองไปรอบๆ
“ไม่มีเตาเหรอเนี่ย”
“ใครจะแบกมาล่ะแก เดี๋ยวฉันไปหาฟืนแถวๆ นี้ก่อน”
กฤตณีเดินออกไป นิรชาเดินไปจะก้มลงอุ้มก้อนหิน แต่มีมือใครบางคนเข้ามาช่วยอุ้มก่อน
“ไหวไหม มาผมช่วย”
“ขอบคุณค่ะ งั้นก็ช่วยไปเอามาเพิ่มอีกสามก้อนด้วยนะคุณ”
ทศนนท์อุ้มก้อนหินมาวางตั้ง “วางตรงไหนครับ”
นิรชาชี้สั่งให้ทศนนท์วางตามจุด ทศนนท์เผลอทำหินบาดมือตัวเอง
“โอ๊ย”
นิรชาตกใจ รีบเข้าไปดูมือทศนนท์
“เป็นอะไรไหม เลือดออกหรือเปล่า”
นิรชาลืมตัว จับมือทศนนท์เข้ามาดูใกล้ๆด้วยความเป็นห่วง
“ดีนะ แค่ถลอกนิดหน่อย”
นิรชาดึงโบว์ผูกผมตัวเองมาพันมือให้ทศ
“เดี๋ยวกลับเข้าหมู่บ้านแล้วรีบใส่ยาเลยนะคุณ”
ทศนนท์ลอบมองนิรชาอย่างรู้สึกดีๆ นิรชารู้ตัวเงยหน้าขึ้นดู ทศนนท์รีบเสมองไปทางอื่น นิรชากลัวว่าคนอื่นจะเห็นรีบเปลี่ยนเรื่อง
“คุณไปนั่งเถอะ เดี๋ยวฉันจัดกันเอง”
กฤตณีแบกฟืนมาวางให้ นิรชาใช้หินถูกกันเตรียมก่อไฟแบบลูกเสือ ทศนนท์ยื่นไฟแช็คให้ นิรชารับไปแบบเขินๆ
พีรพรถือปลาเข้ามา บอกทศนนท์ด้วยความภาคภูมิใจ
“พี่ทศดูสิ ได้ปลามาเยอะเลย ชาวบ้านที่นี่เก่งมากเลยนะพี่”
“ไม่เก่งอย่างเดียวนะหน้าตาก็ดีด้วย” คิตตี้ดึงปลาไป “เอามา ฉันจะทำต้มยำ”
เนตรมายาเดินเข้ามาหาทศนนท์มองเห็นมือเขาก็ทักถาม
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ อ้าว มือไปโดนอะไรมาคะ”
กฤตณีหมั่นไส้ “ช่วยทำกับข้าวไหมคะ”
เนตรมายาเฉไฉ “ฉันไม่ค่อยถนัด”
“งั้นก็ไปนั่งรอกินเถอะค่ะ หรือไม่ก็ไปนั่งรอให้ผีมาเข้าคุณน่าจะถนัดมากกว่า”
เนตรมายามองตาขวาง กฤตณีลอยหน้าลอยตาไม่กลัว
นิรชาถือหม้อข้าวใบใหญ่เข้ามา ท่าทางหนัก ทศนนท์กำลังจะเข้าไปช่วย แต่พีรพรวิ่งเข้าไปช่วยก่อน
“ครูหุงข้าวเช็ดน้ำเป็นด้วยเหรอ หายากมากผู้หญิงแบบนี้”
นิรชายิ้มรับแล้วรีบไปเตรียมกับข้าวต่ออย่างคล่องแคล่ว พีรพรมองอย่างเป็นปลื้มชื่นชม
ทศนนท์เริ่มมองนิรชาด้วยท่าทีเปลี่ยนไป แววตาอ่อนโยนมากขึ้น
ทุกคนตั้งวงกินข้าว โดยปูเสื่อกับพื้นและนั่งเรียงแถวยาวกลางทุ่งนา เหมือนงานบุญในต่างจังหวัด
ทุกคนช่วยกันตักอาหาร เห็นถึงความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความสัมพันธ์ที่ดีของคนในหมู่บ้านนางลับแล
ทุกคนมองอาหาร ที่จัดวางบนใบตอง เหมือนไปกินป่า มีปลาเผา น้ำพริกผักลวก ต้มยำปลา ผัดผักกระเฉด หน้าตาน่ากิน
“นี่ฝีมือป้าตาลใช่ไหม น่ากินมากเลย สมแล้วที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของคนในหมู่บ้าน” มินตายิ้มย่อง
ตาลยิ้มเขิน “ข้าไม่ได้ทำ วันนี้ครูเนียร์กับนังคิตตี้ช่วยกันทำเกือบทั้งหมด”
“จะสวยแต่รูปจูบไม่หอมหรือเปล่าเนี่ย” มินตาเปลี่ยนสีหน้าท่าทีทันควัน ตักชิมแล้วเบ้ปาก “ก็งั้นๆ”
สุดสวยตักกับข้าวเข้าปากชิมแล้วเบิกตาโต
“หูย...นี่มันระดับภัตตาหารเลยนะ ไม่น่าเชื่อครูจะทำกับข้าวเป็น”
“น้องสวยภัตตาหารนี่อาหารพระ ไม่พูดผิดนะเดี๋ยวบาปกรรม”
“เขาเรียกภัตตาคารโว้ย นังสวย”
จรัลหลุดขำ หัวเราะคิกคักบรรยากาศเฮฮาเต็มไปด้วยความสุข พอผู้ใหญ่มองท้องฟ้าเห็นเป็นสีปกติแล้ว จึงประกาศกับทุกคน
“วันนี้ขอบคุณที่ทุกคนให้ความร่วมมือนะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ เราก็น่าจะทันฤกษ์กลับเข้าหมู่บ้าน งั้นทุกคนลงมือกินกันเลย”
ทุกคนกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย
ต่อมา ทุกคนเดินแบกข้าวของแห่ขบวนเข้ามาในหมู่บ้าน บางคนถือคบเพลิงและตีเกราะไปด้วย
จรัลทำพิธีกลลวง โดยมองไปที่ป้ายหมู่บ้านซึ่งเขียนว่า “หมู่บ้านนางลับแล” แล้วตะโกนออกมาเสียงดัง
“หมู่บ้านนี้อุดมสมบูรณ์ดีจัง ได้อยู่แล้วคงจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าไม่มีใครอยู่แล้วเราขออนุญาตเข้าไปตั้งรกรากที่นี่นะ”
จรัลเดินนำเข้าไป แล้วส่งสัญญาณให้ทุกคนตามเข้าไป
ทุกคนตีเกราะเคาะไม้อย่างดีใจ และยิ้มมีความสุขเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
ตาด่านแทรกตัวออกมาเดินนำทุกคนเข้าไปในหมู่บ้านก่อนใคร จรัลเห็นแต่ไม่สนใจ หันมาบอกชาวบ้านว่า
“เดี๋ยวเราจะเริ่มจากบ้านลุงจันทร์ ไล่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงบ้านศักดิ์ตาล บ้านสุดสวย แล้วก็ค่อยอ้อมไปฝั่งบ้านคุณปรางกันนะ”
กฤตณีบอกกับนิรชาว่า “ถ้าถึงบ้านแล้วเรายังไม่ต้องเข้าหรอกเนอะ ฉันอยากไปดูบ้านคุณปรางใกล้ๆ ว่าจะสวยเหมือนเจ้าของหรือเปล่า”
จาริณีทำหน้าเซ็งๆ หันไปถามปรัชญา
“เบื่อไหมคะหมอ”
ปรัชญายิ้มรับขำๆ จาริณีคิดแผนออก ยิ้มเจ้าเล่ห์
“งั้นกลับอนามัยกันเถอะค่ะ”
ปรัชญาแปลกใจ “ได้เหรอครับ”
จาริณีทำหน้าเหมือนให้ปรัชญาคอยดู
“โอ๊ะ อนามัยตรงโน้น...” จ๋าชี้ไปทางอนามัยที่อยู่ไกลมาก “ดูอุดมสมบูรณ์ดีจัง ได้อยู่แล้วคงจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าไม่มีใครอยู่แล้วฉันขออนุญาตเข้าไปตั้งรกรากที่นั่นนะ ไปค่ะหมอ”
พูดจบจาริณีก็รีบจูงมือปรัชญาวิ่งออกไป จรัลอ้าปากค้าง ปรียาตะโกนห้าม แต่จาริณีก็ไม่สน ปรียารีบวิ่งตามลูกสาวไป ชาวบ้านพากันมองตามงงๆ จรัลโกรธมากแต่จำใจต้องทำพิธีต่อ
“ไอ้ลูกคนนี้ ไม่ต้องไปสนใจมัน ไปๆ ไปกันต่อเลย”
ทุกคนพากันมาหยุดที่หน้าบ้านปรางทิพย์ จรัลเริ่มทำพิธีเหมือนเดิม
“บ้านนี้มีคนอยู่ไหม ถ้าไม่มีเราขอเข้าไปอยู่เพื่อความเป็นสิริมงคลและร่มเย็นนะ”
“ขอบคุณนะคะ”
บัวคำเปิดประตูจะเข้าบ้าน ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกลับ แต่เนตรมายาหยุดมองขึ้นไปยังชั้นบนบ้านอย่างสงสัย และพบว่าที่หน้าต่างมีผู้หญิงแก่ยืนอยู่แล้วรีบฉากหลบไป เจ้าแม่เนตรตาทิพย์ร้องตะโกนขึ้น
“มีคนอยู่ในบ้าน”
บัวคำตกใจจนทำกุญแจหลุดมือ
ที่ห้องนอนปรางทิพย์ หญิงแก่ผมขาวหลังงอนุ่งผ้าถุงสีดำ พยายามจะหลบจากหน้าต่าง แต่ไปชนของหล่นเกิดเสียงดัง
ทุกคนที่ด้านล่างได้ยินมองขึ้นไปยังชั้นสอง
เนตรมายาชี้ไปทางห้องนอนปรางทิพย์ “ครั้งนี้ไม่ผิดแน่ ฉันเห็นคนยืนอยู่ตรงนั้น”
บัวคำแก้ตัว “ไม่มีใครอยู่จริงๆ”
เนตรมายาไม่เชื่อ “ทุกคนก็ได้ยินเสียงเมื่อกี้ใช่ไหม”
ชาวบ้านพยักหน้าว่าได้ยิน
“อาจจะแค่ลมพัดของตกก็ได้” ทศนนท์ว่า
เนตรมายามองจ้องจับผิดบัวคำ “ถ้าไม่มีอะไรก็ให้พวกเราเข้าไปดูสิ”
จรัลจ้องหน้าบัวคำ “มีคนอยู่หรือไม่มีกันแน่”
สายตาชาวบ้านทุกคนมองมาอย่างกดดัน บัวคำอึกอักหน้าซีดเผือด
อ่านต่อตอนที่ 5