เพรงลับแล ตอนที่3 | เทศและทศนนท์
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
มินตากับบานเย็นลงรอใครบางคนอยู่ด้านหน้าสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ เพียงไม่นานก็เห็นทรงกลดขับรถมาจอด ลงรถมาพอดี มินตาดีใจรีบวิ่งเข้าไปหา พลางยกมือไหว้ ทรงกลดรับไหว้ท่าทางใจดีเช่นกัน
มินตาหันไปกวักมือเรียกบานเย็น “มานี่สิป้าเร็วๆ”
บานเย็นเดินเข้ามาท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
ทรงกลดยิ้มใจดี “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“มีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณทรงกลดหน่อยค่ะ พูดกับคุณเขาสิป้า”
บานเย็นอึกอัก “ป้า…”
“มีอะไรพูดมาเถอะครับป้า คนบ้านเดียวกันแท้ๆ”
มินตาตัดสินใจพูดแทน “คืออย่างนี้ค่ะ คุณทรงกลด ป้าบานเย็นแกอยากย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะผัวแกตาย แถมเจ้าแม่ยังบอกว่าผีแม่ม่ายจะมาเอาตัวลูกชายแกไปอีก”
“เรื่องแค่นี้เอง ให้ผมช่วยดูที่ที่อื่นให้ไหมครับ เอาที่ราคาไม่แพง”
บานเย็นหน้าหงอย “ป้าไม่มีเงินไปซื้อหรอกค่ะ”
“งั้นป้าก็ขายที่ให้คุณทรงกลดไปสิ จะได้มีเงินพาลูกไปอยู่ที่อื่น” มินตาสบช่อง
“หมู่บ้านเรา มีแต่เรื่องแต่ราว ผู้ชายในหมู่บ้านก็ทยอยตาย คงไม่มีใครอยากมาซื้อหรอก”
“ผมจะช่วยป้าเองครับ”
เขียวกับสร้อยยืนฟังอยู่ รีบเข้ามาสมทบ
“คุณทรงกลดจะช่วยซื้อที่ป้าบานเย็นเหรอครับ
ทรงกลดยิ้มหล่อ
“งั้นก็ช่วยซื้อที่ฉันด้วยนะคะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว กลัวเป็นหม้าย” สร้อยว่า
“ครับ” ทรงกลดแจกยิ้มกับทุกคน “ผมยินดีช่วยทุกคนที่เดือดร้อนอยู่แล้ว ถ้าใครต้องการจะขายที่ ยังไงบอกต่อกันไปนะครับ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องเข้ามาดำเนินการ”
ผู้ตกยากทุกคนมีสีหน้าดีใจทั้งแถบ
อีกฟากหนึ่ง ชาวบ้านกำลังตักน้ำในบ่อใส่ถัง ศักดิ์กับตาลก็ช่วยกันเข็นรถมาตักด้วย
“เมื่อไรน้ำประปาในหมู่บ้านเราจะไหลสม่ำเสมอซะทีนะ จะได้ไม่ต้องมาตักน้ำถึงนี่” ตาลบ่น
“เห็นผู้ใหญ่ทำเรื่องไปแล้วก็เงียบ ยังดีที่เรามีน้ำในบ่อนี้ไว้กินไว้ใช้ทั้งปี ไม่งั้นคงเดือดร้อนกันหมด” ศักดิ์บอก
มินตากับบานเย็นเข็นรถใส่ถังมาตักน้ำเข้ามา ด้วยหน้าระรื่นพร้อมกระจายข่าว
“ย้ายไปอยู่ที่อื่นน่าจะง่ายกว่าละมั้ง”
ตาลมองทั้งคู่อย่างงงๆ “อารมณ์ดีอะไรกัน”
“ก็ป้าบานเย็น กำลังจะขายที่ได้” มินตารายงาน
“แกขายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน ที่นี่มันบ้านเกิดเรานะบานเย็น” ศักดิ์ท้วงอย่างหวังดี
มินตาเห็นท่าไม่ดีรีบขัด “ขายๆไปน่ะดีแล้ว ที่นี่ไกลความเจริญจะตาย สู้เข้าไปอยู่ในเมือง สะดวกสบายกว่ากันตั้งเยอะ ไม่ต้องมาเจอน้ำประปาไหลบ้างไม่ไหลบ้างแบบนี้ด้วย”
บานเย็นบอกกับศักดิ์ว่า “ที่จริงฉันก็ไม่อยากไปหรอก แต่ห่วงไอ้แดง กลัวมันตายเหมือนพ่อมัน”
“โธ่…พี่ มันจะตายได้ไง มันคนละคนกัน” ตาลบอก
มินตารีบแทรกอีก กลัวบานเย็นเปลี่ยนใจ “ก็เจ้าแม่เนตรตาทิทย์ เขาเห็นอนาคตมันน่ะสิ ว่ามันจะตายเหมือนลุงทอง”
ตาลมองตำหนิ “แกก็อีกคนนังมิ้น งมงายแต่เรื่องผีสางอยู่นั่นแหละ”
มินตาเริ่มไม่พอใจ พอนึกถึงจาวชู้รักก็หน้าเศร้าลง เข้าใจหัวอกบานเย็น
“มันไม่โดนกับตัวพี่ พี่ไม่เข้าใจหรอก ว่าผัวตายมันทรมานแค่ไหน”
ตาลงง “ไอ้หนอม ผัวแกก็ยังอยู่นี่ แล้วแกไปทรมานกับผีอะไรนังมิ้น”
มินตารู้ตัว โวยกลบเกลื่อน “ก็ฉันเป็นคนอ่อนโยนไงพี่ เห็นอกเห็นใจคนอื่นอะเข้าใจไหม”
ศักดิ์เห็นท่าไม่ดีปรามทั้งคู่ “พอๆ แยกๆ ไปขายของให้ลูกค้าไป”
มินตาประกาศกับชาวบ้านทุกคน “ฉันก็แค่อยากมาบอก เผื่อมีใครสนใจจะขายที่ ตอนนี้คุณทรงกลดเขายินดีที่จะช่วยทุกคนอยู่แล้ว ส่วนใครไม่เชื่อ อยากจะเป็นหม้ายก็ตามใจ”
ตอนท้ายมินตาปรายตาไปมองตาล แล้วเดินเชิดออกไป
เหตุการณ์ที่บ้านปรางทิพย์
ปรางทิพย์ส่งยิ้มละมุนให้ทศนนท์ เธอหยุดเล่นซึงพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ
“ในที่สุดพี่เทศก็กลับมา...”
ทศนนท์เหมือนตื่นจากภวังค์ ก่อนจะตั้งสติแล้วพูดออกไป
“เอ่อ...ผมชื่อทศครับ ไม่ใช่เทศ”
ปรางทิพย์ยิ้มพราย รู้อยู่แล้วว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือทศนนท์ แต่คิดว่าเขาเป็นเทศที่กลับมาเกิดใหม่ หญิงสาววางซึงลงแล้วลุกเดินตรงเข้ามาหาชายหนุ่ม
“ค่ะคุณทศ...”
“คุณเทศนี่เป็นใครเหรอครับ ตั้งแต่ผมเข้ามาในหมู่บ้านนี้ ก็มีคนทักผมว่าเทศตั้งหลายคน”
“คุณมีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับคนชื่อเทศบ้างหรือเปล่าล่ะคะ” ปรางทิพย์หยั่งเชิง
ทศนนท์ยิ่งงุนงงหนักกับคำถามของเธอ
“ผมไม่รู้จักเขาเลยครับ รู้แต่ว่าผมกับคุณเทศคงหน้าคล้ายกันมาก”
ปรางทิพย์มองทศนนท์เหมือนเขาเป็นเทศจริงๆ
“เหมือนกันมาก...ราวกับเป็นคนคนเดียวกันเลยค่ะ”
“ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชายในรูปนี้...ใช่ไหมครับ”
ทศนนท์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดภาพในเครื่องให้ปรางทิพย์ดู
ปรางทิพย์ดูภาพของเทศที่ทศนนท์ถ่ายมาจากรูปในบ้านร้างแว่บหนึ่ง จึงช้อนตาขึ้นมองทศนนท์ เหมือนกำลังเปรียบเทียบเขากับคนในรูป
“ใช่ค่ะ”
“งั้นก็คงจะเป็นการเข้าใจผิด เขาเป็นเจ้าของบ้านร้างข้างๆ นี่ใช่ไหมครับ”
ปรางทิพย์นิ่งมองทศนนท์สีหน้าขรึมเคร่งจริงจัง “คุณจำไม่ได้จริงๆ เหรอคะ”
ทศนนท์งง “จำอะไรเหรอครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ สักวัน...ฉันจะทำให้คุณรู้ทุกอย่าง”
ทศนนท์มองปรางทิพย์อย่างฉงนฉงาย ขณะที่เธอมองตอบเขาด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความรักและความเจ็บปวดชอกช้ำ
ส่วนที่โรงเรียนนางลับแล กลุ่มของ วิรดา สันติ ชูชาติ นักเรียนหญิง ชาย เล่นอยู่ในบริเวณสนามกีฬาที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่เป็นหย่อมๆ
จู่ๆ กลุ่มเด็กๆ แตกฮือออกจากกลุ่มด้วยความตกใจ ร้องกรี๊ดๆ
“อ๊าย...หนีเร็ว ผีมาแล้ว”
วิรดานั่นเองที่เล่นเป็นผีแกล้งเพื่อนๆ ก้มหน้าอยู่ แล้วเปิดหน้าออกมาหันมองเพื่อนๆ ตาขวาง เหล่าเพื่อนวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง
วิรดาหันขวับจ้องมองสันติ อีกฝ่ายตกใจ
“จ๊าก! ผี...ผีมาแล้ว”
ด้วยความตกใจสันติมองหาที่หลบพัลวัน วิรดาค่อยๆ สืบเท้าเดินเข้าหาสันติ ตัวแข็งทื่อเลียนแบบผีที่เห็นในทีวี สันติวิ่งหนีขึ้นต้นไม้ใกล้ๆ พยายามปีนขึ้นต้นไม้สูงๆ แต่ด้วยความกลัว ร่างของเขาก็รูดหล่นตุ๊บลงมาจากต้นไม้ถึง 2 ครั้ง ก่อนจะปีนขึ้นไปอีกพลางหันมาดูวิรดา และเห็นวิรดาเดินตรงดิ่งมาหาตน เขารีบปีนขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ปีนๆ อยู่ มือของวิรดาก็ตะปบเข้าที่ข้อเท้าของสันติเต็มแรง
“จับได้แล้ว สันติเป็น…”
สันติตกใจสลัดเท้าอย่างแรง จนร่างของเขาเสียหลักหล่นลงมาจากต้นไม้
“กรี๊ด!!!” เสียงเด็กๆ รวมทั้งวิรดาร้องขึ้นอย่างตกใจ
ร่างสันติหล่นลงมาหัวกระแทกพื้นเลือดไหลและสลบไปทันที
เหล่าเพื่อนๆ รีบวิ่งเข้ามาดูสันติ
“ตายแล้ว สันติตายแล้ว” ชูชาติตะโกนขึ้นเป็นคนแรก
วิรดาและเพื่อนๆ ร้องกรี๊ดๆ ตะโกนให้ครูมาช่วย
“ช่วยด้วยค่ะครู สันติตายแล้ว ช่วยด้วยๆๆ”
เวลาเดียวกัน นิรชาและกฤตณีกำลังนั่งตรวจการบ้านเด็กนักเรียนอยู่ที่โต๊ะในห้องพักครู ชาย ซึ่งเป็นภารโรงของโรงเรียน เปิดประตูห้องพักครูเข้ามา
“เย็นป่านนี้แล้ว ยังไม่กลับกันหรือครับครู”
นิรชายิ้มให้กับชาย “ยังจ้ะ ว่าจะตรวจการบ้านกองนี้ให้เสร็จก่อน”
กฤตณีเก็บรวบรวมหนังสือเข้าที่ก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันว่าเราเอาไปทำต่อที่บ้านก็ได้นะ พี่ชายจะได้ทำงานได้สะดวก”
“เอางั้นเหรอ อืม...ก็ได้ พี่ชายปิดหน้าต่างเลยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเนียร์เอางานไปทำต่อที่บ้าน”
“ครับครูเนียร์”
ชายยิ้มรับเอาคำแล้วเดินไปปิดหน้าต่างห้องพักครู
ขณะที่เนียร์กำลังเก็บของเตรียมกลับบ้าน ทุกคนในห้องก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเด็กๆ
“ตายแล้ว สันติตายแล้ว ผีแม่ม่ายเอาสันติไปแล้ว ครูขา ครูครับ ช่วยด้วยๆๆ”
นิรชา กฤตณีและชาย หันไปมองตามเสียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
สามคนวิ่งหน้าตาตื่นตรงมาหากลุ่มเด็ก ที่กำลังล้อมวงมุงดูสันติอยู่ที่ใต้ต้นไม้
“เกิดอะไรขึ้น สันติเป็นอะไร”
วิรดาหันมาเห็นนิรชาก่อนใคร เธอพูดไปร้องไห้ไป สีหน้าตกใจ
“สันติค่ะครู สันติตกต้นไม้ตายแล้วค่ะครู ฮือๆๆๆ”
นิรชากอดปลอบวิรดาก่อนจะส่งต่อให้กฤตณีรับวิรดามากอดไว้ นิรชาเดินแหวกกลุ่มเด็กๆ เข้าไปดูสันติ
“เด็กๆ ถอยออกไปจ้ะ อย่ามุง เดี๋ยวเพื่อนหายใจไม่ออก”
ร่างสันตินอนหมดสติ ที่หัวมีเลือดไหลน่ากลัว
ชูชาติร้องโวยวายอย่างคนขวัญเสีย
“ครูให้พวกผมล้างเล็บออก ผีแม่ม่ายมันเลยมาเอาไอ้สันติไปแล้ว”
เด็กๆ ทุกคนร้องงอแงด้วยความกลัว
“พูดเหลวไหลน่ะชูชาติ” นิรชาเอ็ด
“จริงๆ นะครับครู” ชูชาติมองที่นิ้วมือตัวเองที่ลบสีทาเล็บออกแล้ว “แย่แล้วผมต้องรีบกลับบ้านไปให้แม่ทาเล็บใหม่”
ชูชาติวิ่งหนีกลับบ้านไปเลย ขณะที่เด็กคนอื่นๆ ก็หน้าตื่นรีบวิ่งกลับบ้านไปเช่นกัน
นิรชาจับที่ใต้คางสันติ ตรวจดูชีพจร พบว่าหัวใจกำลังเต้นอยู่ก็ถอนใจอย่างโล่งอก
“เป็นไงบ้างเนียร์” คิตตี้ถาม
“แค่หมดสติน่ะ”
นิรชาเปิดดูที่หัวตรงที่มีเลือดออก จึงเห็นว่าหัวแตก เธอรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามากดห้ามเลือดไว้
“คิตตี้ รีบไปสตาร์ตรถ เราต้องพาสันติไปเย็บแผลที่อนามัย”
กฤตณีพยักหน้า แล้วรีบวิ่งไปที่รถ
“พี่ชาย ช่วยอุ้มสันติไปที่รถทีค่ะ”
ชายเข้ามาช้อนร่างสันติขึ้น ขณะที่นิรชายังคงจับผ้าปิดแผลให้สันติ แล้วพากันรีบเดินตรงไปที่รถ
ที่สถานีอนามัยบ้านางลับแล เลิกงานแล้ว
หมอปรัชญากำลังเก็บหูฟังเข้ากล่อง ส่วน จ๋า จาริณี ในชุดพยาบาล ที่อยู่โต๊ะข้างๆ กัน ก็กำลังเก็บอุปกรณ์วัดความดันและอุปกรณ์ต่างๆ เข้าที่อย่างเป็นระเบียบ
ระหว่างนี้สุดสวยเดินถูพื้นเข้ามาในห้องอย่างขะมักเขม้น
“ดีจังเลยนะคะคุณหมอ วันนี้ได้เลิกงานกันเร็ว คงเพราะเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ มาทำพิธีปัดรังควานให้คนในหมู่บ้าน ช่วงนี้เลยไม่ค่อยมีคนป่วยไข้”
“เป็นเพราะชาวบ้านหันมาดูแลสุขภาพตัวเองต่างหากล่ะครับ” หมอบอก
“แต่สวยว่า...น่าจะเป็นเพราะสายสิญจน์เลือดหมาดำของเจ้าแม่ ขลังจริงๆ นะคะ” น้ำเสียงสุดสวยจริงจังมากๆ
“พี่สุดสวยเชื่อจริงๆ เหรอว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมันจะช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ จ๋าไม่เชื่อคนหนึ่งละ”
“คุณจ๋าพูดถูก เพราะถ้าหมอผีทำได้ขนาดนั้น โลกนี้ก็ไม่ต้องมีหมอรักษาคนไข้ แล้วเราก็คงต้องตกงาน” ปรัชญาเห็นด้วย
“ว้าย คุณหมออย่าพูดอย่างนี้สิคะ เศรษฐกิจครอบครัวสุดสวยช่วงนี้ยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ ไม่เอาแล้วค่ะสุดสวยไม่อยากพูดกับคุณหมอ คุณจ๋าแล้ว เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย”
สุดสวยหน้าเหวอ เดินถือไม้ถูพื้นสะบัดออกไปอย่างงอนๆ
ปรัชญากับจาริณี หันไปมองท่าทางของสุดสวยแล้วก็นึกตลก ทั้งคู่มองหน้ากันยิ้มๆ เห็นเป็นเรื่องขำๆ ไม่ถือสา
“เย็นนี้ หมอมีธุระต่อที่ไหนหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีครับ กะว่าไปหาอะไรกินเสร็จก็คงเข้าบ้านเลย”
“งั้น คุณหมอไปกินข้าวที่บ้านจ๋านะคะ”
จาริณีเอ่ยชวนปรัชญาอย่างกระตือรือร้น
หมอปรัชอึกอัก “เอ่อ...”
จาริณีนึกหาข้ออ้าง “พอดีพ่อให้ชวน เห็นบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา เรื่อง...ปรับปรับปรุงอนามัยน่ะค่ะ”
ปรัชญาโล่งใจ “งั้นก็...ดีเหมือนกัน ผมจะได้คุยกับผู้ใหญ่เรื่องให้ความรู้เกี่ยวกับอาการไหลตายของคนในหมู่บ้านด้วย”
“หมอรู้สาเหตุแล้วเหรอคะ”
“ครับ ผลการชันสูตรออกมาแล้วว่า เกิดจากคนในหมู่บ้านทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นโรคขาดสารอาหาร เลยทำให้เกิดอาการช็อกจนหัวใจหยุดเต้น”
“ตำบลเราโชคดีมากเลยค่ะที่มีหมอมาดูแล”
จาริณีเอ่ยชมปรัชญาอย่างชื่นชม ซาบซึ้ง และภาคภูมิใจ จนปรัชญารู้สึกเขิน
“ผมก็ทำงานตามหน้าที่น่ะครับ
รถนิรชาซึ่งกฤตณีเป็นคนขับวิ่งตะบึงมาตามถนนคดเคี้ยว เข้าในเขตหมู่บ้านแล้ว ตรงไปยังสถานีอนามัย โดยมีชายนั่งข้างคนขับและนิรชาคอยดูแลสันติอยู่ที่เบาะด้านหลัง
“ป่านนี้แล้ว อนามัยจะไม่ปิดแล้วหรือเนียร์”
“ยังไม่น่าจะปิดหรอก หมอปรัชเขาชอบเลิกงานช้า เพราะกลัวว่าจะมีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามา”
“จริงครับ สุดสวยก็บ่นทุกวัน ว่าหมอปรัชน่ะขยันเกินเหตุ”
นิรชามองสันติบนเบาะด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คิตตี้ช่วยเร่งหน่อยได้ไหม”
“จ้าๆๆ เหยียบแล้วจ้า เหยียบแล้ว...”
พลันสายตาของคิดตี้ก็เหลือบไปเห็นใครบางคน
“อ้าว นั่นคุณทศไม่ใช่เหรอ มาทำอะไรที่บ้านคุณปรางอีกแล้ว เอ...ชักยังไงๆ แล้วนะเนี่ย”
นิรชาเงยหน้าขึ้นมองผ่านกระจกมองหลัง เห็นทศนนท์เดินออกมาจากบ้านพร้อมกับปรางทิพย์
นิรชามองทั้งคู่ แม้จะอยู่ไกลกันแต่นิรชาก็สะดุดตากับบุคลิกที่โดดเด่นของปรางทิพย์
“สนใจแต่เรื่องของคนอื่นอยู่นั่นแหละคิตตี้ ตั้งใจขับรถหน่อยได้ไหม”
“ค่ะๆๆ รับทราบค่ะ ครูเนียร์”
รถนิรชาวิ่งผ่านหน้าบ้านปรางทิพย์ไป
สุดสวยกำลังปิดล็อกกุญแจประตูสถานีอนามัย ขณะที่ปรัชญาและจาริณี ยืนรอกลับพร้อมกัน
“แน่ใจนะครับว่าไม่ไปกินข้าวบ้านคุณจ๋าด้วยกัน”
“สุดสวยไปกินข้าวที่อื่นไม่ได้หรอกค่ะคุณหมอ เป็นห่วงพี่ชาย ถ้าวันไหนพี่ชายไม่ได้กินข้าวกับสุดสวย พี่ชายไม่เจริญอาหาร กินข้าวไม่ลง...”
จาริณียิ้มๆ “แหม...น่าอิจฉาสุดสวยจังเลยนะ”
สุดสวยเขิน “อุ๊ย อย่าอิจฉาเลยค่ะ ของแบบนี้มันเป็นบุพเพสันนิวาส ไปค่ะ ปิดประตูเรียบร้อยกลับบ้านกันดีกว่า ป่านนี้โอปป้าของสุดสวยรอแย่แล้ว”
สุดสวย จาริณีและปรัชญา กำลังจะเดินออกจากอนามัยไป รถของนิรชาก็วิ่งเข้ามาจอดอย่างเร็ว
ทุกคนหยุดมองอย่างสงสัย
รถจอดสนิทที่หน้าตึกทำการอนามัย ชายรีบเปิดประตูลงก่อน
สุดสวยมองเห็นชายเดินลงจากรถเสื้อของเขาเต็มไปด้วยเลือด เธอร้องกรี๊ดด้วยความตกใจและวิ่งเข้าไปหาชาย
“แอร๊ย พี่ชาย พี่ชายของสุดสวยเป็นอะไร คุณหมอคะ ช่วยด้วย ช่วยพี่ชายของสุดสวยด้วย”
สุดสวยดึงแขนชายมาพาดที่คอแล้วประคองชายให้เดินเข้าไปในอนามัย ชายยื้อไว้แล้วพูดบอก
“ไม่ใช่พี่ สวย...คนเจ็บไม่ใช่พี่”
สุดสวยอึ้งไป
นิรชาเปิดประตูลงมาแล้ววิ่งไปหาปรัชญาหน้าตื่น
“หมอปรัชช่วยหน่อย เด็กนักเรียนหัวแตกอยู่หลังรถค่ะ”
ปรัชญารีบวิ่งไปที่รถ กฤตณีลงจากรถมาเปิดประตูหลัง
“มาช่วยอุ้มสันติหน่อยพี่ชาย”
ชายรีบวิ่งตามกฤตณีไปอุ้มสันติ จาริณีรีบวิ่งเข้าไปหาสุดสวย
“พี่สุดสวย อึ้งอยู่ทำไมคะ รีบไปเปิดประตูอนามัยสิคะ”
สุดสวยและจาริณีรีบไปเปิดประตูอนามัย ขณะที่ทุกคนช่วยกันพาสันติเข้าไปในอนามัย
ทางด้านปรางทิพย์และทศนนท์กำลังคุยกันอยู่ที่สวนริมรั้ว สายตาของปรางทิพย์จับจ้องอยู่ที่บ้านร้างอย่างใช้ความคิด ดวงตาของเธอดูหม่นเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าของบ้านหลังนี้ชื่อเทศค่ะ เดิมทีเขาอาศัยอยู่กับลูกชาย แต่จู่ๆ พวกเขาก็ออกไปจากหมู่บ้าน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปไหน”
“เขาหายไปนานหรือยังครับ”
“นานแล้วค่ะ น่าจะยี่สิบกว่าปีแล้ว”
ทศนนท์แปลกใจ “พวกเขาหายไปนานแล้ว แต่คุณปรางเพิ่งมาอยู่? แล้วทำไมคุณบัวคำบอกว่าคุณรู้จักคุณเทศ”
ปรางทิพย์หันมามองสบตาทศนนท์ยิ้มในสีหน้า แววตาที่จ้องมองบอกความรู้สึกว่าทั้งรักทั้งแค้น
“ใช่ค่ะ ฉันรู้จักเขา รู้จักดีทีเดียว”
ทศนนท์ยิ่งเกิดความสงสัย และอยากจะถามต่อ
“แล้ว...”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะขึ้น ทศนนท์หยุดชะงักไป ใจเขาอยากจะถามต่อ แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย ทศนนท์จึงต้องรับสาย
“ขอโทษนะครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มเชิงอนุญาต
ทศนนท์กดสายรับ
เสียงร้อนรนของพีรพรดังลอดโทรศัพท์ออกมา
“พี่ทศเกิดเรื่องใหญ่แล้วพี่ พี่นุอยู่ดีๆ ก็หมดสติไป”
ทศนนท์มีสีหน้าตกใจ
เด็กชายสันติฟื้นแล้ว เด็กชายยังขวัญเสียไม่หายกอดนิรชาร้องไห้จ้าดังไปทั่วสถานีอนามัย
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว อย่าร้องนะคะคนเก่ง”
ปรัชญาเย็บแผลที่หัวสันติให้จนเสร็จ โดยมีจาริณีช่วยตัดไหมทำแผลให้
“เอาละ เรียบร้อยแล้ว ทีหลังก็อย่าปีนขึ้นไปเล่นซนบนต้นไม้อีกล่ะ”
“ก็ผมกลัวนี่ครับ ผีแม่ม่ายมันจะมาเอาตัวผมไป” สันติบอก
สุดสวยได้ยินก็ผวากลัว “อะไรนะ นี่ฝีมือผีแม่ม่ายเหรอ”
“ผีที่ไหน เด็กเล่นกันต่างหาก” นิรชาบอก
กฤตณีตัดบทบอกกับสันติว่า “ป่านนี้แม่เรา คงเป็นห่วงแย่แล้ว”
สันติเริ่มร้องไห้งอแงขึ้นอีก “แง้ๆๆ ผมตกต้นไม้หัวแตก แม่ต้องตีผมแน่เลย”
ทุกคนในห้องพากันหัวเราะ กับท่าทางกลัวแม่ตีของสันติ
“ไปจ้ะ เดี๋ยวครูไปส่งที่บ้าน แม่จะได้ไม่ตี”
นิรชากำลังจะพาสันติกลับบ้าน
เสียงประตูอนามัยเปิดออก ทุกคนหันไปมอง เห็นพีรพรหิ้วปีกอนุชิตเข้ามาหน้าตาตื่น
“หมอครับหมอ ช่วยด้วยครับ พี่นุเป็นไรไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หมดสติไป”
“งั้นพาเข้าไปข้างในเลยครับ” หมอบอก
ชายและปรัชญารีบเข้าไปช่วย จาริณีรีบไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับตรวจรักษาคนไข้
ร่างอนุชิตถูกพาไปนอนบนเตียงคนไข้ โดยมีปรัชญาและจาริณีกำลังให้การช่วยเหลือ
นิรชา กฤตณี สุดสวย และสันติ ยืนมองอย่างรู้สึกตกใจ
“โอ๊ยตาย นังผีหิวผู้ชาย มันจะเอาไปหมด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เลยหรือเนี่ย”
สันติร้องไห้จ้ากระโดดกอดนิรชา
“แง้ๆๆ ครูครับผมกลัว ผมอยากกลับบ้าน ผมอยากกลับไปใส่กระโปรงแม่”
นิรชากอดปลอบสันติ สีหน้าไม่สู้ดีนัก
ขณะที่นิรชาและกฤตณี พาสันติเดินออกมาจากห้องพยาบาล ก็เห็นทศนนท์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“อ้าวคุณทศ มาดูคุณนุเหรอคะ”
“ครับ เขาอยู่ข้างในใช่ไหมครับ”
“ค่ะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว หมอปรัชกำลังปฐมพยาบาลให้” กฤตณีบอก
ทศนนท์ถอนใจโล่งอก “เฮ้อ โล่งอกไปที”
“อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ดูแลเอาใจใส่กันหน่อยสิคะ จนป่านนี้แล้วเพิ่งจะรู้ว่าลูกน้องป่วยหนัก”
“ผมติดธุระอยู่น่ะครับ”
นิรชาเหน็บเบาๆ “ติดสาวมากกว่าละมั้ง”
ทศนนท์ได้ยิน แต่ไม่อยากใส่ใจ เลยหันไปคุยกับกฤตณีแทน
“ผมขอตัวเข้าไปดูเพื่อนก่อนนะครับ”
“ค่ะ เชิญค่ะ”
กฤตณียิ้มแห้งๆ ให้ทศนนท์ เพราะรู้ว่าเพื่อนตั้งใจต่อว่าชายหนุ่มแบบเต็มๆ
คล้อยหลังทศนนท์ กฤตณีก็เข้าไปตีแขนนิรชาเบาๆ เป็นการเตือน
“นี่ยัยเนียร์ ไปต่อว่าคุณทศเขาแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็มันจริงนี่นา น่าหมั่นไส้ เพื่อนป่วยเจียนตาย ยังมีหน้ายิ้มระรื่นคุยกับสาว”
กฤตณีล้อเลียน “เหรอออ...นี่ถ้าไม่บอกไม่รู้เลยนะว่าไม่ชอบหน้าเขา”
นิรชาสงสัย “ทำไม”
“ไม่งั้นฉันจะคิดว่าแกหึงคุณทศน่ะสิ”
“บ้า ยัยคิตตี้ ฉันเกลียดคนพวกนี้จะตาย อ้างว่าเอาความเจริญเข้ามาในหมู่บ้าน แต่ที่แท้ผลประโยชน์ทั้งนั้น”
“ระวังนะ เกลียดสิ่งใดจะได้สิ่งนั้น”
กฤตณีล้อเพื่อนเสร็จวิ่งออกไป ขณะที่นิรชาโกรธฮึดฮัดแล้วจูงมือสันติเดินตามไป
อนุชิตหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพยาบาล
ปรัชญาให้น้ำเกลืออนุชิตโดยมีจาริณีเป็นผู้ช่วย และแขวนถุงน้ำเกลือไว้ที่เสาจนเรียบร้อย ทศนนท์เดินเข้ามาสมทบ
“พี่ทศ”
“พี่นุเป็นยังไงบ้าง อาการหนักเลยเหรอ”
“เห็นนั่งดื่มเหล้าอยู่ แล้วจู่ๆก็ฟุบหมดสติไป ผมเลยรีบพามาหาหมอครับ”
“ตายแล้ว ผีแม่ม่ายมันเอาคุณนุไปไม่ได้ แบบนี้มันก็ต้องมาเอาคนอื่นไปแทนน่ะสิ” สุดสวยผวา
“ไม่ใช่ผีที่ไหนหรอกครับ คุณนุมีอาการไข้อยู่ก่อนแล้ว และประจวบกับดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป เลยช็อกหมดสติไป” หมอปรัชวินิจฉัยอาการ
ทศนนท์นึกได้ “จริงสิ วันนี้เราเพิ่งเข้าไปสำรวจพื้นที่ป่าแถบน้ำตก พี่นุอาจจะติดเชื้อไข้ป่ามาก็ได้”
“เป็นไปได้ครับ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ผมจึงขอให้คนไข้พักรักษาตัวเพื่อกำจัดเชื้อออกจากร่างกาย และงดดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด”
“แค่มีเชื้อยังเป็นถึงขนาดนี้ โชคดีจริงๆ นะครับที่รอดมาได้”
“แล้วนี่พี่นุต้องนอนพักรักษาตัวที่นี่เลยหรือเปล่าครับ”
“ไม่ต้องครับ รอให้น้ำเกลือหมดขวดก็พากลับไปพักต่อที่บ้านได้ เดี๋ยวผมจะจัดยาให้ไปกินต่อ แล้วกลับมาตรวจอีกทีตามวันที่หมอนัด”
“ขอบคุณครับหมอ” สองหนุ่มขอบคุณพร้อมกัน
ปรัชญาเดินออกไป
“ญาติออกมารับยาและใบนัดด้านนอกเลยนะคะ”
ทศนนท์เดินตามจาริณีออกไป
สุดสวยแอบกระซิบกับชายอย่างกลัวๆ
“คราวนี้หมู่บ้านเราต้องป่วนอีกแน่ๆ เลยพี่ชาย”
“ทำไมเหรอน้องสุดสวย”
สุดสวยมองชายด้วยสีหน้ากังวล “โอ้ว...ไม่นะ...พี่ชายของสุดสวย กลับบ้าน กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย เพื่อความปลอดภัย ไปๆ”
สุดสวยกึ่งลากกึ่งจูงชายกลับบ้านด้วยความกลัวว่าผีแม่ม่ายจะมาเอาตัวชายไปแทนอนุชิต
ที่ร้านกาแฟใต้ถุนบ้านกฤตณีเย็นนั้น
สุดสวยยืนอยู่บนเก้าอี้กลางร้าน ยกช้อนขึ้นเคาะแก้วกาแฟเสียงดัง
“ประกาศๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้วๆ ทุกคน”
ผู้คนที่อยู่ในร้านพร้อมกับชาวบ้านที่กำลังเดินผ่านไปมาต่างเข้ามาห้อมล้อมด้วยความสนใจ
“จะป่าวประกาศอะไรอีกวะนังสุดสวย รู้สึกว่าแกนี่จะทำตัวเป็นเจ้ากรมข่าวลือประจำหมู่บ้านขึ้นทุกวันแล้วนะ” ศักดิ์บ่นๆ
“ข่าวลืออะไรกันล่ะน้า ข่าวข้น ข่าวจริง สดๆ ร้อนๆ ต่างหากล่ะ เอ้าทุกคนๆ ฟังทางนี้ วันนี้ผีแม่ม่ายมันออกอาละวาดล่าผู้ชายในหมู่บ้านเราอีกแล้ว”
“เอ็งรู้ได้ยังไงนังสุดสวย” ตาลแปลกใจ
“ก็วันนี้คุณนุ หัวหน้าช่างเพิ่งจะช็อกหมดสติ ถูกหามไปส่งที่อนามัยน่ะสิ”
“นั่นเพราะคุณนุเขาป่วยต่างหากล่ะพี่สุดสวย ไม่ได้เกี่ยวกับผีสางซะหน่อย”
“เกี่ยวสิคะครูเนียร์ ผู้ชายที่นังผีร้ายมันเอาไปก็มีอาการแบบนี้กันทั้งนั้น”
“แต่คุณนุไม่ได้ตายนะ”
“นี่ล่ะๆ คือประเด็น นังผีร้ายมันเอาตัวคุณนุไปไม่ได้ แสดงว่าวันนี้มันต้องมาเอาผู้ชายคนอื่นในบ้านเราไปแทนแน่ๆ ระวังกันให้ดีนะทุกคน ครอบครัวใคร บ้านไหนมีผู้ชายระวังให้ดี คืนนี้มันต้องทำให้ใครสักคนตายแน่ๆ”
คำพูดของสุดสวยทำเอาบรรดาชาวบ้านเริ่มตื่นตกใจ และหวาดกลัว อย่างเห็นได้ชัด
“พี่สุดสวยกลัวอะไรไม่เข้าเรื่องเลย” นิรชาลุกขึ้นหันไปทางชาวบ้าน “อย่าไปเชื่อนะคะทุกคน ผีแม่ม่ายไม่มีอยู่จริงหรอก ทุกคนที่ตายก็เพราะเจ็บป่วยกันทั้งนั้น”
“ใช่สิ ครูเนียร์ไม่เดือดร้อนอยู่แล้วนี่ เพราะครูไม่มีผู้ชายให้คอยเป็นห่วงเหมือนพวกเรา ใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ แต่ฉันไม่ยอมให้ผู้ชายของฉันเป็นอะไรไปแน่” มินตาบอก
สุดสวยประกาศ สีหน้าจริงจัง
“เราต้องปกป้องคนในบ้านของเรา ไม่ให้นังผีหิวผู้ชายมันเอาใครไปได้อีก รีบพาผู้ชายในสังกัดกลับบ้านใครบ้านมัน แล้วอย่าให้ออกมานอกบ้านเวลากลางคืนเด็ดขาด”
ชาวบ้านต่างแตกฮือ รีบพาพวกผู้ชายและเด็กๆ กลับบ้าน
นิรชาได้แต่มองอย่างขัดใจและไม่สบายใจในความเชื่อที่ผิดๆ ของชาวบ้าน กฤตณีตบไหล่ปลอบใจเพื่อน
ที่โถงพิธีในสำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ เช้าวันใหม่
เนตรมายากำลังหยดเทียนบริกรรมคาถาอยู่บนขันน้ำมนต์ เหล่าชาวบ้านทั้งชายและหญิง ต่างพนมมือรอฟังในสิ่งที่เนตรมายาจะพูด
เนตรมายาวางเทียนแล้วเพ่งมองในขันน้ำมนต์ พร้อมกับพูดขึ้นเสียงเย็น
“มันเป็นผู้หญิงสาว...สวย...มันอยู่ที่นี่ มันยังอยู่กับพวกเราที่หมู่บ้านนี้ มันทำให้ผู้ชายทุกคนในหมู่บ้านเราป่วย แล้วจะค่อยๆ เอาตัวไปทีละคนๆ”
“มันเป็นใครกันเจ้าแม่ ผู้หญิงสาวสวยที่ว่า”
เนตรมายาร่ายมนต์เป่าลงที่ขันน้ำมนต์อีกครั้งแล้วเพ่งมอง
“ข้ามองเห็นไม่ชัด มันใช้เวทย์มนต์บังตา ทำให้ข้ามองไม่เห็น”
เขียวถามขึ้นว่า “แล้วแบบนี้เราจะป้องกันตัวเองได้ยังไง”
“นั่นสิ นังผู้หญิงสาวสวยนั่นอีก เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นใคร” สร้อยถามอีก
“แต่ฉันว่า ในหมู่บ้านเราน่าจะมีไม่กี่คนนะ” มินตาบอกอย่างมั่นใจซ่อยความนัย
พวกชาวบ้านสุมหัวปรึกษากันใหญ่ว่าหญิงคนที่ว่าเป็นใครกันแน่
“อย่าบอกนะว่าเป็นพวกครูเนียร์” สร้อยโพล่งขึ้น
เขียวไม่เชื่อ “ไม่มีทาง ครูเนียร์เป็นครูของไอ้ชาติลูกเรา ครูเขาเป็นคนดีไม่มีทางเป็นผีแม่ม่ายไปได้หรอก”
ชาวบ้านบางส่วนก็เห็นด้วย
“หรือไม่ก็อาจจะเป็นคุณปราง หรือผู้หญิงที่เข้ามาอยู่ใหม่ในหมู่บ้านเรา” มินตาบอก
เขียวไม่พอใจ “นังมิ้น ถ้าจะกล่าวหาผู้หญิงที่มาอยู่ใหม่ในหมู่บ้านนี้ มันจะไม่วุ่นวายกันไปหมดเหรอ”
มินตาย้อนเจ็บ “แล้วพี่มีทางแก้ทางอื่นไหมล่ะ”
“เจ้าแม่ เจ้าแม่เจ้าขา มีทางแก้ให้พวกลูกช้างกันหรือเปล่าเจ้าคะ” สร้อยถามเจ้าแม่
เนตรมายาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่มี ตราบใดที่ปราบนังผีร้ายนั้นไม่ได้ ก็ไม่มีทางไหนช่วยพวกผู้ชายในหมู่บ้านนี้ได้ พวกเอ็งต้องหนี ต้องหนีออกไปจากหมู่บ้านนี้กันให้หมด พวกเอ็งถึงจะมีทางรอด”
ชาวบ้านทุกคนต่างตกใจกับทางเลือกที่เจ้าแม่มอบให้
อนุชิตกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงในบ้านพัก กินข้าวต้มเสร็จก็ส่งชามคืนให้พีรพรที่คอยดูแล
“ยาหลังอาหารครับพี่นุ”
อนุชิตรับยาไปกิน พีรพรเดินกลับมานั่งลงข้างทศนนท์
“เป็นยังไงบ้างครับพี่นุ ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“ดีขึ้นบ้างนิดหน่อยแล้ว แต่ยังปวดหัว ปวดไปหมดทั้งตัวเลยครับ ผมว่าผมคงทำงานไม่ไหว”
“ไม่เป็นไรครับ พี่นุพักผ่อน รักษาตัวให้หายก่อน เรื่องงานยังไม่ต้องคิดมาก รอให้หายดีเราค่อยเริ่มงานกันต่อ”
“เปล่าครับ ผมหมายถึง ผมคงทำงานที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว”
พีรพรตกใจ “อ้าว”
ทศนนท์ก็เช่นกัน “ทำไมล่ะครับ”
“ผมกลัวครับหัวหน้า ผมยังไม่อยากตาย”
ทศนนท์ปลอบ “พี่นุไม่ตายหรอกครับ หมอปรัชบอกแล้วว่ากินยาแล้วก็พักผ่อนเยอะๆ ไม่กี่วันก็หาย หรือถ้าพี่นุไม่มั่นใจการรักษาของหมอที่นี่ จะเข้าไปรักษากับหมอที่ในเมืองก่อนก็ได้นะครับ แล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ”
“ผมไม่ได้กลัวไข้ป่า ผมกลัวผีแม่ม่ายมากกว่า” อนุชิตบอกตรงๆ
“โธ่พี่นุ ผีแม่ม่ายมีจริงที่ไหนกันล่ะครับ”
“จริงหรือไม่จริงพี่ก็ไม่อยากเสี่ยง ต้องถ้าเอาชีวิตมาทิ้งเพราะงานนี้ มันก็ไม่คุ้มนะ”
“ผมเข้าใจนะครับ ว่าคราวนี้พี่นุป่วยหนักเลยต้องกลัวเป็นธรรมดา แต่ยังไงช่วยอยู่ต่อจนกว่าทางเราจะได้หัวหน้าช่างคนใหม่มาแทนได้ไหมครับ”
“ไม่ครับ ผมขอย้าย ทันทีที่ผมอาการดีขึ้นผมจะออกไปจากหมู่บ้านนี้ทันที”
พีรพรพยายามขอร้อง “พี่นุครับ”
อนุชิตไม่ฟังเสียงเขาล้มตัวลงนอนหลับตาเพื่อเป็นการปิดการสนทนา
พีรพรหันมองทศนนท์ ที่กำลังเริ่มหนักใจไม่ต่างกัน
ส่วนที่บ้านร้างของเทศ บรรยากาศดูวังเวงและเงียบเหงา
ปรางทิพย์เดินตรงเข้ามาหยุดหน้ากรอบรูปถ่ายที่วางอยู่ที่โต๊ะ หยิบมันขึ้นมาดู ด้วยสายตาที่เจ็บปวดและรู้สึกคิดถึงจนจับใจ ส่งผ่านไปที่รูปภาพนั้น ตัดพ้อชายคนรักน้ำตาคลอๆ
“พี่เทศ พี่ยังเก็บรูปนี้ไว้ แต่ทำไม...ทำไมพี่ถึงทิ้งฉันไป”
เมื่อ 60 ปี ที่แล้ว
ปรางทิพย์และเทศอยู่ในชุดบ่าวสาว ยืนเคียงกันเตรียมถ่ายภาพอยู่ในสตูดิโอของร้านถ่ายรูป ทั้งคู่ต่างยิ้มและจับมือกันอย่างมีความสุข ก่อนจะวางท่าและมองกล้องตามที่ช่างภาพสั่ง
“พร้อม...มองกล้องนะครับ”
แสงแฟลชจากกล้องสว่างวาบไปทั้งสตูฯ
ภาพนั้นเป็นภาพที่เทศยืนยิ้มถ่ายรูปคู่กับปรางทิพย์เห็นเป็นเพียงแสงสีขาว
ปรางทิพย์จ้องมองรูปภาพ น้ำตาคลอ
“พี่เทศ ตอนนี้พี่เทศอยู่ที่ไหน พี่คือคนเดียวกันกับเขาใช่หรือไม่”
ปรางทิพย์น้ำตาไหลรินอาบสองแก้มนวล หยดรินลงที่รูปถ่าย
เนตรมายากำลังทำพิธีสวดบริกรรมคาถา และเดินพรมน้ำมนต์ไปจนทั่วห้อง ในบ้านพักของทศนนท์ โดยมีป้าเชื่อมคอยถือขันน้ำมนต์ให้ พร้อมกับพร่ำพูดไปเรื่อยๆ
“มันยังอยู่ พวกมันยังอยู่ที่นี่ มันคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ คุณ มันจะเอาตัวคุณไป”
อนุชิตนั่งพนมมืออยู่บนเตียงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“ผมจะทำยังไงดีครับเจ้าแม่ ผมยังไม่อยากตาย”
เนตรมายาพรมน้ำมนต์ไปที่อนุชิตจนชุ่มโชก แล้วรับขันน้ำมนต์จากเชื่อมยื่นให้เขา
“ดื่มน้ำมนต์นี่ ฤทธิ์ของนังผีร้ายจะได้เสื่อมลง”
อนุชิตรีบรับขันน้ำมนต์จากเนตรมายามาดื่มด้วยความกลัว ก่อนจะส่งมันคืนให้เชื่อม
ทรงกลดยืนดูพิธีกรรมอยู่ใกล้ๆ พูดขึ้นอย่างยินดี
“เอาล่ะครับ ทีนี้คุณนุก็น่าจะปลอดภัยจากผีแม่ม่ายแล้ว”
“ขอบคุณมากนะครับคุณทรงกลด ที่อุตส่าห์เป็นธุระพาเจ้าแม่มาถึงนี่”
“ไม่เป็นไรครับ หมู่บ้านเรามีอะไรก็ช่วยๆ กัน”
เหตุที่ตัวเปียกจากที่กำลังเป็นไข้อยู่แล้ว อนุชิตจึงเริ่มมีอาการหนาวสั่น
ทศนนท์และพีรพรเปิดประตูห้องอนุชิตเข้ามา ทั้งคู่มีสีหน้าประหลาดใจ
“พวกคุณมาทำอะไรกันครับ”
เนตรมายาส่งยิ้มหวานให้ทศนนท์
“คุณเนตรมาขับไล่ผีร้ายให้คุณนุค่ะ” เชื่อมบอก
ทศนนท์อึ้ง “ไล่ผี”
อนุชิตเริ่มมีอาการหนาวสั่นจนเห็นได้ชัด
“อูยๆๆ หนาวๆๆๆ”
ทุกคนหันไปมองอนุชิตอย่างตกใจ เชื่อมร้องขึ้น ท่าทีตกใจสมบทบาท
“ตายแล้ว นังผีร้ายมันกำลังพยายามจะเอาตัวคุณนุไป”
เชื่อมเหมือนรู้งานรีบเอาขันน้ำมนต์มาส่งให้เนตรมายาแทบทันที
เนตรมายาเตรียมจะพรมน้ำมนต์ใส่อนุชิตอีก ทศนนท์รีบห้ามไว้เสียงเข้ม
“หยุดนะ คุณจะทำอะไรน่ะ”
พร้อมกับว่าทศนนท์เข้าไปขวาง พีรพรรีบเข้าไปดูอนุชิตและเห็นว่าอนุชิตเริ่มมีอาการตัวสั่นรุนแรงขึ้น
“พี่ทศ พี่นุตัวร้อนจี๋เลย”
“นังผีร้ายยังอยู่ ฉันต้องรีบไล่มันออกไป” เจ้าแม่เนตรตาทิพย์ว่า
“หยุดก่อน คุณจะเอาน้ำไปราดตัวคนป่วยแบบนี้ไม่ได้นะ”
“แต่ว่า...”
ทศนนท์เสียงแข็ง “ไม่มีแต่ ผมขอร้อง พวกคุณช่วยออกไปก่อน ออกไปนะครับ พีรีบเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พี่นุด่วนเลย”
พีรพรรีบทำตามที่ทศนนท์สั่ง “ครับพี่”
ทศนนท์ไล่พวกเนตรมายา เชื่อมและทรงกลดออกไปนอกห้อง
ทศนนท์ตามออกมาคุยกับพวกทรงกลดและเนตรมายานอกบ้าน ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“พวกคุณทำอะไรลงไป พี่นุไข้ขึ้นตัวร้อน แล้วเล่นไปสาดน้ำจนตัวเปียกอย่างนั้น อยากให้เขาช็อกตายหรือไง”
“พวกเราต้องการช่วยคุณนุ แล้วน้ำนั่นก็เป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์”
เชื่อมมองหน้าทศนนท์ “ทุกอย่างที่เจ้าแม่ทำ เป็นเพราะหวังดี ตอนนี้คุณนุกำลังตกเป็นเป้าของนังผีแม่ม่าย...”
ทศนนท์สวนขึ้น “เรื่องผีสางนางไม้นี่ก็เหมือนกัน พวกคุณรู้ไหมว่ากำลังทำให้ทุกคนกลัว”
“มันเป็นเรื่องจริง เจ้าแม่มาเตือนด้วยความหวังดี” เชื่อมเถียง
“ก็เพราะเรื่องจริงของพวกคุณนี่ไง ที่ทำให้พี่นุต้องขอย้ายไปทำงานที่อื่น จนทำให้พวกผมทำงานกันต่อไม่ได้”
ทรงกลดหน้าเสีย “อะไรนะครับ คุณนุจะไม่ทำงานต่อ”
“ครับ ก็เพราะกลัวผีแม่ม่ายที่พวกคุณพร่ำบอกกันนี่แหละ ตอนนี้งานของพวกผมก็เลยต้องชะงัก ขืนเป็นอย่างนี้อีก ต่อให้ผมได้หัวหน้าช่างคนใหม่มาร่วมงาน เขาก็คงอยู่ไม่ได้ งานพัฒนาพื้นที่ ตัดถนนก็คงจะทำไม่สำเร็จ”
“แต่ที่เนตรทำไปเพราะเป็นห่วงทุกคน นอกจากคุณนุแล้ว เป้าหมายคนต่อไปก็อาจจะเป็นคุณ คุณทศต้องระวังตัว ระวังผู้หญิงที่มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ตัวคุณให้ดี” เนตรมายาบอก
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ผมไม่เชื่อเรื่องงมงายไร้สาระแบบนี้ อย่าเสียเวลาเลยนะครับ”
พูดจบทศนนท์ก็เดินกลับเข้าบ้านไปเลย ขณะที่ทรงกลดสบตากับเนตรมายาหน้าเครียด
ด้านนิรชาแวะมาเยี่ยมชูชาติ เวลานี้นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกกับเขียวและชูชาติ มีสร้อยเดินถือแก้วน้ำมารับรอง นิรชารับมาดื่ม
“ขอบคุณค่ะ”
“ครูเนียร์มาเรื่องของเจ้าชาติใช่ไหมครับ” เขียวถาม
“ใช่ค่ะ ชูชาติเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่าคะ ทำไมวันนี้ไม่ไปโรงเรียน”
“มันไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับครู พอดีพวกผมกำลังจะย้ายมันไปเรียนโรงเรียนในเมืองน่ะครับ”
นิรชาตกใจ “ทำไมล่ะคะ”
“พวกเรากำลังจะย้ายบ้านไปอยู่ในตัวเมืองน่ะค่ะ ที่นี่อยู่ต่อไม่ได้แล้ว ผีแม่ม่ายมันอาละวาดหนัก” สร้อยว่า
“ตอนนี้ไอ้สันติมันก็เกือบตายไปคนแล้ว ต่อไปก็คงเป็นคิวของผม หรือไม่ก็พ่อผม” ชูชาติบอก
“ไม่เกี่ยวหรอกจ้ะชูชาติ ที่สันติต้องเจ็บตัวก็เพราะพวกเธอเล่นปีนต้นไม้กันจนพลัดตกลงมา ไม่ใช่เพราะผีสางที่ไหน คุณพ่อกับคุณแม่ก็เชื่อหรือคะว่าที่เด็กเล่นซนตกต้นไม้เป็นฝีมือของผีแม่ม่าย”
เขียวกะสร้อย เริ่มอึกอัก กระทั่งเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น สร้อยลุกไปเปิดประตู
“ถึงยังไงพวกเราก็ต้องย้ายแล้วครับครู เพราะเราบอกขายบ้านไปแล้ว ส่วนเรื่องลาออก ผมกะว่าจะไปทำเรื่องที่โรงเรียนพรุ่งนี้”
“แต่ว่า...นี่มันกลางเทอมนะคะ”
นิรชาพยายามคัดค้าน ทัดทาน แต่สร้อยก็เดินเข้ามาพร้อมกับทรงกลดและทนายไพศาล
ทรงกลดยิ้มทักเขียว “สวัสดีครับ วันนี้ผมพาคุณไพศาล ทนายที่ดูแลเรื่องสัญญาซื้อขายมาด้วย”
เขียวยกมือไหว้ “ครับ สวัสดีครับคุณทรงกลด เชิญนั่งครับเชิญนั่ง”
ทรงกลดหันมาเห็นนิรชาก็ร้องทัก “อ้าวครูเนียร์ สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
“ไม่ทราบกำลังคุยธุระกันอยู่หรือเปล่าครับ เอาไว้ผมมาวันหลังก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกับครูเนียร์คุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว” เขียวหันมาทางครูเนียร์ “ครูครับ เรื่องลาออกของเจ้าชาติ พรุ่งนี้ผมจะไปทำเรื่องที่โรงเรียนแต่เช้าเลยนะครับ”
นิรชาพูดไม่ออก ได้แต่ลอบมองทรงกลดอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ค่ะ งั้นลานะคะคุณพ่อ คุณแม่ ครูไปนะชูชาติ”
“ครับ” / “ค่ะ”
ชูชาติไหว้ลา “สวัสดีครับ”
นิรชารับไหว้แล้วลุกเดินออกไป
ทรงกลดหันไปสั่งไพศาล “ไพศาลเอาสัญญาซื้อขายออกมาให้พี่เขียวดูสิ”
ทนายไพศาลหยิบสัญญาออกมา เขียวและสร้อยรับมาดูอย่างสนใจ
“นี่คือสัญญาจะซื้อจะขายนะครับ เซ็นตรงนี้แล้วรับเงินค่ามัดจำไปก่อน พอวันไปโอนที่ที่กรมที่ดินพวกคุณก็จะได้เงินส่วนที่เหลือ”
นิรชาหันกลับไปมองพวกทรงกลดอย่างไม่พอใจ
ขณะเดียวกัน พีรพรและทศนนท์กำลังนั่งคุยกันที่โต๊ะรับแขกในบ้านพัก
“พี่นุเป็นยังไงบ้าง”
“ไข้ขึ้นครับ ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ช็อก เล่นโดนน้ำซะตัวเปียกโชก”
ทศนนท์ถอนใจ “คนพวกนี้เป็นอะไรกันไปหมด คนเจ็บป่วยเป็นไข้ก็ไปหาว่าเป็นฝีมือผี”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทศนนท์และพีรพรหันไปมองตามเสียง
“ผมไปเปิดเองพี่”
พีรพรลุกเดินไป ทันทีที่ประตูเปิดออกสีหน้าพีรพรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงพรึงเพริศ
“โอ้ว แม่เจ้า คนหรือนางฟ้า”
พีรพร เห็นปรางทิพย์ในชุดผ้าถุงโบราณ ปล่อยผมยาวสยายพร้อมเหน็บมณฑาทอง กำลังยืนอยู่หน้าประตู พร้อมกับบัวคำที่ถือผอบอยู่ข้างๆ
ทศนนท์ลุกเดินมาสมทบพีรพร มองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าแปลกใจกึ่งยินดี
“อ้าว คุณปราง พี่บัวคำมาได้ยังไงกันครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มให้ทศนนท์
ส่วนที่ร้านกาแฟร้านอาหารตามสั่งบ้านกฤตณี
ครูสาวตุ้ยนุ้ยชงกาแฟเย็นอยู่ตรงเคาน์เตอร์จนเสร็จ จึงยกมาวางให้หมอปรัชญา ซึ่งนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะ มองออกไปที่หน้าถนนตลอดเวลา เหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่
“กาแฟเย็น หอมหวานที่สุดในสามโลกมาแล้วค่า”
สักครู่หนึ่งจึงนิรชาปั่นจักรยานมาที่ร้าน ปรัชญายิ้มดีใจ รีบลุกขึ้นรับ
“เนียร์กลับมาแล้ว”
นิรชาจอดจักรยานแล้วเดินหน้าเครียดตรงมาที่โต๊ะซึ่งปรัชญานั่งอยู่
กฤตณีเห็นเพื่อนอารมณ์ไม่ดีกลับมาก็แปลกใจ
“เป็นไงบ้างเนียร์ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”
“ก็พ่อแม่ของชูชาติน่ะสิ จะย้ายเด็กเข้าไปเรียนที่โรงเรียนในเมือง”
“ไม่เห็นแปลกนี่ พ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกได้ไปเรียนโรงเรียนดีๆ”
“ถ้าเหตุผลแค่นั้น ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ แต่นี่ถึงขั้นขายบ้านขายที่ ย้ายครอบครัวกันไปเลย” นิรชาว่า
กฤตณีสงสัย “แล้วยังไง”
“ก็มันแปลกน่ะสิ ยิ่งฉันเห็นอีตาทรงกลดมาซื้อที่บ้านชูชาติด้วยมันยิ่งน่าสงสัย”
ศักดิ์และตาลที่เพิ่งขายของให้ลูกค้าเสร็จเดินเข้ามาสมทบ
“คุณทรงกลดเขาเห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อนน่ะ ก็เลยยื่นมือเข้ามาช่วยรับซื้อที่”
“ซื้อทั้งหมดเลยเหรอพ่อ”
“ก็เห็นว่า ใครอยากขายเขาก็รับซื้อทั้งหมดแหละ” ตาลยิ้มปลื้มปริ่ม “ช่างเป็นคนจิตใจดีจริงๆ”
“นี่เขาเริ่มกว้านซื้อที่ ตั้งแต่พวกตัดถนนเริ่มเข้ามาทำงานหรือเปล่าคะ” นิรชาหน้าเครียด
ตาลนิ่งคิด “ก็ไม่เชิงนะ ทั้งปู่กับพ่อเขาก็เป็นคนในหมู่บ้านนี้ สะสมที่ทางมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว”
“แต่มันแปลกนะคะ พวกเขาชอบเอาเรื่องผีแม่ม่ายมาหลอกให้ชาวบ้านกลัว จนยอมขายที่แล้วย้ายออกไปจากหมู่บ้าน”
ศักดิ์ท้วง “ไม่ใช่หรอกหนูเนียร์ ลุงรู้จักครอบครัวของคุณทรงกลดดี ตระกูลเขาร่ำรวย อยู่แล้ว พ่อก็เป็นถึงนักการเมืองใหญ่ของจังหวัดเรา ไม่มีทางทำเรื่องอย่างนั้นหรอก”
“ถ้าเป็นอย่างที่น้าศักดิ์ว่า เขาคงไม่มาหลอกลวงชาวบ้านหรอก เนียร์คงคิดมากไป” หมอว่า
นิรชาองใจไม่หาย “งั้นเหรอ... แต่นักการเมืองก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีทุกคน”
“พอแล้วๆ เลิกคิดมาก หมอปรัชมารอแกอยู่นานจนรากจะงอกแล้ว”
นิรชานึกขึ้นได้ “อะ จริงสิ หมอปรัชมีธุระอะไรหรือเปล่า”
ปรัชญายิ้ม “ผมมาทวงสัญญาที่เนียร์บอกว่าจะเลี้ยงข้าวผมเมื่อวันก่อนไง”
นิรชาอึ้งไป กฤตณีจึงแซวขึ้น
“แหม...หมอปรัช อยากกินข้าวก็ไม่บอก”
“ได้เลย งั้นหมอรออาหารจานเด็ดของพวกเราตรงนี้นะคะ ไปคิตตี้ เข้าครัวกัน”
นิรชาและกฤตณีจูงมือกันเข้าไปในครัว
ปรัชญายิ้มมองนิรชาอย่างมีความสุข
ปรางทิพย์และบัวคำเดินตามทศนนท์ พีรพร เข้ามาในห้องอนุชิต
“เมื่อกลางวันพี่นุไข้ขึ้นสูง แล้วเพิ่งจะกินยาหลับไปครับ”
“ขอปรางดูอาการเพื่อนคุณทศหน่อยได้ไหมคะ”
“นี่คุณปราง นอกจากสวยแล้ว ยังเป็นหมอด้วยเหรอครับ”
“แค่พอรู้วิชาแพทย์สมุนไพรน่ะค่ะ”
“คุณปรางเชี่ยวชาญเรื่องยาสมุนไพร และโรคไข้ป่าน่ะค่ะ พอเธอรู้ว่าเพื่อนคุณทศป่วย จึงอยากมาช่วย” บัวคำบอก
ทศนนท์ยิ้มภูมิใจ “งั้นก็เชิญเลยครับ”
ปรางทิพย์พยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปดูอนุชิตที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง เธอยื่นมือไปแตะหน้าผากเขา
พบไอความร้อนแล่นเข้ามาปะทะที่มือปรางทิพย์ จนเธอต้องรีบชักมือออก
ปรางทิพย์สัมผัสได้ว่าอาการที่อนุชิตเป็นไม่ได้เป็นเพราะไข้ธรรมดาแน่ๆ
“ไข้นี่ไม่ธรรมดา เหมือนกับคนโดนพิษ” ปรางทิพย์บอก
ทศนนท์และพีรพรตกใจ
บัวคำยื่นผอบให้ปรางทิพย์ อีกฝ่ายส่งต่อให้ทศนนท์
“นี่เป็นยาลูกกลอน ที่ใช้รักษาอาการจากพิษไข้ กินวันละสามเวลาหลังอาหาร มันจะช่วยล้างพิษให้คุณนุหายเร็วขึ้น”
ทศนนท์รับผอบมา “ขอบคุณครับ”
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ปรางทิพย์เดินนำบัวคำออกจากห้องไป ทศนนท์ส่งผอบให้พีรพรและเดินตามออกไป
ปรางทิพย์เดินออกมาที่หน้าบ้านพร้อมบัวคำ โดยมีทศนนท์เดินออกมาส่ง เขามองหารถสองสาว
“คุณปรางกับพี่บัวคำจะกลับกันยังไงครับ ผมไม่เห็นมีรถมาด้วย”
“พวกเราเดินมาค่ะ”
ทศนนท์ทึ่ง “เดินมา นี่ก็เย็นมากแล้ว กว่าจะกลับถึงบ้านก็คงมืด เดี๋ยวผมเอารถไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราเดินกลับกันเองได้”
“ผมไปส่งดีกว่าครับ ไม่ต้องเกรงใจ ไปครับ เชิญขึ้นรถเลยครับ”
ทศนนท์ไม่รอให้ปรางทิพย์ปฏิเสธอีก เขาหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปที่รถ พร้อมกับขึ้นไปประจำที่คนขับ แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อมองเห็นปรางทิพย์และบัวคำยังคงยืนอยู่ข้างรถ โดยไม่ยอมขึ้นรถ
“ขึ้นมาสิครับ เดี๋ยวผมไปส่งเอง”
ปรางทิพย์และบัวคำยังคงยืนมองประตูรถนิ่งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ
ทศนนท์เข้าใจว่าปรางทิพย์อาจจะลังเลไม่อยากให้เขาไปส่ง จึงเปิดประตูลงมาจากรถแล้วเดินอ้อมจะไปเปิดรถให้กับหญิงสาวทั้งสอง
“ไม่ต้องลังเลหรอกครับ”
แต่เมื่อทศนนท์เดินมาถึงอีกฟากหนึ่งของรถเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นปรางทิพย์และบัวคำขึ้นไปนั่งอยู่บนรถแล้ว โดยปรางทิพย์นั่งอยู่ข้างคนขับหันมามองทศนนท์นิ่งๆ
“ไปกันเลยค่ะ”
“เอ่อ...ครับ...”
ทศนนท์สลัดความแปลกใจทิ้งไป แล้วรีบวิ่งไปประจำที่คนขับทันที
ที่โต๊ะกินข้าวหน้าบ้าน นิรชา กฤตณี ปรัชญา ศักดิ์และตาล นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน
ปรัชญาตักอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย นิรชามองปรัชญากินอย่างภูมิใจ
“อาหารฝีมือเนียร์ เป็นไง พอไหวไหม”
“ไม่ไหวๆ” นิรชาหน้าเสีย “ต้องบอกว่าอร่อยสุดๆ ไปเลยต่างหาก”
นิรชายิ้มปลื้ม กฤตณีรีบพูดขึ้นอย่างเอาหน้า
“มื้อนี้ไม่ใช่เนียร์ทำคนเดียวนะหมอปรัช คิตตี้ก็ช่วยทำด้วย ถึงจะเป็นแค่ลูกมือ แต่ความดีความชอบในวันนี้ก็ต้องเป็นของคิดตี้ด้วยอีกคน”
ทุกคนหัวเราะชอบใจ
“ใช่ๆ นางฟ้าตัวน้อยๆ ของพ่อคนนี้ก็เก่ง เยี่ยมที่สุดเลยลูก”
ศักดิ์ชมและลูบหัวลูกสาวตุ้ยนุ้ยด้วยความเอ็นดู
“ข้าวหมดแล้ว มาค่ะ คิตตี้เติมให้เอง”
กฤตณีรีบรับจานข้าวจากปรัชญาจะไปเติมให้ พลันสายตาก็หันไปเห็นรถคันหนึ่งแล่นผ่านมา
“อ้าว นั่นรถคุณทศนี่ ว้าวๆๆๆ มีสาวนั่งอยู่ในรถด้วย คุณปรางทิพย์ใช่ไหม”
ทุกคนหันมอง เห็นในรถของทศนนท์ที่กำลังวิ่งผ่านไป ปรางทิพย์นั่งอยู่ในรถคู่ทศนนท์
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ที่เห็นคุณปรางออกไปไหนมาไหนกับคนอื่น” ศักดิ์บอก
“ทำไมล่ะครับ” ปรัชญาแปลกใจ
“คุณปรางแกเป็นผู้ดี ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ แกก็ใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ไม่ค่อยยุ่ง หรือสุงสิงกับใคร” ศักดิ์ว่า
“แต่แกเป็นคนเก่งนะคะ มีความรู้เรื่องยาสมุนไพร เคยมีชาวบ้านเจ็บป่วยก็ได้คุณปรางนี่แหละให้ยาสมุนไพรมารักษา” ตาลเสริม
“งั้นจากที่เห็น ความสัมพันธ์ของคุณปรางกับคุณทศ คงไม่ใช่ธรรมดา” ปรัชญาว่า
“จริงค่ะ คิตตี้เห็นด้วย”
“ขนาดเคยเห็นแต่ไกลๆ ยังรู้สึกเลยว่าสวยต่างจากคนธรรมดา ผู้ชายคนไหนก็ต้องชอบทั้งนั้น”
ปรัชญาออกตัว “แต่ผมไม่ใช่นะ ไม่ต้องสวยผมก็ชอบได้ ขอแค่ให้เป็นคนจิตใจดี”
กฤตณีแทรกขึ้น “เหมือนคิตตี้ ใช่ไหมคะหมอ”
ปรัชญาหน้าเหวอ “เอ่อ...”
ทุกคนเห็นท่าทางหมอปรัชแล้วอดหัวเราะขำไม่ได้
รถทศนนท์วิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านปรางทิพย์ เขาลงจากรถแล้วรีบวิ่งอ้อมมาเปิดประตูรถให้ปรางทิพย์และบัวคำลงมา
ปรางทิพย์ ซึ่งยามนี้มณฑาทองที่เหน็บผมเธออยู่ไม่มีแล้ว เธอหยุดยืนคุยอยู่กับทศนนท์ ขณะที่บัวคำเดินเลี่ยงเข้าบ้านไปก่อน
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ สำหรับยาสมุนไพร”
ปรางทิพย์ยิ้มรับ “ตะวันจวนจะลับแล้ว คุณทศกินข้าวเย็นมาหรือยังคะ”
“ยังเลยครับ”
“ถ้างั้น...เชิญอยู่กินข้าวเย็นกันก่อนนะคะ”
ทศนนท์อึกอักด้วยความเกรงใจ “เอ่อ... ไม่เป็นไรครับ”
“คุณทศติดธุระหรือนัดใครไว้หรือเปล่าครับ”
ทศนนท์รีบออกตัว “เปล่าครับ แต่...ผมแค่รู้สึกเกรงใจที่ต้องคอยรบกวนคุณปรางอยู่เรื่อยๆ”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ ฉันเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว”
ปรางทิพย์นิ่งมองทศนนท์เหมือนกำลังรอคอยคำตอบที่ตนเองต้องการ
ทศนนท์ได้แต่สบตาเธอดั่งต้องมนต์สะกด
บนโต๊ะอาหาร อลังการมากๆ สำรับอาหารคาวหวานได้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว โดยใส่ในถ้วยชามเบญจรงค์ที่ปิดฝาจัดวางไว้อย่างสวยงาม ทศนนท์ตกตะลึงกับภาพที่เห็น
“นี่บ้านคุณปรางกินอาหารด้วยถ้วยชามเบญจรงค์ทุกมื้อเลยเหรอครับ”
“ไม่ใช่ทุกมื้อหรอกค่ะ แต่มื้อนี่เป็นมื้อพิเศษ”
บัวคำเปิดฝาครอบอาหารจากชามต่างๆ ออก
“ไม่รู้จะถูกปากคุณทศหรือเปล่า เพราะพวกเราเป็นมังสวิรัติ กินกันแต่พืชผักผลไม้”
ทศนนท์ต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อเห็นอาหารทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นอาหารไทยโบราณที่หากินได้ยากมากในปัจจุบัน
“มีอะไรบ้างครับ น่ากินทั้งนั้น แต่ผมไม่รู้จักสักอย่างเลย”
“นี่คือแกงรัญจวน ม้าฮ่อ แกงลูกกล้วย แล้วก็ยำทวายค่ะ”
ทศนนท์มองอย่างรู้สึกทึ่ง
“โอ้โห...มีแต่ของที่หากินยากๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ แต่..ไหน คุณปรางว่ากินแต่ผักไงครับ ทำไม...”
ปรางทิพย์ขำนิดๆ “ที่ดูเหมือนเนื้อสัตว์ล้วนแต่เลียนแบบทั้งนั้นค่ะ ไม่ใช่เนื้อสัตว์จริงๆ ส่วนของหวานปรางมีช่อม่วงกับข้าวกระยาคูให้คุณทศได้ลองด้วยนะคะ”
ทศนนท์พยักหน้าเข้าใจ
บัวคำเข้ามาตักข้าวให้ทั้งคู่ ปรางทิพย์ตักแกงรัญจวนใส่จานให้ทศนนท์
“ลองแกงรัญจวนดูนะคะ ว่าถูกปากคุณทศหรือเปล่า”
ทศนนท์ตักข้าวเข้าปาก ปรางทิพย์มองลุ้น ว่าทศนนท์จะจำรสชาติของอาหารที่เขาเคยชอบเมื่อครั้งสมัยที่ยังเป็นเทศได้หรือไม่
“อื้ม...อร่อยมากครับ ฝีมือพี่บัวคำนี่สุดยอดจริงๆ ครับ” เขาหันมายิ้มชม
“พี่เป็นแค่ผู้ช่วยค่ะ ทุกอย่างเป็นรสมือคุณปรางทั้งนั้น”
ทศนนท์มองปรางทิพย์อย่างทึ่งมากขึ้น
“เป็นยังไงคะ รู้สึกคุ้นกับรสชาติบ้างไหม เคยกินแบบนี้มาบ้างหรือเปล่า”
“ครั้งแรกเลยครับ ผมไม่เคยทานอาหารที่ไหนอร่อยแบบนี้มาก่อนเลย อร่อยอย่างกับอาหารทิพย์”
ปรางทิพย์มีสีหน้าผิดหวังนิดๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“งั้นก็กินเยอะๆ นะคะ”
ทั้งคู่ลงมือกินข้าว ก่อนที่ทศนนท์จะถามขึ้น
“คุณปราง กินมังสวิรัติมานานแล้วหรือครับ”
“ตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ พวกเรากินแบบนี้กันมาตลอด เพราะเชื่อว่าการที่เราไม่ต้องไปเบียดเบียนชีวิตสัตว์ มันเป็นการทำบุญที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่ง”
ปรางทิพย์กินอาหารต่อ ขณะที่ทศนนท์อึ้งมองปรางทิพย์อย่างรู้สึกทึ่งในความคิดและความเป็นอยู่ของเธอ
ปรางทิพย์มักจะใช้คำว่า “กิน” ไม่ใช้ “ทาน” เพราะเป็นภาษาโบราณคุ้นปาก
พีรพรกำลังนั่งเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่ที่โต๊ะรับแขกในบ้านพัก จนทศนนท์เปิดประตูบ้านเข้ามา
“อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอพี”
“ยังครับ แล้วพี่ล่ะ ไปส่งคุณปรางที่บ้านแค่นี้ ทำไมกลับซะดึกเชียว (แกล้งล้อ) ผมล่ะเป็นห่วงนึกว่าพี่ถูกผีแม่ม่ายเอาตัวไปซะแล้ว”
“คุณปรางชวนกินข้าวเย็นน่ะ”
พีรพรยิ้มแซวๆ “ โห...ไม่ทันไรข้ามขั้นไปแล้วพี่เรา”
“ลามปามใหญ่แล้วแกนี่”
“โธ่พี่ จะจีบก็จีบเลย คุณปรางน่ะ สวยตะลึง สวยอย่างกับนางในวรรณคดี เหมือนหลุดมาจากป่าหิมพานต์ ผมว่าเขาน่าจะชอบพี่นะ”
ทศนนท์ยิ้มเขินๆ “คุณปรางเขาเป็นคนดี มีน้ำใจต่างหาก”
“เอาเลยพี่ คนนี้ผมเชียร์เต็มที่ ดูแพงดูมีค่า ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป สงสัยว่าเจอกันคราวหน้า ผมคงต้องเรียกพี่สะไภ้แล้ว”
“บ้าแล้วไอ้พี พูดแบบนี้คุณปรางเขาเสียหาย ไม่เอาแล้วฉันไม่คุยกับแกแล้ว เดี๋ยวฉันเข้าไปดูพี่นุ แล้วอาบน้ำนอนละ”
“แหม...แซวแค่นี้ทำเป็นเขินนะพี่”
ทศนนท์ตัดบทเดินออกไปพร้อมกับยิ้มเขินๆ
ทศนนท์ที่อยู่ในชุดนอน เตรียมเข้านอน เขาเดินมาที่หน้าต่าง คิดถึงคำพูดเย้าหยอกของพีรพร
“โธ่พี่ จะจีบก็จีบเลย คุณปรางน่ะ สวยตะลึง สวยอย่างกับนางในวรรณคดี เหมือนหลุดมาจากป่าหิมพานต์ ผมว่าเขาน่าจะชอบพี่นะ”
ทศนนท์ยืนยิ้มทอดสายตามองออกไปในความมืด กระทั่งเขาได้กลิ่นหอมของมณฑาทองโชยมา
“กลิ่นหอมอะไร”
ทศนนท์เหมือนนึกขึ้นได้ เขาเดินมาหยิบมณฑาทองที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมามองดูแล้วนิ่งคิด
ก่อนหน้านี้ ปรางทิพย์เดินมาส่งทศนนท์ที่รถ
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
ทศนนท์ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ได้ทานอาหารอร่อยๆ
“ถ้าคุณทศชอบ แวะมาทานได้ตลอดเลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มรับและเดินกลับเข้าบ้านไป
ทศนนท์นิ่งมองปรางทิพย์เดินไป ก่อนเปิดประตูขึ้นรถ เขาสตาร์ทรถและขยับกระปุกเกียร์ พลันสายตาของเขาก็มองเห็นมณฑาทองที่หล่นอยู่เบาะนั่งข้างคนขับ ทศนนท์รีบหยิบขึ้นมาจะคืนมันให้กับปรางทิพย์ แต่ปรางทิพย์เดินเข้าบ้านไปแล้ว
ทศนนท์ดึงตัวเองกลับออกมา เขายิ้มมองมณฑาทองในมือแล้วยกขึ้นมาดอมดมอย่างชื่นใจ
ที่บ้านกฤตณี เวลากลางดึกเงียบสงัด
นิรชานั่งตรวจการบ้านของนักเรียนอยู่ที่โต๊ะทำงาน เธอบิดตัวเมื่อเริ่มรู้สึกง่วงและมีอาการเมื่อยขบ เสียงไลน์จากโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ดังขึ้น นิรชาหยิบมาเปิดอ่าน
“หมอปรัชนี่ ป่านนี้ยังไม่นอนอีก”
“นอนหรือยัง”
นิรชาพิมพ์ข้อความไลน์ตอบกลับว่า
“ยังจ้า ตรวจการบ้านเด็กๆ อยู่”
“ดึกแล้ว นอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมาเป็นหมีแพนด้า ไม่สวยนะ”
นิรชายิ้มแล้วพิมพ์ตอบ
“รับทราบค่ะ คุณหมอ”
“ฝันดีคร้าบบบ”
นิรชาอ่านข้อความแล้วก็ยิ้ม ส่งสติกเกอร์กู๊ดไนท์กลับไปให้ ลุกเดินไปปิดหน้าต่าง แต่แล้วสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
“นั่นใครมาเดินอะไรดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว”
ในสายตานิรชาเห็นใครบางคนที่กำลังเดินอยู่กลางถนน ท่ามกลางความมืด และเสียงสุนัขเห่าหอนโหยหวนเป็นทอดๆ
นิรชาเพ่งมองแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องบันทึกภาพแล้วซูมภาพดู จนเห็นว่าเป็นทศนนท์
“อีตาทศนี่”
นิรชามองอย่างแปลกใจ
บริเวณชายป่ายามค่ำคืน เหล่าหิ่งห้อยต่างบินว่อนส่องแสงวิบวับ รายล้อมปรางทิพย์ ที่กำลังยืนถือตะเกียงเจ้าพายุเหมือนกำลังเฝ้ารอใครบางคนอยู่ แล้วเธอก็ยิ้มเยือกเย็นเมื่อเห็นใครคนนั้นเดินมา
ทศนนท์เดินตรงเข้ามาหาปรางทิพย์เหมือนกับนัดกันไว้
ปรางทิพย์ยิ้มให้ทศนนท์ ก่อนจะหมุนตัวเดินนำทศนนท์เข้าไปในป่า
ทศนนท์เดินตามหลังปรางทิพย์ไปช้าๆ
อ่านต่อตอนที่ 4