เพรงลับแล ตอนที่2 | ผีแม่ม่ายอาละวาด
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ทางด้านเนตรมายาลืมตาขึ้นมาช้าๆ มองหน้าผู้ใหญ่จรัล
“เป็นยังไง ได้ความยังไงบ้าง”
“ไอ้จาวมันบอกแค่ว่า ถูกผีแม่ม่ายมาเอาตัวไป แล้วมันจะมาเอาคนไปอีก” จรัลบอก
ชาวบ้านหนึ่งในนั้นร้องขึ้น “ เจ้าแม่ต้องช่วยพวกเรานะจ๊ะ จะให้นังผีร้ายนั่นมาเอาผู้ชายของพวกเราไปไม่ได้”
ชาวบ้านคนอื่นๆ ส่งเสียงร้องขอเซ็งแซ่ “เจ้าแม่ช่วยพวกเราด้วยๆ”
“มีวิธีไหนที่จะช่วยพวกชาวบ้านได้เจ้าคะ” ปรียาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เนตรมายาครุ่นคิด ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“วิธีมันก็มีอยู่ แต่ว่า...”
“วิธีอะไร เจ้าแม่บอกมาเถอะจ้ะ ถ้ามันจะช่วยให้ลูกบ้านฉันปลอดภัย ฉันจัดหาให้เจ้าแม่ได้ทุกอย่าง”
เนตรมายาแววตาลุกวาวขึ้นอย่างน่ากลัว
บัวคำถือกระด้งฝัดข้าวอยู่ที่ลานหน้าบ้าน
ทศนนท์เดินออกมาจากบ้านร้าง เขาหันมองมาทางบ้านปรางทิพย์ และเห็นบัวคำกำลังฝัดข้าวอยู่ จึงเดินตรงไปที่รั้วข้างบ้าน
“คุณครับ คุณ...”
บัวคำเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ หันไปมองทศนนท์ด้วยสีหน้าสงสัย
“คุณรู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้หรือเปล่าครับ”
บัวคำกำลังจะตอบ แต่มีเสียงใครบางคนดังขึ้นก่อน
“คุณทศคะ นั่นคุณทศใช่ไหมคะ”
ทศนนท์หันไปมอง เห็นกฤตณีขี่จักรยานมากับนิรชา หงุดมองอยู่ที่นอกรั้ว ทศนนท์หันมาทางบัวคำอีกที พบว่านางหายไปแล้ว ทศนนท์แปลกใจเอามากๆ
ทศนนท์เดินออกจากบ้านร้างมาที่ถนน กฤตณีทักถามอย่างแปลกใจ
“อ้าว คุณทศ เข้าไปทำอะไรในบ้านนั้นคะ”
ทศนนท์เดินเข้ามาหากฤตณีและนิรชา
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
นิรชาฟังแล้วนึกหมั่นไส้ “ไม่รู้แล้วเข้าไปบ้านเขาได้ยังไงคะ ปกติเขาปิดล็อคไว้ไม่ใช่เหรอ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในบ้านนั้นแล้ว”
“คุณทศไม่ได้รู้จักเจ้าของบ้านเหรอคะ” คิตตี้แปลกใจ
“ผมอยากจะถามครูคิตตี้เหมือนกันครับ ว่าบ้านนี้เป็นบ้านใคร”
นิรชากับกฤตณีมองหน้ากันอย่างงงหนัก นิรชานึกว่าทศนนท์พูดกวน
“แบบนี้เขาเรียกว่าบุกรุกนะคุณ”
“ก็ผมไม่มีเจตนานี่ครับ อีกอย่างบ้านนี้ก็ร้างไม่มีคนอยู่”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่สมควรเข้าไป ไม่มีคนอยู่ก็ใช่ว่าไม่มีเจ้าของ ยังไงเขาก็เรียกว่าบุกรุก”
“ผมบอกแล้วว่าผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าเข้าไปได้ยังไง”
คิตตี้หันมาทางนิรชา “สงสัยคุณทศเจอดีเข้าแล้วมั้งเนียร์”
“ที่แกว่าผีดุน่ะเหรอ”
กฤตณีพยักหน้า พลางมองเข้าไปในบ้านอย่างกลัวๆ นิรชาส่ายหน้า
“ไร้สาระน่ะแก...ไม่คุยแล้วดีกว่า เสียเวลา เดี๋ยวไปไม่ทัน”
พูดจบนิรชาก็รีบปั่นจักรยานออกไป
“จะรีบไปไหนกันหรือครับ”
กฤตณีจูงจักรยานถอยกลับมาตอบ
“ชาวบ้านกำลังจะทำพิธีฆ่าหมาค่ะ”
ทศนนท์ตกใจนึกไม่ถึง
ที่ลานหน้าบ้านผู้ใหญ่จรัล
เนตรมายาในคราบเจ้าแม่เนตรตาทิพย์กำลังสวดมนต์อยู่กลางวงล้อมของเหล่าชาวบ้าน
สุดสวย ถนอม มินตาและเสถียรเดินเข้ามาร่วมวงเม้าท์กับชาวบ้านด้วยสีหน้าจริงจัง
หลังจากได้ยินชาวบ้านเล่าให้ฟังแล้ว เสถียรถึงกับเอามือปิดปากด้วยความตกใจ หน้าซีดจะเป็นลม
“ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ดี! เฮี้ยนดีนัก ก็จัดการไปเลย”
จาริณีที่ยืนประคองปรียาอยู่ สีหน้ากระวนกระวายใจ
“แม่ พ่อจะให้เขาฆ่าหมาจริงๆ เหรอ”
“ไม่มีทางเลือกหรอกจ๋า พ่อแกเป็นผู้ใหญ่บ้าน อะไรที่จะทำให้ลูกบ้านปลอดภัยเขาก็ต้องทำ”
“แต่มันบาปนะแม่”
ปรียาตบหลังมือลูกสาวไว้เป็นเชิงปราม จาริณีมองน้องหมาด้วยความสงสารจับใจ
ระหว่างนี้จรัลถือจานข้าวเดินตรงมาที่กรงหมา เขาเปิดกรงแล้วเอาจานข้าวยื่นให้มันกิน แล้วนิ่งมองหมากินข้าว สีหน้าขอลุแก่โทษ
“อย่าจองเวรกันเลยนะ พวกฉันและชาวบ้านเดือดร้อนกันจริงๆ ถือซะว่าทำบุญ เสียสละเพื่อช่วยคนในหมู่บ้านก็แล้วกัน”
หมาดำกำลังกินข้าวอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จาริณีมองหมา สงสารมันจับใจ
นิรชาขี่จักรยานมาถึงริมรั้วบ้านผู้ใหญ่ แล้วรีบจอดรถ มองเข้าไปด้านในอย่างร้อนใจ เห็นชาวบ้านกำลังล้อมวงดูพิธีกรรมอยู่
“นั่นไงคิตตี้ พวกเขากำลังจะฆ่าหมาแล้ว”
กฤตณีขี่จักรยานเข้ามาจอดข้างนิรชา
“เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทัน”
นิรชาตัดสินใจเดินเข้าไป ทั้งที่กฤตณียังไม่ลงจากรถ
“เนียร์ รอฉันด้วยเนียร์”
ทศนนท์ขับรถเข้ามาจอดใกล้ๆ กฤตณีจึงหันไปบอกเขา
“คุณทศช่วยห้ามยัยเนียร์ทีค่ะ ดุ่มๆ เข้าไปอย่างนั้นอันตราย”
ทศนนท์รีบลงจากรถแล้วตามนิรชาไป
เนตรมายาหลับตาสวดคาถา ชาวบ้านนั่งล้อมวงคุกเข่าพนมมือ
เชื่อมส่งกริชเล่มเล็กให้เนตรมายา เจ้าแม่เนตรตาทิพย์รับมาเป่าคาถาใส่แล้วจ้องไปที่หมาดำ
หมาดำเงยหน้าขึ้นมากระดิกหางโดยไม่รู้ชะตากรรม
ทศนนท์ปราดเข้ามาดึงแขนนิรชารั้งไว้
“ใจเย็นก่อนครับครูเนียร์ ถ้าครูบุกเข้าไปทำลายพิธี ชาวบ้านจะไม่พอใจเอานะครับ”
“ใครจะไม่พอใจก็ช่าง ฉันจะไม่ยอมให้ใครฆ่าหมาตัวนั้นเด็ดขาด”
เนตรมายาเดินมาที่กรงหมา ถนอมเปิดกรงให้ นิรชาเห็นสะบัดมือออกจากทศนนท์วิ่งเข้าไป
เนตรมายาเงื้อกริชขึ้น นิรชาหันหลังไปมองและกำลังจะพุ่งเข้าไปห้าม แต่เสียงหมาร้องเจ็บปวดดังขึ้นก่อน กฤตณี ทศนนท์ และนิรชาตกใจหันไปทางเสียง
“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้...”
นิรชาตะโกนก้อง วิ่งสุดชีวิต ทศนนท์วิ่งตาม
นิรชาวิ่งฝ่าวงล้อมชาวบ้านเข้ามากลางวง
“หยุดนะ อย่าฆ่ามัน!”
นิรชาชะงักงันสีหน้าตกใจและเสียใจ ขณะที่ทศนนท์ที่วิ่งตามมาติดๆ ก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน
เชื่อมกับถนอมกำลังช่วยกันเทเลือดจากชามแก้วใบใหญ่ ใส่ชามแก้วอีกใบที่ใส่สายสิญจน์รองรับเลือดที่กำลังไหลลงมา ขณะที่เนตรมายากำลังบริกรรมคาถาสีหน้าจริงจัง
นิรชามองไปยังซากหมาดำ มีเลือดท่วม และมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วโพล่งออกมาอย่างเสียใจ
“ทำไมถึงทำอย่างนี้ได้ลงคอ”
นิรชาถึงกับน้ำตาไหลพราก สงสารจับใจ
“พวกคุณทำลายชีวิตสัตว์เพื่อสังเวยพิธีงมงายแบบนี้ได้ยังไง”
ถนอมเดินเข้ามาห้ามนิรชา
“อย่าเสียงดังครับครู เจ้าแม่กำลังทำพิธีอยู่”
“ทำไมถึงใจร้ายอย่างนี้”
เนตรมายาวางชามเลือดลงบนโต๊ะ หันมามองนิรชาอย่างไม่พอใจ
“นี่ไม่ใช่ความเชื่องมงาย แต่เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้าน”
“ไม่ใช่ การฆ่าสัตว์ไม่ใช่พิธีอันศักดิ์สิทธิ์แน่”
เชื่อมโกรธ เข้ามาชี้หน้านิรชา
“เอ็งเลิกลบหลู่เจ้าแม่ได้แล้ว ออกไปซะ”
เหล่าลูกบ้านหลายคนเริ่มส่งเสียงเห็นด้วย จรัลเข้ามาห้ามอีกคน
“ครูหลบไปเถอะครับ เจ้าแม่จะได้ทำพิธีต่อให้เสร็จ”
“ผู้ใหญ่ก็คิดแบบนั้นด้วยเหรอคะ หมาตัวนั้น ขนาดชีวิตมันเอง มันยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ แล้วมันจะมีปัญญาที่ไหนไปรักษาชีวิตคนอื่น”
คราวนี้เสียงลูกบ้านบางส่วนเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของนิรชา
โดยเฉพาะจาริณี “จริงอย่างที่ครูเนียร์พูดนะแม่”
เนตรมายาไม่สน เริ่มทำพิธีเทเลือดต่อ
นิรชาไม่พอใจ เดินเข้าไปจะทำลายพิธี จรัลร้องสั่งลูกบ้านคนสนิท
“ไอ้หนอม ไอ้เถียร จับครูไว้”
ถนอมกับเสถียรรีบเข้าไปจับนิรชาไว้
“ฉันขอเถอะ หยุดทำพิธีบ้าๆ พวกนี้ซะที”
มินตาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอจึงตะโกนขึ้น
“หรือว่าครูเป็นพวกผีแม่ม่าย ถึงได้อยากจะทำลายพิธีนี้นัก”
เสียงชาวบ้านเริ่มส่งเสียงอื้ออึงขึ้น
กฤตณีเพิ่งเดินเข้ามาสมทบกับทศนนท์ด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ ทศนนท์เห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาช่วย
“คุณอย่ามากล่าวหาใครว่าเป็นผีสาง พวกผมสามารถแจ้งความจับคุณ ข้อหาหมิ่นประมาทได้นะครับ”
“ถ้าครูไม่ใช่ผีแม่ม่าย ทำไมถึงต้องมาขัดขวางจะทำลายพิธีให้ได้” มินตาว่า
กฤตณีไม่ยอม “ก็เพราะเพื่อนฉันเป็นคนดีน่ะซิ ไม่ได้ใจยักษ์ใจมารอย่างเธอ ที่จะทนเห็นใครฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆ ตาดำๆ แบบนี้ได้ลงคอ”
“อย่ามาเว่อร์หน่อยเลยยัยคิตตี้ ฉันว่าที่พี่จาวตาย น่าจะเป็นฝีมือครูเนียร์นี่แหละ” มินตาพาล
“เป็นไปไม่ได้ คืนที่พี่จาวตาย ฉันกับเนียร์อยู่ด้วยกันตลอด”
นิรชาหันมาทางชาวบ้าน “ฉันไม่ใช่ผี และฉันก็ไม่เห็นด้วยกับพิธีงมงายนี่ด้วย”
นิรชาโวยวายและพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากถนอมและเสถียร
ทศนนท์รีบเข้าไปคว้าตัวนิรชาไว้ ดึงตัวเธอออกมาอย่างปกป้อง
ที่ร้านกาแฟบ้านกฤตณี ศักดิ์ผู้เป็นพ่อกำลังจัดโต๊ะชงกาแฟ และตาลผู้เป็นแม่กำลังเช็ดโต๊ะ ขณะที่ทศนนท์ดึงตัวนิรชาเข้ามานั่งลงที่ม้านั่งภายในร้าน นิรชามีสีหน้าฮึดฮัดขัดใจ
“คุณจะลากฉันกลับมาทำไมไม่ทราบ”
“ก็คุณเข้าไปขวางพวกชาวบ้านเขาแบบนั้น รู้ไหมว่ามันอันตรายแค่ไหน”
“นี่คุณก็เห็นด้วยกับการฆ่าหมาบูชายันต์เหรอ”
“ผมไม่ได้เห็นด้วย แต่คุณช่วยมีสติหน่อยสิ เมื่อกี้คุณเกือบจะถูกชาวบ้านหาว่าเป็นผีแม่ม่ายแล้ว”
กฤตณีปรามนิรชาอีกแรง “จริงของคุณทศนะยัยเนียร์ เมื่อกี้ฉันก็กลัวว่าพวกชาวบ้านจะ
คิดอย่างยัยมิ้น”
“ก็ฉันไม่ใช่ จะกลัวทำไม”
“คุณใจเย็นหน่อย ตอนแรกที่คุณไป คุณจะไปช่วยชีวิตหมาไม่ใช่เหรอ”
“ใช่”
“ในเมื่อเราไปช่วยไม่ทัน หมามันถูกฆ่าไปแล้ว คุณก็ควรจะกลับ แต่นี่คุณไปต่อว่า แล้วจะเข้าไปทำลายพิธีของพวกเขา พวกเขาจะยิ่งโกรธแค้นคุณ”
“ทำไมฉันต้องยอมอ่อนข้อให้สิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วย”
“ถ้าคุณยังอยากทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ คุณก็ไม่ควรไปต่อต้านหัวชนฝา ไม่อย่างนั้นคุณจะอยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ เรื่องบางเรื่องต้องใช้เวลา ไม่ได้แก้กันแค่วันสองวัน”
นิรชาอึ้งไป
“ฉันก็คิดแบบเดียวกับคุณทศนะเนียร์ ใจเย็นๆ เพื่อน เรื่องบางเรื่องเราต้องค่อยๆ แก้ไขกันไป”
“วันนี้ฉันอาจจะใจร้อนไปหน่อย แต่ถึงยังไงก็ต้องหาทางเปลี่ยนความคิดชาวบ้านให้ได้”
ท่าทีนิรชาอ่อนลง ครูสาวถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ยังไม่ยอมแพ้
เย็นวันนั้น สุดสวยเดินถือสายสิญจน์ผ่านประตูรั้วบ้านเข้ามา
ถนอมกับเสถียรถือกลุ่มสายสิญจน์เดินตามหลังสุดสวยมา แล้วเดินเลยผ่านบ้านสุดสวยไปสุดสวยมองกลุ่มสายสิญจน์ในมือ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“แบ่งมาให้แค่นี้มันจะพอได้ยังไง บ้านฉันออกจะกว้าง แล้วประตูหน้าต่างก็มีตั้งเยอะแยะ มันจะกันนังผีหิวผู้ชายออกไปจากโอปป้าของฉันได้ยังไง เฮ้อ...คิดแล้วกลุ้ม”
สุดสวยคลี่ม้วนสายสิญจน์ออกจะล้อมบ้าน
เสียงดีดกีต้าร์และเสียงร้องเพลงดังแว่วหวานมาตามลม
“แค่หนึ่งนาทีที่มีเธอ ยืนอยู่ตรงนี้ คือหนึ่งนาทีที่มี มีความหมาย และฉันมีเพียงหนึ่งคำ แทนล้านคำในใจ ช่วยฟังหน่อยได้ไหม คำนั้นคือคำว่ารักเธอ”
สุดสวยรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจกับเสียงเพลง เดินเคลิ้มตามเสียงเพลงไปหยุดที่สนามข้างบ้าน แล้วยิ้มหวานมองเจ้าของเสียงเพลงนั้น
เป็น ชาย หนุ่มร่างกะทัดรัดกำลังดีดกีต้าร์ร้องเพลงมาดเท่และทรงเสน่ห์สุดๆ เงยหน้าขึ้นมองสบตาสุดสวยแล้วยิ้มให้
“แค่หนึ่งนาทีที่มีเธอ ยืนอยู่ตรงนี้ คือหนึ่งนาทีที่มี มีความหมาย มีร้อยพันคำหมื่นคำ แสนล้านคำในใจ หนึ่งคำแทนทั้งใจ คำนั้นคือคำว่ารักเธอ ฉันรักเธอ”
“โอ้...โอปป้า ของสุดสวย”
สุดสวยซึ้งทำท่าเหมือนจะโผวิ่งเข้าไปหา ชายวางกีตาร์ลงแล้วยืนอ้าแขนรอ แต่เหมือนสุดสวยจะนึกอะไรขึ้นได้
“ไม่ได้ แค่ล้อมบ้านไม่พอ ต้องล้อมรั้วด้วย พี่ชายชอบมานั่งร้องเพลงนอกบ้าน”
สุดสวยรีบวิ่งออกจากบ้านไป ชายมองตามงงๆ
บริเวณหน้าบ้านปรางทิพย์ยามโพล้เพล้ ลมพัดต้นไม้ส่งเสียงหวีดหวิว บรรยากาศยิ่งวังเวง
ถนอมกับเสถียรเดินถือสายสิญจน์ชุบเลือดหมาดำ ตรงมาหยุดที่รั้วหน้าบ้านปรางทิพย์ ชะเง้อมองเข้ามาในบ้าน พบว่าบ้านทั้งหลังไม่มีใครและเงียบสนิท
ถนอมมองสายสิญจน์ในมือ ก่อนจะตะโกนเรียก
“คุณปราง คุณบัวคำ มีใครอยู่ไหม ลุงผู้ใหญ่ให้เอาสายสิญจน์มาให้จ้า”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับมา
“คุณปราง! คุณบัวคำ” ถนอกเรียกอีก
จู่ๆ ใบไม้ก็ล่วงหล่นลงมาบนตัวเสถียร จนเสถียรสาวแตกตกใจกรี๊ดสุดเสียง
“อร๊ายยยยย”
พอเห็นว่าเป็นเพียงใบไม้ เสถียรก็รีบเก๊กเสียงเปลี่ยนเรื่อง
“สงสัยจะไม่อยู่บ้านมั้งพี่”
“ถึงอยู่ก็ไม่ค่อยออกมาให้ใครเห็น จะทำยังไงดีวะ”
ทั้งสองได้แต่ชะเง้อมองเข้าไป
ที่แท้ปรางทิพย์นั่งอยู่ที่ตั่งบนเรือน โบกพัดโบราณไปมา ทว่าพอปรางทิพย์ลดพัดลง เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามเริ่มมีเหงื่อผุดพราย เธอมองไปรอบๆ อย่างฉงนสงสัย
“จู่ๆ ทำไมถึงได้ร้อนอบอ้าวแบบนี้นะ”
สักครู่หนึ่ง บัวคำถืออ่างน้ำเดินเข้ามา
ปรางทิพย์หันมอง บัวคำรีบรุดเอาอ่างน้ำมาวางลงใกล้ๆ ปรางทิพย์
“เอาผ้าชุบน้ำเย็นๆ เช็ดเนื้อเช็ดตัวหน่อยนะเจ้าคะแม่หญิง จะได้ช่วยคลายร้อนได้บ้าง”
บัวคำรีบบิดผ้าชุบน้ำส่งให้ปรางทิพย์เช็ดหน้าเช็ดตัวเพื่อคลายความร้อน
ปรางทิพย์รับผ้าไปพร้อมกับมองบัวคำ ที่มีอาการร้อนเหงื่อแตกไม่ต่างกับตน
“พี่บัวคำก็ร้อนเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ร้อนแค่นี้พี่ทนได้”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น อากาศถึงได้ร้อนขึ้นมากขนาดนี้”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงปรางทิพย์ดี เสียงถนอมก็ดังแว่วผ่านหน้าต่างเข้ามา
“คุณปราง คุณบัวคำ มีใครอยู่ไหม ลุงผู้ใหญ่ให้เอาสายสิญจน์มาให้จ้า”
ปรางทิพย์และคำได้ยิน ทั้งคู่หันมองหน้ากันด้วยความตกใจ เพราะรู้สาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่เกิดอาการร้อน
บัวคำรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง ปิดหน้าต่างและปิดประตูห้อง ก่อนจะรีบวิ่งมานั่งลงข้างๆ ปรางทิพย์
“ทำยังไงดีเจ้าคะแม่หญิง ต้องเป็นเพราะสายสิญจน์นั่นแน่ๆ”
ปรางทิพย์มีหน้าตื่นตระหนก
“สายสิญจน์มนต์ดำ”
ที่ผนังด้านหนึ่งของห้อง ที่หันไปทางหน้าบ้าน เห็นลำแสงสีแดงสะท้อนเป็นรังสีผ่านเข้ามาในห้องจนกระทบร่างของปรางทิพย์และบัวคำ
“โอ๊ย”
ทั้งคู่ร้องขึ้นด้วยความเจ็บเหมือนมีของร้อนมาบาดผิวโดนเนื้อตัว
ในที่สุดถนอมตัดสินผลักประตูรั้วเปิดเข้ามา
“ประตูรั้วไม่ได้ล็อคนี่ จะออกไปข้างนอกทำไมไม่ล็อคให้ดี ยิ่งอยู่กันแค่ผู้หญิง 2 คน”
ถนอมเดินเข้ามาพร้อมกับสายสิญจน์ในมือ
“เอาวางไว้นี่ก็แล้วกัน”
ถนอมวางสายสิญจน์ลงที่โต๊ะหน้าเรือน แล้วกลับหลังจะเดินออกไป แต่เหมือนนึกขึ้นได้
“แล้วพวกเขาจะรู้หรือเปล่าว่านี่เป็นสายสิญจน์เอาไว้ล้อมบ้านกันผีแม่ม่าย” เสถียรว่า
ถนอมหันกลับมามองสายสิญจน์ที่วางที่โต๊ะ ก่อนจะตัดสินใจ
“งั้นเราช่วยกันล้อมให้เลยก็ได้”
ถนอมหยิบสายสิญจน์ขึ้นมา คลี่สายออก เสถียรช่วยจับปลายอีกด้าน
ฝ่ายปรางทิพย์และบัวคำ กำลังนั่งสมาธิอยู่ในโถงบ้าน ทั่วใบหน้าและเนื้อตัวของทั้งคู่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ และมีควันครุกรุ่นทั่วทั้งตัว รู้สึกทรมานอย่างมาก
บัวคำทนไม่ไหว เริ่มหายใจหอบขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะล้มพับลงไป
ปรางทิพย์รีบหันมองด้วยความตกใจ
“พี่บัวคำ”
ปรางทิพย์รีบเข้ามาดูบัวคำ ขณะที่ตัวเธอเองก็ออกอาการหอบและเริ่มจะทนไม่ไหวเช่นกัน
ถนอมกับเสถียร ช่วยกันขึงด้ายสายสิญจน์รอบบ้านปรางทิพย์ จนรอบบ้านทั้งหลัง
“เรียบร้อยแล้ว ไปแจกบ้านอื่นกันต่อ เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน” ถนอมบอก
เสถียรพยักหน้ารับ “ได้พี่”
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมือเข้ามาดึงด้ายออกจนหลุดลงมา ถนอมกับเสถียรมองตกใจเมื่อเห็นสุดสวยยืนจังก้าอยู่ ถนอมโมโห
“แกทำอะไรของแกนังสวย”
สุดสวยดึงด้ายที่ขึงรอบบ้านลงมาแล้วม้วนใส่มือ “จะขึงไปทำไม ที่นี่มีแต่ผู้หญิง ขึงไปก็เสียของเปล่าๆ เอามาให้ฉันนี่”
เสถียรไม่พอใจ “ของแกก็ได้ไปตั้งเยอะ ยังไม่พออีกเหรอนังสวย”
ถนอมอ่านออก จ้องหน้าสุดสวยอย่างรู้ทัน “แกจะเอาไปพันมัมมี่ไอ้ชายหรือไง”
“โอ๊ย! พี่ก็เห็นๆ อยู่ว่าผัวฉันหล่อขนาดไหน ถ้าไม่ป้องกันดีๆ เดี๋ยวผีมันก็ได้แย่งผัวฉันไปน่ะสิ”
“ฮ่วย! ถ้าผัวแกหล่อ พวกเราคงถูกรับเชิญไปเล่นหนังเกาหลีกันทั้งหมู่บ้านแล้ว” ถนอมกัด
สุดสวยขึงตามองไม่พอใจ “เบื่อพวกขี้อิจฉา ไม่มีเวลาแล้วเดี๋ยวมืด ฉันขอก็แล้วกันนะพี่”
สุดสวยเดินถือด้ายสายสิญจน์สะบัดสะบิ้งออกไป ถนอมกับเสถียรมองตามหลังไปอย่างเซ็งๆ
ค่ำแล้ว มีรถขับมาจอดหน้าร้านกาแฟบ้านกฤตณี เห็นอนุชิตกับพีรพรลงจากรถแล้วตรงเข้ามาที่หน้าร้าน
“ผมก็นึกว่าพี่หนีตามผีแม่ม่ายไปแล้ว เห็นหายไปทั้งคืน” พีรพรแซว
“แล้วแกรู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่”
อนุชิตมองไปที่นิรชา “ก็ชาวบ้านเขาบอกว่าพวกพี่กับครูไปขวางพิธีมานี่”
“ไปขวางที่ไหนคะ เนียร์จะไปช่วยหมาต่างหาก”
“แสดงว่าไปช่วยไม่ทันเหรอครับ ถึงได้แจกสายสิญจน์กันทั้งหมู่บ้าน” พีรพรเหน็บ
“ก็ถ้า” นิรชาหันไปทางทศนนท์ “ไม่มาห้าม ฉันก็ช่วยทันแน่”
กฤตณีมองค้อน “แล้วแกนั่นแหละจะถูกบูชายันต์แทนหมาดำ”
“ฉันไม่กลัวหรอก ฉันเอาตัวรอดได้ สงสารหมาตาดำๆ ที่ต้องถูกฆ่าอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ถ้าวิญญาณมันมีจริงก็คงเจ็บปวดทรมานน่าดู”
มีเสียงหมาหอนดังขึ้นและรับกันเป็นทอดๆ อนุชิตกับพีรพรและกฤตณีสะดุ้งโหยง
“ผมว่า...เรารีบกลับไปโยงสายสิญจน์กันเถอะ” อนุชิตว่า
“อย่าบอกนะว่าพี่ก็เอากับเขาด้วย”
“เชื่อไว้ไม่เสียหายหรอก”
ตาลตะโกนออกมาจากด้านใน “ขนาดหมามันยังถูกฆ่าตายเลย มันจะไปช่วยอะไรใครได้”
ศักดิ์ปรามเมีย “อย่ายุ่งกับเขา ขายของไป เรื่องอย่างนี้มันแล้วแต่ความเชื่อ”
ทศนนท์หันไปทางลูกน้อง “ไปๆ กลับกันเถอะ”
“เอาไปทิ้งเถอะพี่นุ ผมกลัวผีหมามากกว่า หมาตายโหงด้วยสิ”
“เรื่องอะไรจะทิ้ง ฉันยังมีลูกมีเมียต้องเลี้ยงดูโว้ย”
ทศนนท์หันไปบอกลาสองสาว แล้วตามพีรพร อนุชิต เดินออกจากร้าน ขึ้นรถขับออกไป
ด้านบัวคำค่อยๆ ลืมตาได้สติ ปรางทิพย์ค่อยๆพยุงร่างบัวคำขึ้นนั่ง
“พี่บัวคำเป็นยังไงบ้าง”
บัวคำมีท่าทีหนักใจมาก “ต่อไปนี้ เราคงต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
“พวกชาวบ้านทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“อย่าชะล่าใจไปเจ้าค่ะแม่หญิง ตอนนี้ชาวบ้านกำลังหาวิธีขับไล่เราอยู่”
ปรางทิพย์บอกด้วยสีหน้าแน่วนิ่ง “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้ารอพี่เทศมาตั้งนาน ข้าจะไม่ยอมให้เราพรากจากกันอีก”
“แต่เขาจำแม่หญิงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ข้าจะทำให้เขาจำข้าให้ได้”
บัวคำมองเป็นห่วง “แต่ถ้าเราอยู่ที่นี่ เราก็ต้องสร้างกรรมไม่รู้จักจบสิ้น”
แววตาอ่อนโยนของปรางทิพย์เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวโกรธแค้น
“แล้วคนพวกนั้นมันสมควรตายหรือไม่ล่ะ”
บัวคำมองปรางทิพย์อย่างหนักใจไม่อยากขัด แต่ก็เป็นห่วงไม่คลาย
ฟากทศนนท์ครุ่นคิด เดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าบ้านพัก
สักครู่เสียงมือถือดังขึ้น เป็นเบอร์สุนันท์แม่ของเขากดโทรมาหาแล้ววางไป ทศนนท์ลังเลจะโทร.กลับดีไม่โทร.ดี สุดท้ายตัดสินใจกดโทร.ออก
อีกฟาก สุนันท์รับสายลูกชายสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ
“ว่าไงไอ้ตัวแสบ นึกว่าติดถ้ำจนต้องตามหน่วยซีลไปช่วยเสียแล้ว”
ทศนนท์หัวเราะ
“โธ่…ไม่โทร.หาแค่สามวันมีประชดด้วย”
“มีอะไรเล่ามา เจอสาว จะให้แม่ไปขอให้ใช่ไหมล่ะ” ผู้เป็นมารดาสัพยอก
“เจอมากกว่าสาวเสียอีกน่ะสิครับ”
สุนันท์แกล้ง “อย่าบอกนะว่าหนูเปลี่ยนไปแล้วลูก”
“แม่! ผมจริงจังนะครับ” ทศนนท์ขำ เปลี่ยนเรื่องคุย “แม่เคยบอกว่าพ่อเป็นคนที่ไหนนะ”
“ถ้าจำไม่ผิดก็จังหวัดที่ลูกไปทำงานนั่นแหละ แต่แม่ไม่รู้ว่าอำเภออะไร ทำไมอยู่ๆ ถึงมาถามเรื่องพ่อล่ะลูก”
“ก็วันนี้ผมเจอแต่เรื่องแปลกๆ อยู่ๆผมก็ไปตื่นที่บ้านร้าง และในบ้านยังมีรูปผู้ชายที่หน้าเหมือนผมอย่างกับคนคนเดียวกัน แต่เป็นภาพเก่าย้อนไปสมัยห้าหกสิบปีที่แล้ว”
สุนันท์นิ่วหน้าแปลกใจ “ถ้างั้นผู้ชายคนนั้นก็แก่กว่าพ่อของลูกมาก นี่ลูกละเมอหรือเปล่า แต่ลูกก็ไม่เคยละเมอมาก่อนนี่”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่หน้าผมก็ไม่เหมือนพ่อตอนหนุ่มๆ นี่ครับ”
“แค่คล้ายแต่ไม่เหมือน ลูกก็เคยเห็นรูปพ่อตอนหนุ่มๆ แล้วนี่ คนในรูปนั้นก็อาจจะแค่บังเอิญหน้าเหมือนกัน”
“อาจจะใช่นะครับ คงเป็นความบังเอิญที่แปลกประหลาดจริงๆ”
ทศนนท์สีหน้ายังครุ่นคิดสงสัยไม่หาย
บรรยากาศในหมู่บ้านตอนกลางคืน ลมพัดแรง
สุดสวยมองไปรอบๆ สีหน้าหวาดผวา กลัวผีแม่ม่ายจับจิต ในมือถือผ้าขนหนูกางไว้ รอชายที่กำลังสระผม อาบน้ำ อยู่ข้างตุ่ม ชายนุ่งผ้าขาวม้าอาบน้ำไป พลางมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัวบางอย่าง
เสียงหมาหอนโหยหวนดังขึ้น
สุดสวยสะดุ้งตกใจ รีบวิ่งเข้าไปเอาผ้าคลุมชายวิ่งเข้าบ้านไป ทั้งที่ยังล้างแซมพูออกไม่หมด แต่กลัวผีแม่ม่ายเลยต้องรีบแจ้นเข้าบ้านไป
พวกชาวบ้านต่างพากันปิดประตูหน้าต่าง แล้วรีบปิดไฟนอน
แต่ที่แคร่ใต้ถุนบ้านของนายทอง กำลังตั้งวงกินเหล้าอย่างสำราญ โดยมีผู้หญิงสองคนนั่งหันหลัง อยู่ในวงเหล้า ทองยื่นแก้วให้ผู้หญิงในวง
“เอ้าๆ กินๆ”
บานเย็นเมียนายทองลงเรือนมาเห็นผัวนั่งตั้งวงโจ้เหล้าอยู่กับผู้หญิงสองคนก็กระโดดเข้าถีบผัวจังๆ จนผัวกระเด็นลงไปกองกับพื้น
“นึกว่าหายไปไหน ที่แท้แกมากินเหล้ากับอี…” บานเย็นเท้าสะเอวด่ากราด พอหันไปมองผู้หญิงทั้งสองชัดๆ แล้วต้องตกใจ “อ้าว นี่พวกแกเองเหรอ”
ที่แท้เป็นผู้ชายทั้งคู่ ที่พากันแต่งหญิง เพราะกลัวผีแม่ม่าย ใส่วิกผมแต่งหน้า ใส่ผ้าถุงกับเสื้อคอกระเช้า ทาเล็บแดงจัดเต็ม แต่มีหนวดมีเครา
ทองลุกขึ้นมา ทำท่าเจ็บไม่น้อย “มาถึงก็เล่นใหญ่ตลอด สักวันข้าจะไปกับผีแม่ม่ายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
เสียงหมาหอนดังโหยหวนขึ้นอีก ทุกคนเริ่มกลัว
“กลับก่อนนะพี่ทอง ลืมไปเมียใช้ให้มาซื้อผงชูรส”
ชาย 1 ลูกขึ้น ชาย2 กลัวผี “รอข้าด้วย”
ทุกคนวงแตกรีบวิ่งกลับบ้านใครบ้านมัน
เสียงหมาหอนโหยหวน ดังรับกันเป็นทอดๆ
ทองงัวเงียออกจากห้องนอน เพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ
“โอย...สงสัยจะกินหนัก ปวดฉี่บ่อยจริงวุ้ย”
ทองเปิดประตูจะเข้าห้องน้ำ แต่แล้วมองไปที่ชานบ้าน เห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ ทองเขม้นมอง
“ใครยืนอยู่ตรงนั้นวะ”
ทองมองเห็นลางๆ ว่าเป็นหญิงสาวผมยาวในชุดผ้าถุงสีเรียบแบบไทยโบราณคล้ายๆ ปรางทิพย์
“ถามไม่ตอบ หยิ่งซะด้วย แบบนี้ต้องจู่โจม”
ทองจะเดินเข้าไปหา จู่ๆ หญิงสาวคนนั้นก็หันหน้ามาเผยให้เห็นใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนผี ทองตกใจร้องเสียงหลง
“อ๊ากกก....”
ทองล้มตึงหงายหลัง หัวฟาดพื้นหมดสติไป บานเย็นได้ยินเสียง วิ่งออกมาดู
“พี่ทอง มีอะไรเหรอพี่...” พอเห็นร่างทองนอนนิ่งอยู่ก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปดู ร้องเสียงหลง
“พี่ทอง”
รุ่งเช้า บรรยากาศในหมู่บ้านนางลับแลเหมือนชนบททั่วไป ชาวบ้านใช้ฟืนไฟหุงหาทำกับข้าว และเผาเศษใบไม้รอบๆ บ้าน
ทศนนท์นั่งคุยกับผู้ใหญ่จรัลสองคนอยู่ตรงระเบียงบนเรือน หลังจากเล่าเรื่องให้ฟังแล้ว
“บ้านหลังนั้นมันร้างมานานแล้วคุณ ตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ก็ไม่เห็นมีใครมาอยู่เลย”
ทศนนท์รู้สึกผิดหวัง “พอจะมีผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่รู้จักเจ้าของบ้านบ้างไหมครับ”
“ส่วนมากก็ล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว” จรัลครุ่นคิดแล้วทำท่าเหมือนจะนึกออก “อ้อ…แต่ผมเคยไปเล่นที่บ้านหลังนั้นสมัยเด็กๆนะ ถ้าจำไม่ผิด ลูกเจ้าของบ้านชื่อทัด อยู่กับพ่อแค่สองคน”
ทศนนท์เริ่มมีความหวัง “แล้วเขาหายไปไหนแล้วเหรอครับ”
จรัลพยายามนึก “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ๆ คนบ้านนั้นก็หายไป แล้วก็ปล่อยให้บ้านร้างนานหลายสิบปีแล้ว ชาวบ้านเขาลือกันว่าผีดุเลยไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง”
ทศนนท์เหมือนนึกออก “แล้วข้างๆ บ้านหลังนั้น…”
“บ้านคุณปรางทิพย์นั่นเหรอ เขาไม่รู้จักหรอก คุณปรางเพิ่งมาอยู่ไม่นานนี้เอง”
ทศนนท์สนใจ “เจ้าของบ้านหลังนั้นชื่อคุณปรางทิพย์เหรอครับ”
จรัลพยักหน้ารับ “ครับ แต่อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ผมเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียว เขาท่าทางผู้ลากมากดี ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร”
ทศนนท์เริ่มสงสัยแล้วอยากหาคำตอบต่อไป
ทศนนท์ขับรถออกมาจากบ้านผู้ใหญ่ แล่นมาตามถนน สีหน้าคิดไม่ตก พึมพำพูดกับตัวเอง
“คุณปรางทิพย์...”
ขณะที่ทศนนท์ครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีอะไรบางอย่างตัดหน้ารถ เขาตกใจเหยียบเบรคจนหัวทิ่ม พอตั้งสติได้จึงรีบลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ทศนนท์มองไปที่ข้างรถ เห็นนายด่านใส่แต่กางเกงไม่ใส่เสื้อนั่งก้มหน้า ผมปิดหน้าดูไม่ชัดว่าเป็นใคร ทศนนท์ตกใจรีบเข้าไปช่วย
“คุณตา…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
นายด่านค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองทศนนท์ แล้วยิ้มกว้างดีใจ โผเข้าจับมือทศนนท์แววตาเป็นประกาย
“พี่เทศ…พี่กลับมาแล้วเหรอ แล้วเมียพี่ล่ะ พี่หาเจอหรือยัง”
ทศนนท์ชะงัก มีสีหน้าสนใจ “ตา…เรียกผมว่าอะไรนะครับ”
เสถียรเข้ามาขัดจังหวะก่อน
“ไปๆ ตาด่าน อย่ามากวนคุณทศเขา”
ด่านเมาแอ่น เสียงอ้อแอ้ๆ “ทศไหน นี่มันพี่เทศ...พี่เทศมาก็ดีละ ขอตังค์กินเหล้าหน่อย” ด่านแบมือขอเงินทศนนท์ ถูกเสถียรด่า ไล่ตะเพิด
“ไปๆ เมาแล้วกลับไปนอนไปตาด่าน อย่ามาเกะกะแถวนี้”
เสถียรดึงด่านห่างออกมา ด่านรีบเดินโซเซออกไปทางหนึ่งเสถียรหันไปบอกทศนนท์
“อย่าไปสนใจแกเลยครับคุณทศ ตาด่านแกขี้เมา เอาอะไรกับแกไม่ได้หรอก”
พูดจบเสถียรก็วิ่งไปทางบ้านผู้ใหญ่จรัล
ทศนนท์พยักหน้ารับแบบงงๆ แล้วมองตามด่านอย่างสงสัย
เสถียรวิ่งเข้ามาบอกจรัล
“ผู้ใหญ่ๆ เกิดเรื่องอีกแล้วจ้า”
“อะไรวะไอ้เถียร ทำยังกับมีใครตาย”
“ตายจริงๆ จ้ะ ไอ้ทองตายอีกคนแล้ว”
“อีกแล้วเหรอ”
สีหน้าจรัลตกใจและเครียดจัด
ที่ห้องเรียน ในโรงเรียนนางลับแล
นิรชากำลังสอนนักเรียนอยู่หน้ากระดาน
“มีใครตอบครูได้บ้าง ว่านักบินคนแรกที่เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์คือใคร”
วิรดา หัวหน้าห้องยกมือ “นีล อาร์มสตรอง ค่ะ”
“เก่งมาก ตบมือให้เพื่อนหน่อยค่ะ”
ด.ช.ชูชาติ กับ ด.ช.สันติ เอามือซุกไว้ใต้โต๊ะไม่กล้าปรบมือให้เพื่อน
“นายสันติ นายชูชาติ เอามือไว้ใต้โต๊ะทำไม”
ชูชาติและสันติอึกอักไม่กล้าตอบ และไม่กล้าเอามือออกมา
วิรดาฟ้องว่า “ครูคะ นายสันติกับนายชูชาติทาเล็บมาโรงเรียนค่ะ”
นิรชาเดินมาที่โต๊ะสันติและชูชาติ “ไหนเอามือออกมาให้ครูดูซิ”
ชูชาติกับสันติค่อยๆ เอามือออกมา มือทั้งสองข้างทาเล็บสีแดงแป๊ด
“ทำไมพวกเธอทาเล็บแบบนี้”
สันติตอบว่า “ก็ผมกลัวผีแม่ม่ายครับครู”
“พวกเธอเห็นไหมครูสอนวิชาอะไร วิทยาศาสตร์ใช่ไหม ชาวโลกเขาไปถึงดวงจันทร์แล้ว พวกเธอยังจะมางมงายกับเรื่องที่มันไม่เป็นเรื่องอีก”
ชูชาติท้วงว่า “แต่คนในหมู่บ้านก็ตายกันจริงๆนะครับครู และแม่ผมก็ไม่ให้ลบออกด้วย”
สันติหันไปมองไม่พอใจวิรดาที่ฟ้องครู “ใช่ครับ ผมเห็นพ่อของวิรดายิ่งกว่าพวกผมอีก ทั้งทาปากแดงและแต่งตัวเป็นผู้หญิง”
วิรดาโกรธ เถียงสู้ “อย่ามาว่าพ่อเรานะ”
“ก็เธอมันขี้ฟ้องก่อนนี่” สันติไม่ยอมเช่นกัน
นิรชาปรามเด็กๆ “พอๆ หลังชั่วโมงเรียนพวกเธอไปหาครูที่ห้องพักครูนะสันติ ชูชาติ”
เสียงกริ่งหมดชั่วโมงเรียนดังขึ้น นิรชาเดินไปที่โต๊ะเก็บหนังเสือตำรา
วิรดาร้องขึ้น “นักเรียนทำความเคารพ” ทุกคนยืนขึ้นไหว้คุณครู “ขอบคุณค่ะคุณครู” / “ขอบคุณครับคุณครู”
สีหน้านิรชาเป็นกังวลเป็นคลาย
ที่สำนักเจ้าแม่เนตรตาทิพย์ ในบริเวณบ้านพักทรงกลดมีชาวบ้าน ผู้คนเข้าๆ ออกๆ ไม่หยุดหย่อน
เนตรมายาหลับตากำลังเข้าทรงอยู่บริเวณโถงทำพิธี ไม่นานตัวก็เริ่มสั่น
ทุกคนนั่งพนมมือแต้ แววตาเต็มไปด้วยความศรัทธาในตัวเจ้าแม่เนตรตาทิพย์
เนตรมายามองตาขวาง จ้องมาที่บานเย็น
“ผัวแกมันตามแกมา”
บานเย็นตกใจ ระคนดีใจ รีบขยับเข้าหาเจ้าแม่มองหาผัว “ผัวฉันเป็นยังไงบ้างคะเจ้าแม่ พี่ทอง…พี่ทอง เป็นไงบ้าง ได้ยินฉันไหม”
จู่ๆ เนตรมายาก็ตัวสั่นเหมือนผีเข้า โผลงไปกอดบานเย็นร้องไห้คร่ำครวญเป็นเสียงนายทอง
“บานเย็น พี่เจ็บพี่ปวดไปหมดแล้ว ช่วยพี่ด้วย”
บานเย็นกอดเจ้าแม่ร้องไห้โฮ “โธ่…พี่ทอง ทำยังไงฉันถึงจะช่วยพี่ได้”
“รีบพาลูกชายเราไปอยู่ที่อื่น ไม่งั้นมันจะมาเอาลูกเราไปอีกคน โอ๊ย…โอ๊ย…”
เนตรมายาสั่นทำเป็นทองออกจากร่างแล้วหงายหลังลงไป ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิบอกกับบานเย็นว่า
“ไอ้ทองมันไปแล้ว แกต้องรีบจัดการพาลูกชายแกออกไปอยู่ที่อื่น ไม่งั้นมันจะมีชะตาเหมือนกับพ่อมัน” จากนั้นหันไปบอกกับทุกคน “พวกแกทุกคนก็เหมือนกัน หาทางย้ายออกไปจากที่นี่ชะ ไม่งั้นพวกแกจะกลายเป็นหม้ายผัวตาย”
บานเย็นร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฉันจะไปอยู่ที่ไหนได้ เงินก็ไม่มี”
มินตาปลอบใจบานเย็น “ป้าอย่าคิดมากไปเลยนะ เดี๋ยวป้าไปคุยกับคนคนนึง เผื่อเขาช่วยได้”
บานเย็นปาดน้ำตาสีหน้ามีความหวัง
ในห้องประชุมทีมงานสำรวจสร้างทาง ทศนนท์ อนุชิต และ พีรพร กำลังง่วนดูแผนที่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะตัดถนนเข้าไปยังน้ำตก ทศนนท์ชี้ในแผนที่
“ผมว่าควรจะตัดถนนไปถึงแค่สันเขาตรงนี้ก็พอ”
“ถ้าตัดถึงตรงนี้ ทำไมไม่ตัดเข้าไปถึงน้ำตกเลยล่ะครับ”
“ไม่ได้” ทศนนท์ชี้แผนที่ “ตรงนี้เป็นภูเขา ถ้าตัดผ่านเส้นนี้ต้องระเบิดภูเขา โค่นต้นไม้ ป่าจะถูกทำลายเสียหายไปเยอะ”
พีรพรเห็นด้วยกับอนุชิต “แต่ถ้าตัดถึงน้ำตกก็สะดวกนะครับ นักท่องเที่ยวก็เข้าถึงได้ง่ายด้วย แล้วเราค่อยมาปลูกป่าทดแทนทีหลัง”
“ทุกอย่างมันมีเสน่ห์ในตัวของมัน ต่อให้เข้าไปยากลำบากขนาดไหน คนจะเที่ยวเขาก็ดิ้นรนเข้าไปสัมผัสด้วยตัวเขาเองแหละ และที่สำคัญ ต่อให้ปลูกป่าทดแทนยังไงมันก็ไม่เหมือนเดิมหรอก”
พีรพรยิ้มชื่นชม “คมครับพี่ ดีครับนาย เที่ยวแบบติสท์ๆ ชีวิตติดดินดี”
“ขนาดภูกระดึงเดินไกลจะตายคนยังแห่ไปกันจนล้น”
“ผมก็แค่นึกถึงความเจริญที่จะเข้ามา ชาวบ้านจะได้มีรายได้” อนุชิตว่า
“ความเจริญก็ใช่จะดีเสมอไปนะ ผมไม่เห็นด้วยที่จะตัดถนนเข้าไปจนถึงน้ำตกแน่นอน”
ทศนนท์บอกด้วยแววตามุ่งมั่น
บรรยากาศโพล้เพล้ห่อคลุมไปทั่วบริเวณบ้านร้าง
ทศนนท์เปิดประตูรั้วหน้าบ้านเดินเข้าไปจนถึงประตูหน้าเรือนใหญ่ของปรางทิพย์
พบว่าประตูบ้านคล้องกุญแจโบราณปิดไว้ ทศนนท์มองอย่างประหลาดใจพึมพำกับตัวเองงงๆ
“ทำไมบ้านล็อค แล้วเมื่อวานเราเข้าไปได้ยังไง เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ขณะที่ทศนนท์ยืนสงสัยอยู่นั้น เสียงเยือกเย็นของใครบางคนดังขึ้น
“ในที่สุดพ่อเทศก็กลับมา”
ทศนนท์ตกใจรีบหันกลับมาทางเสียง เห็นบัวคำยืนอยู่ในรั้วบ้านปรางทิพย์
ทศนนท์มองสงสัยว่าทำไมมีคนเรียกตัวเองว่าเทศถึงสองคนแล้ว
“คุณ…เรียกผมว่าอะไรนะครับ”
บัวคำยิ้มรับอย่างใจดี แล้วจะเดินเข้าบ้านไป ทศนนท์เรียกตามหลังไว้
“อย่าเพิ่งไปสิครับ คุณรู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้ไหม”
บัวคำหันกลับมายิ้มให้พลางบอกว่า “คุณปรางรู้จัก”
“คุณปราง...” ทศนนท์ยิ้มดีใจ “งั้นผมขอเข้าไปถามคุณปรางได้ไหมครับ”
บัวคำยิ้มแทนคำตอบ
ประตูเรือนค่อยๆ เปิดออก
“เชิญค่ะ”
ทศนนท์ยืนอยู่หน้าประตูเรือนหลังนั้น ด้านหลังของบัวคำ มองไปรอบๆ บ้าน ซึ่งตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบโบราณทั้งสิ้น
ทันทีที่ทศนนท์ก้าวเท้าข้ามประตูเข้ามาในบ้าน เสียงบรรเลงซึงหวานเศร้าไพเราะจับใจก็ดังขึ้น ทศนนท์ชะงักดั่งต้องมนต์ มองตามหาที่มาของเสียงซึง
“เพราะจังเลยนะครับ ใช่เสียงซึงหรือเปล่าครับ”
บัวคำยิ้มรับ
พลันสายตาทศนนท์ก็ไปหยุดที่ภาพวาดบนฝาผนัง เป็นภาพหญิงสาวในชุดโบราณที่งดงามดุจนางในวรรณคดี ทศนนท์หยุดยืนมองอย่างหลงใหล
“นี่ภาพคุณปรางเหรอครับ”
ไม่มีเสียงตอบรับ ทศนนท์หันมองหาบัวคำ แต่ไม่เห็นใครแล้ว
“คุณ…คุณครับ”
ทศนนท์ยืนมองไปรอบๆ บ้านแบบงงๆว่าจะเอาอย่างไรดี
ทศนนท์เดินตามหาบัวคำมาตามทาง แต่ไม่เจอ จึงตัดสินใจเดินตามเสียงซึงไป จนถึงหน้าห้องห้องหนึ่ง เขาหยุดชะงักเหมือนเจอเข้ากับอะไรบางอย่าง เมื่อมองเข้าไปในห้องนั้น ดวงตาชายหนุ่มเบิกกว้าง สีหน้าตะลึงงันราวกับเจอสิ่งที่ไม่เคยนึกไม่เคยฝัน
ในนั้นปรางทิพย์นั่งพับเพียบก้มหน้าดีดซึงอยู่บนตั่งไม้โบราณ หญิงสาวห่มผ้าสไบหรู นุ่งผ้าถุงลาวครั่ง มวยผมยกสูงปักด้วยปิ่นสวยงาม ทัดหูด้วยดอกมณฑาทอง สวมต่างหูคู่สรวย ใส่สร้อยและกำไลข้อมืองดงาม
ภายใต้แสงไฟในห้องที่สว่างนวล มลังเมลืองราวภาพฝันในวรรณคดี
ปรางทิพย์ค่อยๆ เงยหน้าช้อนตาขึ้นมองทศนนท์ แววตาอ่อนหวานชวนให้หลงใหล พร้อมรอยยิ้มละมุน
ทศนนท์อึ้งนิ่งงันไป เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือความฝันกันแน่
อ่านต่อตอนที่ 3