เพรงลับแล ตอนที่ 1 | ที่นี่...เมืองลับแล
บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย | อาณาจินต์
ม่านน้ำตกแห่งนี้สวยงามสุดจะบรรยายได้ สายน้ำไหลหลั่งกระทบโขดหินบนหน้าผาไม่วายเว้น ละอองน้ำฟุ้งกระจายเป็นสีรุ้งสวยงามดั่งภาพฝัน
จู่ๆ ม่านน้ำนั้นก็ถูกแหวกออกมา เหมือนละครที่กำลังเปิดฉากแสดงกระนั้น เห็นเงาหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินผ่านช่องว่างระหว่างม่านน้ำดังกล่าวด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยงดงามระเหิดระหงราวกับนางในวรรณคดี
มันคือน้ำตกนางลับแล
ในราวป่าใกล้ๆ น้ำตกนางลับแลนั้น ยินเสียงเลื่อยไฟฟ้ากำลังเสียดสีกับโคนต้นไม้ใหญ่ดังกระหึ่มไปทั้งไพรพนา แต่แล้วพอเสียงเลื่อยหยุดลง ก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาแทนที่
จาว ชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนล่ำสันซึ่งเป็นคนตัดไม้นั้นเงี่ยหูฟัง
เสียงดีดซึงอันไพเราะจับใจดังก้องกังวานไปทั่ว
จาวมองหาว่าเสียงซึงนั้นดังมาจากไหน เลื่อยในมือของเขาตกลงพื้นราวกับต้องมนต์
จาวเดินมาจนถึงโขดหินบริเวณน้ำตก มองหาที่มาของเสียงซึง
เสียงซึงดังมาจากหลังพุ่มไม้ทางน้ำตกอีกด้าน จาวจึงปีนโขดหินก้อนแล้วก้อนเล่า แม้จะยากลำบาก แต่ก็ดั้นด้นจนเข้าใกล้เสียงซึงมากขึ้น
จาวมองไปทางพุ่มไม้ มีใครบางคนดีดซึงอยู่จริงๆ เขารีบย่องเข้าไป แล้วเขาก็ต้องตะลึงงัน
จาว เห็นด้านหลังหญิงสาวสวยแต่งชุดเหมือนนางในวรรณคดีกำลังนั่งดีดซึงอยู่บนโขดหินด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม
จาวจ้องมองเธอด้วยสายตาลุกวาว
หญิงสาวเหมือนจะรู้สึกตัว เธอหันมามองเห็นจาว เห็นใบหน้าที่สวยงามดุจนางฟ้าแปลงกาย แต่แทนที่เธอจะตกใจ เธอกลับยิ้มหวานชม้อยชม้ายเชิญชวน เธอวางซึงลงบนโขดหิน แล้วลงแหวกว่ายในธารน้ำตกอย่างคล่องแคล่วดุจนางเงือกสาว
จาวตะลึงกว่าเดิม มองตามอย่างหลงใหล เขาค่อยๆ ก้าวเท้าลงไปในธารน้ำตกนั้น แล้วแหวกว่ายสายน้ำตามหญิงสาวไปดั่งต้องมนต์สะกด
จาวว่ายน้ำตามหญิงสาวจนมาใกล้น้ำตก
“รอเดี๋ยวสิจ๊ะคนสวย มาเล่นน้ำกันดีกว่า หยุดก่อน...”
หญิงสาวหยุดว่ายน้ำ จาวยิ้มกริ่ม คิดว่าเธอยอมทำตามที่เขาร้องขอ เขาจึงรีบว่ายตรงดิ่งเข้าไปหาเธอทันที
แต่พอเขาว่ายเข้าไปใกล้ เธอก็ว่ายหนีเข้าไปใกล้น้ำตกอีก
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป”
จาวว่ายน้ำตามติด จนจับตัวหญิงสาวได้ที่ริมม่านน้ำตกพอดี
“จะหนีไปไหน จับได้แล้ว”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก จาวนึกว่าเธอเล่นด้วย ก็ยิ่งกอดแน่นอย่างนึกสนุก
แต่แล้วเมื่อนางหันหน้ามา กลับเห็นเป็นใบหน้าของผู้หญิงที่น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนผียังไงยังงั้น
“เฮ้ย!”
จาวผงะตกใจแทบสิ้นสติ รีบหันกลังกลับจะว่ายหนี แต่ไม่ทันร่างของเขากลับถูกดูดเข้าไปหลังม่านน้ำตก จาวร้องเสียงหลง
“ช่วยด้วย.....”
ร่างจาวกระเด็นไถลเข้ามาในที่แห่งหนึ่งภายในถ้ำหลังม่านน้ำตกนั้น เขาส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด
“ช่วยด้วย อ๊ากกกก...”
จาวกระเด็นมาชนผนังอะไรบางอย่าง เขามึนไปพักหนึ่ง รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง
“เกิดอะไรขึ้นวะ” จาวนึกทบทวน “สงสัยจะตาฝาด”
พอได้สติเขาก็มองไปรอบๆ อย่างงุนงง
“ที่ไหนวะเนี่ย”
จาวพยายามเพ่งมอง จนเห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในถ้ำที่ค่อนข้างมืด
จนเมื่อมองไปด้านหนึ่งก็เห็นแสงสว่างเหมือนปากถ้ำอยู่ไกลออกไปทางด้านหนึ่ง
จาวรวบรวมสติกำลัง ลุกขึ้นเดินไปทางด้านนั้น
จาวเดินตามทางเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทางแยกในถ้ำ เขาชะงักกึก
มองเห็นทางแยกสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นทางขรุขระ มีหินและซอกเล็กซอกน้อยที่เหมือนจะเดินไปลำบาก แต่ปลายทางมีแสงสว่าง
จาวหันมองอีกด้านหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีแสงอะไรบางอย่างวาบเข้าตา
ทางแยกด้านที่ตรงข้ามกับด้านแสงสว่าง เป็นทางที่สว่างน้อยกว่า มีเพียงแสงสลัว แต่สะท้อนประกายระยิบระยับ ทั้งตามพื้น ผนังถ้ำและด้านใน ดูสวยงามราวกับประดับด้วยเพชรนิลจินดา
จาวอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“โอ้โห...แม่เจ้าโวย”
จาวจะเดินไปทางนั้น แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงร้องดังโหยหวนมาจากทางหนึ่ง
“ช่วยด้วย....ช่วยด้วย...”
จาวหันไปตามเสียง จึงเห็นว่าดังมาจากด้านที่มีแสงสว่าง จาวมองไปอย่างลังเล
“จะร้องทำไมวะ”
แต่พอจาวหันไปทางที่มีประกายระยิบระยับ เขาก็ตัดสินใจเดินไปโดยไม่สนใจเสียงร้องที่ยังดังอยู่
จาวเดินเข้ามาทางด้านถ้ำที่เป็นประกายระยิบระยับ เขามองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เพราะบนผนังถ้ำมีเพชรนิลจินดาฝังอยู่เต็มไปหมด เขาพยายามจะแกะพวกเพชรนิลจินดาออกจากผนัง แต่แกะไม่ออก เพราะมันฝังแน่น
จาวเริ่มโมโห ก้มลงจะหาหินบนพื้นมากะเทาะ แต่แล้วเขาก็ยิ่งตื่นเต้น
บนพื้นเกลื่อนกลาดไปด้วยเพชรนิลจินดา มันไม่ใช่เครื่องประดับ แต่เป็นเพชร พลอย มรกต ทับทิม ทองคำ ฯลฯ ที่เป็นเม็ดๆ ยังไม่เจียระไนกระจายไปทั่ว มันมากมายเหลือคณานับ ราวกับเป็นก้อนกรวดก้อนหินกระนั้น
จาวมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ เขาก้มลงเก็บของมีค่าเหล่านั้นขึ้นมากัดดู
“ของแท้นี่หว่า ทำไมมันเยอะแยะอย่างนี้วะ”
จาวไม่รอช้า หยิบเพชรนิลจินดากระเป๋าจนเต็มแล้วใส่มือ ยิ่งเก็บก็ยิ่งเจอของมีค่ามากขึ้น
“เฮ้ย...อะไรวะ โชคดีของกูแล้ว กูรวยแน่คราวนี้”
จาวเก็บของมีค่าตามทางไปอย่างตื่นเต้นสุดขีด
ไม่นานต่อมา จาวกอบเอาของมีค่าไว้เต็มมือแทบหอบไม่ไหว เมื่อเขามาหยุดอยู่ที่โถงอีกแห่งในถ้ำ ก็ยิ่งตะลึงอย่างหนัก ถึงกับทิ้งของมีค่าที่หอบมาหล่นกองแทบเท้า ก่อนจะขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ฝันไปหรือเปล่าวะเนี่ย”
ภายในโถงนั้นเต็มไปด้วยเพชรนิลจินดากองเป็นภูเขาเลากา แต่ละเม็ดนั้นใหญ่เป้ง แข่งกันส่องประกายวิบวับจนแสบตา แม้จะมีเพียงแสงสว่างเพียงเล็กน้อยจากปล่องถ้ำด้านบนที่สูงลิบ
จาวเข้าไปโกยของมีค่าเหล่านั้นขึ้นมาโปรยเล่นอย่างตื่นเต้นสุดขีด
“นี่กูไม่ได้ฝันไปใช่ไหม กูจะรวยแล้วโว้ย กูจะรวยที่สุดในโลก”
จาวถอดเสื้อ กอบเอาเพชรนิลจินดาขึ้นมาใส่ลงไปในเสื้อแล้วห่อไว้
“ทำไมโชคดีอย่างนี้วะไอ้จาว นางฟ้าพามาเจอขุมทรัพย์ในถ้ำ นี่ถ้าได้นางฟ้าเป็นเมียด้วยละก็...จะมีความสุขมากแค่ไหน”
พอห่อของมีค่าเสร็จ เขาก็ลุกขึ้น มองไปรอบๆ
“กูจะต้องกลับมาอีก กูจะโกยของมีค่าในนี้ไปให้หมด แล้วซื้อทุกอย่างมาเป็นของกู ผู้หญิงทุกคนต้องอ้อนวอนขอเป็นเมียกู ฮ่าๆๆๆ”
จาวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่แล้วพอเขาหันหลังกลับ ก็ต้องผงะ ร้องเสียงหลงอย่างตกใจถึงขีดสุดในชีวิต
“เฮ้ย”
จาวเห็นเท้าลักษณะใหญ่โตแปลกประหลาดอยู่ตรงหน้า เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ไล่จากขาอันใหญ่โต มีเกล็ดสีทองตามร่างกาย จนกระทั่งถึงใบหน้าของสัตว์ประหลาดนั้น จาวถึงกับผงะร้องเสียงหลงอีกครั้ง
“เฮ้ย!”
สุบรรณเหราแยกเขี้ยวก้มลงมองเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
“เอาของข้าคืนมา”
จาวตกใจสุดขีด ทิ้งห่อเสื้อนั้น แล้วรีบหันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่สุบรรณเหราพ่นน้ำพิษใส่เขาทันที จาวชะงักตัวแข็งทื่อ
สุบรรณเหราอ้าปากกว้างเขมือบร่างจาวเข้าไปทันที มันเป็นการดูดกินวิญญาณ โดยร่างจริงของจาวยังอยู่
ค่ำคืนนี้ ดวงจันทร์ซึ่งอยู่ในเงามืดขณะเกิดจันทรุปราคา กำลังเคลื่อนผ่านเงามืดออกมา เสียงตีเกราะเคาะไม้ดังลั่นทั่วหมู่บ้าน
ผู้ใหญ่จรัลนำชาวบ้านตีเกราะเคาะไม้อยู่ตรงลานหน้าบ้าน
“ช่วยกันตี ช่วยกันตี ลางร้ายจะได้ไปพ้นๆ จากหมู่บ้านเราซะที”
จ๋า หรือ จาริณีมองอย่างไม่สบอารมณ์ บอกกับปรียาที่ตามขบวนไป
“พ่อกับแม่ยังเชื่อเรื่องราหูอมจันทร์เป็นลางร้ายอีกเหรอ”
“คนโบราณเขาพูดอะไรก็เชื่อบ้างเถอะ”
ปรียาว่าแล้วตามขบวนไป จาริณีได้แต่มองตามพลางส่ายหน้า
ระหว่างนี้ นิรชายืนมองเหตุการณ์อยู่อีกมุมหนึ่งอย่างไม่สบายใจ
“มนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ตั้งหลายสิบปีแล้วนะคิตตี้ ใครๆ ก็รู้ว่าราหูอมจันทร์ไม่มีจริง”
“ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนี้มานานแล้ว พอมีจันทรุปราคาหรือเมื่อไรที่เป็นคืนเดือนดับ จะมีคนตายทุกที”
“ทุกวันก็มีคนตายอยู่แล้วหรือเปล่า” นิรชาท้วง
“แต่ในหมู่บ้านนี้จะมีคนตายโดยไม่มีสาเหตุหลายคนแล้ว ชาวบ้านไม่รู้จะพึ่งอะไรก็ต้องพึ่งความเชื่อโบราณนี่แหละ” คิตตี้ หรือ กฤตณี ว่า
นิรชามองตามอย่างใช้ความคิด
ดวงจันทร์ค่อยๆ เคลื่อนผ่านเงามืดจนสุกสว่างอีกครั้ง เสียงชาวบ้านต่างโห่ร้องอย่างดีใจ
“ราหูเลิกอมจันทร์แล้ว”
กลุ่มชาวบ้านเดินผ่านหน้าบ้านไม้หลังใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ในหมู่บ้าน
ไม่มีใครทันสังเกตเห็นเงาของหญิงสาวสวยนางหนึ่ง ยืนอยู่ริมหน้าต่าง แหงนมองดวงจันทร์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังว่า การรอคอยของเธอกำลังจะสิ้นสุดลง
วันรุ่งขึ้น
ทีมสำรวจของทศนนท์ อันมี พีรพร ลูกน้องคนสนิท อนุชิต หัวหน้าช่าง สำราญ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และผู้ใหญ่จรัล ผู้ใหญ่บ้านนางลับแล พากันเดินแถวเรียงหนึ่งเข้าไปในป่าเบื้องหน้า โดยมีผู้ใหญ่จรัลนำทาง ยินเสียงน้ำตกดังอยู่ไกลๆ
ทั้งห้าเดินไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่เขตน้ำตก เสียงน้ำตกค่อยๆ ดังขึ้น แดดยามบ่ายสาดแสงจ้า
ม่านน้ำตกนางลับแลอันสวยงาม กระทบแสงอาทิตย์จนเห็นเป็นสีรุ้ง
ตระหง่านอยู่เบื้องหน้าชายทั้งห้าคนที่เดินมาถึงบริเวณน้ำตก ชายต่างถิ่น 3 คน ส่งเสียงอุทานด้วยความทึ่ง
“น้ำตกนางลับแล สวยงาม มีเสน่ห์ลึกลับที่น่าค้นหาจริงๆ”
ทศนนท์ วิศวกรหนุ่มรูปงาม หัวหน้าทีมสำรวจเงยหน้ามองไปที่น้ำตกเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ ตาเป็นประกายวาววับ
“คุณทศทำหน้าเหมือนกำลังมองสาวสวยงั้นแหละ”
ทศนนท์ยิ้มขำ พีรพร นักสำรวจในทีม มองอย่างชื่นชม
“สวยสุดๆ เลยครับ มิน่าเขาถึงให้เรามาสำรวจเส้นทาง ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถึงน้ำตกง่ายๆ”
“แต่น่าเสียดายนะ ป่าแถวนี้ยังสมบูรณ์อยู่มาก ถ้าสร้างทางเข้ามาแล้ว อาจจะทำลายธรรมชาติของที่นี่ไป” ทศนนท์บอก
อนุชิต ลูกน้องทศนนท์ ยิ้มขำ “โธ่หัวหน้า ถ้าไม่ได้สร้าง เราก็ตกงานสิครับ”
“นั่นสินายช่าง ถ้ามีถนนเข้ามาก็จะได้ช่วยให้หมู่บ้านเราเจริญขึ้น พวกเราจะได้ลืมตาอ้าปากกันซะที” ผู้ใหญ่จรัลว่า
“แต่ผมเห็นด้วยกับคุณทศนะครับ ถ้าความเจริญเข้ามามากๆ ที่นี่ก็จะเหมือนน้ำตกอื่นๆ”
“ไม่เหมือนหรอกคุณราญ ที่นี่สวยกว่าที่อื่นตั้งเยอะ” ผู้ใหญ่บอก
“นั่นสิ น้ำตกสวยๆ ก็ต้องให้คนเข้ามาดูเยอะๆ เหมือนผู้หญิงสวยๆ จะเก็บไว้ไม่ให้ใครเห็นก็น่าเสียดาย” อนุชิตว่า
จากหลังม่านน้ำตก ใครบางคนกำลังจ้องมองไปที่ชายทั้งห้าผ่านม่านน้ำตก พลันสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ทศนนท์
ใครคนนั้นคือปรางทิพย์กำลังจ้องมองทศนนท์ด้วยความตื่นเต้น เจ็บปวด ชอกช้ำ และดีใจระคนกัน เหมือนรอคอยเขามานานแสนนาน
ทศนนท์กับคนอื่นๆ เริ่มสำรวจบริเวณนั้น วูบหนึ่งนั้นทศนนท์ก็รับรู้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองอยู่ เขาจึงหยุดชะงัก มองไปที่น้ำตก
ปรางทิพย์หลบวูบหายไปทันที ทศนนท์มองไปอย่างแปลกใจ
สำราญมองฉงน “มีอะไรเหรอครับ”
“ผมเห็น...เหมือนมีคนยืนอยู่หลังม่านน้ำตก”
จรัลตกใจ “ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”
“ผู้หญิงครับ”
พีรพรนึกว่าทศนนท์อำเล่น “สาวสวยเซ็กซี่หรือเปล่าพี่”
ทศนนท์บอกด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อกี้พี่เห็นจริงๆ แต่ตอนนี้หายไปแล้ว”
“ใครจะเข้าไปยืนได้ น้ำแรงขนาดนั้น หัวหน้าคงจะตาฝาด” อนุชิตท้วง
พีรพรผวา กลัวๆ “พี่ทศพูดเล่นพูดจริงเนี่ย”
จรัลมองไป ขนลุกเกรียว
“คุณทศเจอดีเข้าแล้วละครับ”
ทศนนท์กับพีรพรและอนุชิตมองจรัลอย่างงุนงง ขณะที่สำราญกับจรัลสบตาอย่างรู้กัน
ทศนนท์ จรัล สำราญ พีรพร และ อนุชิต เดินห่างออกมาจากบริเวณน้ำตก ได้ยินเสียงน้ำตกไกลๆ ทศนนท์หันไปถามผู้ใหญ่จรัลด้วยยังกังขาอยู่
“ที่ผู้ใหญ่ว่าผมเจอดีนี่คืออะไรเหรอครับ”
จรัลอึกอัก ไม่ค่อยอยากพูด เลยตัดบท “เรื่องมันยาวครับคุณทศ”
สำราญยิ้มๆ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญนัก
“มันเป็นแค่ตำนาน เล่ากันมาเรื่อยๆ”
“อ๋อ...เหมือนพวกผีสางนางไม้ อะไรพวกนั้นใช่ไหมพี่ราญ” อนุชิตหัวเราะ
“บนเทือกเขานี้เคยมีตำนานเล่าขาน เกี่ยวกับชาวเมืองบังบดที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้มนต์หมอกมุงเมือง ชาวเมืองมักจะแต่งตัวสวยงาม เล่นละครร้องรำทำเพลง อยู่กันอย่างสุขสบาย ข้าวและเกลือไม่ค่อยพร่อง...” สำราญเล่า
พีรพรพูดขำๆ ทีเล่นทีจริง “โห...ถ้ามีเมืองแบบนี้จริง น่าจะทำโฮมสเตย์เก็บตังค์ให้คนเข้าไปเที่ยวนะครับ”
“อย่าคิดจะเข้าไปเลยพี เพราะอาจจะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย” สำราญปลอบ
“หา...ทำไมละครับ” พีรพรสงสัย
ก่อนที่สำราญจะเล่าต่อ ทุกคนก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นนกแร้งบินโฉบไปมาแถวนั้น
สำราญก้มลงมองพื้นดิน จึงเห็นว่ามีกิ้งกือไส้เดือนอยู่แถวนั้นยั้วเยี้ยไปหมดจนน่าขนลุก
“เฮ้ย!”
อนุชิตก้มมองตามถึงกับผงะ พีรพรยกเท้าขึ้นมาอย่างรู้สึกขนลุกและขยะแขยง
ทศนนท์กับผู้ใหญ่จรัลและสำราญมองตามที่พวกมันเดินไปในพงหญ้าข้างทาง
“แถวนี้เป็นรังของพวกมันเหรอครับ” พีรพรสงสัย
“ไม่ใช่” สำราญบอก
จรัลเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า แล้วสูดกลิ่นอะไรบางอย่าง
“อาจจะมีซากสัตว์ใหญ่ตายอยู่แถวนี้”
คราวนี้ทุกคนมองไป เห็นเท้าของใครบางคนที่โผล่ออกมาจากพงหญ้า
สำราญกับจรัลเดินตรงเข้าไปทันที ทศนนท์กับอนุชิตตามไปติดๆ พีรพรเลยต้องรีบเดินตามด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
ทุกคนเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงพงหญ้า ที่พวกไส้เดือนกิ้งกือและหนอนรุมกินซากอะไรบางอย่างอยู่ อนุชิตถึงกับเบือนหน้าหนี
พีรพรมองตาม กึ่งกลัวกึ่งอยากรู้อยากเห็น
สำราญนิ่วหน้าจำได้ว่าเป็นใคร ทศนนท์มองอย่างนึกไม่ถึง
จรัลถึงกับร้องออกมาเสียงหลงด้วยความตกใจสุดขีด จำได้ทันทีที่เห็น
“ไอ้จาว... ไอ้จาวลูกพ่อ!!!”
ทุกคนอึ้งกันทั้งแถบ
สำราญหันไปบอกทศนนท์ พีรพร และอนุชิต
“นายจาว ลูกชายผู้ใหญ่จรัล”
ทุกคนมองร่างของจาวอย่างสลดหดหู่ จรัลร้องไห้คร่ำครวญอย่างเศร้าเสียใจ
“จาวลูกพ่อ ทำไมถึงต้องเป็นลูกด้วย ทำไม”
อีกฟากหนึ่ง ที่ห้องเรียนชั้นประถม ในโรงเรียนนางลับแล โรงเรียนประถมประจำหมู่บ้าน ยินเสียง นิรชา หรือครูเนียร์ของเด็กๆ สอนเด็กนักเรียนราว 20 คน ดังเจื้อยแจ้ว
“เวลาเราจะล่ำลากับเพื่อน ภาษาอังกฤษจะพูดว่า See you later. ย่อสั้นๆ เป็น See you. หรือจะพูดว่า Good bye. ก็ได้นะคะ”
เสียงออดหมดเวลาเรียนคาบสุดท้ายดังขึ้น
นิรชายืนสอนเด็กนักเรียนอยู่หน้าห้อง
“นักเรียนอย่าลืมทำการบ้านตามที่ครูสั่งนะคะ แล้วพรุ่งนี้ครูจะมาเฉลยคำตอบที่เหลือ”
นักเรียนทำความเคารพนิรชา
หลังเลิกเรียน นิรชาขี่จักรยานเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับกฤตณี สีหน้านิรชาแปลกใจกับความผิดปกติที่เห็น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะคิตตี้”
กฤตณี มองไปรอบๆ เห็นริมรั้วหน้าบ้านของชาวบ้านต่างแขวนเครื่องรางของขลัง เช่น ปลัดขิก หรือตั้งหุ่นฟางใส่เสื้อผ้าแต่งตัวเป็นชายไว้หน้าบ้าน
ชายชาวบ้านที่เดินสวนไปก็แต่งหน้าทาปากแดงเหมือนผู้หญิง พอถึงหน้าบ้าน ก็ถูกเมียดึงเข้าบ้านโดยเร็ว
“รีบเข้าบ้านเถอะพี่ เดี๋ยวตะวันก็จะตกดินแล้ว”
ชายคนนั้นรีบขึ้นเรือน แล้วปิดประตูบ้านทันที
นิรชามองไปที่บ้านหลังอื่นๆ ต่างก็รีบปิดประตู ทำให้บริเวณโดยรอบเงียบสนิท
“อ๋อ...พักนี้มีผู้ชายในหมู่บ้านไหลตายกันหลายคนน่ะสิ พวกเขาเลยต้องแก้เคล็ด” กฤตณีว่า
นิรชาหัวเราะขบขันกับความคิดนี้
“ยุคนี้แล้วยังเชื่อเรื่องผีแม่ม่ายกันอยู่อีกเหรอ”
“แกยังไม่เคยเจอเลยไม่เชื่อน่ะสิ”
“แล้วแกเคยเจอแล้วเหรอ”
กฤตณีกลัวๆ “ไม่เคยหรอก ไม่อยากเจอด้วย”
“แต่ฉันอยากเจอนะ จะได้รู้กันไปว่ามันมีหรือไม่มีจริงในโลก”
“ผีแม่ม่ายจะเอาแต่ผู้ชายไป ชะนีอย่างแกอย่าหวังเลยยัยเนียร์”
นิรชาส่ายหน้าอย่างเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ
เย็นนั้น สามคน นิรชา หมอปรัชญา และ กฤตณี อยู่ด้วยกันที่สถานีอนามัยหมู่บ้าน
นิรชาสรุปหลังจากเล่าเรื่องให้ปรัชญาฟังจบลง
“หมอต้องไปให้ความรู้กับชาวบ้านให้ได้ ว่าผีแม่ม่ายไม่มีจริง”
“เราก็รณรงค์มาตลอด ว่าที่คนไหลตาย เพราะอดนอน ทำงานหนัก กินอาหารไม่มีประโยชน์ เลยมีปัญหาสุขภาพ”
“จะเปลี่ยนความเชื่อของชาวบ้านไม่ง่ายเลยนะคะหมอ แต่ถ้าจะให้คิตตี้ช่วยก็ยินดี คิตตี้เป็นคนแถวนี้ รู้ดีว่าพวกเขาคิดยังไง”
กฤตณียิ้มหวานให้ ปรัชญายิ้มตอบอย่างสุภาพ แอบหันไปมองนิรชาเขินๆ
“ไว้ผมต้องปรึกษาคิตตี้แน่นอนครับ เมื่อตอนบ่ายผู้ใหญ่จรัลก็เจอศพนายจาว ลูกชายตัวเองนอนตายในป่า ชาวบ้านเลยยิ่งเชื่อไปกันใหญ่”
นิรชาตกใจ “ก็พี่ชายคุณจ๋าน่ะสิ”
“ใช่ วันนี้จ๋าเลยต้องลางาน” ปรัชญาว่า
กฤตณีแปลกใจ “ทำไมพักนี้ไหลตายหลายคนติดๆ กัน”
“คราวนี้งานของเราก็ยากขึ้นอีก”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ
งานศพของจาวซึ่งจัดในตอนค่ำที่โถงบ้านผู้ใหญ่จรัล บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา มีคนมาร่วมงานสวดศพไม่มากนัก และแขกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง
จรัลกับจ๋า หรือ จาริณี คอยต้อนรับแขกอยู่หน้างาน และมีชาวบ้านมาช่วยเสิร์ฟน้ำ
ปรียานั่งร้องไห้เสียใจอยู่ข้างโลงศพลูกชาย มีหญิงชาวบ้านเข้ามาจับมือปลอบ
จรัลดีใจเมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามาหา
เป็นทรงกลดเข้ามาพร้อมกับเนตรมายา ซึ่งแต่งหน้าเฉี่ยวแต่งตัวสวยเปรี้ยว แม้จะเป็นชุดดำก็ตาม ทั้งสองยกมือไหว้ผู้ใหญ่ จรัลรับไหว้ ทรงกลดยื่นซองช่วยทำบุญให้
“เสียใจด้วยนะครับผู้ใหญ่ คุณพ่อผมก็ฝากมาแสดงความเสียใจด้วย”
“ขอบคุณครับ ฝากขอบคุณท่านคมสันด้วย เชิญนั่งครับคุณทรงกลด”
จรัลรับซองมา หันไปมองผู้หญิงที่มาด้วย “คุณ...” ผู้ใหญ่นิ่วหน้านิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะโพล่งออกมาอย่างนึกไม่ถึง “เจ้าแม่เนตรตาทิพย์”
เนตรมายาเยื้อนยิ้ม “ผู้ใหญ่รู้จักเนตรด้วยเหรอคะ”
จรัลปลาบปลื้ม “ใครจะไม่รู้จักคุณเนตรมายา เจ้าแม่ร่างทรงชื่อดังละครับ”
“เจ้าแม่จะมาช่วยคนในหมู่บ้านนี้ให้พ้นจากมนต์แม่ม่ายน่ะครับ” ทรงกลดบอก
“โอ...ขอบคุณมาก ผมรู้ว่าคิวงานเจ้าแม่แน่นมาก ยังอุตส่าห์สละเวลามาช่วยชาวบ้าน”
“ฉันยินดีช่วยเต็มที่ค่ะ อยากให้ชาวบ้านพ้นเคราะห์ซะที”
“ผมต้องขอบคุณอีกครั้งครับ เชิญคุณทรงกลดกับเจ้าแม่นั่งก่อนครับ นั่งก่อน”
จรัลมองหาจาริณี
ทรงกลดมองไปรอบๆ เห็นทศนนท์นั่งอยู่กับพีรพร อนุชิต และสำราญ จึงหันไปบอกจรัล
“ผมขอไปนั่งตรงนั้นนะครับ”
“เชิญครับเชิญ”
ทรงกลดพยักหน้ากับเนตรมายา แล้วเดินไปด้วยกัน จรัลมองตามอย่างปลาบปลื้ม
ทรงกลดเดินเข้าไปทักทายกลุ่มทศนนท์ด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับคุณทศ คุณพี คุณนุ”
ทศนนท์หันมายิ้มให้ทรงกลดอย่างเป็นมิตร ทรงกลดกับเนตรมายาเดินเข้ามานั่งด้วย
พีรพรกับอนุชิตยกมือไหว้ทรงกลดกับเนตรมายา ทั้งสองรับไหว้ ทรงกลดแนะนำทศนนท์กับเนตรมายาให้สองฝ่ายรู้จักกัน
“นี่คุณเนตรมายา... คุณทศนนท์ วิศวกรที่จะมาตัดถนนไปน้ำตก”
เนตรมายายิ้มให้ทศนนท์ด้วยแววตาวาววับ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณทศนนท์”
ทศนนท์ยิ้มรับตามมารยาท
“เรียกทศก็ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” เขาหันไปแนะนำเธอกับ สำราญ อนุชิตกับพีรพร “นี่พี่ราญ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ แล้วก็พี่นุกับพี เพื่อนร่วมงานของผม”
ทั้งสามหนุ่มยิ้มทัก เนตรมายาและทรงกลด
“ผมเคยเห็นคุณเนตรตามสื่อบ่อยๆ ครับ ตัวจริงเป๊ะกว่าในทีวีซะอีก” อนุชิตยิ้มๆ
“ขอบคุณค่ะ ถ้าต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ ก็ปรึกษาเนตรได้ทุกเมื่อนะคะ”
“โอ้ว...ผมหวังว่าคงจะไม่เจออะไรที่ต้องไปให้คุณเนตรช่วยนะครับ” พีรพรสัพยอก
“แต่บางทีก็อาจจะเลี่ยงไม่ได้ ผมถึงขอให้คุณเนตรเข้ามาที่นี่”
สำราญมองทรงกลดอย่างไม่ชอบใจนัก รู้ว่าตั้งใจเข้ามาตีสนิท
ทรงกลดหันมาทางทศนนท์ “เข้าไปสำรวจน้ำตกเป็นยังไงบ้างครับ”
“เส้นทางค่อนข้างซับซ้อน น่าจะต้องใช้เวลาศึกษาอีกสักพักครับ”
“ผมอยากให้คุณทศเร่งหน่อย ถ้าความเจริญเข้ามาแล้ว ที่นี่จะได้เลิกเป็นดินแดนลับแลซะที”
“ผมว่าความลึกลับทำให้ที่นี่มีเสน่ห์มากกว่านะครับ” พีรพรบอก
ทรงกลดมองพีรพร เยื้อนยิ้มออกมาคล้ายเป็นมิตร แต่ซ่อนเลศนัยบางอย่างในยิ้มนั้น
“ผมเกิดและโตที่นี่ เลยอยากให้ที่นี่มีการพัฒนาในทางที่ดี ที่จริงคุณพีก็พูดถูก อะไรที่ยิ่งลึกลับก็ยิ่งมีเสน่ห์ แต่สำหรับคนที่เห็นมานานก็อยากให้คนอื่นได้เห็นความสวยงามที่เราภูมิใจด้วย”
“ถึงจะเอาความเจริญเข้ามา แต่เราก็จะรักษาธรรมชาติเดิมไว้ให้มากที่สุดครับถ้าจะเอาสะดวกสบายอย่างเดียวคงไม่ใช่เป้าหมายของพวกเราแน่”
“ดีครับ ผมเห็นด้วย ผมชอบคนอย่างคุณทศ ไฟแรงดี”
ทรงกลดมองทศนนท์อย่างรู้ว่าไม่ใช่ง่ายๆ แน่
ภายในห้องลับค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสลัวจากภายนอกส่องเข้ามาเล็กน้อย เสียงดนตรีไทยโบราณส่งเสียงโหยหวนดังลั่น ทำให้บรรยากาศหลอนชวนขนหัวลุก
ในนั้น ใครบางคนกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ส่งเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน
ผมค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน ผิวหนังบนแขนขึ้นเป็นเส้นเลือดสีเขียวปูดโปนน่าเกลียดและเหี่ยวย่น จมูกและคางงอกยาวผิดปกติ
เล็บค่อยๆ งอกยาวออกมาจนเป็นสีดำหนาและงองุ้ม ดูแข็งแกร่งขนาดจิกและกรีดคนตายได้ ดวงตาปูดโปนลุกวาวกลายเป็นสีขาวขุ่น
นางแยกเขี้ยวออก เห็นใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนแม่มดและปีศาจรวมกัน
นางคือพิณทิพย์ ผู้เป็นป้าของ ปรางทิพย์
ค่ำลง นิรชาเข้ามาในงานศพจาวในโถงบ้านผู้ใหญ่จรัล พร้อมกับปรัชญาและกฤตณี ปรัชญามองไปเห็นกลุ่มทศนนท์บุ้ยใบ้ให้ดู
“นั่นไงพวกวิศวกรที่จะมาตัดถนนเข้าน้ำตก”
นิรชามองตาม เห็นพวกทศนนท์กำลังคุยกับทรงกลดก็มองอย่างไม่ชอบใจ
“ผลประโยชน์ลงตัวซะด้วย พวกตัดถนนกับนายหน้าค้าที่ดิน
“แต่ท่าทางชาวบ้านจะชอบนะยัยเนียร์ คนที่นี่อยากให้ความเจริญเข้ามานานแล้ว” กฤตณีว่า
“พวกเราต้องช่วยกันทำให้ชาวบ้านตาสว่าง ความเจริญไม่ใช่แค่วัตถุหรือถนนที่รุกรานเข้าไปในพื้นที่ป่า เราไปนั่งใกล้ๆ พวกนั้นดีกว่า” นิรชาว่า
“อ้าว...เนียร์ไม่ชอบเขาไม่ใช่เหรอ” ปรัชญาแปลกใจ
“ฉันอยากรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”
นิรชาเดินเข้าไปนั่งใกล้กับทศนนท์ ปรัชญากับกฤตณีรีบตามไป
ครู่ต่อมา นิรชากับกฤตณีและปรัชญาเข้ามานั่งใกล้พวกทศนนท์ พอเห็นสำราญก็ยกมือไหว้อย่างคนคุ้นเคยกัน สำราญจึงแนะนำให้พวกทศนนท์รู้จัก
“คุณทศ คุณพี คุณนุ นี่หมอปรัช ครูเนียร์ ครูคิตตี้ ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“หนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งนั้นครับ” ทรงกลดว่า
“ใช่ค่ะ แล้วก็จะแรง...กับเรื่องที่ไม่ถูกต้องโดยเฉพาะ”
พร้อมกับว่านิรชามองกราดไปที่ทรงกลด เนตรมายา อนุชิต พีรพร และไปหยุดอยู่ที่ทศนนท์ แต่ทศนนท์ยิ้มรับอย่างใจเย็น
“แล้วครูเนียร์เห็นอะไรที่ไม่ถูกต้องแถวนี้บ้างไหมครับ”
“เห็นค่ะ เห็นแล้วก็อยากจะกาตัวแดงๆ ว่าผิดทุกข้อ”
นิรชาจ้องหน้าทศนนท์อย่างท้าทาย ทศนนท์มองนิรชาอย่างรู้สึกเอ็นดูกึ่งขำ แต่ก่อนที่จะเถียงกันต่อ เสียงพระสวดก็ดังขัดขึ้นก่อน เธอจึงต้องนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม
เนตรมายาหันไปชวนทศนนท์คุย
“คุณทศเพิ่งมาใหม่ ยังไม่คุ้นกับแถวนี้ใช่ไหมคะ”
“ผมรู้สึกเหมือนรู้จักที่นี่ดี คงเพราะศึกษาเกี่ยวกับพื้นที่นี้มานานแล้ว”
“ทำไมคุณทศถึงเลือกมาที่นี่ล่ะคะ หรือว่าถูกส่งมา”
“ผมเลือกมาเองครับ ไม่รู้ทำไม ครั้งแรกที่เห็นรูปน้ำตกนางลับแลแล้วรู้สึกอยากมาเห็นของจริง เห็นแล้วก็ยิ่งหลงเสน่ห์เข้าไปอีก”
เนตรมายายิ้ม สบตาทศนนท์เป็นประกาย นิรชาฟังทศนนท์ด้วยสีหน้าหมั่นไส้
ทีมงานของทศนนท์ลาจรัลกับปรียาก่อนกลับ อยู่ตรงบริเวณลานหน้าบ้าน เนตรมายาตรงเข้ามาหาพวกทศนนท์
“กลุ่มนี้มีแต่หนุ่มๆ ระวังตัวกันด้วยนะคะ”
“ระวังอะไรครับ” พีรพรมองฉงน
“อย่าเดินตามหญิงสาวสวยที่ไม่รู้จักน่ะสิคะ”
พีรพรหัวเราะขำ
“ผมยิ่งเป็นโรคใจง่ายซะด้วยสิ”
“ใจง่ายอย่างนี้ผีแม่ม่ายชอบนะคะ”
พีรพรกับอนุชิตทำท่าขนลุก มองหน้ากันเลิกลั่ก
พีรพรร้อง “อูย...”
เนตรมายาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะหันไปถามทศนนท์
“แล้วคุณทศใจง่ายหรือเปล่าคะ”
“แล้วแต่สถานการณ์ครับ แต่ผมไม่ค่อยกลัวผีเท่าไร”
“คุณทศกลัวอะไรคะ”
“ผมกลัวคนมากกว่า”
“คุณทศคงยังไม่เคยเจอฤทธิ์ผีแม่ม่าย ฉันไม่อยากให้สังคมเสียบุคลากรคุณภาพอย่างพวกคุณไป”
พร้อมกับว่าเนตรมายาหยิบของบางอย่างจากกระเป๋าส่งให้ทุกคน พลางอธิบาย
“เครื่องรางช่วยป้องกันผีแม่ม่ายค่ะ”
ทศนนท์แบมือออกดู ด้วยสีหน้าแปลกใจ
เมื่อพบว่าสิ่งที่เนตรมายาให้นั้นเป็นปลัดขิกขนาดจิ๋ว
ทศนนท์ถึงบ้านพัก กำลังจะเข้านอน เขาวางปลัดขิกของเนตรมายาลงบนโต๊ะ แล้วยิ้มนิดๆ เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง จึงเงี่ยหูฟัง
เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นเสียงร้องไห้ของผู้หญิง ซึ่งมาจากถนนด้านล่าง
ทศนนท์เปิดหน้าต่างดู มองไปเห็นหญิงแก่ในชุดสีดำคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ในมุมมืดถนนหน้าบ้าน เขาเพ่งมองอย่างแปลกใจว่าเธอเป็นใคร
ทศนนท์ลงเรือนมา ตรงเข้าไปถามหญิงแก่ซึ่งยืนหันหลังให้
“คุณยายมาทำอะไรแถวนี้ครับ ดึกแล้วมันอันตราย”
“ฉันมารอใครบางคน ฉันรอเขามานาน นานเหลือเกิน” พิณทิพย์บอก
“ให้ฟ้าสางก่อนแล้วค่อยมารอดีกว่านะครับ คุณยายกลับบ้านไปก่อนเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้น พ่อหนุ่มช่วยพาฉันกลับบ้านได้ไหม”
พิณทิพย์ค่อยๆ หันมา ทศนนท์ผงะตกใจไปนิดหนึ่ง เพราะเธอเป็นยายแก่ที่มีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนแม่มด ดวงตาขาวขุ่นเหมือนปีศาจ
วูบเดียวทศนนท์ก็ตั้งสติได้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มีท่าทีอันตรายใดๆ
“ผมเพิ่งย้ายเข้ามาที่นี่ ยังไม่ค่อยรู้จักที่ทางเท่าไร ถ้ายังไงจะพาคุณยายไปที่โรงพัก ให้ตำรวจช่วยพากลับบ้านดีไหมครับ”
พิณทิพย์ยิ้มเยือกเย็น “ใจดีเหมือนเมื่อก่อนนี้ไม่มีผิด”
ทศนนท์มองหน้าพิณทิพย์อย่างแปลกใจ ว่าเคยรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“เราเคยเจอกันที่ไหนเหรอครับ”
พิณทิพย์พรายยิ้ม แล้วยื่นอะไรบางอย่างให้กับเขา ทศนนท์รับมาอย่างงุนงง หญิงชราหันหลังเดินจากไป
“คุณยายครับ...คุณยาย เดี๋ยวก่อน”
ทศนนท์มองของในมือ พบว่าเป็นแง่งขมิ้น มันส่องแสงวาบเข้าตาเขา พลันเขาก็รู้สึกเหมือนวูบไป
รุ่งเช้า ทศนนท์สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง เขาค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น แล้วสะบัดหัวไล่ความมึนงงออกไป แต่พอเขามองไปรอบๆ ก็งงยิ่งกว่า
เมื่อพบว่าเขาอยู่ในบ้านไม้โบราณเก่าคร่ำคร่า เครื่องเรือนและข้าวของภายในบ้านเป็นแบบโบราณย้อนไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว แต่ถูกทิ้งให้ฝุ่นและหยากไย่จับเหมือนเป็นบ้านร้าง
“ที่นี่ที่ไหน”
ก่อนที่ทศนนท์จะคิดอะไรต่อ เขาก็พบความผิดปกติจนต้องมองมือตัวเองอย่างแปลกใจ
ทศนนท์แบมือออกมา เห็นแง่งขมิ้นทองคำอยู่ในมือของเขา ชายหนุ่มนึกถึงแง่งขมิ้นที่เพิ่งได้มาจากหญิงแก่หน้าตาประหลาด ซึ่งมันกลายเป็นทองคำไปแล้ว
“ไม่ใช่ความฝัน”
ทศนนท์ทบทวนในสีหน้างุนงง
“แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ทศนนท์มองไปรอบๆ อย่างงงหนัก
เช้ามืดวันเดียวกัน บรรยากาศรอบบริเวณขมุกขะมัว ท้องฟ้าเหนือบ้านผู้ใหญ่จรัล มีหมู่เมฆทะมึนเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ใบหน้าเนตรมายาที่แต่งหน้าฉูดฉาด กรีดขอบตาดำเข้มจัด ในคราบ “เจ้าแม่เนตรตาทิพย์” กำลังหลับตาบริกรรมคาถาอยู่หน้าโลงศพจาวในโถงบ้าน
จาริณีมองอย่างไม่เชื่อถือและเบื่อหน่าย ขณะที่จรัล ปรียา และคนอื่นๆ ต่างนั่งพนมมือจ้องมองเนตรมายาอย่างตั้งใจ
ปรียาเห็นจาริณีหาวหวอดๆ จึงตีแขนเผียะปลุกลูกสาวเบาๆ จาริณีทำหน้าเซ็ง
พลันดวงตาของเนตรมายาก็ลืมโพลงขึ้น ทุกคนตกใจ เนตรมายามองนิ่งไปยังโลงศพ ก่อนจะก้มลงไปหยิบใบบอนบนโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ ที่วางอยู่ด้านหน้าของเธอ พร้อมกับส่งมันให้ป้าเชื่อม
ป้าเชื่อมรับใบบอนมาอย่างรู้งานแล้วเดินตรงไปที่โลงศพ มีชายชาวบ้านเดินมาเปิดโลงศพให้
ป้าเชื่อมเอาใบบอนทาปากศพ ก่อนที่จะกลับมานั่งลงข้างเนตรมายา ส่งเสียงดังขึ้นว่า
“เจ้าแม่เนตรตาทิพย์มองเห็น เจ้าแม่เนตรตาทิพย์ได้ยิน เจ้าแม่เนตรตาทิพย์หยั่งรู้”
เนตรมายาหลับตาลงสักพัก ตัวเธอก็เริ่มสั่น ร้องออกมาด้วยเสียงโหยหวนแบบผู้ชาย ทุกคนมองอย่างตกใจ
พอเนตรมายาเริ่มสงบนิ่งลง เธอนิ่วหน้าเหมือนรู้สึกทรมาน พร้อมกับพูดออกมาเป็นเสียงห้าวของผู้ชาย ฟังคล้ายๆ กับเสียงจาว
“พ่อ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น ยกเว้นจาริณีที่พยายามจับสังเกตจับผิดเนตรมายา
จรัลตื่นเต้น ดีใจ “จาว นั่นแกจริงๆ เหรอ”
“มันจับตัวฉันไว้ ไม่ยอมให้ฉันกลับบ้าน” เนตรมายาบอก
ปรียาตื่นเต้นไม่ต่างกันกับผัว “จาวลูกแม่ จาวจริงๆ ด้วย”
จรัลถามเสียงดัง “ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”
“ในถ้ำหรือที่ไหนสักแห่ง มันมืดไปหมด”
“ถ้ำนางลับแลหรือเปล่า” จรัลถาม
ปรียาเริ่มร้องไห้ “ใคร ใครมันจับลูกไว้ ใครทำกับลูกแบบนี้ บอกแม่สิลูก”
“ผู้หญิง...สวย สวยมาก แต่มันไม่ใช่คน” เนตรมายาว่า
“มันอยู่ไหน นังผีแม่ม่ายมันอยู่ที่ไหน บอกพ่อมา พ่อจะไปจัดการมัน” จรัลแค้นจัด
“มันจะมาเอาคนไปอีก” เนตรมายาบอก
ปรียาร้องไห้หนัก จาริณีกอดแม่เอาไว้แน่น จรัลทนไม่ได้ตะโกนโวยวายขึ้น
“ไม่นะ ข้าไม่ยอม จาว แกตายได้ยังไง บอกมาสิลูก พวกเราจะได้ป้องกันไม่ให้นังผีร้ายมาเอาผู้ชายในหมู่บ้านเราไปอีก”
เหล่าชาวบ้านเริ่มส่งเสียงช่วยกันถามจาวยกใหญ่
“จาว” / “พี่จาว บอกมา บอกพวกเรามา” / “บอกมาๆๆๆ ว่ามันเป็นใคร...”
เปลือกตาเนตรมายากระตุก ก่อนจะเริ่มมีอาการสั่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าชาวบ้านตกใจจนเงียบเสียงไป
ร่างเนตรมายากระตุกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะล้มพับลงไป
ที่บ้านพักทศนนท์ พีรพรและอนุชิต กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ทำไมป่านนี้ หัวหน้ายังไม่ลงมาอีก” อนุชิตบ่นๆ
“สงสัยจะนอนดึก เมื่อคืนผมนั่งเล่นเกมจนดึก ยังได้ยินเสียงในห้องอยู่เลย” พีรพรว่า
“งั้นอาจจะตื่นสาย เดี๋ยวพี่ราญมาค่อยไปตามก็ได้”
พีรพรพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะดื่มกาแฟต่อ
มีเสียงเคาะประตู เห็นสำราญเปิดประตูเข้ามา
“พร้อมกันหรือยังครับ”
“รอหัวหน้าอยู่ครับ” อนุชิตบอก
พีรพรหันมาทางสำราญ “พี่ราญดื่มกาแฟก่อนครับ เดี๋ยวผมไปตามพี่ทศเอง”
“สักแก้วก็ดีครับ เมื่อคืนก็อยู่ช่วยงานบ้านผู้ใหญ่จนดึก”
สำราญเดินมานั่งลงที่โต๊ะ พีรพรรีบไปชงกาแฟยกมาให้ ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปตามทศนนท์
“ได้ยินว่าที่บ้านผู้ใหญ่ทำพิธีเรียกวิญญาณแต่เช้ามืดเลยหรือครับ”
สำราญตอบด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “ใช่”
“ทำไมต้องเช้าขนาดนั้นล่ะครับ” อนุชิตแปลกใจ
“เขาเชื่อกันว่าเวลาเปลี่ยนผ่านจากมืดเป็นสว่าง คือเวลาที่ประตูนรก สวรรค์เปิดครับ”
พีรพรวิ่งลงมาจากชั้นบนหน้าตาตื่น
“แย่แล้วๆ พี่ทศหายตัวไปครับ”
สำราญและอนุชิตหันมองไปตามเสียง อุทานพร้อมกันด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“อะไรนะ”
ฝ่ายทศนนท์เดินสำรวจรอบๆ บ้านร้าง ด้วยสีหน้าประหลาดใจ พลางร้องถาม
“มีใครอยู่ไหมครับ”
ในสายตาของทศนนท์มองเห็นข้าวของเครื่องใช้ในบ้านยังอยู่ครบ แต่ถูกปล่อยทิ้งร้างจนฝุ่นหยากไย่จับหนา
ทศนนท์เดินฝ่าหยากไย่ไปที่หน้าต่างที่มีแสงผ่านเข้ามา เขาปลดล็อกหน้าต่างและออกแรงผลักมันออก ฝุ่นจากหน้าต่างฟุ้งกระจายจนทศนนท์ต้องใช้มือปัด
เมื่อฝุ่นจางลง ทศนนท์มองออกไปนอกหน้าต่าง เขาถึงกับตะลึง
ที่หน้าต่างบ้านหลังถัดไป มีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดโบราณกำลังเกล้ามวยผมหน้ากระจกข้างหน้าต่าง
หญิงสาวนางนั้น ที่แท้คือ ปรางทิพย์ นั่นเอง แม้จะเห็นเพียงด้านข้าง แต่ก็สะกดสายตาของทศนนท์ให้นิ่งมองอย่างสนใจ
พลันสายตาของปรางทิพย์เหลือบมาเห็นทศนนท์ เธอตกใจ ปิ่นที่กำลังจะเสียบมวยผมหลุดจากมือ ส่งให้กลุ่มมวยผมสยายออกเป็นผมยาวสลวย ทั้งคู่จ้องมองกันนิ่งเหมือนต้องมนต์
“คุณ...”
ตุ้บ!!! เสียงของบางอย่างตกลงกระทบพื้น ดังมาจากด้านหลัง
ทศนนท์สะดุ้งตื่นจากภวังค์ เขาหันไปมองไม่เห็นว่ามีอะไรแล้วจึงหันกลับไปมองปรางทิพย์อีกครั้ง แต่ไม่เห็นหญิงสาวอยู่ที่หน้าต่างแล้ว ทศนนท์ชะเง้อมองอย่างนึกเสียดายระคนแปลกใจ
ทศนนท์ตัดใจหันกลับไปมองหาต้นเหตุของเสียงอีกครั้ง เขาเดินไปดูจนเห็นว่าเป็นกรอบรูปบานหนึ่ง คว่ำหน้าอยู่กับพื้น
ทศนนท์หยิบมันขึ้นมา เห็นเชือกที่แขวนอยู่เปื่อยจนขาด พอพลิกกรอบรูปดูด้านหน้าแล้ว สีหน้าเขาก็ตกใจอย่างนึกไม่ถึง
กรอบรูปนั้นเป็นภาพถ่ายขาวดำที่เก่ามาก
ผู้ชายในรูปหน้าตาคล้ายทศนนท์ยืนคู่กับหญิงสาวคนหนึ่งในชุดโบราณ ซึ่งเห็นแต่ชุดสไบกับผ้าถุงและเครื่องประดับ อันมีปิ่นปักผม สร้อย แหวน กำไล แต่ใบหน้ากับร่างกายของเธอเหมือนสะท้อนแสงแฟลช จนเห็นเป็นสีขาวโพลน
ทศนนท์มองรูปในมืออย่างงุนงงสงสัย
อ่านต่อตอนที่ 2