มัจจุราชฮอลิเดย์ ตอนที่ 19 | เขต7 feat. เขต8
บทประพันธ์ : อรุณรุ่ง | บทโทรทัศน์ : วาทินีย์, สิริวัฒน์69
นิดหน่อยเดินเข้าไปด้านในตลาดสด แม่ค้า 3 คน แต่ละคนผมตั้งชี้โด่เด่ดูน่าขัน กำลังจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างหวาดผวา อยู่มุมหนึ่ง
“ของชั้นมาเป็นเงาที่ปลายเตียง น่าจะเป็นผู้ชายนะ เพราะตัวใหญ่มาก” แม่ค้า1 คุยเสียงดัง
แม่ค้า2 พยักพเยิดทำท่าขนลุกขนพอง “เหรอ คล้ายๆ กับชั้นเลย สงสัยตัวเดียวกันแน่ๆ บรึ๋ยยย”
แม่ค้า3 เสริมว่า “นี่ชั้นย้ายไปนอนห้องพระแล้ว คืนนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงเนี่ย”
นิดหน่อยเดินผ่านมา เห็นสภาพแต่ละคนก็เลยเข้ามาแซว
“โอ้โห นี่ทำผมตีโป่งเป็นรังนกกันแบบนี้ จะไปตัดริบบิ้นเปิดงานอะไรกันคะ คุณนายทั้งสาม”
“คุณนงคุณนายอะไรล่ะ โดนผีหลอกกันมาทั้งนั้นแหละเนี่ย” แม่ค้า1 บอก
“ใช่ แล้วที่โดนหลอกก็เพราะยัยสมรแม่เธอนี่ล่ะ” แม่ค้า2 ว่า
นิดหน่อยงง “อ้าว..แม่ไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ”
“ก็แม่เธอมาชวนให้พวกชั้นพร้อมใจกันไม่จ่ายหนี้ที่ไปกู้นอกระบบกับคุณนายอาวรณ์มาน่ะสิ คุณนายแกก็เลยส่งผีมาทวงหนี้พวกเราซะเลย” แม่ค้า3 พูดใส่หน้า
นิดหน่อยไม่อยากจะเชื่อ “ฮึ่ยย ส่งผีมาทวงหนี้เนี่ยนะ”
“ใช่ ถึงได้ขนหัวลุกกันแบบนี้นี่ไง”
นิดหน่อยนิ่งงันไปไป คิดถึงสมรที่โดนผีตามเล่นงานวันก่อน
“แล้วแม่เธอเค้าไม่โดนด้วยเหรอ” แม่ค้า1 ย้อนถาม
แม่ค้า2 มองหน้านิดหน่อย “ไม่น่ารอดนะ เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องเบี้ยวหนี้เลยนี่”
ระหว่างนี้แม่ค้า4 เดินหัวฟูถูกผีหลอก เข้ามาสมทบอีกคน
แม่ค้า2 หันมาถาม “อ้าว โดนเหมือนกันเหรอแก หัวฟูมาเชียว”
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่เอาแล้ว ชั้นจะไม่เบี้ยวหนี้นังคุณนายอาวรณ์เด็ดขาด”
แม่ค้า4 เห็นนิดหน่อยก็ทักเรื่องสมรขึ้นมา
“อ้าวนิดหน่อย ชั้นเห็นแม่เธอถือกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถตู้ไปไหนก็ไม่รู้นะ”
นิดหน่อยตกใจ “จริงเหรอป้า”
“จริงสิ ท่าทางดูหวาดผวา สงสัยโดนผีตามทวงหนี้จนต้องหนี”
นิดหน่อยไม่เชื่อ “ไม่จริงอ่ะ แม่จะหนีทำไม”
นิดหน่อยหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาสมร แต่เป็นเสียงสัญญาณฝากข้อความ
“เฮ้ย อะไรของแม่เนี่ย”
“เอาล่ะสิ สมรหนีไปแล้วคนนึง แล้วพวกเราล่ะ เอาไงดี”
“หนีไอ้นักเลงทวงหนี้น่ะพอหนีได้ แต่หนีผีนี่สิ คิดว่าจะรอดเหรอ”
นิดหน่อยรีบเดินกลับออกไปด้วยท่าทีร้อนใจ ทิ้งพวกแม่ค้าให้จับกลุ่มเม้าท์กันด้วยอาการหวาดกลัว
ตรงมุมร่มรื่นภายในบ้าน ยมลูบๆ คลำๆ หน้าผากตัวเองด้วยความโล่งใจ เมื่อพบว่าเขาหดกลับเข้าไปหมดแล้ว
“เห็นมั้ย เขาเราหดกลับไปหมดแล้ว”
คราวนี้มีสุวรรณนั่งเจ๋ออยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้ายังไม่สบายใจสักเท่าไหร่
“แต่กว่าจะหดกลับไปหมด ใช้เวลานานมากนะครับท่าน”
“เออน่ะ จะหดช้าหดเร็ว มันก็หดหายเข้าไปเหมือนกันนั่นแหละ”
สุวรรณถอนหายใจยังเครียดไม่หาย
“ร่างกายท่านไม่เคยผิดปกติขนาดนี้มาก่อนนะครับ ผมไม่อยากให้ท่านประมาทเหมือนที่ผ่านมา”
“ร่างกายเราไม่มีใครรู้ดีเท่ากับตัวเราเอง เจ้าลงไปทำงานเถอะ เราไม่เป็นอะไรแล้ว”
“แต่สุวานอยู่ข้างล่างแล้วนะครับ ให้ผมอยู่ดูแลท่านตรงนี้เถอะ”
ยมฉุนที่ถูกเซ้าซี้ ชักเริ่มมีอารมณ์ “พวกเจ้านี่ยังไงกันนะ ตอนเจ้าอยู่ข้างล่าง สุวานก็จะขออยู่ดูแลเรา พอสุวานอยู่ข้างล่าง เจ้าก็จะต้องอยู่ดูแลเราอีก นี่เราเป็นมัจจุราชหรือว่าเด็กน้อยกันแน่เนี่ย”
“ผมกับสุวานไม่ได้คิดว่าท่านเป็นเด็กน้อยเลยนะครับ”
“ถ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นก็ลงไปสิ”
ยมโมโหขึ้นมา จนเขางอกเผยร่างจริงออกมาอีกครั้ง สุวรรณเห็นก็ตกใจ
“เง้อ...เขาท่านงอกออกมาอีกแล้ว”
“ก็เพราะเจ้า มายั่วโมโหเราน่ะสิ” ยมหงุดหงิดมากขึ้น
“ตายแล้ว กว่าจะหดกลับไป ใช้เวลาตั้งนาน แล้วนี่เมื่อไหร่จะหดกลับไปหมดอีกล่ะเนี่ย”
“ก็ถ้ายังเสนอหน้ายั่วโมโหเราอยู่อย่างนี้ เราก็จะเป็นแบบนี้แหละ”
“ครับๆ ผมกลับลงไปก็ได้ ท่านใจเย็นๆ นะครับ อย่าโมโห”
“เราไม่ได้โมโห เราแค่หงุดหงิดนิดหน่อย”
“โอ้โห นี่แค่หงุดหงิดนิดหน่อย ถ้าโมโหจริง ไม่กลายร่างเป็นทศกัณฑ์เลยเหรอครับ”
“ถ้าเป็นทศกัณฑ์จริง เราจะจับเจ้าหักคอเป็นรายแรกเลย”
“เง้อ...งั้นสุวรรณขอตัวนะครับ”
สุวรรณหายวับไป ยมลูบคลำเขาตัวเองด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“เมื่อไหร่จะหดกลับไปหมดเนี่ย...เฮ้อ”
ด้านนิดหน่อยรีบร้อนเดินเข้าไปในบ้าน ขึ้นชั้นบนไปด้วยอาการร้อนใจ ไล่เปิดประตูทุกห้อง ปากก็ตะโกนเรียกหาสมร แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
นิดหน่อยเดินมาหยุดที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนแม่ พบว่ามีจดหมายวางอยู่ นิดหน่อยหยิบจดหมายขึ้นไปอ่าน
“ถึงลูกๆ ทั้งสอง แม่ปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ แม่กำลังจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดสักระยะ อาจจะโทรหาแม่ไม่ติดนะ เพราะที่วัดคงไม่ให้ใช้โทรศัพท์ เอาไว้แม่จะติดต่อกลับไปเองนะ รัก...จากแม่”
นิดหน่อยกลุ้มใจหนักเรื่องสมร คิดหาทางช่วย พลันนึกถึงตอนคุยกับจุก
“เอ้อ...แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงโดนผีเข้าได้ล่ะ”
“ไม่รู้สิ ตอนนั้นมันไม่รู้ตัวเลยอ่ะ”
นิดหน่อยสวมสร้อยไหลน้ำพี้ที่คอตัวเอง
“แม่ก็เล่าให้ฟังบ้างแหละ โดยเฉพาะตอนที่พี่ยมช่วยพี่ แม่บอกว่าพี่ยมทำท่าเหมือนกระชากวิญญาณออกจากร่างพี่เลยนะ”
“เหรอ”
“ใช่ พอกระชากแล้วพี่ก็หมดสติไปเลย”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“นั่นสิ ถ้ามันจะง่ายขนาดนั้น จุกว่าพี่ยมไม่ใช่คนมีอาคมธรรมดาซะแล้วล่ะ ขนาดอาจารย์ขาวอยู่ตรงนั้นยังทำอะไรไม่ได้เลย”
นิดหน่อยอึ้งไป มั่นใจว่ายมเป็นมากกว่าคนเล่นของที่มีอาคมทั่วๆ ไป
“นายต้องช่วยฉันได้สิ”
นิดหน่อยมีสีหน้ามาดหมายมั่นใจ
นิดหน่อยปิดร้านล็อกกุญแจรั้วบ้าน เดินออกมาตามซอยถนนหน้าบ้าน เดินมาได้ไม่ไกลนักก็หยิบมือถือออกมากดโทร.หาสมร แต่ก็ยังเป็นเสียงฝากข้อความเช่นเดิม
นิดหน่อยถอนใจเฮือก “เฮ้อ...แม่นะแม่”
เดินๆ มาอีกหน่อย เจอชายหญิง 3-4 คน เดินแจกโบว์ชัวร์นิทรรศการภาพถ่าย “คืนหัวใจสู่ป่า” หญิง1 เดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะ วันนี้มูลนิธิพิทักษ์พืชพรรณและสัตว์ป่ามีจัดนิทรรศการภาพถ่าย ‘คืนหัวใจสู่ป่า’ วันนี้เป็นวันแรกค่ะ
หญิง1 ยื่นโบว์ชัวร์ให้ นิดหน่อยรับมา
“อ๋อ ขอบคุณนะคะ”
“เรียนเชิญนะคะ”
นิดหน่อยยิ้มๆ หญิงคนนั้นและพวกพากันเดินแจกคนอื่นๆ ต่อ นิดหน่อยมองโบว์ชัวร์ในมือแล้วเดินไปในซอยบ้านยม
ยินเสียงบ่นดังลั่นออกมาจากห้องน้ำชั้นล่างบ้านยม
“ไม่หดเลย...เฮ้อ”
ยมลูบคลำเขาตัวเองอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำอย่างหนักใจ
นิดหน่อยเดินเข้ามาเห็นประตูบ้านไม่ได้ล็อก จึงเปิดเข้ามาในโถง มองหาไม่เห็นยมจึงร้องเรียก
“นาย...นาย...อยู่รึเปล่า”
นิดหน่อยเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ จนได้ยินเสียงยมดังออกมาจากในนั้น
“เมื่อไหร่จะหดสักทีเนี่ย ไม่ไหวแล้วนะฮึ่ยยย” น้ำเสียงของยมฟังดูอารมณ์เสียมาก
นิดหน่อยตกใจกับคำพูดนั้น คิดเตลิดไปไกลว่าเป็นเรื่องลามก จึงเอาโบว์ชัวร์ปิดตา ด้วยคิดว่ายมคงเปลือยท่อนล่างจัดการยมน้อยอยู่เป็นแน่
ยมเปิดมาเห็นนิดหน่อยปิดหน้าปิดตาอยู่ ก็พอเดาออก
“คิดอะไรอยู่เนี่ย ผมไม่ได้โป๊นะ”
นิดหน่อยค่อยๆ ลดกระดาษที่บังสายตาออก พบว่าท่อนล่างปกติดีจึงค่อยๆ ไล่สายตาขึ้นมาเจอเข้ากับเขาที่หน้าผากของยมถึงกับผงะ
“เฮ้ยยย”
นิดหน่อยอึ้ง ตะลึงตะไล
ยมนั่งก้มหน้าท่าทีเกร็งๆ ที่ลืมตัวทำให้นิดหน่อยเห็นเขาบนหน้าผาก ขณะที่นิดหน่อยจ้องเอาๆ มองเขายมอย่างพิจารณา ยมนิ่งคิดหาข้อแก้ตัวรอไว้ นิดหน่อยยกมือไหว้
“ขอโทษนะ ขอจับนี้สส”
ยมอึกอัก นิดหน่อยยื่นมือมาจับเขามัจจุราชหมับ
“โห นี่เขาปลอมเหรอเนี่ย ทำไมมันดูเหมือนออกมาจากในหัวคุณจริงๆ เลยอ่ะ”
“ก็ปลอมน่ะสิ ใครที่ไหนจะมีเขางอกออกมาแบบนี้ล่ะ”
นิดหน่อยก้มมองใกล้ๆ เพื่อสำรวจดูชัดๆ ยมมองตานิดหน่อยที่อยู่ตรงหน้าใจเต้นโครมคราม
“ดูยังไงก็เหมือนเขาจริงมากกว่าเขาปลอมอ่ะแน่นเชียว”
นิดหน่อยมองเขาโดยไม่ได้สนใจสายตาของยม เธอสัมผัสเขาของยมเบาๆ รู้สึกว่าเป็นเขาจริงๆ จังหวะที่ละสายตาจากเขาก็ต้องมาสะดุดเข้ากับสายตาของยมที่มองจ้องอยู่ ทั้งคู่สบตากันจังๆ นิดหน่อยเคลิ้มไปครู่หนึ่ง พอรู้สึกตัวรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ถามจริงเหอะ นายคิดยังไงถึงได้ลุกขึ้นมาติดเขาเล่นแบบนี้เนี่ย”
ยมเหลือบไปเห็นโบว์ชัวร์นิทรรศการภาพถ่าย “คืนหัวใจสู่ป่า” ที่นิดหน่อยถือมาเลยปิ๊งไอเดีย
“อ๋อ ผมจะไปงานนิทรรศการภาพถ่ายของมูลนิธิน่ะ”
“เอ๊ะ ชื่องานคุ้นๆ แฮะ”
ยมสะดุ้งเฮือก
ยมแถไปมา “อ๋องานเค้าใหญ่น่าจะผ่านหูผ่านตาคุณมาบ้างแหละ”
“ว่าแต่ คุณจะไปทั้งเขาแบบนี้เนี่ยนะ”
ยมพยักหน้าซื่อๆ “ก็ใช่น่ะสิ ไปงานเกี่ยวกับสัตว์ป่า ก็ต้องแต่งตัวตามคอนเซ็ปต์เค้านิดนึง”
“โอ้โห ชุดใหญ่ไฟกระพริบมาก”
ยมงง “ชุดใหญ่ไฟกระพริบคือ”
“ก็แต่งเต็มมากน่ะสิ มันต้องขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
“วันนี้คุณว่างมั้ยล่ะ ผมว่าจะชวนคุณไปด้วยกันอยู่พอดี”
“ไปงานกับคุณเนี่ยนะ”
“ใช่ เพื่อธรรมชาติของเรา เราต้องช่วยกันนะครับ”
ยมถอนหายใจโล่งอก นิดหน่อยครุ่นคิดว่าจะไปกับยมมั้ย
วิวัฒน์อยู่ที่โถงบ้าน โยนซองใส่เงินให้กับมือปืน มือปืนรับซองมา หยิบเงินปึกหนึ่งออกมาดูราวห้าหมื่นบาท เห็นลูกน้องคนสนิท ยืนอยู่ตรงประตูห้อง
“แน่ใจนะ ว่าพวกที่ขนยาในวันนั้น ไม่มีเล็ดลอดหลงเหลืออยู่อีก”
“ผมเก็บกวาดจนเอี่ยมแล้วครับ จะไม่มีใครสาวมาถึงนายได้แน่นอน”
“ดี วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว แกกลับไปก่อน เดี๋ยวมีงานใหม่แล้วจะเรียกมา”
“ครับนาย”
มือปืนเดินออกจากห้องไป
“ส่วนแก ส่งคนไปจับตาดูนิดหน่อยและเพื่อนๆ มัน ทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น เดี๋ยวตำรวจต้องมาสอบปากคำพวกมันเพิ่มเติมแน่นอน”
“แล้วไอ้ยมล่ะครับ”
วิวัฒน์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าเข้มขรึม
“ไอ้ยมเดี๋ยวชั้นจัดการเอง”
“ครับนาย”
ลูกน้องเดินออกไปจากห้อง วิวัฒน์มีสีหน้าจริงจังที่จะต่อกรกับยมทูต!
งานนิทรรศการภาพถ่ายสัตว์ป่าในชื่อ “คืนหัวใจสู่ป่า” แสดงผลงานของช่างภาพชื่อดังหลายๆ ท่าน จัดขึ้นในลานกิจกรรม คอมมูนิตี้มอลล์
ยมกับนิดหน่อยเดินเข้ามาในงาน ทุกคนเริ่มหันมามองยมที่มีเขาอยู่บนหัว
“ทุกคนในงานเค้าก็แต่งตัวกันปกติ ไม่เห็นมีใครแฟนซีแบบคุณเลย”
ยมอึกอัก คิดข้อแก้ตัว “เอ่อ...คงไม่มีใครมีอารมณ์ร่วมเท่ากับผมน่ะสิ”
นิดหน่อยมองยมงงๆ “ไม่ยักรู้ ว่าคุณจะอินกับเรื่องสัตว์ป่ามากขนาดนี้”
“อินแปลว่าอะไรเหรอ”
“ก็มีอารมณ์ร่วมน่ะสิ นี่คุณเดินทะลุกระจกมาจากยุคสมัยไหนเนี่ย ถึงไม่รู้จักคำ ๆนี้”
ยมเสมองรูปถ่ายภายในงาน เพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามนิดหน่อย
นิดหน่อยหันไปมองกลุ่มแขกในงาน ที่หันมามองยมแล้วพากันซุบซิบๆ
“ดูสิ คนในงานสนใจคุณมากกว่าภาพถ่ายอีก”
“คุณอายเหรอ จะกลับก็ได้นะ”
“คุณไม่อาย ชั้นก็ไม่อายหรอก”
ยมยิ้มภาคภูมิ “ถ้าผมอาย ผมคงไม่กล้าแต่งตัวแบบนี้มา”
นิดหน่อยคิดปราดเดียว หันมาบอกยมว่า
“เดี๋ยวชั้นมานะ”
“จะไปไหนเหรอ”
“เข้าห้องน้ำแป๊บนึง”
นิดหน่อยเดินออกไป ยมเดินดูภาพถ่ายไปโดยไม่สนใจสายตาชาวบ้านที่จับจ้องมา
ด้านเขต7 ปรากฏกายขึ้นบริเวณหน้าร้านขนมSweetนิดSweetหน่อย เดินเลียบๆ เคียงๆ ดูรอบบริเวณร้าน จนเจอเข้ากับวิญญาณเจ้าที่
“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ ท่านมัจจุราช”
“อ๋อ...พอดีเราได้รับรายงานเรื่องชาวบ้านโดนวิญญาณตามทวงหนี้น่ะ พอสืบดูก็รู้ว่าจุดเริ่มมาจากคนชื่อสมร ก็เลยมาดูหน่อย” เขต7 เตรียมคำตอบมาแล้ว
“ตอนนี้ไม่รู้ว่าสมรไปไหนแล้วล่ะครับ นี่นิดหน่อยก็ปิดร้านไปเลย สงสัยจะไปตามเรื่องสมร”
เขต7 ครุ่นคิด ก่อนจะตะล่อมถามเอาข้อมูลนิดหน่อยจากเจ้าที่
“เอ๊...แล้วลูกสาวเค้าไม่โดนผีตามรังควาญบ้างเหรอท่าน”
“ไม่เห็นว่าจะโดนอะไรนะท่าน คงเป็นเพราะคนที่ติดหนี้คือแม่เค้ามากกว่า”
“หรือไม่ก็มีของดีที่ตัวคุ้มครอง”
เจ้าที่หลงกล พยักหน้าเห็นด้วย “ก็อาจจะเป็นไปได้นะท่าน”
“แล้วท่านพอจะรู้มั้ย ว่าของดีที่ว่านั่นคืออะไร”
เจ้าที่แปลกใจ “ท่านอยากรู้ไปทำไมรึ”
เขต7 อึกอักอ้ำอึ้ง “อ๋อ...เราแค่อยากรู้ว่าพวกมนุษย์ผู้หญิงนี่ เค้าห้อยพระอะไรกันน่ะ”
“อืม...รู้สึกว่าจะเป็นสร้อยไหลน้ำพี้นะท่าน” เจ้าที่บอก
เขต7 ได้ฟังก็อึ้งไปเล็กน้อย “สร้อยไหลน้ำพี้อย่างนั้นเหรอ”
“ทำไมรึท่าน”
“อ๋อ...มันเป็นเครื่องรางที่หายากน่ะ ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆ”
เขต7 ทำเป็นไม่คิดอะไร ทั้งที่ลึกๆ หนักใจมาก เพราะตระหนักดีว่า ไหลน้ำพี้มีอานุภาพไม่ธรรมดา
ฝั่งยมยืนดูรูปภาพรูปหนึ่งอยู่ จนมือนิดหน่อยมาสะกิดที่ไหล่ ยมหันกลับไปมอง เห็นนิดหน่อยใส่เขากวางที่ใส่กันในงานคริสต์มาส ก็รู้สึกแปลกใจ
“อะไรของคุณเนี่ย”
“ก็เขากวางไง”
“รู้ว่าเป็นเขากวาง แต่คุณใส่ทำไม”
“ก็เห็นคุณเป็นแกะดำของงานนี้ ชั้นก็เลยหาเขามาใส่เป็นเพื่อนน่ะ”
ยมหันไปมองคนในงานรอบๆ พบสายตามองมาที่ตนกับนิดหน่อยด้วยแววตายิ้มๆ อย่างเอ็นดู
“อยากอายด้วยกันว่าอย่างนั้น”
“มาด้วยกัน อายด้วยกัน เลือดสุพรรณ ห้า ไห๊”
“ขอบคุณนะ” ยมยิ้มอย่างประทับใจ
นิดหน่อยยิ้มตอบ “ด้วยความยินดีค่ะ”
ยมกับนิดหน่อยเดินดูนิทรรศการในงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข บางจังหวะทั้งสองมองจ้อง หยอกล้อกุ๊กกิ๊กกัน
นิดหน่อยพลันถอนหายใจเฮือก เมื่อเรื่องสมรแว่บขึ้นมาในหัว ยมเดินเข้ามาสมทบพอดี
“ไม่ดูงานต่อแล้วเหรอ”
“เห็นคุณอยู่ดีๆ ก็เดินออกมา เลยตามมาดูน่ะ เป็นอะไรรึเปล่า”
“เครียดเรื่องแม่น่ะค่ะ”
ยมนั่งลงข้างๆ นิดหน่อยด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“แม่ออกจากบ้านไปปฏิบัติธรรมที่วัดน่ะค่ะ”
“อ้าว ก็ดีแล้วนี่”
นิดหน่อยยิ้มเนือยๆ “ก็ถ้าตั้งใจไปปฏิบัติธรรมจริงๆมันก็ดีน่ะค่ะ...แต่นี่คิดว่าไม่ใช่”
ยมมองฉงน
“แม่น่าจะหนีวิญญาณที่ถูกส่งมาทวงหนี้น่ะค่ะ”
“วิญญาณทวงหนี้”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้พวกชาวบ้านก็เดือดร้อน โดนผีตามทวงหนี้กันหลายคน เพราะว่าแม่ไปชวนให้เบี้ยวหนี้คุณนายอาวรณ์น่ะ”
ยมอึ้งไป “คุณนายอาวรณ์เหรอ”
นิดหน่อยพยักหน้ารับเครียดๆ
“ทำใจดีๆ ไว้ เดี๋ยวผมจะหาทางช่วยคุณเอง”
“ขอบคุณนะคะ”
ยมจับมือนิดหน่อยบีบเบาๆ เชิงปลอบ นิดหน่อยยิ้มรับ รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ที่บ่อนของวิวัฒน์คืนนี้ คึกคักเช่นเคย ผีพนันแน่นร้าน นั่งเล่นไพ่ตามโต๊ะต่างๆ ตามจริตใครมัน
ยุพากับเพื่อนอีกคนพากันเดินไปแลกชิพเข้ามานั่งรอคิวเล่นไพ่ อยู่ตรงบริเวณมุมเครื่องดื่ม
“นี่นึกไงถึงอยากมาเล่นไพ่ยะ”
“ก็เบื่อๆ เซ็งๆ น่ะแก อยากหากิจกรรมตื่นเต้นๆ ทำบ้าง”
“แล้วนี่แกได้ทรัพย์สินทั้งหมดจากผัวแกรึยังเนี่ย”
ยุพาเซ็งเลย “ยังน่ะสิ เห็นว่ากำลังทำเอกสารกันอยู่น่ะ ไม่รู้ว่าจะช้าไปไหน”
“เอาน่ะแก ทรัพย์สินเยอะก็ต้องใช้เวลากันนิดนึง” เพื่อนบีบนวดเอาใจ “ยังไงก็อย่าลืมเพื่อนคนนี้นะ”
ยุพาชอบใจ แกล้งจำเพื่อนไม่ได้ “นี่เธอเป็นใครเนี่ย”
เพื่อนค้อน “แหมๆๆ เอาให้ได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก่อนก็ได้มั้ง แล้วค่อยลืมกัน”
“ล้อเล่นน่า ยังไงชั้นก็ไม่ลืมแกหรอก”
ระหว่างนี้วิวัฒน์กับลูกน้องคนสนิท เดินเข้าบ่อนมา นักเลงคุมบ่อนพากันยกมือไหว้สลอน ทำให้ยุพากับเพื่อนหันไปมอง
“เฮ้ย ใครวะแก ดูดีชะมัด”
“ก็มาด้วยกัน จะรู้มั้ยล่ะ” ยุพามองวิวัฒน์อย่างสนใจ
“ลักษณะเหมือนจะเป็นเจ้าของที่นี่นะ” ยุพามองประเมิน
“เหรอ...ชั้นคิดว่าเจ้าของบ่อนจะเป็นพวกแก่ๆ พุงพุ้ยๆ หัวล้านๆ ซะอีก”
“นี่มันไทยแลนด์ 4.0 แล้วแก” เพื่อนว่า
วิวัฒน์เดินผ่านมาตรงโต๊ะที่ยุพานั่งอยู่ สองคนสบตากันแว่บหนึ่ง ยุพานั้นมองจ้องหว่านเสน่ห์ใส่เต็มที่ ส่วนวิวัฒน์เพียงเหล่มองนิดๆ แล้วเดินผ่านไปเลย ยุพาจดสายตามองตามอย่างปลื้มปริ่ม
เพื่อนหมั่นไส้ “เก็บอาการหน่อย ได้ข่าวว่าผัวรออยู่ที่บ้าน”
“นี่มันไทยแลนด์ 4.0 แล้วเว้ย”
ยุพาย้อนเพื่อน พลางยิ้มกรุ้มกริ่มท่าทางปิ๊งวิวัฒน์จริงจัง
วิวัฒน์อยู่ที่ออฟฟิศในบ่อน ถือกระสุนปืนอาคมในมือ หมุนดูอักขระขอมโบราณบนหัวกระสุน บนโต๊ะมีกล่องกระสุนวางอยู่ 1 กล่อง ไม่นานนักลูกน้องคนสนิทก็เดินนำมือปืนคนที่เคยใช้งานเข้ามาในห้อง
“มาแล้วครับนาย”
มือปืนไหว้ “หวัดดีครับนาย”
วิวัฒน์พยักหน้ารับ “อ่ะนี่ กระสุน”
วิวัฒน์เลื่อนกล่องกระสุนกับกระสุนปืนให้ มือปืนรับมาดู
“กระสุนอาคมเหรอครับ”
“ใช่ เป้าหมายรายนี้ไม่ธรรมดา ต้องใช้ยาแรงหน่อย”
“ใครครับ”
วิวัฒน์หยิบซองน้ำตาลใส่ข้อมูลของยมยื่นให้ มือปืนดึงรูปถ่ายออกมาดู เห็นเป็นรูปบ้านเช่า
“เป้าหมายอยู่ที่บ้านหลังนี้เหรอครับ”
“ใช่ มันชื่อไอ้ยม ทั้งบ้านมีมันอยู่คนเดียวนี่ละ”
“เอาหนักแค่ไหนครับ”
“ให้กระสุนไปเป็นกล่องแบบนี้ คงไม่ใช่แค่เลือดตกยางออกหรอกมั้ง” วิวัฒน์เปรียบเปรย
“โอเคครับ เข้าใจละ”
“ไปจัดการให้เรียบร้อย” วิวัฒน์กำชับ
“ครับนาย”
มือปืนถือกล่องกระสุนเดินออกจากห้องไป
“นายคิดว่ากระสุนนั่นจะทำอะไรไอ้ยมได้เหรอครับ” ลูกน้องถาม
“ได้หรือไม่ได้ก็ต้องลองดู แต่ถึงทำอะไรไม่ได้ เราก็ได้แสดงให้มันเห็นว่าเราไม่กลัวมันแต่อย่างใด”
“ครับนาย” ลูกน้องหน้าเสีย
“ทำไม กลัวมันเหรอ”
ลูกน้องอึกอัก “ปละ เปล่าครับ ไม่ได้กลัว”
“คนเราเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว จะมีอะไรต้องกลัวนักหนา”
วิวัฒน์ยิ้มเหี้ยม ลำพองใจ ไม่ได้มีความรู้สึกเกรงกลัวยมแต่อย่างใด
นิดหน่อยเปิดไฟในร้าน ชั้นล่างของบ้าน โดยมียมเดินเข้ามาส่งนิดหน่อย
ยมมองหาจุก “บ้านเงียบจัง จุกไม่อยู่เหรอ”
“จุกอยู่กับต่อที่ออฟฟิศพ่อ...เอ๊ย ออฟฟิศต่อน่ะ”
ยมมองนิดหน่อยด้วยความเห็นใจ พอจะรู้เบื้องลึกที่นิดหน่อยเกลียดพ่อ แต่ก็อยากให้เธอเปิดใจกับพ่อดูบ้าง
“ทำไมคุณไม่ลองเปิดใจกับพ่อดูสักหน่อยล่ะ”
“ทุกวันนี้ชั้นก็อยู่ได้โดยไม่มีเค้า ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาเปิดใจกันอีก”
“มันไม่เกี่ยวว่าจะอยู่ได้หรือไม่ได้หรอก ผมรู้จากจุกมาว่า พ่อคุณพยายามอย่างมาก ที่จะปรับความเข้าใจกับคุณ คุณน่าจะลองให้โอกาสท่านดูนะ”
“คุณไม่เคยโดนอย่างที่ชั้นกับแม่โดนมานี่ คุณก็พูดง่ายสิ”
“ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอนนะคุณ จะตายจากกันไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“ชีวิตใครก็ชีวิตมันสิ ไม่เกี่ยวกันอยู่แล้ว”
“แต่ถ้าจากกันไปโดยที่ไม่มีอะไรค้างคาใจต่อกัน มันจะดีกว่ารึเปล่า”
นิดหน่อยนิ่งงันไป ไม่มีข้อโต้แย้งกับยม
“ดูอย่างสนกับอารยาสิ เค้าจากกันไปโดยที่ไม่มีอะไรค้างคาใจต่อกัน ทุกวันนี้อารยาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
“มันคนละสถานการณ์กัน อย่าเอามาเปรียบกันสิ คุณสนกับคุณยาเค้ารักกัน ไม่ใช่เกลียดกันแบบชั้นกับพ่อ”
“ผมว่า ยิ่งมีประสบการณ์ไม่ดีต่อกัน ยิ่งต้องคุยปรับความเข้าใจกันนะ จะได้ไม่มีอะไรติค้างคาใจต่อกันไง”
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
นิดหน่อยตัดบทเฉ้ยเดินหนีขึ้นบ้านไปเลย ยมถอนหายใจกับความดื้อรั้นของนิดหน่อย
ส่วนวิวัฒน์เดินออกมาจากห้องทำงานในบ่อน มีลูกน้องเดินตามติดๆ
“คืนนี้แกอยู่ดูแลที่นี่ เดี๋ยวชั้นจะกลับบ้านละ”
“ครับนาย”
ยุพานั่งลุ้นไพ่อยู่ เหล่เห็นวิวัฒน์กำลังเดินมาก็รีบฝากไพ่ให้เพื่อนลุ้นต่อ
“แกลุ้นแทนชั้นที”
“ทำไมวะ”
ยุพาลุกขึ้นยืน แกล้งเดินไปชนกับวิวัฒน์จนล้มลงไปที่พื้น
“โอ๊ย”
เพื่อนหันไปมองยิ้มกริ่มอย่างรู้กัน หันไปลุ้นไพ่แทนยุพาต่อ
วิวัฒน์มองยุพายิ้มๆ รู้ว่าตั้งใจอ่อยตน เดินเข้าไปประคองขึ้นยืน
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ยุพาแกล้งเข่าอ่อน ล้มไปซบอกวิวัฒน์
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
“ไปนั่งพักด้านนู้นก่อนดีกว่าครับ”
วิวัฒน์ประคองยุพาไปนั่งที่มุมเครื่องดื่ม บาร์ของบ่อน
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ”
ยุพาก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือเตรียมกดแอดไลน์ เงยหน้าถามวิวัฒน์
“ใช่ค่ะ..คุณ…”
“วิวัฒน์ครับ”
“ชั้นยุ...ยุพานะคะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ยุพาทำท่ายื่นมือไปขอเช็คแฮนด์
วิวัฒน์ก้มมอง เห็นโทรศัพท์มือถือในมือยุพา หน้าจอเปิดบาร์โค้ดไลน์รอสแกน
“เดี๋ยวนี้เค้าเช็คแฮนด์กันแบบนี้แล้วเหรอครับ”
“ไทยแลนด์ 4.0 น่ะค่ะ”
วิวัฒน์ยิ้มกริ่ม เปิดบาร์โค้ดไลน์ตัวเอง แล้วเอาโทรศัพท์ไปสแกนบาร์โค้ดเครื่องยุพา
ยมยืนดูรูปภาพรูปหนึ่งอยู่ จนมือนิดหน่อยมาสะกิดที่ไหล่ ยมหันกลับไปมอง เห็นนิดหน่อยใส่เขากวางที่ใส่กันในงานคริสต์มาส ก็รู้สึกแปลกใจ
“อะไรของคุณเนี่ย”
“ก็เขากวางไง”
“รู้ว่าเป็นเขากวาง แต่คุณใส่ทำไม”
“ก็เห็นคุณเป็นแกะดำของงานนี้ ชั้นก็เลยหาเขามาใส่เป็นเพื่อนน่ะ”
ยมหันไปมองคนในงานรอบๆ พบสายตามองมาที่ตนกับนิดหน่อยด้วยแววตายิ้มๆ อย่างเอ็นดู
ยมเขาหดกลับหมดแล้ว นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวคิดถึงแต่หน้านิดหน่อย จนเหลือบไปเห็นเงาในกระจก ถึงกับสะดุ้งนิดๆ รำพึงเบาๆ แปลกใจกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนิดหน่อย
“เกิดอะไรขึ้นกับเราเนี่ย”
ยมครุ่นคิดด้วยความรู้สึกสับสนในใจ ว่าตัวเองกำลังมีความรักอย่างนั้นเหรอ
ด้านนิดหน่อยเองก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อยู่ในห้องนอนนึกถึงแต่หน้ายม
“อยากอายด้วยกันว่าอย่างนั้น”
“มาด้วยกัน อายด้วยกัน เลือดสุพรรณ ห้า ไห๊”
“ขอบคุณนะ” ยมยิ้มอย่างประทับใจ
นิดหน่อยยิ้มตอบ “ด้วยความยินดีค่ะ”
ยมกับนิดหน่อยเดินดูนิทรรศการในงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข บางจังหวะทั้งสองมองจ้อง หยอกล้อกุ๊กกิ๊กกัน
กลางดึกคืนนี้ ชายมือปืนที่วิวัฒน์จ้างมา นั่งใส่กระสุนอาคมเข้าในแม็กกาซีนทีละนัดๆ จนเต็มแม็ก
มันนั่งนิ่งรอเวลาอยู่ในรถยนต์ที่จอดซุ่มอยู่ใกล้ๆ รั้วบ้านเช่าของยม ก่อนจะลงรถ เข้าไปในบ้านเช่าอย่างโจรมืออาชีพ
ยมรินน้ำกระทะทองแดงใส่แก้ว ยกดื่ม
มือปืนสะเดาะห์กุญแจย่องเข้ามาในบ้านสำเร็จ แต่ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดของยม หลังจากดื่มน้ำกระทะทองแดง
มือปืนกลืนน้ำลายลงคอ แล้วย่องตามเสียงนั้นไป
ยมมีอาการทุรนทุรายอีกเล็กน้อย จึงคลายอาการลง
มือปืนย่องมาจนเห็นเป้าหมายคือยม มันเล็งปืนไปที่ยมอย่างตั้งใจ
ยมโดนยิงที่กลางหน้าอก และล้มลงไปดิ้นที่พื้นด้วยความเจ็บปวด มือปืนปรี่เข้าไปหายม หมายจะซ้ำให้แดดิ้น ฉับพลันทันใดนั้นเอง ไฟในห้องก็ดับพรึ่บลง ลมพัดแรงจนข้าวของกระจุยกระจาย
เขต7 ในคราบมนุษย์ปรากฏตัวมาช่วยยม
“ไอ้มนุษย์ชั่ว กล้ามากนะที่ทำแบบนี้”
มือปืนหันปืนยิงใส่เขต7 แทน แต่เขต7 เพียงแค่เซไปเล็กน้อยเท่านั้น มือปืนฉวยโอกาสนี้วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
เขต7 จะวิ่งตามไป แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นอาการของยมดูออกว่าเจ็บหนัก จึงหันมาดูบาดแผลให้ แล้วต้องอึ้งไป เมื่อเห็นเปลวไฟสีแดงฉานฝังอยู่ในแผลที่ถูกยิง
“กระสุนอาคม”
“โอ๊ย” ยมร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“ใช้พลังพิเศษจนร่างกายอ่อนแอมากสินะ กระสุนอาคมธรรมดาแค่นี้ ถึงทำอันตรายได้ขนาดนี้”
“ถ้าไม่ช่วยกันก็ออกไปซะ”
“แน่นอน ข้าไม่ใช้พลังพิเศษช่วยเจ้าให้เป็นการผิดกฎหรอก”
ยมเจ็บปวดสุดจะประมาณ ร้องโอยออกมา เขต7 ชักลังเลขึ้นมา
รุ่งเช้า ได้ยินเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจของวิวัฒน์ดังแว่วออกมาบ้านหลังใหญ่โตของเขา
วิวัฒน์อยู่ที่โถงรับแขก กำลังหัวเราะชอบใจ หลังจากได้ฟังข้อมูลจากมือปืนที่ส่งไปจัดการยม
“ไอ้ยม ในที่สุดมึงก็พลาดท่าเสียทีให้กับกูจนได้ ฮ่าๆๆ”
“แน่ใจนะ ว่าเห็นมันเจ็บหนักจริงๆน่ะ” ลูกน้องคนสนิทถาม
“แน่ใจสิ ถ้าไม่มีคนมาช่วยมันไว้ก่อน มันเจ็บหนักกว่านี้แน่ เผลอๆ ได้กลับบ้านเก่าไปแล้ว”
วิวัฒน์คาใจ “ใครกัน ที่มาช่วยมัน”
“ไม่รู้เหมือนกันครับนาย ผมยิงใส่มันไปนัดนึง ก่อนจะหนีออกมา”
“แล้วคนที่มาช่วยมันเป็นอะไรรึเปล่า” ลูกน้องถาม
“ไม่ทันได้มองชัดๆ น่ะ”
“ช่างมันเถอะ แค่ไอ้ยมเจ็บหนักกูก็สะใจแล้ว” วิวัฒน์สะใจไม่หาย
“แล้วนายจะซ้ำมันอีกรอบมั้ยครับ” ลูกน้องคนสนิทถามวิวัฒน์
“แน่นอน”
วิวัฒน์หยิบซองเงินให้มือปืน
“จะให้ไปซ้ำไอ้ยมเมื่อไหร่เดี๋ยวจะติดต่อไป”
“ได้ครับนาย”
วิวัฒน์หัวเราะหึๆ ในลำคออย่างสะใจ
ยมลืมตาโพลงขึ้นมา เห็นเขต7 นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนหันหลังให้ ด้วยสีหน้าตะขิดตะขวงใจปนหงุดหงิด หลังจากเปลี่ยนใจใช้พลังพิเศษของมัจจุราชช่วยเหลือยม
ยมลุกขึ้นมานั่งด้วยอาการเป็นปกติ แถมดูสดชื่นมากขึ้น จากพลังพิเศษของเขต7
“เหตุใดจึงช่วยเรา”
เขต7 อึกอักอ้ำอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะหาเหตุผลแก้เก้อให้ตัวเอง
“ข้ามีธุระจะคุยกับเจ้าน่ะสิ ถ้าไม่ช่วย ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่อง”
“มีอะไรจะคุยกับเราอย่างนั้นเหรอ”
“เรื่องชาวบ้านที่โดนผีตามทวงนี้น่ะ แล้วก็ปัญหาสังคมที่มันฟอนเฟะ จนเริ่มขยายวงกว้างลามไปถึงเขตของเราแล้ว”
“เรารับรู้ปัญหานี้แล้ว”
“รับรู้แต่ก็ไม่ทำอะไร มันก็เท่านั้น”
“ถ้าเราไม่ทำอะไร พวกมันคงไม่ส่งคนมาทำร้ายเราอย่างเมื่อกี๊หรอก”
“หมายความว่ายังไง”
ยมนิ่งไป อย่างใช้ความคิด ก่อนจะพูดออกไป
“ไอ้คนเมื่อกี๊น่าจะเป็นคนของไอ้วิวัฒน์กับอาจารย์ขาว”
เขต7 คุ้นๆ หู “วิวัฒน์ อาจารย์ขาว”
“มันพยายามทำร้ายเราหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ประจวบเหมาะที่เรากำลังอ่อนแอพอดี”
“มนุษย์พวกนี้มันเหิมเกริมกันเกินไปแล้ว”
ยมมองเขต7 เห็นฝ่ายนั้นออกอาการโกรธแทนตนจึงออกปากขอบคุณ
“ยังไงก็ขอบคุณท่านนะ ที่มาช่วยเรา”
เขต7 มีอาการกระอักกระอ่วน รู้สึกเสียฟอร์มเล็กน้อย
“มันเป็นเหตุซึ่งหน้า ไม่ได้หมายความว่าข้าจะญาติดีอะไรกับเจ้าหรอกนะ”
ยมยิ้มรับสีหน้าเจื่อนนิดๆ
“โดยเฉพาะเรื่องนิดหน่อย ข้าจะนำวิญญาณลงไปสอบสวนให้รู้เรื่องให้ได้”
เขต7 พูดจบก็เดินออกไปเลย ทิ้งยมให้ถอนหายใจด้วยความหนักใจอยู่ลำพัง
เขต7 กลับลงนรกภูมิ เดินเข้ามาในออฟฟิศด้วยสีหน้าเป็นกังวล หลังจากที่ช่วยยม ซึ่งผิดกฎนรก
“จับพลัดจับผลูไปช่วยมันจนได้สินะ”
เขต7 หันมองไปรอบๆ กลัวว่าสองกุมภัณฆ์ลูกน้องจะได้ยิน แต่พอทั้งคู่ไม่อยู่ก็ถอนหายใจเบาๆ
“เฮ้อ...”
เขต7 นิ่งไปชั่วครู่ คิดถึงเรื่องวิวัฒน์กับอาจารย์ขาวขึ้นมาก็นึกโมโหกรุ่นๆ
“พวกมนุษย์ก็เหิมเกริมกันเกินไป คงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
มัจจุราชเขต7 คิดหาทางจะสั่งสอนชายชั่วทั้งสองคน
นิดหน่อยเปิดร้านแล้ว และกำลังจัดข้าวของอยู่ที่หน้าบาร์กาแฟ สักครู่หนึ่งจึงเห็นวิวัฒน์เดินเข้าร้านมา ตรงมาหา
“สวัสดีจ้ะนิดหน่อย”
นิดหน่อยถอนหายใจ เซ็งๆ “เฮ้อ...มีอะไร”
วิวัฒน์มองไปรอบๆ “แม่ไม่อยู่เหรอ”
นิดหน่อยตอบเสียงห้วนๆ “ไม่อยู่”
วิวัฒน์ฉุนกึก “ถ้าคำพูดคำจาเธอจะดีเหมือนหน้าตาสักนิด ชั้นก็คงจะเมตตาปราณีเธอได้บ้างนะ”
“เราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ฉะนั้นชั้นไม่ต้องการความเมตตาอะไรจากนาย”
วิวัฒน์สวนออกไปทันที “พี่อาวรณ์ฝากบอกแม่เธอว่าอย่าคิดหนี”
นิดหน่อยอึ้งไปนิดๆ ก่อนจะพูดตอกด้วยน้ำเสียงห้าวหาญ
“แม่ไปปฏิบัติธรรมที่วัด ส่วนเรื่องหนี้สินไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวชั้นจะรับผิดชอบเอง จบนะ”
“โอเค๊ เรื่องพี่อาวรณ์นี่จบไป แต่เรื่องของๆ ชั้น...”
วิวัฒน์บันดาลโทสะ ฟิวส์ขาด กำลังจะพูดเรื่องนิดหน่อยและพวกทำให้ยาของตนโดนยึด แต่ยั้งไว้ทัน
นิดหน่อยมองจ้อง “ของอะไร”
วิวัฒน์ยิ้มเจ้าเล่ห์ เปลี่ยนเรื่องทันทีหันมาเกี้ยวนิดหน่อยต่อ
“ก็เธอไงล่ะ”
“ชั้นไม่ใช่ของๆ แก”
“เล่นตัวจังนะ”
วิวัฒน์มองไปรอบๆ ไม่เห็นมีใครในร้าน จึงคว้าแขนนิดหน่อยดึงร่างเข้ามาหา
“ปล่อยชั้นนะ ช่วยด้วย”
“ไม่มีใครช่วยเธอได้หรอก”
เสียงดุดันของยมดังขึ้น “หยุดนะไอ้วิวัฒน์”
สองคนหันไปมอง เห็นยมเดินเข้ามาในร้าน นิดหน่อยรีบสลัดจนหลุดแล้ววิ่งเข้าไปหายม
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณยม สบายดีนะครับ”
“ถ้าไม่สบาย ก็คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”
“ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ สินะ ถึงรอดมายืนอยู่ตรงนี้ได้ แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเลยดีกว่า อย่าหลบซ่อนเลย” วิวัฒน์เหน็บแนมอย่างไม่กลัวเกรง
นิดหน่อยงง “พูดอะไรของนาย ตัวตนที่แท้จริงอะไร”
ยมหน้าตึง โกรธจัด
“ก็ตัวตนที่ไม่ใช่...”
ยมแตะตัวนิดหน่อยปล่อยพลังใส่หยุดความเคลื่อนไหวของเธอไว้ พลางหันมาทางวิวัฒน์
“อยากรู้จักข้านักใช่มั้ย”
ยมแสดงร่างจริงของมัจจุราชออกมา วิวัฒน์ผงะเล็กน้อย
“ไง สมใจเจ้ารึยังล่ะ”
วิวัฒน์หยิบมีดอาคมเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า แทงใส่ร่างยมเต็มแรง
ยมยกมือกันมีดอาคมไม่อาจระคายผิวได้ และมีดเล่มนั้นแดงฉานขึ้นด้วยความร้อนจากกายยม จนวิวัฒน์ร้อนต้องโยนมีดทิ้งไป ยมวาร์ปตัวมาบีบคอวิวัฒน์อย่างรวดเร็วรุนแรง
“อย่ามายุ่งวุ่นวายกับนิดหน่อยอีก”
ยมเหวี่ยงคอวิวัฒน์ลงไปกองที่พื้นอย่างหมดทางสู้
“แล้วก็กลับตัวกลับใจซะ”
วิวัฒน์ไม่พูดอะไรตอบโต้ ค่อยๆ ถอยร่นกลับออกไป
ยมหันไปมองนิดหน่อยที่ยืนนิ่งอยู่ รีบเร้นกายออกไป ไม่ต้องการให้นิดหน่อยเห็นร่างจริงของตน
ด้านเขต7 จะปรากฏกายมาด้อมๆ มองๆ เข้าไปในบ้านวิวัฒน์ เจอวิญญาณเจ้ามีควันสีดำลอยล้อมอยู่รอบๆ ตัว
“มีธุระอันใดที่นี่รึท่าน”
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าของบ้านหลังนี้หน่อย”
“ที่นี่ไม่มีใครดวงชะตาถึงฆาต เราคงให้ท่านเข้าไปไม่ได้หรอก”
เขต7เห็นรังสีสีดำรอบตัววิญญาณเจ้าที่ ก็แปลกใจ
“ท่านเป็นเจ้าที่ แต่เหตุใดจึงมีพลังลบแผ่ออกมามากมายเช่นนี้”
“เราอย่ามาก้าวก่ายเรื่องงานกันดีกว่าท่าน” เจ้าที่ปัดไป
“ดี งั้นเจ้าก็อย่ามาก้าวก่ายงานของเรา”
เขต7 ใช้พลังหยุดวิญญาณเจ้าที่ไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหน แล้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน
พลันเมื่อมัจจุราชเขต7 เดินเข้าบ้านมา ลมจากทุกทิศก็พัดกระหน่ำจนข้าวของกระจุยกระจาย พร้อมกับเสียงหวีดร้องของวิญญาณ ที่สัมผัสได้ถึงการมาของมัจจุราช
กลุ่มควันสีดำของดวงวิญญาณประมาณ 5 ตน ที่วิวัฒน์เลี้ยงไว้ ลอยอยู่ทั่วบ้าน
“คนปกติเค้าเลี้ยงหมาไว้เฝ้าบ้าน แต่ไอ้นี่เลี้ยงผี เจริญจริงๆ”
“แกเป็นใคร” วิญญาณ1 ในนั้นตวาด
“เราเป็นใครไม่สำคัญ แต่เรารู้ว่าพวกเจ้ากำลังทรมานกับการถูกจองจำอยู่ที่นี่ จนไม่ได้ไปผุดไปเกิด”
“แกรู้ได้ยังไง!”
“หึ เราอยู่กับความตายมาหลายร้อยปี ทำไมเราจะไม่รู้”
วิญญาณที่ลอยวูบวาบไปทั่ว เริ่มลอยนิ่งลง รับรู้ได้ว่าเขต7 ไม่ใช่ธรรมดา
“ท่านเป็นใครกันแน่”
“ข้าคือมัจจุราช ข้าสามารถปลดปล่อยพวกเจ้าจากบ่วงทุกข์นี้ได้”
“คนที่สะกดเราไว้มันโหดเหี้ยมมาก เราไม่มีทางหนีได้หรอกท่าน”
“สิ่งที่กักขังเจ้าไว้ได้มีแต่ใจอันเป็นทุกข์เท่านั้น ถ้าใจเจ้าไม่มีทุกข์ เจ้าจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี”
“เราทำไม่ได้หรอก” วิญญาณหน้าเศร้า
“ทำได้สิ เคยได้ยินเรื่องที่ว่าก่อนตายให้คิดถึงแต่สิ่งดีๆ แล้วจะได้ไปสู่ที่ดีๆ หรือไม่ ต่อให้เจ้าตายไปแล้ว เจ้าก็ทำได้ไม่ต่างกัน”
“ข้าทำได้จริงหรือ”
“จริง นึกถึงแต่บุญที่เจ้าเคยทำไว้ ไม่ต้องกลัว เราไม่ทำร้ายเจ้า เราจะช่วยเจ้าเอง”
มัจจุราชเขต7 ยืนสงบนิ่ง วิญญาณเหล่านั้นหยุดลอยวนเวียน มายืนรวมกันอยู่นิ่งๆ ใกล้ๆ เขต7 พริบตานั้นเองวิญญาณสีมืดดำดูน่ากลัว ก็กลายเป็นแสงสีขาวสว่างสดใส
“ไปสู่ที่ชอบๆ เถิด”
“ขอบคุณท่านมาก ท่านมัจจุราช
วิญญาณประสานเสียง สลายหายไปกับอากาศพลัน
พลังพิเศษจากเขต7 ยังส่งผลไปถึงรุจิภาที่นอนอยู่บนเตียงชั้นบน เธอลืมตาโพลงขึ้น ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงมองไปรอบๆ อย่างงุนงง ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
“ที่ไหนเนี่ย”
เขต7 เดินสำรวจบ้านวิวัฒน์อยู่ที่ชั้นบน จนรุจิภาจะเปิดประตูออกมาเจอกับเขต7 จังๆ
ทั้งคู่จ้องหน้ากัน รุจิภามองงงๆ ว่าเขาเป็นใคร ในขณะที่เขต7 มองรุจิภาอย่างคนคุ้นหน้า
ฟากนิดหน่อยยืนแข็งทื่อ ด้วยมนต์ที่ยมหยุดเวลาไว้ จนมีลูกค้าหญิงเดินมาวนรอบตัวนิดหน่อยด้วยอาการงงๆ ว่าเจ้าของร้านขนมเป็นบ้าอะไร
จนเมื่อมนต์นั้นเสื่อมสลายไป นิดหน่อยค่อยๆ ขยับตัวได้ พอเห็นลูกค้ากำลังจ้องหน้าอยู่ ต่างคนต่างตกใจกันและกัน ร้อง “เย้ย” ขึ้นมาพร้อมๆ กัน
นิดหน่อยมองไปรอบๆ ด้วยอาการงุนงง
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“หนูต้องถามพี่มากกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ทำไมเหรอ”
“ก็หนูเข้าร้านมา เห็นพี่ยืนนิ่งเป็นหลักกิโลอยู่ตรงเนี่ย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัวเลย”
นิดหน่อยพยามนึกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็นึกไม่ออก
“เกิดอะไรขึ้นนะ...”
“พี่โอเคมั้ยเนี่ย”
“โอเค๊...พี่โอเค”
“ถ้าโอเค งั้นหนูขอลาเต้เย็นแก้วนึงสิ”
“โอเค...รอแป๊บนะ”
นิดหน่อยเดินเข้าบาร์ ไปทำกาแฟให้ลูกค้าด้วยอาการงงๆ
ยมเดินเข้ามาในบ้าน ด้วยร่างปกติที่ไม่มีเขา เจอกับสุวรรณที่นั่งรออยู่ในห้องโถง
“อ้าว มาทำไมอีกเนี่ย”
“ท่านไปแสดงตัวให้มนุษย์เห็นร่างแท้จริงของท่านทำไมครับเนี่ย ท่านนี่ดื้อจริงๆ” สุวรรณตำหนิ
“ก็มันอยากให้เราแสดงตัวเหลือเกินนี่”
“แต่ร่างกายท่านกำลังแย่อยู่ ท่านไม่น่าไปบ้าจี้ตามมันเลย”
“ร่างของเรากลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมแล้ว น่าจะเป็นผลจากที่เขต7 ใช้พลังพิเศษช่วยเรา”
“แต่ถ้าท่านใช้พลังพิเศษอีก ท่านก็จะกลับไปอ่อนแออีกครั้งนะครับ”
ยมซีเรียสมาก บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วสุวรรณ มนุษย์พวกนี้มันเหิมเกริม ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีกันเกินไปแล้ว เราจะไม่อ่อนข้อกับพวกมันอีก”
“ท่านจะทำอะไรครับ”
ยมครุ่นคิดหน้าเครียดจัด สุวรรณเห็นท่าทีจริงจังของนายก็ไม่กล้าขัด
ส่วนวิวัฒน์เดินดูสภาพบ้าน เห็นข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนกล่น ความโกรธแค้นคุกรุ่นในอก ลูกน้องคนสนิท ลงมาจากชั้นบน หลังขึ้นไปดูรุจิภาตามสั่ง
“คุณรุจิไม่อยู่ครับนาย”
“อืม”
ลูกน้องส่งหุ่นพยนต์สภาพแตกหักให้วิวัฒน์ดู
“หุ่นพยนต์ในห้องพระครับนาย ตัวอื่นๆ ก็แตกหักแบบนี้หมดเลย”
“มันปลดปล่อยวิญญาณที่กูเลี้ยงไว้ทั้งหมด”
“คนธรรมดาไม่น่าจะทำได้ขนาดนี้นะครับ หรือจะเป็นไอ้ยม”
“ไม่น่าจะใช่...”
ลูกน้อง2 เดินเข้ามาพร้อมกับคอมพิวเตอร์แล็บท็อป
“ภาพจากกล้องวงจรปิดครับนาย”
“เปิดดูซิ”
ลูกน้องเปิดคอมพ์ แล้วเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าบ้าน เห็นเขต7 ในคราบมนุษย์ขณะเดินเข้าไปในบ้าน
“ใครน่ะครับ”
วิวัฒน์มีสีหน้าเคียดแค้นสุดจะประมาณ แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา
ณ ลานประหาร กรุงศรีอยุธยา
มัจจุราชเขต7 ซึ่งสมัยนั้นเกิดเป็นเพชฌฆาต กำลังร่ายรำดาบกลางลานประหาร เบื้องหน้าเป็นนักโทษผู้หญิง ถูกมัดตรึงกับเสา มือพนมถือดอกบัว
มีกลุ่มชาวบ้านมารอดูการประหาร รอบๆ ลาน ส่งเสียงซุบซิบอื้ออึง
เพชฌฆาตรำดาบวนรอบร่างนักโทษประหารชะตาขาด ชาวบ้านบางคนเบือนหน้าหนี รู้ว่าใกล้ถึงเวลาลงดาบแล้ว
อนิจจา เมื่อมองชัดๆ นักโทษหญิงนางนั้น หน้าตาคล้ายกับรุจิภาในปัจจุบันกาลไม่ผิดเพี้ยน
ดาบคมกริบฟันฉับลงเต็มแรงคอขาดกระเด็นลงใกล้ร่าง เลือดแดงฉานสาดใส่หน้าเพชฌฆาตหนุ่ม
มีน้ำตาไหลซึมออกมาปนเลือดไหลรินเป็นสาย
อ่านต่อตอนที่20