xs
xsm
sm
md
lg

มัจจุราชฮอลิเดย์ ตอนที่15

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มัจจุราชฮอลิเดย์ ตอนที่ 15 | ขอสิงนิดสิงหน่อยจ้ะนายจ๋า

บทประพันธ์ : อรุณรุ่ง | บทโทรทัศน์ : วาทินีย์, สิริวัฒน์69

สองคนยังอยู่ตรงลานจอดรถของอพาร์ตเมนต์ นิดหน่อยมองยมด้วยสีหน้าสงสัย ที่ยมมาสนใจกับสร้อยเส้นนี้เป็นพิเศษ ขณะที่ยมมองสร้อยด้วยท่าทีอึ้งๆ เล็กน้อย

“ว่ายังไง คุณมีอะไรกับสร้อยเส้นนี้อย่างนั้นเหรอ”
“คุณได้สร้อยเส้นนี้มาจากไหนงั้นเหรอ”
นิดหน่อยชั่งใจ ก่อนตอบความจริงออกไป “ยายชั้นให้มา”
ยมมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ในใจว่ายายนิดหน่อยก็น่าจะเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นจริงๆ
“นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่คุณถามชั้นเรื่องสร้อยเส้นนี้...คุณมีอะไรกับสร้อยเส้นนี้อย่างนั้นเหรอ”
ยมอึกอักไม่รู้จะพูดยังไง เพราะถ้าพูดมากไปนิดหน่อยก็จะสงสัยว่าตัวเองเป็นใครกันแน่
“ว่ายังไงล่ะ ทำไมคุณถึงสนใจสร้อยเส้นนี้เป็นพิเศษ”
“เอ่อ...ผมรู้ว่ามันคือสร้อยที่หายากน่ะ เก็บรักษามันไว้ให้ดีๆ นะ”
นิดหน่อยไม่อยากเชื่อ “แค่เนี้ยะ”
“จะให้แค่ไหนล่ะ”
“ก็ท่าทางคุณสนใจเหมือนมีอะไรมากกว่านี้น่ะ”
“แค่นี้แหละ ไม่มีอะไรหรอก”
ยมตัดบทเดินเข้าไปในรถ นิดหน่อยขึ้นรถตามไปด้วยสีหน้ายังคาใจไม่หาย

ภายในตึกร้าง กองบัญชาการของทีมเขต7 สุวานวางขวดเบียร์ลงบนพื้น แล้วออกมาสมทบ สุวรรณ และเขต7 ยืนดูภารกิจทดสอบการสิงวัตถุสิ่งของของวิญญาณ
“ไหนลองสิงขวดนี่ให้ดูซิ”
คราวนี้เป็นวิญญาณเด็กเนิร์ด มันเกาหัวแกรกๆ “ขวดแค่นี้จะให้หนูลงไปยังไง”
“เจ้าเป็นวิญญาณ มีแค่พลังงาน ไม่มีร่างกาย ของเล็กแค่ไหนก็สิงได้” สุวานบรีฟ
“สมาธิอยู่ที่ปากขวด พอมั่นใจแล้วก็กระโดดเข้าไปเลย” สุวรรณเสริม
วิญญาณไม่มั่นใจอยู่ดี “จะได้จริงๆ เหรอ”
“ทำได้เดี๋ยวเอากันดั้มให้ตัวนึง” เขต7 บอก
“โอ้โห...จิ๊บๆ”
วิญญาณกระโดดลงขวดเบียร์ ขวดเบียร์ขยับๆ ก่อนจะกลิ้งไปมา
“ต้องมีของมาล่อ...ไอ้นี่” สุวรรณว่า
“น่าจะเข้าสิงนิดหน่อยได้อย่างไม่มีปัญหานะครับ” สุวานเสริม
เขต7 ครุ่นคิด “อืมม”
“ท่านหนักใจเรื่องอะไรอยู่รึเปล่าครับ” สุวานถาม
“กำลังคิดว่าถ้านิดหน่อยห้อยพระ ไอ้หนูนี่จะเข้าสิงได้รึเปล่าน่ะสิ”
สุวรรณเห็นด้วย “เออจริงด้วย ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย”
“แล้วจะเอายังไงกันดีครับ”
“ตามข้ามา”
เขต7 เดินนำออกไป สุวรรณกับสุวานมองหน้ากันงงๆ ก่อนจะพากันเดินตามนายไป
“เฮ้ย จะไปไหนกัน”
ผีเด็กเนิร์ดออกมาจากขวดมาในสภาพเมามาย
“จะไปไหน รอหนูด้วย”
ผีเด็กเนิร์ดเดินตุปัดตุเป๋วนไปวนมาอยู่ในตึกร้าง

ด้านจุกเดินออกมาจากร้านหนังสือในคอมมูนิตี้มอลล์ ถือถุงใส่หนังสือในมือ นักศึกษาหญิงเดินออกจากห้องน้ำ เดินมาตามทางเดินในห้าง ชนกับจุกที่เดินมาจากอีกทางซวนเซจะล้ม จุกประคองนักศึกษาหญิงที่กำลังจะล้มไว้ได้ทัน
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
จุกกับนักศึกษาจ้องมองหน้ากันนิ่งนาน ต่างรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอกันมาก่อน
จุกนึกได้ว่า วันนั้นนิดหน่อยลากเขามาเจอชนกกับนักศึกษาที่เดินสวนมาด้วยกันพอดี
“จุก...นิดหน่อย”
ชนกทักลูก แต่นิดหน่อยจูงจุกเดินหนีไปเลย
จุกจำได้แล้ว เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้นก่อน
“คุณที่เคยเดินกับพ่อผมนี่”
“ลูกชายคุณชนกใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ...”
จุกมองชุดนักศึกษาสาว พบว่าเธออยู่ในยูนิฟอร์มพนักงานร้านกาแฟของห้าง
“คุณทำงานที่นี่เหรอ”
“ใช่ค่ะ...ชั้นขอคุยเรื่องคุณชนกสักครู่ได้มั้ยคะ”
จุกพยักหน้างงๆ “ได้สิครับ”

สองคนมานั่งคุยกันอยู่ที่ม้านั่งพักภายในห้าง จุกรู้เรื่องถึงกับอึ้งไป คาดไม่ถึง
“พ่ออุปการะคุณตั้งแต่เรียนมัธยมเลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ พอดีชั้นเป็นเด็กกำพร้า แล้วคุณชนกท่านติดต่อมาที่มูลนิธิ ก่อนจะรับอุปการะเลี้ยงดูชั้นตั้งแต่นั้นมาจนเข้ามหาลัยน่ะค่ะ”
จุกนิ่งฟัง
“ชั้นเห็นท่าทางคุณกับพี่สาวคุณวันนั้นแล้วก็ไม่สบายใจ เลยอยากจะเล่าความจริงให้ฟังน่ะค่ะ”
จุกนิ่ง อึ้งหนักและยิ่งรู้สึกผิดที่เข้าใจพ่อผิดในวันนั้น
“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพ่อจะมาแนวนี้ได้”
“ถ้าชั้นพูดไปแล้วอย่าโกรธกันนะคะ”
“มีอะไรเหรอครับ”
“ท่านเคยบอกว่า ที่ท่านทำแบบนี้ เพราะท่านอยากเติมเต็มบทบาทหน้าที่ของความเป็นพ่อน่ะค่ะ เมื่อท่านดูแลลูกๆ ของท่านไม่ได้ ท่านก็เลยมาดูแลคนด้อยโอกาสอย่างชั้นแทน”
จุกอึ้งหนัก ยิ่งรู้สึกผิดกับชนกมากขึ้นทบทวี


ฝ่ายชนกนั่งดูแบบแปลนบ้านด้วยสีหน้าเข้มขรึมจริงจัง ต่อนั่งคุยงานอยู่กับชนกและพนักงานภายในห้องประชุม
“อยากจะแก้ตรงไหนมั้ยครับ” ต่อถาม
“อืมม...โดยรวมก็โอเคแล้วนะ แต่ลองปรับแลนด์สเคปรอบๆ บ้านอีกหน่อยดีกว่า”
“แล้วคุณชนกมีไอเดียอะไรจะเพิ่มเติมมั้ยครับ”
จู่ๆ ชนกก็โพล่งขึ้น “สี่แปดนะ”
ต่อและพนักงานมองหน้ากันงงๆ
“ว่าอะไรนะครับ”
“สี่แปดไง เชื่อชั้น งวดนี้มาแน่”
ต่ออึ้ง พยายามคุยเรื่องงาน “เอ่อ...แล้วเรื่องแลนด์สเคป”
“พรุ่งนี้นะ”
“พรุ่งนี้ให้แก้มาให้ดูใหม่เหรอครับ”
“พรุ่งนี้วันพระ ทำบุญใส่บาตรกันด้วยล่ะ” ชนกชี้ตัวเอง “กรวดน้ำให้หน่อยนะ”
ต่อและพนักงานมองหน้ากันงงๆ
“เอาเป็นว่าแก้แบบเสร็จแล้วผมจะเอามาให้ดูอีกรอบนะครับ”
“ไม่สิ ไม่ต้องแก้แล้ว”
ต่องงหนักพอๆ กับคนอื่นๆ “อ้าว สรุปไม่แก้แลนด์สเคปเหรอครับ”
ชนกหัวเราะ “อยากกินลอดช่องน้ำกะทิจัง ใครหาให้หน่อยได้มั้ย”
“คุณชนกเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เป็นอะไร ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
ชนกงง ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเตรียมกลับบ้าน ขณะที่ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา
“ไปหาลอดช่องน้ำกะทิกินก่อนนะ”
ชนกเดินออกจากห้องไปเฉ้ย ท่ามลางความงงงวยของพนักงาน

สองพี่น้องนั่งคุยกันอยู่ในห้องนอนนิดหน่อย ซึ่งจุกเล่าเรื่องชนกส่งเสียเด็กเรียนให้ฟังแล้ว
“พ่อเนี่ยนะ อุปการะเด็กตามมูลนิธิ”
“ใช่ เราเข้าใจพ่อผิดไปเยอะเลยนะเนี่ย”
นิดหน่อยนิ่งไป รู้สึกผิดต่อพ่อขึ้นมาบ้าง แต่ไม่สามารถลบล้างความผิดที่ชนกทำไว้กับครอบครัวได้
“ถึงพ่อจะอุปการะเด็กคนนี้ด้วยการกุศลหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่สามารถลบล้างความผิดที่ทำกับพวกเราไปได้หรอก”
“พ่อคงอยากกลับตัวกลับใจจริงๆ ก็ได้นะ”
นิดหน่อยมองจุกตาขวาง “นี่จะเข้าข้างพ่อเหรอ”
“จุกไม่เข้าข้างใครทั้งนั้นแหละ แค่ไม่อยากเข้าใจในตัวพ่อผิดก็เท่านั้น”
นิดหน่อยเบ้ปากทำหน้าเซ็งใส่จุก ยังไงก็ไม่เชื่อว่าชนกจะกลับตัวกลับใจได้
“องคุลีมารฆ่าคนยังกลับตัวได้เลย แค่คนเจ้าชู้อย่างพ่อ จะกลับตัวไม่ได้เชียวเหรอ”
นิดหน่อยสวนออกไปทันที “ไม่มีทาง”
“โอเค ไม่มีก็ไม่มี งั้นไปนอนก่อนนะ”
จุกส่ายหน้าอ่อนใจเดินออกจากห้องไปเลย คล้อยหลังน้องชาย สีหน้านิดหน่อยจากที่บึ้งตึง ก็ค่อยๆ กลายเป็นลังเลว่าพ่อจะกลับตัวได้จริงๆ หรือ

สุวรรณกับสุวานสีหน้าตื่นตกใจเล็กน้อย หลังจากรู้เรื่องนิดหน่อยจากยม
“นิดหน่อยน่ะเหรอครับ คือตัวแทนของเด็กน้อยคนนั้น”
“โลกกลมแท้” สุวรรณทึ่งสุด
ยมยกจอกน้ำกระทะทองแดงขึ้นดื่ม ยมทำหน้าเหยเกจากความทุกข์ทรมานภายใน
“มะขามเปียกซักชิ้นมั้ยครับ”
“เจ้านายไม่ได้กินเหล้า” สุวานท้วง
ยมทำท่าจะสาดน้ำจากจอกใส่หน้าสุวรรณ สุวรรณลงไปดิ้นทุรนทุรายก่อนจะหยุดเมื่อรู้ไม่มีน้ำสาดใส่
สุวานหมั่นไส้ “เอ็งนี่เล่นใหญ่ตลอด”
“ไม่ใหญ่ได้ไงล่ะ น้ำจากกระทะทองแดงนะเว้ย ไม่ใช่น้ำแร่จากเทือกเขาแอลป์”
สุวานกลับเข้าเรื่อง “แล้วเรื่องนิดหน่อย ท่านแน่ใจนะครับว่าใช่จริงๆ”
ยมพยักหน้า มั่นใจ “ใช่แน่นอน นิดหน่อยน่าจะเป็นหลานของเด็กคนนั้น”
“แล้วท่านจะทำยังไงต่อครับ จะบอกความจริงกับนิดหน่อยรึเปล่า”
สุวรรณท้วงบ้าง “ถ้าบอก นิดหน่อยก็สงสัยกันพอดีสิ ว่าเจ้านายเราเป็นใคร”
“เออว่ะ”
“ไม่มีวัวปนเลยนะเอ็งนี่”
“จ้า...ไอ้ฉลาด ไอ้ปราดเปรื่อง ไหนลองคิดซิ ว่าจะรับมือพวกเขต7 เรื่องนิดหน่อยกันยังไงดี”
สุวรรณหัวเราะหึๆ เหมือนคิดออกแล้ว
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่ามีแผนการในใจแล้ว”
สุวรรณกระแซะถามยม “เรื่องนี้เอาไงดีครับท่าน”
สุวานเซ็ง “โธ่ คิดว่าจะแน่”
“เรื่องใหญ่แบบนี้ ต้องกลั่นมาจากมันสมองอันปราดเปรื่องของเจ้านายสิวะ”
ยมหัวเราะหึๆ เหมือนคิดออกแล้ว
สุวานยิ้มดีใจ “ท่านคิดออกแล้ว”
“เห็นมั้ย มันต้องระดับเจ้านาย ถึงจะคิดออก สรุปแผนการเป็นยังไงครับ”
ยมบอกหน้าเฉ้ย “ยังคิดอะไรไม่ออกเลย”
สุวรรณ กะ สุวานสตั๊นไป2-3วิ “เอ๊อ”
“เออน่ะ ค่อยๆ คิดไปเดี๋ยวก็คิดออกกันเองแหละ”
ยมมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ทั้งเรื่องนิดหน่อยเป็นตัวแทนของเด็กน้อยคนนั้น ขณะเดียวกันก็คิดไม่ตกเรื่องจะช่วยนิดหน่อยให้รอดพ้นจากพวกเขต7 ได้ยังไง

วันต่อมา ทีมเขต7 พากันเดินปะปนอยู่ในความคึกคักจอแจของมนุษย์ในย่านพาหุรัด แต่ไม่มีใครมองเห็นมัจจุราชเขต7 และสุวรรณกับสุวาน
“อย่าบอกนะครับ ว่าท่านจะใช้วิญญาณแขกไปเข้าสิงนิดหน่อย” สุวานเอ่ยขึ้น
เขต7 ยิ้มกริ่ม “แล้วพวกเจ้าคิดว่าไงล่ะ”
“อืม...มันก็น่าจะดีนะจ๊ะนายจ๋า” สุวรรณยิ้มย่อง
“ก็น่าจะไม่ต้องห่วงเรื่องพระไปได้นะครับ”
ที่มุมหนึ่งของพาหุรัด ผีอับดุลยืนรีดไถส่วนบุญกับวิญญาณชาย1อยู่ รูปลักษณ์เหมือนพวกแขกเก็บดอกเบี้ยไม่มีผิด
“มา...ดอกบุญเดือนนี้ จ่ายมาจ้ะนายจ๋า”
“เดือนนี้ไม่มีจริงๆ นะบัง”
“อับดุล กรุณาเรียกชื่อด้วย”
“ครับท่านอับดุล เดือนนี้ขอติดไว้ก่อนนะครับ ไปเข้าฝันญาติหลายรอบแล้ว ไม่มีใครทำบุญมาให้เลยเนี่ย”
“อย่ามาโกหก ออร่าเปล่งปลั่งขนาดนี้ ญาติแกเพิ่งทำบุญใหญ่มาให้แน่ๆ เอาบุญมา”
“ขอผมใช้บุญหน่อยเถอะนะ เอาไว้เดือนหน้าจะส่งดอกบุญให้สองเดือนเลย”
“ไม่ได้ นายกู้บุญชั้นไป นายก็ต้องส่งดอกตามที่ตกลงกันไว้สิ”
วิญญาณชาย1 ลังเล
“เอามาเร็วๆเข้า”
วิญญาณนั้นล้วงกระเป๋า หยิบเหรียญที่เปล่งประกายออกมายื่นให้อับดุลอย่างจำใจ
ทันทีที่อับดุลรับผลบุญไป ออร่าของวิญญาณที่เคยเปล่งปลั่งก็หายวับไปในทันที ออร่าดังกล่าวไปปรากฏรอบตัวอับดุลแทน
“ขอบใจนะจ๊ะนายจ๋า ไว้เดือนหน้าเจอกันใหม่”
วิญญาณชาย1 เดินซูบซีดออกไปเซ็งๆ
เขต7 กับสุวรรณและสุวานเดินเข้ามาหาผีอับดุล ล้อมกรอบไว้
“รีดไถบุญกันง่ายๆ แบบนี้เลยรึ” เขต7 จ้องหน้า
“รีดไถบุญอะไรจ๊ะนาย ฉันปล่อยบุญให้กู้ต่างหากจ้ะ สนใจจะกู้มั้ยล่ะจ๊ะ ดอกบุญไม่แพงเลยจ้ะ”
สุวรรณแสดงตัว “นายข้าเป็นถึงมัจจุราช ไม่จำเป็นต้องกู้บุญจากเจ้าหรอก”
“อุ๊ย มัจจุราชเหรอจ๊ะ อย่างนั้นอีนี่ขอตัวนะจ๊ะนายจ๋า”
อับดุลจะชิ่งหนี แต่สุวรรณกับสุวานช่วยกันขวางไว้
“มีอะไรเหรอจ๊ะนายจ๋า”
“ข้ามีงานอยากให้เจ้าช่วยหน่อยน่ะ” เขต7 บอก
“งานอะไรเหรอจ๊ะนายจ๋า”
มัจ7ยิ้มเจ้าเล่ห์ ยังไม่ตอบอะไรอับดุล


โกดังริมท่าเรือเล็กๆ แห่งนี้ สภาพทรุดโทรมดูออกว่าถูกปล่อยทิ้งร้าง และมีการใช้งานไม่มากนัก บรรยากาศรอบๆ บริเวณเงียบสงัด จนได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากรถวิวัฒน์ดังสนั่นเข้ามา
รถวิวัฒน์แล่นเข้ามาในโกดังด้วยความเร็วสูง มาเบรกจอดที่มุมหนึ่ง ซึ่งมีแจ๊คและคนงานรอขนถ่ายยากันอยู่
วิวัฒน์ก้าวลงจากรถพร้อมกับกดรีโมทเปิดฝากระโปรงท้าย แจ๊คส่งซิกให้คนงานไปขนของอย่างรู้กัน แจ๊คกับวิวัฒน์เดินเข้าหา ตีมือกันด้วยความยินดี
“ประเดิมได้สวยมากเพื่อน...นี่ยังกลัวแทนอยู่เลย เพราะเส้นทางนี้ด่านตรวจเข้มงวดที่สุด ที่ผ่านมาแทบไม่มีใครขนผ่านมาได้”
“ต่อไปก็จะไม่มีใครขนผ่านมาได้อยู่ดี...”
แจ๊คทำหน้างงเล็กน้อย
“นอกจากชั้น”
“ถามจริง แกผ่านมาถึงกรุงเทพฯ โดยไม่โดนเรียกตรวจเลยได้ยังไงวะ”
“เคยได้ยินคำว่าผีบังตามั้ยล่ะ ถึงจะเรียกตรวจยังไงก็ไม่เจอ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวอู้ฟู่กันได้เลย”
วิวัฒน์กับแจ๊คยิ้มกริ่มให้กันอย่างเบิกบานใจ

สองคนมาทำบุญด้วยกันที่โบสถ์วัดแห่งนี้ สนใบหน้าซีดเซียวกับอารยากำลังรับพรจากพระ หลังจากถวายสังฆทานเสร็จ
จากนั้นสนกับอารยาพากันมาให้อาหารปลาที่ริมสระน้ำในวัด ทั้งคู่ต่างมีสีหน้าอิ่มเอมบุญ
“รู้สึกยังไงบ้างพี่”
สนยิ้มให้ “ได้อยู่กับเมียรักก็ต้องรู้สึกดีสิ”
“ยาหมายถึงร่างกายพี่น่ะ มีเจ็บปวดตรงไหนบ้างมั้ย”
คราวนี้สนนิ่งไปเล็กน้อย ฝืนยิ้มให้อารยาสบายใจ
“ยังไม่มีอาการอะไรนะ”
“ยาว่าจะพาพี่ไปรักษากับแพทย์ทางเลือกดูน่ะ เพราะหลายคนที่ไปอาการดีขึ้นมาก”
“ไม่ต้องหรอกยา เอาเวลาไปรักษาตัวมาอยู่กับยาดีกว่า”
“แต่ยังไงพี่ก็ต้องรักษาตัวเองนะ”
สนจับไหล่อารยาหันมาหา จ้องหน้าคนรักอย่างซาบซึ้ง
“ยาอะไรก็สู้กับยาของพี่ไม่ได้หรอก ยาคือยาที่วิเศษที่สุด ที่จะทำให้พี่ยืนหยัดอยู่เคียงข้างยาไปเรื่อยๆ”
“พี่สน”
สองคนสวมกอดกันแน่น
อารยาหลับตาพริ้มมีความสุขที่ได้อยู่กับคนรัก สนยิ้มทั้งน้ำตาเพราะรู้ว่าเวลาของตัวเองเหลืออีกไม่มาก

ฟากยมนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวที่โซฟากลางโถงบ้าน นึกถึงวันที่คุยกับเทวดาในคราบชายพเนจร
“เด็กคนนั้นมีความสุขดี”
“แล้วเค้าอยู่ที่ไหน”
ชายพเนจรชี้ไปบนฟ้า “อยู่บนสวรรค์”
“ถึงว่าสิ เราไม่ได้ข่าวเด็กคนนั้นอีกเลย แล้วเธอจะไม่ได้กลับมาเกิดที่โลกมนุษย์อีกแล้วใช่รึไม่”
“ใช่ เธอจะอยู่บนนั้นตลอดไป”
ยมซึมลง คงเป็นเรื่องยาก ที่เราจะได้พบกันอีก
“แต่เธอก็ยังคาดหวังที่จะได้พบกับท่านอีกนะ แม้จะไม่ใช่การพบด้วยตัวเองก็ตาม”
“หมายความว่ายังไง”
“เธอมีตัวแทนอยู่บนโลกมนุษย์ ตัวแทนที่ก็รอจะได้พบท่านอยู่เช่นกัน”
รุจิภาเดินนวยนาดเข้าบ้านมา ตรงมาหายม เขาเปรยขึ้นเบาๆ กัยตัวเองว่า
“เธอรอพบเราอยู่เหรอ”
“ใครรอพบใครเหรอคะ”
ยมสะดุ้งนิดๆ เงยหน้ามองรุจิภา
“คุณรุจิ...”
“ว่ายังไงคะ บ่นถึงใครอยู่เอ่ย”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณรุจิมีธุระอะไรกับผมรึเปล่าครับ”
“จะมาชวนออกไปกินข้าวข้างนอกน่ะค่ะ”
ยมออกอาการลังเลเพราะไม่อยากไป แต่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้าง
“ห้ามปฏิเสธนะคะ วันเกิดรุจิทั้งที”
“อ้าว วันเกิดคุณรุจิเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ วันเกิดปีนี้รุจิเฟลมาก ทั้งพ่อ แม่แล้วก็เพื่อน ไม่มีใครสนใจรุจิเลย...ถ้าคุณยมเทรุจิอีกคน” รุจิภาดราม่าใส่ ร้องไห้หนักน่าสงสาร “รุจิก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร”
“โอ้ว...ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
รุจิภาร้องไห้ไม่หยุด “ใช่ค่ะ วันเกิดปีละแค่หนึ่งวัน มันจึงเป็นวันที่แสนวิเศษสำหรับรุจิ...แต่ถ้าคุณยมไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะคะ”
รุจิภาหันหลังจะเดินออกจากบ้านไป ยมจึงเอ่ยขึ้น
“ผมว่างครับ”
รุจิภาหยุดร้องเป็นปลิดทิ้ง หันกลับมาหายมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณยมอยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าคะ”
“หายเศร้าเร็วนะครับ”
“คนเราเศร้าได้ แต่อย่าจมอยู่กับมันนานๆ ค่ะ”
รุจิภาควงแขนยมเดินออกจากบ้านไป

อีกด้าน อาจารย์ขาวนั่งหน้าเครียดกังวลหนักเรื่องวิวัฒน์อยู่ในสำนัก จนกระทั่งเห็นเขาเดินเข้ามายกมือไหว้ทัก อาจารย์ขาวรับไหว้หน้าเครียดๆ
“เรียกผมมา มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับจารย์”
“ได้ข่าวว่ากำลังทำธุรกิจใหม่เหรอ”
“ใครบอกอาจารย์เหรอครับ”
“พรายกระซิบ”
วิวัฒน์หน้าเสีย
“อาจารย์เคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าทำธุรกิจอะไรก็ทำไป แต่ขอเรื่องเดียว คือเรื่องยาเสพติด” อาจารย์เสียงเข้ม
“ผมเพิ่งจะลองน่ะครับอาจารย์”
“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกซะ ถือว่าอาจารย์ขอ”
วิวัฒน์นิ่งงันไปเล็กน้อย “แล้วถ้าผมจะขอบ้างล่ะครับ”
“หมายความว่าไง”
“ผมอยากลองทำดูสักระยะน่ะครับ แค่พอให้ชีวิตมันไม่น่าเบื่ออย่างทุกวันนี้”
“แน่ใจเหรอ ว่าที่ทำเนี่ย เป็นเพราะเบื่อ...ไม่ใช่เรื่องเงิน”
วิวัฒน์ไม่พอใจ มองอาจารย์ขาวด้วยแววตาแข็งกร้าว
“อาจารย์ขอแล้วกัน เรื่องนี้อาจารย์ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวด้วย”
“ผมก็ทำของผมคนเดียวอยู่แล้วนี่ครับ ไม่ได้ให้อาจารย์ไปยุ่งเกี่ยวด้วยซะหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นธุรกิจที่เราทำด้วยกันอยู่ ก็แยกทางใครทางมันไปด้วยเลยนะ”
“อาจารย์จะตัดขาดกับผมงั้นเหรอ”
“ก็ถ้ายังจะยุ่งเรื่องยาเสพติด อาจารย์ก็ขอจบทุกอย่างแต่เพียงเท่านี้”
อาจารย์ขาวกับวิวัฒน์มองหน้ากันสีหน้าเคร่งเครียด


ทันทีที่กลับถึงบ้าน วิวัฒน์ทุบโต๊ะทำงานปัง พูดด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด มีลูกน้องคนสนิทยืนนิ่งอยู่ใกล้ๆ
“ทุกวันนี้ธุรกิจเครื่องรางเติบโตและอยู่รอดมาได้ มันก็เป็นเพราะกู มาตัดขาดกันแบบนี้ เท่ากับหยามกูมาก!”
“ใจเย็นๆ ก่อนดีมั้ยนาย เผื่ออาจารย์ขาวส่งผีอะไรมาแอบฟัง มันจะยิ่งเกลียดกันไปใหญ่นะครับ”
“ไม่สนโว้ย อยากจะขาดจากกัน กูก็จะจัดให้เลย ไม่มีปัญหา”
ลูกน้องเงียบกริบ มองวิวัฒน์ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เพราะไม่เคยเห็นวิวัฒน์โกรธอาจารย์ขาวแบบนี้มาก่อน
“ตัวเองก็ใช่ว่าจะทำธุรกิจขาวสะอาด ทำมาเป็นตั้งแง่เรื่องยาเสพติด ทำตัวครึ่งๆกลางๆ จะขาวก็ไม่ขาว จะดำก็ไม่ดำ แบบนี้ไม่ใช่แนวว่ะ”
“แล้วถ้าอาจารย์ขาวไม่ยุ่งด้วยแบบนี้ นายจะลุยคนเดียวไหวเหรอครับ”
“ไหวไม่ไหวเดี๋ยวก็รู้”
วิวัฒน์บอกน้ำเสียงดุดัน

ค่ำนั้นในตึกร้างอันวังเวง ผีอับดุลมีสีหน้าครุ่นคิด หลังจากได้รับข้อเสนอจากท่านเขต7
“แล้วฉันจะได้อะไรตอบแทนล่ะจ๊ะนายจ๋า”
เขต7 สุวรรณและสุวานล้อมวงหารือกันอยู่
“แล้วเจ้าอยากได้อะไรตอบแทนล่ะ” เขต7 ถาม
“ขอบุญไว้ให้ฉันได้ปล่อยกู้ก็แล้วกัน”
“ตอนยังไม่ตายนี่คงปล่อยเงินกู้ด้วยสินะ” สุวานพูดเชิงถาม
“ใช่แล้วจ้ะนายจ๋า นายมีบุญแบบอันลิมิตมั้ย แบบเติมทีเดียว มีใช้ไปทั้งชาติน่ะจ้ะ”
“ไอ้นี่เริ่มโลภมากซะแล้ว” สุวรรณฉุน
อับดุลยักท่าทำเล่นตัว “งั้นไม่ทำก็ได้นะ”
“ก็แล้วแต่ เอาที่สบายใจแล้วกัน”
อับดุลเห็นเขต7 มาไม้แข็งไม่ง้อก็อึ้งไปเล็กน้อย ก็ชักเสียงอ่อน
“แล้วท่านมีบุญจะให้ฉันเท่าไหร่ล่ะจ๊ะนายจ๋า”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าทำงานออกมาแล้วเป็นยังไง”
อับดุลยิ้มร่า “แล้วเริ่มงานเมื่อไหร่จ๊ะ”
“คืนนี้”
เขต7 บอกด้วยสีหน้าเข้มขรึมจริงจัง

คืนเดียวกันนี้ อาจารย์ขาวนั่งครุ่นคิดอยู่ลำพังในโถงพิธีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โรเบิร์ตกับโรบิ้นเดินถือชุดชากับผลไม้มาเสิร์ฟให้
“ของว่างครับจารย์”
“วางไว้ก่อน ยังกินอะไรไม่ลง”
โรเบิร์ตกะโรบิ้นวางชุดชากับผลไม้ลงตรงหน้าอาจารย์ขาว มองอาจารย์ด้วยความเป็นห่วง
“คิดเรื่องคุณวิวัฒน์อยู่เหรอครับ” โรเบิร์ตดูออก
“เออสิวะ ไอ้นี่มันเริ่มจะออกทะเลกันไปใหญ่แล้ว”
“พักหลังๆ นี่ดูคุณวิวัฒน์เปลี่ยนไปเยอะนะครับ ดูมีรังสีอำมหิตยังไงชอบกล”
โรบิ้นเห็นด้วย “คิดว่าจะรู้สึกไปคนเดียวซะอีก เวลามองตาคุณวิวัฒน์พักหลังๆ มานี่ รู้สึกน่ากลัวยังไงบอกไม่ถูก”
“คนเล่นของมันต้องรู้จักควบคุมพลังภายในให้ดี ต้องบาลานซ์พลังดีพลังร้าย ไม่ให้อย่างใดอย่างหนึ่งมีมากเกินไป”
“มาสายนี้ก็ต้องเดินทางสายกลางเหรอครับจารย์” โรเบิร์ตงง
“ไม่ว่าจะทำอะไร การเดินทางสายกลางไว้น่ะดีที่สุด”
“แล้วถ้าอย่างคุณวิวัฒน์นี่ ต่อไปจะเป็นยังไงครับจารย์”
“ก็ถ้าไม่บาลานซ์พลังร้ายให้ดี พลังร้ายก็จะครอบงำมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็จะกลายเป็น...”
“ดาร์ท เวเดอร์” โรบิ้นตอบให้
อาจารย์ขาวแบมือขอดาบ “ดาบเลเซอร์มา”
โรบิ้นเอื้อมมือไปหยิบดาบไทยของอาจารย์ขาวมาส่งให้
“ดาบเลเซอร์ไม่มี เอาดาบอรัญญิกไปก่อนครับจารย์”
อาจารย์ขาวรับดาบมาจากโรบิ้น ก่อนจะเพ่นกบาลโรบิ้นไปหนึ่งโป๊ก
“โอ๊ย ตีหัวบิ้นทำไมคับจารย์”
“จริงจังกันอยู่ จะดึงไปฮาหาป้ามึงเหรอ”
โรบิ้นจ๋อยไป ขณะที่โรเบิร์ตคิดทบทวน
“หมายความว่าถ้าคุณวิวัฒน์คุมตัวเองไม่ได้ คุณวิวัฒน์ก็จะร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เหรอครับ”
“ใช่”
อาจารย์ขาวมีสีหน้าหนักใจเรื่องวิวัฒน์อยู่ไม่คลาย

ด้านรุจิภากับยมนั่งทานอาหารอยู่ในร้านอาหารหรูตกแต่งดูดี ยมเลือกทานสลัดผักตามเดิม
“คุณยมไม่ทานเนื้อสัตว์มานานแค่ไหนแล้วคะเนี่ย”
“ก็หลายชาติแล้วล่ะครับ”
รุจิภาได้ยินไม่ถนัดหู “ว่าไงนะคะ”
“เอ่อ...ก็นานมากแล้วน่ะครับ นานจนจำไม่ได้ว่ากี่ปีแล้ว”
“ไว้รุจิจะเลิกกินเนื้อสัตว์เมื่อไหร่ จะขอคำแนะนำบ้างนะคะ”
“ยินดีครับ”
โทรศัพท์มือถือรุจิภาดัง เธอหยิบมาดูเบอร์ เห็นเป็นชื่อวิวัฒน์โทร.มาก็นิ่งไป ยังไม่กดรับสาย
“ตามสบายนะครับ” ยมว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ”
รุจิภากดตัดสายทิ้ง กินอาหารต่อโดยไม่สนใจ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก รุจิภาดูเบอร์ก่อนจะกดตัดสายทิ้ง แล้วปิดเครื่องทันที
“คืนนี้คุณยมว่างมั้ยคะ”
“จะชวนผมไปไหนเหรอครับ”
“จะชวนไปดื่มต่อนิดหน่อยน่ะค่ะ ไหนๆ ก็ได้คิวจากคุณยมแล้ว ขอเอาให้คุ้มหน่อยนะคะ”
ยมมีสีหน้าครุ่นคิด ยังไม่ให้คำตอบ รุจิภายิ้มกรุ้มกริ่ม ตั้งใจพายมไปเจอกับวิวัฒน์ เพื่อให้ฝ่ายนั้นเลิกยุ่งกับตัวเอง

ภายในโถงรับแขก วิวัฒน์ยืนกดโทรศัพท์หารุจิภาอย่างคนหัวเสีย
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริการรับฝากข้อความ”
วิวัฒน์กดโทร.ออกไปอีกครั้ง ยินเสียงเดิม
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริการรับฝากข้อความ”
วิวัฒน์กดตัดสายโกรธสุดจะประมาณ
“กล้าปิดเครื่องใส่ชั้นงั้นเหรอ”
วิวัฒน์กัดฟันกรอดๆ อาวรณ์เดินเข้ามาในบ้าน เห็นภาพนี้พอดี
“หัวร้อนเชียวน้องพี่ ใครทำอะไรให้ไม่พอใจจ๊ะ”
“ช่างมันเถอะครับ พี่มีธุระอะไรกับผมรึเปล่า”
อาวรณ์ยิ้มกริ่ม “ได้ข่าวว่าไปคุยกับอาจารย์ขาวมาเหรอ”
“ครับ”
วิวัฒน์เดินไปนั่งที่โซฟา พยายามสะกดอารมณ์หงุดหงิดในใจ อาวรณ์ตามไปนั่งข้างๆ พยายามพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยนโน้มน้าว
“พี่ว่าเรื่องยามันก็ไปไกลเกินไปนะวิวัฒน์ เราจำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ผมมีของดีอยู่กับตัว จะต้องกลัวอะไรล่ะครับ”
“เรื่องนี้พี่รู้ แต่ธุรกิจของเราก็ไปได้ดีอยู่นะ มันจะคุ้มกับการต้องผิดใจกับอาจารย์ขาวงั้นเหรอ”
“ผมอยากลองอะไรใหม่ๆ ดูน่ะครับพี่”
อาวรณ์ไม่เห็นด้วยพยายามทัดทาน “แต่ว่า...”
“เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะครับ ถ้าพี่จะไม่เอาด้วยกับผม ผมก็ไม่ห้ามพี่นะ”
วิวัฒน์ตัดบทเมินหน้าหนี อาวรณ์เครียดจัดก็ไม่รู้จะโน้มน้าวยังไงอีก


เขต7เดินนำสุวรรณกับสุวาน ที่ประกบอับดุลมาหยุดบริเวณหน้าร้านขนมSweetนิดSweetหน่อย
“นี่จะพาไปสิงคนหรือเดินสวนสนามเนี่ยจ๊ะนายจ๋า”
“ถึงแล้วโว้ย บ่นจัง”
“เวลาเป็นเงินเป็นทองน่ะจ้ะนายจ๋า แหะๆ”
นิดหน่อยเดินหิ้วถุงขยะออกมาวางใส่ถังริมถนนใหญ่หน้าร้าน
“โน้น...เป้าหมายของแก ดูไว้ซะ”
อับดุลเห็นก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที
“โอ้โห..นี่ให้สิงคนหรือสิงนางฟ้ากันแน่จ๊ะนายจ๋า”
อับดุลจะปรี่เข้าไปสิงร่างนิดหน่อย แต่สุวรรณกับสุวานช่วยกันดึงเอาไว้
“ใจเย็น เฮ้ย ขยันขึ้นมาทันทีเลยนะมึง”
“เรื่องงานนี่ขอให้บอก ขยันทุกงานแหละจ้ะ”
“เหรออออ” สุวานหมั่นไส้
“จ้า” อับดุลจะผลีผลามเข้าไป เขต7 ห้ามไว้
“รอให้เป้าหมายเผลอก่อน แล้วค่อยไปสิง”
“ย้ำเลยนะ ว่าห้ามทำอะไรให้เป้าหมายเป็นอันตรายเด็ดขาด” สุวานกำชับ
“ไม่แน่นอนจ้า ด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองรุ่นใหญ่เลย”
“เคยเรียน” สุวานถาม
“อ่ะไม่เคย...แอ๊ะแอ๋”
สุวานเบือนหน้าหนี รู้สึกรำคาญอับดุลขึ้นมาตะหงิดๆ
นิดหน่อยทิ้งขยะเสร็จ กำลังเดินเข้าบ้าน
“นิดหน่อยกลับบ้านแล้วครับ”
“ตามไป...”
เขต7 และพรรคพวกตามนิดหน่อยไปทันที

นิดหน่อยแปลกใจที่จู่ๆ ไฟที่เสาไฟตรงถังขยะกระพริบๆ ก่อนจะดับลง นิดหน่อยหยุดมองไป เห็นไฟบนเสาไฟทุกต้นในซอยจะกระพริบๆ และดับในที่สุดนิดหน่อยชักเริ่มหลอน
“เอ๊ะยังไง”
นิดหน่อยเร่งฝีเท้าเดินกลับร้านให้เร็วขึ้น
เขต7 และพรรคพวกยืนจ้องอยู่ เห็นนิดหน่อยกำลังเดินกลับมา
“พร้อมนะ”
“พร้อมมาก”
“เริ่มได้เลย” เขต7 สั่งการ
อับดุลปรี่เข้าใส่ร่างนิดหน่อยที่เดินเข้ามา ทว่าพอถึงตัวนิดหน่อย ก็มีแสงวูบวาบขึ้นพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของอับดุล
“อ๊ากกก”
เขต7สุวรรณ และสุวาน มองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง ระหว่างที่นิดหน่อยเดินผ่านทีมเขต7ไป เห็นมีลำแสงจากในเสื้อนิดหน่อยเปล่งประกายออกมาบางๆ โดยไม่เห็นจี้ไหลน้ำพี้ เขต7 จ้องมองที่ลำแสงอย่างงงๆ จนนิดหน่อยเดินผ่านหน้ากลับเข้าร้านไป
อับดุลเดินเข้ามาด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน
“เฮ้ย..นี่นายพาฉันมาย่างสดงั้นเหรอ”
“นิดหน่อยสวมสร้อยอะไร มีใครรู้บ้าง” เขต7 ปรารภขึ้น
“ไม่รู้เลยครับท่าน”
“ที่แน่ๆ ไม่ใช่พระแน่นอนครับ” สุวานมั่นใจ
อับดุลร้องโอดโอย “โอ๊ย..ปวดแสบปวดร้อน”
เขต7 สุวรรณและสุวานมีสีหน้าครุ่นคิดหนัก สงสัยว่านิดหน่อยมีของดีอะไรคุ้มครองอยู่

อีกฟาก สนยิ้มนิดๆ หลังจากอารยาเล่าเรื่องยมกับนิดหน่อยเตรียมตัวแต่งงานให้ฟัง
“คุณยมกับนิดหน่อยจะแต่งงานกัน”
สนนั่งคุยกับอารยาอยู่ในห้องพักที่อพาร์ตเม้นต์
“ใช่ ยาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้เองแหละ นี่ก็เพิ่งจะถ่ายพรีเวดดิ้งกันไปเองนะ”
สนแอบขำเล็กๆ เดาออกว่าน่าจะเป็นแผนการของยม
“แล้วเค้าดูรักกันมากมั้ย”
“ก็ดูรักกันดีนะ ไม่มีเค้าว่าจะยกเลิกงานแต่งกันได้เลย”
เห็นสนส่ายหน้ายิ้มเอาๆ จนอารยางง “ยิ้มอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอก...”
“ไม่จริงอ่ะ บอกมาว่ามีอะไรกันแน่”
“ไม่มีจริงๆ เอ้อ เราไปเที่ยวต่างจังหวัดกันมั้ยยา”
“เอาสิ พี่อยากจะไปไหนเหรอ”
“ใกล้ๆ กรุงเทพนี่ล่ะ ใช้เวลาเดินทางไม่ต้องมาก แต่ชวนคุณยมกับนิดหน่อยไปด้วยนะ”
“ชวนคุณยมกับคุณนิดหน่อยเนี่ยนะ เพื่อ...”
“อยากไปกันหลายๆ คนน่ะ จะได้ไม่เหงา”
อารยามองสนด้วยสายตาค้นหา เพราะรู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องชวนยมไปด้วย
สนตัดบท “เอาน่า...พี่แค่รู้สึกถูกชะตากับคุณยมเค้าน่ะ อยากจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้”
“โอเค จะลองชวนดูแล้วกันนะ”
สนยิ้มกริ่ม มีแผนการจะทำให้ยมได้รู้จักกับความรัก


แก้วเหล้ากับแก้วน้ำเปล่าชนกัน ยมถือแก้วน้ำเปล่า ส่วนรุจิภาถือแก้วไวน์อยู่ในบาร์ของวิวัฒน์ ทั้งสองจิบเครื่องดื่มในแก้วก่อนจะเปิดบทสนทนากัน
“ค่อยๆ จิบนะคะ เดี๋ยวจะเมา”
ยมยิ้มรับไม่พูดอะไร
วิวัฒน์เดินเข้ามาในบาร์พร้อมกับลูกน้องคนสนิท แล้วหยุดกึกเมื่อสายตามองไปเห็นรุจิภากับยม กำลังพูดคุยกันอยู่ที่โต๊ะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“นั่นคุณรุจิกับไอ้ยมนี่ครับ”
“ตั้งใจจะพามันมาหยามชั้นงั้นเหรอ”
วิวัฒน์เดินตรงเข้าไปที่โต๊ะรุจิภาด้วยสีหน้าเข้มขรึม
วิวัฒน์เดินปรี่หน้าบูดบึ้งเข้ามา ก่อนจะฝืนยิ้มเมื่อเดินเข้ามาถึงโต๊ะ
“สวัสดีครับคุณยม เป็นเกียรติอีกครั้งนะครับ ที่มาเที่ยวที่บาร์ของผม”
“พอดีเป็นวันเกิดคุณรุจิน่ะครับ”
“อ้อ วันก่อนยังฉลองไม่ถึงใจเหรอครับคุณรุจิ”
“ค่ะ วันก่อนงานเล็กๆ แต่วันนี้แกรนด์ โอเพนนิ่ง ค่ะ”
วิวัฒน์ฝืนยิ้มให้กับคำพูดเชิงหยามหยันของรุจิภา
“ผมขอคุยธุระส่วนตัวด้วยสักครู่สิครับ ขอคั่นเวลาความสุขสักครู่นะครับ”
“ครับ”
วิวัฒน์จะจูงมือรุจิภา แต่รุจิภาเดินสะบัดออกเชิดๆ แล้วเดินนำวิวัฒน์ออกไป

ตรงมุมสงบเงียบในบาร์ รุจิภาเดินมาหยุดก่อนจะหันไปหาวิวัฒน์
“มีธุระอะไรกับชั้นก็ว่ามาค่ะ”
วิวัฒน์คว้าข้อมือรุจิภาด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ตั้งใจพามันมาหยามชั้นอย่างนั้นเหรอ”
“อย่าเรียกว่าหยามเลย เรียกว่าพามาเปิดตัวจะดีกว่า”
รุจิภาออกแรงสะบัดมือหลุดออกจากมือวิวัฒน์
วิวัฒน์ขำ “เปิดตัวเหรอ ถามเค้ารึยังว่าเค้าจะเล่นด้วยรึเปล่า”
“เล่นด้วยหรือไม่เล่นด้วยอันนี้ไม่รู้ รู้แต่ว่าชั้นโฟกัสแค่เค้าคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นก็แค่ทางผ่าน”
วิวัฒน์นิ่งไป รู้สึกหน้าชาอย่างรุนแรง
“ไม่มีอะไรจะคุยกับชั้นแล้วใช่มั้ย งั้นชั้นขอตัวนะคะ”
รุจิภาเดินกลับโต๊ะ ทิ้งวิวัฒน์ให้ยืนกัดฟัดที่เสียหน้าอย่างรุนแรง และไม่รู้ว่าด้านมืดในตัวมีพลังมากขึ้น

คืนนั้น นิดหน่อยอยู่ในห้องนอน ถอดสร้อยไหลน้ำพี้ออกจากคอ ยื่นให้จุกที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ขอบคุณนะ”
จุกจะรับสร้อยจากนิดหน่อยมา แต่นิดหน่อยชักมือหนี
“เดี๋ยว ไม่ได้เอาไปให้เซียนพระที่ไหนดูนะ”
“จะบ้าเหรอ จะเอาไปให้เซียนพระที่ไหนดูล่ะ”
“จะไปรู้เหรอ นี่มันแรไอเท็มเชียวนะ เกิดเซียนพระรู้แล้วมีใบสั่งให้มาเอาล่ะยุ่งเลย”
“จุกจะเอาไปไล่ผีจริงๆ ช่วงนี้เจอผีบ่อยมาก ขอเอาไปขู่ผีสักวันสองวันนะ”
นิดหน่อยใจอ่อนยื่นสร้อยให้จุกรับไป
“รักษาให้ดีนะ ห้ามหายเด็ดขาด”
“ไม่ต้องห่วง จะรักษาอย่างดีที่สุดเลย”
“โอเค”
จุกมองสร้อยจี้ไหลน้ำพี้ในมืออย่างมีความหวัง โดยที่นิดหน่อยก็ไม่ได้เอะใจสงสัยอะไร

ทางด้านชนกนอนซบคลอเคลียยุพาอยู่บนเตียง
“ได้อยู่กับคุณแบบนี้แล้วมีความสุขจริงๆ”
ชนกซุกไซร้ยุพา อีกฝ่ายทำเป็นขยับหนี ออกอาการเล่นตัว
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย คุณไม่ได้รักชั้นขนาดนั้นหรอก”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ผมรักคุณคนเดียวนะยุพา”
“พูดอย่างเดียวมันพิสูจน์ไม่ได้หรอกค่ะ มันต้องทำด้วย”
ชนกเอื้อมไปหยิบกระเป๋าข้างเตียง ก่อนจะหยิบสมุดเช็คออกมาฉีกยื่นให้ยุพา
“ไปกรอกตัวเลขเอาเองนะ”
ยุพาทำเป็นโมโห “นี่จะเอาเงินฟาดหัวกันเหรอ”
“อ้าว ไม่ชอบเหรอคะ”
ยุพาพรายยิ้ม “โอนเข้าบัญชีดีๆ ก็ได้”
“งั้นเดี๋ยวผมโอนให้แล้วกันนะ”
ชนกเก็บเช็ค แต่ยุพาคว้าหมับเอาไป
“กรอกตัวเลขเองจริงๆ นะ”
“อย่าเกินห้าหมื่นนะ เดี๋ยวเช็คเด้ง”
ยุพาขว้างเช็คคืนชนก “งั้นเอาคืนไปเลย”
ชนกกอดอ้อนเอาใจยุพายกใหญ่ “โอ๋ๆๆ ไหน จะให้ผมทำยังไง คุณถึงจะเชื่อว่าผมรักคุณ”
ยุพาครุ่นคิด “โอนทรัพย์สินทุกอย่างเป็นชื่อของชั้นสิคะ
ชนกอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
“ได้สิจ๊ะ”
“จริงนะ”
“จริงสิจ๊ะ เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุดเลย”
“น่ารักที่สุด”
ยุพาคลอเคลียนัวเนียชนกด้วยความดีใจถึงขีดสุด


ที่ตึกร้าง มัจจุราชเขต7 นั่งครุ่นคิดหาวิธีพิสูจน์ตัวตนนิดหน่อยวิธีอื่นสำรองไว้ หลังเห็นกับตาว่านิดหน่อยมีของดีคุ้มครองอยู่ ภาพตอนอับดุลเข้าสิงแว่บในความคิดเขต7
อับดุลปรี่เข้าใส่ร่างนิดหน่อยที่เดินเข้ามา ทว่าพอถึงตัวนิดหน่อย ก็มีแสงวูบวาบขึ้นพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของอับดุล
“อ๊ากกก”
เขต7สุวรรณ และสุวาน มองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง ระหว่างที่นิดหน่อยเดินผ่านทีมเขค7ไป เห็นมีลำแสงจากในเสื้อนิดหน่อยเปล่งประกายออกมาบางๆ โดยไม่เห็นจี้ไหลน้ำพี้ เขต7 จ้องมองที่ลำแสงอย่างงงๆ จนนิดหน่อยเดินผ่านไป
เขต7 มีสีหน้าเคร่งเครียด นึกไม่ออกว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร
“เด็กนั่นมีอะไรคุ้มครองอยู่นะ”
สุวรรณกับสุวานพากันเดินเข้ามาหา
“ไอ้อับดุลหายหัวไปแล้วครับท่าน สงสัยคงจะไปตามทางของมันละ” สุวรรณว่า
“ช่างมัน”
“แล้วเรื่องนิดหน่อยเอายังไงกันต่อครับ” สุวานถาม
“ข้ากำลังคิดหาวิธีอื่นเผื่อไว้อยู่”
สุวานติดใจ “สร้อยที่นิดหน่อยใส่อยู่ ลักษณะจะไม่ธรรมดา อยากรู้จริงว่ามันคือสร้อยอะไร”
“ให้ผมกับสุวานลองไปสืบดูมั้ยครับ เผื่อจะรู้ว่ามันคือสร้อยอะไร จะได้หา ทางรับมือกับมันได้”
“มาช่วยกันคิดหาวิธีอื่นกันก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องสร้อยนั่น ข้าว่าเดี๋ยวก็รู้ ว่ามันคือสร้อยอะไรกันแน่”
เขต7 มีสีหน้าเข้มขรึมจริงจัง

ฝ่ายผีอับดุลเดินมาดูลาดเลา ด้อมๆ มองๆ อยู่บริเวณหน้าร้านขนม ก่อนที่เจ้าที่จะปรากฏตัวต่อหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาอับดุลสะดุ้งโหยง
“เย้ย”
เจ้าที่มองจ้อง “ตกใจอะไร แกน่ะน่ากลัวกว่าข้าอีก”
“ก็เล่นโผล่มาแบบนี้ ก็ต้องตกใจสิจ๊ะ”
“มาป้วนเปี้ยนทำอะไรแถวนี้”
อับดุลอึกอักๆ “เปล่านี่จ๊ะ บังเอิญผ่านมาเฉยๆ น่ะจ้ะ”
“แล้วนี่มาจากไหน”
“ฟรั้งจ้ะนายจ๋า”
“ฝรั่งเศส”
“ฟรั้งธน แฮ่”
เจ้าที่ขึงตามอง “ไปเลย ตรงโน้นมีร้านหมูกระทะอยู่ ไปเล่นตรงโน้นไป”
“ไม่ใช่ตลกร้านหมูกระทะจ้ะ พูดจาให้เกียรติเสื้อผ้าหน้าผมฉันด้วย”
“เออ...แกจะไปไหนต่อก็ไป แต่อย่ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้”
“นายคุมอยู่แถวนี้เหรอจ๊ะ”
“ใช่ ข้าเป็นเจ้าที่อยู่ที่นี่”
เจ้าที่ทำหน้าตาขึงขังใส่อับดุล
“อยากกู้บุญไปใช้หน่อยมั้ยจ๊ะ ดอกถูกๆ นะ”
“ไม่! ไปปล่อยกู้ที่อื่น ที่นี่ไม่มีใครเดือดร้อน”
“ได้จ้ะนายจ๋า”
อับดุลค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไป พยายามมองเข้าไปในร้าน
“นางฟ้าของฉันอยู่ไหนน๊า”


อีกฟาก ชนกเดินเข้ามาในออฟฟิศด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ทักไม่ทายเหล่าพนักงานตามโต๊ะที่เดินผ่าน เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานเจอจุกกับต่อรออยู่ในห้องแล้ว ก็ไม่พอใจถามเสียงขุ่น
“เข้ามาในห้องชั้นทำไมเนี่ย”
ชนกเดินตรงไปที่โต๊ะทำงาน มองต่อกับจุกตาขวาง จุกเห็นกลุ่มควันดำจางๆ วนเวียนอยู่รอบตัวพ่อ
“จุกแวะมาหาน่ะครับ ผมก็เลยให้เข้ามารอในห้อง”
“มุมรับแขกออฟฟิศเราก็มี ทำไมไม่ให้ไปรอตรงนั้น นี่มันพื้นที่ส่วนตัวของชั้นนะ”
จุกถามสวนออกไปทันที “แกเป็นใครกันแน่”
ชนกเสียงเปลี่ยน มีเสียงวิญญาณผสมมาด้วย “อย่ามายุ่งกับกู”
ต่อหันไปมองจุกหน้าตาเหลอหลา
“ชัดเลยจุก นี่ไม่ใช่คุณชนกแน่ๆ”
ชนกตวาดลั่น “ออกไปจากห้องกู”
จุกพยักหน้าส่งซิกให้กัน “ตามแผนนะพี่ต่อ”
“โอเค”
จุกทำท่าจะเดินออกจากห้อง ชนกมองตามอย่างระแวดระวังตัว จังหวะที่เดินผ่านชนก ต่อก็เข้าไปล็อคแขนชนกจากทางด้านหลังทันที
ชนกดิ้นสุดแรง “เฮ้ย จะทำอะไรกู”
“เร็วเข้าจุก”
จุกหยิบสร้อยไหลน้ำพี้ออกมาสวมคอชนกโดยเร็ว
ชนกลงไปดิ้นทุรนทุรายที่พื้นร้องโอดโอย จุกกับต่อยืนดูอึ้งๆ ก่อนที่ชนกจะหมดสติไป
“พ่อ”
จุกเข้าไปประคองชนก พยายามเรียกสติ แต่ชนกก็ไม่ฟื้น

ในเวลาต่อมา พยาบาลปรับสายน้ำเกลือที่เตียงคนไข้ให้ชนกที่นอนหลับอยู่บนนั้น ต่อกับจุกมองชนกก่อนจะหันมาคุยกับหมอเวร ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ กัน
“คุณชนกไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงแล้วใช่มั้ยครับ” ต่อถาม
“ไม่มีแล้วครับ ให้คนไข้พักผ่อนสักครู่ เดี๋ยวน้ำเกลือหมดขวดก็กลับบ้านได้ละ” หมอบอก
“ขอบคุณครับคุณหมอ”
“มีอะไรก็กดกริ่งเรียกพยาบาลนะครับ เดี๋ยวหมอขอตัวก่อน”
“ครับหมอ ขอบคุณครับ”
ต่อกับจุกยกมือไหว้หมอ ก่อนที่หมอและพยาบาลจะเดินออกจากห้องไป
จุกกับต่อเดินเข้าไปดูที่ข้างเตียง ไม่นานนักชนกก็รู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา
“พ่อ”
ชนกยิ้มทัก “จุกเหรอลูก”
“ครับพ่อ...พ่อเป็นยังไงบ้างครับ”
ชนกมองไปรอบๆ สีหน้างุนงง “พ่อมาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย...เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“พ่อพักผ่อนก่อนเถอะครับ ไว้ผมจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชนกพยักหน้ายิ้ม ก่อนจะค่อยๆ หลับตาไปด้วยความอ่อนเพลีย
“คุณชนกน่าจะเป็นปกติแล้วล่ะ”
จุกถอนหายใจโล่งอก แต่ไม่วายกังวล “หวังว่าคงจะไม่กลับมาเป็นอีกนะพี่”
ต่อตบไหล่จุกเบาๆ พลางยิ้มให้กำลังใจ

ฝั่งนิดหน่อยกำลังเอาขนมกับกาแฟใส่ถุง เตรียมออกไปส่งให้ลูกค้าข้างนอก จนสมรเดินเข้ามาในร้าน
“ไง...ขายดีมั้ย”
“ก็เรื่อยๆ น่ะแม่”
“ลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ”
“ลูกค้าหายหน้าไปเรื่อยๆ”
“เอ้อ ทำไมเป็นงั้นล่ะ”
นิดหน่อยยิ้มแฉ่ง “อ่ะล้อเล่ง”
“เดี๊ยะ ล้อเล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง เดี๋ยวสมพรปากขึ้นมาจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า” สมรกวาดตามองหาจุก“ แล้วไอ้จุกหายไปไหนเนี่ย”
นิดหน่อยเขียนบิลเงินสดชื่อร้านดาวมินิมาร์ท
“ออกไปหาเพื่อนน่ะแม่…แม่มาก็ดีแล้ว เฝ้าร้านให้แป๊บสิ”
“จะไปไหนอีกล่ะ”
“เอาขนมกับกาแฟไปส่งให้ไอ้ดาวน่ะ”
สมรบ่นงึมงำ “มาถึงก็ใช้งานชั้นเลยนะ รีบไปรีบกลับล่ะ ไอ้กาแฟยากๆ ชั้นชงไม่เป็น”
“จ้า”
นิดหน่อยหิ้วถุงของเดินออกจากร้านไป

ดาวทอนเงินให้ลูกค้าเสร็จ ลูกค้าเดินออกร้านไป สวนกับนิดหน่อยที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนปกติ
“มาช้านะคะ วันนี้ มัวแต่คุยอยู่กับใครอยู่รึเปล่า”
“เปล่านะ ออกจากร้านก็ตรงมาที่นี่เลย”
ดาวมองนิดหน่อยงงๆ รู้สึกแปลกๆ แต่ยังไม่สงสัยอะไรมาก นิดหน่อยยื่นบิลให้ เผลอหลุดปากบ่น
“เดินหาร้านตั้งนาน”
ดาวงง “ทำไมเดินหาร้านชั้นนานล่ะ”
นิดหน่อยอึกอัก “เอ่อ...ฉันเบลอๆ น่ะจ้ะนายจ๋า”
ดาวเง็ง จ้องหน้าเพื่อน “จ้ะนายจ๋าอะไรของแก เป็นไรปะเนี่ย”
“เปล่าจ้ะนายจ๋า เอ๊ย เปล่าจ้ะ พอดีช่วงนี้ติดซีรีส์อินเดียช่อง8 มันเลยติดปากมาน่ะ”
“ขนาดนั้นเลย”
“จ้ะ ไม่มีอะไรแล้ว ฉันกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ”

นิดหน่อยออกจากร้านไป ทิ้งดาวให้มองตามด้วยสีหน้าสงสัยหนัก เพราะเพื่อนรักดูไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเลย

อ่านต่อ ตอนที่ 16


กำลังโหลดความคิดเห็น