มัจจุราชฮอลิเดย์ ตอนที่ 9 | เป็นแฟน ‘ยม’ นะครับ
บทประพันธ์ : อรุณรุ่ง | บทโทรทัศน์ : สิริวัฒน์69
บรรยากาศรอบๆ บริเวณหน้าบ้านนิดหน่อยยังดูมืดสลัว แต่ก็ใกล้เช้ามากขึ้นเรื่อยๆ ดาวเก๊ รูปจำแลงของสุวาน 7 ยืนขาแข็งรออยู่หน้าบ้านนานแล้ว
ส่วนเขต7 และสุวรรณ7 ซุ่มดูอยู่มุมใดมุมหนึ่ง ด้วยท่าทีร้อนรน เพราะใกล้จะเช้าเต็มที แต่นิดหน่อยยังไม่ยอมออกมา
“นี่มันใกล้จะเช้าแล้ว ทำไมยังไม่ออกมาอีก”
“นั่นน่ะสิท่าน เอายังไงกันต่อดีครับ”
ยินเสียงไก่ขันยามเช้าดังแว่วมา เขต7 มีสีหน้าร้อนรนยิ่งกว่าเดิม
“ข้าจะเข้าไปดูในบ้านหน่อย อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ก็ดีเหมือนกันท่าน ไก่เริ่มขันแล้ว เวลาเหลือน้อยเต็มที”
ทันทีที่เขต7และสุวรรณกำลังจะเข้าไปในอาณาเขตบ้าน ลุงเจ้าที่ปรากฏตัวขึ้นมาห้ามไว้
“ช้าก่อนท่าน มีธุระอะไรในบ้านหลังนี้อย่างนั้นรึ”
เขต7 ชะงัก “เจ้าเป็นใคร”
“ข้าเป็นเจ้าที่ประจำบ้านหลังนี้ครับ ท่านมัจจุราช”
“ในเมื่อรู้ว่าเราคือใครแล้ว ก็เปิดทางให้เราเข้าไปในบ้านหน่อย” เขต7 บอก
“ต้องขออภัยด้วยท่าน ข้าคงยอมให้พวกท่านเข้าไปในบ้านหลังนี้โดย พลการไม่ได้”
“ทำไมละ”
“ในบ้านหลังนี้ ยังไม่มีใครที่ดวงชะตาถึงฆาต ท่านเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอครับ”
“ข้ากำลังทำงานบางอย่างอยู่ เปิดทางให้ข้าเข้าไปหน่อยเถิด” เขต7 ขอดีๆ
สุวรรณ7 เสริมว่า “นายข้ากำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญอยู่ ได้โปรดอย่าขัดขวางนายข้าเลยนะท่าน”
“งานปกป้องคุ้มครองคนในบ้าน ก็เป็นงานของข้าเช่นกันนะท่าน” เจ้าที่บอกขึงขัง
สุวรรณ7 ยัวะ “นี่เจ้า!”
ลุงเจ้าที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด “พวกท่านจะหลอกล่อนิดหน่อยออกมาจากบ้านเพื่อการใด อันนี้ข้าไม่ขอยุ่งก็แล้วกัน แต่ถ้าพวกท่านจะเข้าไปในบ้านหลังนี้ ข้าคงปล่อยให้พวก ท่านเข้าไปไม่ได้ หวังว่าพวกท่านคงเข้าใจนะ”
มัจจุราชเขต7 และสุวรรณ มองเจ้าที่ด้วยความแค้นเคืองที่ไม่ยอมให้เข้าไปในเขตบ้าน
ส่วนที่บริเวณห้องโถงร้าน จิ้งจกตุ๊กแกสามัคคีชุมนุมกันอยู่เต็มไปหมด นิดหน่อยยืนตัวแข็งก้าวขาไม่ออก โดยมีจุกยืนประกบอยู่ใกล้ๆ ยินเสียงไก่ขันดังเข้ามาในบ้าน
“ใกล้จะเช้าแล้ว ผมว่าพี่รออีกนิดดีกว่า แล้วค่อยออกไป” จุกบอก
นิดหน่อยกังวลใจ “จะให้พี่ปล่อยให้เพื่อนรออยู่หน้าบ้านอย่างนั้น โดยไม่ออกไปดูเลยน่ะเหรอ”
“เค้าไม่ใช่เพื่อนพี่ เชื่อจุกสิ” จุกย้ำคำเดิม
นิดหน่อยพยายามมองออกไปนอกบ้าน ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
“เอางี้ ถ้าพี่ไม่เชื่อ ลองโทร.หาพี่ดาวดูสิ”
“จริงด้วย”
นิดหน่อยนึกได้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.หาดาว รอสายอยู่นานมากกว่าเพื่อนจะรับ
“ฮัลโหลดาว นี่แกยังอยู่หน้าบ้านชั้นรึเปล่า”
ดาวตัวจริงนอนอุตุอยู่บนเตียงที่บ้าน งัวเงียขึ้นมารับโทรศัพท์เพื่อน
“หน้าบ้านอะไรของแก ชั้นนอนอยู่บ้านเนี่ย”
นิดหน่อยตกใจมาก “เฮ้ย นี่แกนอนอยู่บ้านงั้นเหรอ”
ดาวคุยโทรศัพท์เสียงงัวเงีย “ก็เออสิ มีอะไรรึเปล่า”
นิดหน่อยอึ้งนิ่งงันไป กดตัดสายโดยไม่รู้ตัว
ดาวงงที่อยู่ๆ นิดหน่อยก็ตัดสายไปเฉ้ย
“อ้าว” ดาวปิดเครื่องหลับต่อ
ด้านนิดหน่อยยังคงอึ้งเหมือนปลาดุกถูกทุบหัวอยู่บนเขียง
“บอกแล้ว ที่มาหาพี่หน้าบ้าน ไม่ใช่พี่ดาว”
“แล้วมันเป็นใครล่ะ”
ระหว่างนี้ สมรตื่นเดินลงมาเห็นนิดหน่อยกับจุกคุยกันอยู่ที่โถงร้านก็เดินเข้ามาสมทบ
“คุยไรกันตอนนี้เนี่ย”
สมรหันไปเจอจิ้งจกตุ๊กแกยั้วเยี้ยอยู่เต็มไปหมดก็กรี๊ดแตกลั่นร้าน
"ว้าย...... นี่มันอะไรกันเนี่ย"
สมรตกใจถึงขีดสุด เป็นลมล้มพับไปจุกถลาไปรับแทบไม่ทัน
ส่วนที่บ้านของยมเวลานั้น ยม สุวรรณและสุวานนั่งหลับตาทำสมาธิพร้อมกับทำเสียงจิ้งจกตุ๊กแกกันอยู่อย่างเมามัน
สุวรรณทำเสียงจิ้งจก
“จุ๊ๆจิ๊ๆๆๆ....”
“ตั๊กแก” สุวานทำเสียงตุ๊กแก
“จุ๊ๆจิ๊ๆๆ” ยมทำเสียงจิ้งจก
“ตั๊กแก” สุวรรณหันมาทำเสียงตุ๊กแกสลับ
“ตั๊กๆๆๆๆ”
สุวรรณเคลิ้มร้อง “จุ๊แก”
ยมสะดุ้ง หันไปบ่นว่าสุวรรณ
“เฮ้ย ตัวบ้าอะไรร้องจุ๊แก”
“เออใช่ นี่แกร้องบ้าอะไรของแกเนี่ยสุวรรณ”
สุวรรณแก้ตัว “แหมท่าน ก็เล่นร้องกันมาตั้งหลายชั่วโมง มันก็ต้องมีลิ้นพันกันบ้าง”
ระหว่างนี้ จู่ๆ เขต7 ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้านเดินเข้ามามอง #ทีมเขต8 ด้วยความสงสัยในพฤติกรรมของทั้ง3 คน
“นี่พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ”
ยม สุวรรณ8 สุวาน8 หยุดทำเสียงจิ้งจกตุ๊กแกพร้อมกับหันมามองเขต7 ด้วยสีหน้าตกใจ
ด้านสมรเป็นลมหมดสติยังไม่ฟื้น นิดหน่อยกับจุกช่วยกันประคองมานั่งที่มุมโซฟา ให้ดมยาดม จนสมรค่อยๆ ลืมตา ได้สติมาบ้าง
“เหมือนแม่จะโอเคขึ้นแล้วนะ”
“ใช่พี่ โล่งอกไปที”
นิดหน่อยมองไปรอบๆ แปลกใจพอๆ กับจุก เมื่อพบว่าจิ้งจกตุ๊กแกหายหัวไปไม่เหลือสักตัว
“อ้าว พวกจิ้งจกตุ๊กแกหายไปไหนหมดแล้วนี่”
“น่าแปลกแฮะ เหมือนพวกมันหายตัวได้เลย”
“พาแม่ขึ้นไปนอนก่อนเหอะ เดี๋ยวพี่จะออกไปดูหน้าบ้านหน่อยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
จุกดึงมือนิดหน่อยไว้ “อย่าออกไปเลยพี่ ผมว่าเรามาช่วยกันพาแม่ไป นอนดีกว่า”
“แต่พี่ข้องใจนี่นา”
“แต่แม่สำคัญกว่านะ”
นิดหน่อยกับจุกช่วยกันพยุงพาสมรขึ้นไปนอนพัก
เขต7 จ้อง ยม สุวรรณ และสุวานอย่างจับผิด
“ตกลงพวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
“เอ่อ พวกเราก็แค่ แกล้งทำเสียงจิ้งจกตุ๊กแกเล่นกันเฉยๆ” ยมบอก
“ใช่ๆ พวกเราประชันกันน่ะ ว่าใครจะทำเสียงได้เหมือนที่สุด” สุวรรณ8 ว่า
“งั้นรึ แต่ข้าทราบมาว่า มัจจุราชเขต8 ได้รับสิทธิมาฮอลิเดย์แต่เพียงผู้เดียว แล้วเจ้าสุวรรณ กับสุวาน มารวมตัวซ่องสุมกันอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” เขต7หาเรื่องสุวรรณกะสุวานเขต8
“เราเรียกลูกน้องมาสั่งงานน่ะ” ยมบอก
“งานอะไร”
“งานในเขตของข้า ท่านคงไม่จำเป็นต้องรู้หรอกมั้ง เอ๊ะ หรือว่าว่าง อยากช่วยงานเราก็บอกได้นะ เดี๋ยวเรามอบหมายงานให้” ยมเหน็บแนม
“ข้าไม่ใช่ลูกน้องเจ้า”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาสอด เอ๊ย ไม่ต้องมารู้ ว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่”
“ข้าบอกพวกเจ้าไว้ตรงนี้เลยนะ...” เขต7 พูดยังไม่ทันจบ สุวาน8 สวนขึ้น
“ครับผม พวกเราจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”
“ยังพูดไม่จบ” เขต7 ยัวะ
“แอ๊ะแอ๋” สุวาน8 จ๋อย
“ถึงวันนี้แผนการของข้าจะไม่สำเร็จ แต่ข้าก็ไม่มีทางล้มเลิกภารกิจตามหาวิญญาณที่หายไปแน่ๆ”
สุวรรณ8 เหน็บแนม “แหม ท่านมัจจุราชเขต8นี่ รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเคร่งครัดจริงๆ จบงานนี้น่าจะขึ้นสองขั้นเป็นอย่างต่ำ”
สุวานผสมโรง “ตำแหน่งเหรอ”
“บันได..แฮ่” สุวรรณ8 หันมาทางเขต7 “หยอกนะท่าน หยอกๆ”
ระหว่างนี้ สุวรรณ7 กับสุวาน7 ตามเข้ามาสมทบ เขต7 หันไปถามลูกน้อง
“เป็นยังไงบ้างได้เรื่องมั้ย”
“แผนการไม่สำเร็จครับท่าน” สุวรรณ7 บอก
สุวาน7 เสริมว่า “เจรจาหว่านล้อมยังไง เจ้าที่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เข้าไปในบ้านเลยครับ”
ยมแทรกขัดขึ้น “อ้าว จะเข้าไปในบ้านใครกันเหรอ มีเจรจาหว่านล้อมเจ้าที่ แสดงว่าพยายามจะเข้าไปในบ้าน แต่เข้าไปไม่ได้”
สุวรรณ8 หันมาหายม จงใจกระทบกระเทียบเขต7 “ถ้าตามกฎแล้ว แสดงว่าบ้านหลังนั้นยังไม่มีมนุษย์ที่ดวงชะตาถึงฆาตน่ะครับท่าน”
“เอ๊ะ ทำแบบนี้มันผิดกฎรึเปล่าสุวรรณ” ยมแกล้งถาม
“ก็น่าจะผิดนะครับท่าน”
“ไม่ต้องมาทำเป็นว่ากระทบข้า เพราะถึงที่สุดแล้ว ข้าก็ไม่ได้เข้าไปในบ้านหลังนั้น…อย่าดึงข้าไปเป็นพวกที่ชอบทำตัวออกนอกกฎเช่นท่าน”
ยมกับเขต7 จ้องหน้ากัน อย่างไม่มีใครยอมกัน
“งานนี้เหมือนเป้าหมายของเราจะรู้ตัว” สุวรรณ7 ขึงมองตาจับผิดพวกทีมเขต8 “ก็อาจจะมีใครจงใจทำลายแผนการของเราก็ได้”
“ข้าบอกเลยนะว่า ยิ่งโดนขัดขวางมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ข้ายิ่งมั่นใจว่าวิญญาณ ที่หายไปดวงนั้นคือนิดหน่อย”
เขต7 จ้องมองทีมมัจจุราชเขต8 ด้วยความเคียดแค้น เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นฝีมือแก๊งนี้แน่นวล
ยมและลูกทีมตีหน้าซื่อ ทำไม่รู้เรื่อง
กลับถึงนรกภูมิ มัจจุราชเขต7 ทุบโต๊ะทำงานด้วยความไม่พอใจ
“เจ็บใจจริงๆ ข้าว่านะ มันต้องเป็นฝีมือของพวก มัจจุราชเขต8 แน่ๆ”
“พวกนั้นทำตัวแปลกๆ..คงไม่ผิดจากที่ท่านพูดแน่ๆครับ” สุวรรณเห็นด้วย
“ไม่ต้องกังวลไปนะครับท่าน ถึงครั้งนี้จะพลาดไป แต่เรายังมีโอกาสแบบนี้รออยู่” สุวาน7 ว่า
“เมื่อไหร่ล่ะ” สุวรรณถาม
“อีกหนึ่งเดือนบนโลกมนุษย์” สุวานบอก
“ก็ไม่นานเกินรอนะท่าน”
“ไม่นานก็จริง แต่ข้าคงไม่นั่งรอให้ถึงเดือนโดยไม่ทำอะไรเลยแน่ๆ” เขต7 ว่า
“ท่านจะหาวิธีอื่นอีกเหรอครับ”
มัจจุราชเขต7 ไม่ตอบ แต่สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมาดหมาย
ลูกค้าซื้อของในร้านดาวเดินออกไป สวนกับนิดหน่อยและจุกที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน ดาวหันมาเห็น
“อ้าวนิดหน่อย จุก มีเรื่องอะไรเหรอหน้าตาตื่นกันมาเชียว”
“ฉันถามจริงๆ เมื่อคืนแกไม่ได้ไปหาฉันที่บ้านหรอกเหรอ”
“นึกว่าเรื่องอะไร ฉันก็อยากจะถามแกอยู่เหมือนกัน ว่ามีเรื่องอะไรถึงโทร.หาฉันดึกดื่นขนาดนั้น”
“เช้ามืดเว้ย”
“เออนั่นแหละ ชั้นกำลังหลับเพลินๆ เลย”
“ก็แกนัดฉันไปใส่บาตรตอนตีสี่ไง จำไม่ได้เหรอ”
“จะบ้าเหรอ ช่วงตีสี่นี่ช่วงไพรม์ไทม์แห่งการนอนของฉันเลยนะ ไม่มีทางที่ฉันจะตื่นไปใส่บาตรกับแกแน่ๆ”
“พระที่ไหนบิณฑบาตตอนตีสี่” จุกว่า
“เออ” ดาวว่า
นิดหน่อยหน้าเจื่อน ชักเริ่มเครียดว่าตนกำลังเจอกับอะไรกันแน่
“แล้วแกไม่เปิดประตูออกไปดูล่ะ ว่าใครมาเรียกแกที่หน้าบ้าน”
“จะเปิดออกไปได้ยังไงละ จิ้งจกตุ๊กแกเกาะเป็นฝูง”
“ว้าย นี่จะทำฟาร์มตุ๊กแกที่บ้านเหรอ”
“ก็เห็นตุ๊กแกราคาดี ขายกันตัวเป็นล้าน…” นิดหน่อยเคลิ้มอยู่แพ้บ “บ้าเหรอ ไม่ได้จะทำเว้ย มันมาจากไหนกันก็ไม่รู้”
“น่าจะเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์บางอย่าง ที่มาช่วยพี่นิดหน่อยไว้น่ะ”
“เออ แปลกมาก” ดาวเห็นด้วย
นิดหน่อยปะติดปะต่อเรื่องราว นึกถึงเหตุการณ์ที่ดาวอัดพวกวัยรุ่นขี้ยาจนน่วม
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่แกอัดพวกวัยรุ่นขี้ยา ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องปกติน่ะสิ”
“อ้าว มางงอีกดอกละ ชั้นไปอัดพวกขี้ยาตอนไหน ทุกวันนี้ซักผ้ายังหอบแล้วหอบอีก”
นิดหน่อยตัดบท “เออ ช่างเถอะ เล่าแล้วยาวแน่”
“ผมว่าน่าจะเป็นฝีมือของชายร่างยักษ์ ที่ผมเห็นที่หน้าร้านเมื่อวันก่อนแน่ๆ” จุกมั่นใจมาก
“โอย ฉันงงไปหมดแล้ว นี่ตกลงว่าฉันกำลังเจอเรื่องอะไรอยู่เนี่ย”
“เออ นี่ชั้นก็เจอเรื่องอะไรอยู่เนี่ย” ดาวงงหนัก
นิดหน่อยครุ่นคิดสีหน้าเคร่งเครียด ดาวอยากรู้แอบสะกิดจุก
“เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”
“รอแพ้บครับพี่ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”
ที่บ้านวิเวก อาวรณ์กับวิวัฒน์กำลังนั่งคุยธุรกิจกันอยู่ที่โถงรับแขก
อาวรณ์หยิบซองเช็คขึ้นมาดูจำนวนเงิน มีวิวัฒน์นั่งยิ้มย่องพอใจอยู่
“เป็นยังไงบ้างครับพี่”
“อืม เรียบร้อยดีจ้ะ เดี๋ยวบ่ายๆ พี่ให้คนไปขึ้นเงิน”
“ครับพี่”
“แล้วเงินอีกครึ่งนึงนี่ลูกค้าทางจีนจะเคลียร์เมื่อไรจ๊ะ”
“เดี๋ยวลูกค้าจะมาถึงคืนนี้ครับ ก็น่าจะมีการส่งมอบกุมารทองให้ในวันพรุ่งนี้ พอส่งมอบเสร็จ ถึงจะชำระเงินอีกครึ่งให้”
“โอเค ก็ตามนั้น ยังไงพี่ฝากเป็นธุระให้หน่อยนะ”
“ไม่มีปัญหาครับพี่”
วิเวกเดินเข้ามา อาวรณ์รีบหยิบเอาซองเช็คเมื่อกี้ไปซ่อนไว้ใต้โต๊ะทันที
“คุยอะไรกันอยู่เหรอท่าทางจริงจังเชียว”
“เอ่อ...ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แวะมาทักทายพี่สาว ถามสารทุกข์สุกดิบกันเฉยๆ” วิวัฒน์บอก
“ที่คอมมูนิตี้มอลล์ของเราเป็นยังไงบ้างคะคุณ”
“ก็เร่งโปรโมทพื้นที่ขายของให้คนมาเช่าอยู่น่ะ ยังเหลือล็อกว่างอีกหลายล็อกเหมือนกัน”
“พักผ่อนบ้างนะครับพี่ น้องเป็นห่วง” วิวัฒน์บอกพี่ชาย
“ขอบใจมากน้องชาย”
“เอ้อ เดี๋ยวค่ำนี้ ชั้นต้องไปงานของคุณหญิงการเวก ภริยาท่านรัฐมนตรี ประจักษ์ คุณจะไปด้วยกันมั้ย”
“ผมมีประชุมกับลูกน้องน่ะ คุณไปคนเดียวนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวชั้นฉายเดี่ยวเอง”
“งานนี้ท่าจะใหญ่นะครับ พี่อาวรณ์ถึงกับยอมฉายเดี่ยวแบบนี้”
“ใหญ่สิ โผโยกย้าย ใครจะรุ่งใครจะร่วงก็อยู่ที่งานนี้นี่แหละ ไม่ต้องห่วงนะคะ ชั้นเตรียมเงินไปประมูลของของคุณหญิงการเวกเต็มหน้าตักเลย”
“นี่คุณ เรื่องทำบุญเนี่ยผมไม่ได้ขัดศรัทธาอะไรหรอกนะ แต่ถ้าจะทำบุญ เพื่อหวังให้ตำแหน่งของผมเติบโตเนี่ย ผมไม่เห็นด้วย”
“อ้าวคุณนี่ ไม่อยากจะเติบโตกับเค้าหรือไง”
“ที่ผมมีทุกวันนี้ได้ ก็เพราะผลงาน ไม่ใช่การวิ่งเต้นเอาหน้าเอาตำแหน่ง”
อาวรณ์เสียงแข็ง “ชั้นตั้งใจจะไปทำบุญอยู่แล้วย่ะ แต่ถ้าเกิดว่าทางนั้นจะเมตตา ปูนบำเหน็จ หน้าที่การงานให้กับคุณ มันก็เป็นเพราะผลบุญที่ทำไปนั่นแหละ”
“เฮ้อ... ก็แล้วแต่คุณละกัน แต่จะทำอะไรก็อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนักล่ะ”
อาวรณ์มองวิเวกตาขวาง วิเวกเบือนหน้าหนี อารมณ์กลัวเมีย และคร้านจะทะเลาะ
ยมนั่งจ้องนิดหน่อยที่กำลังเทโฟมนมใส่แก้วกาแฟลาเต้อาร์ต จนเทนมเสร็จยมก็ยังมองอยู่
“นี่คุณ เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย จ้องชั้นอยู่ได้”
“ไม่มีอะไร เธอไม่เป็นอะไรเราก็สบายใจ”
นิดหน่อยงง “อ้าว แล้วฉันควรจะต้องเป็นอะไรเหรอ”
ยมอึกอัก “ก็ไม่มีอะไร พอดีช่วงนี้อากาศมันเปลี่ยน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวก็กลัวว่าจะป่วย”
“ถ้าฉันป่วย ก็คงไม่มายืนชงกาแฟให้คุณกินหรอก”
นิดหน่อยเสิร์ฟกาแฟให้ยม
ยมกำลังจะดื่มกาแฟ แต่เผลอทำช้อนตก เขาก้มลงไปเก็บช้อน
ต่อเดินเข้ามาในร้าน ทักนิดหน่อยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หวัดดีนิดหน่อย”
“อ้าวต่อ หวัดดี”
“หวัดดี” ต่อยิ้มชื่น
ยมก้มเก็บช้อนอยู่เงยหน้าขึ้นมา ต่อเห็นจากที่ยิ้มก็หน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย
นิดหน่อยหยิบช้อนใหม่ยื่นให้ยม
“ทำหล่นอีก ชั้นคิดค่าล้างนะ”
ยมรับช้อนมาจากนิดหน่อย หันไปทักทายต่อ “สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ” ต่อยิ้มทักหน้าเจื่อนๆ
จุกเดินออกมาจากหลังร้าน
“หวัดดีพี่ต่อ มานั่งคิดงานเหรอ”
“อื้มม์...นั่งคิดงานก่อนเข้าออฟฟิศหน่อยน่ะ”
ต่อแอบส่งซิกให้จุกช่วยแยกยมออกจากนิดหน่อย จุกรับลูกเข้าไปหายม
“พี่ยม ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่นิดนึงน่ะ”
“ว่ามาสิ”
“ไม่ใช่ตรงนี้ครับ”
จุกดึงยมออกไปหน้าร้าน
นิดหน่อยหันมาหาต่อ “กินไรดี”
“คาปูเย็นหวานน้อย”
“โอเค”
ต่อนั่งมองนิดหน่อยทำกาแฟให้ด้วยสีหน้ามีความสุข
จุกดึงยมออกมานั่งคุยหน้าร้าน ยมสงสัยว่าจุกมีเรื่องอะไร
“มีอะไรจะคุยกับพี่งั้นเหรอ”
“เรื่องอะไรดีล่ะ”
ยมมองจุกงงๆ
“อ๋อ...เรื่องเมื่อคืนน่ะครับ ที่พี่เตือนให้ผมขัดขวางไม่ให้พี่นิดหน่อยออกจากบ้านจนกว่าจะเช้าน่ะ”
ยมพยักหน้ารับ
“ถามจริงๆ นะ เรื่องจิ้งจกกับตุ๊กแกในบ้านของผม เป็นฝีมือพี่ใช่มั้ย”
ยมปฏิเสธทันควัน “เฮ้ย จิ้งจกตุ๊กแกอะไร พี่ไม่รู้เรื่อง”
“จิ้งจกตุ๊กแกมาเยอะขนาดนั้น ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติแน่ๆ พี่บอกผมมาเถอะ ฝีมือพี่ใช่มั้ย”
“เพราะอะไรถึงคิดว่าเป็นฝีมือพี่ล่ะ”
จุกนิ่งไปครู่หนึ่ง หวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เช่นเหตุการณ์อาวรณ์ถูกผีเข้า พอเจอยมก็หวาดกลัว หรือตอนนิดหน่อยโดนผีเข้า ยมก็มาช่วยไว้
“ผมว่าพี่แปลกๆ อ่ะ หลายๆเหตุการณ์มันทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เป็นคนมีคาถา อาคม ถามจริงๆ นะ ตกลงพี่เป็นใครกันแน่”
“พี่ก็เป็นมนุษย์ปกติทั่วไปเหมือนนายนั่นแหละ”
“ตอนนี้ผมไม่ปกติแล้วนี่สิ ผมกลายเป็นคนเห็นผี” จุกนิ่งไปชั่วครู่ “ซึ่งก็เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าตอนนี้ผมคุยอยู่กับคนหรือว่า…”
“เฮ้ย...พี่เป็นคนนี่แหละ เพียงแต่ว่าพอจะมีวิชาอาคมติดตัวบ้างก็เท่านั้น”
“หน้าบล็อคเกาหลีอย่างพี่เนี่ยนะ ดูยังไงพี่ก็ไม่น่าใช่คนเล่นของว่ะ”
“เออน่า เอาเป็นว่าหลังจากนี้ ถ้าเกิดอะไรแปลกๆ ขึ้นมาอีก ก็รีบบอกพี่แล้วกัน พี่จะมาช่วย”
จุกพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ยังเคลือบแคลงสงสัยในตัวยมไม่คลาย
อีกฝั่ง อาจารย์ขาวนั่งจิบชาอยู่ในสำนัก โดยมีโรเบิร์ตคอยบีบนวดอยู่ข้างๆ
สมรเล่าเรื่องผีจิ้งจกตุ๊กแกให้ฟัง
“มันน่ากลัวมากๆ เลยนะคะอาจารย์ เนี่ยพูดถึงแล้วยังขนลุกอยู่เลย”
“การที่จิ้งจกตุ๊กแกจะรวมตัวกันมากมายขนาดนี้ มันไม่น่าใช่เรื่อง ปกติแล้วล่ะ” อาจารย์ว่า
โรเบิร์ตเห็นด้วย “ใช่ครับ ถ้าบ้านอยู่ในป่าในเขา ผมจะไม่แปลกใจเลย...แต่นี่บ้านอยู่ในเมืองชัดๆ”
อาจารย์ขาวพึมพำ “จะต้องเป็นฝีมือของคนที่มีอาคมแก่กล้า”
“ถ้าจะให้เดาเนี่ย ในใจผมตอนนี้มีอยู่คนเดียวเลยครับอาจารย์” โรเบิร์ตวางมาด
“ใครวะ”
อาจารย์ขาวกับสมรมองไปที่โรเบิร์ตด้วยอาการลุ้น
“แฮรี่ พอตเตอร์ ครับ” โรเบิร์ตบอกอย่างภาคภูมิ
“เออใช่ หยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาแล้วพูดว่า อะโลโฮโมร่า ตลกนักนะมึง”
อาจารย์ขาวถีบโรเบิร์ตกลิ้งกระดอนไปติดมุมห้อง
“ทำเป็นเล่นตลอดเลยนะไอ้โรเบิร์ต”
“ก็ผมไม่อยากให้อาจารย์เครียดนี่นา”
“กูจะเครียดเพราะมุกของมึงนี่แหละ” อาจารย์หันมาหาสมร “แล้วตกลงที่มาในวันนี้ แม่สมรอยากให้ฉันช่วยเรื่องอะไรรึ”
“อยากจะรบกวนให้อาจารย์ช่วยตีให้หน่อยน่ะค่ะ”
“ตีจิ้งจก”
“ไม่ใช่ค่ะ”
“ตีตุ๊กแก”
“ไม่ใช่ค่ะ”
“อ้าว แล้วจะให้ข้าตีอะไร”
“ตีเลขค่ะ แฮะๆ” สมรยิ้มเรี่ยราด
“โวะ นึกว่าเรื่องอะไร ให้ใบ้หวยให้นี่เอง ไอ้โรเบิร์ตช่วยแม่สมรหน่อยซิ”
“หมายความว่ายังไงคะอาจารย์ ให้โรเบิร์ตช่วย”
“ก็งานเล็กแบบนี้ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก ให้ลูกน้องข้าทำก็ได้”
โรเบิร์ตยกขันน้ำมนต์มาตั้ง ท่าทีเตรียมพร้อมที่จะใบ้หวย
“มาๆแม่สมรเดี๋ยวเบิร์ตจัดการให้ ว่าแต่เขาใช้เทียนกี่เล่มนะ”
“เฮ้อ...จะรอดมั้ยวะเนี่ย”
อาจารย์ขาวมีสีหน้าครุ่นคิด พึมพำกับตัวเองเรื่องจิ้งจกตุ๊กแกอย่างคาใจ
รถยมติดแหง็กอยู่ตรงสี่แยก
ยมเป็นคนขับ ส่วนสุวานนั่งฟุบหลับอยู่ข้างๆ มีเสียงแตรรถดังขึ้นมา สุวานตกใจตื่น
“โธ่ ไอ้บ้าเอ้ย ตกใจหมด ถ้ารีบนักทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อวานวะ”
“ถ้าจะด่าให้ได้ยิน ทำไมเจ้าไม่เปิดกระจกรถละสุวาน”
“ไม่ดีกว่าท่าน มนุษย์สมัยนี้ใจร้อน เอะอะควักปืนยิงกันดื้อๆ”
“จะกลัวทำไม เจ้าไม่ใช่คน”
“ผมกลัวลูกหลงไปโดนคนอื่นน่ะครับ”
ยมมองสุวานยิ้มๆ
“แล้วเรื่องบัญชีนายสนที่มีปัญหาอยู่ ท่านคิดจะทำยังไงต่อไปครับ”
“ก็กำลังจะเริ่มสืบจาก นี่อารยาล่ะ”
รถคันหน้ายมตบไฟเลี้ยวไปอีกทาง ยมเห็นว่ามีเด็กนั่งเล่นอยู่บนฝากระโปรงท้ายรถหรูคันถัดไป
“เจ้าเห็นเหมือนกับที่เราเห็นมั้ย”
สุวานมองตามไปที่รถด้านข้าง
“ครับ รถเยอะมาก นี่มันนรกบนโลกมนุษย์ชัดๆ”
“ทางนี้”
สุวานหันกลับมาพอเห็นวิญญาณเด็กก็สะดุ้ง
“อุ๊ย เด็กที่ไหนไปนั่งอยู่บนนั้นล่ะครับ”
รถหรูคันนั้นเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งไป ยมเร่งเครื่องขับตามไปทันทีอย่างไม่ให้คลาดสายตา
ยมขับรถตามมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีสุวานนั่งลุ้นอยู่ข้างๆ เห็นรถยนต์คันหน้าเลี้ยวซ้ายเข้าจอดหน้าอพาร์ตเมนต์ของวิเวก
“มันเลี้ยวแล้วครับท่าน ซ้ายๆๆ”
รถของยมจอดเข้าข้างทาง อยู่ในระยะที่ค่อนข้างห่าง
“อ้าวท่าน ทำไมไม่ขับจี้มันเลยละ ไหนๆ ก็ตามมาขนาดนี้แล้ว”
“จะขับจี้ให้พวกมันรู้ตัวว่าถูกสะกดรอยตามรึไง”
ยมมองไปที่หน้าอพาร์ตเม้นต์เห็นลูกค้าชาวจีนลงจากรถ โดยมีวิวัฒน์เดินเข้ามาจับมือทักทาย
“นั่นมันนายวิวัฒน์นี่…มาทำอะไรกันที่นี่นะ”
วิวัฒน์เชื้อชวนพาลูกค้าชาวจีนเดินเข้าไปด้านใน โดยมีกุมารทองเดินตามหลังไปติดๆ
ยมหลับตาทำสมาธิ ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคักดังขึ้นมา จาก1ค่อยๆ เพิ่มเป็นสอง จากสองค่อยๆเพิ่มเป็นสี่ และเพิ่มทวีคูณมากขึ้นจนได้ยินเสียงเด็กจำนวนมาก
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กันมากมายขนาดนี้”
“มีอะไรเหรอท่าน”
“วิญญาณเด็ก จำนวนไม่ใช่น้อยๆ เลย”
“ในตึกนั้นน่ะเหรอครับ”
“ใช่ น่าจะเป็นกุมารทองน่ะ”
“แล้วเอาไงดีครับ”
ยมครุ่นคิดสีหน้าเคร่งเครียด
ในร้านอาหาร ภายในคอมมูนิตี้มอลล์ของวิเวกค่ำนั้น
มีผู้คนเดินไปมา และลูกค้านั่งทานอาหารกันอยู่หลายโต๊ะ
หนึ่งในนั้นเป็นชนกที่นั่งอยู่คนเดียว แต่ไม่นานนักก็มีนักศึกษาสาวหน้าตาสวยเรียบร้อย เดินยกอาหารมาวางบนโต๊ะ
“อาหารได้แล้วค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ มาทานกันเลยดีกว่าท่าทางจะหิวแย่” ชนกพูดพร้อมกับลูบหัวไปด้วย
ทั้งสองคนทานข้าวไปด้วยคุยกันไปด้วยอย่างมักคุ้น
“ชีวิตในรั้วมหาลัยเป็นยังไงบ้าง ต่างจากตอนเรียนมัธยมเยอะมั้ย”
“ช่วงนี้เนื้อหาการเรียนยังไม่หนักเท่าไหร่ค่ะ ส่วนใหญ่จะหนักไปทางกิจกรรมมากกว่า”
“ยังไงก็อย่าทำกิจกรรมมากจนเสียการเรียนละ”
นักศึกษาสาวค่ะ
ชนกกับนักศึกษานั่งทานข้าวด้วยกัน ในบรรยากาศชื่นมื่น
ในความอลังการของคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ของวิเวก นิดหน่อยกับจุกเดินดูร้านรวงต่างๆ ด้วยความสนใจ
“อลังการงานสร้างแบบนี้ ถ้าร้านของเรามาตั้งที่นี่ คงจะคูลไม่เบาเลย เนอะ” จุกว่า
“ห้างใหญ่แบบนี้ จ่ายค่าเช่าไหวเหรอ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่สนใจมาเปิดร้านที่นี่”
“แม่น่ะ ไปฟังนังคุณอาวรณ์ซะเยอะ”
“ถ้ามีนัง ก็ไม่ต้องมีคุณก็ได้ม๊าง นังอาวรณ์ไปเล๊ย แหมะ” จุกนึกโมโห
“พี่ไม่ถูกชะตาด้วย ชอบชวนแม่เข้าบ่อนอยู่เรื่อย”
“พี่ก็ไปบอกแม่เอาเองละกัน แต่จุกว่ายังไงแม่ก็จะหาทางมาเปิดร้านที่นี่แน่”
“โอ๊ย ร้านเก่าแต่งไปก็ตั้งเยอะ ยังไม่ถอนทุนคืนเลย จะขยายร้านอีกแล้ว...แม่นี่”
“เออ ก็จริงของพี่เนอะ เฮ้อ...ทำไมเราถึงไม่รวยเหมือนคนอื่นเขาบ้างเนอะ จะได้มีโอกาสทำอะไรคล่องตัวบ้าง”
“คนที่แย่กว่าเราก็มีเยอะ ทุกวันนี้อยู่กันได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาพ่อก็ดีแค่ไหนแล้ว”
นิดหน่อยกับจุกเดินผ่านบูทที่เป็นชุดแต่งงาน นิดหน่อยหยุดมองดูชุดตาเป็นประกาย
“ชอบเหรอ”
นิดหน่อยเคลิ้ม “ชอบสิ เย้ย เปล่าซะหน่อย!”
“แหมะ...เห็นมองตาเป็นประกายเชียว” จุกแซว
“ตาเป็นประกายบ้าอะไรล่ะ ก็รู้อยู่ ว่าชีวิตนี้พี่จะไม่มีวันแต่งงานเด็ดขาด”
“หราา...”
นิดหน่อยลากจุกเดินออกไป
นิดหน่อยลากจุกมาเจอชนกกับนักศึกษาสาว ที่เดินมาด้วยกันพอดี
“จุก...นิดหน่อย...” ชนกดีใจ
จุกไหว้พ่อ “หวัดดีครับพ่อ”
นิดหน่อยค้อนจุก ไม่เห็นด้วยที่จุกยกมือไหว้ชนก
“มาทำอะไรกันที่นี่เหรอลูก”
นิดหน่อยนิ่งไม่ยอมตอบ จุกเลยเป็นคนตอบแทน
“แม่ให้มาดูทำเลเปิดร้านใหม่ที่นี่น่ะครับ”
“อ้อเหรอ...มีอะไรให้พ่อช่วยก็บอกนะ”
“เก็บเงินพ่อไว้เลี้ยงคุณยุพาให้ดีเถอะค่ะ เค้าจะได้ไม่มายุ่งวุ่นวาย คิดว่าพวกเราขอเงินพ่อใช้อีก” นิดหน่อยเหน็บ
ชนกฉุน “นี่เค้ายังตามไปวุ่นวายอยู่อีกเหรอ”
“ถ้าพ่อรู้จักพอซะที แล้วเก็บเงินที่เอามาปรนเปรอเด็ก เอาไปเลี้ยงคุณยุพาเค้าให้อิ่ม เค้าก็จะไม่มายุ่งวุ่นวายกับหนูแล้วก็แม่อีกน่ะค่ะ”
ชนกหันไปมองนักศึกษา ที่ตอนนี้หน้าเจื่อนสนิท
“ใจเย็นๆ เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่ลูกคิดเลยนะ”
“กลับบ้าน”
นิดหน่อยจูงจุกเดินออกไป ชนกมองตามลูกทั้งสองคนด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
บริเวณหน้าอพาร์ตเม้นต์คืนนี้วังเวงผิดปกติ ยมกับสุวานเดินตามหาห้องที่มีพลังงานวิญญาณเด็กจำนวนมาก ยมหยุดกึกที่หน้าห้องห้องหนึ่งในอพาร์ตเม้นต์ สุวานหยุดตาม
“น่าจะห้องนี้แหละ”
สุวานจ้องมองที่ประตูห้อง “ใช่ครับท่าน พลังงานหนาแน่นมากๆ”
“น่าเป็นจะกุมารทองของอาจารย์ขาว”
“เอายังไงต่อดีครับ”
ยมยิ้มเจ้าเล่ห์แทนคำตอบ เหมือนมีแผนแล้ว
สองพี่น้องกลับถึงบ้าน นั่งดูทีวีกันอยู่ จนสมรเข้ามานั่งคุยด้วย
“เป็นไงบ้าง ไปดูทำเลมา ถูกใจใช่มั้ย”
“หนูว่าเอาไว้ก่อนดีกว่าแม่”
“เอาไว้ก่อน ทำไมล่ะ”
“แม่คะ ทุกวันนี้ร้านที่เราเช่าคุณอาวรณ์อยู่ ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากอยู่แล้วนะ...ไหนจะที่ตกแต่งไปตั้งเยอะ ยังแทบไม่คืนทุนมาเลยเนี่ย”
“แต่ที่ใหม่นี่คุณอาวรณ์เค้าคิดราคาพิเศษให้เลยนะ”
จุกแดกดันว่า “แพงพิเศษ”
“ใช่ ราคาพรีเมี่ยม แพงกว่าชาวบ้านเค้า...จะบ้าเหรอ มันก็ต้องถูกกว่าสิ”
“อย่าเพิ่งเลยแม่ ให้ร้านแรกมันอยู่ตัวกว่านี้หน่อย แล้วค่อยขยายสาขาไปก็ได้”
สมรโมโห “โอ๊ย..ถึงตอนนั้นค่าเช่ามันขยับขึ้นไปอีกเท่าไหร่ล่ะค๊า เผลอๆ ไม่มีที่ว่างแล้วด้วย”
“แม่จะรีบไปไหนเนี่ย”
“อ้าว โอกาสมาก็ต้องรีบคว้าไว้สิ แกมัวแต่กลัวโน้นกลัวนี่แล้วเมื่อไหร่จะโตซะที”
“ถ้างั้นหนูขอคิดดูก่อนแล้วกันนะแม่”
“โวะ จะคิดกี่ตลบก็เรื่องของแก ชั้นหาวิธีของชั้นเองก็ได้”
สมรเดินออกจากบ้านไปอย่างหงุดหงิด นิดหน่อยถอนหายใจเครียดจัด
อีกฟากหนึ่ง ที่บ้านชนก
ยุพากำลังนั่งดูโบว์ชัวร์รถอยู่ที่โต๊ะรับแขก มีโบว์ชัวร์รถยนต์ๆหลายๆใบกองอยู่)
“รุ่นก็สวยดีนะ เครื่อง 1.8 ด้วยแรงใช้ได้ คันนี้ชุดแต่งสวย น่าสนๆ”
ระหว่างนี้ชนกเดินเข้ามา ยุพารีบวิ่งเข้าไปอี๋อ๋อพร้อมกับชวนมาดูโบว์ชัวร์รถด้วยกัน
“ที่รัก ที่รักว่ารุ่นไหนเหมาะกับเค้าอะ นี่รุ่นนี้สวยมั้ยเครื่องแรงด้วยนะ แต่รุ่นนี้ชุดแต่งสวยดี เค้าเลือกไม่ถูกเลย”
“เลือกไม่ถูกก็ไม่ต้องเลือกสิ”
ยุพายิ้มย่อง “เอ๊ะ อย่าบอกว่าจะซื้อทั้งหมดนี่”
“ไม่ซื้อ รถคันเก่าก็ยังไม่ตกรุ่นเลย จะซื้อใหม่เพื่อ”
“ทำไมอ่ะ ทีเมื่อก่อนรถยังผ่อนไม่ทันหมด คุณก็เปลี่ยนรุ่นใหม่ให้ชั้นแล้ว นี่มาตรฐานคุณต่ำลงไปกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะ ชนก”
ชนกรำคาญ “นี่ยุพา ฟังผมนะ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี อะไรที่มันยังใช้ได้ก็ใช้ไปก่อน”
“ใช่ซี้ ยุพามันเก่าไปแล้วใช่มั้ยล่ะ ใช่มั้ยๆๆๆ” ยุพาพาล เข้าไปผลักชนกตีอกพัลวัน
ชนกรำคาญจับมือยุพาไว้ “นี่ หยุดนะยุพา คุณจะให้ผมเป็นเหมือนเดิม คือไอ้พวกบ้าเปย์ ใช้เงินบ้าคลั่งอย่างนั้นน่ะเหรอ ทำแบบนั้นแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น ไหนคุณว่ามาซิ”
ยุพาอึกอัก “ก็มันแสดงว่าคุณยังรักชั้นอยู่อ่ะ”
“ความรักมันแสดงออกด้วยการใช้เงินจริงๆ เหรอ แล้วถ้ารักมาก เปย์มาก จนวันนึงไม่เหลือทรัพย์สมบัติอะไรติดตัว เรายังจะรักกันอยู่รึเปล่า”
ยุพาอึ้งไป ก่อนจะเฉไฉต่อไปได้
“คุณต้องมีกิ๊กใหม่ เหมือนที่นังสมรบอกไว้แน่ๆ คุณแอบซุกกิ๊กใหม่ไว้ใช่มั้ย แอบเอาเงินไปให้มันหมดแล้วใช่มั้ย”
ยุพาบันดาลโทสะฟาดมือไม้ใส่หนักขึ้นจนชนกทนไม่ไหวจับมือห้ามการกระทำของยุพาไว้อีกครั้ง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะยุพา ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ ผมไม่คุยกับคุณแล้ว”
ชนกพูดจบเท่านั้นก็เดินหนีเข้าห้องไปทันที ยุพาโวยวายไล่หลังแต่ชนกไม่หันกลับมามอง
ที่คอมมูนิตี้มอลล์เวลานั้น เจ๊จอยกับเจ๊วี กำลังถือโบร์ชัวร์เลือกจับจองพื้นที่กันอยู่ โดยมีอาวรณ์ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ ส่วนสมรยืนมองด้วยความอยากมีอยากได้อยู่เช่นกัน
“เดี๋ยวฉันขอจองตรงนี้หนึ่งล็อคนะจ๊ะ จะเอาไว้ทำร้านเครื่อง สำอางซะหน่อย” เจ๊จอยจ๊ะจ๋า
“ได้เลยเจ๊จอย ตรงนี้ทำเลดีมาก ใกล้ลานจอดรถ ติดกับบันไดเลื่อนด้วย ลูกค้าเดินเข้ามาปุ๊บเจอปั๊บเลย” อาวรณ์อวยส่ง
เจ๊วีเอ่ยขึ้นว่า “ถ้างั้นชั้นขอจองล็อคข้างๆ นี้แล้วกัน อยากจะเปิดขายกระเป๋าแบรนด์เนมตรงนี้หน่อย”
“ได้เลยเจ๊วี ตรงนี้ทำเลดีมาก ใกล้ลานจอดรถ ติดกับบันไดเลื่อนด้วย ลูกค้าเดินเข้ามาปุ๊บเจอปั๊บเลย”
สองเจ๊ดีใจกระดี๊กระด๊า ที่ต่างก็ได้ทำเลดีกันทั้งคู่
อาวรณ์หันมาหาสมร “แล้วเธอละสมร ไม่สนใจจะเช่าซักล็อคนึงเหรอ”
“เอ่อ…คือ ฉันว่าฉันจะกลับไปปรึกษาลูกสาวก่อนน่ะค่ะ”
“โอ๊ย จะต้องปรึกษาทำไม นี่เธอเป็นแม่เค้านะ เธอต้องมี อำนาจการตัดสินใจมากกว่าสิ” เจ๊วีว่า
เจ๊จอยผสมโรง “ใช่ๆ นี่พวกฉันก็ได้กันไปกันคนละล็อคแล้วนะ มาเปิดข้างๆ กันสิ จะได้รวยไปด้วยกัน”
“พูดอีกก็ถูกอีก เธอต้องดูอย่างเจ๊ๆ เค้านี่ เพราะเค้ารู้จักมองการณ์ไกล ถึงได้ร่ำรวยอย่างทุกวันนี้ไง” อาวรณ์เชียร์ส่ง
“โอ๊ย ก็ไม่ได้รวยอะไรมากหรอกค่ะ เงินอยู่ในแบงค์มันไม่ค่อยงอกเงย สู้เอามาลงทุน ให้เงินมันต่อเงินจะดีกว่า” เจ๊จอยถล่มตัว
“แหม..คิดเหมือนกันเลยนะเธอ” เจ๊วียิ้มร่า
“แล้วอีกอย่างนึงนะสมร ถ้าเธอตัดสินใจมาเปิดร้านที่นี่ เธอก็จะดูดี ดูมีระดับขึ้นมาอีกเป็นกอง แล้วถ้านังยุพามันรู้นะเธอเอ๊ยยมันจะต้องอิจฉาตาร้อนเธอแน่นอน”
คำพูดนั้นของอาวรณ์ทำให้สมรตาลุกวาว
“ว่าไง โอกาสที่จะตอกนังยุพาให้หน้าหงายมาถึงแล้วนะ จะทิ้งให้หลุดลอยไปอย่างนั้นเหรอ”
สมรตัดสินใจทันที “ตกลงค่ะ หมอนจะเปิดร้านอีกร้านที่นี่แหละ”
“ต้องอย่างนั้นสิจ๊ะสมร เริดที่สุด”
อาวรณ์และสองเจ๊ยิ้มแย้มแจ่มใส สมรยิ้มย่องวาดฝันว่าอนาคตจะต้องสดใสแน่นอน
รถยุพาแล่นมาจอดที่หน้าสำนักอาจารย์ขาว ก่อนที่ยุพากับก้อยจะลงจากรถ
“ที่นี่น่ะเหรอ”
“ใช่ อาจารย์ขาวท่านดังมาก รับรองไม่เสียเที่ยว”
ก้อยกับยุพาเดินเข้าไปในสำนัก
อาจารย์ขาวกำลังงีบอยู่ตรงโถงพิธีกรรม ขณะก้อยพายุพาเข้ามานั่งพับเพียบอย่างเงียบๆ เพราะคิดว่าอาจารย์ขาวกำลังนั่งสมาธิ
ก้อยกระซิบบอก “นี่แหละอาจารย์ขาว”
“เหรอ”
ยุพาก้มกราบอาจารย์ขาวด้วยความศรัทธา สองคนกระซิบกันไปมา
“แล้วทำไงต่อล่ะ”
“รอแป๊บ ท่านน่าจะกำลังนั่งกรรมฐานอยู่”
ก้อยกับยุพานั่งรออย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปอีกหน่อย ยุพาหันไปคุยกับก้อยเพราะรู้สึกนานไปแล้ว
“นานไปมั้ย”
“นานแบบนี้ สงสัยถอดจิตไปที่ไหนสักที่แหละ” ก้อยว่า
“ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”
เวลาผ่านไปอีกระยะ ยุพากับก้อยนั่งเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง จากที่มีความอดทนทั้งสองคนก็เริ่มหมดความอดทน
ระหว่างนี้ โรเบิร์ตเดินเข้ามาพร้อมกับถุงโอเลี้ยง
“มาทำอะไรกันเหรอครับ”
“มาหาอาจารย์น่ะค่ะ พอดีเห็นกำลังนั่งสมาธิอยู่เลยไม่อยากกวน” ก้อยบอก
“อ๋อ อาจารย์หลับน่ะครับ เรียกได้เลย” โรเบิร์ตสะกิดอาจารย์ขาว “จารย์”
อาจารย์ขาวสะดุ้งตื่น หาวปากกว้าง
“เอ้อ...ได้งีบหน่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลย”
“โอเลี้ยงครับจารย์”
ยุพาเซ็ง “ปาดโธ๊ะ แล้วก็ปล่อยให้นั่งรอตั้งนาน”
อาจารย์ขาวดูดโอเลี้ยงจ๊วบบบ มองยุพาแล้วทักขึ้น “ผัวเริ่มหมางเมินล่ะสิท่า”
ยุพาสะดุ้ง “เฮ้ย รู้ได้ไง”
“ก็บอกแล้วว่าอาจารย์เจ๋งจริง” ก้อยว่า
“ใช่ค่ะอาจารย์ ที่มาวันนี้ก็อยากจะให้อาจารย์ช่วยให้สามีหนูเค้ากลับมาดูแลสนใจหนู เหมือนตอนที่คบกันใหม่ๆ น่ะค่ะ”
“ไม่มีปัญหา อาจารย์ขาวซะอย่าง”
“อีกเรื่องนึง หนูอยากรู้ว่าช่วงนี้สามีของหนูเค้าแอบมีกิ๊กซ่อนไว้ หรือเปล่าน่ะค่ะ”
“ได้สิ อาจารย์ขอบ้านเลขที่หน่อย”
โรเบิร์ตหยิบไอแพดยื่นให้อาจารย์ขาว
“นี่ครับอาจารย์”
ยุพาบอกเลขบ้าน “719/69 ค่ะ”
อาจารย์ขาวทำท่าคำนวณเลขในไอแพด “719/69 มี 9 หน้า 9หลังเป็น มงคล แต่ผลรวมเลขเป็นอริ มีการทะเลาะเบาะ แว้งกันบ่อยครั้ง”
ยุพาทึ่งสุดๆ “โอ้โห อย่างกับพี่ริว จิตสัมผัส”
โรเบิร์ตแซว “คล้ายๆ กันครับ แต่นี่เป็น รั่ว หวิดสัมผัส”
“สัมผัสอะไรคะ”
อาจารย์ขาวเคลิ้มทำท่าจะไปแตะเนื้อต้องตัวยุพา “ก็สัมผัส...” จนพอได้สติก็หันไปด่าโรเบิร์ต “ไอ้นี่ ชงมุกให้ข้าเสื่อมเสียซะงั๊น”
“หยอกน่ะจารย์ หยอกๆ”
“นี่อาจารย์ขาว ไม่ใช่ตลกหมูกระทะ หยอกบ่อยเดี๋ยวก็เสกตะปู เข้าท้องซะเลย”
“งั้นช่วยเสกค้อนแถมมาด้วยได้มั้ยครับ ผมกำลังจะต่อเติมบ้านพอดี”
โรเบิร์ตพูดจบอาจารย์ขาวถีบกระเด็นไปติดมุมห้อง
“ออกไป ข้าต้องการสมาธิ”
โรเบิร์ตเดินเอวครากออกไป อาจารย์ขาวดูดโอเลี้ยงก้มดูไอแพดต่อ
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ”
“เป็นอย่างที่คิด เป็นอะไรหรือคะ อย่าบอกนะว่าสามีหนู เค้า ซุกกิ๊กไว้จริงๆ”
“ซักพักใหญ่แล้วล่ะ สามีของเธอกำลังอุปถัมภ์ค้ำชูเด็กผู้หญิง คนหนึ่งอยู่”
ยุพาปรี๊ด “นั่นไง กะไอ้แล้วไม่มีผิด ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ ช่วยทำพิธีให้สามีของหนูเค้ากลับมารักมาหลงหนูเหมือนเดิมได้มั้ยคะ”
“ได้สิ เดี๋ยวอาจารย์จะจดของที่จะต้องใช้ทำพิธีให้ พอเตรียมของ ครบแล้วเธอค่อยกลับมาหาที่นี่”
“ได้ค่ะอาจารย์”
อาจารย์ขาวจดรายการของต่างๆ ยุพานั่งมองด้วยอาการร้อนใจ หลังจากรู้ว่าชนกซุกกิ๊กไว้
ขณะเดียวกันสมรเดินผ่านมาบริเวณหน้าสำนักอาจารย์ขาว เห็นยุพากับก้อยกำลังเดินลงมาจากสำนักพอดี เลยแอบซุ่มดูสถานการณ์
“นั่นมันนังยุพานี่ ทำไมถึงมาที่สำนักอาจารย์ขาวได้”
โรเบิร์ตเดินออกมาส่งยุพาข้างนอก
“อย่าลืมเตรียมของมาให้ครบนะครับ”
“ค่ะ จะรีบเตรียมของมาทำพิธีให้เร็วที่สุดเลยค่ะ”
“นี่ล่ะนะ โบราณเค้าถึงว่าไว้ เสียทองเท่าหัว...”
สมรต่อให้ทันที “ก็ไม่ยอมเสียผัวให้เมียน้อยที่ไหน”
สมรปรากฎตัวขึ้น ยุพาตกใจ
“นังสมร!”
อาจารย์ขาวเดินออกมาจากสำนักอีกคน สะพายย่ามใส่ของติดตัวมาด้วย
“มีเรื่องอะไรกันวะ”
“น่าจะศึกเมียหลวงเมียน้อยน่ะครับจารย์”
“ไงล่ะคะ ผัวไปมีเมียน้อย เอ๊ะ จริงๆเธอมันก็เมียน้อยอยู่แล้วนี่ ไอ้ชนกมันไปมีเมียอีกคน จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ เมียน๊อยยยยน้อยยยย รึเปล่า” สมรใส่เสียงอย่างน่าตบ
“โห...เมียน้อยขนาดนั้น ต้องส่องกล้องจุลทรรศน์มองหน้ากันรึเปล่า” อาจารย์ยิงมุกใส่
“แกมาทำอะไรแถวนี้” ยุพาถามเสียงขุ่น
“บ้านชั้นอยู่แถวนี้ บังเอิญผ่านมาก็คงไม่แปลกล่ะม๊าง ไม่เหมือนเธอ มาที่นี่ก็คงไม่แคล้วเรื่องทำเสนียด เอ๊ย ทำเสน่ห์สินะ”
“ชั้นไม่ได้มาทำเสน่ห์ ยังไงคุณชนกก็หลงชั้นหัวปักหัวปำอยู่แล้วย่ะ”
“เหี่ยวแบบนี้น่ะเหรอ ไอ้ชนกมันยังหลงหัวปักหัวปำอยู่” สมรทำท่าเซ็กซี่เย้ย “งั้นเหี่ยวๆอย่างชั้นก็มีโอกาสรีเทิร์นน่ะสิ”
“อ๊ายยย แก่ว่าชั้นเหี่ยวเหรอ อีเหี่ยวกว่า”
ยุพากรี๊ดแล้ววิ่งเข้าไปตบตีกับสมรโดยมีก้อยไปผสมโรงด้วย โรเบิร์ตกับอาจารย์ขาวพยายามแยกกันวุ่นวาย
ระหว่างนี้วิวัฒน์ขับรถเข้ามาจอดด้วยความเร็ว จนยุพากับตกใจหยุดตีกัน วิวัฒน์วิ่งลงมาจากรถ
“มีอะไรรึ รีบมาซะขนาดนี้” อาจารย์แปลกใจ
“โทษทีครับอาจารย์ พอดีมีเรื่องด่วนจะรบกวนอาจารย์น่ะครับ”
“เรื่องด่วนอะไร”
“ยังไงรบกวนอาจารย์ขึ้นรถก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง”
อาจารย์ขาวขึ้นรถวิวัฒน์ก่อนจะขับออกไป
ยุพากับสมรมาตบตีกันต่อโดยมีโรเบิร์ตกับก้อยคอยห้าม บรรยากาศวุ่นวายขายปลาช่อนสุดๆ
ภายในออฟฟิศที่อพาร์ตเม้นต์ของวิวัฒน์ เห็นกุมารทองวางเรียงรายเต็มไปหมด วิวัฒน์ กับอาจารย์ขาวเข้ามาด้วยกัน
“เป็นไปได้ยังไง อาจารย์ปลุกเสกกับมือทุกตัว”
“อาจารย์ลองดูนี่ครับ”
วิวัฒน์เอาเครื่องมือตรวจจับพลังงานของลูกค้าจีนมาทดสอบกุมาร ไม่มีสัญญาณใดๆ ดังขึ้น
“ไม่ดังเลยครับอาจารย์”
“เครื่องนี้ของใคร”
“ของลูกค้าครับ”
“มันของเซิ่นเจิ้นน่ะสิ” อาจารย์หยิบเครื่องวัดออกจากย่าม “นี่ ของเยอรมันโว้ย”
อาจารย์ขาวเปิดเครื่องวัดพลังงานที่ตัวกุมารทอง ทุกตัวเงียบกริบเหมือนกัน
“อ้าวเฮ้ย”
“เกิดอะไรขึ้นครับอาจารย์”
“สงสัยเครื่องมันกำลังบูทอยู่ เดี๋ยวลองอีกที”
อาจารย์ขาวเอาเครื่องมือมาเคาะๆ ก่อนจะจิ้มไปที่กุมารทองตัวใหม่ แต่ก็ยังไม่มีเสียงหรือไฟดังขึ้นาเช่นเคย
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้”
วิวัฒน์หน้าเสีย ขณะที่ลูกค้าชาวจีนโวยวายเสียงดัง
“ถ้าเป็นแบบนี้ ผมคงต้องขอคืนสินค้า แล้วก็เงินมัดจำก้อนแรกนะครับ”
“ใจเย็นครับ ปัญหาแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยังไงขอเราตรวจสอบและแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบกันอีกครั้งนะครับ”
“ใช่ มันต้องมีใครอยากลองดีกับอาจารย์แน่ๆ เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน สินค้าพร้อมส่งเมื่อไหร่ เราจะติดต่อกลับไป”
ลูกค้าจีนมองหน้าเชิงปรึกษากัน วิวัฒน์ได้แต่ยิ้มอย่างรู้สึกผิดเพื่อเยียวยาสถานการณ์
ยมขับรถเข้ามาจอดที่หน้าตึกบริษัทเวดดิ้งแพลนเนอร์ที่อารยาทำงานอยู่ ที่เคยสะกดรอยตามมาเจอครั้งก่อน ยมลงรถเดินเข้าไปในบริษัท พนักงานหญิงเดินเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ มาติดต่อเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ..คือ…”
ยมหันไปเห็นอารยาเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานที่มุมหนึ่งพอดี
“อ๋อ เราจะมาคุยธุระกับผู้หญิงคนนั้นน่ะครับ”
“อ๋อ มีธุระกับยาเหรอคะ” พนักงานตะโกนเรียกอารยา “ยาๆ มีลูกค้ามาหาน่ะ
อารยาเดินเข้ามาหายม พนักงานเดินออกไป
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“เชิญนั่งด้านนี้ก่อนก็ได้ค่ะ”
พร้อมกับว่าอารยาเดินนำยมมานั่งที่โซฟารับรองลูกค้า
“เราดีลงานอะไรกันไว้รึเปล่าคะ ทำไมไม่คุ้นหน้าคุณเลย”
“เอ่อ...คือว่าเรา” ยมอึกอักมองไปรอบๆ เพื่อหาหัวข้อสนทนา “ที่นี่รับจัดงานแต่งงานเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ คุณกำลังจะแต่งงานอย่างนั้นเหรอคะ”
“เอ่อ..ใช่ เรากำลังจะแต่งงาน”
อารยาแปลกใจ “ทำไมเมื่อกี๊เพื่อนชั้นพูดเหมือนว่าคุณมีธุระโดยตรงที่จะพูดกับชั้น”
ยมนิ่งคิด แถไป “คือเราต้องการคุยกับมืออาชีพน่ะ แล้วหน้าตาท่าทางคุณดูเป็นแบบที่เราต้องการ”
“ว้าว จะถือเป็นคำชมนะคะ...แล้วคุณ...”
“ยมครับ”
“ค่ะ...แล้วคุณยมมีรายละเอียดของงานแต่งมาบ้างหรือเปล่าคะ”
“รายละเอียดของงาน ต้องมีด้วยเหรอ”
“ก็ต้องมีสิคะ เช่นงานจะจัดที่ไหน แขกกี่คน รูปแบบงานที่อยากได้คร่าวๆ น่ะค่ะ”
ยมอ้ำอึ้ง ใบ้กินไปชั่วขณะ
“แล้วเจ้าสาวล่ะคะ ไม่มาด้วยกันเหรอ”
“เจ้าสาว” ยมงงอยู่นั่น
“ใช่ค่ะ คือส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาปรึกษาเราจะมากันเป็นคู่น่ะค่ะ จะได้ ช่วยกันแชร์ความคิดเห็น เพราะว่างานสำคัญของชีวิตแบบนี้ ให้ใคร ตัดสินใจคนเดียวเนี่ย ดิฉันกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาภายหลังน่ะค่ะ”
“เอ่อ...คือ เจ้าสาวของเราให้เรามาลองคุยดูก่อนน่ะ แล้วค่อยกลับไป ปรึกษากันที่บ้านอีกที”
“อ๋อเหรอคะ ถ้างั้นดิฉันขอสอบถามข้อมูลเบื้องต้นคร่าวๆ ก่อนนะคะ เอาเป็นว่าลูกค้าสนใจรูปแบบงานแบบไหนคะ”
“รูปแบบ ยังไงเหรอ”
“ถ้างั้นเลือกเป็นธีมสีที่ลูกค้าชอบมาก็ได้ค่ะ”
“เอ่อ ขอเป็นโทนสีดำดีกว่า เราชอบสีดำ” ยอมตอบตามความเคยชิน
อารยาตกใจ “อะไรนะคะ สีดำ”
“ทำไมเหรอ”
“ก็ดิฉันไม่ค่อยเห็นใครจัดงานแต่งงานธีมสีดำซะที”
“ก็เราชอบสีนี้”
“อ่อได้ค่ะ แล้วรูปแบบงานนี่ อยากจัดในโรงแรม หรือในสวน หรือชายทะเลดีคะ”
“แบบไหนก็ได้มั้ง”
อารยาชักเริ่มรู้สึกแปลกๆ
“เอิ่ม ชั้นว่ารอแฟนคุณว่างๆ แล้วมาคุยกันอีกทีดีมั้ยคะ จะได้เห็นภาพรวมของงานชัดเจนกว่านี้”
ยมยิ้มหน้าเจื่อน รู้ตัวว่าพลาดท่าที่ไม่เตรียมข้อมูลมาให้ดีพอ
กลับถึงบ้าน ยมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาประจำพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ... นี่เราจะทำยังไงต่อไปละเนี่ย”
“ผมก็ให้คำปรึกษาท่านไม่ได้จริงๆ เพราะผมก็ไม่เคยแต่งงานมาก่อนเหมือนกัน” สุวรรณว่า
“อ้าว แล้วแฟนเจ้าที่เคยคบหาสมัยที่ยังเป็นมนุษย์นั่นละ ไม่ได้แต่งกันเหรอ” สุวานถาม
“คนไหน”
“ก็ที่ตัวดำๆ อวบๆ ก้นใหญ่ๆ เหมือนกะละมังข้าวหมาไง”
“อ๋อ อันนั้นไม่ได้แต่ง แค่กิ๊กๆ กันเฉยๆ”
“แหม...น่าจับไปปีนต้นงิ้วซะอีกรอบ”
สุวรรณตบหัวสุวาน “ไปคุยเรื่องท่านยมเถอะ มายุ่งอะไรกะชีวิตส่วนตัวของข้า”
ยมคิดไม่ตก “จะตีสนิทอารยา เพื่อเข้าไปสืบเรื่องนายสนยังไงละเนี่ย”
“ไม่ยากครับ ในเมื่อปัญหาของท่านตอนนี้คือไม่มีเจ้าสาว ท่านก็แค่หาใครสักคน มาเป็นแฟนหลอกๆ เพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้ซะ” สุวานออกไอเดีย
“เฉียบ...ผมเห็นด้วยครับสุวานนะครับ แล้วงานนี้ผมก็เห็นคนนึงละ ที่น่าจะเหมาะที่สุด” สุวรรณว่า
“ใครรึ”
สุวานตอบให้ว่า “ก็แม่รุจิภานสวยสะบึมนั่นไงครับ ท่าทางคงจะให้ความร่วมมือกับเรา ไม่ยาก เพราะเธอก็ดูมีใจให้กับเจ้านายอยู่ไม่น้อย”
“รุจิภาเหรอ”
ยมมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
นิดหน่อยจ้องมองอ่านสัญญาซื้อขายอยู่ในมือ ก่อนจะวางลงด้วยความโมโห
“มีอะไรไม่โอเคเหรอ” สมรถาม
“แม่คะ หนูบอกแม่แล้วไง ว่าเงินบ้านเรายังไม่พร้อม แล้วแม่รีบไปเซ็นสัญญาเช่าที่กับคุณอาวรณ์เค้าทำไม”
“เออน่ะ ขาดเหลือตรงไหน เดี๋ยวแม่ช่วย”
“พอเลยแม่ เดี๋ยวก็ไปเข้าบ่อน ช่วยกลายให้เป็นหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นมาอีก” นิดหน่อยหงุดหงิด
“แล้วเอาไงดีล่ะ เรายกเลิกสัญญาก่อนได้มั้ย” จุกว่า
สมรไม่ยอม “ไม่ได้ นี่ชั้นไม่ได้เล่นขายของกันแบบเด็กๆ นะ ทำธุรกิจแล้วกลับกรอกไปมาแบบนี้ ชั้นก็เสียคนเสียเครดิตกันพอดีสิ”
จุกติงเอาว่า “ก็แม่ไม่ยอมมาปรึกษากันก่อนล่ะ”
“ชั้นเป็นแม่แกนะ แล้วก็เป็นหัวหน้าครอบครัวมาตัวคนเดียว ถ้าชั้นไม่เจ๋งจริง ชั้นไม่เลี้ยงแกสองคนรอดมาจนป่านนี้หรอก”
จุกเงียบไป เพราะก็จริงอย่างที่สมรว่า
“ไม่รู้ละ หนูว่ายังไงเราก็ยังไม่พร้อม หนูจะไปเจรจากับคุณอาวรณ์เอง”
นิดหน่อยลุกยืนขึ้นแล้วรีบเดินออกไปทันที สมรโวยวายเรียกให้กลับมาก็ไม่เป็นผล
ที่ออฟฟิศในอพาร์ตเม้นต์ วิเวกนั่งอ่านดูสัญญาเช่าบ้านของนิดหน่อยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะวาง คุยกับนิดหน่อย
“หนูต้องรบกวนคุณวิเวกจริงๆ นะคะ พวกหนูยังไม่พร้อมจริงๆ ค่ะ”
“โอเค ฉันเข้าใจ…เอาเป็นว่าสัญญานี้ก็ระงับไปก่อนแล้วกันนะ”
นิดหน่อยไหว้ “ขอบคุณนะคะคุณวิเวก”
วิเวกรับไหว้ด้วยสีหน้าเปี่ยมเมตตา “ไม่เป็นไร ยังไงเราก็คนกันเอง ค่าเช่าร้านปัจจุบันก็ส่งตรงเวลาไม่มีขาด ลูกค้าดีๆ แบบนี้ ต้องดูแลกันหน่อยสิ”
อาวรณ์เดินเข้ามาพอดี นิดหน่อยไหว้ทัก
“มาจ่ายเงินมัดจำก้อนแรกเหรอจ๊ะนิดหน่อย”
“อ๋อ นิดหน่อยเค้ามาขอยกเลิกสัญญาชั่วคราวน่ะ” วิเวกตอบแทน
อาวรณ์เสียงขุ่นเขียว “เฮ้ย จะมายกเลิกสัญญาอะไรกันตอนนี้ ฉันไม่ยอมหรอกนะ”
“คุณอาวรณ์คะ นิดหน่อยยังไม่พร้อมจริงๆ ค่ะ”
“โอ๊ย พูดง่ายเนอะ นี่เธอรู้มั้ย ว่าฉันปฏิเสธคนที่สนใจเช่าที่ไปตั้งกี่คน ถ้ายกเลิกสัญญานี่ ชั้นเสียหายหนักเลยนะ”
“เราก็ยื่นสัญญาณพื้นที่ตรงนี้ให้คนที่สนใจรายอื่นก็ได้นี่คุณ” วิเวกว่า
“นี่ไม่ใช่การเล่นขายของนะคะคุณ” อาวรณ์เสียงแข็งใส่สามีแล้วหันมาบอกนิดหน่อย “แต่เอาเถอะ เห็นว่ารู้จักกันมานาน ชั้นจะยอมให้สักครั้ง...”
นิดหน่อยดีใจ “ขอบคุณนะคะคุณอาวรณ์”
อาวรณ์บอกต่ออีกว่า “จ่ายค่าปรับมาห้าหมื่น”
นิดหน่อยตาโต “ห้าหมื่น”
“ใช่ เป็นค่าเสียหาย เพราะชั้นต้องปฏิเสธคนที่สนใจมาเช่าที่ตั้งหลายราย แล้วไม่รู้ว่าที่ปฏิเสธไป จะยังสนใจมาเช่าที่อยู่รึเปล่า”
“มันไม่เกินไปหน่อยเหรอคุณ” วิเวกท้วง
“นี่ชั้นไม่ได้โกงนะ ในสัญญาก็เขียนไว้ชัดเจน” อาวรณ์ปรามสามีแล้วหันมาหานิดหน่อยอีก “ถ้าไม่เชื่อก็กลับไปอ่านดูได้นะ”
นิดหน่อยอึ้งนิ่งงันไป
ในนรกภูมิเขต7 มัจจุราชเขต7 กำลังเปิดตำราเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่มีประวัติตายแล้วฟื้น
สุวรรณกับสุวานเดินเข้ามาสมทบ พร้อมกับตำราอีกหลายเล่ม
“วางไว้เลย”
“มีอะไรน่าสนใจบ้างมั้ยครับ” สุวรรณถาม
“ก็พอมีอยู่บ้าง”
เขต7 ปิดหนังสือ ถือโอกาสพักสายตาไปในตัว
“หนังสือเล่มนี้บอกว่า สถิติคนที่ตายแล้ววิญญาณกลับเข้าร่างอีกครั้ง มักจะถูกผีเข้าง่ายกว่าคนปกติทั่วไป”
“ถ้านิดหน่อยถูกผีเข้าง่าย ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นคนที่วิญญาณกลับเข้าร่างอีกครั้ง” สุวานคิดตาม
“ใช่ เจ้าสองคนตามเรื่องนี้ต่อด้วย ข้าอยากรู้ว่าเรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน”
“ได้ครับ ผมจะเช็คประวัติคนตายแล้วฟื้นในเขตของเรา แล้วจะเช็คว่าถูกผีเข้าง่ายอย่างในหนังสือว่าจริงมั้ย” สุวรรณรับอาสา
“ส่วนเจ้า สุวาน”
“ครับ”
“คอยจับตาดูนิดหน่อยไว้ ถ้าเกิดเหตุผีเข้าเมื่อไหร่ ก็มารายงานให้ข้าทราบทันที”
“ครับท่าน”
เขต7 ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมั่นใจว่าจะจบปิดจ็อบเรื่องนี้ได้
อาจารย์ขาวนั่งครุ่นคิดสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่โถงสำนัก
“เป็นฝีมือใครกันแน่วะ”
วิวัฒน์นั่งครุ่นคิดอยู่ด้วยกันอีกคน
“ผมไปดูภาพในกล้องวงจรปิดมาแล้ว ไม่พบเห็นใครน่าสงสัยผ่านไปผ่านมาแถวๆ นั้นเลย”
“วิญญาณเด็กหายสาบสูญไปมากมายขนาดนั้น ไชยา มิตรชัย สุดๆ”
วิวัฒน์งงเด้ “คืออะไรครับ”
“ไม่ธรรมดา” อาจารย์ขาวยิงมุก
วิวัฒน์ลอบถอนหายใจเซ็งเบาๆ หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ อาจารย์ยังมีแก่ใจเล่นมุก
“เป็นไปได้มั้ยครับว่า เราจะโดนพวกที่มีวิชาอาคมกลั่นแกล้ง”
“ก็คงสันนิษฐานเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วละ”
“แล้วอาจารย์คิดว่าเป็นฝีมือของใครครับ”
“มันจะมีใครน่าสงสัยอีกละ นอกจากไอ้ยมเพียงคนเดียว”
“นี่อาจารย์คิดว่าเป็นฝีมือของไอ้ยมจริงๆ เหรอครับ” วิวัฒน์ไม่เชื่อนัก
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าว่ามันคงถึงเวลาแล้วละ ที่จะต้องจัดการอะไร ให้มันเด็ดขาดซะที”
อาจารย์ขาวพูดด้วยสีหน้าเข้มขรึมจริงจัง
ยมผลักประตูเดินเข้าร้านขนม ส่วนในร้านนิดหน่อยกำลังหมุนไล่ไอน้ำที่เครื่องทำกาแฟออก เตรียมปิดเครื่อง สีหน้าท่าทีดูออกว่าหงุดหงิดมากเอาการ
“แม่นะแม่..เสียเงินห้าหมื่นไปฟรีๆ เลย”
ยมเดินเข้ามาหาที่เคาน์เตอร์
“ปิดร้านแล้วเหรอ”
นิดหน่อยบอกด้วยน้ำเสียงห้วนๆ กะลังหงุดหงิด “ปิดแล้ว”
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“เสียค่าโง่มานิดหน่อย จริงๆ ก็ไม่นิดล่ะ”
นิดหน่อยเก็บของอย่างมีอารมณ์ ขณะที่ยมพยายามนึกหาคำมาพูดชวนนิดหน่อยทำงานให้
“เงินตั้งห้าหมื่น ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง” นิดหน่อยบ่นงึมงำ
“อ่อ...ที่ว่าค่าโง่นี่คือเสียเงินมาเหรอ”
“สรุปมีธุระอะไรกับชั้นมั้ยเนี่ย ชั้นจะเก็บร้าน”
ยมยิ้มกริ่ม “ก็มีงานพิเศษจะให้ทำน่ะ”
นิดหน่อยขยับมาฟัง เอามือท้าวคางรออย่างตื่นเต้น
“งานอะไรอ้ะ”
“มาเป็นแฟนกัน” ยมโพล่งขึ้น
นิดหน่อยชะงัก เกือบหน้าทิ่ม
“จ้างชั้นเป็นแฟน”
“ใช่ ต้องการค่าจ้างเท่าไหร่ ว่ามาได้เลยนะ”
นิดหน่อยโกรธ “นี่นายคิดว่าเอาเงินมาฟาดหัวคนอย่างฉัน แล้วฉันจะยอมเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เราแค่จ้างให้เป็นแฟนหลอกๆ เพื่อภารกิจบางอย่างน่ะ”
“ภารกิจอะไรของคุณ” นิดหน่อยแปลกใจ
“คือ...เราต้องการจะตีสนิทกับคนคนนึง เพื่อสืบข้อมูลบางอย่าง”
“แล้วทำไมต้องเป็นแฟนด้วย”
“ก็เค้าทำงานบริษัทรับจ้างจัดงานแต่งงาน เราก็เลยต้องมีแฟนเพื่อเข้าไปคุยเรื่องงานแต่งงานกับเค้า”
“แล้วทำไมจะต้องเป็นฉัน”
“ไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครล่ะ”
“ก็คุณรุจิภาไง เธอน่าจะอยากให้ความร่วมมือ มากกว่าฉันนะ เพราะดูท่าอยากจะงาบคุณอยู่นี่”
“ก็เพราะแบบนี้ไง เราเลยไม่กล้า…เรากลัวว่าเค้าจะเอาจริงขึ้นมาน่ะ”
นิดหน่อยขำ “ผู้ชายบ้าอะไร กลัวผู้หญิง เค้ามีแต่จะวิ่งใส่ แล้วไม่กลัวชั้นเอาคุณจริงๆ บ้างเหรอ”
“เรารู้ดี ว่ากำแพงความรักของเธอแข็งแกร่งมาก เธอไม่คิดเกินเลยกับเราแน่ๆ”
นิดหน่อยคิดหนัก ท่าทีลังเล
“นะ ช่วยเราหน่อย”
นิดหน่อยครุ่นคิดหนัก ขณะที่ยมก็ลุ้นรอคำตอบด้วยใจจดจ่อ
อ่านต่อตอนที่10