xs
xsm
sm
md
lg

ดงผู้ดี ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์ : สั่งสุดท้าย! “ขม” ทำหน้าที่แทน “อารุ้ง” นะ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดงผู้ดี ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์ : สั่งสุดท้าย! “ขม” ทำหน้าที่แทน “อารุ้ง” นะ

บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ

หมอและพยาบาลเดินก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินในโรงพยาบาล

นางพยาบาลอ่านบันทึกรายงานอาการผู้บาดเจ็บให้นายแพทย์ทราบ
“คนเจ็บประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ถูกพบตัวหมดสติอยู่ในที่นั่งคนขับ ถูกอัดติดกับพวงมาลัย”
“มีบาดแผลที่ไหนบ้าง”
“มีแผลแตกที่ศีรษะ และที่ต้นขาขวามีลักษณะผิดรูป คาดว่าจะมีกระดูกหัก”
“ความดัน”
“90/60 ชีพจร120”

หมอเดินเลี้ยวเข้ามาในห้องฉุกเฉินพร้อมเตรียมอุปกรณ์การเย็บแผล
มีบอร์ดรองร่างผู้บาดเจ็บสำหรับการเคลื่อนย้ายและมีอุปกรณ์การดามที่ขาขวามาตั้งแต่จุดเกิดเหตุ
“เตรียมเจาะเลือดส่งแล็ปเลย เดี๋ยวผมเย็บแผลที่ศีรษะเสร็จแล้ว ส่งทำเอ็กซ์เรย์ด้วยนะ ถ้าความเข้มข้นเลือดต่ำกว่า30%ก็เตรียมให้เลือดได้เลย...จองเลือดไว้หกยูนิตด้วย เผื่อต้องผ่าตัดด่วน”
หมอเริ่มลงมือเย็บแผล
“คนไข้ชื่ออะไร เรารู้มั้ย”
“มีบัตรในกระเป๋า บอกชื่อรุ้งกาญจน์ค่ะ”
“คุณรุ้งกาญจน์ หมอจะเย็บแผลให้นะ”
รุ้งกาญจน์ยังนอนหลับตา ไม่ได้สติ

กลางโถงบ้าน ชาติสยามนอนหลับที่โซฟากลางห้อง สายฝนที่มองเห็นผ่านทางช่องหน้าต่างนั้นซาลงแล้ว
เสียงโทรศัพท์กลางบ้านดัง
ชาติสยามค่อยๆลุกขึ้นไปยกโทรศัพท์พูดด้วยเสียง งัวเงีย
“ฮัลโหล...รุ้งเหรอ...อ๋อ ขอโทษครับ ผมนึกว่าคู่หมั้นผมโทรมา”
เสียงเจ้าหน้าที่บอก“ดิฉันโทรมาจากโรงพยาบาลค่ะ เราพบหมายเลขโทรศัพท์ของคุณในกระเป๋าของผู้บาดเจ็บ”
“ผู้บาดเจ็บ ใครบาดเจ็บครับ”

เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลยืนพูดโทรศัพท์ที่หน้าเคาน์เตอร์
“คุณรุ้งกาญจน์ค่ะ เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ”
“รุ้ง !”

ห้องฉุกเฉิน หมู่พยาบาลกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อเคลื่อนย้ายรุ้งกาญจน์ไปยังห้องผ่าตัด เสียงหมอดังเข้ามา
“คนไข้มีอาการหลอดเลือดหัวใจฉีกขาดขนาดใหญ่ ต้องรีบนำเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเย็บซ่อมด่วน”

ต่อมา ชาติสยามเดินเข้ามาในโรงพยาบาลเสียงหมอยังคงดังต่อเนื่อง
“จากนั้น ค่อยรอดูผลหลังผ่าตัดว่าเป็นยังไง เพราะตำแหน่งที่เข้าไปทำค่อนข้างยาก”

ห้องทำงานแพทย์ กลางดึก ชาติสยามเอ่ยปากพูดกับแพทย์ที่กำลังเตรียมตัวไปห้องผ่าตัด
“โอกาสมีมากแค่ไหนครับ”

“หมอพยายามช่วยเต็มที่ครับ อย่าเพิ่งพูดเรื่องโอกาสเลย”


นางพยาบาลเข็นเตียงรุ้งกาญจน์ออกมาเพื่อไปยังห้องผ่าตัด ชาติสยามวิ่งตรงเข้าไปเกาะขอบเตียง

รุ้งกาญจน์ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง
“สยามคะ...รุ้งขอโทษค่ะ รุ้งไปไม่ถึงบ้านคุณ”
“ยังไม่ต้องพูดอะไรนะรุ้ง...เข้มแข็งไว้นะ”
“รุ้งคงอยู่ช่วยสยามไม่ได้แล้วหละ”
“ได้สิ รุ้งต้องไม่เป็นอะไร”
“รุ้งรู้ตัวดีค่ะ....รุ้งขออะไรคุณอย่างนึงได้มั้ย”
“ได้ทุกอย่างที่รุ้งต้องการ”
“พาขมมาหารุ้งหน่อย”
พยาบาลเข็นเตียงคนไข้มาจนถึงห้องผ่าตัด
“ญาติต้องรอข้างนอกนะคะ”
“รุ้ง อดทนนะ ผมจะรออยู่ตรงนี้จนกว่ารุ้งจะออกมา คุณต้องอยู่กับผมนะ รุ้ง”
“พาขมมาหารุ้งนะคะ สยาม นะ”
พยาบาลเข็นเตียงเข้าไปในห้องผ่าตัด
ชาติสยามยืนมองจนพยาบาลปิดประตู
เขาทรุดตัวลง ด้วยความร้าวรานใจ

เช้ามืด โขมพัสตร์เปิดประตูห้องนอนนมผ่อน ยืนหน้าตาเครียดอยู่หน้าห้อง
“ป้านมผ่อน”
“ขม ทำใจดีๆ ฟังป้านะ”
“ใครเป็นอะไรคะ”
“คุณรุ้งกาญจน์ประสบอุบัติเหตุ รถคว่ำ”
“ห๊า”
“เธอต้องการพบขมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่มีโอกาส”

ชาติสยามนั่งนิ่งอยู่กลางโถงโรงพยาบาล หน้าตาดูเศร้าและอ่อนล้า
โขมพัสตร์รีบเดินตรงไปหาชาติสยามทันที
“อา”
“ขม”
“อารุ้งเป็นยังไงบ้าง”
“อยู่ในห้องไอซียู ออกจากห้องผ่าตัดมาก็หลับๆตื่นๆ ยังไม่รู้ตัวดี ตอนนี้ป้าซ่อนกลิ่นเฝ้าอยู่ อาก็เลยมานั่งรอขม”
“อาอยู่ที่นี่ทั้งคืนเหรอ”
“อือม...อาขอโทษนะที่โทรไปรบกวนแต่เช้ามืด”
“ไม่ได้รบกวนอะไรเลย เรื่องแบบนี้อาต้องบอกขม ไม่บอกไม่ได้”
“เป็นความผิดของอาเอง...ถ้าเราไม่ทะเลาะกัน รุ้งก็คงไม่ออกจากบ้าน และก็ไม่ต้องขับรถ และก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้”
ชาติสยามก้มหน้าลง
น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอีกครั้ง
โขมพัสตร์เอื้อมมือโอบไหล่ปลอบชาติสยาม
“อาอย่าคิดมากเลยค่ะ...ไม่มีใครคาดเดาอนาคตได้หรอกค่ะ”
พยาบาลเดินเข้ามาหา

“คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ...เธออยากพบคุณชาติสยามกับคุณขม” พยาบาลบอก


ในห้อง ICU รุ้งกาญจน์นอนสะลึมสะลือ โดยมีซ่อนกลิ่นยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ

ชาติสยามและโขมพัสตร์เดินเข้ามา รุ้งกาญจน์ลืมตาขึ้น
“ขม”
“อารุ้ง”
“ป้าออกไปคุยกับหมอข้างนอกก่อนนะ”
ซ่อนกลิ่นเดินซึมออกไป
“ดีใจจังที่อาได้เห็นขม ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่”
“รุ้ง อย่าพูดอะไรแบบนี้สิ” ชาติสยามว่า
“รุ้งเป็นคนพูดความจริง สยามก็รู้”
“ความจริงก็คือ รุ้งยังอยู่กับผม รุ้งยังเข้มแข็งอยู่ และทุกคนที่นี่ทั้งป้า ทั้งผม และ
ขม พวกเราให้กำลังใจรุ้งอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นรุ้งต้องเข้มแข็ง แล้วเราจะผ่านมันไปได้”
“รุ้งไม่ได้อ่อนแอเลยนะคะ เพียงแต่รุ้งรู้ตัวดีว่า อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า อะไรจะเกิดขึ้น”
“รุ้ง”
“รุ้งขอคุยกับขมเป็นการส่วนตัวหน่อยได้มั้ยคะ”
“สิบนาทีนะ ผมให้แค่สิบนาที แล้วผมจะกลับมาอยู่กับรุ้ง”
“ค่ะ”
ชาติสยามเดินออกไปจากห้อง
“เข้ามาใกล้ๆอาสิขม”
ขมขยับเข้าไปใกล้รุ้งกาญจน์
“ยิ่งโตยิ่งสวยนะ”
“สวยไม่เท่าอารุ้งหรอกค่ะ”
“เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้ขมกำลังจะสวยกว่า เพราะอากำลังจะไป”
“อารุ้ง”
“คนที่สวยที่สุดคนเดียวก็คือขม คนเดียวในสายตาของชาติสยาม”
ขมยืนนิ่ง พูดอะไรไม่ออก
“หายโกรธเขารึยัง”
“ขมไม่เคยโกรธอา มีแต่อาที่บางทีก็มาหงุดหงิดใส่ขม”
“เพราะเขารักขมน่ะสิ”
โขมพัสตร์นิ่ง อึ้งไปอีก
“ชาติสยามเขารักขมมากนะ รู้มั้ย”
“อาสยามก็รักอารุ้งมากเหมือนกัน”
“ใช่ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีอา ขมก็จะเป็นคนเดียวที่สยามต้องการมากที่สุด”
รุ้งกาญจน์ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจให้กับโขมพัสตร์
ขมพูดอะไรไม่ออก
“อาขออะไรอย่างนึงนะ รับปากกับอา ก่อนอาจะตายได้มั้ย”
“อะไรคะ”
“อย่าทิ้งชาติสยามนะ อาเป็นห่วงเขามาก ดูแลเขาแทนอาด้วยได้มั้ย”
น้ำตาของโขมพัสตร์ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ขมทำแทนอารุ้งไม่ได้หรอกค่ะ”
“อารู้ว่าสยามและขมมีความผูกพันลึกซึ้ง มากเกินกว่าอาหลานธรรมดา”
“ไม่ค่ะ อารุ้งเข้าใจผิด”
“ไม่ผิดหรอก ขมอาจจะยังไม่รู้ตัว แต่อาดูออก ความรักมักเกิดขึ้นได้หลายสถานการณ์ แม้เราจะไม่ตั้งใจ...อารู้ว่าขมไม่ได้คิดทำร้ายจิตใจอา แต่ความรักก็คือความรัก มันไม่เคยเลือกจังหวะและเวลาหรอก”
น้ำตาของโขมพัสตร์ไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
“รับปากอาได้มั้ย”
โขมพัสตร์ปิดปากนิ่ง

“อารักชาติสยามมาก และขมเป็นคนเดียวที่อาไว้ใจให้ดูแลชาติสยามแทนที่อา”


ด้านนอก ซ่อนกลิ่นนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นกลางโถง ชาติสยามเดินตรงเข้าไปหา

“หมอว่ายังไงบ้างครับ”
“แผลบางส่วนอยู่ในตำแหน่งที่หมอเย็บไม่ได้ ทำให้ยังมีจุดรั่วที่หลอดเลือดอยู่เลือดในตัวก็เลยยังไหลอยู่เรื่อยๆ...ยายรุ้งพร้อมจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ ทุกนาที”
ชาติสยามทรุดตัวลงนั่ง ฟุบหน้ากับฝ่ามือตัวเอง
“ผมขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก...ยายรุ้งย้ำกับฉันนับสิบครั้งว่า ห้ามโกรธ ห้ามคิดว่าเป็นความผิดของใคร ทั้งหมดมันเป็นไปตามบุญตามกรรมของตัวเขาเอง...เขาทำบุญมาเท่านี้ แต่พวกเราที่ยังอยู่นี่สิ ไม่รู้ว่าอยู่ด้วยบุญหรืออยู่ใช้กรรมก็ไม่รู้”
“ผมยังหวังว่าอาจจะมีปาฏิหาริย์ได้”
“ฉันก็หวังอย่างนั้น ฉันยังอยากเห็นยายรุ้งใส่ชุดแต่งงานคู่กับคุณ”
พยาบาลเดินก้าวยาวๆเข้ามาบอกทั้งคู่
“เชิญคุณป้าที่ห้องไอซียูด่วนเลยค่ะ”

ชาติสยามและซ่อนกลิ่นก้าวเข้าไปในห้อง ICU โขมพัสตร์ยืนสะอื้นเบาๆอยู่ที่ปลายเตียง โดยมีพยาบาลกำลังปฏิบัติการตามหน้าที่อยู่
รุ้งกาญจน์เสียงอ่อนแรง “สยาม รุ้งเหนื่อย รุ้งจะไปแล้วนะ”
“ยายรุ้ง”
“ป้าช่วยเป็นพยานที”
“พยานอะไร”
“ขมรับปากรุ้งแล้วค่ะ”
โขมพัสตร์พยายามกลั้นน้ำตาตัวเอง
“สยาม รุ้งรักคุณมากนะ”
“ผมรู้”
“คนที่รุ้งรักอยู่ที่นี่หมดแล้ว สัญญานะว่าเมื่อรุ้งไม่อยู่ต้องไม่โกรธกัน ไม่กล่าวโทษกัน”
“จ้ะ” ซ่อนกลิ่นตอบ
“ขอมือหน่อยค่ะ”
ชาติสยามส่งมือให้รุ้งจับ
“ขมด้วย”
โขมพัสตร์เดินเข้าไปใกล้ แล้วยื่นมือให้รุ้งกาญจน์
รุ้งกาญจน์ดึงมือสยามและมือโขมพัสตร์มารวมกัน และจับไว้แน่น
“รุ้งดีใจที่ได้เกิดมารู้จักและเป็นที่รักของทั้งสองคน และมีเวลาที่สวยงามที่น่าจดจำด้วยกัน...ถ้าชาติหน้ามีจริง เราเกิดมาเจอกันอีกนะ”
ซ่อนกลิ่น ร้องไห้โฮ เสียงดังออกมา
ชาติสยามและโขมพัสตร์ น้ำตาไหลพรากไม่แพ้กัน
“กอดรุ้งหน่อยได้มั้ยคะสยาม”
ชาติสยามก้มลงไปสวมกอดรุ้งกาญจน์อย่างระวัง
เสียงอุปกรณ์ในห้องร้องดังลั่นหมู่พยาบาลรีบเข้ามาปฏิบัติหน้าที่
รุ้งกาญจน์หลับตาหมดสติไป ในที่สุด

ต่อมา ชาติสยามเดินเข้ามานั่งซึม กลางโถงบ้าน
โสมวดีเดินเข้ามาโอบไหล่ลูกชาย
“ดื่มโกโก้ร้อนๆหน่อยมั้ย แล้วค่อยไปล้างหน้าล้างตา นอนพัก”
“ผมนอนไม่หลับหรอกครับแม่”
“ก็ต้องไม่คิดมากสิลูก นั่งจมทุกข์อย่างนี้ ไม่ดีนะ ถ้าหนูรุ้งรู้ เขาคงเสียใจ”
“ผมทำให้เขาเสียใจด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเยอะแล้วครับ”
“งั้นก็ไม่ควรเพิ่มเรื่องนี้เข้าไปอีก”
“ผมควรจะดูแลเขาได้ดีกว่านี้...เราควรจะสร้างครอบครัวของเราด้วยกัน...ผมไม่รู้จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรแล้วครับแม่”
“เพื่ออนาคตของลูกไง...ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่เราดูแลร่างกายและจิตใจของเราในปัจจุบันได้ เพื่อความสุขในอนาคต”
“อนาคตของผมจบไปพร้อมกับรุ้งแล้วหละครับ”

“แม่ว่าไม่นะ...ยังมีคนอื่นอีกที่อยู่เพื่อลูก และลูกก็พร้อมที่จะอยู่เพื่อเขา...แม่เชื่ออย่างนั้น”


ค่ำเดียวกัน โขมพัสตร์นั่งเหม่อ มองออกไปไกล

นมผ่อนค่อยๆเดินมานั่งข้างๆ
“ทำใจเถอะนะลูก...ชีวิตคนเราเอาแน่ไม่ได้อย่างนี้แหละ”
“อารุ้งกำลังจะแต่งงานมีความสุขกับอาสยามอยู่แล้ว...ขมสงสารอารุ้งจัง”
“อาชาติสยามก็น่าสงสาร...คนที่หมดเวรหมดกรรม เขาถือว่าไปดี คนที่ยังอยู่นี่หละ ไม่รู้จะทรมานใจไปอีกนานแค่ไหน”
“อารุ้งฝากฝังอาไว้กับขมค่ะ”
“ห๊ะ...ฝากอะไร”
“หลายอย่าง...ขมกลัวว่าจะทำไม่ได้อย่างที่อารุ้งขอ”
“มันยากมากเหรอลูก”
“ขมจะกลับไปเรียนต่ออยู่แล้วนี่คะ ขมจะทำอะไรได้”

ภาสธรยกโทรศัพท์ที่วางอยู่นอกแป้นขึ้นแนบหู พูด
“ผมภาสธรครับ...ครับคุณแม่...นายชาติสยามน่ะเหรอครับ”
โสมวดียืนพูดโทรศัพท์กลางบ้าน
“ใช่ ซึมเศร้าแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
ที่โถงเรือนใหญ่ บ้านพุทธชาด
“น่าเห็นใจครับ คู่หมั้นเพิ่งจากไป คงทำใจยากอยู่”
“แม่ก็เลยโทรมากวนพ่อภาสหน่อย เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน พอจะแวะไปช่วยปลอบโยนจิตใจตาสยามหน่อยได้มั้ย แม่กลัวเขาจะล้มเจ็บไปอีกคนน่ะ”
“ได้ครับ มีคนที่น่าจะปลอบโยนเขาได้ดีกว่าผม ผมจะขอให้เขาไปดูให้ครับ”

โขมพัสตร์ปีนรั้วเข้าไปในบ้านชาติสยาม แล้วเดินดูรอบๆบ้านทุกประตู ถูกล็อคกุญแจไว้หมด
เธอครุ่นคิด

ก่อนหน้านี้ ภาสธรพูดกับขม
“พี่ไม่ได้ค่อยได้อยู่ที่บ้านพุทธชาด อาจจะรู้เห็นอะไรในบ้านนี้ช้ากว่าคนอื่นขมเอง พี่ยังรู้จักทีหลังสุดเลย...แต่เพราะพี่รู้จักเพื่อนพี่ดี เราสนิทกันถึงขั้นมองตาก็รู้ใจ พี่จึงรู้ว่ามันคิดยังไงกับขม พี่จะไม่ถามว่าขมคิดยังไงกับมัน เพราะพี่จะขอแค่ให้ขมไปปลอบใจมันหน่อย ตอนนี้มันกำลังกระเจิดกระเจิง งุนงงกับ
ชีวิตตัวเอง มีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่จะปลอบโยนจิตใจผู้ชายได้ สำหรับเพื่อนพี่ขมคือหนึ่งในนั้น...อย่าคิดนานนะ มันอาจจะเตลิดออกจากบ้านหายไปไกลจนตามไม่เจอเลย ก็ได้”

ต้นไม้ใหญ่กลางสวนสาธารณะ ชาติสยามนั่งอยู่ที่นั่น
โขมพัสตร์เดินมานั่งข้างๆเขาอย่างเงียบๆ
“ไม่นึกว่าขมจะมาที่นี่อีก”
“พี่ภาสธรบอกว่าอากำลังซึมเศร้า...ขมแวะไปที่บ้านอาก็ไม่มีใครอยู่”
“อย่าบอกนะว่า มาตามหาอา”
“จะมาลาสวนแห่งนี้ด้วยค่ะ”
ชาติสยามถอนใจเล็กน้อย
“คนเราเติบโตขึ้น ก็ต้องพบปะเรื่องราวใหม่ๆ ความประทับใจใหม่ๆ แทนที่ความทรงจำเก่าๆ เป็นธรรมดา”
“ขมไม่เคยลืมทุกอย่างที่ผ่านมา แต่ที่ต้องบอกลา เพราะขมจะกลับไปเมืองนอกแล้ว และไม่รู้ว่าจะมาอีกเมื่อไหร่”
“งั้นก็ตั้งใจมาบอกลาอาด้วยละสิ”
“ค่ะ”
“กี่ปีนะที่เรารู้จักกัน”
“หกปี นับตั้งแต่วันแรกที่อาซื้ออาหารมาให้ขมกินที่นี่”
“อาดีใจนะที่ได้รู้จักขม ได้เห็นขมเติบโต เจริญรุ่งเรืองทั้งเรื่องการเรียนและชีวิตส่วนตัว...ขอให้ขมมีความสุขกับทุกสิ่งที่ขมเลือก และดูแลตัวเองดีๆนะ ถึงเวลาที่เทวดาผู้พิทักษ์ตัวนี้ ต้องรีไทร์ซะที”
“ขมไม่อยู่ อาก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะคะ ต้องเลิกซึมเศร้านะ สัญญาได้มั้ย”
“ถ้าสัญญาแล้วจะได้อะไรเป็นรางวัลตอบแทน”
“ได้กอดหลานคนนี้...พอมั้ยคะ”
ชาติสยามมองหน้าโขมพัสตร์ แล้วจึงสวมกอดเธอจนแน่น
ความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นในใจคนทั้งสอง
“ขอบคุณอามากนะคะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
ทั้งสองผละออกจากกัน
“ขมไปละค่ะ”
“อาก็กำลังจะไปเหมือนกัน”
“อาจะไปไหน ?...อย่าหนีออกจากบ้านให้ใครๆเป็นห่วงนะ”
“อาไม่ทำแบบขมหรอกน่า นั่นมันเด็กๆ”
โขมพัสตร์ยิ้มให้ชาติสยามแล้วเดินจากไป
ชาติสยามเอ่ยปากเรียกอีกครั้ง
“ขม”
“คะ”
“บอกได้มั้ย ขมให้สัญญาอะไรไว้กับอารุ้ง”
“เรื่องของผู้หญิงค่ะ...อาอย่ารู้ดีกว่า”
โขมพัสตร์เดินจากไป

ชาติสยามมองตามหลังโขมพัสตร์จนลับตา


บ่ายวันรุ่งขึ้น โขมพัสตร์จัดเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทาง

รติรสและพจนีย์เดินเข้ามาในห้อง
“ทำไมรีบกลับนักล่ะขม ยังไม่เปิดเทอมไม่ใช่เหรอ” รติรสว่า
“ขมตั้งใจจะไปลงซัมเมอร์น่ะค่ะ”
“หรือรีบไปทำเรื่องย้ายมหาวิทยาลัย ไปอยู่ที่เดียวกับคุณปิยะ” พจนีย์ว่า
“คุณพจน์รู้ด้วย”
“รู้สิ รู้และเข้าใจด้วยว่า ใครๆก็อยากอยู่ใกล้คนที่เราพอใจ”
รติรสบอก“เพราะยายพจน์กำลังจะตามไปเรียนเมืองนอก มหาลัยเดียวกับพี่รัมภ์”
“ส่วนพี่รสก็จะไปฝึกงานที่เดียวกับที่พี่รัฐทำงาน”
“แต่ขมก็น่าจะอยู่กับพวกเราอีกซักพักนะ นานๆจะได้อยู่พร้อมๆกัน ในวันที่เราเข้าใจกันดีอย่างนี้”
“ขมรีบไปเรียนให้จบเร็วๆ แล้วกลับมาอยู่นานๆไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“กลัวจะไปแล้วไปเลย ไปอยู่ที่โน่นเลย ไม่ยอมกลับมาละสิ”
“ท่าทางตาปิยะดูไม่ค่อยเป็นคนไทยเท่าไหร่ แกคงอยากอยู่ที่โน่นมากกว่า”
โขมพัสตร์ก้มหน้าก้มตาจัดกระเป๋า ไม่พูดอะไร
รติรสขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วจึงเอ่ยปาก
“แน่ใจแล้วเหรอขม”
“แน่ใจ ? อะไรคะ”
“เอ๊า ยังจะถามอีก”
“ก็เรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้นี้น่ะ เรื่องมหาลัยและก็เรื่องปิยะ...แน่ใจแล้วใช่มั้ย”
“ไม่บอกค่ะ”
“คิดให้ดีก็แล้วกัน พี่ไม่อยากเห็นใครต้องมานั่งผิดหวังทีหลังอีก”
พจนีย์เย้า“เหมือนที่ตัวเองเคยเป็นใช่มั้ยล่ะ”
“ยายพจน์ !”
“ล้อเล่นน่า...”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า”
“เอายังไง”
“เราสามพี่น้อง มานอนกอดกันดีๆซักครั้งได้มั้ย”
“ได้ซี่”
ทั้งสามคน ล้มตัวลงกอดกันกลมบนเตียงนอนนี้

เวลากลางคืน ที่ระเบียงบ้านชาติสยาม เขานั่งนิ่งเงียบ โดยมีเหล้าหนึ่งขวดวางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า
ภาสธรเดินส่งเสียงเข้ามา
“เหล้า ถ้าไม่เปิดขวด ไม่รินใส่แก้ว ไม่กรอกใส่ปาก มันไม่เมาหรอก”
“ไม่ได้อยากเมา”
“แล้วเอามาวางไว้ทำไม”
“เอาไว้ให้แกกิน”
“กินคนเดียวไม่สนุกหรอก ออกไปข้างนอกกันดีกว่า”
“ไปข้างนอกฉันก็ไม่กินอยู่ดี”
“ไม่ได้ชวนไปกิน ชวนไปดอนเมือง”
“ไปทำไม”
“ไปส่งคนที่กำลังจะไปเรียนต่อ”
ชาติสยามชะงักขึ้นนิดนึง

โขมพัสตร์เดินเข้าไปในสนามบินดอนเมืองปิยะโบกมือให้ขม
โขมพัสตร์เดินตรงเข้าไปหาปิยะ
“น่าจะให้เราไปรับที่บ้านพุทธชาด จะได้ไม่ต้องลำบากนั่งรถแท็กซี่”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไปเช็คอินกัน”

ภาสธรกระเถิบไปนั่งประจันหน้าชาติสยามที่นั่งจ้องขวดเหล้านิ่ง
“เฮ้ย ว่าไง เอาแต่นั่งจ้องเหล้า ไม่พูดไม่จา เป็นอะไรวะ”
“จ้องนานๆ มันอาจจะทำให้เมาได้เหมือนกัน”
“ฉันถามว่า จะไปดอนเมืองมั้ย จะไปส่งหลานสาวมั้ย”
“ส่งทำไม”
“ก็เผื่อว่าจะมีอะไรล่ำลากัน”
“ฉันพูดไปหมดแล้ว”
“แล้วไม่ห่วงเขาเหรอ”
“ห่วงทำไม มีคนไปกับเขาด้วย มีความสุขกันจะตาย”
“แน่ใจ ?”
“มันเป็นอนาคตของเขาที่เขาเลือกเอง จะไม่มีความสุขได้ยังไง”
“แล้วอนาคตของแกล่ะ”
“ก็ อยู่ที่นี่ไง”
ภาสธรเดินไปหยิบเหล้าอีกขวดหนึ่งมาวางเบื้องหน้า
“ให้สองขวด เลย จ้องเข้าไป จะได้เมาเสียผู้เสียคนเร็วๆหน่อย”

ปิยะขยับตัวลงนั่งข้างโขมพัสตร์ เขาเอ่ยปากเสียงนุ่ม
“จากนี้ไป ชีวิตเป็นของขมแล้ว มันอยู่ในมือของขมเอง ขมพร้อมที่จะเริ่มชีวิตใหม่แล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ปิยะยื่นมือให้โขมพัสตร์จับ

พระอาทิตย์ดวงเดิมโผล่พ้นขอบฟ้า ในวันใหม่
เสียงขมมาพร้อมกับจดหมาย
“นี่จะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ขมเขียนถึงอาชาติสยาม”

ชาติสยามเดินอ่านจดหมายกลางบ้าน
“เพราะคงไม่มีเรื่องอะไรของขมที่อาอยากรู้อีกแล้ว ขนาดวันนั้นที่สนามบินอายังไม่มาส่งขมเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายังโศกเศร้าอยู่ หรือว่ากำลังมีความสุขกับชีวิตใหม่ คนใหม่...และในโอกาสที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก ขมขอกล่าวคำว่าขอบคุณอีกครั้ง ถ้าหกปีที่แล้วไม่มีอาสยาม ก็คงไม่มีขมในวันนี้...ขมจะสวด
มนต์ภาวนา ให้อาสยามพบแต่ความสุขตลอดชีวิตนะคะ...ลาก่อนค่ะ ขม”
ชาติสยามทรุดตัวลงนั่ง ซึมอีกจนได้
โสมวดียกถาดอาหารเข้ามา
“ทำไมอ่านจดหมายหนูขม แล้วหน้าซึมอย่างนั้นล่ะ”
“ก็มันขมน่ะสิครับ ขมขื่นใจที่สุด”
“เอ้า นี่จดหมายอีกฉบับเพิ่งมาถึง ส่งมาจากประเทศอังกฤษ อ่านดูซิ เผื่อจะหายขม”
ชาติสยามแกะซองจดหมายออกอ่าน
เสียงปิยะดังเข้ามา
“สวัสดีครับคุณชาติสยาม จดหมายฉบับนี้ผมตั้งใจเขียนมาถึงคุณ เพื่อขอโทษและขอบคุณ พร้อมๆกัน”

ชาติสยามขมวดคิ้ว งุนงงสงสัย


มุมหนึ่งในมหาวิทยาลัย ที่ประเทศอังกฤษ ปิยะนั่งเขียนจดหมายในมุมสงบ

“ขอโทษที่ทำในสิ่งที่ไม่ค่อยดีนักกับคุณ ทั้งกิริยาท่าทาง และการใช้คำพูด นั่นคงเป็นเพราะเราทั้งคู่ต่างชอบพอในคนๆเดียวกัน ซึ่งต้องขอบคุณคุณด้วย ที่ดูแลเธอจนทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่เก่ง งามสง่า และมีความคิดความอ่านน่ายกย่อง”

เจ็ดวันก่อนหน้านี้ โขมพัสตร์ยืนคุยกับปิยะกลางสนามบินดอนเมือง
“ไปเช็คอินกัน...ไหนล่ะกระเป๋าเดินทางขม”
“ไม่มีค่ะ”
“ไม่มี ?”
“ขมตัดสินใจแล้ว ขมจะอยู่ที่นี่ก่อน จะไม่ลงเรียนซัมเมอร์ และจะไม่ย้ายมหาวิทยาลัยด้วย”
“ขมเลือกแล้ว ?”
“ค่ะ ขมเลือกแล้ว”
“หมายถึงเรื่องระหว่างเราด้วย ใช่มั้ย”
“ค่ะ”
โขมพัสตร์ขยับตัวลงนั่งปิยะขยับตัวตามลงไปนั่งข้างๆ
“จากนี้ไป ชีวิตเป็นของขมแล้ว มันอยู่ในมือของขมเอง ขมพร้อมที่จะเริ่มชีวิตใหม่แล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ปิยะยื่นมือให้โขมพัสตร์จับ
“ลาก่อนครับ”
“ลาก่อนค่ะ”

ปิยะนั่งเขียนจดหมาย ต่อเนื่อง
“วันนี้ขมได้เลือกทางเดินของเธอแล้ว และคนที่เธอเลือกจะร่วมทางด้วยนั้นไม่ใช่ผม”

ชาติสยามเดินอ่านจดหมาย ด้วยความตื่นเต้น
“หวังว่าขมจะมีความสุขกับผู้ชายที่เขาเลือก และผมขอแสดงความยินดีกับเขาคนนั้นด้วย จากใจจริงของผม ปิยะ”
ชาติสยามตื่นเต้นดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ตะโกนลั่น
“แม่ครับ ขมไม่ได้ไปอังกฤษ”
“อ้าว ลูกเพิ่งรู้เหรอ”
“อ้าว แม่รู้อยู่แล้วเหรอ”
“เขารู้กันหมดทั้งบ้าน ยกเว้นเราเท่านั้น”
“แล้วจดหมายของขมฉบับนั้น”
“มีคนเอามาเสียบไว้หน้าบ้าน อยากรู้มั้ยว่าใคร”
“ใคร ?”
“เขาอยู่ในนี้ ในโทรศัพท์นี่”
โสมวดีส่งโทรศัพท์ให้ชาติสยาม
ชาติสยามรับมาพูด
“ฮัลโหล”

ภาสธรนั่งพูดโทรศัพท์กลางบ้าน หน้าตามีรอยยิ้ม
“ว่าไงคุณอา ได้อ่านจดหมายหลานสาวรึยัง”
“แกเป็นคนเอามาเสียบไว้หน้าบ้านฉันเหรอ”
“เออ”
“แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน”
“ก็เจ้าของจดหมายเขาไม่ให้บอก เขาให้เสียบไว้เฉยๆ ฉันก็ทำตามคำสั่งเขา ไม่งั้นแม่ฉันเล่นงานตาย”
“แล้วตอนนี้ขมอยู่ไหน”
“อันนี้เขาก็ห้ามบอก”
“แกต้องบอก บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะตามไปเตะแกถึงบ้านเลย”
“บอกก็ได้”
“ที่ไหน”
“ไม่รู้ว่ะ...อันนี้ไม่รู้จริงๆ แกจะเตะฉันจนตายฉันก็ตอบได้แต่ว่า ไม่รู้”
“ไอ้ภาส”

“ถ้าแกสองคนใจตรงกัน แกก็ต้องรู้เองละน่าว่าขมอยู่ที่ไหน”


ท่ามกลางความมืดทึม แสงจากปลายกระบอกไฟฉายสว่างเป็นดวงเล็กๆ

โขมพัสตร์กวาดไฟฉายเพื่อมองหาอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นเสียงกุกกักก็ดังขึ้น
โขมพัสตร์คว้าไม้ใกล้ตัวกระชับมั่นในมือ
สักพัก ประตูบานใกล้ตัวเธอก็เปิดออก โขมพัสตร์เงื้อไม้ฟาดลงไปอย่างแรง
เสียงชาติสยามร้องโอดโอยดังลั่น...
“โอ๊ย”
“อา”
“ก็อาน่ะสิ เดี๋ยวนี้ทักทายอาด้วยวิธีนี้เหรอ”
“ขมไม่รู้นี่ว่าเป็นอา ก็อยากมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงทำไม”
“จะให้เสียงยังไงล่ะ บ้านมืดตึ๊ดตื๋ออย่างนี้ ใครจะไปรู้ว่ามีคนอยู่”
“ไม่ตะโกนถามก็ยิ่งไม่รู้น่ะสิอา”
“แล้วอยู่เข้าไปได้ยังไง ไฟไม่เปิด”
“ก็เปิดแล้วมันไม่ติดนี่ ไม่รู้มันช็อตตรงไหน”
“แล้วนี่ส่องไฟหาอะไร”
“หาเทียน”
“เทียนไม่ต้อง คัทเอ้าท์อยู่นี่”
ชาติสยามสับคัทเอ้าท์ ไฟในบ้านสวนแปดริ้วสว่างไสวขึ้นทั้งหลัง

ระเบียงสวย ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวชาติสยามและขมเดินเข้าเฟรมกลางระเบียงนั้น
“ถ้าไม่ได้อา ขมคงต้องอยู่มืดๆทั้งคืน”
“เทวดาผู้พิทักษ์ไม่ปล่อยให้ขมเป็นแบบนั้นหรอก”
“ไหนว่าเทวดารีไทร์แล้วไง”
“เพิ่งเปลี่ยนใจ ตอนได้รับจดหมาย”
“จดหมายขม ?”
“จดหมายนายปิยะ..ตอนแรกอาคิดว่าขมคงมีความสุขอยู่ที่อังกฤษแล้ว”
“อาใจร้าย ไม่ยอมไปส่งขมที่ดอนเมือง”
“ขมก็ใจร้าย ปล่อยให้อาเข้าใจผิด แล้วยังหนีหน้าอามาอยู่ที่นี่...ดีนะที่เจ้าของ
ใหม่เขายังไม่รื้อทิ้ง...ดูเหมือนจะสวยกว่าเก่าซะด้วยซ้ำ”
“เจ้าของใหม่เขาไม่รื้อแล้วค่ะ”
“รู้ได้ยังไง”
“เพราะเจ้าของใหม่คือคุณหญิงรัตนเดชากร”
“ห๊า”
“คุณย่า ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ เพราะเห็นว่ากระดูกแม่แขฝังอยู่ที่นี่ ขมก็เลยขอแบ่ง
กระดูกพ่อบางส่วนมาไว้ที่นี่ด้วย คุณย่าอนุญาตแล้ว”
“งั้นก็แปลว่าทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว...จากเด็กหญิงขม รุ้งพราย ก็กลายมาเป็นนางสาวโขมพัสตร์ รัตนเดชากร โดยสมบูรณ์”
“ค่ะ”
ชาติสยามกระเถิบตัวเข้าไปใกล้โขมพัสตร์ และเอ่ยปากเสียงนุ่ม
“ยังมีความคิดอยากเปลี่ยนนามสกุลอีกมั้ย”
“เปลี่ยนเป็นอะไรล่ะคะ”
“ขมคิดว่านามสกุล สุรบดินทร์เป็นยังไงบ้างล่ะ”
โขมพัสตร์ยิ้ม นิดๆ
“พ่อพิทย์ของขม ก็มีนามสกุลจริงนี้นะเจ้าของนามสกุลเขาจะยอมเหรอ”
“เขาไม่มีใครอีกแล้วที่มีค่าสำหรับชีวิตของเขา อยู่ที่เธอคนนั้นจะยินยอมใช้ชีวิตด้วยกันกับเขา และอยู่ดูแลกันไปจนแก่เฒ่าหรือไม่”
“ขมต้องให้คำตอบเดี๋ยวนี้รึเปล่า”
“ไม่ต้องก็ได้ ให้เวลาสามนาที”
“โห”
“งั้นสองนาที”
“อา”
“งั้นบอกอามาก่อน ว่าอารุ้งขออะไรขมไว้”
“อารุ้งรักอาสยามมาก และขอขมเหมือนอย่างที่อาขอนี่แหละ”
ชาติสยามยิ้ม ตื้นตันใจ
“งั้นขมควรจะตอบได้แล้วหละ หมดเวลาแล้ว”
“ยังไม่หมดซักหน่อย อาขี้โกง”
“ถ้าไม่ตอบจะทำโทษ”
ชาติสยามกอดโขมพัสตร์ไว้ และแกล้งทำหน้าดุ
“ทำโทษยังไง”
“หอมแก้ม”
“อา”
“เลิกเรียกอาได้มั้ย อีกหน่อยเราไปไหนๆกันแล้วขมเรียก อา ก็อายเขาแย่น่ะสิ”
“ได้ค่ะ งั้นขมจะเรียกลุงแล้วกัน”
“เฮ่ย ไม่เอา”
“คุณ”
“เป็นทางการไป เอาแบบใกล้ชิดกันอีกหน่อย”
“จะให้เรียกอะไร ก็ว่ามา”
“พี่”
“ค่ะคุณพี่”

ชาติสยามหอมแก้มขมจนอิ่ม

จบบริบูรณ์...


กำลังโหลดความคิดเห็น