xs
xsm
sm
md
lg

ดงผู้ดี ตอนที่ 23 : “ขม” ร้องโสมส่องแสง เรียกพ่อก่อน “รังสรรค์” สิ้นใจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดงผู้ดี ตอนที่ 23 : “ขม” ร้องโสมส่องแสง เรียกพ่อก่อน “รังสรรค์” สิ้นใจ

บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ

กลางคืนต่อเนื่อง ชาติสยามและรุ้งกาญจน์เดินเข้าไปนั่งกลางโถงบ้าน ชาติสยามยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดให้เห็นอยู่

"ล้างหน้าล้างตาหน่อยมั้ยคะ หน้าเครียดเชียว"
ชาติสยามไม่ตอบ
"เดี๋ยวรุ้งเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาให้นะ"
"รุ้ง...ช่วยผมหน่อยได้มั้ย"
"ช่วยอะไรคะ"
"ช่วยพูดกับขม เรื่องนายปิยะคนนั้นที"
"พูดว่ายังไงคะ"
"ให้เขาเลิกยุ่งกับหมอนั่น"
"นั่นมันเรื่องส่วนตัวของขมนะคะ"
"แต่เราเป็นผู้ปกครอง เราก็ต้องชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้ขมสิ ไม่ใช่ปล่อยให้เขาหลงผิด"
"คุณรูัได้ยังไงว่านายปิยะคือการหลงผิด"
"ก็ดูท่าทางมันสิ อวดดี โอหัง ไม่มีสัมมาคารวะแบบนั้น มันเป็นคนดีเหรอ"
"รุ้งว่าคุณใช้อคติส่วนตัวมากไปหน่อย รุ้งไม่เห็นว่าเขาจะเลวร้ายอะไรเลย"
"ก็เพราะมันกำลังจีบขมน่ะสิ ขมหลวมตัวไปกับมันเมื่อไหร่ หางก็โผล่เมื่อนั้น"
"ขมยังไม่หลวมตัวค่ะ ขมแค่ใช้เวลาทำความรู้จักกันและเรียนรู้กันเท่านั้น"
"รุ้งรู้ได้ไง"
"ขมปรึกษารุ้งค่ะ"
"ห๊ะ !"
"เพราะรุ้งเป็นผู้หญิง ขมเลยเลือกปรึกษารุ้งมากกว่าจะปรึกษาอาสยามของเธอ"
"แล้วทำไมรุ้งไม่บอกผม"
"ก็มันเป็นเรื่องของผู้หญิง"
"แต่ผู้หญิงคนนี้เป็นหลานผม รุ้งแนะนำให้หลานผมคบกับผู้ชายอย่างนั้นเหรอ"
"คำว่าคบของคุณกินความแค่ไหนคะ"
"ก็อย่างที่เห็นนี่หละ ถึงขนาดพามาบ้าน มากราบไหว้ผู้ใหญ่ ในวันที่ทุกคนกำลังวุ่นวาย โศกเศร้าอยู่อย่างนี้ อย่าบอกนะว่าคุณเป็นคนแนะนำให้ขมพามันมา"
"รุ้งไม่เห็นว่าจะเสียหายอะไรนี่คะ"
ชาติสยามระบายอารมณ์ด้วยการตะโกนออกมาดังๆ
"โธ่ เว้ย..."
"เราทะเลาะกันอีกแล้วนะคะ...ต้นเหตุการทะเลาะกันก็คือเรื่องขม เหมือนเดิม"
ชาติสยามค่อยๆตั้งสติ ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง
"ผมขอโทษ...ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงหงุดหงิดกับเรื่องพวกนี้...พรุ่งนี้ผมมารับตอนเช้านะ"
"รุ้งคิดว่ารุ้งไม่ไปดีกว่า รุ้งไม่ใช่ญาติโดยตรง"
"แต่ผมรับปากคุณรังสรรค์ไว้ว่าจะพยายามช่วยให้ถึงที่สุด"
"คุณก็ไปสิคะ...แล้วถ้าคิดได้เมื่อไหร่ว่าคุณหงุดหงิดเพราะอะไร อย่าลืมมาบอกรุ้งด้วยล่ะ"
ชาติสยามค่อยๆเดินออกไป

เวลากลางคืน เตียงนอนรังสรรค์ เขานอนหลับตานิ่ง
โขมพัสตร์ค่อยๆเดินเข้ายังบริเวณหน้าห้อง เธอจ้องมองรังสรรค์ ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง
รติรสเดินออกมาจากด้านหลังห้อง
"ขมมาเยี่ยมพ่อเหรอ"
"เปล่าค่ะ ขมมาหาพี่รส"
"เข้ามาสิ...ไม่ต้องห่วง พ่อหลับไปแล้ว ตื่นอีกทีก็ตอนเช้า"
โขมพัสตร์ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้รติรส
"พี่รสต้องเฝ้าอย่างนี้ทั้งคืนเหรอ"
"ก็ผลัดกันกับพจนีย์...หมอบอกว่าต้องดูแลใกล้ชิด เพราะคนไข้อาจมีอาการเพ้อสับสนได้เนื่องจากตับไม่ทำงาน ของเสียในร่างกายก็เพิ่มมากขึ้น"
"ไม่มีทางรักษาได้แล้ว ?"
"เราพยายามรักษาจิตใจคุณพ่อให้เข้มแข็ง ไม่ให้มีทุกข์ มีแต่ความสุข นั่นก็อาจจะต่ออายุให้ยืนยาวได้มากขึ้น การทำบุญพรุ่งนี้ก็เป็นวิธีนึง ทั้งรักษาจิตใจคนไข้และก็ญาติๆอย่างพวกเรา"
โขมพัสตร์มองไปที่โต๊ะหัวเตียง เธอเห็นรูปของตัวเองวางอยู่บนนั้น
"นั่นรูปขม"
"ใช่ ที่ขมส่งมาให้พี่ ขมไม่ว่าอะไรใช่มั้ย"
โขมพัสตร์ส่ายหน้าแทนคำตอบ
"พ่อนอนมองรูปขมทุกวัน ก่อนจะหลับ...แล้วก็พูดแต่ว่า ขมเหมือนแม่"
โขมพัสตร์นิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาให้เห็น
รติรสหยิบล็อกเก็ตที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้โขมพัสตร์ดู
"นี่ไง รูปแม่แข...พ่อตั้งใจจะให้ขมติดตัวไว้ระหว่างเรียนที่อังกฤษ พ่อเอาไปให้ขมที่สนามบิน แต่ไปไม่ทัน"
โขมพัสตร์หยิบล็อกเก็ตนั้นมาดู
"พ่อเล่าให้ฟังว่า แม่สวยเหมือนพระจันทร์ พ่อนอนหนุนตักแม่ ในคืนพระจันทร์เต็มดวง แล้วแม่ก็ร้องเพลงโสมส่องแสงให้พ่อฟัง...พ่ออยากได้ยินเพลงนี้อีกครั้งก่อนตาย"
โขมพัสตร์ส่งล็อกเก็ตคืนให้รติรส
"ขม พี่รู้ว่าขมรู้สึกยังไงกับพ่อ...แต่พี่ก็อยากขอโทษแทนพ่อในทุกสิ่งที่พ่อทำผิดพลาดกับขม กับแม่...แต่ขมจะยอมยกโทษให้เมื่อไหร่ ก็เป็นสิทธิของขม พี่จะไม่ขัดเคืองใจเลย"
รังสรรค์ขยับพลิกตัว และส่งเสียงคล้ายละเมอ
"ขม...ขมมาหาพ่อเหรอ...รส ขมมารึยัง"
"ขมไปนอนก่อนนะคะ"

ขมรีบเดินออกไปจากห้องนี้

เช้าตรู่ ภาสธรเดินเข้ามากลางโถงบ้าน หน้าตาเครียดพอสมควร สาวใช้บางส่วนกำลังลำเลียงอาหารไปยังเรือนเล็ก

"สวัสดีค่ะคุณภาสธร"
"คุณแม่กับคุณยายฉันอยู่ไหน"
"ฟังพระสวดอยู่ที่เรือนเล็กค่ะ"

หมู่พระสงฆ์นั่งที่สวดเรียงกันเป็นแถว สมาชิกของบ้านพุทธชาดอันประกอบไปด้วยคุณหญิงรัตนเดชากร ไพลิน รติรส พจนีย์ นมผ่อน ทั้งหมดนั่งพนมมือนิ่งเบื้องหน้าพระ
ภาสธรค่อยๆเดินเข้าไปนั่งข้างๆผู้เป็นแม่ เอ่ยปากแต่เพียงเบาๆ
"น้ารังสรรค์ล่ะครับ"
"อยู่บนห้อง...ขยับตัวลงมาไม่ไหว เดี๋ยวหลวงพ่อจะขึ้นไปทำพิธีบังสุกุลเป็น ให้ข้างบน"
"ขมล่ะครับ"
"เขาคงไม่อยากร่วมพิธีนี้ด้วยหรอก"
รัฐค่อยๆก้าวเข้ามานั่งในพิธีด้วย เขาปรายตามองไปรอบๆจนเห็นรติรส
รติรสเหลือบมองรัฐ ทั้งสองสบตากัน แล้วต่างฝ่ายต่างก้มหลบตา

โขมพัสตร์เดินนำหน้าปิยะตรงเข้ามายังบริเวณเรือนนมผ่อน
"เนี่ยเหรอ บ้านที่ขมอยู่ตั้งแต่เด็กๆ"
"ใช่"
"ทำไมคุณหญิงให้หลานสาวมาอยู่ที่นี่ล่ะ"
"เรื่องมันยาว ปิยะอย่าเพิ่งรู้เลย"
"แล้วที่ขมไม่ยอมร่วมงานทำบุญกับพวกเขาก็เรื่องยาวด้วยเหมือนกันใช่มั้ย"
โขมพัสตร์พยักหน้า
"งั้นไม่ถามเรื่องนี้แล้ว เปลี่ยนเรื่องดีกว่า...เอาเรื่องที่เราชวนขมย้ายไปเรียนมหาลัยเดียวกันดีกว่า ขมว่ายังไง"
"เรื่องนี้ก็คงต้องคุยกันยาวเหมือนกัน"
"วันนี้ขมว่างทั้งวัน ไม่ต้องทำอะไรไม่ใช่เหรอ"
"ขมยังไม่มีอารมณ์น่ะค่ะ"
"ตอนค่ำๆล่ะ พอจะมีอารมณ์บ้างมั้ย"
"ไม่รู้สิ"
"งั้นเราแวะไปหาเพื่อนก่อนนะ แล้วจะกลับมาหาขมตอนค่ำๆ คืนนี้กินข้าวกันนะ อารมณ์จะได้ดีๆ"
"ค่ะ"
ปิยะเดินออกไป
โขมพัสตร์เดินไปยังศาลาสวย

โขมพัสตร์ขยับตัวลงนั่งที่ศาลา รัฐค่อยๆก้าวเดินเข้ามา
"พี่รัฐ"
"พี่มารบกวนเวลาของขมรึเปล่า"
โขมพัสตร์ส่ายหน้า
"พี่ขอนั่งตรงนี้ด้วยคนได้มั้ย"
"พี่รัฐไม่ต้องขอก็นั่งได้ค่ะ ทำเหมือนเดิมที่พี่รัฐเคยทำสิคะ"
"พี่ก็อยากให้ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนอะไรๆระหว่างเรามันเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว"
"เหมือนเดิมของขมคือ เหมือนตอนที่เราเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่น้องกันน่ะค่ะ ขมเห็นพี่รัฐเป็นพี่ชายคนนึงของขมมาตลอด"
"แค่นั้นใช่มั้ยที่ขมเห็นในตัวพี่...พี่เป็นได้แค่นั้นใช่มั้ย"
"ค่ะ"
รัฐถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนเอ่ยปาก
"นายปิยะเขาหล่อนะ...เขาคงหวงขมน่าดู ถึงตามมาถึงที่นี่"
"พี่รัฐเจอเขาแล้ว ?"
"พี่เดินสวนกับเขาหน้าบ้าน เขาไม่รู้จักพี่หรอก"
รัฐตัดสินใจหันหน้าไปถามขมตรงๆ
"ขมรักเขาเหรอ...ขมเพิ่งรู้จักเขาไม่ถึงปี"
"ขมถึงต้องใช้เวลาอีกนานไงคะ กว่าจะตอบคำถามนี้ได้"
"แล้วพี่ล่ะ ขมใช้เวลากับพี่นานพอแล้วเหรอ"
โขมพัสตร์เอ่ยปากตอบรัฐอย่างจริงใจ ชัดถ้อยชัดคำ
"พี่รัฐเป็นพี่ชายที่น่ารักสำหรับขม นับตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ขมก็ยิ่งรักพี่รัฐแบบพี่ชายมากขึ้นเท่านั้น"
รัฐค่อยๆหยิบสร้อยคอเส้นนั้นขึ้นมา
"นี่คือสร้อยที่พี่ตั้งใจเก็บไว้ รอให้ขม...มันคงไม่มีความหมายแล้วใช่มั้ย"
"สักวันสร้อยเส้นนี้จะมีความหมาย เมื่อพี่รัฐพบคนอื่น"
"พี่คงไม่พบใครอีกแล้ว"
"แล้วคนใกล้ตัวพี่ล่ะคะ พี่ผูกพันกับเธอมานานกว่าขมอีก พี่ลืมเธอไปรึเปล่า"
รัฐครุ่นคิดนิดนึง ก่อนตัดสินใจเอ่ยปาก
"ขมไม่ว่าอะไรใช่มั้ย ถ้าพี่จะให้สร้อยเส้นนี้กับเธอ"
"ขมจะดีใจที่สุดค่ะ"

ทั้งสองยิ้มให้กัน

หลวงพ่อทำพิธีบังสุกุลเป็นให้กับรังสรรค์

คุณหญิงรัตนเดชากร และ ไพลิน ร่วมอยู่ในห้องนี้ด้วย
แววตาของรังสรรค์ค่อยๆเลื่อนลอย

รติรส เดินเข้าไปในครัวหลังบ้าน รัฐก้าวเข้ามา
"รส ทำอะไรอยู่เหรอ"
"รสเตรียมอาหาร ให้พ่อค่ะ...เดี๋ยวพระทำพิธีเสร็จ พ่อจะได้ทานเลย"
"พี่ช่วยมั้ย"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
ทั้งสองดูมีอาการเก้อเขินกันพอสมควร
"เราไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ ตั้งแต่วันนั้น"
รติรสรีบเปลี่ยนเรื่องพูด แก้อาการเคอะเขิน
"พี่รัมภ์ล่ะคะ"
"นายรัมภ์ไปเรียนเมืองนอกแล้วไง รสก็รู้นี่"
"ค่ะ"
"หรือรสอยากคุยกับนายรัมภ์มากกว่าพี่"
"เปล่าค่ะ"
ทั้งคู่เงียบไปอีกพักนึง
"พี่ไม่ไปหาขมเหรอคะ"
"พี่ไปมาแล้ว"
" ถ้าพี่รัฐจะให้รสช่วยเรื่องขม พี่รัฐก็บอกรสได้นะคะ"
"ไม่หรอก พี่ไม่ต้องให้ใครช่วยเรื่องนั้นแล้ว"
รัฐยิ้มหวานให้รติรส
"พี่รัฐยิ้มแบบนี้ หมายความว่าพี่คุยกับขมรู้เรื่องหมดแล้วเหรอคะ"
"ใช่จ้ะ"
รติรสใจหายนิดๆ แต่ก็ฝืนยิ้ม
"ดีใจด้วยนะคะ"
"ดีใจกับพี่หรือกับขม"
"กับทั้งสองคนค่ะ"
"กับพี่ คงยังดีใจไม่ได้เต็มที่จนกว่า ใครบางคนจะยอมรับสร้อยเส้นนี้จากพี่"
รัฐยื่นสร้อยคอเส้นนั้นให้รติรส
"พี่มัวแต่วิ่งไล่ตามหาอะไรก็ไม่รู้ จนลืมว่าผู้หญิงที่มีค่าที่สุดอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆพี่
มาโดยตลอด"
"ถ้าพี่พูดคำนี้เพราะเหตุการณ์คืนนั้น ก็ไม่จำเป็นนะคะ"
"เหตุการณ์คืนนั้นทำให้พี่รู้ว่า ความรักและความอบอุ่นของพี่อยู่ตรงไหน"
หน้ารติรสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ด้วยความตื่นเต้น และเขินอาย
"อยู่ตรงนี้ อยู่ที่ผู้หญิงคนนี้นี่เอง...ให้พี่สวมสร้อยให้นะ"
"พี่ตั้งใจจะให้ขมไม่ใช่เหรอคะ"
"พี่เข้าใจผิด มันไม่เหมาะกับใครมากกว่ารสอีกแล้ว...นี่ไม่ใช่ของหมั้น แต่เป็น
สร้อยคอที่แสดงให้รู้ว่าพี่รักรส"
รัฐสวมสร้อยคอให้รติรส แล้วจึงก้มหน้าลงไปกระซิบที่หู
"ถ้าไม่เกรงใจใคร พี่อยากจูบรสแบบคืนนั้นอีก"
"อย่าเพิ่งดีกว่าค่ะ"
เสียงคนใช้ตะโกนลั่น ดังเข้ามาก่อนเห็นตัว
"น้าหยัดอยู่ไหน...น้าหยัด เอารถออกไปรับหมอที"
"คุณพ่อ"

รังสรรค์มีอาการเหมือนชักดิ้นดวงตาเกร็งไร้จุดโฟกัส ปากก็พร่ำเพ้อคำพูดออกมามากมาย
"อย่า...อย่าเอาผมไป...ผมยังไม่ไป...ผมจะรอลูกสาวผม...ช่วยด้วย ช่วยด้วย"
หลวงพ่อไม่อาจทำพิธีต่อได้

หมู่คนมีแรงพากันเข้าไปจับร่างรังสรรค์ ประคองให้นอนตะแคงให้สงบ ทั้งหมดดูทุลักทุเล จนรังสรรค์หมดสติไป ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกคน

คุณหญิงรัตนเดชากรนั่งน้ำตาไหล ภาสธรค่อยๆเดินเข้ามานั่งข้างๆคุณหญิง

"คุณยายครับ"
"หมอเขาว่ายังไงบ้าง"
"สาเหตุจากเรื่องตับน่ะครับ ตับไม่ทำงาน สารพิษก็คั่งอยู่ในร่างกาย จนไปทำลายเซลล์สมองโดยตรง ก็จะมีอาการชักแบบนี้"
"ตอนนี้ค่อยยังชั่วขึ้นรึยัง"
"ครับ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าจะเป็นอีกเมื่อไหร่ เพราะถ้าระดับของเสียสูงมากขึ้น อาการก็จะหนักขึ้น ถึงขั้นหมดสติ เสียชีวิตได้"
คุณหญิงน้ำตาไหลออกมาอีกระลอก
"แม่เราล่ะ"
"กำลังพยายามติดต่อวงปี่พาทย์อยู่ แม่บอกว่าอาจจะเป็นความสุขครั้งสุดท้ายของน้ารังสรรค์"
"ความสุขไม่ได้อยู่ที่วงปี่พาทย์หรอก อยู่ที่ขมจะยอมเรียกเขาว่าพ่อก่อนเขาสิ้นใจมั้ย"
"นายชาติสยามกำลังพยายามอยู่ครับ"
"ชาติสยามมาแล้วเหรอ"
"ครับ กำลังไปหาขมที่เรือนนมผ่อนครับ"

ชาติสยามเดินตรงเข้าไปในเรือนนมผ่อน จนกระทั่งเจอโขมพัสตร์นั่งอยู่ที่ท่าน้ำ เขาขยับตัวลงนั่งข้างๆโขมพัสตร์
"อาผิดหวังในตัวขมมาก"
"อาหวังอะไรเหรอคะ"
"อาหวังจะเห็นหลานสาวของอาเป็นเด็กดี มีเหตุผล รู้จักบุญคุญคน รู้จักการให้อภัย"
"ขมไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลยเหรอคะ"
"เราเลือกเฉพาะกับคนบางคนไม่ได้"
"งั้นอาก็ไม่ควรมาเป็นอาของขม...ซึ่งจริงๆอาก็ไม่ใช่อาขมอยู่แล้ว...อาไม่รู้เหรอว่าขมเกิดมากับสิ่งจอมปลอม ความหลอกลวงทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องชาติกำเนิด ที่มาที่ไปของแม่ และก็เรื่องพ่อพิทย์...ไม่เคยมีใครพูดความจริงกับขมเลย...ทุกคนเรียกร้องความจริงใจจากขม แล้วใครเคยให้ความจริงกับขมบ้าง"
"อากำลังพูดถึงการให้อภัยไงล่ะ"
"ขมให้อภัยค่ะ ขมอโหสิให้ทุกคนมานานแล้ว...แต่อยู่ๆ จะให้ขมแสดงความรักซาบซึ้ง วิ่งเข้าไปกอดคนที่ทำกับขมไว้ขนาดนั้น แล้วเรียกเขาว่าพ่อ กอดเขาด้วยความรัก ร้องไห้เมื่อเขาป่วยไข้...คิดว่าขมทำได้เหรอคะ"
ชาติสยามนิ่งไป
"หรือต้องการแค่ให้ขมไปกอดหลอกๆแค่นั้นพอ...ก็คงใช่ เพราะทุกคนในดงนี้ มีชีวิตอยู่กับการหลอกลวง แม้กระทั่งการตามขมกลับมายังต้องใช้จดหมายหลอกขมเลย...เนี่ยเหรอคะแบบอย่างของคนดีมีคุณธรรม ที่อาต้องการ"
ชาติสยามสูดหายใจลึกๆก่อนเอ่ยปากตอบ
"อาจะไม่เถียงเรื่องนั้นหรอกนะ...อาแค่สะกิดเตือนให้ขมคิดอะไรกว้างไปกว่านั้น...ถ้าขมจะไม่ยอมรับ ไม่ยอมเรียกเขาว่าพ่อ ก็ไม่มีใครว่าได้ ไม่มีใครบังคับ ได้อยู่แล้ว...แต่ถ้าวันนึงหลังจากนี้ ขมคลายความชิงชังลง แล้วอยากจะนึกถึงคนที่เป็นพ่อขึ้นมาบ้าง...ขมจะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อีก...คิดดูนะ
เวลาที่ขมจะได้สัมผัสกับพ่อแท้ๆผู้ให้กำเนิดเรา หรือได้ฟังเสียงจากหัวใจของเขาในวาระสุดท้าย มันเหลือน้อยเต็มทน...ขมต้องคิดเอาเอง...ไม่ต้องเชื่ออาหรอก เพราะยังไงอาก็ไม่ใช่อา ก็แค่คนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตขม อาจจะไม่น่าสนใจเท่านายปิยะของขมด้วยซ้ำ"
ชาติสยามเดินกลับออกไป เหลือเพียงขมนั่งครุ่นคิดอยู่โดยลำพัง

เวลาต่อมา รังสรรค์นอนสงบนิ่งบนเตียง โดยมีรติรสและพจนีย์นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ รังสรรค์ค่อยๆลืมตาขึ้น แววตาของเขายังคงล่องลอยและเต็มไปด้วยความสับสน
"ลูก ลูกพ่อ"
รติรส และ พจนีย์กระเถิบตัวเข้าไปใกล้
"ลูกอยู่ไหน"
"รสอยู่นี่ค่ะ"
"พจน์อยู่นี่ค่ะ"
"อีกคนนึงล่ะ...พ่อมีลูกอีกคน ไม่ใช่เหรอ"
รติรส และ พจนีย์มองหน้ากัน
"ทำไมเขาไม่มาหาพ่อ เขารู้มั้ยว่าพ่ออยู่ตรงนี้"
คุณหญิงรัตนเดชากรเดินเข้ามาในห้อง เธอตรงไปลูบหัวผู้เป็นลูกชาย
"รู้ ทุกคนรู้ว่าลูกแม่อยู่ตรงนี้"
"แม่พาลูกมาหาผมหน่อยสิครับ ขมน่ะ โขมพัสตร์...ผมมีลูกอีกคนชื่อโขมพัสตร์"
"เขาจะมาหาลูก ถ้าลูกหลับ พักผ่อน"
"จริงเหรอ"
"จริงสิ เชื่อแม่นะ หลับให้สบาย อย่าเพิ่งคิดมาก"
"ครับ ผมเชื่อแม่นะ"
รังสรรค์ค่อยๆหลับตาลง
คุณหญิงหันไปพูดกับ รติรส พจนีย์

"ไปพักก่อนก็ได้นะ ย่าจะเฝ้านายรังสรรค์เอง"

ไพลินเดินนำนักดนตรีสองคนเข้ามากลางโถง พวกเขาถือกลองแขก กับฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ติดมือเข้ามา ภาสธรเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่

"เนี่ยเหรอครับ วงปี่พาทย์ มีสองคนเนี่ยเหรอครับ"
"ฉันหาจนทั่วแล้ว เร็วสุดได้มาแค่สองคนนี้ก่อน เดี๋ยวคนระนาด กับซอเสร็จงานแล้วจะรีบตามมา"
"แล้วจะเป็นเพลงเหรอครับ"
นักดนตรีบอก "ถ้ามีคนร้อง เราก็จะรับเป็นจังหวะให้ เท่าที่ทำได้ครับ"
"ปัญหาคือคนร้อง"
ชาติสยามเดินเข้ามา
ไพลินถาม "เป็นยังไงบ้าง"
"ผมตอบไม่ได้ครับ ขมยึดมั่นกับความรู้สึกของเขามาก ผมพยายามเต็มทีแล้วครับ"
"เราก็คงต้องปลอบตารังสรรค์ให้เข้าใจ หรือไม่ก็ยื้อไว้ จนกว่าขมจะใจอ่อน"

นมผ่อนยื่นเข้ากระดาษที่มีหนังสือลายมือให้โขมพัสตร์
"อะไรคะ"
"คำร้องเพลง โสมส่องแสง เผื่อว่าขมจะจำไม่ได้"
"ขมไม่จำเป็นต้องจำ"
"จำเป็นสิ...ป้าดูแลขมมาไม่ใช่แค่วันสองวัน...ป้ารู้ว่าในใจขมจริงๆเป็นยังไง ขมเข้าใจทุกอย่าง รู้ทุกอย่าง และพร้อมที่จะรับเขาเป็นพ่อด้วยซ้ำ ติดตรงที่โมหะ โทสะ ยังครอบงำขมอยู่ ถ้าขมยังคิดเคียดแค้นไปตามอารมณ์ของตน หลังจากวันนี้ มันจะกลายเป็นความเสียใจที่ฝังอยู่กับเรา และยากที่จะก้าวพ้นไป
ได้...การตัดสินใจที่ถูกต้อง จะทำให้ขมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่ไม่มีอะไรตกค้างอยู่ในใจ...เมตตา กรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ถือว่าเป็นบุญใหญ่แล้ว แต่เมตตา กรุณาและอุปถัมภ์ค้ำชูผู้ให้กำเนิด มันเป็นมหาบุญ และเป็นมงคลกับชีวิตยิ่งนักนะ ขม"

คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด รังสรรค์เริ่มเพ้อออกมาอีกครั้ง
"แขนภา...แขนภา...รอผมด้วย อย่าเพิ่งไป ผมกำลังจะไปหาคุณ"
คุณหญิงรัตนเดชากรกระเถิบตัวเข้าไปใกล้ลูกชาย
"รังสรรค์"
"แม่...ผมเห็น"
"เห็นอะไร"
"เห็นพระจันทร์เต็มดวง เห็นแขนภา...แขโกรธผม โกรธที่ไม่ดูแลลูกให้ดี เขากำลังจะหนีผม แขนภา"
รังสรรค์เอื้อมมือไขว่คว้าอากาศที่อยู่เบื้องหน้า
คุณหญิงคว้ามือลูกชายเอาไว้
"ลูกเอ๊ย ไม่มีใครโกรธลูก ไม่มีใครหนีลูกหรอกนะ"
"ขมล่ะ...แม่ ผมอยากฟังเพลงโสมส่องแสงอีกสักครั้ง...แขนภา คุณร้องเพลงนี้ให้ผมฟังอีกครั้งได้มั้ย แล้วผมจะไปหาคุณ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน"
ทันใดนั้นคำร้องท่อนแรกของเพลงก็ดังกังวานเข้ามา มันเป็นเสียงของโขมพัสตร์
"...โอ้ ว่า แสง..."
รังสรรค์ค่อยๆหันหน้าไปทางเสียงร้องนั้น
"แม่ แม่ได้ยินมั้ย"
คุณหญิงรัตนเดชากรหันไปยังทิศทางของเสียงเพลงนั้น

ทุกคนในโถง เริ่มจาก ไพลิน ภาสธร ชาติสยาม และ นมผ่อน หันไปมองยังที่มาของเสียงเพลง
"...โสมส่อง..."
นักดนตรี ตีกลองแขก และฉิ่ง รับเสียงร้องนั้น
โขมพัสตร์เดินร้องเพลงนี้มาตามระเบียงทางเดิน
"...ผ่องทั่ว..."
รติรส และ พจนีย์ ก้าวเข้าที่ระเบียงชั้นบน มองมาที่โขมพัสตร์
"…นภากาศ..."
โขมพัสตร์เดินร้องเพลงนี้เข้ามาในโถงบ้าน
ชาติสยามมองโขมพัสตร์
"…แจ่มใสไพลาศ..."

รังสรรค์ค่อยๆชันตัวลุกขึ้น
" …สุกสะอาดลออตา..."
"แขนภา แขนภามาหาผม เธอมาร้องเพลงให้ผมฟัง"
รติรส และ พจนีย์วิ่งเข้ามาในห้อง
"ขมค่ะ ขมเดินร้องเพลงนี้มาค่ะ ย่า พ่อ"
"ขมเหรอ...ขมมาหาพ่อเหรอ"
รังสรรค์พยายามจะลุกจากเตียง
รติรส และ พจนีย์รีบเข้าไปจับไว้
"พ่อ"
"พ่อจะไปหาขม"
"รติรส พจนีย์ ปล่อยให้พ่อไปเถอะลูก"
ทั้งสองจึงปล่อยมือ

รังสรรค์ค่อยๆก้าวลงจากเตียงอย่างช้าๆ

โขมพัสตร์เดินขึ้นบันไดมายังชั้นบน เธอเลือกร้องเพลงในจังหวะสองชั้น

"โอ้โอ๋ จันทราเอย เชิญเมตตา กรุณากระต่ายน้อย"

รังสรรค์ค่อยๆขยับขาของเขา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะก้าวเดินให้ได้
"เสียแรงหวัง เฝ้าตั้งตาคอย"
คนอื่นๆเดินตามหลังโขมพัสตร์ขึ้นมา
"มิเอื้อมอาจสอย สอยมาชมเอย"
โขมพัสตร์เดินร้องเพลงตรงไปทางห้องนอนรังสรรค์
"หนาวจับจิตหนาว ยิ่งหนาวราวไข้"
โขมพัสตร์หยุดชะงักนิดนึง เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า
รังสรรค์ค่อยๆก้าวเดินออกจากห้องจนได้
"หนาวที่ไม่ สมใจหมายเชย"
รังสรรค์และโขมพัสตร์ ค่อยๆเดินเข้าหากัน
"น้ำค้างพร่างพรม ซ้ำลมรำเพย หนาวใจไร้เชย ชมละเนอ หนาวใจไร้เชย ชมละเนอ"
คนทั้งสองที่ยืนประจันหน้ากันกลางทางเดิน
รังสรรค์เอ่ยปากพูดเสียงแผ่วเบา ทว่าแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
"ขม ลูกพ่อ"
ขมค่อยๆเอ่ยปาก
"พ่อ...พ่อขา"
รังสรรค์ยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเขาก็ทรุดตัวลงไปบนพื้น
โขมพัสตร์รีบวิ่งเข้าไปประคอง พร้อมกับรติรสและพจนีย์
"พ่อขา ขมขอโทษค่ะ"
"ลูกยอมรับพ่อเป็นพ่อแล้วใช่มั้ย"
"ค่ะ พ่อคือพ่อของขม"
"เท่านี้พ่อก็ชื่นใจแล้ว...ยกโทษให้พ่อนะลูก...ถึงเวลาที่พ่อต้องไปแล้ว"
"พ่อ"
"มีคนรอพ่ออยู่บนนั้น บุปผา แขนภา...พ่อดีใจที่ได้เป็นพ่อของลูกทั้งสามคน"
แล้วรังสรรค์ก็สิ้นใจ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงม

บริเวณที่บรรจุกระดูกภายในวัด สมาชิกตระกูลรัตนเดชากรนั่งพนมมือ ระหว่างพระกำลังสวด
เสียงในใจขมว่า "มันอาจจะช้าไปสักนิด กว่าที่ขมจะได้เอ่ยคำนี้ แต่อย่างน้อยขมก็ได้พูดต่อหน้า
พ่อ ในขณะที่พ่อยังมีลมหายใจ ยังได้ยินเสียงขม และเห็นแววตาของขมว่าขมได้อโหสิให้กับความผิดพลาดทุกอย่างในอดีตแล้ว"
รติรสและพจนีย์ นั่งอยู่ด้วย รัฐนั่งข้างๆรติรส
"ย่าบอกว่ามันคือกรรมเก่าที่เราต้องชดใช้ ขมเชื่อว่าพวกเราทุกคนได้ชดใช้กรรมเหล่านั้นแล้ว จากนี้ไปครอบครัวนี้ก็จะมีแต่ความสุข ทั้งพี่น้อง ป้า ย่าและทุกๆคน..."
รวมถึงคุณหญิงรัตนเดชากร ไพลิน และ ภาสธร
"เสียดายที่เถ้ากระดูกของแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่...แต่ขมเชื่อว่าพ่อกับแม่จะได้พบกันในดินแดนที่มีแต่ความสุข สมปรารถนานะคะ..".
ชาติสยามเหลือบมองไปที่โขมพัสตร์ และปิยะ ที่นั่งอยู่ด้านหลัง
รุ้งกาญจน์ เธอลอบมองดูท่าทีของชาติสยาม

ชาติสยามและโขมพัสตร์ เดินอยู่บนทางเดินร่มรื่นในวัด
"ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ขมทำ อาเชื่อว่าดวงวิญญาณของคุณรังสรรค์ แม่แข และพี่ชวาล คงจะมีความสุข"
"ขอบคุณอาด้วยที่ช่วยเตือนสติขม"
"คงเป็นหน้าที่สุดท้ายของอา"
ปิยะเดินตรงมาหาขม
"จากนี้ไป ก็จะเป็นหน้าที่ของคนอื่น ที่ไม่ใช่อา"
"ค่ะ เพราะอาก็ต้องคอยดูแลอารุ้งมากกว่ามาดูแลขม"
"อาไปละนะ"
ชาติสยามเดินแยกออกจากโขมพัสตร์
ปิยะเดินมาถึง
"สวัสดีครับคุณอาชาติสยาม...ถ้าแวะไปที่อังกฤษเมื่อไหร่บอกนะครับ ผมอาสาพาอาเที่ยวเอง"
"ไม่จำเป็น ผมมีเพื่อนอยู่ที่นั่นอื้อเลย และรสนิยมการเที่ยวของผมกับคุณคงไม่เหมือนกัน"
ปิยะกระเถิบเข้าไปพูดเบาๆใกล้ๆชาติสยาม
"แต่รสนิยมเรื่องผู้หญิงอาจจะเหมือนกันใช่มั้ยครับ"
"นายอยากรู้จริงๆเหรอ"
"ถ้าเราต้องแข่งกัน ผมน่าจะเป็นต่ออาอยู่หลายช่วงตัวนะ"
"อากลับก่อนนะขม"
ชาติสยามเดินออกไปทันที
"เราว่านายชาติสยามคนนี้ต้องคิดอะไรลึกซึ้งกับขมแน่ๆ เชื่อสิ ผู้ชายด้วยกันมองออก"
"ขมกับอาสนิทกันมากเกินกว่าที่คุณจะเข้าใจค่ะปิยะ"
"ไม่เป็นไร...แต่ว่าขมมีคำตอบให้เรารึยัง"
"คำตอบ ?"
"เรื่องที่จะย้ายมหาวิทยาลัยมาอยู่ที่เดียวกับเราไง...เราจะได้เจอกันทุกวัน โดยไม่ต้องเดินทางข้ามเมืองแบบเมื่อก่อน"

"ขมคิดว่า ขมไม่ควรตัดสินใจเรื่องนี้ตามอำเภอใจตัวเอง..คงต้องขออนุญาตคุณย่าก่อนค่ะ"

รุ้งกาญจน์กำลังตั้งโต๊ะอาหาร โทรศัพท์กลางโถงดังขึ้น

รุ้งกาญจน์เดินไปยกมันขึ้นมาพูด
"ฮัลโหล คุณไพลินเหรอคะ...อยู่ค่ะอยู่ที่นี่ค่ะ กำลังยุ่งนิดหน่อย คุณไพลินมี
อะไรเหรอคะ บอกดิฉันไว้ก็ได้ค่ะ"
ชาติสยามหันไปมองที่รุ้งกาญจน์
"อ๋อค่ะ...ได้ค่ะ ไม่น่ามีปัญหาอะไร...สยามเขาก็น่าจะยอมตามนั้น เห็นด้วยกับ
คุณหญิงนั่นแหละค่ะ สวัสดีค่ะ"
"มีปัญหาอะไรรึเปล่า"
"อยากรู้ขึ้นมาละซี"
"ถ้ารุ้งไม่อยากเล่า ผมไม่อยากรู้ก็ได้"
"เรื่องขม"
"นึกแล้วเชียว อาละวาดอะไรอีกล่ะ"
"เปล่า เป็นเรื่องดี ขมจะย้ายมหาวิทยาลัยค่ะ"
ชาติสยามชักสีหน้าไม่ดีขึ้นมาทันที
"อย่าบอกนะว่าย้ายไปอยู่ที่เดียวกับไอ้หมอนั่น"
"มหาลัยนั้นใหญ่กว่าที่เดิมของขมตั้งเยอะ ถือว่าเป็นโอกาสดีของขม"
"ขมปรึกษาใครรึเปล่า"
"ทุกคน ทั้งคุณหญิง คุณไพลิน แล้วก็รุ้ง"
"แต่เขาไม่ปรึกษาผม"
"สามคนคงพอแล้วมั้ง"
เสียงชาติสยามดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับอารมณ์ที่ค่อยๆรุนแรงขึ้น
"แล้วทั้งสามคนก็ยอมเหรอ...ยอมให้ขมไปอยู่ใกล้ไอ้ผู้ชายพันธุ์นั้น"
"คุณเป็นอะไรรึเปล่า ?"
"เป็นสิ ผมไม่พอใจไง ไม่พอใจมากๆ ที่ไปสนับสนุนให้ขมกลายเป็นเด็กใจแตก"
"คุณพูดเกินไปแล้วละคะ"
"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงหละ ไปเรียนที่เดียวกัน อยู่ใกล้กัน เดี๋ยวก็มีอะไรกันจนได้"
รุ้งกาญจน์ตัดสินใจ พูดตรงๆ ชัดๆ
"คุณหึงขมใช่มั้ย"
"มันไม่ใช่เรื่องหึง"
"หวง"
ชาติสยามถอนหายใจออกมาแรงๆ
"ไม่อยากให้ขมไปชอบผู้ชายอื่น"
"คุณจะสรุปว่าผมเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ผมจะไม่ยอมให้ขมย้ายไปอยู่กับไอ้นั่น"
"แล้วคุณจะทำยังไง"
"ผมจะไปพูดกับขมให้รู้เรื่อง"
รุ้งกาญจน์คว้ากุญแจรถชาติสยามมาถือไว้
"ฉันไม่ให้คุณไป"
"รุ้ง"
"จำวันที่คุณขอหมั้นฉันได้มั้ย ในห้องนอนฉัน ที่บ้านหลังนี้...คุณให้สัญญาว่าเราจะไม่ทะเลาะกันด้วยเรื่องของขมอีก คุณกำลังผิดสัญญา"
"ผมยอมผิดสัญญาเพื่อความปลอดภัยของหลานผม"
"คุณเลิกเรียกขมว่าหลานได้แล้ว ขมคือผู้หญิงอีกคนนึงที่คุณรักและเก็บไว้ในใจตลอดเวลา"
"รุ้งอย่าเหลวไหลน่า เอากุญแจรถผมมา"
รุ้งกาญจน์วางกุญแจรถบนโต๊ะ
"ถ้าคุณไป ทุกอย่างระหว่างเราเป็นอันจบ"
"ไม่...ผมจะไปจบเรื่องของขมกับไอ้นั่น ส่วนเรื่องของเราเดี๋ยวค่อยกลับมาพูดกัน"
"คุณรักขมมากขนาดนี้เลยเหรอ"
ชาติสยามตัดสินใจคว้ากุญแจออกจากบ้านนี้ไป
รุ้งกาญจน์ยืนนิ่ง ซึม

ต่อมา ชาติสยามเดินผ่านสนามตรงไปยังด้านหลังบ้าน โขมพัสตร์และปิยะกำลังนั่งดูข้อมูลมหาวิทยาลัยในหนังสือ ชาติสยามกระชากแขนโขมพัสตร์ขึ้นมา
"ขม มากับอาเดี๋ยวนี้ เรามีเรื่องต้องคุยกัน"
"เฮ้ยคุณทำอะไรน่ะ คุณจะฉุดกระชากขมไปไหน"
"ไปให้ไกลจากนายน่ะสิ"
"เรื่องอะไร"
ปิยะพยายามดึงขมกลับ
ชาติสยามผลักปิยะออกไป
"เรื่องของฉันกับขม ฉันต้องการคุยกับขมเป็นการส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับนาย"
"เกี่ยวสิ ใครทำขมเจ็บมันเกี่ยวกับผมทั้งนั้น"
"อยากจะพูดก็พูดตรงนี้ได้ค่ะ ไม่ต้องกระชากขมอย่างนี้"
"ก็ได้"
ชาติสยามจึงปล่อยมือจากโขมพัสตร์
"อาขอสั่งห้ามขมย้ายมหาลัยไปอยู่กับไอ้หมอนี่เด็ดขาด"
"หึงเหรอวะ"
"หุบปาก"
"คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ผมหุบปากหรือเปิดปาก"
"ถ้าไม่อยากปากแตกก็ทำตามที่ผมบอก"
"ปากคุณก็แตกไม่ยากกว่าปากผมหรอก"
ชาติสยามเงื้อหมัดชกปิยะเต็มแรง
ปิยะเหวี่ยงหมัดสวนกลับไป

ทั้งคู่ซัดกันคนละสองสามหมัด

โขมพัสตร์พุ่งเข้าไปแยกคนทั้งสองพร้อมตะโกนลั่น

"หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้"
"ขมเห็นรึยังว่า ไอ้อาจอมปลอมของขมคนนี้มันเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง"
"แกมันก็พวกหลอกกินผู้หญิงไปวันๆนั่นแหละ นึกว่าฉันไม่รู้เหรอ"
"หยาบคายเกินไปแล้วค่ะอา"
"คนอย่างมันก็ต้องหยาบอย่างนี้หละ ขมไม่ทันมันหรอก ไอ้หมอนี่มันเสือผู้หญิงชัดๆ"
"ผมว่าคุณคุมสติไม่อยู่แล้วหละครับ คุณชาติสยาม...คุณหึงจนไม่มีเหตุผล คุณอ้างกับใครๆว่าคุณเป็นอาขม แต่จริงๆคุณคิดในทางชู้สาวกับขม คุณยอมรับเถอะ ผมแค่เป็นเพื่อนใหม่ ที่ขมพอใจจะคบหา คุณก็ออกอาการขนาดนี้แล้ว...คุณมันผู้ชายเห็นแก่ได้จริงๆ"
ชาติสยามพุ่งเข้าไปชกปิยะอีกหนึ่งหมัด
"พอได้แล้ว ขมบอกให้พอ"
"คู่หมั้นของคุณคงดีใจสินะ ที่คุณเป็นแบบนี้...หรือว่าพวกคุณเป็นพวกโรคจิตวิปริตทางเพศ ชอบให้คนของตัวมีอะไรกับคนอื่น หวังว่าคงไม่ถึงกับนิยมเซ็กหมู่หรอกนะ"
"มึง"
ทั้งสองพุ่งเข้าหากันอีกครั้ง
โขมพัสตร์ปราดเข้าไปขวางกลางไว้
"กลับไปได้แล้วค่ะ ขมไม่ต้องการเห็นหน้าพวกคุณทั้งสองคนเลย ไป ออกไปได้แล้ว"
ทั้งสองจึงแยกห่างออกจากกัน
ปิยะยังคงเย้ยชาติสยามต่อ
"คุณเอาขมไป แล้วยกคู่หมั้นคุณให้ผมมั้ยล่ะ...ผมชอบเหมือนกันนะผู้หญิงแก่กว่าหน่อยๆน่ะ เซ็กส์ดี"
ชาติสยามกระชากคอปิยะเข้ามาพูดใกล้ๆ
"ถ้ามึงไม่หยุดพูดมึงตาย"
"เถื่อนๆแบบนี้ คู่หมั้นคุณคงชอบสินะ คุณชาติสยาม"
ชาติสยามหันไปมองโขมพัสตร์ที่ยืนจ้องตาเขม็ง เขาจึงปล่อยมือจากปิยะ แล้วเดินออกไป

ต่อเนื่องมา คืนนั้นฝนตกหนัก ซ่อนกลิ่นเดินมาเปิดประตูบ้าน
ชาติสยามยืนตัวเปียก หน้าแดงก่ำเพราะความเมา
"นึกแล้วเชียวว่าต้องทะเลาะกัน"
"ครับป้าซ่อนกลิ่น"
"แล้วทำไม ปากแตกด้วยล่ะ ไปกินเหล้าจนเมามีเรื่องกับใครมารึเปล่าคะ"
"มีเรื่องก่อน แล้วค่อยกินเหล้าทีหลังครับ...ผมอยากคุยกับรุ้งครับ"
"ทะเลาะกันอย่างนี้ คิดว่ายายรุ้งจะอยู่รอคุยกับคุณเหรอ"
"รุ้งไปไหน"
"ไปไร่พ่อเขาที่เมืองจันท์ พอทะเลาะกับคุณก็โทรตามฉันให้มาเฝ้าบ้านให้ แล้ว
ก็เผ่นแน่บไปไร่"
"ไปยังไง"
"เหมาแท๊กซี่ไป"
"ที่นั่นมีโทรศัพท์มั้ยครับ"

สายฝนหนาตาผ่านทางช่องหน้าต่างที่ไร่ โทรศัพท์กลางโถงดังขึ้น
รุ้งกาญจน์ รับโทรศัพท์
"ฮัลโหล"
"รุ้ง...ผมขอโทษ"
"ฉันต้องทนฟังคำขอโทษจากปากของคุณอีกกี่ครั้งคะ"
ชาติสยามทั้งเปียก ทั้งเมา นั่งพูดโทรศัพท์อยู่กลางบ้าน
"ช่วยผมด้วยรุ้ง...ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้...ช่วยผมได้มั้ยครับรุ้ง"
รุ้งกาญจน์อึ้งไป
"ช่วยยังไงคะ"
"ช่วยทำให้ผมลืมขมได้มั้ย...ผมไม่อยากมีขมอยู่ในใจ"
"คุณต้องช่วยตัวเองค่ะ รุ้งจะทำอะไรได้"
ชาติสยามน้ำตาค่อยๆไหลออกมาในระหว่างที่เขาพูด
"เป็นกำลังใจให้ผมได้มั้ย อยู่ข้างๆผม อย่าเพิ่งทอดทิ้งผม...ผมรักรุ้งนะ รักมาก แต่อยู่ๆขมก็เข้ามามีอิทธิพลในใจผม โดยไม่รู้ตัว...ผมต้องการเอาออกไป ผมไม่ต้องการผูกพันทางใจกับขมมากไปกว่านี้อีกแล้ว"
รุ้งกาญจน์ใจอ่อนลง เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของชาติสยาม
"คุณต้องเข้มแข็ง"
"ผมว้าเหว่ ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ความรักจากคุณเท่านั้นที่จะทำให้ผมลืมขมได้"
"แน่ใจเหรอคะ"
"แน่ใจ...เรารีบแต่งงานกัน แล้วไปอยู่ที่ไกลๆที่มีแต่เราได้มั้ย รุ้ง"
"คุณกำลังหนีความจริงนะคะ"
"ผมไม่ได้หนี ผมกำลังสร้างความเป็นจริงให้กับเรา ให้ผม ให้คุณ...เพื่อให้เรากลับมารักกันเหมือนเดิม ได้มั้ยรุ้ง ช่วยผมได้มั้ย ผมต้องการรุ้งนะ"
"ค่ะ"
"บ้านไร่คุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปหา...ผมอยากกอดคุณ"
"ฉันจะไปหาคุณเองค่ะ"
"มาหาผมเร็วๆนะ ผมจะรออยู่ที่บ้าน...พรุ่งนี้เช้าเราต้องเจอกันนะ"
"ฉันจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้หละ"
"ดึกแล้ว ฝนก็ตก คุณจะมายังไง"
"หายืมรถที่ไร่นี้ไม่ยาก...ฉันจะช่วยคุณค่ะชาติสยาม ฉันจะทำให้คุณกลับมามี
ความรักที่สวยงามเหมือนเดิม...ถ้าคุณรักฉันจริง เราได้เจอกันแน่ค่ะ"
"ผมจะรอ"

ชาติสยามขับรถกลางสายฝน เขากำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน
รุ้งกาญจน์ขับรถกลางสายฝน เธอกำลังมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ

ขมนั่งอยู่กลางห้องนอน เหม่อมองสายฝนที่ไหลผ่านหน้าต่าง

ชาติสยามเดินเข้าบ้าน รินเหล้าดื่ม พร้อมกับยืนมองสายฝนเหล่านั้น

รุ้งกาญจน์ขับรถกลางสายฝน เธอต้องเพ่งสายตามากเป็นพิเศษ เพราะสายฝนที่ตกหนัก ทำให้ทัศนวิสัยในการขับมีปัญหา

ขมเอนตัวลงนอนครุ่นคิด

ห้องพักปิยะ ช่วงเย็นที่ผ่านมา เขาพูดโทรศัพท์
"เราขอโทษนะขม...หวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะยังเหมือนเดิมนะ"

ชาติสยามเมา ฟุบหลับกลางโถงบ้าน

รุ้งกาญจน์พยายามหรี่ตามองถนนมากยิ่งขึ้น ทันใดแสงไฟลำใหญ่ ก็พุ่งสวนเข้าไปที่หน้ารุ้งกาญจน์

รุ้งกาญจน์ตกใจ พยายามหักพวงมาลัยรถหลบ เสียงโครมครามดังลั่น พร้อมกับที่ร่างของรุ้งกาญจน์ถูกอัดกระแทกเข้ากับพวงมาลัยอย่างแรง

อ่านต่อตอนที่ 24


กำลังโหลดความคิดเห็น