ดงผู้ดี ตอนที่ 22 : “ชาติสยาม” หึง! “ขม” หนีบแฟนหนุ่มมาไทยด้วย
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
ชาติสยามกำลังแกะจดหมายจากประเทศอังกฤษออกเพื่ออ่าน
เสียงโขมพัสตร์ดังตามอักษร
“จดหมายฉบับนี้ขมเขียนถึงอา เพื่อขอความเห็นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียน แต่เป็นเรื่องของพี่รัฐกับพี่รส...ขมเพิ่งได้รับจดหมายจากพี่รัฐ เขียนมาบอกรักขม ขมสงสารพี่รสค่ะ ขมอยากช่วยให้พี่รสสมหวัง เพราะพี่รสรักพี่รัฐมาก ทางเดียวก็คือต้องทำให้พี่รัฐตัดใจจากขมให้ได้...ขมมีแผนค่ะอา...ขมจะบอกพี่รัฐว่าขมมีแฟนแล้ว อาว่าดีมั้ยคะ”
ชาติสยามมีรอยยิ้มกับความคิดของขม เขาเดินไปหารุ้งกาญจน์
“รุ้ง อ่านนี่สิ”
“จดหมายขมเหรอคะ”
“ใช่ ขมกำลังวางแผนหลอกนายรัฐว่ามีแฟนแล้ว”
ชาติสยามยื่นจดหมายฉบับนั้นให้รุ้งกาญจน์
รุ้งกาญจน์หยิบรูปถ่ายที่อยู่ในซองขึ้นมาดู เป็นภาพชายหนุ่มหน้าตาสะอาด
เสียงโขมพัสตร์ดังเข้ามาอีกครั้ง
“นี่คือนักเรียนไทยชื่อปิยะค่ะ เรียนอยู่คนละเมืองกับขม แต่เขาแวะมาหาเพื่อนที่นี่บ่อยๆ เราก็เลยได้รู้จักกัน ขมขออนุญาตใช้เขาหลอกว่าเป็นแฟนขม เขาไม่ว่าอะไร ขมก็เลยรีบส่งรูปปิยะไปให้พี่รัฐดู อาว่าแผนนี้จะสำเร็จมั้ยคะ”
“คิดอะไรง่ายไปหน่อยนะ ขมเอ๊ย”
รุ้งกาญจน์ว่า“อาจจะคิดเยอะกว่าที่เราเข้าใจก็ได้ ใครจะรู้”
ชาติสยามฉุกคิดขึ้นมานิดนึง
กลางระเบียงสวย เรือนเล็ก รติรสกับพจนีย์กำลังเตรียมการสำคัญบางอย่าง
เราจะเห็นว่า เค้กหนึ่งก้อนวางอยู่ใกล้ๆพวกเขา
“พจน์ไปตามพี่รัมภ์มาได้แล้ว บอกเขาว่า พี่เครียด พี่เป็นลมนะ พอมาใกล้ๆก็ส่งเสียงนำมาให้พี่รู้หน่อย พี่ก็จะโผล่มาพร้อมกับเค้กก้อนนี้ แล้วเราก็ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์กัน”
“วางแผนขนาดนี้ พี่รสคิดอะไรกับพี่รัมภ์รึเปล่า”
“คิดอะไร ?”
“ไม่ใช่แฟนกันเขาจะทำขนาดนี้เหรอ”
“พี่รัมภ์เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพี่ พี่อยากทำอะไรให้เขาบ้าง”
“ถ้าพี่รัมภ์คิดกับพี่มากกว่านั้นล่ะ พี่จะไม่เปลี่ยนความรู้สึกจากเพื่อนเป็นอย่างอื่นบ้างเหรอ...ลองคิดดูนะ พจน์เชียร์เต็มที่เลย”
“รีบไปเถอะน่า เดี๋ยวเขาออกจากบ้านไป จะเสียแผนหมด”
พจนีย์รีบเดินออกไปโดยเร็ว
รติรส จัดวางเค้กก้อนนั้นในตำแหน่งที่เหมาะสม
รัฐก้าวเข้ามาทางด้านหลังรติรสหน้าแดงก่ำเพราะความเมา
“รส”
“พี่รัฐ !”
“ช่วยพี่ด้วย”
“พี่รัฐเป็นอะไร พี่ดื่มเหล้ามาเหรอ”
“พี่อยากตาย”
“พี่รัฐ ทำไมพูดอย่างนั้น”
อารมณ์ของรัฐค่อยๆพลุ่งพล่านแรงขึ้น
“ก็จดหมายที่รสเขียนให้พี่ มันไม่ได้ผล ขมตอบพี่มาว่าขมไม่รักพี่ และห้ามพี่ติดต่อขมอีก เพราะขมมีแฟนแล้ว ชื่อปิยะ...นี่ไงรูปมัน”
รัฐขว้างรูปปิยะลงบนพื้น แล้วใช้เท้ากระทืบอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้ปิยะ...มันแย่งขมไปจากพี่ มันดีกว่าพี่ตรงไหน รสดูหน้ามันสิ แล้วบอกพี่ซิว่าขมรักมันได้ยังไง”
“พี่รัฐใจเย็นๆก่อนค่ะ”
“ใจเย็นแล้วขมจะกลับมารักพี่เหรอ...รส ตอบพี่ซิ”
“รส...รสไม่รู้”
“ทำไมไม่รู้ ในเมื่อรสบอกพี่เองว่า ถ้าพี่เขียนจากความจริงใจแล้วผู้หญิงจะไม่ปฏิเสธ”
“รสคิดว่าขมจะเป็นเหมือนรสนี่คะ”
“ถ้าพี่บอกว่าพี่รักรส รสจะไม่ปฏิเสธพี่ใช่มั้ย”
รติรสถึงกับอ้ำอึ้ง“รส...”
รัฐตะโกนลั่น คาดคั้น “ใช่มั้ย”
“รส”
“ทำไมรสไม่เป็นขมนะ”
“ถ้ารสเป็นขม พี่รัฐจะทำอะไรคะ”
รัฐจ้องมองรติรสเต็มๆตา
“พี่ก็จะบอกรักรส และก็ทำอย่างอื่นด้วย”
“ทำอะไรคะ”
“ทำอย่างนี้ไง”
รัฐดึงร่างของรติรสเข้ามาจูบอย่างแรง
รติรสไม่มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด ภาษาร่างกายของทั้งคู่บอกให้รู้ว่าความสุขกำลังซึมซาบไปทั่วทุกอณูของคนทั้งสอง
พจนีย์ลากรัมภ์เข้ามากลางสนามหญ้าใกล้ระเบียงและเดินตรงไปยังระเบียง
“ทางนี้ค่ะพี่รัมภ์ พี่รสเป็นลมอยู่ที่ระเบียงทางนี้”
“มืดๆอย่างนี้เหรอ”
“มืดๆอย่างนี้น่ะสิ พี่รสถึงได้เป็นลม...เร็วๆเข้าสิพี่รัมภ์ เดี๋ยวพี่รสชักขึ้นมาจะว่ายังไง”
“จริงอ้ะ”
“จริง”
“จะเซอร์ไพรส์วันเกิดพี่ใช่มั้ยล่ะ...บอกมาตรงๆดีกว่า”
“ทำเป็นรู้ดีนะ...รีบเข้าไปเถอะน่าพี่รัมภ์”
“ก็ได้...พี่จะทำเป็นเชื่อก็แล้วกันนะ”
รัมภ์เดินยิ้ม พร้อมกับเอ่ยปากตะโกน
“รส พี่มาแล้วจ้า”
ที่ระเบียงนั้น
รัมภ์ก้าวเข้ามาที่หน้าระเบียงนั้น ช็อคกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า
รัฐยังคงกอดจูบกับรติรสอยู่ที่เดิม
พจนีย์ก้าวเข้าตามมา ถึงกับสะดุ้งสุดตัว
"อุ้ย !"
รัฐจึงผละจากรติรส ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
รัมภ์เอ่ยปากเสียงสั่น
"เป็นของขวัญวันเกิดที่ เซอร์ไพรส์พี่มากจริงๆ"
รัมภ์ขยับตัวเดินกลับไปทันที
"พี่รัมภ์" พจนียืเรียก
"รส...พี่ พี่ ขอโทษ" รัฐบอก
รัฐเดินก้าวยาวๆออกไป
รติรสได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก
พจนีย์เดินเข้ามาใกล้พี่สาว
"พี่รส...พี่รู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป"
"พี่..."
"พี่เพิ่งทำให้ผู้ชายดีๆคนนึง ต้องหัวใจสลาย รู้ไว้ด้วย"
ซ่อนกลิ่นยกโทรศัพท์ขึ้นพูดกลางโถงบ้าน
ขณะนั้น ชาติสยามกับรุ้งกาญจน์กำลังเลือกแบบการ์ดแต่งงานอยู่
"ฮัลโหล....ใช่จ้ะ ที่นี่บ้านคุณรุ้งกาญจน์...คุณชาติสยามอยู่ที่นี่จ้ะ กำลังเลือกแบบการ์ดงานแต่งงานอยู่...เดี๋ยวจะบอกให้ก็แล้วกัน"
ซ่อนกลิ่นวางโทรศัพท์ แล้วเดินไปหาชาติสยาม
"มีโทรศัพท์ถึงคุณ เขาบอกว่าชื่อรัฐ เขาอยากคุยกับคุณมากๆ เรื่องเกี่ยวกับขม"
โต๊ะอาหารในร้านแห่งหนึ่ง รัฐ ชาติสยาม รุ้งกาญจน์ นั่งอยู่ที่นั่น
"ผมได้รับจดหมายจากขม เขาบอกเรื่องสำคัญมาเรื่องนึง ไม่รู้ว่าคุณรู้รึยัง"
"เรื่องอะไร"
"ขมมีแฟนแล้ว ชื่อปิยะ"
ชาติสยามกับรุ้งกาญจน์มองหน้ากันเล็กน้อย
"พวกคุณไม่ตกใจเลยเหรอ...หรือว่าคุณรู้อยู่แล้ว"
ชาติสยามบอก "ก็เพิ่งได้ยินจากคุณนี่แหละ"
"ผมไม่แน่ใจว่าที่ขมเขียนมา เพื่อแกล้งหลอกผม หรือว่าเป็นเรื่องจริง"
"คิดว่าเราจะตอบแทนขมได้เหรอคะ"
"ก็อาจจะดีกว่า ผมเดาเอาเอง"
"คุณรัฐคะ ขมไม่ใช่เด็กแบเบาะนะคะ ทั้งสวยทั้งฉลาด ก็ต้องมีผู้ชายมาจีบเป็นธรรมดา"
"เรื่องนั้นผมเข้าใจ แต่ผมอยากรู้ว่านายปิยะคนนี้คือแฟนขมจริงรึเปล่า"
"ขมว่ายังไงก็คงอย่างนั้นแหละค่ะ"
"แล้วเราไว้ใจนายคนนี้ได้เหรอครับ มันอาจจะหลอกขมก็ได้ ขมไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องความรักมาก่อนด้วย"
"ผมมั่นใจในวิจารณญานของหลานผม"
"ไม่คิดจะห้ามปรามทักท้วงบ้างเหรอครับ"
"ความรักเป็นเรื่องของจิตใจ ที่บังคับกันไม่ได้ครับ"
"งั้นผมก็ไม่มีเรื่องอะไรปรึกษาอีกแล้วครับ"
รัฐขยับตัวลุกขึ้น แล้วจึงตัดสินใจเอ่ยปากถามเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
"เอ้อ เมื่อเช้าคุณได้ไปที่บ้านพุทธชาดรึเปล่า"
"มีอะไรเหรอครับ"
"เปล่าครับ...ผมแค่จะถามถึงรติรส"
"บ้านคุณอยู่ติดกับบ้านพุทธชาด รติรสก็สนิทกับคุณ คุณถามเองได้เลยนี่ครับ ไม่เห็นต้องถามผม"
รัฐนิ่งไป ไม่เอ่ยปากถามอะไรอีก
รติรสนั่งซึมอยู่ในห้องนอนของเธอ พจนีย์เปิดประตูเดินเข้ามาจ้องหน้าพี่สาว
"พจน์"
"คิดว่าการนั่งซึมอยู่แต่ในห้อง จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้เหรอ"
"พี่ไม่ได้เป็นคนสร้างปัญหานะพจน์ และพี่ก็ไม่มีเจตนาจะทำร้ายใครด้วย"
"งั้นพี่รสลงไปพูดกับเขาเองก็แล้วกัน..เขารออยู่หลังบ้าน"
พจนีย์ขยับตัวจะเดินออกจากห้อง
รติรสเอ่ยปากเรียกไว้
"พจน์ เรื่องระหว่างพี่กับพี่รัฐ.."
"พี่รัฐเมา พจน์รู้แล้ว"
"เขาคิดว่าพี่เป็นขม"
"แล้วไง...พี่ก็เลยยอมเป็นขมให้เขากอดจูบ ไม่คิดจะหลีกเลี่ยงปฏิเสธเลยเหรอ"
รติรสนิ่งไป พูดอะไรไม่ออก
"ถ้าพี่รสเลือกที่จะรักคนที่ไม่ได้รักพี่...พี่ก็ไม่ควรทำร้ายจิตใจคนที่รักพี่"
รติรสเดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน รัมภ์ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น
"พี่รัมภ์"
รัมภ์หันหน้ามา ส่งยิ้มกว้างให้รติรส
"พี่รัมภ์จะไม่พูดอะไรเลยเหรอ เอาแต่ยิ้ม"
"พี่ยิ้มทุกครั้งที่เห็นหน้ารส ถ้ารสจำได้"
"รสจำได้ค่ะ"
"แต่รสชอบทำท่าซึมเศร้า...พี่ต้องหาเรื่องมาคุยแหย่เล่นอยู่นาน กว่าจะมีรอยยิ้มโผล่มาให้เห็น...และมันก็เริ่มต้นจากรอยยิ้มของรสนั่นแหละ ที่พาพี่ไปไกลกว่านั้น จนลืมหันมาถามว่า รสคิดเหมือนพี่ รึเปล่า"
รติรสถึงกับอึ้งไปชั่วครู่
"รส"
"พี่ได้คำตอบนั้นแล้ว...ในวันเกิดของพี่ เป็นของขวัญวันเกิดที่พี่ไม่มีวันลืม"
"พี่รัมภ์"
"มันทำให้พี่รู้ว่า ความรักที่แท้จริงคือความบริสุทธิ์ใจ เราไม่สามารถเอาความรักของเราไปเรียกร้องขอความรักตอบจากใครได้ ถ้าใจเขาไม่ได้รัก...พี่รู้ว่าพี่ไม่มีวันได้รับสายตาแบบที่รสมองนายรัฐ เพราะฉะนั้นพี่ก็ไม่ควรดันทุรังต่อไป...วันนี้พี่จะมาลารส"
"พี่จะไปไหน"
"พี่จะไปเรียนต่อเมืองนอก...ยังไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้หรอก...คงอีกสักพักนึง แต่ระหว่างนี้ รสต้องยิ้มให้ได้ด้วยตัวรสเองนะ พี่คงไม่มีเวลามาแหย่ให้รสยิ้มอีกแล้ว...พี่ไปละ"
รัมภ์ขยับตัวเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย รติรสค่อยๆทรุดตัวลงนั่งร้องไห้
รังสรรค์เดินเข้ามาหาลูกสาว
"ไม่ใช่ความผิดของลูกหรอก"
"พ่อ"
"พจนีย์เล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อฟังแล้ว"
"รส ทำร้ายจิตใจเขา โดยไม่ได้ตั้งใจ"
"ชีวิตก็แบบนี้หละลูก ไม่มีอะไรสมหวังได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องความรัก"
"รสควรจะรักเขาใช่มั้ยคะพ่อ"
"ต้องถามใจตัวเอง ลูกยังมีโอกาสเจอผู้คนอีกเยอะ แต่ถ้าลูกรักใคร ลูกต้องรักทั้งหมดที่เป็นเขา แม้ว่าเขาจะไม่รักลูกก็ตาม"
รังสรรค์ลูบศีรษะลูกสาวด้วยความรัก
จู่ๆเขาก็ทรุดตัวลง ใช้มือกุมบริเวณท้อง ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ทรมาน
รติรสตกใจ ตะโกนลั่น
"พ่อ...พ่อ...ช่วยด้วย ใครอยู่ในบ้านช่วยพ่อด้วย"
นายแพทย์ก้าวหน้าเครียดเข้ามา เขาขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าคุณหญิงรัตนเดชากรและไพลิน
"ผมคงต้องเรียนคุณหญิงและคุณไพลินตรงๆว่า วิธีการบำบัดรักษาที่เราทำกับคุณรังสรรค์ ไม่มีผลตอบสนองกับเซลล์มะเร็งแต่อย่างใด"
ไพลินถาม "หมายความว่ายังไงคะ"
"พูดง่ายๆก็คือ เราฆ่าเซลล์มะเร็งไม่สำเร็จครับ"
"แปลว่าตารังสรรค์"
"คุณหมอเปลี่ยนยา หรือเปลี่ยนวิธีการรักษาเป็นแบบอื่นไม่ได้เหรอคะ" ไพลินว่า
"นั่นเป็นสิ่งที่หมอจะพยายามต่อไป แต่ที่ต้องรีบเรียนคุณหญิงก่อนก็คือ เราไม่อาจมั่นใจได้ว่าความพยายามนั้นจะเป็นผลหรือไม่"
คุณหญิงและไพลิน ต่างนิ่งอึ้ง
"ลูกชายฉันเหลือเวลาอีกเท่าไหร่คะ"
ห้องพักคนไข้ ในโรงพยาบาล รังสรรค์ชันตัวขึ้นนั่งบนเตียงคนไข้
"สองเดือนเองเหรอครับ"
"อาจจะนานกว่านั้นได้ ถ้าแกทำตามที่หมอบอก หมอก็อาจจะประคับประคองไปได้เรื่อยๆ...กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ากำลังใจดี กำลังกายก็ดีไปด้วย"
"ผมใช้ชีวิตคุ้มแล้วครับแม่ ผมได้ทำอะไรตั้งหลายอย่าง ทั้งที่ควรทำและไม่ควรทำ ผมเคยทำให้แม่ ให้พี่ภูมิใจมากพอๆกับทำเรื่องเหลวไหลให้ทุกคนต้องลำบากใจ"
"ไม่มีใครโกรธแกหรอก รังสรรค์" ไพลินว่า
"ลูกสาวผมก็ได้รับการอบรมจากแม่ จากพี่ จนไม่มีอะไรให้ห่วง เหลือแต่เพียง..."
รังสรรค์หยุดนิ่งไปนิดนึง ก่อนเอ่ยปากต่อ
"ผมจะอยู่ถึงวันที่ขมเรียนจบมั้ยครับ"
"ถึงสิ ต้องถึง" ไพลินให้กำลังใจน้องชาย
"และเมื่อถึงวันนั้น ขมจะยอมเรียกผมว่าพ่อมั้ยครับ"
ไม่มีใครเอ่ยปากตอบคำถามนี้
"นับเวลาดูแล้ว...ผมคงอยู่ไม่ถึงวันที่จะได้ยินคำนั้นหรอก"
"ตารังสรรค์"
"แค่ได้เห็นหน้าเขาอีกสักครั้งก็เป็นกำไรชีวิตสำหรับพ่อเลวๆอย่างผมแล้วครับ"
โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายในห้องพักที่ประเทศอังกฤษ
"อาขา ขมมีเรื่องมาเล่าให้อาฟังอีกแล้วค่ะ...อาจำปิยะได้มั้ยคะ เพื่อนคนที่ขมขอรูปเขามาหลอกพี่รัฐว่าเป็นแฟนขมน่ะ...อารู้มั้ยคะ ปิยะเพิ่งมาขอเป็นแฟนขมจริงๆค่ะ อาคิดว่ายังไงดีคะ"
เวลากลางคืน ชาติสยามเดินอ่านจดหมายฉบับนี้กลางโถงบ้าน
"ปิยะเขานิสัยดีนะคะ เขาเรียนกฎหมายเหมือนขม เราก็เลยคุยกันเรื่องเรียน และก็แลกเปลี่ยนหนังสือกันอ่านอยู่บ่อยๆ เขาขับรถมาที่มหาลัยขมทุกอาทิตย์เลยนะอา"
มุมหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ ปิยะกำลังอธิบายตำรากฎหมายให้โขมพัสตร์ฟัง ทั้งสองหัวเราะร่าเริง ไม่เครียดไปกับตำรานั้น
"เราอายุเท่ากัน แต่เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าขมเยอะเลย เขาชอบสอนนู่นสอนนี่ แต่บางทีก็คุยเล่นได้สนุกสนาน จนเราสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ"
ชาติสยามขยับตัวลงนั่งอ่านจดหมายที่โต๊ะ หน้าตาเครียด
"ขมดูๆไปแล้ว เขาเหมือนอาเลยหละ คงเพราะอย่างนี้มั้ง ขมก็เลยถูกชะตากับเขา อาว่าขมควรจะตอบตกลงเป็นแฟนเขาดีมั้ยคะ อย่างน้อยปิยะก็ทำให้ขมรู้สึกเหมือนมีอาอยู่ใกล้ๆ...ขมว่าขมมีคำตอบให้ตัวเองแล้วหละค่ะอา"
มุมหนึ่งในมหาวิทยาลัย ที่ประเทศอังกฤษ โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายฉบับนี้
"อามาเที่ยวที่นี่เมื่อไหร่ ขมจะแนะนำให้รู้จักนะคะ...รักและคิดถึงค่ะ"
ปิยะเดินเข้ามาเมื่อขมเขียนจดหมายเสร็จ
"เขียนจดหมายถึงใครครับ"
"อาของขมค่ะ เขาเป็นผู้ปกครองที่ขมรักที่สุด"
"ผมอยากรู้จักเขาจัง"
ชาติสยามโยนจดหมายลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ รุ้งกาญจน์เดินเข้ามาจากนอกบ้าน
"มีอะไรรึเปล่าคะ"
"เปล่า"
"จดหมายขมไม่ใช่เหรอ"
"อือม เขียนมาบอกว่าจะมีแฟน...เหลวไหล ให้ไปเรียน ไม่ใช่ไปมีแฟน"
"เราสองคนก็เริ่มคบกันตอนเรียนที่นั่นนะคะ อย่าลืมสิ"
เสียงโทรศัพท์กลางบ้านดังขึ้น ชาติสยามเดินไปยกมันขึ้นมาพูด
"ฮัลโหล...ผมยังไม่นอนครับคุณหญิง คุยได้ครับ"
โถงเรือนใหญ่ คุณหญิงรัตนเดชากรก้าวเข้ามาพร้อมกับพูดโทรศัพท์
"ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือเธอหน่อย...ช่วยบอกให้ขมกลับมาบ้านได้มั้ย"
ชาติสยามหน้าตายังขุ่น เครียดอยู่
"เดี๋ยวนี้ขมเขาตัดสินใจอะไรๆด้วยตัวเองแล้วครับ ผมไม่สามารถสั่งอะไรเขาได้"
"แต่ครั้งนี้สำคัญจริงๆ...เพราะนายรังสรรค์เหลือเวลามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วัน...ขอ
ให้พ่อลูกได้เจอหน้ากันสักครั้งได้มั้ย"
"ผมอยากจะช่วยท่านครับ แต่ไม่แน่ใจว่าขมจะยอมฟังผมมั้ย"
"พยายามหน่อยนะชาติสยาม ฉันไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนแล้ว"
"ครับ"
ชาติสยามวางโทรศัพท์ลง
รุ้งกาญจน์เดินเข้าไปใกล้ เพื่อรอฟังรายละเอียดจากเขา
"คุณรังสรรค์อาการหนัก เขาอยากเจอขมก่อนตาย"
"เพราะขมจะมีแฟน คุณก็เลยงอนจนไม่อยากยุ่งด้วยงั้นเหรอคะ"
"เปล่า"
"อย่าทำตัวเป็นเด็กขี้งอนนักสิคะ คุณอาชาติสยาม"
รุ่งขึ้น รัมภ์นั่งนิ่งๆอยู่ที่ระเบียงสวย สักพัก พจนีย์เดินเข้ามานั่งข้างๆเขา
"พจน์เองเหรอ"
"ผิดหวัง ที่เป็นพจน์ ?"
"เปล่า...แค่มีคนมานั่งข้างๆด้วย ก็เกินกว่าที่หวังไว้แล้ว"
"พจน์คิดว่าพี่รัมภ์จะโกรธเกลียดผู้หญิงบ้านนี้จนไม่เหยียบมาที่นี่อีก"
"พี่ควรจะทำอย่างนั้นเหรอ"
"ก็พจน์เห็นพี่หายไป"
"พี่วุ่นกับการเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอกต่างหาก"
"พี่จะไปเมื่อไหร่"
"เช้ามืด พรุ่งนี้"
"เร็วจัง"
"ใช่ เร็วจนพี่คิดไม่ทันว่าพี่ควรจะกล่าวคำลากับใครบ้าง...พี่ก็เลยตั้งใจว่า จะนั่งนิ่งๆตรงนี้ซักชั่วโมงนึง ถ้ามีใครเดินเข้ามาหา แปลว่าคนนั้นคือคนที่พี่ควรจะกล่าวคำอำลากับเขา"
รัมภ์มองหน้าพจนีย์ด้วยสายตาอ่อนโยน ต่างไปจากเมื่อก่อน
"คนนั้นก็คือ พจนีย์"
"พจน์ไม่ชอบการร่ำลา"
"พี่ก็เหมือนกัน"
"เปลี่ยนเป็นการเริ่มต้นได้มั้ยคะ"
"ยังไง ?"
"หลังจากวันนี้ พจน์จะคิดถึงพี่รัมภ์ทุกวัน เท่าที่จะเป็นไปได้ และเมื่อพจน์เรียนจบ พจน์จะสมัครไปเรียนต่อเมืองนอก ที่เดียวกับที่พี่รัมภ์เรียน พี่รัมภ์จะว่าอะไรมั้ย"
รัมภ์ยิ้มให้พจนีย์อย่างนุ่มนวล
"งั้นพี่ก็จะเริ่มต้นนับวันรอตั้งแต่วันนี้เลย ดีมั้ย"
พจนีย์โผเข้าไปกอดรัมภ์ และความรักก็ไหลซึมผ่านร่างของคนทั้งคู่
ณ ห้องพักคนไข้ในโรงพยาบาล รังสรรค์ลืมตาขึ้น รติรสยืนอยู่ข้างเตียง พร้อมด้วยชาติสยาม
"พ่อคะ คุณชาติสยามมาเยี่ยมค่ะ"
"ลูกออกไปนั่งเล่นข้างนอกก่อนก็ได้"
รติรสเดินออกไปแต่โดยดี
"คุณหญิงบอกว่า อาการคุณหนัก"
"หนักมาก...ผมเหลือเวลาอีกไม่นานนัก...ยายรสกับพจนีย์ยังไม่รู้...ผมไม่อยากให้พวกเขาตกใจ"
"คุณต้องนอนที่โรงพยาบาลอย่างนี้ตลอดไปเหรอครับ"
"ไม่...อีกวันสองวันก็กลับบ้านได้แล้ว...หมอเขาใจดี เขาอนุญาตให้ผมไปนอนตายที่บ้าน เขาว่าน่าจะมีความสุขกว่าตายที่โรงพยาบาล"
ชาติสยามถอนใจเบาๆ ไม่อาจพูดอะไรต่อได้อีก
"ใครๆก็บอกให้ผมพูดแต่เรื่องดีๆ มีกำลังใจดีๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง ยืดอายุได้อีก แต่ผมไม่รู้ว่าไอ้เรื่องดีๆที่ผมควรจะพูดน่ะคืออะไร...พูดทีไรก็มีแต่เรื่องตาย"
ชาติสยามยืนฟัง สงบนิ่ง
"แม่ผมขอร้องอะไรคุณรึเปล่า"
"ครับ"
"คุณคงลำบากใจสินะ"
"ขมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาไม่เชื่อใคร นอกจากตัวเอง"
"นี่คงเป็นข่าวร้ายสำหรับผม"
"เสียใจด้วยครับ"
ชาติสยามขยับตัวจะเดินออกจากห้อง
"ผมเชื่อมาตลอดว่า คุณคือคนเดียวที่ขมรักและไว้ใจ..."
ชาติสยามหยุด ยืนฟังต่อ
"ถ้าคุณเป็นหนุ่มโสด ผมอยากจะยกขมให้คุณจริงๆ...แต่คุณไม่ใช่หนุ่มโสด และผมก็ไม่ได้รับสิทธิของการเป็นพ่อขม"
ชาติสยามยังคงยืนนิ่ง
"ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มาเยี่ยมผม"
รติรสนั่งก้มหน้านิ่งๆ บริเวณโถงโรงพยาบาล รัฐยืนเบื้องหน้า
"พี่รัฐ มาเยี่ยมคุณพ่อเหรอคะ"
"พี่มาหารส...คุยกับรสเสร็จแล้วค่อยเข้าไปเยี่ยมคุณรังสรรค์"
"พี่รัฐมีธุระอะไรเหรอคะ"
รัฐขยับตัวลงนั่งข้างรติรส
"รสเป็นยังไงบ้าง"
รติรสนิ่ง ไม่มีคำตอบ
"พี่หมายถึง หลังจากคืนนั้นน่ะ"
"รสไม่เป็นอะไรค่ะ"
"แน่ใจนะ"
"ค่ะ"
"รสไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ ที่พี่ทำอย่างนั้นกับรส"
หน้าของรติรสแดงซ่านขึ้นมา แต่เธอยังคงพูดอะไรไม่ออก
"พี่คงรู้สึกไปเองคนเดียว"
"พี่รัฐ"
"พี่รู้สึกว่าพี่ควรรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป...พี่ขอโทษนะ"
"พี่รัฐขอโทษรสแล้ว คืนนั้น"
"พี่ควรทำอะไรมากกว่านั้น เพื่อเคารพและให้เกียรติต่อความรู้สึกของรส และของพี่...แต่ถ้ารสไม่ติดใจอะไร พี่ก็สบายใจ...พี่ไปละ จะแวะไปเยี่ยมคุณรังสรรค์ซักครู่ แล้วก็จะกลับ"
รัฐเดินออกไปท่ามกลางความงงงันของรติรส
นมผ่อนนั่งเขียนจดหมายท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องนอน
"ขมจ๋า...นี่คือจดหมายฉบับแรกในชีวิตป้า ป้าจำต้องเขียนมาระบายความอึดอัดขัดใจ และความทุกข์ทรมานใจ ที่ไม่รู้จะระบายให้ใครฟังได้นอกจากขม"
หน้าเรือนเล็ก บ้านพุทธชาด เวลากลางวัน รังสรรค์นั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีคนขับรถกำลังเข็นเข้าไปกลางโถงบ้าน
"บ้านพุทธชาดตกอยู่ในความเศร้า วังเวง เพราะเต็มไปด้วยคนป่วย"
รังสรรค์ถูกประคองลงบนเตียงนอน โดยมีคุณหญิงและไพลิน ดูแลใกล้ชิด
"หนึ่งก็คือ คนที่ขมไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากเอ่ยชื่อ และไม่ยอมรับว่าเขาเป็นพ่อนั่นแหละ"
คุณหญิงรัตนเดชากร วางรูปโขมพัสตร์ไว้ให้ที่หัวเตียง
นมผ่อนยังคงนั่งเขียนจดหมายอยู่
"คุณหญิงดูแลลูกชายคนเดียวของเธออย่างใกล้ชิดทุกวัน จนร่างกายทรุดโทรมลง"
คุณหญิงนั่งหลับข้างๆเตียงรังสรรค์
รังสรรค์ลืมตาจ้องมองรูปโขมพัสตร์ที่อยู่หัวเตียง
คุณหญิงก้าวลงบันได แล้วเกิดอาการหน้ามืด เซ ทรุดตัวลง เหมือนจะตกบันได
"ในที่สุดคุณหญิงก็ล้มไปอีกคน"
นมผ่อนยังคงนั่งเขียนจดหมายฉบับเดิมอยู่
"ป้าไม่แน่ใจว่าเวลานี้ ระหว่างคุณหญิงกับคุณรังสรรค์อาการของใครจะหนักกว่ากัน...ป้าอยากให้ขมกลับมาดูใจคุณหญิง สักวันสองวันก็ยังดี"
ตู้จดหมาย ที่พักโขมพัสตร์ ประเทศอังกฤษ
ตู้จดหมายถูกเปิด โขมพัสตร์หยิบจดหมายออกมาแกะและอ่าน
"ถ้าขมยังคิดว่าคุณหญิงมีบุญคุณ และสำนึกในบุญคุณของท่าน ป้าขอร้องให้ขมลาเรียน เพื่อกลับมากราบท่าน ตอนที่ท่านยังอยู่เถอะ จะได้ไม่ต้องเสียใจเมื่อท่านจากเราไปโดยไม่ได้ร่ำลากัน"
บุรุษไปรษณีย์เดินตรงเข้าไปยังเรือนนมผ่อน และยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้นมผ่อน ส่งมาจากประเทศอังกฤษ นมผ่อนรีบแกะออกอ่าน
"ป้าจ๋า ขมจะรีบกลับไปบ้านพุทธชาดโดยเร็วที่สุด ป้าเรียนคุณหญิงด้วยนะจ๊ะ ขมจะกลับไป ขมสัญญา"
นมผ่อนยิ้ม มีกำลังใจขึ้นมาทันที
ที่สนามบินดอนเมือง โขมพัสตร์เข็นกระเป๋าเดินทาง เดินออกมาตามช่องผู้โดยสารขาเข้า ชาติสยามและรุ้งกาญจน์ยืนรอรับอยู่ ทั้งสองโบกมือให้โขมพัสตร์...เธอก้าวยาวๆตรงไปหาพวกเขา
"สวัสดีค่ะอาสยาม...อารุ้ง"
"เป็นยังไงบ้าง นักเรียนนอก นั่งเครื่องบินจนเพลียรึเปล่า"
"ไม่เท่าไหร่ค่ะ...ขมคิดถึงอารุ้งกับอาสยามมากเลยนะคะ"
"อาสองคนก็คิดถึงขมจ้ะ"
"คุณหญิงเป็นยังไงบ้างคะ"
รุ้งกาญจน์หันไปมองหน้าชาติสยาม
"กลับไปดูด้วยตาตัวเองเถอะ ไปกันเลยดีกว่า"
"เดี๋ยวค่ะ รอเพื่อนขมก่อน"
"เพื่อน ?"
"ปิยะไงคะ ที่ขมเขียนจดหมายเล่าให้อาฟังไง"
รุ้งกาญจน์โพล่ง "แฟน ?"
"อย่าเพิ่งใช้คำนั้นเลยค่ะ"
"เขามาด้วยเหรอ"
"ค่ะ เราปิดเทอมพอดี เขาเลยขอมาไหว้คุณย่าด้วย...โน่นไง ปิยะ"
ปิยะเดินออกมาจากช่องทางเดียวกันกับโขมพัสตร์
"โทษทีครับ เจ้าหน้าที่เขาขอให้เปิดกระเป๋า เลยช้าไปหน่อย"
โขมพัสตร์แนะนำ "นี่อาขมค่ะ อาชาติสยาม กับอารุ้ง คู่หมั้น"
"สวัสดีครับ...ขมพูดถึงคุณวันละสองเวลาเป็นอย่างน้อย ดีใจที่ได้เจอตัวจริงวันนี้...หนุ่มฟ้ออย่างนี้นี่เอง ใครๆถึงนินทาว่าคุณอาแอบชอบหลาน"
ชาติสยามชักสีหน้าไม่พอใจ
"อันนี้ขมไม่ได้เล่าให้ฟังนะครับ ผมได้ยินมาจากในสปอร์ตคลับน่ะครับ พวกคุณหญิงคุณนายเขาชอบคุยกัน"
"คุณจะตามไปบ้านพุทธชาดจริงๆเหรอ"
"จริงสิครับ...ผมไปไม่ได้เหรอครับ"
"ไม่น่าจะเหมาะ ผู้หลักผู้ใหญ่กำลังป่วยไข้ คงไม่ใช่เวลาที่จะมาแนะนำแฟนให้รู้จักตอนนี้"
โขมพัสตร์คาดไม่ถึง "อา !"
"ผมไม่ได้คิดจะให้ขมแนะนำอย่างนั้น ผมแค่มากราบสวัสดีเท่านั้นเอง"
"ก็ไม่เหมาะอยู่ดี เพราะคุณอาจจะเผลอเอาเรื่องอื่นๆที่ได้ยินคนนินทากัน ไปพูดให้ท่านได้ยิน ก็คงไม่งามนัก"
ปิยะรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของชาติสยาม
เขาโต้ตอบกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง
"เอ๊...ผู้หลักผู้ใหญ่ของผมอบรมมาว่า การฝากเนื้อฝากตัวกับผู้ใหญ่เป็นเรื่องดีที่เด็กควรจะทำ หรือคุณจะหวงผู้ใหญ่ไว้กราบไหว้คนเดียวครับ"
"ผู้หลักผู้ใหญ่ของคุณกับของผมคงใช้ตำราคนละเล่ม"
รุ้งกาญจน์ปราม "สยามคะ"
"เอาเถอะ ถึงยังไงรถผมก็เป็นรถคันเล็ก นั่งกันได้แค่สามคน ไม่มีที่พอสำหรับคุณอยู่แล้ว คุณปิยะ"
"ไม่เป็นไรครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ เรานั่งแท๊กซี่ไปเองได้ ถ้าอารังเกียจเพื่อนขม ก็เท่ากับรังเกียจขมด้วยเหมือนกัน...อารุ้งขา ขมขอโทษนะคะ ขมขอนั่งแท๊กซี่กลับกับปิยะค่ะ"
โขมพัสตร์จูงมือปิยะเดินออกไป
รุ้งกาญจน์มองชาติสยามด้วยความแปลกใจ
"คุณเป็นอะไรคะ ทำท่าเหมือนหึงขมอย่างนั้นแหละ"
"ผมเหม็นหน้าไอ้หมอนั่น"
รถแท๊กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน โขมพัสตร์และปิยะก้าวลงจากแท๊กซี่
"เนี่ยเหรอบ้านพุทธชาด"
"นี่คือเรือนเล็กค่ะ เราจะไม่เข้าไปที่นี่...คุณหญิงท่านอยู่ที่เรือนใหญ่ ทางด้านโน้น รีบไปกันเถอะ"
โขมพัสตร์เดินก้าวยาวๆมาที่กลางโถงบ้าน ปิยะเดินตามมาติดๆ สาวใช้หนึ่งคนวิ่งเข้าไปต้อนรับ ด้วยหน้าตาตื่นตระหนก
"คุณขม"
"คุณย่าล่ะ"
"คุณหญิง...เอ้อ..."
"คุณย่าเป็นอะไร"
"คุณหญิงไม่ได้อยู่ที่นี่ค่ะ"
"อ้าว"
"ตอนนี้ท่านอยู่ที่เรือนเล็กค่ะ ทุกคนอยู่ที่เรือนเล็กกันหมดเลย"
"เกิดอะไรขึ้นกับท่าน"
"เอ้อ คุณขมรีบไปดูท่านเองเถอะค่ะ"
โขมพัสตร์ตกใจขึ้นมาทันที
โขมพัสตร์เดินก้าวยาวๆไปตามทางเดิน ปิยะเดินตามหลังไม่ห่าง
ไพลินเดินเข้ามาเบื้องหน้าหลานสาว หน้าตาเธอร้อนรนไม่น้อย
"ขม"
"คุณป้าไพลิน คุณย่าล่ะคะ"
"คุณย่าอยู่ทางนี้ ตามป้ามา"
ไพลินเดินนำขมเข้าไปในห้องโถง
คุณหญิงรัตนเดชากรนั่งยิ้มรออยู่แล้ว พร้อมด้วยนมผ่อน และหมู่คนรับใช้
"กลับมาแล้วเหรอขม...ย่านั่งรออยู่นานทีเดียว"
"คุณย่า"
"พาใครมาด้วยล่ะนั่น"
"เพื่อนขมค่ะ"
"ผมปิยะครับ...ขมเป็นห่วงคุณย่ามากเลยนะครับ"
"โถแม่คุณ ย่าสบายดี ไม่เป็นอะไรหรอก"
"อ้าว แล้วจดหมายที่ป้านมผ่อนเขียนมาหาขม"
"ฉันบอกให้นมผ่อนเขียนเอง ตามคำแนะนำของชาติสยาม"
"อาสยาม"
"ไม่งั้นขมคงไม่มีทางกลับมาหาย่าหรอก"
"แค่ย่าบอกให้กลับขมก็กลับอยู่แล้วค่ะ"
"ไม่จริงหรอก เพราะเหตุผลที่ย่าอยากให้ขมกลับมาก็คือ มาเยี่ยมผู้ป่วยอีกคนนึง อาการเขาหนักมาก...เขานอนอยู่ข้างบน แวะไปดูใจเขาหน่อยได้มั้ย ย่าขอร้อง"
โขมพัสตร์ถึงกับอึ้งไป
นมผ่อนเดินนำโขมพัสตร์มาถึงหน้าห้องนอนรังสรรค์ โขมพัสตร์หยุดยืนนิ่งเพียงแค่หน้าห้อง
โขมพัสตร์เข้าไปในห้อง รังสรรค์นอนหลับตานิ่ง สภาพร่างกายผอม ทรุดโทรม
พจนีย์และรติรส นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
โขมพัสตร์หน้าตาซึมลงไป
รติรสหันมาเห็นน้องสาว เธอยิ้ม ขยับเอื้อมมือจะแตะตัวรังสรรค์เพื่อปลุก
"อย่าค่ะ"
รังสรรค์ค่อยๆขยับพลิกตัวมาทางโขมพัสตร์ แต่เธอรีบหันหลังเดินกลับออกไปทันที
รังสรรค์เอ่ยปากพูดกับรติรส
"ขม...นั่นขมรึเปล่าลูก...ขมลูกพ่อใช่มั้ย"
"เอ้อ"
"ทำไมรสไม่เรียกน้องไว้ล่ะลูก...ขอพ่อเห็นหน้าขมหน่อยได้มั้ย"
"พ่อนอนพักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวรสดูให้ ว่าใช่ขมรึเปล่า"
รังสรรค์ค่อยๆหลับตาลงอย่างอ่อนล้า
โขมพัสตร์นั่งนิ่งซึมอยู่บริเวณระเบียง แววตาของเธอดูคล้ายจะมีความสับสนอยู่ไม่น้อย ปิยะค่อยๆเดินเข้ามาหา
"เราเข้าใจนะว่าขมรู้สึกยังไง"
"ไม่มีทาง คุณไม่มีทางรู้สึกเท่ากับที่ฉันรู้สึกหรอกค่ะ ปิยะ"
ปิยะค่อยๆกุมมือเธอไว้
"เราเป็นกำลังใจให้นะ...เราอยู่ข้างๆขมเสมอ ขมจะหันมาเห็นเราทุกครั้งที่ขมต้องการ"
โขมพัสตร์ยิ้มให้ปิยะด้วยความขอบคุณ
ชาติสยามหน้าเครียดเข้ามา
"อาขมมาแล้ว เรากลับไปบ้านเราก่อนนะ...พรุ่งนี้จะรีบมาหาแต่เช้า"
"ค่ะ"
ปิยะเดินเข้าไปหาชาติสยาม
"ผมกลับนะครับคุณอาชาติสยาม...ฝากดูขมด้วย เธอกำลังสะเทือนใจอยู่"
"หลานผม ผมรู้เองว่าเป็นอะไร ไม่ต้องมาบอกผมหรอก"
"ขมไม่เห็นเคยบอกเลยว่าอาของเขาเป็นคนขี้หงุดหงิด"
"ก็เพิ่งเป็นนี่หละ มีปัญหามั้ย"
"ไม่ใช่ปัญหาของผม แต่เป็นปัญหาของอามากกว่าครับ"
ปิยะเดินออกไป
ชาติสยามเดินเข้าไปนั่งใกล้ขม...เขาพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
"ไปเจอคุณรังสรรค์มารึยัง"
"ขมไม่นึกว่าเขาจะเป็นหนักขนาดนี้"
"ได้คุยกับเขารึเปล่า"
โขมพัสตร์ส่ายหน้า
"รู้มั้ย ความต้องการเรื่องเดียวของเขาก่อนจะสิ้นใจคืออะไร"
โขมพัสตร์นิ่ง ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปาก
"เขาอยากได้ยินขมเรียกเขาว่าพ่อ"
"อาคะ หยุดพูดเรื่องนี้ได้มั้ยคะ ขมไม่อยากฟัง"
"ต้องให้นายปิยะคนนั้นมาพูดใช่มั้ย ขมถึงจะยอมฟัง"
"อา"
"เดี๋ยวนี้ขมมีคนอื่นคอยให้คำปรึกษาแล้วนี่ อาคงไม่มีความหมายแล้วละซี"
"อาเป็นอะไรคะ...ถ้าคิดจะหาเรื่องชวนทะเลาะแบบนี้ อากลับไปดีกว่า ขมไม่ทะเลาะด้วย ขมอยากอยู่คนเดียว"
ชาติสยามขยับตัวยืนขึ้น
"ขอโทษนะที่เป็นต้นคิดให้นมผ่อนเขียนจดหมายไปหลอกขม ถ้าจะโกรธก็โกรธอา อย่าโกรธนมผ่อนหรือคุณหญิงเลย และอาจะไม่ทำอะไรอย่างนี้อีกแล้ว คงหมดหน้าที่ระหว่างอากับขมแล้วหละ"
ชาติสยามค่อยๆเดินออกไป ความสับสนถาโถมเข้าใส่โขมพัสตร์มากยิ่งขึ้น
ชาติสยามขยับตัวลงนั่งในรถด้วยความหงุดหงิด รุ้งกาญจน์นั่งรออยู่ในรถแล้ว
"อารมณ์เสียอย่างนี้ รุ้งขับให้ดีกว่ามั้ยคะ"
"ไม่ต้องหรอก"
"ครั้งสุดท้ายที่รุ้งเห็นคุณหงุดหงิดอย่างนี้ ก็คือตอนที่รุ้งไปหาขมที่อัมพวาโดยไม่บอกคุณ...แล้วครั้งนี้..."
"ครั้งนี้มันเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ คุณอย่าสนใจเลย"
ชาติสยามสตาร์ทรถขับออกไป
รุ้งกาญจน์ได้แต่มองคู่หมั้นอย่างครุ่นคิด
คุณหญิงรัตนเดชากรเปิดประตูห้อง โขมพัสตร์นั่งนิ่งอยู่บนเตียงนอนของเธอ
"ย่าขอคุยด้วยได้มั้ย"
"ได้สิคะ"
คุณหญิงเดินเข้าไปนั่งข้างๆขม
"ย่าทำให้ขมต้องลำบากใจมากใช่มั้ย"
ขมก้มหน้านิ่ง ไม่เอ่ยปากตอบ
"ถ้าขมเป็นย่า ขมก็คงทำแบบเดียวกับที่ย่าทำ เพื่อให้วาระสุดท้ายของลูกชายย่า ได้พบความสุขสมปรารถนาสักครั้ง"
"ถ้าย่าเป็นขม ย่าก็จะเข้าใจว่า ทำไมขมถึงไม่อยากได้ผู้ชายคนนี้เป็นพ่อ"
"ย่ายังคงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับขม ว่าจะไม่บังคับให้ขมยอมรับตารังสรรค์...แต่ไหนๆขมก็อยู่ตรงนี้แล้ว ย่าคงต้องขอร้องอะไรอีกสักอย่าง ซึ่งขมจะทำให้หรือไม่ อยู่ที่ขมเป็นผู้ตัดสินใจ"
"อะไรเหรอคะ"
"พรุ่งนี้ ที่บ้านหลังนี้จะมีงานทำบุญเพื่อต่ออายุให้ตารังสรรค์...มีเพลงๆนึงที่ตารังสรรค์รักและฝังใจจำ เพลงที่แม่แขของขมร้อง"
"เพลงโสมส่องแสง ?"
"ใช่ ถ้าขมจะไม่เรียกเขาว่าพ่อ ขมจะเมตตาร้องเพลงโสมส่องแสงให้เขาฟังสักครั้ง ในยามที่เขายังมีสติพอที่จะฟัง ได้มั้ย"
โขมพัสตร์ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยปาก
"แล้วขมต้องแต่งตัวให้เหมือนแม่แขด้วยรึเปล่าคะ"
คุณหญิงเป็นฝ่ายครุ่นคิดบ้าง
"มันไม่ต่างจากการยอมรับผู้ชายคนนี้เป็นพ่อหรอกค่ะ...ขมอโหสิให้เขาเท่านั้นก็น่าจะพอแล้วมั้งคะ"
อ่านต่อตอนที่ 23