ดงผู้ดี ตอนที่ 21 : “บุหงา” ตกกระป๋อง! เป็นกะหรี่ดงผู้ดี
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
เวลากลางคืน ชาติสยามเดินเข้ามาในร้านอาหาร เขามองไปรอบๆ เมื่อเจอตำแหน่งโต๊ะที่ต้องการ จึงตรงไปที่นั่น รังสรรค์นั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวนั้นแล้ว
เขาเอ่ยปากทันทีที่ชาติสยามเดินเข้าไปใกล้
"ขอบใจมากนะที่ยอมออกมาพบผมกลางดึกอย่างนี้"
"ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ครับ"
"รู้มั้ยว่าผมขอพบคุณเรื่องอะไร"
"ขอฟังจากปากคุณเองจะดีกว่า"
ชาติสยามขยับตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
"ผมรู้ว่าขมอยู่กับคุณ"
ชาติสยามนิ่ง ไม่ปฏิเสธ
"และรู้ด้วยว่าคุณคงไม่ยอมให้ผมไปพบลูก"
"เป็นคำขอร้องของขม ซึ่งผมรับปากเธอไปแล้ว"
"งั้นผมขอถามคุณตรงๆเลยนะ...ผมไว้ใจคุณได้ใช่มั้ย"
"คุณต้องการคำยืนยันแค่ไหนล่ะครับ"
"ลูกสาวผมจะมีความสุข และปลอดภัย ภายใต้การคุ้มครองดูแลของคุณรึเปล่า"
"ผมให้สัญญากับคุณได้ว่า จะไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับขม ตราบที่ผมยังมีลมหายใจอยู่"
รังสรรค์ถอนหายใจเล็กน้อยแววตาของเขาเต็มไปด้วยความปวดร้าวใจ
"ผมอยากเป็นคนพูดประโยคนี้ ต่อหน้าลูกสาวผมบ้าง...แต่เธอคงไม่ยอมฟัง"
ชาติสยามได้แต่เพียงเห็นใจอย่างเงียบเชียบ
"ผมขอคุณอีกอย่างได้มั้ย"
"ครับ"
"ระหว่างที่ขมอยู่กับคุณ ไม่ว่าขมจะทำอะไร คุณช่วยส่งข่าวให้ผมรู้บ้างได้มั้ยคุณคือช่องทางเดียวที่จะทำให้ผมได้รับรู้ความเป็นไปของลูกสาวของผม"
"ผมจะทำอย่างนั้นครับ"
"ขอบคุณมาก"
บริเวณระเบียงสวย รติรสนั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง เธอกำลังถักไหมพรมอยู่
รัมภ์เดินเข้ามายืนใกล้ๆเอ่ยปากลอยๆ น้ำเสียงสดชื่น
"กุลสตรีคนเดียวของบ้านพุทธชาด...พอจะบอกได้มั้ยว่าที่กำลังถักอยู่ในมือน่ะถักให้ใคร"
รติรสเอ่ยปากตอบโดยไม่เงยหน้า
"บอกไม่ได้"
"คงไม่ได้ให้พี่หรอกนะ"
"ถ้าพี่รัมภ์อยากได้รสก็ยินดีถักให้ค่ะ"
"พี่อยากได้ แบบไม่ต้องร้องขอน่ะ"
"งั้นพี่ก็ต้องรอไปจนกว่ารสจะมีอารมณ์"
"แล้วที่ทำอยู่นี่ อารมณ์แบบไหนล่ะ...บอกพี่ได้มั้ย"
"พี่รัมภ์ชอบถามคำถามที่รสตอบไม่ได้เรื่อยเลย"
"พี่ไม่เห็นว่าคำถามจะยากตรงไหนเลย...งั้นถามใหม่ เอาให้ง่ายกว่านี้อีก...นายรัฐมาขอโทษรสแล้วใช่มั้ย"
"ค่ะ"
"รสพูดอะไรกับนายรัฐน่ะ หลังจากนั้นมันก็เก็บเสื้อผ้าหายไปเลย ไม่รู้ไปไหน"
"ห๊ะ"
"ไม่รู้ว่าไปหาคุณยายที่ต่างจังหวัด หรือหนีไปบวช หน้าตาสำนึกผิดออกอย่างนั้น"
รติรสมีอาการกังวลขึ้นมาพอสมควร
"เป็นห่วงเขาละสิ...เฮ้อ สงสัยพี่คงต้องหายตัวไปบ้างแล้ว จะได้มีคนคอยเป็นห่วงเป็นใยกับเขาบ้าง"
พจนีย์เดินเข้ามาเอ่ยปากเสียงสดใส
"แล้วตอนพจน์หายไป พี่รัมภ์เป็นห่วงพจน์บ้างมั้ยคะ"
"ห่วง"
พจนีย์ดีใจ"จริงเหรอ ?"
"ห่วงว่าจะกลับมา"
"พี่รัมภ์ ! ทำไมชอบแกล้งพจน์ไม่เลิกนะ"
"พี่เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย"
"แต่พจน์ไม่...พจน์เป็นคน ต้นร้าย ปลายดี"
"เหรอ"
"พจน์เปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว...และเปลี่ยนไปในทางที่ดี"
"เชื่อได้เหรอ"
รติรสช่วยยืนยัน "จริงค่ะ พจนีย์เป็นคนทำให้พวกเราได้รู้ความจริงที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน หลายเรื่องเลยค่ะ"
"ตบมือให้"
"ไม่พอค่ะ ต้องมีรางวัลด้วย"
"อยากได้อะไร"
"พรุ่งนี้ไปกับพจน์หน่อย พจน์อยากไปวัด !"
"ไปวัด !"
"พจน์อยากทำบุญให้แม่ ไปด้วยกันนะคะ ทั้งสองคนเลยนะ"
เช้ารุ่งขึ้น ทั้งสามนั่งพนมมือเบื้องหน้าพระสงฆ์ที่กำลังสวด
เสียงในใจของพจนีย์ดังขึ้น
"แม่จ๋า พจน์อาจจะเป็นลูกที่ไม่ดีนัก พจน์ไม่เคยนึกถึงแม่ หรือทำอะไรให้แม่อย่างที่ลูกควรจะทำ แต่วันนี้พจน์คิดถึงแม่มากๆค่ะ พจน์อยากบอกแม่ว่าพจน์เข้าใจแม่ ทุกคนเข้าใจแม่ ทุกคนอโหสิและให้อภัยในสิ่งที่แม่ทำผิดพลาดไป และพจน์ต้องขอโทษแทนพ่อด้วย ที่พ่อเคยทำเรื่องไม่ดีกับแม่...จากนี้ไปพจน์จะทำบุญให้แม่บ่อยๆ เพราะถึงยังไงพจน์ก็เป็นลูกแม่ สายเลือดแม่ลูกไม่มีวันตัดขาดได้จ้ะ...ส่วนน้องสาวของแม่ ตอนนี้คงกำลังชดใช้กรรมที่เขาเป็นผู้ก่อไว้ หวังว่าแม่คงอโหสิ และให้อภัยน้องสาวของแม่เช่นกันนะจ๊ะ"
ไนท์คลับแห่งหนึ่ง คืนก่อนหน้านี้ บุหงานั่งดื่มเหล้าบริเวณเคาน์เตอร์บาร์ เธอเมามาย...
บุหงายกมือเรียกพนักงานหลังบาร์
"น้อง...เอาแบบนี้มาอีก"
"พี่จ่ายเงินมาก่อนดีกว่ามั้ยครับ"
"เงินเหรอ...ต้องมีเงินเท่านั้น ถึงจะกินไอ้นี่ได้ใช่มั้ย...เอ้า มึงเอาเงินไป"
บุหงาโยนกระเป๋าใส่บ๋อย
"เอาไปให้หมดเลย...รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร...ฉันบุหงา รัตนเดชากร สะใภ้เอกแห่งบ้านพุทธชาดเว้ย...ไปเอาเหล้ามา"
รติรสนั่งพนมมืออยู่ที่เดิม เสียงในใจดังออกมา
"แม่จ๋า แม่แขนภาของรส...ทุกคนในบ้านพุทธชาดรู้ความจริงหมดแล้วนะจ๊ะแม่รสรู้แล้วว่าแม่แขของรสไม่มีความผิด และรู้ด้วยว่าแม่ต้องตกระกำลำบากมากแค่ไหน รสเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ทดแทนพระคุณแม่ที่ให้กำเนิดรส แต่อยากให้แม่รู้ว่า วันนี้ แม่ได้รับการยกย่อง ให้เกียรติ เป็นหนึ่งในสะใภ้เอกของรัตน
เดชากรอย่างที่ควรจะเป็นแล้วจ้ะแม่"
โถงเรือนใหญ่ บ้านพุทธชาด ตอนกลางวัน ภาพแขนภากำลังถูกแขวนบนผนังห้องเคียงข้างกับรูปสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว
คุณหญิงรัตนเดชากรยืนมองรูปนี้อย่างชื่นชม
สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้คุณหญิง และเอ่ยปาก
"คุณหญิงขา คุณชาติสยามต้องการเรียนสายด้วยค่ะ"
วัดเดิม เวลาต่อเนื่องมา รติรสยังคงนั่งพนมมือหน้าพระสงฆ์ เสียงรติรสยังคงดังต่อเนื่องอยู่
"แม่แข อโหสิให้พ่อ ให้น้าบุปผา และทุกๆคนด้วยนะจ๊ะ ดวงวิญญาณของแม่จะได้สุขสงบ ในสัมปรายภพ...อย่าได้ห่วงกังวลอะไรเลย...มีแต่ขมเท่านั้นที่ยังไม่ยอมรับพ่อ...แต่รสเชื่อว่า เวลาผ่านไป ขมคงจะเข้าใจและยอมรับได้ และอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน สมดังที่แม่ปรารถนา"
ห้องหนังสือ รังสรรค์นั่งจ้องมองล็อกเก็ตอันนั้น เสียงเพลงโสมส่องแสงดังออกมาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงในห้อง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหงาเศร้า น่าสงสารยิ่ง
ที่โถงเรือนใหญ่คุณหญิงรัตนเดชากรยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
"ว่าไงพ่อชาติสยาม ขมมีปัญหาอะไรรึเปล่า"
ชาติสยาม พูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้านด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"ไม่มีปัญหาอะไรครับ ผมโทร.มาเพื่อจะแจ้งให้คุณหญิงทราบว่า เอกสารการเรียนและการเดินทางของขมเรียบร้อยหมดแล้ว ขมพร้อมจะเดินทางคืนพรุ่งนี้ครับ"
"ตายจริง ทำไมเร็วอย่างนี้ล่ะพ่อคุณ มันฉุกละหุกไปรึเปล่า"
"ไม่หรอกครับ รุ้งกาญจน์อยู่ทางโน้น เธอติดต่อเรื่องพวกนี้บ่อย ก็เลยรวดเร็ว"
"แล้วฉันจะได้เจอหน้าหลานก่อนเขาเดินทางมั้ย"
"เจอสิครับ ขมอยากกราบลาทุกคน แต่ว่า ไม่สะดวกจะไปหาคุณหญิงที่บ้านพุทธชาด...คุณหญิงคงเข้าใจนะครับ"
"งั้นเรานัดกันที่อื่นได้มั้ย...บอกขมว่า ย่าจะไปหาขมเอง"
"ครับ"
คุณหญิงวางโทรศัพท์ลง ใจหายนิดๆ
เวลากลางคืน โขมพัสตร์นั่งพนมมือหน้าหิ้งพระ มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางอยู่ข้างตัวเธอ
เสียงในใจขมดังออกมา
"ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คุณพระคุณเจ้า ดวงวิญญาณของแม่แข และดวงวิญญาณของพ่อพิทย์ ช่วยเป็นหลักชี้นำให้ขมด้วย...ขมกำลังจะเดินทางไปยังที่ที่ไม่เคยไป เพียงลำพังคนเดียว ได้โปรดปกปักคุ้มครองป้องภัยขมด้วยนะเจ้าคะ ..สาธุ"
โขมพัสตร์ก้มลงกราบพระชาติสยามเดินเข้ามาเอ่ยปากขึ้นเมื่อขมกราบพระจนเสร็จ
"พร้อมรึยัง"
"ค่ะ"
"ตื่นเต้นมั้ย"
โขมพัสตร์พยักหน้า แสดงอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
"อาไปเมืองนอกครั้งแรกก็อย่างนี้แหละ มันจะเหงาๆหน่อยๆที่ต้องอยู่คนเดียวแต่เดี๋ยวก็ชิน"
"ขมชินกับการอยู่คนเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ"
"งั้นก็ไม่ต้องกลัวอะไรสิ"
"ขมกลัวการอยู่โดยไม่มีอาค่ะ"
ชาติสยามและโขมพัสตร์ ต่างมองหน้ากันเต็มๆตาความรู้สึกรักและผูกพัน ถูกส่งผ่านทางสายตาของคนทั้งคู่
"ขมมีอาเสมอ...ไม่ว่าห่างไกลกันแค่ไหน เทวดาผู้พิทักษ์ก็จะตามไปดูแลขมทุกเวลาที่ขมต้องการ"
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดชาติสยาม
"ขมจะตั้งใจเรียน จะไม่ทำให้อาผิดหวัง และจะคิดถึงอาทุกคืนนะคะ"
"อย่าลืมเอาของขวัญติดตัวไปด้วยล่ะ"
"ค่ะ"
โขมพัสตร์เอื้อมมือหยิบผ้าพันคอไหมพรมขึ้นมาดู
ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อสี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ รติรสส่งถุงผ้าให้โขมพัสตร์เมื่อเธอหยิบของออกมาจากถุง เป็นผ้าพันคอไหมพรมผืนนั้น
“พี่ถักเองกับมือ ตั้งแต่รู้ว่าขมคิดจะไปเมืองนอก แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ โชคดีที่พี่ถักเสร็จทัน”
“ขอบคุณค่ะพี่รส”
ในร้านอาหารเดิมไพลินส่งกล่องปากกาอย่างดีให้กับหลานสาว
“ทุกครั้งที่เขียนหนังสือ อย่าลืมนึกถึงป้าด้วยนะ”
ชาติสยามขับรถมองตรงไปเบื้องหน้า โขมพัสตร์นั่งอยู่บนเบาะข้างๆเธอหยิบกำไลทองขึ้นมาดู
คุณหญิงรัตนเดชากรส่งกำไลทองอันนั้นให้กับโขมพัสตร์
“กำไลนี้เป็นของขวัญที่ย่าให้กับหลานทุกคนในวันแรกเกิด ขมเป็นหลานคนเดียวที่ย่าไม่มีโอกาสให้กำไลในวันนั้น ย่าจึงถือเอาวันนี้ วันที่ขมกำลังจะก้าวหน้าในชีวิต เพื่อมอบกำไลนี้ให้กับขมเป็นการรับขวัญหลานย่าก็แล้วกันนะ”
โขมพัสตร์บรรจงกราบคุณหญิงรัตนเดชากรอย่างสวยงาม
ส่วนนมผ่อนเอ่ยปากเรียกโขมพัสตร์ หน้าตาเศร้าสร้อย
“ขม”
“ป้่านมผ่อน”
“ป้าไม่มีอะไรจะให้ขม”
“ไม่ต้องให้อะไรขมก็ได้ค่ะ ป้าให้ความรักความเมตตาขมมาตลอด นั่นก็มากเกินกว่าที่ขมได้จากใครอยู่แล้ว”
นมผ่อนค่อยๆยื่นมือส่งพระเครื่ององค์ย่อมให้กับโขมพัสตร์
“นี่คือสมบัติชิ้นเดียวที่ติดตัวป้ามาตั้งแต่เด็ก ขมพกติดตัวไว้นะ พุทธคุณของท่านจะได้คุ้มครองเรา”
ขมก้มลงกราบป้านมผ่อน
“เขียนจดหมายมาหาป้าบ้างนะ ใช้ปากกาคุณไพลินเขียนก็ได้”
ในรถชาติสยาม เวลาต่อเนื่อง โขมพัสตร์หยิบพระองค์นั้นขึ้นมาดู น้ำตาของเธอค่อยๆไหล
ชาติสยามยังคงขับรถ โดยมีโขมพัสตร์นั่งข้างๆ
เขาเหลือบมองดูขมเพียงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากพูด
“เห็นรึยังว่า ใครๆรักและเป็นห่วงขมแค่ไหน”
โขมพัสตร์ค่อยๆพยักหน้าทั้งน้ำตา
“ขมต้องคิดถึงพวกเขาด้วยนะ น้อยกว่าอาหน่อยก็ได้...ยิ้มสิ เลิกขี้แงได้แล้ว”
พจนีย์นั่งนิ่งซึมแต่เพียงลำพังอยู่ที่ระเบียงเรือนเล็ก รัมภ์เดินเข้ามาด้านหลัง
“อ้าว พจน์หรอกเหรอ”
“ก็พจน์น่ะสิ คิดว่าใครล่ะ”
“ทุกทีคนที่นั่งตรงนี้มักจะเป็นรติรสนี่นา”
“ผิดหวังเหรอ”
“นิดหน่อย”
“เดี๋ยวซักพักพี่รสก็คงกลับมา ถ้าพี่รัมภ์ไม่รีบไปไหน จะนั่งรอก็ได้นะ”
“เขาไปไหนเหรอ”
“ถามพี่รสเองแล้วกัน พี่รัมภ์จะได้มีเรื่องคุยกับพี่รส”
“ถามพจน์น่ะแหละ ไม่งั้นพี่ไม่มีเรื่องคุยกับพจน์”
“พี่รัมภ์อยากคุยกับพจน์ด้วยเหรอ”
“ไหนๆพจน์ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีแล้ว...ลองดูบ้างก็ได้ ถ้าไม่สนุกก็เลิกคุย”
“ถ้าเป็นวันอื่นพจน์อาจจะคุยสนุก แต่วันนี้คงไม่”
“ทำไม”
“พจน์กำลังเศร้าที่ขมจะไปอังกฤษ”
“ขมจะไปอังกฤษ ?”
“คืนนี้หละ”
“พี่ไม่เห็นรู้เลย”
“มีรู้กันไม่กี่คนหรอก...พี่รสนัดเจอขมที่ร้านอาหารเพื่อเลี้ยงส่ง...เฮ้อ กำลังจะเข้ากันได้ดี ก็จากกันซะแล้ว”
“แล้วทำไมพจน์ไม่ไปกับพี่รสด้วยล่ะ”
“พจน์ไม่ชอบการร่ำลา ใจคอมันไม่ค่อยดี”
“พี่ก็เหมือนกัน”
ทั้งสองนั่งนิ่งไปพักนึง
รัฐก้าวเข้ามาด้านหลัง เมื่อได้ยินเสียงรัมภ์เขาจึงหยุดเดินและยืนฟังอย่างตั้งใจ
“นี่ถ้านายรัฐรู้ คงวิ่งแน่บไปที่สนามบินแน่ๆ”
“พ่อด้วยอีกคน ยิ่งถ้ารู้ว่าทุกคนช่วยกันปิดบังเรื่องขมไปเมืองนอกคืนนี้ละก็บ้านแตกแน่ๆ”
รัฐครุ่นคิดตามคำพูดของทั้งคู่ เครียดจริงจัง
โขมพัสตร์และชาติสยามทั้งสองนั่งอยู่ที่สนามบินไม่ไกลจากบริเวณเคาน์เตอร์เช็คอิน
ชาติสยามส่งเอกสารสำคัญทุกอย่างให้กับโขมพัสตร์
“นี่พาสสปอร์ต บอร์ดดิ้งพาส และก็เงินสดติดตัว อาแลกไว้ให้แล้ว เก็บใส่กระเป๋าให้ดี...อย่าลืมนะตอนทรานสิทที่อินเดีย ขมต้องคอยฟังเสียงประกาศให้ดี หรือไม่ก็สังเกตุคนกลุ่มใหญ่ไว้ ส่วนใหญ่เดินทางไปอังกฤษทั้งนั้น พอถึงที่นั่น รับกระเป๋าแล้ว ไม่ต้องไปไหนนะ รอจนกว่าอารุ้งจะมาหา จำได้ใช่มั้ย”
“ขมท่องจำได้หมดแล้วค่ะ อาย้ำเป็นครั้งที่สิบแล้วมั้ง”
“อาก็ตื่นเต้น ไม่น้อยกว่าขมนี่นา”
“อาน่าจะไปส่งขมที่นั่นเลย จะได้ไม่ต้องมีใครตื่นเต้น”
“ไปคนเดียวอย่างนี้แหละ จะได้เก่งๆ...แล้วอาจะไปเยี่ยมทันทีที่มีโอกาส”
“ขมจะรอนะ”
“รู้มั้ย ปกติเวลาเขาไปเรียนเมืองนอกกัน จะมีญาติๆมาส่งเต็มสนามบินเลยบางทีมีพวงมาลัยคล้องคอด้วยนะ ขมเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่ไม่มีใครมาส่งเลย”
“มีอาคนเดียวก็พอแล้ว”
ชาติสยามมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง ... สีหน้าเขาเปลี่ยนไป
“ไม่ใช่อาคนเดียวแล้วหละขม”
โขมพัสตร์หันไปมองตามสายตาของชาติสยาม
โขมพัสตร์เห็น รังสรรค์ และรัฐเดินก้าวยาวๆกวาดสายตามองหาไปรอบๆ
“อา ขมต้องไปแล้วหละ...ขมไปนะอา”
“ดูแลตัวเองดีๆนะ”
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดชาติสยาม
รัฐมองเห็นโขมพัสตร์ เขาชี้ให้รังสรรค์ดู โขมพัสตร์หอมแก้มชาติสยามอย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วจึงรีบเดินตรงไปยังช่องผู้โดยสารขาออก
รังสรรค์วิ่งพร้อมกับตะโกนเรียก
“ขม...อย่าเพิ่งไป รอพ่อก่อน ขม”
โขมพัสตร์วิ่งผ่านเข้าไปในเขตของผู้โดยสารขาออก เมื่อรังสรรค์วิ่งมาถึง เมื่อโขมพัสตร์เดินลับตาไปแล้ว
รังสรรค์ทรุดตัวลงเอามือกุมที่ท้อง และหันมามองจ้องหน้าชาติสยาม
“นายรับปากฉันแล้ว ว่าจะคอยบอกฉันทุกอย่าง ไม่ว่าขมจะทำอะไร ทำไมนายไม่รักษาสัญญา”
“ผมให้สัญญาทั้งกับคุณและกับขม เพราะฉะนั้นผมต้องเลือกเวลาที่เหมาะสมก่อนที่จะบอกอะไรคุณ”
“มีเวลาไหนที่เหมาะสมกว่านี้อีกเหรอ ในเมื่อลูกสาวฉันเดินจากฉันไปแล้ว”
“เวลาที่ขมได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้วไงครับ เพื่อคุณจะได้ไม่ขัดขวางขมเหมือนที่กำลังพยายามทำอยู่นี้”
“ใครบอกว่าฉันจะขัดขวาง ฉันแค่อยากเอาของมาให้เขาเท่านั้น”
รังสรรค์ชูล็อกเก็ตให้ดู
มันเป็นล็อกเก็ตที่ซ่อมแซมแล้ว บรรจุรูปแขนภาอยู่ในนั้น
“ฉันแค่อยากให้เขามีรูปแม่ติดตัวไปด้วย ก็เท่านั้น...แต่ฉันก็มาไม่ทัน”
ชาติสยามอึ้ง ซึมลงไป
รัฐเดินเข้าไปพูดใส่หน้าชาติสยาม
“คุณมันเห็นแก่ตัว คุณทำทุกอย่างเพื่อเก็บขมไว้กับตัวคุณคนเดียว โดยไม่คิดถึงใจคนอื่น ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ขมไม่น่าไว้ใจผู้ชายอย่างคุณเลย คุณชาติสยาม”
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เหนือจังหวัดกรุงเทพมหานคร
คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าชาติสยาม
“ขมเป็นยังไงบ้าง ส่งข่าวมาบ้างรึยัง”
“การเดินทางปลอดภัยดีครับ อาทิตย์หน้าคงเริ่มเรียนภาษา ส่วนเรื่องที่พัก รุ้งกาญจน์ดูแลให้อยู่กับครอบครัวพ่อแม่บุญธรรมของเธอไปก่อน”
“ไม่รบกวนเขาเกินไปนะ”
“ไม่มีปัญหาครับ รุ้งจะอยู่เป็นเพื่อนและดูแลจนได้ห้องพักเรียบร้อยแล้วถึงจะกลับเมืองไทยครับ”
“ฝากขอบใจแฟนเธอด้วย...และก็หวังว่าเขาจะไม่หึงขมอีกนะ”
“ครับผม”
ประเทศอังกฤษในห้องพักโขมพัสตร์ เธอนั่งเขียนจดหมายในห้องพัก
“นี่คือจดหมายฉบับแรกของขม ที่เขียนให้อาอ่านในฐานะอาชาติสยามจริงๆไม่ใช่ตัวแทนของพ่อพิทย์แบบเมื่อก่อน ขอบคุณอามากนะคะที่ยอมให้ขมยืมตัวอารุ้งไว้ตั้งนาน...ถ้าไม่ได้อารุ้ง ขมคงลำบากแน่ๆ และตอนนี้ข่าวดีสำหรับอาก็คือ ขมส่งอารุ้งกลับไปหาอาแล้ว...อาไม่ต้องนอนเศร้าเหงาใจอีกแล้วนะคะ”
สนามบินดอนเมือง กลางวัน
ชาติสยามยืนกลางโถงรอรับผู้โดยสารรุ้งกาญจน์เดินออกมาจากด้านในทั้งสองตรงเข้าสวมกอดกัน
“คิดถึงรุ้งมั้ยคะ”
“คิดถึงจะแย่”
“ระหว่างรุ้งกับหลาน คุณคิดถึงใครมากกว่ากัน”
“ถามอะไรอย่างนั้น”
“ตอบไม่ได้เหรอ”
“ผมจะคิดถึงรุ้งน้อยกว่าคนอื่นได้ยังไง ในเมื่อรุ้งกำลังจะเป็นคู่หมั้นของผม”
รุ้งกาญจน์ยิ้ม
เธอหอมแก้มชาติสยาม แล้วจึงส่งถุงของฝากให้
“ขมฝากของมาให้ รติรสกับพจนีย์ค่ะ”
ระเบียงเรือนเล็กบ้านพุทธชาด กลางวัน ของฝากชิ้นนั้นอยู่บนโต๊ะ
รติรสที่นั่งเขียนจดหมายอยู่เสียงรติรสดังออกมา
“ขอบใจมากนะขม สำหรับที่คั่นหนังสือและสมุดโน้ต เป็นของฝากที่เหมาะกับพี่มาก เช่นเดียวกับของฝากของพจนีย์”
ในห้องครัวเรือนเล็ก ตอนกลางวัน พจนีย์กำลังพยายามทำอาหารโดยเปิดดูตามตำราเล่มที่ขมฝากมาให้
“ทุกวันนี้ยายพจน์ฝึกทำอาหารจากตำราที่ขมส่งมาทุกวัน โดยไม่ลืมสวมผ้ากันเปื้อนของขมด้วย เดือดร้อนคนในบ้าน เพราะถูกบังคับไม่ให้กินอะไร นอกจากอาหารฝีมือของพจนีย์”
บนโต๊ะอาหารเรือนเล็ก ตอนกลางวันรังสรรค์นั่งกินซุปพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์
“มีแต่พ่อเท่านั้น ที่ดูจะถูกปากกับอาหารฝรั่ง...ขมคงไม่โกรธจนขยำจดหมายทิ้งนะ ที่พี่พูดถึงพ่อน่ะ...สุขภาพพ่อไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บ่นถึงขมแทบทุกวัน ถ้าขมเขียนจดหมายถึงพ่อสักฉบับก็คงจะดีไม่น้่อย”
จู่ๆรังสรรค์ก็ตัวงองุ้ม ด้วยอาการปวดท้อง
สาวใช้เดินเข้ามาเห็น พากันตกใจ ตะโกนร้องเรียกคนช่วย จ้าละหวั่น
ห้องพักคนไข้ ในโรงพยาบาลเขานอนอยู่บนเตียงคนไข้รังสรรค์ค่อยๆลืมตาขึ้น และผู้ที่ยืนอยู่ข้างเตียงคือ ชาติสยาม
“ชาติสยาม สุรบดินทร์ อุตส่าห์มีน้ำใจมาเยี่ยมผมอีกนะ”
“ผมมีความคืบหน้าเรื่องการเรียนของขมมาบอก ถ้าคุณจะอยากรู้”
“คุณมาช้าไป...ผมรู้ทั้งหมดจากยายรสแล้ว พี่น้องกันเขาเขียนจดหมายถึงกันอยู่บ่อยๆ”
“คุณน่าจะดีใจที่ขมได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว”
“ผมคงจะดีใจมากขึ้นถ้าขมจะเขียนอะไรถึงผมบ้าง สั้นๆก็ยังดี...คุณช่วยผมได้มั้ยล่ะ”
“ผมไม่มั่นใจครับ”
“แต่ผมมั่นใจ...ว่าขมจะไม่เขียนมาแน่นอน”
“สุขภาพคุณเป็นยังไงบ้าง”
“อยู่ๆก็หมดเรี่ยวหมดแรงไปเฉยๆ หมอเขาก็ตรวจโน่นตรวจนี่วุ่นวายไปหมดแล้วก็สั่งให้นอนโรงพยาบาล อีกวันสองวันก็คงรู้ว่าเป็นอะไร...ช่างหัวมัน จะเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ ผมมันไม่มีอะไรให้ห่วงอีกแล้ว...ได้ข่าวว่าคุณกำลังจะหมั้นใช่มั้ย”
“ครับ”
“บอกขมด้วยสิ เขาจะได้ดีใจกับอาของเขา”
ในห้องพักโขมพัสตร์ ประเทศอังกฤษ ซองจดหมายถูกเปิดออกเป็นการ์ดงานหมั้นชาติสยามและรุ้งกาญจน์
โขมพัสตร์มองการ์ดใบนี้ด้วยสายตายินดีแต่แฝงความรู้สึกบางอย่างที่ยากแก่การอธิบาย
“กว่าจดหมายฉบับนี้จะถึงมือขม พิธีหมั้นของอาก็คงผ่านไปเรียบร้อยแล้วหละอาขอส่งการ์ดงานหมั้นของอามาให้ขมเก็บไว้เป็นที่ระลึกนะจ๊ะ”
โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายตอบบนโต๊ะในห้องพัก
“ขมดีใจกับอาด้วยค่ะ ในที่สุดอาก็ได้ผู้หญิงที่เหมาะสมและคู่ควรกับอา”
บ้านรุ้งกาญจน์ตอนกลางวัน
ชาติสยาม และ รุ้งกาญจน์ทั้งสองกำลังอยู่ในท่านั่งพับเพียบ สวมแหวนหมั้นโดยมีมจ.หญิงโสมวดีและป้าซ่อนกลิ่น นั่งอยู่ด้านหลัง
“เป็นคนที่งามสง่า น่ารัก และสามารถดูแลอาสยามของขมได้เป็นอย่างดี...เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปคู่กับอาในวันสำคัญอย่างนี้ ขมว่าอาคงจะหล่อน่าดูเลยหละ”
ชาติสยามนั่งเขียนจดหมายกลางห้อง
“มีวันสำคัญอีกวันนึงที่อารอจะถ่ายรูปกับขม วันรับปริญญาของขมไงล่ะ อาเชื่อว่าวันนั้นขมก็จะต้องสวยอย่าบอกใครเหมือนกัน”
รุ้งกาญจน์เดินถือกาแฟมาวางให้ชาติสยาม
“เขียนจดหมายถึงขมเหรอคะ”
“อือฮื้อ...เราไปฉลองหมั้นที่อังกฤษกันดีมั้ยรุ้ง”
“อยากไปหาหลานก็ไปเถอะ ไม่ต้องเอารุ้งมาอ้างหรอก”
“ไปหาหลานคนเดียวจะสนุกอะไร ต้องมีรุ้งไปด้วยสิ ถึงจะสนุกครบรส”
ชาติสยามโอบร่างรุ้งกาญจน์เข้ามากอดและหอมอย่างนุ่มนวล
รติรสนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ระเบียงสวย กระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งถูกยื่นเข้าไปเบื้องหน้าเธอ
“พี่รัฐมาแปลกนะคะวันนี้ มาเงียบๆ ไม่พูดไม่จา แล้วยื่นกระดาษอะไรให้รสคะเนี่ย”
รัฐผู้ถือกระดาษแผ่นนั้น
“กระดาษเขียนจดหมาย” รัฐว่า
“พี่รัฐ”
“พี่อยากเขียนจดหมายถึงขม”
“แล้วพี่รัฐมาบอกรสทำไม”
“พี่ไม่รู้จะเขียนยังไง ขมถึงจะเข้าใจความรู้สึกของพี่ ขมไปเรียนปีกว่าแล้วนะไม่มีจดหมายถึงพี่ซักฉบับ...รสช่วยพี่หน่อยนะ รสเป็นผู้หญิงน่าจะรู้ดีว่าข้อความแบบไหนที่ขมอ่านแล้วจะใจอ่อนกับพี่บ้าง”
“พี่จะให้รสเขียนให้เหรอ”
“ใช่...รสเคยบอกว่า ยินดีจะช่วยพี่ไง...ตอนนี้หละ ที่พี่ต้องการความช่วยเหลือจากรส”
รัมภ์เดินเข้ามา
“รส...จะไปกันรึยัง”
“จะไปไหนเหรอ”
“ฉันนัดรสไปดูหนัง แล้วก็จะไปเยี่ยมคุณรังสรรค์ด้วยกัน”
“ไปดูวันหลังได้มั้ย...ส่วนเรื่องไปโรงพยาบาล เดี๋ยวฉันพาไปเอง...ขอยืมตัวรสแป๊ปนึงไม่ได้เหรอ”
“ว่าไงรส”
รติรสมีท่าทีลำบากใจ ก่อนเอ่ยปากตอบรัมภ์
“พี่รัมภ์รอรสสักครู่ได้มั้ยคะ”
“ได้สิ พี่รอรสได้อยู่แล้ว แต่เราอาจจะดูหนังไม่ทัน...ไม่เป็นไรนะ”
“ค่ะ”
“แกไปรอไกลๆก่อนได้มั้ย ฉันขอคุยกับรสเป็นการส่วนตัวหน่อย”
“ได้เลยพี่ชาย”
รัมภ์ขยับตัวเดินออกไปอย่างเซ็งหน่อยๆ น้อยใจนิดๆ
พจนีย์เดินตรงเข้ามาหารัมภ์
“พจน์ว่างนะคะ ถ้าพี่รัมภ์ต้องการเพื่อนดูหนังตอนนี้”
รัมภ์ได้แต่ยักไหล่นิดๆ ไม่เอ่ยปากตอบ
ครู่ต่อมา รติรสขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้ารัฐพร้อมกับยื่นกระดาษและปากกาให้เขา
“พี่รัฐต้องเขียนด้วยลายมือของพี่รัฐเองค่ะ”
รัฐรับปากกามาจับกระชับมั่น แล้วจึงเอ่ยปาก
“ขึ้นต้นยังไง ว่ามาเลย”
“พี่อยากบอกอะไรขมล่ะคะ”
“พี่อยากบอกมากมายหลายอย่าง แต่กลัวขมจะไม่ทนอ่านจนจบ”
“ก็เขียนไม่ต้องยาวสิคะ เลือกเฉพาะที่สำคัญ”
“นั่นหละที่พี่ต้องการจากรส...ประโยคเด็ดๆที่โดนใจขม”
“ถ้ารสจะเขียนจดหมายถึงคนที่รสรัก รสจะเขียนสั้นๆ”
รติรสมองจ้องตารัฐ และค่อยๆเอ่ยปาก ราวกับว่าเธอกำลังพูดกับเขา
“รสจะบอกเขาว่า เขาคือชีวิตคือจิตใจของรส คือแสงสว่างที่รสหาที่ไหนไม่ได้และรสอยากใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตกับเขา...รสรักคุณค่ะ”
รัฐถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ เหมือนตกอยู่ในภวังค์แล้วจึงตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
“ใช่เลย อย่างนี้เลย พีเขียนละนะ...รสพูดทวนให้พี่อีกทีด้วยได้มั้ย”
รัฐก้มหน้าเขียนอย่างตั้งใจ
รติรสได้แต่มองดูเขา ด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความรักและความน้อยใจ
เย็นวันั้นโทรศัพท์กลางบ้านรุ้งกาญจน์ส่งเสียงดังขึ้นเธฮก้าวเข้ามายกมันขึ้นมาแนบหูแล้วพูด
“ฮัลโหล”
บุหงายืนพูดโทรศัพท์บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ของไนต์คลับแห่งหนึ่ง หน้าตาของเธอแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
“สุขสบายดีมั้ย รุ้งกาญจน์คนสวย”
“คุณบุหงา...คุณโทรมาทำไมไม่ทราบ”
“ก็โทรมาแสดงความยินดีกับอดีตคู่แข่งคนสำคัญ ที่เป็นคู่หมั้นหมายของชายในฝันของฉัน”
“คุณเมาเหรอคะ”
“ใช่เมามาก และสนุกมากด้วย...สนุกกว่าเธอเยอะเลย เพราะวันๆมีผู้ชายเข้ามาหาฉันเยอะมาก...ไม่แน่นะ วันนึงคู่หมั้นหนุ่มของเธออาจแวะมาหาฉันที่นี่ก็ได้”
พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาหาบุหงา
“บุหงา ไปรับแขกที่โต๊ะวีไอพีด้วย”
“ฉันไม่ว่าง ฉันโทรศัพท์อยู่ไม่เห็นเหรอ”
“ก็โทรศัพท์ให้มันเร็วๆหน่อย เสี่ยแกไม่ชอบคอยนาน”
“ช่างแม่งสิ”
“อย่าทำเป็นพูดดีนะ ที่เธอมีเหล้ากิน มีที่นอน ทุกวันนี้เพราะใคร อย่าทำฤทธิ์มากนักนะ แม่ผู้ดีตกกระป๋อง”
พนักงานเดินออกไป
บุหงาจึงหันมาพูดโทรศัพท์ต่อ
“ยังฟังอยู่รึเปล่า”
“ฟังอยู่”
“ถ้าคู่หมั้นของเธอมาเที่ยวที่นี่เมื่อไหร่...ฉันจะโทรไปบอกเธอเมื่อนั้นก็แล้วกัน”
บุหงาวางโทรศัพท์ลงบนแป้นทันที
ตอนกลางคืน ที่เรือนใหญ่บ้านพุทธชาด คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าชาติสยาม
“มีอะไรร้อนใจเหรอถึงได้มาหาฉันค่ำมืดอย่างนี้ อย่าบอกว่าขมกำลังมีปัญหานะ”
“ไม่ใช่ปัญหาของขมครับ แต่เป็นปัญหาของตระกูลรัตนเดชากร”
คุณหญิงหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“ปัญหาอะไร”
“ผมมีข่าวไม่สู้ดีเกี่ยวกับคุณบุหงาครับ”
พนักงานอีกคน เดินตรงเข้าไปหาบุหงา ที่ยังเดินวนเวียนดื่มเหล้าอยู่บริเวณเคาน์เตอร์
“เจ๊ มีแขกเรียก ที่ห้องวีไอพี”
“วีไอพีอีกแล้ว วันนี้ฉันล่อไปสี่วีไอพีแล้วนะ พอเหอะ เหนื่อยแล้ว เมาด้วย”
“แขกคนนี้หล่อลากดินเลยนะ ท่าทางจะรวยด้วย เจ๊ไม่สนเหรอ”
บุหงาขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย
“ก็ได้...แต่อย่าเรียกฉันว่าเจ๊อีกนะ ฉันไม่ชอบ”
บุหงาก้าวเข้ามาในห้องวีไอพีมีลูกค้าคนหนึ่งยืนรออยู่กลางห้องบุหงาเอ่ยปากด้วยเสียงบาดใจ
“ว่าไงจ๊ะพ่อหนุ่ม ขอดูหน้าหน่อยซิ ที่ว่าหล่อลากดินมันเป็นยังไง”
เมื่อลูกค้าคนนั้นหันหน้ามาเขาคือ ชาติสยาม
“อุ๊ยตาย นึกว่าใคร ในที่สุดก็ผละจากอ้อมอกคู่หมั้นมาหาบุหงาได้ถึงที่นี่...ไม่
เสียแรงเฝ้ารอ แม้ว่าจะนานไปหน่อย แต่ก็พอไหว”
บุหงาพุ่งเข้าไปกอดชาติสยามไว้แน่น
ชาติสยามพยายามแกะมือบุหงาออก
“ปล่อยก่อนได้มั้ย ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”
“เรื่องคุยเอาไว้ทีหลังเถอะค่ะ เอาเรื่องมันๆก่อนดีกว่า ลูกค้าบุหงาเยอะ เดี๋ยวไม่มีเวลาทำอะไรกันนะ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาทำอะไรกับคุณนะ คุณบุหงา”
“แล้วมาทำไม”
“คุณหญิงรัตนเดชากรขอร้องให้ผมมา”
“อีแก่นั่นน่ะเหรอ...คงกลัวว่าฉันจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลมันเสื่อมเสียอีกละสิ”
“คุณหญิงไม่ได้ห่วงชื่อเสียงของตระกูลมากไปกว่าห่วงคุณ”
“ห่วงฉัน ?”
“ถ้าคุณตั้งสติคิดให้ดีคุณย่อมรู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นี้ เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีเป็นมงคลกับตัวคุณรึเปล่า”
“ฉันไม่มีเวลาคิดเยอะขนาดนั้นหรอก”
“อย่างน้อยคุณก็เคยได้ชื่อว่าเป็นสะใภ้ของรัตนเดชากร คุณหญิงท่านจึงฝากเงินมาให้คุณจำนวนหนึ่ง เผื่อว่าคุณจะใช้เป็นทุนในการสร้างตัว เพื่อให้มีชีวิตที่งดงามกว่าที่เป็นอยู่นี้”
ชาติสยามวางเงินจำนวนนั้นไว้บนโต๊ะ
“และถ้าคุณอยากออกไปจากที่นี่ ก็ไปล้างหน้าล้างตาซะ ผมจะรออยู่ข้างนอก”
ชาติสยามขยับตัวลุกขึ้น
บุหงาเอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้
“เดี๋ยวก่อน...คุณรังสรรค์เป็นยังไงบ้าง”
“สุขภาพไม่สู้ดีนัก”
“สมน้ำหน้ามัน ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
ชาติสยามเดินออกไป
บุหงาหยิบเงินก้อนนั้นยัดไว้ในช่องหน้าอก
พนักงานคนเดิมเดินเข้ามา
“เจ๊..พ่อเลี้ยงวิบูลย์เรียกให้ไปหาที่โต๊ะ”
“ใครวะพ่อเลี้ยงวิบูลย์”
“ลูกค้ารายใหญ่ของที่นี่ไง”
“ฉันไม่รู้จัก”
“แต่พ่อเลี้ยงต้องการรู้จักเจ๊”
“บอกว่าอย่าเรียกเจ๊ พูดไม่รู้เรื่องรึไงไอ้นี่ !”
บุหงาเดินออกไปจากห้องนี้
โต๊ะใหญ่กลางบาร์ พ่อเลี้ยงวิบูลย์นั่งอยู่ที่นั่น พร้อมมือปืนสองคนยืนประกบ
บุหงาเดินไปยืนหน้าโต๊ะตัวนี้
“คนไหนพ่อเลี้ยงวิบูลย์”
มือปืนสองคนหันหน้าไปยังพ่อเลี้ยง
“เนี่ยเหรอ บุหงา สะใภ้เอกของรัตนเดชากร ที่เขาร่ำลือ สวยอย่างนี้นี่เอง”
“แต่พ่อเลี้ยงหน้าตาสกปรกมากรู้ไว้ด้วย”
มือปืนพุ่งเข้าไปกระชากแขนบุหงา
พ่อเลี้ยงตวาดลั่น
“อย่า...อั๊วชอบแบบนี้”
มือปืนจึงปล่อยมือจากบุหงา
“มานั่งข้างๆพี่หน่อย ได้มั้ย”
“ได้”
บุหงาขยับตัวลงนั่งข้างๆพ่อเลี้ยงโอบบุหงาไว้จนแน่น
ชาติสยามมองมาที่บุหงาแล้วส่ายหน้าอย่างเวทนาก่อนเดินออกไป
พ่อเลี้ยง ก้มหน้าไปกระซิบข้างๆหูบุหงา
“เท่าไหร่”
“อะไร เท่าไหร่”
“ฉันต้องจ่ายเท่าไหร่ ถึงจะได้นอนกับเธอ”
“ไม่มีทาง หน้าตาทุเรศอย่างแก เอาเงินมากองเป็นแสนก็อย่าหวัง”
“ถ้าหลักล้านล่ะ”
“ไม่ขายเว้ย ฉันแค่ยอมนั่งคุย แต่ไม่ได้ขายตัว”
“งั้นคงต้องปล้ำ”
พ่อเลี้ยงใช้มืออันหยาบกร้านบีบที่ต้นคอบุหงาพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปชิดติดแก้มเธอ
“ขอมีอะไรกับกะหรี่ดงผู้ดีซักทีเถอะวะ อยากรู้ว่าจะถึงใจซักแค่ไหน”
พ่อเลี้ยงกระชากเสื้อ บุหงาบุหงาตบหน้าพ่อเลี้ยงอย่างแรง พ่อเลี้ยงตบกลับอย่างแรงกว่า
มือปืนสองคนตรงเข้าไปล็อคแขนบุหงา
“ลากมันไปใส่รถ”
“ฉันไม่ไป”
บุหงาสะบัดแขนและถีบสองมือปืน
พ่อเลี้ยงตรงเข้าไปตบบุหงาอีกที แล้วกระชากหัวบุหงาขึ้นมา
“ผู้หญิงคนไหนขัดใจพ่อเลี้ยงวิบูลย์ ต้องมีอันเป็นไปทุกคน จำไว้”
พ่อเลี้ยงควักเงินวางไว้บนโต๊ะแล้วลากบุหงาออกจากบาร์นี้
รุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ปรากฏภาพและข่าวพาดหัวข้อความว่า
“ด่วน ! บุหงา รัตนเดชากร นอนจมกองเลือดกลางโรงแรมม่านรูด”
พนักงานให้ปากคำว่ามีเรื่องวิวาทกับพ่อเลี้ยงวิบูลย์ เสือผู้หญิงคนดังจากแดนเหนือ
รังสรรค์นอนอ่านหนังสือฉบับนี้บนเตียงคนไข้หน้าตาของเขาหมองเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
หมอเดินเข้ามาในห้อง
“คุณรังสรรค์ครับ หมอต้องขออนุญาตคุยกับคุณรังสรรค์อย่างจริงๆจังๆหน่อยนะครับ”
“ถ้าเป็นเรื่องข่าวในหนังสือพิมพ์วันนี้ละก้อ ผมไม่มีอะไรจะคุย ผมอโหสิให้เธอหมดแล้ว และไม่อยากรู้อะไรมากกว่าที่เป็นข่าวอีก”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นครับ...แต่เป็นเรื่องที่คุณต้องรู้ เกี่ยวกับอาการป่วยของคุณ”
รังสรรค์อึ้งไปพอสมควร
ต่อมา รังสรรค์เดินเข้ามาที่กลางโถงบ้านเขาสูดอากาศในบ้านหลังนี้เข้าไปเต็มปอด
พจนีย์วิ่งเข้าหาผู้เป็นพ่อ หน้าตาตื่นเต้น
“พ่อ...พ่อกลับมาแล้ว กลับมายังไง ทำไมไม่บอกให้ใครไปรับ”
“พ่อกลับเองได้ จะต้องกวนคนอื่นทำไม”
“พจน์กับย่ากำลังจะไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลพอดี”
“พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว อยากเยี่ยมก็เยี่ยมที่บ้านได้ สบายกว่ากันเยอะเลย”
คุณหญิงรัตนเดชากร และ ไพลินเดินเข้ามาที่โถง รังสรรค์นั่งรออยู่แล้ว
“แน่ใจเหรอว่าแข็งแรงดีแล้ว”
“แน่ใจสิครับ ร่างกายผมเอง ผมต้องรู้ตัวดีสิครับ”
“แต่หมอไม่ได้บอกแม่อย่างนั้น”
“หมอบอกแม่ว่ายังไง”
“หมอไม่บอก เพราะแกขอไม่ให้บอก”
ไพลินถาม“จะบอกดีๆ หรือ จะให้ฉันไปคาดคั้นเอากับหมอ”
รังสรรค์มีอาการอึกอักอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรก็พูดมาน่า อย่าโอ้เอ้”
“ผมเป็นมะเร็งครับ หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งที่ตับ ขั้นสาม”
ทั้งแม่และพี่สาวพากันตกใจอย่างหนัก
ไพลินถึงกับเอ่ยปาก ด้วยความหงุดหงิดผิดหวัง
“ฉันเคยบอกแกแล้วว่าให้เลิกกินเหล้า แกก็ไม่เคยเชื่อฉัน”
“เชื่อแล้วนี่ไง วันนี้เลิกแล้ว เลิกขาดเลย”
“แล้วมันทันมั้ยล่ะ ตารังสรรค์เอ๊ย”
คุณหญิงค่อยๆเอ่ยปากอย่างมีสติ
“แล้วหมอเขาว่ายังไง ต้องรักษายังไงบ้าง”
“ทำคีโมครับ แปดครั้ง...สามอาทิตย์ก็มานอนโรงพยาบาลทีนึง”
“เริ่มเมื่อไหร่”
“เริ่มไปเข็มนึงแล้วครับ”
คุณหญิงเดินไปยืนเบื้องหน้าลูกชาย และเอ่ยปากอย่างอ่อนโยน
“ไหวมั้ยลูก”
รังสรรค์พยายามกลั้นน้ำตา และฝืนยิ้มตอบผู้เป็นแม่
“สบายมาก...มะเร็งที่ตับแค่นี้เอง ผมยังมีอวัยวะอื่นๆที่ไม่เป็นมะเร็งอีกเยอะ”
คุณหญิงดึงรังสรรค์เข้ามากอดไว้แน่นน้ำตาของคนเป็นแม่ ค่อยๆเอ่อออมารอบๆดวงตา
“ไม่ต้องฝืนทำเข้มแข็งกับแม่ กับพี่ ก็ได้นะลูก เป็นยังไงหนักหนาแค่ไหนก็พูดกันตรงๆได้นะลูก”
รังสรรค์ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกมันไหลทะลักพรั่งพรูออกมาทันทีที่สิ้นเสียงผู้เป็นแม่
“ผมกลัวครับแม่...ผมกลัว...ผมยังไม่อยากตายครับ”
“ไม่ต้องกลัว พวกเราทุกคนจะอยู่เคียงข้างลูกตลอดไป”
“พี่จะไม่ทิ้งเธอ ตารังสรรค์”
“อย่าเพิ่งบอกรติรส พจนีย์ได้มั้ยครับ...ผมไม่อยากให้ลูกๆเป็นห่วง”
“แล้วขมล่ะ”
“เขามีความสุขสบายดีอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของผมหรอกครับ...แต่ถ้าเขารู้ เขาก็คงจะดีใจ ที่ผมได้ตายไปจากเขาซะที”
อ่านต่อตอนที่ 22