ดงผู้ดี ตอนที่ 20 : “พจนีย์” ได้บันทึก แฉทุกเม็ด “บุหงา” จัญไรจริงๆ
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
โขมพัสตร์นั่งซึมนิ่งอยู่ที่หน้าบ้านชาติสยาม ซึ่งมีกุญแจล็อคคล้องอยู่ที่ประตูบ้าน
เธอหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วเขียนข้อความลงไป แล้วผูกกระดาษแผ่นนั้นติดกับตุ๊กตาตัวเล็กของเธอ แล้วเอาไปแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้าน
กระดาษแผ่นนั้น ข้อความว่า
"ถ้าเทวดาผู้พิทักษ์มีตัวตนอยู่จริงต้องรู้ว่ามีใครคนนึง กำลังต้องการที่พึ่งพิง"
ตอนกลางวัน นมผ่อนเดินถือตะกร้าผ้า มายังบริเวณหลังบ้านพลันสายตาเธอเหลือบไปเห็นร่างของรติรสนั่งซุกตัวร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
"คุณรส"
นมผ่อนเดินตรงเข้าไปหารติรส
"เป็นอะไรรึเปล่าคะ...ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้คะ"
รติรสปาดน้ำตาตัวเอง เอ่ยปากด้วยเสียงสั่นเครือ
"ป้านมผ่อน...รสไม่รู้จะปรึกษาใคร...รสตัวคนเดียว รสไม่มีใครเลยค่ะป้า"
"ไม่จริงค่ะ มีใครต่อใครที่รักและห่วงใยคุณรสเยอะแยะไปหมด"
รติรสเงยหน้ามองนมผ่อน
"แต่ เขา ไม่..."
รติรสโผเข้าไปกอดนมผ่อน ร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง
"เขาไม่รักรส เขาไม่เคยรักรสเลย...รสทำผิดอะไรเหรอคะป้า"
นมผ่อนถึงกับอึ้ง เมื่อได้ยินคำพูดนี้
"คุณรส"
"รสพยายามตัดใจจากเขาแล้ว แต่เขาก็ยังมาด่ารสอีก ทำไมเขาต้องรังเกียจรสด้วย ทำไมใจร้ายกับรสอย่างนี้"
ไพลินหน้าตาเครียด ก้าวเข้ามาที่โถง เบื้องหน้าเธอคือนมผ่อน และคุณหญิงรัตนเดชากร ที่นั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย
"ไม่น่าเชื่อ...ยายรสรักเขามากขนาดนี้เชียวเหรอ"
"ดิฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ"
"แล้วตอนนี้ยายรสเป็นยังไง" คุณหญิงถาม
"ร้องไห้เป็นพักๆ แต่ปากก็บอกว่าตัดใจได้แล้ว" ผ่อนรายงาน
"ยายรสนะยายรส"
"คงจะต้องตำหนิ นายรัฐบ้างละ...ทำอย่างนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย"
ไพลินถาม"แล้วเรื่องที่ตกปากรับคำกันไว้ จะให้หมั้นให้แต่งกับขมล่ะคะ แม่จะว่ายังไง"
"มันสำคัญที่ตัวขม ฉันจะไม่จับใครคลุมถุงชนกัน เหมือนคราวรังสรรค์กับแม่บุปผา ฉันจะไม่ยอมพลาดอย่างนั้นอีกเป็นอันขาด"
ภายในสวนสาธารณะ โขมพัสตร์นั่งนิ่งใต้ต้นไม้ต้นเดิมที่เธอเคยนั่งด้านหลังของเธอปรากฏร่างของชายคนหนึ่งค่อยๆเดินตรงมาหาเธอเมื่อเขาหย่อนตัวลงนั่ง เราจึงเห็นว่าเขาคือ รัฐ
"ขม"
โขมพัสตร์เอ่ยปากโดยไม่หันไปมองหน้าเขา
"ที่นี่เป็นที่ส่วนตัวของขม"
"พี่รู้ พี่ถึงได้ตามมาถูกไง"
"ตามมาทำไม"
"มาเพื่อเปลี่ยนใจขม...ขมเข้าใจพี่ผิดนะ"
"ขมจะเข้าใจพี่ผิดหรือถูก นั่นไม่ใช่ปัญหาค่ะ"
"งั้นขมปฏิเสธพี่ทำไม"
"ขมบอกเหตุผลพี่ไปแล้วทางโทรศัพท์"
"แต่มันเป็นเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง พี่ไม่ได้รักรส คนสองคนจะรักกัน ลงเอยกันได้ความรู้สึกของทั้งคู่ต้องตรงกัน ไม่ใช่คิดไปเองฝ่ายเดียว"
โขมพัสตร์หันไปจ้องหน้ารัฐ
"พี่รัฐพูดถูกค่ะ คนสองคนจะรักกันได้ ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายต้องตรงกัน"
รัฐถึงกับอึ้งไป
"ขม"
"ความรู้สึกของพี่รัฐกับขม"
รัฐเอ่ยปากสวนขึ้นมาทันที
"ให้เวลาพี่อีกนิดนึงนะ แล้วความรู้สึกของเราสองคนมันก็จะตรงกันเอง"
"ไม่มีทางค่ะ"
"ทำไมล่ะ ขมมีคนอื่นเหรอ"
"ขมจะมีใครหรือไม่มีใคร ก็ไม่เกี่ยว"
"ไม่เกี่ยว แล้วขมจะทิ้งพี่ไปทำไม"
รัฐกระชากแขนทั้งสองข้างของโขมพัสตร์เต็มแรง จนเธอตกใจ
"พี่รัฐ"
"ขมทำกับพี่อย่างนี้ไม่ได้นะ พี่รักขมนะ"
รัฐดึงร่างของขมเข้ามากอดไว้แน่น
"พี่รัฐ"
"พี่ไม่ยอมปล่อยให้ขมจากพี่ไป...ขมต้องรักพี่ ขมต้องเป็นของพี่คนเดียวเท่านั้น"
รัฐพยายามที่จะจูบโขมพัสตร์
เธอใช้มือทั้งสองข้าง ออกแรงทุบตีรัฐ แต่ไม่อาจต้านทางแรงของเขาได้
กระทั่งเสียงชาติสยามดังเข้ามา
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ"
ชาติสยามก้าวเข้ามาหน้าตาดุดันเอาจริง
"ปล่อยขมเดี๋ยวนี้"
รัฐจ้องหน้าชาติสยาม โดยไม่ปล่อยมือจากขม
"นี่ใช่มั้ย คนที่แย่งขมไปจากพี่"
"อา ช่วยขมด้วย"
"บอกให้ปล่อยมือจากขม ได้ยินมั้ย"
"คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม นี่มันเรื่องของผมกับขม"
"เรื่องของขมทุกเรื่อง คือเรื่องของผม"
"ไม่จริง คุณไม่ได้เป็นอะไรกับขมซักนิด อาก็ไม่ใช่ ญาติก็ไม่ใช่ แล้วจะมาอ้างอะไร"
"ถ้าจะพูดเรื่องนี้ก็ปล่อยมือจากขมก่อน"
"ไม่"
"ผมเตือนคุณแล้วนะ"
"คุณมีอะไรเหนือกว่าผมเหรอ ผมถึงต้องเชื่อฟังคุณ"
ชาติสยามเงื้อหมัดชกรัฐอย่างรวดเร็วและรุนแรง
รัฐร่วงล้มคว่ำเลือดกลบปากทันที
โขมพัสตร์ถึงกับตกใจไปด้วย
"พี่รัฐ"
"ขมไปขึ้นรถอาก่อนไป"
"ขมเห็นมั้ย ผู้ชายคนนี้ชอบใช้ความรุนแรง ขมไว้ใจมันได้ยังไง"
โขมพัสตร์ส่งผ้าเช็ดหน้าให้รัฐเช็ดเลือด แล้วจึงหันไปหาชาติสยาม
"เราไปกันเถอะค่ะ อา"
โขมพัสตร์เดินนำชาติสยามออกไป
"ขม กลับมาก่อน อย่าทิ้งพี่ไปอย่างนี้...ขม"
ณ ลานจอดรถ หน้าสวนสาธารณะ โขมพัสตร์ขยับตัวลงนั่งในรถชาติสยาม
ชาติสยามขยับตัวลงนั่งหลังพวงมาลัย
"ถ้าอามาช้ากว่านี้อีกนิด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
"เทวดาผู้พิทักษ์จะมาช้าได้ยังไง...มาทันทีที่ขมนึกถึงอยู่แล้ว"
"ส่งตุ๊กตาตัวนั้นคืนให้กับขม"
โขมพัสตร์มองหน้าชาติสยาม แล้วเอ่ยปากน้ำตาคลอเบ้า
"อา...ขมขอโทษ"
"ขอโทษทำไม"
"ขอโทษที่ทำไม่ดีกับอา"
โขมพัสตร์พนมมือกราบไปที่ไหล่ของชาติสยาม
ชาติสยามโอบประคองขมอย่างรักใคร่และอบอุ่น
"ขอโทษที่ขมผลักไสอา...เพราะขมไม่อยากให้อามีปัญหากับอารุ้ง แต่ขมกลับทำให้อะไรๆมันยุ่งยากขึ้นไปอีก ขมทำร้ายจิตใจพี่รส พี่รสเกือบจะฆ่าตัวตายเพราะขม...ขมไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใครค่ะ"
"ขมรู้แล้วใช่มั้ย ว่าขมมีอาอยู่ข้างๆเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม"
"ขมไม่อยากกลับบ้านค่ะ ขมไม่อยากเจอหน้าใครทั้งนั้น"
"งั้น เดี๋ยวอาโทรศัพท์ขออนุญาตคุณหญิงก่อน ท่านจะได้ไม่เป็นห่วง"
"แล้วเราจะไปไหนกันคะ"
"เดี๋ยวก็รู้"
ชาติสยามขับรถคันนี้ออกไปจากสวนสาธารณะ
รถชาติสยามแล่นฝ่าความมืดเข้ามาจอดหน้าบ้านสวนแปดริ้ว
"ขมยังไม่ลืมที่นี่ใช่มั้ย"
ขมยิ้มกว้าง
"ขมจะลืมได้ยังไง แม่แขของขมอยู่ที่นี่...และขมก็เคยแอบมาที่นี่โดยไม่บอกอาด้วยหละ"
"คิดว่าอาไม่รู้เหรอ"
"ตาพูน !"
ตาพูนหน้าตายิ้มแป้นบอก
"ลุงเป็นคนจริง รักความถูกต้อง ไม่ชอบโกหก"
"แต่กว่าจะยอมบอก ต้องทั้งขู่ ทั้งติดสินบน"
"ก็ยั่วเล่นไปงั้นเองละ ลุงดีใจจะตายที่ได้เห็นคนรักกัน"
"ใคร รักกัน"
"ใครก็ได้ เพราะเรื่องความรักเป็นเรื่องดี และถ้าบ้านหลังนี้จะทำให้ความรักของใครๆประสบความสำเร็จได้ ลุงก็จะยิ่งดีใจ...อย่างน้อยจะได้เป็นอนุสรณ์ก่อนลาจาก"
"ก่อนลาจาก ?"
"หนูคงยังไม่รู้ละสิ"
โขมพัสตร์ส่ายหน้า แสดงความไม่รู้
"ให้คุณชาติสยามเล่าให้ฟังแล้วกัน...หิวกันมั้ย"
"หิวสิ"
"ถ้าหิวก็ต้องกิน...ของกินมาพอดี"
เด็กสาววัยรุ่นยกอาหารถาดใหญ่เข้ามา
"ใครล่ะเนี่ย?"
"หลานลุง ?"
"หลานร่วมโลก...หลานนอกไส้...หลานหลอกๆ...หลานชั่วคราว"
"ลุง !"
"น่า นานๆจะมีความสุขกับเขาบ้าง บอกแล้วลุงชอบเรื่องความรัก...คืนนี้อย่ามาตะโกนเรียกอีกนะ เพราะเราสองคนลุงกับหลาน ไม่ว่างทั้งคืน"
ตาพูนโอบเด็กสาวเดินยิ้มออกไป
โขมพัสตร์และชาติสยาม ขยับตัวลงนั่งหน้าถาดอาหาร
"อนุสรณ์ก่อนลาจากคืออะไรคะ"
"เพื่อนของอาที่เป็นเจ้าของที่นี่ เขามีปัญหาเรื่องธุรกิจ ก็เลยจำเป็นต้องเอาที่ดินที่นี่ไปขายทอดตลาดเพื่อปลดหนี้...อีกไม่กี่เดือน เจ้าของใหม่ก็จะเข้ามาปรับปรุงพื้นที่ตรงนี้เป็นโรงงานอุตสาหกรรม"
"งั้นเราก็จะมาที่นี่ไม่ได้อีกแล้วละสิ"
"วันนี้จะเป็นวันสุดท้าย"
"ขมคงคิดถึงที่นี่แย่"
"อย่ามัวแต่เศร้าสร้อยเลย เวลายิ่งน้อยๆอยู่ ใช้เวลาที่เหลือให้มีความสุขดีกว่า"
ไพลินเดินเข้ามาที่กลางโถงบ้าน รัฐนั่งรออยู่ หน้าตาเครียด
"มีเรื่องด่วนอะไร ถึงต้องมาหาป้ากลางดึกอย่างนี้"
"คุณป้าคงยังไม่รู้ว่า ขมหายไปกับนายชาติสยามตามลำพังสองคน"
"แล้วเธอรู้ ?"
"ครับ ผมไปหาขมที่สวนสาธารณะ แล้วนายชาติสยามก็มาแย่งตัวขมไป ไม่รู้ป่านนี้ไปถึงไหนกันแล้ว"
"เธอใช้คำว่าแย่งตัว...เหมือนขมเป็นสิ่งของงั้นแหละ"
"นายชาติสยามอาจจะคิดอย่างนั้นก็ได้ มันไม่เหมาะสมนะครับ ที่จะให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังสองคน"
"แล้วเธอไม่รู้เหรอว่า ที่ขมเลือกไปกับเขาเพราะอะไร ทำไมไม่บอกป้าด้วยล่ะว่าเธอทำอะไรกับขมบ้าง ก่อนนายชาติสยามโผล่เข้ามาขวาง แล้วสิ่งที่เธอทำน่ะมันเหมาะสมรึเปล่า"
รัฐอึกอัก พูดอะไรไม่ถูก
"ชาติสยามเขาโทรมาขออนุญาตป้ากับคุณหญิงแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรผิด และป้่าก็เชื่อความเป็นสุภาพบุรุษของเขา ในฐานะสุรบดินทร์คนนึง"
"คุณป้าเข้าข้างเขา"
"ป้าเข้าข้างความถูกต้อง...เธอทำให้ป้าผิดหวัง เธอทำให้ผู้หญิงคนนึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย แล้วเธอยังไปด่าทอเขาซ้ำ แทนที่จะขอโทษ หรือแสดงความเห็นใจถ้าป้าต้องเลือกข้าง ป้าคงไม่เลือกข้างผู้ชายที่เห็นแก่ตัวแบบนี้หรอก"
คืนนั้น ... ชาติสยามและโขมพัสตร์นั่งอยู่ที่ระเบียงสวย บ้านสวนแปดริ้ว ที่พวกเขาเคยช่วยกันซ่อมแซม ทาสี
"ขมไม่เคยรู้เลยว่าพี่รสรักเขามากขนาดนี้"
"รักมากขนาดไหน ก็ไม่ควรคิดสั้นอย่างนั้น...วันนึง ถ้าขมรักใคร ขมต้องไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีแบบนี้นะ"
"ขมไม่มีวันรักใครมากขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะขมมีคนที่ขมรักมากที่สุดแล้ว"
"แม่แข ?"
"ใช่ค่ะ แล้วก็ยังมีอีกคนนึง"
"พ่อพิทย์ ?"
"พ่อพิทย์คือพ่อในจินตนาการที่ขมรักมาก แต่มีมากกว่านั้นอีก"
"ชักจะหลายใจแล้วนะ เรา"
"แถมอีกคนนึงน่า เป็นคนในจินตนาการเหมือนกัน"
"ใคร ?"
"เทวดาผู้พิทักษ์ของขมไงล่ะ"
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดชาติสยาม ด้วยความรัก
"ทำไมอาไม่เป็นอาจริงๆของขมนะ...ขมจะได้กอดอาแน่นๆทุกวัน ได้ไปอยู่บ้านอา...โดยที่อารุ้งไม่ต้องเข้าใจขมผิด"
ชาติสยามได้แต่นิ่งไป ไม่อาจตอบคำถามนี้ได้
ความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
"อาหางานให้ขมทำได้มั้ยคะ ขมไม่อยากกลับไปบ้านพุทธชาดอีก"
ชาติสยามยังคงนิ่งอยู่
"อา"
"เห็นดาวบนฟ้านั่นมั้ย"
"เห็น เต็มท้องฟ้าเลย"
"เลือกเอาซักดวงนึงแล้วอธิษฐานนะ...ขมอยากได้อะไร ก็จะได้อย่างนั้น"
"จริงเหรอคะ"
ทั้งสองจ้องมองดาวบนท้องฟ้าพวกเขาต่างอธิษฐานขอบางสิ่งบางอย่างในใจ
สวนหลังเรือนเล็ก บ้านพุทธชาด เช้ารุ่งขึ้น รติรสนั่งเหม่อนิ่ง เพียงลำพังรัฐค่อยๆเดินเข้ามาหาเธอ สีหน้าเรียบเฉย
"พี่รัฐ"
"พี่รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว"
"เรื่อง ?"
"ที่รสตัดสินใจทำร้ายตัวเอง เพราะพี่เป็นต้นเหตุ"
"รสขอโทษที่ทำอะไรโง่ๆแบบนั้น"
"พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษ ขอโทษที่พูดไม่ดีกับรส ทั้งๆที่รสเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆมา"
"พี่รัฐคิดว่ารสเป็นคนเห็นแก่ตัวรึเปล่า"
"เปล่าเลย...พี่เข้าใจแล้วว่าเวลาที่เราผิดหวังจากความรัก มันเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่"
"พี่รัฐ...รสเป็นกำลังใจให้พี่รัฐนะคะ"
"ขอบใจจ้ะ...แต่พี่ขอโทษนะ ที่พี่รักรสไม่ได้"
รัฐขยับตัวเดินออกไป
"พี่รัฐคะ...พี่รัฐต้องการให้รสช่วยพูดกับขมมั้ยคะ"
"ถ้าพี่ต้องการแล้วจะบอก"
โขมพัสตร์เดินออกมาจากห้องนอน เห็นตาพูนกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่
ตาพูนเอ่ยปากขึ้นมาลอยๆ
"เด็กสาวๆนี่เหมือนกันหมด นอนดึกตื่นสายเหมือนหลานลุง"
"อาสยามล่ะ"
"ยังเรียกอาอีกเหรอ เรียกพี่ได้แล้วมั้ง...อีหนูของลุงยังเรียกลุงว่าพี่เลย"
"ตาพูน...ขมอยากรู้จริงๆว่าอาสยามหายไปไหน"
"ไปตลาด เห็นว่าจะไปโทรศัพท์ทางไกล"
"โทรไปไหน ?"
ชาติสยามเดินเข้ามา
"โทรไปอังกฤษ"
"ถ้าที่นู่นมีบ้านให้เฝ้าเอาลุงไปด้วยนะ...แต่ตอนนี้ขอไปเฝ้าหลานก่อน เดี๋ยวมันตื่นมาไม่เห็นใคร จะหนีลุงกลับบ้านซะฉิบ"
ตาพูนเดินออกไป
ชาติสยามขยับตัวนั่งที่โต๊ะอาหาร
"อาโทรไปหาอารุ้งเหรอ"
"ใช่"
"อารุ้งโกรธมั้ยคะ ที่ขมมาที่นี่กับอา"
"อารุ้งเข้าใจทุกอย่าง และฝากข่าวดีมาบอกขมด้วย"
"ข่าวดี ?"
"อารุ้งกำลังติดต่อโรงเรียนที่โน่น...ถ้าขมไม่อยากอยู่บ้านพุทธชาด ขมก็น่าจะไปเรียนต่อ ดีกว่าหางานทำที่นี่ตั้งเยอะ"
"จริงรึเปล่าอา"
"ไปเรียนภาษาที่โน่นซักสามเดือน แล้วสมัครเข้ามหาลัยเลย อารุ้งจะเป็นธุระให้เอง"
"ดีจัง ไปพรุ่งนี้เลยได้มั้ย"
"เฮ่ย เร็วไป ต้องทำวีซ่า ต้องเตรียมเอกสารอีกตั้งหลายอย่าง และที่สำคัญ ต้องขออนุญาตคุณหญิงก่อน"
"ขมรักอาที่สุดเลย"
โขมพัสตร์สวมกอดชาติสยามอีกครั้งจนได้
โทรศัพท์ในห้องพักของบุหงาดังขึ้น พจนีย์เดินเข้ามาหยิบมันขึ้นมาพูด
"ฮัลโหล...น้าบุหงาออกไปข้างนอก"
ณ ร้านค้าใดๆแห่งหนึ่ง ป้า เจ้าของบ้านเช่ายืนพูดโทรศัพท์กลางร้านค้า
"งั้นฝากอะไรหน่อยได้มั้ย"
"ฝากอะไร"
"ฉันจะไว้ใจเธอได้รึเปล่า"
"ฉันเป็นหลานน้าบุหงา ถ้าไม่ไว้ใจฉัน ป้าก็โทรมาใหม่ตอนเย็นก็แล้วกัน"
"งั้นฝากบอกเขาว่า ฉันหาคนเปิดตู้เซฟได้แล้ว แค่เอาเงินมาให้ฉัน เงินมาเมื่อไหร่ก็เปิดได้เมื่อนั้นแหละ"
"เป็นเงินเท่าไหร่" พจนีย์ถาม
พจนีย์ฟังเสียงปลายสาย และครุ่นคิด
"ได้ น้าบุหงาคงดีใจ และจะรีบไปหาป้าทันที"
พจนีย์วางโทรศัพท์ แล้วจึงเปิดลิ้นชักโต๊ะทุกตัวในห้อง เพื่อค้นหาเงิน
บ่ายต่อเนื่องมา รถแท๊กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้านเช่า
พจนีย์ก้าวลงจากรถคันนั้นเจ้าของบ้านเช่าเดินเข้ามาหาพจนีย์
"มาเร็วทันใจดีจัง"
"เรื่องสำคัญ ช้าได้ยังไง"
"คุณนายบุหงาล่ะ"
"น้าบุหงาฝากให้ฉันมาแทน...นี่เงินของป้า"
พจนีย์ส่งเงินให้เจ้าของบ้านเช่า
"เอ...น้ากับหลาน มีรายการตัดหน้ากันรึเปล่าเนี่ย"
"ป้าได้เงินแล้วก็น่าจะพอใจ ไม่เห็นต้องถามนู่นถามนี่เลย หรือถ้าจะเปลี่ยนใจก็บอกมา ฉันจะได้กลับไปบอกน้าบุหงา"
"เปลี่ยนให้โง่ทำไม...ใจเย็นๆ"
เจ้าของบ้านรีบคว้าซองเงินจากพจนีย์
"ไหนล่ะช่าง เปิดได้จริงรึเปล่า"
"ไปดูให้เห็นกับตา บนบ้านเลย"
ประตูตู้เซฟใบนั้นถูกเปิดออกโดยง่ายด้วยฝีมือช่างชาวจีน
"เห็นรึยังว่าช่างของฉันเก่งแค่ไหน"
พจนีย์ก้มลงมองเข้าไปในเซฟใบนั้นเห็นสมุดบันทึกมากมายวางทับซ้อนกันอยู่โดยมีเครื่องอัดเทปบันทึกเสียง วางอยู่ในนั้นด้วย
พจนีย์หยิบเครื่องอัดเทปขึ้นมาดู ตาลุกวาว
ณ ห้องทำงานที่กระทรวงมหาดไทย รังสรรค์เอนกายหลับอยู่บนเก้าอี้ของเขา
ขวดเหล้าสองสามขวดวางปะปนอยู่กับกองเอกสาร หนังสือ บนโต๊ะ
เสียงเคาะประตูดัง
รังสรรค์เอ่ยปากพูดโดยไม่ลืมตา
"มีอะไรก็วางไว้บนโต๊ะ แล้วก็ออกไป ไม่ต้องให้ใครเข้ามาเป็นอันขาด"
ไพลินก้าวเข้ามาในห้องนี้
"แม้แต่พี่ ก็ห้ามรบกวนงั้นเหรอ"
รังสรรค์จึงเอี้ยวตัวหันไปมองผู้เป็นพี่สาว
"พี่ไพ...มาที่นี่ทำไม"
"ก็มาดูแกน่ะสิว่ายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า...หายหัวไปตั้งหลายวัน บ้านช่องไม่รู้จักกลับ...เนี่ยเหรอผู้อำนวยการกอง มาอาศัยนอนที่ทำงานเหมือนเจ้าไม่มีศาลไปได้"
"ผมไม่ได้ไปทำตัวเหลวไหลที่ไหนซักหน่อย"
"ที่ทำอยู่นี่ก็เหลวไหลเกินทนแล้ว กลิ่นเหล้าหึ่งทั่วห้องเชียว...แกเป็นอะไรของแก ทำไมถึงต้องทำตัวแบบนี้ด้วย"
"เป็นพ่อที่ลูกไม่ยอมรับน่ะสิครับ"
"แล้วแกคิดว่าแกมีลูกคนเดียวรึไง...ลูกที่เขารับว่าแกเป็นพ่อน่ะแกสนใจเขาบ้างมั้ย รึว่าสนใจแต่ลูกสาวคนใหม่คนเดียว"
"รติรสกับพจนีย์ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องห่วงนี่ครับ"
"น้อยไปสิ แกหันหลังให้ครอบครัว ทิ้งบ้านช่องจนไม่รู้เลยใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวแกบ้าง"
"เกิดอะไร"
"ยายพจน์ไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว"
"ไปไหน"
"ไปอยู่กับบุหงา..ส่วนยายรสหนักกว่า เมื่อคืนก่อน เธอพยายามจะผูกคอตาย รู้ไว้ด้วย"
ค่ำ วันเดิมรังสรรค์เดินก้าวยาวๆ ตรงเข้าไปหานมผ่อน หน้าตาเครียด
"ลูกสาวฉันอยู่ไหน เขามาหลบอยู่กับนมผ่อนที่นี่ใช่มั้ย"
"เอ้อ"
"ฉันอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงทำเรื่องโง่ๆแบบนี้"
"คุณรังสรรค์อย่าดุ อย่าว่าคุณรสเลยนะคะ แค่นี้เธอก็ช้ำใจจะแย่อยู่แล้ว"
"ใครว่าฉันจะดุเขา ฉันจะขอโทษเขาต่างหาก"
รติรสนั่งอยู่ที่ศาลาหลังบ้านนมผ่อนที่สงบเงียบรังสรรค์ก้าวตรงไปยังศาลานั้น
เขาหยุดยืนมองลูกสาวเต็มๆตา ก่อนเอ่ยปากเรียก
"รส...ลูกอย่าทำอย่างนี้อีกนะ พ่อขอร้อง"
"พ่อ"
"ถ้ารสเป็นอะไรไป พ่อจะอยู่ได้ยังไง พ่อต้องหัวใจสลายตายแน่ๆ"
"รสไม่ทำแล้วค่ะพ่อ รสสัญญา"
รังสรรค์กอดลูกสาวไว้แน่น
"พ่อขอโทษนะลูก พ่อเป็นพ่อที่แย่มาก พ่อไม่ได้ดูแลเอาใจใส่ลูกเท่าที่ควร"
"พ่อดูแลรสดีอยู่แล้วค่ะ"
"ก่อนหน้านี้ พ่อก็เอาใจใส่แต่พจนีย์ พอรู้ว่าขมเป็นลูกพ่อ พ่อก็สนใจแต่ขม จน
ลืมดูแลความรู้สึกของลูกสาวคนโตของพ่อ ยกโทษให้พ่อด้วยนะ"
"พ่อขา รสรักพ่อค่ะ"
"รสต้องรักตัวเองด้วยนะลูก มีอะไรต้องปรึกษาพ่อนะ ให้พ่อได้มีโอกาสทำหน้าที่พ่อ ให้คำปรึกษา หรือแก้ปัญหาให้ลูกบ้าง"
"ปัญหาเดียวก็คือ รสทำให้น้องต้องผิดหวัง น้องต้องยกเลิกงานหมั้นเพราะรส"
"ขมไม่ได้ผิดหวังหรอก ขมไม่ได้รักหมอนั่นจริง เขาเพียงต้องการไปให้พ้นจากพ่อเท่านั้นเอง...ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม"
ค่ำวันเดียวกันคุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าขม และ ชาติสยาม
"มีอะไรจะมาขอย่าอีกละสิ ไม่งั้นคงไม่โผล่มาให้ย่าเห็นหน้าหรอก"
"สาเหตุที่ขมไม่อยากมาบ้านพุทธชาด เป็นเพราะอะไรท่านก็ทราบดี"
"เรียกฉันว่าย่าซักทีเถอะน่า"
"ถ้าขมเรียกท่านว่าย่า แล้วท่านจะอนุญาตมั้ยคะ"
"ย่าอนุญาตหมดหละ ขมจะไปบ้านสวนแปดริ้วย่าก็อนุญาต จะหลบหน้าไปอยู่บ้านชาติสยาม ย่าก็อนุญาต จะไม่รับหมั้นย่าก็ไม่ว่า จะหายหน้าไปอีกนานแค่ไหนย่าก็อนุญาต"
"งั้นขมขอหายหน้าไปซักสี่ปีนะคะ"
คุณหญิงถึงกับสะดุ้ง ร้อง "ห๊า !"
"ขมจะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษค่ะ"
คุณหญิงจึงค่อยๆยิ้มออกมาได้
"ไม่มีเหตุผลที่ย่าจะปฏิเสธเรื่องการศึกษาของขม เว้นแต่ว่าขมจะเผ่นหนีย่าไปตั้งแต่พรุ่งนี้"
"เร็วไปครับ...ยังทำวีซ่า และติดต่อโรงเรียนไม่ทันครับ"
"ค่อยยังชั่ว"
"ขมขอปิดเป็นความลับอย่าให้ใครๆรู้ได้มั้ยคะ"
"ใครๆของเธอเห็นจะมีแค่สองคนละมั้ง...คือนายรัฐ กับนายรังสรรค์ใช่มั้ย"
"ส่วนคนอื่นๆ ขมจะค่อยๆหาวิธีบอกเอง"
"รติรสเขาห่วงเรามากนะ ไหนๆก็มาแล้ว ไปทักทายเขาหน่อยสิ"
"เอ้อ..."
"เขาหลบมาอยู่ที่เรือนนมผ่อน ส่วนนายรังสรรค์ก็หมกตัวอยู่ที่ทำงาน รับรองว่าไม่มีใครมาขวางหูขวางตาขมหรอก"
ขมเดินเข้ามาที่หน้าเรือนนมผ่อน
"ป้านมผ่อน"
นมผ่อนเงยหน้าจากกิจกรรมที่ทำอยู่
เมื่อเห็นเป็นขม สีหน้าของนมผ่อนก็มีความกังวลขึ้นมาทันที
"ขม"
"พี่รสอยู่ที่นี่ใช่มั้ยคะ ขมอยากคุยกับพี่รส"
"อยู่จ้ะ...แต่"
"แต่อะไรคะ"
"เอ้อ..."
"มีใครอยู่กับพี่รสเหรอ"
นมผ่อนพยักหน้ารับคำ
"ขมกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวป้าบอกคุณรสให้ ถ้าขมจะไม่อยากเจอหน้าเขา"
รังสรรค์ก้าวเข้ามาพร้อมกับรติรส
"นมผ่อน"
"คุณรังสรรค์"
รติรสเรียก"ขม"
"ขมไปนะป้า"
"ขมจะไปไหน บ้านขมอยู่ที่นี่ พี่ขมอยู่ที่นี่ น้องขม ป้าขม ย่าขมอยู่ที่นี่พ่อก็อยู่ที่นี่"
"คุณนี่พูดไม่รู้ฟังรึไง...ที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉัน มันคือนรก ที่กัดกินฉันและแม่มาทั้งชีวิต"
ขมเดินออกไปทันที
รังสรรค์หันไปดุใส่นมผ่อน
"นมผ่อน แกร่วมมือกับแม่กับพี่ไพ คอยกีดกันขมจากฉันใช่มั้ย พวกแกช่วยกันปิดบังไม่ให้ฉันรู้ว่า ขมกลับมาแล้ว ใช่มั้ย"
"พ่อขา พวกเราไม่มีใครรู้จริงๆค่ะ"
"ทุกคนพยายามผลักไสขมให้ไปจากฉันใช่มั้ย"
"ไม่มีใครคิดอย่างนั้นนะคะพ่อ"
"พ่อไม่เชื่อ"
คุณหญิงรัตนเดชากรก้าวเข้ามาบอกว่า
"ถ้าแกไม่เชื่อฉัน เราจะเป็นแม่เป็นลูกกันไปทำไม คิดว่าฉันไม่รักหลานฉันเหรอคิดอะไรโง่ๆ"
รังสรรค์ ไพลิน รติรส อยู่รวมกันในห้องนี้
รังสรรค์เอ่ยปากกับผู้เป็นแม่ด้วยอารมณ์หงุดหงิด
"แต่แม่ทำไม่ถูก มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้ลูกสาวผมไปอยู่กับนายชาติสยามตามลำพังสองคน ได้ยังไง"
"เขาคอยดูแลขมไม่ให้เตลิดเปิดเปิงไปไกล แกควรจะขอบใจเขามากกว่าตำหนิเขา...ห้าหกปีที่ขมอยู่ที่นี่ ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นคู่คิด ให้คำปรึกษาและดูแลทุกอย่าง ถ้าไม่มีนายชาติสยาม แกเสียลูกสาวคนนี้ไปนานแล้ว ก่อนที่แกจะรู้ด้วยซ้ำ ว่าขมเป็นลูกแก"
"แต่ผู้ชายวัยหนุ่มอย่างนั้น จะไว้ใจได้ยังไง"
"คิดว่าคนอื่นเขาจะมีนิสัยเหมือนเราทุกคนงั้นเหรอ"
พจนีย์เดินเข้ามาในจังหวะนี้
"กำลังทะเลาะอะไรกันอยู่เหรอคะ"
"ยายพจน์" รติรสเรียก
"ลืมกันหรือยังคะ ว่าพจน์เป็นหลานสาวคนนึงของรัตนเดชากร"
"พจน์ ลูกหายไปไหนมา"
"พจน์ใช้เวลากับการเรียนรู้ชีวิตค่ะพ่อ"
"ไม่หนีไปไหนอีกแล้วได้มั้ยพจน์ ป้าขอเถอะ" ไพลินว่า
"ได้ค่ะ พจน์คิดถึงทุกคนที่นี่มากค่ะ"
พจนีย์ก้มลงกราบทุกคน
คุณหญิงเดินไปยืนเบื้องหน้าหลานสาว
"เวลา ทำให้หลานย่าเข้าใจอะไรๆมากขึ้นแล้ว ใช่มั้ย"
"ค่ะ เวลา...และความจริง" พจนีย์พูดมั่นใจ
"มีอะไรจะเล่าให้ย่าฟังรึเปล่า"
"มีมากมายเลยค่ะ แต่ขอเป็นพรุ่งนี้นะคะ...พรุ่งนี้เช้า พจน์อยากให้ทุกคนอยู่รวมกันกับพจน์ที่ห้องนี้ พจน์มีอะไรจะพูดกับทุกๆคน เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน"
ต่อมา ... โทรศัพท์ในห้องพักดังขึ้น บุหงายกหูขึ้นมาพูด
"ฮัลโหล...นึกว่าถูกจิ๊กโก๋หน้าโรงแรมฉุดตัวไปซะแล้วหลานสาวฉัน...หายไปไหนมาไม่ทราบ"
พจนีย์ยืนหลบมุมพูดโทรศัพท์
"เดินเล่นไปเรื่อยๆ จนตัดสินใจได้ค่ะ"
"ตัดสินใจว่ายังไง"
"พจน์ควรจะตอบแทนบุญคุณของน้าบุหงาบ้าง ที่ดูแลเอาใจใส่พจน์มาโดยตลอด"
"น้ากันหลานกัน...ลูกพี่บุปผาก็เหมือนลูกน้า อย่าคิดมาก"
“พจน์ก็เลยกลับมาที่บ้านพุทธชาด เพื่อมาพูดกับพ่อ”
“พูดอะไร”
“ให้พ่อหย่าขาดจากน้าบุหงาซะ แล้วก็ให้เงินค่าเลี้ยงดูน้าบุหงาด้วย น้าบุหงาจะได้มีชีวิตอย่างสุขสบายบ้าง”
“โถแม่คุณ ช่างคิดแทนน้าดีเหลือเกิน แล้วพ่อว่ายังไงจ๊ะ”
“พ่อตกลงค่ะ”
“จริงเหรอ”
“พรุ่งนี้น้าบุหงามาที่บ้านพุทธชาดแต่เช้าเลยนะคะ พ่อเตรียมเงินและใบหย่าไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอบใจมากนะพจนีย์ จากนี้ไป น้าจะได้มีชีวิตใหม่ซะที”
“ค่ะ พจน์จะรอดูชีวิตใหม่ของน้า ตาไม่กะพริบเลยนะคะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้านพุทธชาด บุหงาก้าวลงจากรถคันนี้
เธอหันไปพูดกับโชเฟอร์
“จอดรอฉันแถวนี้ก่อนนะ ไม่นานหรอก ฉันแค่แวะมารับเงินเท่านั้น”
บุหงาก้าวเดินเข้าบ้านอย่างสง่างาม
บุหงาเดินเข้ามาที่กลางบ้าน ทุกคนพร้อมหน้า คุณหญิงรัตนเดชากร ไพลิน รังสรรค์ รติรส นมผ่อนและ หมู่คนรับใช้เรียงรายเต็มห้องไปหมด
ทุกคนหันไปมองที่บุหงาเป็นตาเดียวกัน
บุหงารู้สึกแปลกใจพอสมควร แต่ก็ยิ้มสู้ใส่ทุกๆคน
“รอต้อนรับดิฉันเหรอคะ”
“ไม่มีใครรอเธอ อย่าสำคัญตัวผิด”
“แหมทักทายกันแบบไม่มีเยื่อใยเลยนะคะ”
“ต้องการอะไรก็บอกมา เสร็จแล้วจะได้รีบๆไปให้พ้นซะ”
“พจนีย์บอกว่าคุณพี่นัดให้น้องมา”
“เธอเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ที่ฉันอยากจะเห็นหน้า...ฉันจะนัดเธอมาทำไม”
“อ้าว อย่าเบี้ยวกันสิคะคุณพี่”
ถึงนาทีสำคัญ ... พจนีย์ก้าวเข้ามา
“พจน์เป็นคนนัดน้าบุหงามาเองค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอกทุกคน”
“นัดมาทำไม”
“ไม่นัดไม่ได้ค่ะ เพราะน้าบุหงาคือคนสำคัญที่สุดของวันนี้”
“เข้าใจตรงกันแล้วใช่มั้ยคะคุณพี่ จะได้เลิกทำหน้างงใส่น้องซะที...เอ๊ แต่พจน์บอกน้าว่า พ่อตกลงแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ยังไงๆพ่อก็ต้องตกลง หลังจากพจน์อธิบายเรื่องราวทั้งหมด”
“เรื่องอะไร ?”
“ความจริง”
“ความจริง ?”
“ความจริงที่จะทำให้พวกเราทุกคนเข้าใจน้าบุหงามากยิ่งขึ้น”
ทุกคนเริ่มฉงน สงสัย ใคร่รู้
พจนีย์จูงบุหงามานั่งกลางโถงบ้าน
“น้าบุหงานั่งตรงนี้ค่ะ ตรงกลางเลยจะได้เห็นชัดๆ”
พจนีย์หันไปประกาศเสียงก้องกังวานกับทุกคน
“ก่อนที่จะเริ่มเรื่อง พจน์ต้องขอนำอุปกรณ์สำคัญ เข้ามาในห้องนี้ก่อนนะคะ”
พจนีย์หันไปพยักหน้าให้สาวใช้
สาวใช้คนนั้นเดินออกไป...
“ชีวิตคนเหมือนละคร มีรัก มีโลภ โกรธ หลง ผิดหวัง สมหวัง แต่วันนี้เป็นวันที่พจน์มีความสุขที่สุด หลังจากที่พจน์หลงทาง หลงผิด หลงเชื่อในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อแต่แล้วพจน์ก็เข้าใจทุกอย่างได้ เมื่อพจน์ได้พบของสิ่งนี้”
สาวใช้คนนั้น เดินนำชายฉกรรจ์หน้าคุ้นตาสองคนก้าวเข้ามา พวกมันลากรถเข็น บรรทุกวัตถุชิ้นใหญ่มีผ้าคลุมเข้ามาในห้อง
บุหงามองหน้าชายสองคนนั้น
ชายสองคนหันมายิ้มให้บุหงา
“พจนีย์ หนูเล่นอะไรน่ะ”
“ขอแนะนำให้รู้จักตัวละครเอกของเรื่องค่ะ”
ชายฉกรรจ์เปิดผ้าคลุมผืนนั้นออก เราจึงเห็นเป็นตู้เซฟใบนั้น
บุหงาถึงกับอึ้ง
ไพลินถาม“นี่มันเรื่องอะไรกัน ป้าไม่เข้าใจ”
“ป้าจะเข้าใจเมื่อรู้ว่าอะไรอยู่ในตู้เซฟใบนี้”
“พจนีย์ !”
พจนีย์เดินพูดกับทุกคนรอบๆห้อง
“น้าบุหงามีความผูกพันกับเซฟใบนี้ เธออยากเปิดเซฟใบนี้มาก แต่เปิดไม่ได้บังเอิญพจน์เปิดได้ และพจน์จะเปิดให้ดู วันนี้”
บุหงาลุกขึ้นยืน พูดเสียงดัง
“อย่านะพจนีย์”
“นั่งลงบุหงา”
บุหงาจำต้องนั่งลงอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“เซฟใบนี้ซุกซ่อนอยู่ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ผู้เช่าบ้านหลังนั้นซึ่งเป็นเจ้าของเซฟใบนี้มีชื่อว่า แฟรงกี้ คนเดียวกับที่เป็นเพื่อนน้าบุหงานั่นแหละ”
“เธอเปิดเซฟใบนี้ไม่ได้นะ พจนีย์”
“เสียใจค่ะ พจน์เปิดไปแล้ว...”
พจนีย์ค่อยๆหมุนรหัสเปิดประตูเซฟใบนี้โดยง่าย
“และได้พบว่าในเซฟใบนี้มีสมุดบันทึกมากมายหลายเล่ม ทุกเล่มเป็นการบันทึกเรื่องร้ายๆ เรื่องไม่ชอบมาพากลของผู้คน เพื่อเก็บไว้ขู่กรรโชก...และเล่มที่สำคัญที่สุดคือเล่มนี้”
พจนีย์หยิบสมุดบันทึกเล่มสำคัญออกมาจากเซฟ และชูให้ทุกคนดู
“หน้าปกเขียนว่า ตระกูลรัตนเดชากร”
บุหงาพุ่งเข้าไปกระชากแขนพจนีย์ เพื่อแย่งสมุดเล่มนั้นทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะพจน์”
รังสรรค์กระชากบุหงาออกมาจากลูกสาว
“อย่าแตะต้องลูกฉันนะบุหงา”
คุณหญิงเปิดฉาก“อ่านสิ พจนีย์...อ่านข้อความในสมุดบันทึกให้พวกเราฟัง”
พจนีย์จึงเริ่มต้นเปิดสมุดบันทึก และอ่านมัน
“ปีนัง ปี1945...ไม่นึกเลยว่าสาวสวยคู่ขาของเราคนนี้ จะนำพาเราไปสู่ความร่ำรวยที่ตักตวงไม่มีวันหมด จากตระกูลรัตนเดชากร...”
เวลา 18 ปีก่อนหน้านี้ แฟรงกี้จูบและลูบไล้ไปตามเรือนร่างอันขาวนวลของหญิงสาวสวยคนนี้ ... บุหงา เธอเอ่ยปากเสียงกระเส่า
“แฟรงกี้ เดี๋ยวก่อน”
แฟรงกี้เอ่ยปากตอบโดยไม่หยุดการจูบ
น้ำเสียงของมันกระเส่ากว่าเสียงบุหงาหลายเท่านัก
“เดี๋ยวไม่ได้แล้ว ดาร์ลิ้ง”
“รับปากฉันก่อนได้มั้ย”
“ได้สิ ได้หมด ยูจะให้รับอะไร ไอรับได้หมดเลย”
“แน่นะ”
“แน่สิ”
“ยูต้องช่วยพี่สาวไอนะ”
“ช่วยสิ เพื่อยู ไอช่วยได้ทุกอย่าง”
“จะไม่ฟังก่อนเหรอว่า จะให้ช่วยอะไร”
พจนีย์อ่านบันทึกเล่มนั้นอย่างสนุกปาก
“เรื่องการทำลายชื่อเสียงผู้คน เป็นทางถนัดของเราอยู่แล้ว แต่ไม่นึกเลยว่า”
“ดาร์ลิ้งของเราจะชอบเรื่องพวกนี้ด้วยเหมือนกัน”
บุหงาสั่ง“หยุดอ่านตัวหนังสือเหลวไหลพวกนั้นซะทีพจนีย์”
คุณหญิงย้ำหนักแน่น
“เธอไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งในบ้านหลังนี้นะ...อ่านต่อ อ่านให้ละเอียด อ่านดังๆ”
พจนีย์ก้มหน้าอ่านต่ออย่างมีความสุข
“เราคงต้องหยุดงานทุกอย่าง เพื่อรีบเดินทางไปกรุงเทพ ด่วน !”
เมื่อแฟรงกี้พบกับบุปผาที่กรุงเทพฯ
“น้องสาวฉันบอกอะไรเธอบ้าง” บุหงาถาม
“ทำลายชื่อเสียงของผู้หญิงคนนึง แลกกับเงินค่าจ้างจากยู”
“นี่คือผู้หญิงคนนั้น”
บุปผาส่งรูปใบหนึ่งให้แฟรงกี้ มันคือรูปแขนภา
รังสรรค์โกรธจัด หันไปจ้องหน้าบุหงา
“นึกแล้วว่าต้องเป็นแก ! นังมารร้าย”
พจนีย์เปิดสมุดบันทึกหน้าต่อไป แล้วเริ่มต้นอ่าน
“แต่ที่ทุกคนจะต้องช็อคก็คือ บันทึกหน้าสุดท้ายของสมุดเล่มนี้ นายแฟรงกี้ทำเครื่องหมายดอกจันอันใหญ่ไว้ด้วย นี่ไงคะ”
พจนีย์ชูสมุดบันทึกหน้านั้นให้ทุกคนดู
“ถ้าไม่หยุดอ่าน น้าจะกลับละ”
บุหงาลุกขึ้นเดินออกไปทันที
พจนีย์พยักหน้าให้สัญญาณชายฉกรรจ์
กลุ่มคนสวน คนรถ และชายฉกรรจ์ ต่างขยับตัวไปยืนขวางทางออกไว้บุหงาจึงไม่อาจออกจากห้องนี้ได้พจนีย์ก้มหน้าอ่านต่อ
“และแล้ว เราก็ได้พบกับ ถุงเงินที่ไม่มีวันกินหมด...ตระกูลรัตนเดชากรนี่เอง”
บุหงาขยับตัวลงนั่ง หายใจแรง เครียด
“การฆ่าคนตายไม่เคยอยู่ในความคิดของเรามาก่อน แต่ครั้งนี้ถือว่าน่าเสี่ยงเพื่ออนาคตของนายแฟรงกี้จะได้กินดีอยู่ดีไปทั้งชาติ”
เก้าปี ก่อนหน้านี้บุหงานอนหนุนไหล่แฟรงกี้ทั้งสองเปลือยกาย อยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่
“ยูเคยฆ่าคนมั้ย” บุหงาถาม
“บ้า ทั้งบาป ทั้งผิดกฎหมาย”
“ก็อย่าให้ใครรู้สิ”
“ฆ่าใคร”
“คนป่วยเป็นโรคหัวใจคนนึง”
“งั้นก็ไม่ยาก แค่เปลี่ยนยาเท่านั้น เขาก็จะตายแบบสบายๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว”
พจนีย์เดินอ่านบันทึกเล่มนั้นต่อ
“ไม่นึกเลยว่าผู้หญิงสวยๆอย่างบุหงาดาร์ลิ้ง จะวางแผนฆ่าพี่สาวตัวเองได้ลงคอ”
บุหงาแย้งทันที“ไม่จริง ฉันไม่เคยทำอย่างนั้น ยายพจน์ทำไมใส่ความน้าแบบนี้”
“พจน์ไม่ได้ใส่ความ พจน์อ่านอย่างที่เห็น น้าบุหงาจะลองโผล่หน้ามาอ่านเองมั้ยล่ะ”
“โกหก ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ปั้นน้ำเป็นตัวชัดๆ ทุกคนก็รู้ว่านิสัยยายพจน์เป็นยังไง”
“และวันนี้พจน์ก็รู้แล้วว่านิสัยของน้าบุหงาเป็นยังไง”
“เชิญเลย ใครอยากเชื่อก็ตามใจ สมุดบันทึกเก่าๆ กับเซฟเส็งเคร็ง ใครหลงเชื่อก็บ้าเต็มทนแล้วละ”
“งั้นก็ต้องฟังสิ่งนี้ควบคู่ไป จะได้เชื่ออย่างมั่นใจว่าไม่ได้บ้า”
พจนีย์ก้มลงไปหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมาจากตู้เซฟ
“ลองฟังดูสิคะว่าเสียงใคร”
พจนีย์กดปุ่มเปิดเครื่อง
เสียงบุหงา ดังออกมาจากเครื่องบันทึกเสียงเครื่องนั้น
“พี่บุปผาป่วยออดๆแอดๆหลายโรค โดยเฉพาะโรคหัวใจ หมอบอกว่าเธอคงอยู่ได้อีกไม่นาน”
เสียงแฟรงกี้บอก“ยูรอไม่ได้ ?”
“เสียงคุ้นหูมั้ยคะ น้าบุหงา” พจนีย์ถาม
เสียงบุหงาจากเครื่องบันทึกเสียงยังดังต่อไป
“ฉันแค่อยากช่วยให้พี่บุปผาได้พักผ่อนเร็วขึ้นอยู่ต่อไปก็มีแต่จะช้ำใจที่ต้องทนเห็นสามีที่รักปันใจไปให้หญิงอื่นที่สวยกว่า สดกว่า”
“และหญิงคนนั้นก็คือน้องสาวของตัวเองซะด้วย”
“ฉันทำหน้าที่เมียที่ดีแทนพี่บุปผาต่างหาก”
“งั้นนี่คือสิ่งที่ยูต้องการ”
แฟรงกี้ส่งยาให้บุหงา
แปดปี ก่อนหน้านี้บุปผาคลานอยู่บนพื้น ด้วยความทุรนทุรายมือของเธอไขว่คว้าไปเบื้องหน้า
บุหงายืนยิ้มขวางหน้าพี่สาวอยู่
“บุหงา ยาของพี่ ยาของพี่หายไปไหน”
“ไม่รู้ค่ะ”
“ช่วยหยิบยาในห้องนอนให้พี่หน่อย พี่หายใจไม่ออก พี่ต้องการยา”
“เอายาของน้องดีกว่าค่ะ ดีกว่ายาของพี่เยอะ”
“ยาอะไร”
“เถอะน่า เชื่อน้องนะ...พี่จะได้หมดทุกข์หมดโศกซะที”
บุหงาใช้มือจับปากพี่สาว แล้วกรอกยาขอเธอใส่ลงไป
“บุหงา พี่ พี่เจ็บหน้าอก”
“อดทนอีกนิดนะพี่บุปผา แล้วพี่จะสบายไปเอง”
บุปผา แน่นหน้าอกมากขึ้นจนแทบจะทนไม่ได้
“บุหงา ทำไมทำกับพี่อย่างนี้...บุหงา”
แล้วบุปผาก็หมดสติ สิ้นลมไปในที่สุด
บุหงาใช้มือของเธอปิดเปลือกตาผู้เป็นพี่สาวแล้วจึงเอ่ยปากเสียงเยือกเย็น
“ไปที่ชอบๆเถอะนะพี่ น้องจะดูแลคุณรังสรรค์ให้เอง”
พจนีย์เปิดสมุดบันทึก แล้วชูให้ทุกคนดู
“และนี่ก็คือลายเซ็นคุณน้าบุหงา ในสัญญาว่าจ้างแฟรงกี้จัดหายาปลอมและนี่ก็คือรูปคู่ที่ทั้งสองถ่ายคู่กันวันนั้น..”.
พจนีย์ชูรูปถ่ายให้ทุกคนดู
รูปคู่บุหงาแฟรงกี้ ที่พจนีย์หยิบมาจากห้องพักบุหงา
“อย่างนี้ยังจะหาว่าพจน์ปั้นน้ำเป็นตัวอีกมั้ยคะ น้าบุหงา”
“อีพจนีย์ อีหลานเนรคุณ”
“อีบุหงา แกฆ่าแม่ฉัน”
รังสรรค์ก้าวเข้าไปตบหน้าบุหงาอย่างแรง
“แกฆ่าเมียฉันอย่างเลือดเย็น...แกอยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายแขนภา แล้วแกยังอำมหิตพอที่จะทำกับพี่สาวตัวเองขนาดนี้ จิตใจแกทำด้วยอะไร อีบุหงา”
“ก็ทำด้วยสิ่งเดียวกับจิตใจแกนั่นแหละอีรังสรรค์ แกก็ทำกับพี่สาวฉันไม่ได้ดีกว่ากันนักหรอก คบชู้ เปลี่ยนตัวเด็กทารก เอาลูกชู้รักมาหลอกเป็นลูกพี่บุปผาแกมีดีตรงไหนวะ นึกว่าตัวเองเป็นเทพบุตรเหรอ”
รังสรรค์ตบหน้าบุหงาอีกหนึ่งฉาดใหญ่
“รีบออกไปจากบ้านนี้เลย ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจมาจับแก”
“ข้อหาอะไร”
“ว่าจ้างแฟรงกี้ข่มขืนรุ้งกาญจน์ จะให้พจน์อ่านอีกเล่มนึงมั้ย”
คุณหญิงบอก“พอแล้ว...ออกไปจากบ้านนี้ซะ แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก แต่เพื่อเห็นแก่อดีตของ
พี่สาวเธอและเธอที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสะใภ้บ้านนี้ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกมา ฉันจะช่วยเท่าที่จะช่วยได้”
“ฉันไม่ต้องการ ฉันมีศักดิ์ศรีพอ ฉันอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งตระกูลผู้ดี ที่ดีแต่เปลือกอย่างพวกคุณหรอก”
บุหงาเดินเชิดหน้าออกจากบ้านหลังนี้ไป
คุณหญิงเดินไปหาผู้เป็นหลานสาว
“ขอบใจมากนะพจนีย์”
“หวังว่าสิ่งที่พจน์ทำวันนี้ จะเป็นการไถ่โทษ ความผิดทั้งหมดที่พจน์เคยก่อไว้ได้นะคะ”
คุณหญิงรัตนเดชากรพยักหน้าให้กำลังใจหลานสาว
พจนีย์ทรุดตัวลงนั่ง พนมมือ เอ่ยปากกับทุกๆคน
“ต่อไปนี้พจน์จะเป็นคนดี ของพ่อ ป้า ย่า และพี่ค่ะ พจน์สัญญา”
อ่านต่อตอนที่ 21