ดงผู้ดี ตอนที่ 19 : “รติรส” ผิดหวังช้ำรัก ผูกคอที่ต้นไม้!?
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
บ่ายวันเดิม ร้านกาแฟสวยในตลาดชุมชนย่านอัมพวา คุณหญิงรัตนเดชากรเดินเข้าไปนั่งในร้านนี้ โดยมีโขมพัสตร์เดินตามมาไม่ห่าง และสีหน้ายังไม่สดชื่นขึ้นเท่าไหร่นัก
“จะว่าไปแล้ว ตลาดแถวนี้ก็สวยมีเสน่ห์ไม่เลว เหมาะสำหรับเป็นที่ท่องเที่ยวของคนเมืองหลวงอยู่เหมือนกัน แต่พอนึกถึงภาพตอนที่ขมกับแขนภาอยู่ที่นี่กันตามลำพังสองคน ย่าว่า คงจะลำบากน่าดูเลยหละ”
“ไม่ค่ะ อยู่ที่นี่สุขกายสบายใจกว่าบ้านพุทธชาดเยอะ”
“คงไม่ได้หมายถึงเรือนใหญ่ของย่าใช่มั้ย”
โขมพัสตร์ยิ้มนิดๆให้คุณหญิง
“ครูสมพรบอกย่าว่าขมร้องเพลงได้เหมือนแม่”
“ไม่เหมือนหรอกค่ะ แม่ร้องเพราะกว่าขมเยอะ”
“ร้องให้ย่าฟังก่อนสิ แล้วย่าจะบอกว่าใครร้องเพราะกว่ากัน”
โขมพัสตร์ส่ายหน้า
“ไม่ดีกว่าค่ะ”
“งั้นถ้าย่าจะจัดงานรับขวัญขม ที่เรือนใหญ่ของย่า ขมร้องเพลงให้ย่าฟังวันนั้นได้มั้ย”
“ขมไม่กลับไปที่นั่นแล้วนี่คะ”
“ย่ามีทางเลือกที่ดี ที่น่าจะทำให้ขมเปลี่ยนใจได้...จะลองฟังดูมั้ย”
โขมพัสตร์คิดนิดนึงก่อนพยักหน้ารับคำ
“ค่ะ”
“ย่าจะส่งขมไปอยู่บ้าน หม่อมเจ้าอรุณี จะได้ไม่ต้องอยู่ใกล้นายรังสรรค์ และก็ยังไปสอบไล่ที่โรงเรียนได้เหมือนเด็กนักเรียนคนอื่น”
โขมพัสตร์หน้าบึ้งขึ้นมาทันที
"ย่าเชื่อว่า ขมฉลาดพอที่จะรู้ว่า การเรียนการสอบมีความสำคัญแค่ไหน เพราะฉะนั้น นี่คือทางออกที่ดีที่สุด"
โขมพัสตร์ครุ่นคิดแล้วจึงค่อยๆเอ่ยปาก
"สอบเสร็จแล้ว ขมกลับมาอยู่กับครูสมพรที่นี่ได้มั้ยคะ"
"ให้จบปริญญาตรีก่อนจะดีกว่า"
"ขมต้องอยู่บ้านหม่อมเจ้าอรุณีสี่ปีเลยเหรอคะ เกรงใจท่านแย่"
"วันหยุด เสาร์อาทิตย์ ขมก็กลับมาอยู่กับย่าบ้างก็ได้นี่...ตกลงมั้ย"
"ขมมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นค่ะ"
"ยังไง"
"จบ มอ.แปดแล้วขมจะแต่งงานค่ะ"
ต่อมา ... รัฐวิ่งเข้าในสนามของบ้านตึกขาว ด้วยความตื่นเต้น ดีใจ แหกปากตะโกนลั่น
"นายรัมภ์...รัมภ์โว้ย"
รัฐเห็นรติรสนั่งรออยู่ในสวนนี้
"อ้าว รส ทำไมมานั่งอยู่นี่ล่ะ"
"รสมารอพี่รัฐ"
"รอพี่ ?"
"พ่อให้รสมาขอบคุณ ที่พี่รัฐเป็นธุระให้วันนี้"
"พี่ทำด้วยความเต็มใจ"
"แต่รสก็ต้องขอโทษด้วย ที่ทำให้พี่รัฐต้องวุ่นวายเสียเวลา"
"ไม่ต้องขอโทษ พี่ไม่ได้เสียเวลาเลย เพราะมันทำให้พี่ได้รับข่าวดีในวันนี้"
"ข่าวดีอะไรคะ"
"พี่บอกรสเป็นคนแรกเลยนะ ขมตกลงจะแต่งงานกับพี่แล้ว"
รติรสพยายามเก็บอาการผิดหวังเสียใจไว้อย่างมิดชิด
"จริงเหรอคะ"
"พี่ไปหาคุณย่าของรสเมื่อกี้นี้ ท่านเป็นคนบอกพี่เองเลย"
"แล้ว...ขมเขาไม่สอบแล้วเหรอคะ"
"สอบซี่...ขมจะกลับมาสอบไล่ก่อน และเมื่อสอบเสร็จ จบม.แปด เราก็จะแต่งงานกันทันที"
"เอ้อ...ไม่เร็วไปเหรอคะ"
"ไม่หรอก แต่รอให้คุณยายพี่กลับมาจากสมุยก่อน เราค่อยตกลงกัน ว่าจะหมั้นก่อนมั้ย หมั้นแล้วอาจจะไปเรียนต่อเมืองนอกด้วยกัน แล้วจดทะเบียนแต่งงานกันที่โน่นก็ได้ ไม่มีปัญหา"
"ค่ะ"
"ดีใจกับพี่มั้ยรส"
"ค่ะ...ดีใจค่ะ"
รัฐกอดรสด้วยความดีใจ
"ขอบใจมากนะรส พี่ไปบอกนายรัมภ์ก่อนนะ เดี๋ยวมาคุยด้วย"
"ไม่เป็นไรค่ะ รสกำลังจะกลับพอดี"
"เดินกลับเองนะ พี่ไม่ไปส่ง"
รัฐรีบวิ่งตะโกนเข้าไปในบ้าน
"รัมภ์รัมภ์โว้ย...มาดีใจกับพี่หน่อย รัมภ์"
รติรส ยืนน้อยใจอยู่เพียงเดียวดาย
กลางโถงบ้าน เรือนใหญ่ โทรศัพท์ส่งเสียงดังลั่น สาวใช้เดินเข้าไปยกโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาพูด
"สวัสดีค่ะ บ้านคุณหญิงรัตนเดชากรค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการเรียนสายกับใครคะ"
ในห้องพักบุหงา พจนีย์ เอ่ยปากพูดใส่โทรศัพท์
"คุณพจนีย์อยู่มั้ย?"
"คุณพจนีย์ อยู่เรือนเล็กอีกหลังนึงค่ะ"
"ฉันโทรไปแล้ว เขาไม่อยู่นี่"
"เออ...ยังไงไม่ทราบค่ะ"
"อะไรกัน...คนหายไปทั้งคน ทั้งบ้านนี้ไม่มีใครรู้เลยเหรอ"
"ไม่ทราบค่ะ เดี๋ยวถามให้นะคะ"
ไพลินที่เดินเข้ามาด้านหลัง
"ใครโทรมา ?"
"ไม่ทราบค่ะ เขาโทร. มาหาคุณพจนีย์"
ไพลินหยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาพูด
"ฮัลโหล...วางสายไปแล้วนี่ เขาไม่บอกเหรอว่าเป็นใคร"
"ไม่บอกค่ะ ถามถึงแต่คุณพจนีย์ แต่หนูว่าเสียงเขาเหมือนคุณพจนีย์นะคะ"
"แล้วยายพจน์จะโทรมาหาตัวเองทำไม แกนี่ก้อ !"
พจนีย์หย่อนตัวลงนั่งลงบนเตียงนอนของบุหงาในโรงแรม
บุหงากำลังดูนิตยสารแฟชั่นต่างประเทศ พจนีย์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงบ่น หงุดหงิด
"น้าบุหงาดูสิคะ...พจน์หายจากบ้านไปตั้งหลายวัน ไม่มีใครรู้เรื่องเลย ไม่มีใครสนใจจะตามหาพจน์เลยซักคน"
"พวกเขาคงกำลังเห่อ เอาใจหลานสาวคนใหม่ละมั้ง"
"ต้องให้พจน์ตายก่อนละสิ ถึงจะนึกถึงหลานคนนี้ขึ้นมาได้"
"ไม่ได้นะ พจน์คิดอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนเราไปยอมมัน พวกมันจะยิ่งได้ใจขึ้นไปใหญ่"
"แล้วพจน์ควรจะทำยังไง"
"ก็กลับไปอยู่ที่บ้านเหมือนเดิมสิ ไปเป็นก้างขวางคอมัน อย่าให้มันเสวยสุขได้ง่ายๆ พวกมันต้องรู้ว่า หลานแท้ๆคนเดียวของตระกูลรัตนเดชากรคือเรา ไม่ใช่ลูกเมียน้อยอย่างมัน"
"แต่พจน์ไม่อยากเห็นหน้ามัน ไม่อยากเห็นหน้าพ่อด้วย อยู่กับน้าบุหงาอย่างนี้สบายใจกว่า"
"แต่พจน์ก็จะเรียนไม่จบนะ"
"ไม่จบก็ไม่สน จบไปก็ไม่เห็นจะได้อะไร"
"มันจะได้หยามเราไม่ได้ไง...ฟังน้านะ เราจะเอาชนะใคร เราต้องเก่งกว่ามัน ฉลาดกว่ามัน จำไว้"
บุหงาขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง
"น้าจะแวะไปเอาของที่บ้านพุทธชาดหน่อย จะให้น้าเอาเสื้อผ้า กับหนังสือเรียนมาให้มั้ยล่ะ"
พจนีย์คิดสักพักแล้วเอ่ยปากตอบ
"พจน์ไปเอาเองอาจจะสนุกกว่าค่ะ !"
คุณหญิงรัตนเดชากรก้าวเข้ามาเบื้องหน้าหมู่คนใช้ที่ยืนเรียงแถว โดยมีไพลินและรติรสยืนอยู่ข้างๆ
"เป็นไปได้ยังไง คนหายไปทั้งคน ไม่มีใครรู้เรื่องเลยเหรอ...บ้านนี้มันมีแต่คนหูหนวกตาบอดกันรึไง"
หมู่คนใช้ต่างพากันเงียบ
"พอจะนึกออกบ้างมั้ยว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นพจนีย์น่ะคือเมื่อไหร่"
"น่าจะวันที่อ่านจดหมายของตาชวาล วันนั้นพวกเราพากันให้ความสนใจแต่ขม จนลืมคนอื่นๆไปหมด" ไพลินว่า
คุณหญิงหันไปถามรติรส
"แล้วพ่อเรารู้เรื่องรึยัง"
"ยังค่ะ"
ไพลินบอก "พ่อคนนั้นยิ่งแล้วใหญ่ หายใจหายคอเป็นแต่ขมคนเดียวเท่านั้น"
"แม่สังหรณ์ใจว่า เรื่องนี้น่าจะไม่จบง่ายๆซะแล้วสิ"
สาวใช้อีกคนหนึ่งเดินเข้ามา
"คุณหญิงขา...มาแล้วค่ะ"
"อะไรมา"
"คุณพจน์ค่ะ...คุณพจน์กลับมาแล้ว"
ไพลินถาม "มายังไง"
"มากับคุณบุหงาค่ะ"
ในห้องนอน พจนีย์กำลังเก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า รติรสก้าวเข้ามาในห้อง หน้าตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
"พจน์"
ไม่มีการตอบรับใดๆจากพจนีย์
"พจน์หายไปไหนมาน่ะใครๆเป็นห่วงกันแทบแย่"
"แน่ใจเหรอ เอ่ยชื่อคนที่เป็นห่วงฉันให้ฟังหน่อยซิ"
"ทุกคน คุณย่า คุณป้า พ่อ และก็พี่"
"งั้นบอกซิ ฉันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ กี่วันแล้ว"
รติรสไม่อาจหาคำตอบได้
"ที่เพิ่งมาห่วงวันนี้ ก็เพราะ ฉันโทร. มาน่ะสิ ไม่งั้นไม่มีใครในบ้านนี้สนใจฉันหรอก"
"ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ พี่สนใจและห่วงใยพจน์เสมอ เราเป็นพี่น้องกันนะ อย่าลืมสิ"
"ฉันว่าเธอต้องหัดท่องจำใหม่แล้วหละ เราเป็นลูกคนละแม่ แม่ฉันเป็นเมียหลวง แม่เธอเป็นเมียน้อย"
"พจน์ไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างนี้"
"เพราะฉันรู้จักธาตุแท้ของพวกแกมากขึ้นน่ะสิ"
"พจน์"
"แม่แกจงใจแย่งทุกอย่างไปจากแม่ฉัน ยอมแม้กระทั่งเอาลูกตัวเองเข้าแลกเพราะหวังจะชูคอเป็นผู้ดีในตระกูลรัตนเดชากร...เอาเลย อยากได้ก็เอาไปเลย ฉันยกให้ เอาทุกอย่างในบ้านนี้ไปเลย...แต่อย่ามาเรียกฉันว่าน้องอีก เพราะฉันไม่มีพี่สาวต่ำๆอย่างแก...ฉันอยู่เหนือกว่าแกเยอะ"
พจนีย์คว้ากระเป๋าพร้อมขยับตัวจะเดินออก
"พจน์...แล้วพจน์จะไปไหน"
"ไม่ต้องมาทำท่าเป็นห่วงหรอก รำคาญ...พวกแกดีใจจะตายที่ฉันไม่อยู่ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันจะไปไหน"
พจนีย์เดินออกจากห้อง
รติรสยืนนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
ฝ่ายบุหงาเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานของรังสรรค์ รื้อค้นของในลิ้นชัก แล้วเลือกหยิบเงินและสมุดบัญชีธนาคารออกมา
ไพลินก้าวเข้ามาด้านหลัง
"ฉันไม่นึกว่าเธอจะกล้ากลับมาที่นี่อีก"
บุหงาเอ่ยปากตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
"ก็ไม่ได้อยากจะมาเท่าไหร่นักหรอกค่ะคุณพี่ ถ้าไม่จำเป็น"
"ความจำเป็นของเธอคืออะไร? คือการแอบมาขโมยเงินตารังสรรค์เนี่ยนะ"
"เงินของเราค่ะ ฉันมีส่วนเป็นเจ้าของเงินในบัญชีนี้ด้วย คุณพี่ไม่เกี่ยว"
บุหงาขยับตัวจะเดินออก
"เธอยังได้ชื่อว่าเป็นสะใภ้บ้านนี้อยู่นะแม่บุหงา ทำอะไรนึกถึงหน้าตาของรัตนเดชากรด้วย ตะลอนๆนอนตามโรงแรมไม่เป็นหลักเป็นแหล่งอย่างนี้ คนเขาจะว่ายังไง"
"ไม่ทราบค่ะ แต่คุณพี่ควรถามน้องชายคุณพี่ดูบ้าง ว่าที่ไล่ดิฉันเหมือนหมูเหมือนหมาน่ะ คนอื่นรู้เข้าจะว่ายังไง หรือมั่นใจว่าไม่มีใครรู้ เพราะคนตระกูลนี้เก่งนัก กับการปกปิดความผิดของตัวเอง แต่เที่ยวโพนทะนาความผิดของคนอื่น"
"บุหงา !" ไพลินเสียงแข็ง
"ถ้าจะให้แฟร์ๆกัน ก็ให้คุณรังสรรค์เซ็นใบหย่ามาเลยดีกว่า จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูซักก้อนนึง ทุกอย่างก็จบ ถ้าฉันไปทำเรื่องอะไรเสียหาย ก็จะได้พูดได้เต็มปากว่าเป็นเพราะฉันคนเดียว ไม่เกี่ยวกับรัตนเดชากรอีกต่อไป"
"งั้นเธอก็ต้องไม่เอาพจนีย์หลานฉันไปเกี่ยวด้วย"
"อันนี้ต้องถามหลานคุณพี่เองค่ะ เพราะเธอเป็นคนวิ่งโร่มาขออยู่กับฉัน ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอมาเป็นตัวประกันซักนิด"
พจนีย์นั่งหน้านิ่งอยู่ที่เก้าอี้นั่งกลางสนามหน้าบ้าน พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าวางข้างตัว
คุณหญิงรัตนเดชากร เดินเข้าตรงไปหาพจนีย์
"นี่ใช่พจนีย์หลานฉันรึเปล่าเนี่ย"
"ย่าว่าใช่มั้ยล่ะคะ"
"ฉันอุตส่าห์ส่งเธอไปอบรมบ่มนิสัยถึงบ้านหม่อมเจ้าอรุณี นึกว่าจะเปลี่ยนแปลงนิสัยให้ดีขึ้นได้ แต่กลับหนักกว่าเก่า"
"ถ้าจะให้ดีได้อย่างที่คุณย่าต้องการ คุณย่าคงต้องส่งไปอบรมทั้งบ้านมั้งคะ จะได้รู้เท่าๆกันว่าอะไรควรอะไรไม่ควร"
"ลามปามมากขึ้นเรื่อยๆนะ"
"ไม่ได้ลามปามค่ะ แต่ถ้าผู้ใหญ่ทำไม่ถูก เด็กก็ย่อมติติงได้บ้าง ไม่ใช่เหรอคะ....พจน์ไปละค่ะ น้าบุหงามาแล้ว"
พจนีย์ลุกขึ้นขยับเดินไปยังบุหงาที่เพิ่งก้าวออกมาจากในบ้าน
คุณหญิงรีบเอ่ยปากเรียก
"พจนีย์ เธอยังเป็นหลานบ้านนี้อยู่หรือเปล่า"
พจนีย์หยุดเดิน หันไปเอ่ยปากตอบผู้เป็นย่า
"เด็กบ้านนี้สองคนหนีออกจากบ้าน เด็กคนหนึ่งหนีแล้วหนีอีก หนีจนเป็นประจำ ผู้ใหญ่บ้านนี้ก็ยังขยันตกอกตกใจส่งคนตามหาแทบพลิกแผ่นดิน แต่กับเด็กอีกคน ที่เป็นหลานในไส้แท้ๆ หายไปเป็นอาทิตย์ กลับไม่มีใครใส่ใจ...คุณย่าคิดว่าพจน์ยังควรเป็นหลานบ้านนี้อยู่อีกหรือเปล่าคะ"
คุณหญิงหายใจลึกๆก่อนเอ่ยปากอย่างชัดถ้อยชัดคำ
"ฉันจะให้เวลาเธอสักพัก เพื่อทบทวนคำพูดของเธอให้ดี ก่อนตอบคำถามฉัน และถ้าถึงวันนั้นคำตอบของเธอไม่เป็นที่ถูกใจฉัน ฉันก็จะทำหน้าที่ย่าอย่างถึงที่สุด จะต้องใช้กำลัง มัดมือมัดเท้า ลงแส้ ย่าก็จะทำ"
พจนีย์ รู้สึกได้ถึงความเอาจริงเอาจังของย่า
แต่เธอก็ยังกล้าแสยะยิ้ม ก่อนเดินไปหาน้าบุหงาของเธอ
คุณหญิงรัตนเดชากร ได้แต่มองตามไปด้วยความผิดหวัง
เวลากลางคืน ครูสมพรนั่งตรวจข้อสอบนักเรียนอยู่กลางโถงบ้าน โขมพัสตร์เดินเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆครู
"ไม่ท่องหนังสือแล้วเหรอ หรือว่าท่องจนจำแม่นอยู่แล้ว"
"ขมอยากนอนพักให้สมองปลอดโปร่งมากกว่า"
"ดีแล้วหละ เรามันเก่งอยู่แล้วนี่ ไม่ใช่มาเก่งเอาวันสุดท้ายก่อนสอบ ไม่ต้องท่องหนังสือยังได้เลยมั้งขมน่ะ"
"ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ"
"พรุ่งนี้ ครูให้รถตู้ที่โรงเรียนไปส่งนะ เราต้องออกกันแต่มืดหน่อย จะได้ไปถึงห้องสอบทันเวลา"
โขมพัสตร์ก้มลงกราบครูอย่างอ่อนน้อม
"ครูขา ขมกราบขอบพระคุณครูสมพรมากนะคะที่ให้ขมมาพักที่นี่ แล้วยังมีเรื่องยุ่งๆมารบกวนครูไม่เว้นแต่ละวัน"
"สนุกดีออก ชีวิตครูที่นี่ราบเรียบมานาน มีเรื่องตื่นเต้นให้ความดันโลหิตสูงขึ้นบ้างก็ดีเหมือนกัน"
ครูสมพรโอบกอดขมอย่างเอ็นดู
"ครูขออะไรอย่างนึงได้มั้ย"
"ได้ทุกอย่างเลยค่ะ"
"คราวหน้าถ้าจะมาหาครู ขอให้มาแบบมาเที่ยว ไม่เอาแบบหนีใครมาอีกได้มั้ย"
"ขมจะพยายามค่ะ"
"แล้วแต่งงานเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมบอกครูด้วยล่ะ"
"ค่ะ"
"ขอถามอีกข้อแล้วกัน...ขมแน่ใจแล้วแน่นะ เรื่องแต่งงานน่ะ"
โขมพัสตร์นิ่งไปนิดนึง ก่อนพยักหน้าและเอ่ยปากตอบ
"มันเป็นทางเดียวที่ทำให้ขม ไม่ต้องใช้นามสกุลรัตนเดชากร"
เช้ามืดวันหนึ่ง ไอ้หมึกเดินไปตามทางเดินในโรงแรม มันส่ายสายตามองหาเลขห้องที่ต้องการจนเจอ แล้วหยุดเคาะประตูห้องบานนั้น
สักพักประตูห้องเปิดออก บุหงายืนอยู่ หน้าตาของบุหงาค่อนไปทางหงุดหงิด
"ไอ้หมึก! แกมาหาฉันถึงนี่ทำไม แต่เช้ามืด"
"มีข่าว"
"ฉันไม่ได้สั่งให้แกหาข่าวอะไรนี่นา"
"แต่ข่าวนี้สำคัญสำหรับคุณนะครับ ผมถึงต้องรีบมาส่งข่าวก่อนที่คุณบุหงาจะสั่ง"
"ข่าวอะไร"
"ตำรวจมาหาผม แล้วถามหาบ้านพักของคุณแฟรงกี้ ถามผมเหมือนที่คุณบุหงาถามผมนั่นแหละ"
"แล้วแกบอกตำรวจว่ายังไง"
"ก็บอกเหมือนที่บอกคุณบุหงาน่ะสิ"
"ไอ้เวร"
"ตำรวจเขาว่า จะรีบไปค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่บ้านคุณแฟรงกี้ พวกตู้เซฟอะไรอย่างนี้แหละ ก่อนที่จะมีใครมาขโมยไป"
บุหงาหน้าซีด ตกใจ พอสมควร
"แล้วแกบอกไปทำไม เขาให้เงินแกเท่าไหร่"
"ไม่ได้เงินเลยสักบาท แค่เขาหยิบกุญแจมือกับปืนมาวางข้างหน้า ผมก็ต้องบอกเขาหมดทุกอย่างแล้ว"
"แล้วตำรวจจะไปค้นบ้านนั้นเมื่อไหร่"
"น่าจะอาทิตย์หน้า กว่าจะตามหาโชเฟอร์แท๊กซี่ได้"
"ไปได้แล้ว จะไปไหนก็ไป"
"เดี๋ยวสิครับ ผมมาส่งข่าวให้ถึงขนาดนี้ คุณบุหงาจะไม่จ่ายค่ารถค่ารา ค่าน้ำร้อนน้ำชาให้ผมซักหน่อยเหรอครับ"
"ทำไมจะต้องจ่าย แกอาจจะกุข่าวมาหลอกฉันก็ได้ ใครจะรู้"
"งั้นผมอาจจะต้องเอาข่าวของคุณบุหงาไปขายคนอื่นต่อนะครับ เพื่อปากเพื่อท้องของผม"
บุหงาจำใจนับเงินส่งให้ไอ้หมึก
"นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่แกจะไถเงินจากฉันได้"
"เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้อีกซักครั้งสองครั้งก็ดีนะครับ"
"ไอ้บ้า"
เวลาต่อเนื่องมา พจนีย์นั่งอยู่บนเตียงนอนบุหงา เธอกำลังดูรูปในอัลบั้มเก่าๆของบุหงา
พจนีย์หยิบรูปถ่ายหนึ่งใบขึ้นมาดู มันเป็นรูปคู่ บุหงา กับ แฟรงกี้ กอดคอกัน ในมือแฟรงกี้ถือเครื่องอัดเทปคาสเซ็ท
บุหงาเปิดประตูห้องเดินเข้ามาในจังหวะนี้
"น้าบุหงาขา นี่น้าถ่ายคู่กับใครเนี่ยะ เท่ห์จัง"
"เพื่อนน้า เขาแวะมาเยี่ยมน้า"
"รวยแน่ๆเลย มีเครื่องอัดเสียงด้วย"
"เขามาจากปีนัง"
"เพื่อนหรือแฟนเก่า...คนนี้ที่ชื่อแฟรงกี้รึเปล่า...ใช่จริงๆด้วย นี่ไง มีลายเซ็นต์อยู่หลังรูปด้วย"
"เอามานี่พจนีย์ ทีหลังอย่ารื้อค้นของๆน้าโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก"
บุหงาเอื้อมมือจะคว้ารูป
พจนีย์รีบเอาไปซ่อนไว้ด้านหลังแล้วยิ้ม
"พจน์ไม่ว่าหรอก น้าจะมีแฟนเก่ากี่คนก็ไม่แปลก ทีพ่อยังมีเมียน้อยได้เลย"
บุหงาคว้ารูปมาจนได้ และเอ่ยปากเสียงดังขึ้น ด้วยความไม่พอใจ
"น้าสั่งว่าห้ามยุ่งกับของส่วนตัวของน้า รับปากมาก่อน"
"ทำไมต้องดุด้วย"
"รับปาก! ไม่งั้นก็ไม่ต้องมาอยู่กับน้า"
"ค่ะ"
"แล้วก็แต่งตัวเร็วๆเข้า จะได้ออกไปพร้อมกัน ถ้ายังคิดจะไปสอบ หรือไม่งั้นก็นอนอยู่นี่แหละ เลือกเอา"
พจนีย์จ๋อย เป็นครั้งแรกที่เธอถูกบุหงาดุ
เช้าเดียวกัน คุณหญิงเดินลงบันไดบ้าน เห็นรัฐนั่งรออยู่กลางห้องโถง
"ว่ายังไงตารัฐ"
"ผมมาเรียนคุณหญิงย่าว่า ผมจะไปรอรับขมที่โรงเรียน และจะอยู่ที่นั่นจนขมสอบเสร็จ จะได้พาขมมาส่งที่บ้านเลย รับรองว่าจะไม่ให้ขมหนีไปไหนอีก"
"ฉันว่าขมก็คงไม่คิดจะหนีแล้วหละ"
"ผมจะขออนุญาตคุณหญิงย่าอีกเรื่องนึงครับ"
"เรื่องอะไร"
"คืนนี้ผมขอเลี้ยงต้อนรับขมที่บ้านได้มั้ยครับ"
"ยายเราไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ? อย่าลำบากเลย...มาเลี้ยงที่นี่ดีกว่า ย่าจะเตรียมอาหารไว้ให้เอง"
"ได้ครับ"
"รับแล้วก็มาส่งบ้านเลยนะ อย่าแวบไปโต๋เต๋ที่ไหนล่ะ"
"ครับ"
บริเวณลานดินหลังบ้านเช่าในซอยเปลี่ยว บุหงาและชายฉกรรจ์สองคนเดิม ชะโงกหน้ามองลงไปในบ่อ
ชาย1 "ลึกว่ะ"
ชาย2 "บอกแล้วว่าอย่าทิ้งๆ ไม่เชื่อผม"
"ไม่ต้องพูดมาก รีบลงไปงมมันขึ้นมา"
"แล้วจะหาเจอรึเปล่าล่ะ"
"ไม่เจอได้ยังไง แกสองคนโยนลงไปเอง มันจะไปไหน มันก็ต้องอยู่ในบ่อนี้นั่นแหละ"
ชาย2 "มันอาจจะไหลไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้"
"มันจะไหลไปไหน แกก็ต้องไปงมหาให้เจอ"
ชาย1 ร้อง "โอ้โฮ"
"จะร้องทำไม ฉันไม่ได้ให้แกงมฟรีๆซักหน่อย ฉันจ้างแกนะเว้ย"
"ไหนล่ะเงิน"
"งมขึ้นมาให้ได้ก่อนค่อยจ่าย...ฉันจะกลับมาตอนเย็น"
ชาย2 บอก "ขอค่าข้าวซักหน่อยไม่ได้เหรอ...มันไม่มีแรงทำงานน่ะ"
บุหงาก้มหน้าหยิบเงินในกระเป๋า ด้วยความหงุดหงิด
บุหงากำลังส่งเงินให้ชายฉกรรจ์ แล้วขยับตัวเดินออก
ในรถแท๊กซี่ พจนีย์หรี่ตามองไปเบื้องหน้าอย่างสนใจ บุหงาเดินมาที่รถคันนี้ เธอเปิดประตูเข้ามานั่งทันที
พจนีย์จึงเอ่ยปากด้วยความสงสัย
"น้ามาทำอะไรที่นี่คะ"
"ธุระ"
"ธุระอะไรคะ"
"เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยว...ไปได้แล้วโชเฟอร์ เดี๋ยวหลานฉันสอบไม่ทัน"
ต่อมา พจนีย์เดินไปตามทางเดินหน้าห้องสอบ โขมพัสตร์นั่งอยู่หน้าห้องสอบของเธอ พจนีย์หยุดอยู่เบื้องหน้า
"หลานสาวคนโปรดของบ้านพุทธชาด...เก่งจังนะ ขนาดมาจากอัมพวา ยังมาถึงห้องสอบก่อนฉันอีก...นี่ย่าฉันคงไปรับมาจากบ้านนอกเลยละสิ"
โขมพัสตร์ขยับตัวลุกขึ้นยืนหน้านิ่ง ไม่มีคำตอบ
"ไอ้ท่าทางหยิ่งยะโสอย่างนี้นี่เอง ใครๆถึงได้หลงไหลแกกันนัก คงได้มาจากแม่แกเต็มๆละซี"
"คุณตั้งใจจะหาเรื่องฉันอีกแล้วใช่มั้ยคะ"
"ฉันไม่ได้เป็นคนหาเรื่อง เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะแม่แก เข้ามาแย่งทุกอย่างในบ้านพุทธชาดของฉันไป"
"ไม่จริง แม่ไม่เคยทำอย่างนั้น แม่ฉันไม่เคยต้องการอะไรของคุณ"
"แล้วไอ้หลักฐานที่เอามายืนยันว่าแกเป็นลูกหลานบ้านนี้น่ะ แปลว่าอะไร ? เอาไปเลย อยากได้นักก็เอาไปเลย ฉันยกให้แก ทั้งพ่อ ป้า ย่า และพี่สาว เอาไปให้หมดเลย ไหนๆตระกูลนี้มันก็เละตุ้มเป๊ะไหมดแล้ว ก็เชิญย่ำยีให้สบายใจได้เลย"
โขมพัสตร์สะกดอารมณ์ตัวเอง เอ่ยปากเสียงเรียบ
"หยุดหาคำด่าฉัน แล้วรีบเข้าห้องสอบเถอะค่ะ ถ้าไม่อยากสอบตก"
รติรสนั่งเหงาซึมที่ใต้ต้นไม้ หลังเรือนเล็ก รัมภ์เดินเข้ามานั่งข้างๆ
"เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนขี้เหงา ซึมเศร้า จนชินตาแล้วนะ"
"ค่ะ"
"ไม่อยากกลับไปสดใสร่าเริงเหมือนเดิมบ้างเหรอ"
"รสก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
"ไม่จริง...จะให้พี่บอกมั้ยว่าเมื่อก่อนนี้รสเป็นยังไง"
รติรสนิ่ง ไม่มีคำตอบ
"น้ำเสียงรสจะสดใส รอยยิ้มจะเบิกบาน แก้มจะแดงเป็นจ้ำๆเวลาถูกแหย่ และก็ชอบทำตัวเจ้ากี้เจ้าการกับพี่ๆเสมอ...แต่ทุกวันนี้ ไม่เหลือซักอย่าง"
"คนเราก็ต้องโตขึ้น"
"ถ้าเป็นเพราะแค่นั้นก็ดีสิ พี่กลัวจะเป็นเพราะอย่างอื่น"
"อะไร"
"อกหักไง...คนอกหัก มักจะเป็นอย่างนี้หละ"
รติรสพึมพำออกมาเบาๆ
"รสจะอกหักจากใคร"
"ต้องให้เอ่ยชื่อด้วยมั้ย"
รติรสนิ่งไป พูดไม่ออก
"เราจะมามัวซึมเศร้าเพราะผู้ชายคนเดียวทำไม สนุกไปกับเขาเลย วันนี้คุณหญิงย่าจะเลี้ยงต้อนรับขมที่เรือนใหญ่ เราไปจอยกับเขากันมั้ย"
"ไม่ได้หรอกเป็นการเลี้ยงภายใน คุณย่าสั่งไม่ให้ใครพูด ไม่ให้รู้ถึงหูพ่อ"
"งั้นเราก็เลี้ยงกันสองคนแล้วกัน"
"เลี้ยงอะไร"
"ต้อนรับขม"
"โดยไม่ต้องมีขม"
"อือม แค่เรามีเราก็พอแล้ว...แล้วพี่จะมารับนะ"
รัมภ์เดินออกไป เหลือเพียงรติรสที่ยังคงซึมเศร้าอยู่ตรงนั้น
ตอนเย็น บุหงาเดินตรงมายังบ่อน้ำบ่อเดิม ชายฉกรรจ์สองคนนั้นนั่งตัวเลอะหมดเรี่ยวแรงที่ขอบบ่อ
"ไหนล่ะ ตู้เซฟของฉัน"
ชาย1 บอก "เสียใจครับคุณนาย...หาไม่เจอ"
"ไม่เจอ ?"
ชาย2 "ควานหาจนทั่วบ่อแล้ว ไม่มีจริงๆ"
"ไม่มีได้ยังไง"
"ผมก็ไม่รู้..แต่ถ้าไม่เชื่อคุณนายก็ลงไปดูเองมั้ยล่ะ"
บุหงามีอาการหงุดหงิด อย่างเห็นได้ชัด
"โธ่เว้ย ฉันไม่น่าจ้างพวกแกมาเลย เสียเงินเปล่าจริงๆ"
"ถามจริงๆเหอะคุณนาย ไอ้เซฟนี่มันสำคัญอะไรนักหนา หรือมีของผิดกฎหมายในนั้น"
"พวกแกอย่ารู้เลย ไปไหนก็ไป"
"จ่ายเงินมาก่อนสิ"
"หาของของฉันไม่เจอ เรื่องอะไรฉันจะจ่าย"
ชาย2 ร้อง "อ้าว อย่าเบี้ยวสิ"
"เบี้ยวยังไง...ก็แกทำงานไม่สำเร็จเอง"
"แต่ผมออกแรงไปแล้วนะ"
"ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกออกแรง...แกอาจจะแกล้งทำตัวเลอะๆเทอะๆ แล้วหลอกเอาเงินฉันก็ได้ ใครจะรู้"
"พวกเราไม่ได้ขี้โกงแบบคุณนายนะ"
"แกว่าฉันขี้โกงเหรอ"
ชาย1 เอาจริง "เออ...ผมจะประจานคุณนาย บอกทุกคนเลยว่าคุณนายจ้างผมทำอะไร ขโมย
อะไรในบ้านมาทิ้ง คอยดูแล้วกันว่าใครจะเสียหายกว่ากัน"
"เสียเวลาเปล่าๆ จับอีนี่โยนลงไปเลยดีกว่า"
"อย่านะ อย่าเข้ามานะ
"ก็จ่ายเงินมาดีๆสิ"
"เอ้า จ่ายแล้วๆ...เอาไป"
บุหงาส่งเงินให้ชายฉกรรจ์ทั้งสอง
"ค่อยยังชั่วหน่อย...คราวหน้าถ้าจะจ้างให้ทำลายหลักฐานอะไรอีกก็บอกได้นะ"
"ฉันไม่จ้างพวกแกหรอก ไอ้เฮงซวย"
ชายฉกรรจ์พากันเดินออกไป
เจ้าของบ้านเช่าเดินมาไกลๆ เอ่ยปากเสียงดังฟังชัด
"ของมันตั้งอยู่ดีๆก็เอาไปทิ้ง ทิ้งแล้วมันก็กลายเป็นขยะ คนเก็บขยะเขาก็มาเก็บ
เอาไป เป็นธรรมดา"
บุหงาหันไปจ้องหน้าเจ้าของบ้าน
"แกใช่มั้ย แกแอบมาขโมยของของฉันไปใช่มั้ย"
"ฉันไม่เคยขโมยของใคร ฉันแค่จ้างคนมาล้างบ่อในที่ของฉัน คนงานมันจะงม เอาขยะอะไรขึ้นมาบ้าง ฉันไม่รู้"
"ฉันต้องจ่ายแกเท่าไหร่ แกถึงจะรู้"
"ก็ต้องมากพอที่ฉันจะไม่เปิดปากเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ"
"แก"
พจนีย์เดินตรงมาหาบุหงา
"น้าบุหงา"
บุหงาหันไปเอ็ดใส่พจนีย์
"เดินมาทำไม น้าบอกให้รอในรถไง"
"พจน์เห็นน้าหายไปนานก็เลยมาดู"
"ว่าไง...แค่จ่ายเงินมา แล้วเซฟอันนั้นจะกลับไปตั้งอยู่ที่เดิม ตกลงมั้ย"
"เซฟอะไรคะ"
"อย่ายุ่งเรื่องของน้า กลับไปที่รถได้แล้ว"
"ตรงนั้นมีผู้ชายหน้าดุๆ ไม่ใส่เสื้ออยู่สองคน น่ากลัว"
"บอกให้กลับไป"
บุหงาตวาดเสียงดังจนพจนีย์ตกใจ และค่อยๆถอยห่างออกไป
บุหงาจึงหันไปพูดกับเจ้าของบ้าน
"แกต้องบอกตำรวจว่ามันเป็นสมบัติของฉัน ห้ามแตะต้อง"
"ฉันเป็นเจ้าของบ้านที่มีจรรยาบรรณอยู่แล้ว...แล้วฉันจะส่งข่าวความคืบหน้าให้"
"ไม่ต้อง ฉันจะเป็นคนติดต่อมาเอง"
"เงินล่ะ"
บุหงาหยิบเงินปึกใหญ่ในกระเป๋า ส่งให้มัน
"น้อยไปหน่อยมั้ง กับเรื่องสำคัญขนาดนี้"
"หาของของฉันให้เจอก่อน แล้วจะเพิ่มเงินให้"
บุหงาเดินออกไป โดยมีพจนีย์เดินตามไปห่างๆ
บุหงาหันไปพูดเสียงดุใส่หลานสาวอีกครั้ง
"ชักจะยุ่งเรื่องของน้ามากไปแล้วนะ ยายพจนีย์"
ตอนเย็น โขมพัสตร์และรัฐนั่งอยู่กลางโถงบ้าน นมผ่อนเดินตรงไปหาโขมพัสตร์ด้วยความห่วงใย
"ขม"
"ป้านมผ่อน"
"ป้านึกว่าขมจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว"
"คนเดียวที่ทำให้ขมอยากกลับมาที่นี่ก็คือป้านมผ่อนนี่แหละค่ะ"
"ขอบใจคุณรัฐมากนะคะ ที่เป็นธุระรับส่งน้อง"
"เรื่องของขมไม่ว่าอะไร ผมยินดีทำอย่างเต็มใจครับ"
นมผ่อนหันไปพูดกับโขมพัสตร์น้ำเสียงคล้ายวิงวอน
"อย่าหนีไปไหนอีกเลยนะขม อยู่ที่นี่เถอะ"
"ขมจะไปอยู่บ้านหม่อมเจ้าอรุณีค่ะ"
"ไปวันนี้เหรอ"
ไพลินเดินพูดเข้ามา
"อาทิตย์หน้าจ้ะ"
โขพัสตร์หันไปหาไพลินทันที
"แต่คุณหญิงรับปากกับขมแล้วนี่คะ"
"บังเอิญว่าหม่อมเจ้าอรุณี ยังไม่กลับจากต่างจังหวัด"
โขมพัสตร์มีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
"ขมอยู่ที่นี่จนสอบเสร็จก็น่าจะพอดีกัน...ไม่ต้องกังวลอะไรนะ นายรังสรรค์จะไม่รู้ว่าขมกลับมา คุณย่าสั่งกำชับทุกคนในบ้านหมดแล้ว"
"งั้นขมขออยู่บ้านตึกขาวได้มั้ยคะ"
"จะไปอยู่ได้ยังไง" ไพลินว่า
"เราจะหมั้นกันอยู่แล้วนี่ครับ"
"ก็รอให้คุณยายของเธอกลับมาก่อนสิ ทำให้ถูกเรื่องถูกราวก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน ...ไปที่โต๊ะอาหารกันเถอะ กินเลี้ยงต้อนรับขมกันดีกว่า"
ไพลินนำทุกคนเดินไปทางห้องอาหาร
บ้านตึกขาว รัมภ์ถืออาหารหน้าตาดีสองจานมาวางกลางโต๊ะ รติรสนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะนั้นแล้ว
“รัมภ์สปาเก็ตตี้ไวท์ซอสของรติรส สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับของพี่รัมภ์...ขาวกับแดง คู่กันอย่างเหมาะเจาะ”
รติรสนั่งเงียบ
"ไม่น่ากินบ้างเลยเหรอ นี่พี่ทำสุดฝีมือเลยนะ ถึงจะเป็นครั้งแรกก็เถอะ"
"รสไม่หิวค่ะ"
"บางครั้ง เราก็ไม่ได้กินเพราะความหิว แค่เป็นการสร้างบรรยากาศดีๆ ในค่ำคืนแสนสุข"
รติรสยังคงนิ่งเงียบ
"หรือว่ารสไม่อยากมีบรรยากาศดีๆกับพี่...งั้นเราไปกินเลี้ยงกับพี่รัฐกับขมมั้ยล่ะ"
รติรสจึงเอ่ยปากออกมาอย่างล่องลอย ไร้อารมณ์
"เขาจะหมั้นกันเมื่อไหร่เหรอคะ"
"อาทิตย์หน้า...คุณยายกลับมา พร้อมๆกับขมสอบเสร็จพอดี"
น้ำตาของรติรสค่อยๆไหลออกมาอย่างอ้อยอิ่ง
รัมภ์มองดูด้วยความสงสาร
"พี่พอจะเดาได้ว่า รสร้องไห้เพราะอะไร"
"พี่รัมภ์"
รติรสโผเข้ากอดรัมภ์ หมายยึดเป็นที่พึ่งพิง รัมภ์ค่อยๆเอ่ยปากปลอบโยนเธอ
"ถ้าเรารักใครมากๆ เราก็ควรจะยินดีที่เขามีความสุขไม่ใช่เหรอ จากนั้นเราก็ควร
แสวงหาความสุขของเราเองบ้าง ดีกว่าที่จะมานั่งจมทุกข์ เพราะเราอาจจะพลาดโอกาสดีๆที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเรา...รสอาจยังไม่ได้คิดอะไรกับพี่ แต่พี่ก็พร้อมที่จะให้รสพิจารณาพี่ไปเรื่อยๆ"
"พี่รัมภ์..."
"หือม..."
"รสขอไปดูพ่อก่อนนะคะ รสขอโทษ"
รติรสวิ่งออกไปทันที
คืนนั้น โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายบนโต๊ะสวย กลางห้อง เสียงของเธอดังออกมา
"จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นในวันที่ขมไม่มีใคร...เป็นวันที่ขมต้องการกำลังใจและที่พึ่งพิง เพราะขมไม่รู้ว่าขมตัดสินใจถูกหรือผิด...ก่อนหน้านี้ ขมเคยมีพ่อพิทย์เป็นที่ปรึกษา...แต่มาวันนี้ จะมีใครช่วยชี้ทางให้ขมได้บ้าง"
ก่อนหน้านี้สามชั่วโมง ในบรรยากาศของอาหารมื้อค่ำที่ผ่านมา บนโต๊ะ คุณหญิงรัตนเดชากร และ ไพลิน อยู่บริเวณหัวโต๊ะ โขมพัสตร์กับรัฐนั่งอยู่ด้วย นมผ่อนคอยให้การบริการอยู่ ใกล้ๆ ทุกคนล้วนยิ้มแย้ม"เพียงเพราะขมอยากอยู่ห่างจากนายรังสรรค์ ขมจึงกำลังจะก้าวเข้าสู่ชีวิตใหม่ใช้นามสกุลใหม่ ในฐานะภรรยา...ถ้าพ่อพิทย์มีตัวตนอยู่จริง พ่อพิทย์จะบอกได้มั้ยคะว่าขมตัดสินใจถูกหรือผิด นี่คือความสุขของขมจริงหรือเปล่า"
โขมพัสตร์เอนตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม
"หรือขมควรจะมีความสุขกับความเป็นจริง อย่างน้อยก็ยังมีพี่รส พี่สาวแท้ๆ ลูกของแม่แขอีกคนนึง...แม่แขจะอยากให้ขมทำอย่างนั้นหรือเปล่า"
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ รติรสนั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพัง ไพลินเดินเข้ามานั่งข้างๆ
"รส"
รติรสรีบปาดน้ำตาออกเท่าที่พอจะทำได้
"ขา"
"พ่อเราล่ะ"
"นอนแล้วค่ะ"
"เขาไม่รู้เรื่องขมนะ"
"ค่ะ"
ไพลินเหลือบมองเห็นคราบน้ำตาที่แก้มของรติรส
"ร้องไห้เหรอ ? มีอะไรรึเปล่า"
"รส...คิดถึงน้องค่ะ"
"เฮ้อ...พจนีย์เปลี่ยนแปลงไปมากเลย ป้ากับคุณย่าตกลงกันว่าจะปล่อยเขาไปซักพัก ให้อารมณ์เย็นลง แล้วค่อยหาทางอบรมเขาใหม่"
รติรสได้แต่นั่งซึม ในใจเธอมิได้คิดถึงเรื่องพจนีย์
วันใหม่ โขมพัสตร์เดินไปบนทางเดินหน้าห้องสอบ
พจนีย์เดินเบียด แซงหน้าโขมพัสตร์ไป
"ขมควรจะมีสมาธิในการสอบเพียงอย่างเดียว แล้วค่อยดูกันต่อไป ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อพิทย์คงจะแนะนำขมอย่างนั้นแน่ๆ"
โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายในวันต่อๆมา
"แล้วแม่แขล่ะ แม่จะแนะนำขมยังไงบ้าง...แม่รู้มั้ย ในเวลาที่ขมอึดอัดอย่างนี้ ขมเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย"
ภายในห้องนอนรติรส ตอนกลางคืน เธอวางจดหมายเปิดผนึกลงบนเตียงนอนของเธอ
เสียงขมดังต่อไป
"ขมอยากหายไปจากโลกนี้...อยากไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่แม่แขอยู่"
ในขณะที่รติรส ค่อยๆเดินออกจากห้องนอน
รติรสเดินไปบนทางเดินที่มืดมิด แววตาของรติรส เลื่อนลอย ไร้จุดหมาย
"เพราะขมคิดว่าไม่มีใครรักขม ขมเป็นเหมือนส่วนเกิน เป็นส่วนที่ไม่มีใคร
ต้องการ"
โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายจนจบ
"ขมเคยคิดว่าการตายจะเป็นการแก้ปัญหา วันนี้ความคิดแบบนั้นเริ่มกลับมาอีกแล้ว"
ใต้ต้นไม้ใหญ่ กลางที่รกร้างหลังบ้าน รติรสเดินมายืนใต้ต้นไม้ใหญ่ แหงนมองไปที่กิ่งใหญ่ของไม้ต้นนี้
"หากวิญญาณของแม่แขรับรู้ได้ ช่วยส่งสัญญาณบอกขมด้วยได้มั้ย ว่า ทางออกที่ถูกต้องคืออะไร"
เวลาเดียวกัน สาวใช้ เปิดประตูห้องนอนรติรส เดินถือเสื้อผ้าที่ซักรีดแล้วเข้าไปเก็บในห้อง เห็นจดหมายของรติรสวางอยู่
"เพราะขมคงไม่อาจส่งจดหมายฉบับนี้ถึงใครได้ ไม่ว่าจะพ่อพิทย์หรือแม่แข"
ใต้ต้นไม้ใหญ่ รติรสโยนเชือกเส้นใหญ่คล้องไว้กับกิ่งไม้นั้น เริ่มผูกบ่วง ขนาดกำลังเหมาะ
"แต่แม้พ่อพิทย์จะไม่มีอยู่จริง ขมก็ยังคิดถึงพ่อพิทย์คนเดิมคนนั้นอยู่เสมอ ป่านนี้เขาคงมีความสุขในภพใดภพหนึ่ง อาจจะอยู่ใกล้ๆแม่แขก็เป็นได้ใครจะรู้ ขมขอถือโอกาสบอกลาพ่อพิทย์ตรงนี้เลยก็แล้วกัน...ลาก่อนค่ะ"
โต๊ะหนังสือคุณหญิง คุณหญิงรัตนเดชากรอ่านจดหมายของรติรส สาวใช้คนนั้นยืนอยู่ไม่ห่าง
เสียงรติรสดังออกมาจากจดหมายฉบับนั้น
"ยกโทษให้รสด้วยนะคะ...รสขอลาก่อน...ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้รสได้เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นอย่างนี้อีกครั้ง...รสรักทุกคนค่ะ...รติรส"
คุณหญิงละสายตาจากจดหมายหน้าเครียด เอ่ยปากสั่งสาวใช้
"ไปตามหาตัวให้ทั่ว เดี๋ยวนี้เลย"
รติรสสอดศีรษะตัวเองเข้าไปในบ่วงเชือก ก่อนถีบตัวออกจากบันไดไม้ที่เธอยืนอยู่
ร่างของรติรสแกว่งไปตามแรงเหวี่ยง
พลัน รัมภ์วิ่งเข้ามาประคองร่างของรติรสทันที
"รส...รส"
รัมภ์อุ้มร่างของรติรส และปลดบ่วงเชือกออก แล้วจึงวางร่างของเธอให้นอนหนุนบนตักของเขา
"พี่รัมภ์"
"ทำไมรสทำอย่างนี้"
"รสอยากตาย"
"รสจะตายได้ยังไง ไม่นึกถึงคนอื่นบ้างเหรอ"
"รสไม่มีคุณค่าสำหรับใครๆ อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ คนที่รสรัก เขาไม่รักรสเลย"
"ทำไมรสไม่รัก คนที่รักรสล่ะ"
"ใคร"
"เยอะแยะ พ่อ ป้า ย่า แล้วก็พี่"
"พี่รัมภ์"
"รสอย่าคิดสั้นอย่างนี้อีกนะ สงสารคนที่เขารักรสบ้างสิ"
รติรสมองหน้ารัมภ์เต็มๆตา
"พี่รัมภ์...อย่าบอกพ่อนะคะ รสไม่อยากให้พ่อต้องผิดหวังกับรสอีก"
ต่อมา คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งข้างๆรติรส ไพลินยืนอยู่ใกล้ๆอีกคน ด้วยความเป็นห่วง
โดยมีรัมภ์ นั่งอยู่ไม่ไกลจากรติรสนัก
"ย่าไม่นึกว่ารสจะตัดสินใจอะไรอย่างนี้"
"รสขอโทษค่ะ"
"ย่าผิดเอง ที่ไม่ได้เอาใจใส่ดูแล ให้ความสุขกับหลานมากเท่าที่ควร"
"ย่าไม่ผิดค่ะ เป็นความผิดของรสต่างหาก"
ไพลินบอก "สัญญาได้มั้ยรติรส ว่าหนูจะไม่ทำอย่างนี้อีก...มีเรื่องคับแค้นใจอะไร พูดกับ
ป้าได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา"
"ค่ะ"
"งั้นค่อยๆเล่าให้ป้าฟังซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ตัดสินใจทำอย่างนี้เพราะอะไร"
รติรสพูดไม่ออก ได้แต่หันไปมองหน้ารัมภ์
โขมพัสตร์วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นเต้นตกใจ
"พี่รส"
"ขม"
สองพี่น้องสวมกอดกันกลม
"พี่รสเป็นอะไร บอกขมได้มั้ยคะ"
"พี่...พี่ไม่รู้จะพูดยังไง ขม"
"พี่รสยังมีขมอยู่นะ มีอะไร พี่ปรึกษาขมได้ทุกเรื่องนะ เราเป็นพี่น้องกันนะคะพี่"
รติรสร้องไห้หนักมากยิ่งขึ้น
คุณหญิงและไพลินมองหน้ากัน
"ย่าว่า คืนนี้ทุกคนไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นซะ...ย่าจะถือว่าไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในบ้านเรา และมันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด"
โขมพัสตร์ประคองรติรสให้ยืนขึ้น
"ขมเดินไปส่งพี่รสเอง"
"อย่าเลยจ้ะ ขมคงไม่อยากให้พ่อเห็นหน้าขม ใช่มั้ย"
ไพลินบอก "ป้าเดินไปส่งเอง"
ไพลินประคองรติรสเดินออกไป
"ผมกลับก่อนนะครับ"
"ขอบใจเธอมากนะรัมภ์" คุณหญิงว่า
"ครับ ผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครที่บ้านเหมือนกัน"
"เธอรู้มั้ยว่ารสทำแบบนี้เพราะอะไร"
รัมภ์คิดนิดนึง ก่อนส่ายหน้า
คุณหญิงจึงเดินออกไป
เมื่อรัมภ์ขยับตัวจะเดินออกไป โขมพัสตร์ตรงเข้ามาจับแขนรัมภ์ไว้
"พี่รัมภ์รู้ใช่มั้ยคะ"
รัมภ์มองหน้าขม แล้วจึงตัดสินใจ
เช้ารุ่งขึ้น สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้าไปหารัฐที่เพิ่งลงบันไดบ้านมา
"โทรศัพท์ถึงคุณรัฐค่ะ"
"ใคร"
"คุณขมค่ะ"
รัฐรีบเดินไปยกโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้นแนบหู
"ขม ตื่นเช้าจัง...สบายใจที่จบม.แปดแล้วใช่มั้ย"
โขมพัสตร์ยืนพูดโทรศัพท์หยอดเหรียญที่ตั้งอยู่ในร้านค้า
"พี่รัฐคะ ขมมีเรื่องจะบอกพี่"
"พี่ก็มีข่าวดีจะบอกขม"
"ข่าวดี ?"
"พรุ่งนี้คุณยายพี่กลับมาแล้ว คุณยายอยากเจอขมมาก พี่ว่าเรามานัดแนะเรื่องของเรากันเองก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปหาขมนะ"
"พี่ไม่ต้องมาหรอกค่ะ"
"ทำไมล่ะ"
"มีคนอื่นที่พี่ควรจะไปหามากกว่าขม"
รัฐ สับสน งุนงง
"ใคร"
"พี่รส"
"รติรส ?...ถ้าจะไปหารสเราก็ไปด้วยกันสิ เดี๋ยวพี่ไปรับขมนะ"
"อย่ามาค่ะ ขมไม่ได้อยู่ที่บ้าน"
"แล้วนี่ขมอยู่ไหน ?"
"พี่ไม่ต้องรู้เรื่องนี้หรอกค่ะ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องเดียว ที่พี่ต้องรู้"
"เรื่องอะไร ?"
"จะไม่มีการหมั้นระหว่างเราค่ะ"
"ขม !"
"ขมเปลี่ยนใจแล้ว ขมจะไม่หมั้นและไม่แต่งงานกับพี่รัฐค่ะ"
"ขม เกิดอะไรขึ้น"
"มีคนที่รักพี่รัฐมาก รักมานานแล้วด้วย และขมจะไม่มีวันทำให้คนๆนี้เสียใจเป็นอันขาด"
"ใคร ?"
"เท่านี้นะคะ"
โขมพัสตร์วางโทรศัพท์ทันทีที่พูดจบ
รัฐมาที่เรือนเล็ก บ้านพุทธชาด ตรงไปหารติรสที่นั่งเหม่ออยู่กลางสวน รัฐจับไหล่สองข้างของรติรส แล้วดึงตัวเข้ามาพูดใกล้ๆด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
"รสใช่มั้ย"
"อะไรคะพี่รัฐ"
"รสไปพูดอะไรกับขม"
"เปล่า รสไม่ได้พูดอะไรเลย"
"ไม่จริง...ในบ้านพุทธชาดนี้มีรสเพียงคนเดียวที่ไม่ว่าจะพูดอะไร ขมจะเชื่อทุกอย่าง"
"คุณย่า กับป้าไพลินพูด ขมก็เชื่อเหมือนกัน"
"แต่ขมแคร์รสมากที่สุด"
"พี่รัฐรู้ได้ยังไง"
"เพราะขมเพิ่งบอกกับพี่เองว่า ขมจะไม่ยอมทำให้คนๆนี้เสียใจเป็นอันขาด"
"แล้วพี่รัฐรู้ได้ยังไงว่าหมายถึงรส"
"ไม่งั้นจะมีใครล่ะที่รักพี่มาก แอบรักพี่มานาน คุณหญิงย่าเหรอ ป้าไพลินเหรอ มันก็มีแต่เธอเท่านั้นแหละ"
รติรสตกใจ อึ้ง พูดไม่ออก
รัฐเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของรติรส จนตัวโยน
"ทำไมทำอย่างนี้ ทำไมทำกับพี่อย่างนี้"
"รสไม่ได้ทำอะไรเลย"
"ไม่ว่ารสจะคิดยังไงกับพี่ ก็ไม่เห็นจะต้องไปบอกขม รสทำให้ขมล้มเลิกทุกอย่าง ขมไม่ยอมหมั้นกับพี่ ไม่ยอมแต่งงานกับพี่เพราะรส"
"พี่รัฐ !"
"รสทำให้ชีวิตพี่ล้มเหลวหมด ความหวังความฝันของพี่พังทลายก็เพราะรส รสทำกับพี่อย่างนี้ได้ยังไง ทำไมรสเห็นแก่ตัวอย่างนี้"
รติรสถึงกับร้องไห้ด้วยความช้ำใจ เธอสะบัดตัวออกจากรัฐ แล้ววิ่งหนีเข้าบ้านไป
รัมภ์เดินเข้ามาใกล้รัฐ
"นายนั่นแหละเห็นแก่ตัว ไอ้พี่รัฐ"
"รัมภ์"
"คนที่บอกขมไม่ใช่รส รสเขาไม่มีวันทำลายความฝันของพี่หรอก"
"งั้นขมเอาเรื่องนี้มาจากไหน"
"ฉันเป็นคนบอกขมเอง"
"ไอ้รัมภ์...แกพูดอย่างนั้นทำไม แกรู้ได้ยังไงว่ารสคิดอย่างนั้นกับฉัน"
"มีแต่คนโง่ๆอย่างพี่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องนี้
"ไอ้รัมภ์"
"และพี่รู้มั้ย ว่ารติรสตัดสินใจทำอะไรลงไปเมื่อคืนนี้"
"จะไปรู้ได้ยังไง ฉันไม่ได้สนใจเขานี่"
รัมภ์หายใจแรงด้วยความโกรธ ก่อนเอ่ยปากเสียงเข้ม
"งั้นก็เชิญโง่งมงายต่อไปเถอะไอ้พี่เฮงซวย"
รัมภ์ขยับตัวจะเดินออก แต่รัฐกระชากแขนน้องชายไว้
"แกต้องไปบอกขมก่อนว่า เรื่องรติรสนั้นไม่เป็นความจริง"
"ไม่"
"แกต้องบอก"
"ไม่ เพราะเรื่องที่ฉันพูด มันเป็นเรื่องจริง"
"งั้นแกก็ต้องไปอธิบายให้ขมเข้าใจว่า ฉันไม่มีวันรักผู้หญิงซื่อบื้อแบบนั้น"
"แกด่ารติรสว่าซื่อบื้อเหรอ"
"ใช่ อยู่ๆเที่ยวไปแอบรักคนโน้นคนนี้ แล้วป่าวประกาศไปทั่วเพื่อให้ผู้ชายมารักตัว อย่างนี้มันยิ่งกว่าซื่อบื้อ มันทุเรศ น่ารังเกียจ ไม่มียางอายเอาซะเลย ผู้หญิงอะไร"
"ไอ้รัฐ"
รัมภ์เงื้อหมัดชกรัฐจนล้ม แล้วชี้หน้าด่าผู้เป็นพี่ชาย
"ไอ้ผู้ชายเฮงซวย...ฉันอยากตัดพี่ตัดน้องกับผู้ชายโง่ๆอย่างแกจริงๆ ให้ตายเหอะ"
รัมภ์เดินออกไปทันที ปล่อยให้รัฐนั่งเช็ดเลือดที่มุมปากเพียงลำพัง
ตอนกลางวัน บุหงายืนที่เบื้องหน้าเจ้าของบ้านเช่าที่กลางโถงบ้าน ตู้เซฟใบนั้นวางอยู่ที่ตำแหน่งเดิม"เงินล่ะ ที่บอกว่าจะเพิ่มให้ฉันน่ะ"
บุหงาส่งเงินจำนวนหนึ่งให้เจ้าของบ้าน
"ตำรวจไม่สงสัยอะไรใช่มั้ย"
เจ้าของบ้านส่ายหน้า ยิ้ม
"ไม่มีใครเปิดเซฟใบนี้ใช่มั้ย"
"ตำรวจพยายามอยู่เหมือนกัน แต่เปิดไม่สำเร็จ"
"ดี...อย่าให้ใครแตะต้องมันอีกเป็นอันขาด"
"ถ้าฉันหาคนเปิดเซฟใบนี้ได้ คุณนายจะสนใจมั้ย"
"หาคนทำลายมันเลยดีกว่า"
"ก็ได้นะถ้าต้องการ"
บุหงาขยับตัวเดินออกไปจากห้องนี้ เจ้าของบ้านเดินพูดตามหลังบุหงาไป
"เอาเป็นว่า หาช่างได้เมื่อไหร่ จะส่งข่าวไปนะคะ...รับรองว่า คุณนายจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ ขอให้เงินถึงเท่านั้นแหละ"
ในมุมลับตาใต้บันไดบ้าน พจนีย์แอบอยู่ที่นั่น เธอจ้องมองตามบุหงาด้วยสายตาครุ่นคิดยิ่งนัก
อ่านต่อตอนที่ 20