ดงผู้ดี ตอนที่ 17 : “ขม”รับไม่ได้! “รังสรรค์”พ่อตัวจริง
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
เช้าตรู่ วันเดิมขณะที่ไพลินก้าวลงบันไดบ้าน สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้าไปหาเธอ
“คุณไพลินขา คุณหญิงท่านให้เชิญคุณไพลินที่สวนหลังบ้านด่วนเลยค่ะ”
“ทำไมต้องด่วน มีเรื่องอะไรเหรอ”
“เรื่องจดหมายของคุณชวาลค่ะ”
ห้าปีก่อนหน้านี้ บริเวณโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ ท่ามกลางแสงสลัวมืดทึม ชวาล สุรบดินทร์ นั่งเขียนจดหมายบนโต๊ะตัวนี้
“ผมเชื่อว่าเรื่องราวฉาวโฉ่ครั้งนั้น คงจะถูกเล่าขานสืบต่อกันมา จนคนรุ่นหลังพากันเชื่อเป็นตุเป็นตะ ว่าแขนภานั้นคบชู้สู่ชาย โดยมีหลักฐานเป็นรูปถ่าย ขณะเธอกำลังเคลียคลอกับชายชู้ ซึ่งก็คือผม...ช่างเป็นเรื่องที่โง่เง่าสิ้นดี”
ครั้งนั้น รังสรรค์ขยำรูปเหล่านั้นทิ้ง และปัดของใกล้ตัวล้มระเนระนาด
“อีแขนภา อีกากี”
รังสรรค์เดินออกไปด้วยความโกรธสุดขีด
สิบแปดปี ก่อนหน้านี้รังสรรค์เดินย่ำเท้าเสียงดังเข้ามาในห้อง แขนภาลุกขึ้นจากเตียง พุ่งเข้าไปกอดเขาด้วยความดีใจ
“คุณรังสรรค์”
รังสรรค์เงื้อมือตบแขนภาอย่างแรง จนล้มคว่ำ
“โอ๊ย...”
“ยังมีหน้ามากอดฉันอีกเหรอ”
“คุณรังสรรค์ตบแขทำไมคะ ทำไมทำอย่างนี้กับแข”
“แล้วที่แกทำกับฉันล่ะ แกทำอย่างนั้นกับฉันได้ยังไง...ตอบฉันมาซิ ทำทำไม”
รังสรรค์เขย่าร่างของแขนภา จนตัวโคลง
“แขไม่ได้ทำอะไร...อย่าทำร้ายแขเลยค่ะ”
“ไม่ได้ทำอะไรเหรอ...แล้วนี่อะไร ดูให้เต็มตาซิว่านี่มันรูปใคร”
รังสรรค์ปารูปถ่ายในมือใส่หน้าแขนภาอย่างแรง
“นี่มันอีชั่ว อีอัปรีย์ตัวไหน ที่ลากเอาผู้ชายเข้ามานอนในห้องนอนของฉัน บนเตียงนอนของฉัน”
“เปล่านะ แขไม่ได้ทำอะไร”
รังสรรค์ตบหน้าแขนภาอีกครั้งและแรงมากขึ้น
“อีเลว แกมันเลว เนรคุณ เลี้ยงเสียข้าวสุก แกทำอย่างนี้กับฉัน ในบ้านของฉันได้ยังไง”
“แขไม่รู้เรื่องจริงๆ คุณรังสรรค์เข้าใจผิด...ต้องมีใครกลั่นแกล้งแขแน่ๆ”
“ก็ไอ้ชวาลน่ะสิจะมีใคร...มันปู้ยี่ปู้ยำแกจนสาแก่ใจแล้วก็ทิ้งซากเน่าๆของแกไว้ให้อยู่กับฉัน...ไอ้เลว เลวทั้งหญิงทั้งชาย”
ไพลินเดินตรงเข้าไปหาคุณหญิงรัตนเดชากรคุณหญิงส่งจดหมายฉบับนั้นให้ไพลินอ่าน
“แม้ผมและแขนภาจะยืนยันความบริสุทธิ์ของเราทั้งคู่ แต่กลับไม่มีใครในบ้านพุทธชาดแม้แต่คนเดียวที่เชื่อในเกียรติและศักดิ์ศรีของเราทั้งสอง”
ชวาลยังนั่งเขียนจดหมายอยู่ที่โต๊ะและเก้าอี้ตัวเดิม
“ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ลากมากดีตระกูลใหญ่โตอย่างรัตนเดชากร จะใจแคบ ปิดหูปิดตาตัวเอง เห็นแก่หน้าตาของคนในตระกูลเดียวกัน มากกว่าความถูกต้อง และคุณค่าของชีวิตผู้อื่น...บัดซบที่สุด”
ไพลินนั่งอ่านจดหมาย หน้าตาเครียด
“แต่แล้ววันนึง เหมือนสวรรค์มีตา ฟ้าดินเป็นใจ เพราะอยู่ๆผมก็ได้ตัวคนถ่ายรูปทั้งหมดนี้มาได้...มันมีชื่อว่า แฟรงกี้”
เมื่อกว่าสิบปี ก่อนหน้านี้ ในห้องเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ชายฉกรรจ์สองคนเหวี่ยงร่างแฟรงกี้ลงไปทรุดนั่งบนเก้าอี้
“ผมเจอตัวมันที่สนามบินดอนเมือง ก่อนที่มันจะขึ้นเครื่องไปปีนัง”
แฟรงกี้ตะโกนโวยวายเสียงดังลั่น
“พวกลื้อเป็นใคร...ทำกับอั๊วอย่างนี้ ระวังโดนเอาคืนนะเว้ย นึกว่าอั๊วไม่มีแบ็คเหรอ ?”
ชวาลก้าวเข้ามาเบื้องหน้าแฟรงกี้
“ก็ลองวัดกันดูว่าแบ็คของใครจะใหญ่กว่ากัน”
“ลื้อต้องการอะไร”
“คำสารภาพ”
“คำสารภาพ ?”
“บอกมาว่า ใครสั่งให้แกจัดฉากอั๊วคืนนั้น”
“อ๋อ ลื้อนี่เอง...นึกว่าใคร พ่อไก่อ่อนหน้าโง่คนนั้น”
ชวาลง้างหมัดชกแฟรงกี้เต็มแรง
“ใครจ้างแกมา”
“ไม่บอก”
ชวาลชกแฟรงกี้อีกครั้ง จนเลือดสาดแล้วจึงชักปืนออกมาเล็งที่หน้าผากแฟรงกี้
“บอกได้รึยัง”
แฟรงกี้เริ่มมีอาการลังเลและหวาดกลัว
ร้านอาหารลึกลับแห่งหนึ่ง บ๋อยคนหนึ่งเดินถือถาดอาหารไปวางหน้าแฟรงกี้
“ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดฉากครั้งนี้คือบุปผา เธอต้องการกำจัดแขนภาให้พ้นจากบ้านพุทธชาด โดยยอมจ่ายเงินให้ไอ้แฟรงกี้เป็นจำนวนมหาศาล”
แฟรงกี้เปิดฝาครอบถาดอาหาร เป็นรูปแขนภาและชวาลวางอยู่ในนั้นพร้อมด้วยเงินปึกใหญ่ และกระดาษโน้ตหนึ่งแผ่นข้อความบนกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่า
“ทำให้มันสองคนเป็นชู้กัน อาทิตย์นี้ทางสะดวก”
ห้องเปลี่ยวห้องเดิม ชวาลใช้ปืนฟาดไปที่หน้าแฟรงกี้อย่างแรง
“แกมันชาติชั่วจริงๆ”
“คนที่ชั่วกว่าผมก็คือบุปผา ผมแค่ทำธุรกิจของผมเท่านั้น”
ชวาลส่งปืนให้กับชายฉกรรจ์
“ผมกลับได้แล้วใช่มั้ย”
“ยัง จนกว่าแกจะเซ็นชื่อในคำสารภาพนี้ก่อน”
ชวาลส่งเอกสารคำสารภาพ พร้อมปากกาให้แฟรงกี้เซ็น
“จ่ายค่าทำแผลซักสี่ห้าร้อยก่อนดีกว่ามั้ง”
ชวาลยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆหูแฟรงกี้
“จะจับปากกาเขียนเองดีๆ หรือจะให้ฉันเอาเลือดหัวแกออกมาเขียน”
แฟรงกี้จึงยอมเซ็นชื่อในกระดาษแผ่นนั้นแต่โดยดี
กระดาษแผ่นนั้นถูกดึงออกมาจากซองด้วยมือของคุณหญิง ลายเซ็นแฟรงกี้ปรากฏอยู่ท้ายคำสารภาพ
ไพลินนั่งอ่านจดหมายฉบับเดิม
“หลังจากนั้นไม่นาน แขนภาก็หนีออกจากบ้านพุทธชาด ด้วยไม่อาจทนต่อข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงได้อีกต่อไป”
ห้าปีก่อนหน้านี้ชวาลยืนดื่มกาแฟสายตาจับจ้องไปที่จดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ไม่มีใครรู้ว่าเธอตั้งท้องทารกอีกหนึ่งคน ซึ่งเดือนเกิดของทารกคนนี้ จะนำไปสู่การสืบทราบได้ว่า ใครคือพ่อเด็ก แต่หลังจากเธอเธอคลอดลูกที่คลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชะตากรรมกลับเล่นงานเธอหนักขึ้นไปอีก ด้วยโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอโดยไม่รู้ตัว”
ชวาลหยิบฟิล์มเอ็กซเรย์บนโต๊ะขึ้นมาดู
สิบแปดปี ก่อนหน้านี้
หมอหยิบฟิล์มเอกซเรย์ใบเดียวกันนั้นขึ้นมาดู เขาเอ่ยปากกับแขนภาที่นั่งเบื้องหน้า
“คุณมีอาการวัณโรคกระดูก”
“มันเป็นยังไงคะ”
“กระดูกสันหลังของคุณจะค่อยๆบิดเบี้ยวและโค้งงอลงเรื่อยๆ”
“แล้วดิฉันต้องทำยังไงคะ”
“ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน”
“แล้วลูกดิฉัน”
“มันไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่เป็นกรรมพันธุ์ อย่าเพิ่งกังวลถึงขนาดนั้นเลยครับ”
ไพลินเงยหน้าจากจดหมายฉบับนั้นเธอเอ่ยปากขึ้นด้วยความสงสาร
“โธ่แม่คุณ”
คุณหญิงบอก“ยังไม่จบแค่นั้น อ่านต่อไปแล้วเธอจะต้องอุทานหนักยิ่งกว่านี้”
ไพลินก้มหน้าอ่านจดหมายต่อ
“แขนภาออกเดินทางเร่ร่อนไปเรื่อยๆ เธอหางานทำเท่าที่จะทำได้ เพื่อยังชีพและเลี้ยงดูลูกน้อยที่เป็นดวงใจของเธอ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ความภักดีที่มีต่อผู้เป็นสามี...แต่แล้วเวรก็ซ้ำกรรมก็ซัด ด้วยอุบัติเหตุที่ไม่ควรจะเกิด”
เรือโดยสารลำหนึ่ง อัดแน่นไปด้วยผู้คนเจอกับสายฝนโหมกระหน่ำ จนเรือโคลงไปกับระลอกคลื่น
แขนภายืนอุ้มทารกอยู่ในเรือลำนี้
เด็กชายคนหนึ่งพลัดตกลงไปในน้ำหญิงสาวผู้เป็นแม่ตะโกนร้องลั่น
“ช่วยด้วย...ช่วยลูกฉันด้วย”
ผู้คนในเรือต่างพากันปฏิเสธ
แขนภาทรุดตัวลง ยื่นสุดปลายมือของเธอไปที่เด็ก
“จับมือฉันไว้”
เด็กชายคว้ามือแขนภา แล้วดึงตัวขึ้นมา
พลัน เรือโคลงจนผู้คนในเรือกระแทกเข้าที่ร่างของแขนภาทารกในอ้อมกอดของเธอจึงตกลงไปในน้ำ
“ลูกแม่...”
แขนภาพุ่งกระโดดออกจากเรือ แล้วดำหายไปใต้น้ำชั่วขณะหนึ่งเธอจึงชูทารกโผล่พ้นน้ำขึ้นมาจนได้
ไพลินยังคงนั่งอ่านจดหมาย ที่เดิมโดยมีคุณหญิงรัตนเดชากรอยู่ข้างๆ
“อุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้เธอสูญเสียความทรงจำไปเกือบหมด เธอลืมเรื่องราวในอดีตจนหมดสิ้น...สิ่งเดียวที่เธอจดจำได้คือ เด็กทารกที่ชื่อว่า โขมพัสตร์ ลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจของเธอ”
ไพลินบอก
“เจ้าประคุณเอ๊ย...กรรมเวรอะไรอย่างนี้นะแขนภา แล้วเราจะทำยังไงกันต่อล่ะคะ”
“เอาจดหมายฉบับที่สองให้ตารังสรรค์อ่าน...ฉันเชื่อว่า จะไม่มีข้อโต้แย้งใดๆได้อีกต่อไป”
ตอนค่ำวันนั้น รถรังสรรค์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน สาวใช้คนหนึ่งยืนรออยู่
ก่อนจะเดินเข้าไปหาทันทีที่รังสรรค์ก้าวลงจากรถ
“คุณหญิงให้เรียกคุณรังสรรค์ไปพบค่ะ”
“บอกท่านว่า ฉันอาบน้ำกินข้าวแล้วจะไปหา”
“ท่านสั่งว่าให้ไปเดี๋ยวนี้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ”
ครู่ต่อมา รังสรรค์ก้าวเข้ามาเบื้องหน้าคุณหญิงรัตนเดชากรและไพลิน
“จะตั้งวงเล่นงานอะไรผมอีกเหรอครับ”
“ไม่ได้เล่นงานอะไร แค่อยากให้แกอ่านจดหมายฉบับนี้เท่านั้น” คุณหญิงบอก
“จดหมายใคร ?”
“จดหมายถึงเธอนั่นแหละ อ่านให้จบ ทุกคนในบ้านพุทธชาดจะได้กระจ่างแจ้งความจริงซะที” ไพลินบอก
คุณหญิงยื่นจดหมายฉบับที่สองให้กับรังสรรค์
รังสรรค์แกะออกอ่าน
เพียงแค่ปรายตาไปยังประโยคแรก เขาก็ขว้างจดหมายทิ้งทันที
“จดหมายไอ้ชั่วคนนี้เอามาให้ผมอ่านทำไม”
“ถ้าเธอไม่อ่าน เธอก็จะเป็นคนชั่วซะเองนะ” ไพลินว่า
“เลิกหูหนวกตาบอดซะทีเถอะ รังสรรค์”
รังสรรค์ค่อยๆหยิบจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
เสียงชวาลดังออกมาจากจดหมาย
“สวัสดี รังสรรค์ รัตนเดชากร ไอ้เพื่อนโง่ของฉัน”
วันต่อมา ในเวลาห้าปีที่แล้วชวาลนั่งเขียนจดหมายฉบับนี้
“ฉันเดาว่า แกต้องเขวี้ยงจดหมายฉันทิ้งทันทีที่อ่านประโยคแรก แต่ถ้าแกยังโง่งมงาย ถือทิฐิจนไม่ยอมอ่านต่อไปจนจบ ข้อความในจดหมายฉบับนี้ก็อาจจะเผยแพร่ไปยังสายตาผู้คนมากมาย จนแกไม่สามารถตามเก็บกลับมาได้”
ชวาลวางปากกา แล้วหยิบเอกสารข้างตัวขึ้นมาดูมันคือเอกสารใบเกิดของเด็กหญิงคนหนึ่ง
“ฉันมีหลักฐานการแจ้งเกิดของเด็กผู้หญิงคนนึงให้แกดู”
รังสรรค์หยิบใบเกิดใบเดียวกันนั้นออกมาจากซองเขาหย่อนตัวลงนั่งและอ่านจดหมายฉบับนั้นต่อ
“เอกสารชิ้นนี้ แสดงถึงวันและเวลา ในการถือกำเนิดของทารกที่เกิดจากแขนภา”
ห้าปีที่ผ่านมา ที่คลินิกเล็กๆ หมอสูงวัยยื่นใบเกิดใบนี้ให้กับชวาล
“ผมเก็บไว้อย่างดี เพราะเชื่อว่าวันนึงเธอต้องกลับมาเอาเอกสารนี้ไปใช้”
“หมอแน่ใจนะครับว่า แม่ของเด็กคือ แขนภา”
“ทำไมจะไม่แน่ใจล่ะครับ วันนั้นผมเพิ่งมาประจำการที่นี่ได้ไม่นาน เธอเป็นคนไข้คนแรกที่ผมทำคลอดให้ ผมยังถ่ายรูปเธอเก็บไว้เลยครับ...นี่ไงครับ”
หมอส่งรูปให้ชวาลดูสองใบ
ใบหนึ่งเป็นรูปแขนภาถ่ายคู่กับหมอก่อนทำคลอด อีกหนึ่งใบเป็นรูปที่ถ่ายหลังคลอด
“เธอน่าสงสารมากครับ ตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้อง เราก็เลยให้เธอทำงานเป็นแม่บ้านชั่วคราวที่นี่ แต่พอเธอรู้ว่าเป็นโรคกระดูกอักเสบ เธอก็หนีหายไป ไม่กลับมาอีกเลย”
รังสรรค์ยกรูปถ่ายสองใบนั้นขึ้นมาดู
“ถ้าดูจากวันถือกำเนิดของเด็ก แล้วนับย้อนไปเก้าเดือน แกจะรู้ว่าเด็กคนนี้ควรจะเป็นลูกใคร เพราะเวลานั้นฉันยังอยู่ต่างประเทศ ส่วนแขนภาก็ขลุกอยู่กับแกที่หัวหินนานนับเดือน แขนภาไม่บอกใครว่าตั้งท้อง เธอต้องการเก็บลูกไว้กับเธอ ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนรติรสลูกสาวคนแรกของเธอ”
สิบแปดปีก่อนหน้านี้รังสรรค์เหวี่ยงแขนภาลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี
“จะบ้าเหรอ เอาที่ไหนมาพูด...ใครเป็นลูกแก !”
“ดิฉันรู้นะคะ ลูกของดิฉันยังไม่ตาย เด็กที่ตายคือลูกของคุณบุปผาต่างหาก...รติรสคือลูกของฉัน”
รังสรรค์ตบหน้าแขนภาอย่างแรง
“อย่ามาพูดพล่อยๆแบบนี้นะ ยายรสมีแม่ชื่อบุปผา แม่ของยายรสไม่ได้ชั่วช้ามักมากในกามอย่างแกหรอก อีแขนภา”
แขนภาคลานเข้าไปเกาะขารังสรรค์ ร้องไห้ คร่ำครวญ
“คุณรังสรรค์คะ เมตตาดิฉันเถอะค่ะ”
รังสรรค์เมินเฉยไม่ใส่ใจแขนภาแม้แต่นิด
สิบแปดปีก่อนหน้านี้ แขนภาเดินเข้าตรงไปยังโต๊ะหนังสือตัวนี้ เธอค่อยๆเปิดลิ้นชัก และหยิบล็อกเก็ตอันนั้นขึ้นมาดู
แขนภาดึงล็อกเก็ตที่มีรูปรังสรรค์มาเหน็บติดตัวไว้ที่เอว แล้วเดินออกไป
“แขนภาอดทนรับคำด่าทอจากแกอยู่นานนับเดือน เพื่อได้อยู่ใกล้ลูกสาวของเธอ แต่ในที่สุดเธอก็ไม่อาจทนต่อไปได้ จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้าน แต่เพราะความรักที่มีต่อแก แขนภาจึงเอาล็อกเก็ตของติดตัวไปเป็นที่ระลึก เผื่อว่าวันนึงเธอจะได้บอกลูกได้ว่า พ่อคือใคร หน้าตาเป็นยังไง แต่แกกลับใส่ร้ายว่า
แขนภาเป็นหัวขโมย...แกมันเป็นผู้ชายที่โง่บ้าเซ่อที่สุดเท่าที่ฉันเคยรู้จักมา”
รังสรรค์อ่านจดหมายฉบับนั้นน้ำตาค่อยๆเอ่อคลอสองเบ้าตาของเขา
“โชคร้ายที่แขนภาได้รับอุบัติเหตุจนสูญเสียความทรงจำ ยังดีที่ก่อนเธอสิ้นใจ ในขณะที่เธอร้องเพลงนั้น...เพลงโสมส่องแสง เพลงที่นำพาแกกับแขนภาให้ได้รักกัน ความทรงจำทั้งหมดของเธอก็กลับคืนมา และถูกถ่ายทอดให้ฉัน ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ได้สนทนากับเธอ”
คืนนั้นที่โรงพยาบาลในอัมพวา ก่อนแขนภาสิ้นใจ เธอจับมือชวาลไว้แน่น
“ฉันคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วหละ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิแข”
“ก่อนฉันตาย ฉันมีเรื่องต้องอยากจะขอรบกวนคุณ ได้มั้ยคะ”
“บอกมาเลย ผมยินดีทำให้คุณทุกอย่าง”
“คุณช่วยพาขม ลูกสาวฉัน กลับไปบ้านพุทธชาดได้มั้ยคะ”
“คุณแน่ใจเหรอ”
“ไม่ต้องบอกเขาว่าขมคือใคร ขอแค่ให้ขมได้มีโอกาสใกล้ชิดพ่อบังเกิดเกล้าและพี่สาวของเธอ”
“แล้วขมจะมีความสุขเหรอ”
“สายเลือดเดียวกัน ตัดกันไม่ขาดหรอกค่ะ วันนึงเขาต้องรู้จนได้ว่าขมคือลูกของเขา แล้ววันนั้นขมจะได้มีชีวิตที่สมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่นซะที”
ชวาลมีอาการอึกอัก
“รับปากกับฉันได้มั้ยคะ ชวาล”
“ครับ ผมจะทำตามที่แขปรารถนาทุกประการ”
รอยยิ้มเป็นสุข ปรากฏขึ้นในวงหน้าและแววตาของแขนภา
“เมื่อถึงวันนั้น ฉันฝากคืนสิ่งนี้ให้เขาด้วยนะคะ”
แขนภาส่งล็อกเก็ตอันนั้นให้กับชวาล
“เก็บไว้ให้ขมด้วย...มันคือของมีค่าชิ้นเดียวที่ฉันมี...เล่าเรื่องราวของเราทั้งหมดให้ขมฟัง ในวันที่ขมโตพอนะคะ”
รังสรรค์หยิบล็อกเก็ตอันนั้นออกมาจากซอง
ไพลินจึงเอ่ยปาก
“นั่นน่ะเหรอ ของมีค่าที่เธอบอกว่าแขนภาขโมยไป”
“มันคือล็อกเก็ตที่ผมทำให้เธอ แต่เธอไม่ยอมรับมัน เพราะเกรงจะถูกครหาว่าปอกลอกเอาทรัพย์สินเงินทองจากผม”
“แขนภาจิตใจดีอย่างนี้เสมอ”คุณหญิงว่า
“เธอแค่ต้องการมีผมติดไปกับตัวเธอด้วย เท่านั้น”
ในเวลาห้าปีที่แล้วชวาลยังคงนั่งเขียนจดหมายฉบับเดิม
“ถ้าแกยังเป็นมนุษย์ที่ไม่ไร้สติ แกต้องรู้ได้แล้วว่า แขนภารักและบูชาแกมากเพียงใด แขนภาไม่เคยคิดทรยศแกแม้แต่น้อย ฉันเป็นเพียงเพื่อนคนเดียวที่เธอมี และยอมทำทุกอย่าง ก็เพราะเห็นแก่ความรักอันยิ่งใหญ่ของเธอ และความบริสุทธิ์งดงามของเด็กผู้หญิงที่เกิดจากความรัก...ถ้าแกยังจะปฏิเสธสิ่งที่มีค่า
ทั้งหมดนี้ ก็ไม่มีใครช่วยอะไรแกได้อีกแล้ว...ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่แกเอ่ยปากเรียกขมว่าลูก แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นฉันขออโหสิให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่แกทำกับฉัน เราจะไม่มีเวรมีกรรมต่อกันอีกต่อไปนะ รังสรรค์...ลาก่อนจากเพื่อนรักที่แกเกลียดที่สุด ชวาล สุรบดินทร์”
รังสรรค์เงยหน้าจากจดหมายน้ำตาที่เอ่อค่อยๆไหลออกมารังสรรค์เอ่ยปากเสียงแหบพร่า
“ขมล่ะ ขมอยู่ไหน”
“ฉันฝากคุณหญิงนรฯ ถ่วงเอาตัวไว้ที่บ้านตึกขาว จนกว่าพวกเราจะพร้อม”
“ไม่นึกเลยนะ ว่าบุปผาจะทำได้ถึงขนาดนี้”
“มันต้องมีคนยุยงอยู่เบื้องหลัง...และผมรู้ด้วยว่าคนนั้นคือใคร”
กลางคืนต่อเนื่อง บุหงาเดินกลับเข้าเรือนเธอตะโกนเรียกสาวใช้เสียงดัง
“ใครอยู่แถวนี้บ้าง เอาน้ำเย็นให้ฉันหน่อย”
รังสรรค์นั่งหน้าดุอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“น้ำวางอยู่บนโต๊ะ น้ำแข็งอยู่ในกระติก”
“คุณพี่เตรียมน้ำรอให้น้องเลยเหรอคะ”
“ใช่ ฉันรอจะด่าเธอ”
“พูดจาไม่ค่อยน่าฟังเลยนะคะ”
“ฉันจะพูดจาน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าเธอจะสารภาพเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวกับแฟรงกี้ทั้งหมด”
“โอ๊ย...มันตายโหงตายห่าไปแล้ว คุณพี่จะสนใจอะไรอีก”
“ต้องสนใจสิ เพราะเธอเป็นคนวางแผนให้แฟรงกี้ใส่ร้ายแขนภา ใช่มั้ย”
บุหงาแสดงท่าทีหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง
“เรื่องนี้คุณพี่ต้องปลุกวิญญาณพี่บุปผามาถามเองแล้วละค่ะ น้องไม่เกี่ยว”
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง เธอเป็นคนแนะนำแฟรงกี้ให้บุปผา”
รังสรรค์ตะโกนเสียงดังขึ้น
บุหงาโต้ตอบด้วยเสียงที่ดังไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
“ใช่ แต่น้องจะรู้ได้ยังไงว่าพี่บุปผาจะใช้งานอะไรไอ้แฟรงกี้บ้าง”
“อีตอแหล”
“ฉันไม่ได้ตอแหล”
“ถ้าไม่ใช่เพราะแก แขนภาก็จะยังเป็นเมียฉันในบ้านพุทธชาดหลังนี้ และแกก็จะไม่มีโอกาสใช้นามสกุลของฉันเลย”
“งั้นก็หย่าซะตอนนี้สิวะ ฉันก็อยากจะกลับไปใช้นามสกุลเดิมของฉันเหมือนกัน”
พจนีย์เดินเข้ามา หยุดชะงักทันทีและยืนจ้องมองวิวาทะครั้งนี้ ในมุมลับตา
“ไม่มีวัน...จนกว่าแกจะสารภาพความเลวทั้งหมดของแกออกมาก่อน”
“ฉันไม่มีอะไรต้องสารภาพ”
“มี เพราะแกทำให้แขนภาต้องมัวหมอง ต้องออกจากบ้านไปทั้งๆที่มีลูกอยู่ในท้อง”
“เหรอ?...อย่าบอกนะว่าเด็กคนนั้นก็คือ ขม”
รติรสเพิ่งกลับเข้าบ้าน เธอหยุดชะงัก ยืนฟังอยู่ในมุมลับตาอีกด้านหนึ่ง
“ใช่ ขมคือลูกฉัน ฉันต้องทำร้ายขม ทำรุนแรงกับขมไปมากขนาดนี้ ก็เพราะความเข้าใจผิดที่เกิดจากแก”
“จะมาโทษฉันได้ยังไงในเมื่อมันเริ่มจากแก ไอ้ผู้ชายเฮงซวย หลงเสน่ห์นังแขนภาจนหน้ามืดตามัว แต่ก็ไม่อยากเสียพี่บุปผาไป ถึงขนาดเอาลูกนังแขนภามาหลอกว่าเป็นลูกของพี่บุปผาก็ยังทำได้ เพื่อเอาใจพี่สาวฉัน”
รติรส และ พจนีย์ ต่างยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“รู้ไว้ด้วยว่าพี่บุปผารู้ทุกอย่าง เขาถึงเกลียดนังรติรสเข้าไส้ เขาถึงขอให้ฉันช่วยหาทางกำจัดนังแขนภา”
“แก”
“พอใจรึยัง ฉันสารภาพจนหมดสิ้นแล้ว สาแก่ใจแกรึยัง”
รังสรรค์ตบหน้าบุหงาอย่างแรง
“เลวที่สุด เลวทั้งพี่ทั้งน้อง”
“ถ้าตบฉันอีกที ฉันจะแจ้งตำรวจ”
บุหงาขยับตัวจะเดินออก
“แกจะไปไหน”
“ไปที่ที่ฉันมีความสุข และจะกลับมาเมื่อแกพร้อมเซ็นใบหย่าให้ฉัน”
บุหงาเดินออกไปทันทีที่พูดจบ
รังสรรค์ถอนหายใจ เจ็บหน้าอก
รติรส และ พจนีย์ ยืนอึ้งกันคนละมุม
กลางโถงบ้าน ตึกขาว โขมพัสตร์นั่งร้อยมาลัยอยู่ โดยมีคุณหญิงนรราชเสวีคอยกำกับอยู่ข้างๆ
“เก่งจัง ร้อยมาลัยครั้งแรกได้สวยขนาดนี้”
“คุณหญิงสอนเก่งค่ะ”
“เราหัวไวด้วยนั่นแหละ หวังว่าคุณหญิงรัตนฯจะพอใจนะ ที่ส่งเธอมาให้ฉันฝึก”
“ค่ะ”
ชาติสยามเดินเข้ามาในบ้าน
“สวัสดีครับ”
คุณหญิงนรราชเสวีเดินเข้าไปหาชาติสยาม
“ว่าไงพ่อชาติสยาม”
“คุณหญิงรัตนฯให้ผมมารับขมกลับครับ”
“ทางโน้นพร้อมแล้วเหรอ”
“ครับ”
“เชิญตามสบาย”
คุณหญิงนรราชเสวีหันไปพูดกับขม
“กลับบ้านได้แล้วจ้ะ...แล้ววันหลังจะมาเรียนกับป้าอีกมั้ย”
“มาค่ะ ขมอยากทำได้เก่งๆ ซักครึ่งนึงของคุณหญิงก็ยังดี”
“จะเก่งเกินป้าละไม่ว่า”
คุณหญิงนรราชเสวีเดินออกจากไปยังห้องอื่น
โขมพัสตร์จึงหันมาพูดกับชาติสยาม
“ไม่เห็นต้องมารับขมเลย ขมเดินเองได้บ่อยๆ”
“หรืออยากให้นายรัฐเป็นคนเดินไปส่ง”
“พี่รัฐไม่อยู่ ยังไม่กลับจากมหาวิทยาลัย”
“งั้นก็เดินไปกับอาซะดีๆ”
ชาติสยามเดินนำโขมพัสตร์เข้ามาที่สนาม สาวใช้คนหนึ่งยืนรออยู่
“คุณหญิงให้ขมไปพบที่ห้องหนังสือ”
“จ้ะ”
“ขม”
“คะ”
ชาติสยามสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนเอ่ยปาก
“ไม่ว่าคุณหญิงจะคุยอะไรกับขมก็ตาม สัญญาได้มั้ยว่าจะไม่โกรธอา”
“ทำไมขมจะต้องโกรธอาด้วย”
“รับปากก่อนสิ”
โขมพัสตร์จ้องหน้าชาติสยามเต็มๆตา และเอ่ยปากอย่างจริงใจ
“ช่วงนี้ขมอาจจะงอนอาบ้าง หมางเมินอาบ้าง ก็เพราะเหตุผลเดียว คืออยากให้อาคืนดีกับอารุ้ง...นอกจากนั้นแล้ว ไม่มีอะไรทำให้ขมโกรธอาได้...อาคือที่พึ่งเดียวที่ขมมี ขมไม่มีวันโกรธอาเด็ดขาด”
ชาติสยามยิ้มออกมาได้พอสมควร
“ขมจำไว้นะ...หลังจากวันนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขมก็ยังเป็นหลานที่อารัก อาห่วงใย และหวังดี ไม่เสื่อมคลาย”
“ค่ะ”
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดชาติสยาม
“ขมรักอาค่ะ”
ชาติสยามยิ้มแบบหม่นๆ เขาพอจะเดาได้ถึงความตึงเครียดที่กำลังจะเกิดขึ้นในชั่วไม่กี่อึดใจนี้
โขมพัสตร์เดินเข้าไปในห้องหนังสือคุณหญิงรัตนเดชากร ไพลินนั่งรออยู่ที่นั่น เธอทรุดตัวลง ส่งมาลัยที่เธอร้อยให้กับคุณหญิง
“ขมเอามาฝากคุณหญิงค่ะ เผื่อคุณหญิงจะใช้ไหว้พระ”
“สวยมากจ้ะ”
“คุณหญิงมีอะไรจะใช้ขมรึเปล่าคะ”
“ฉันมีจดหมายจะให้เธออ่าน”
โขมพัสตร์มีสีหน้า งุน งง
ไพลินจึงส่งซองเอกสารชิ้นสุดท้ายให้โขมพัสตร์
“จดหมายจากพ่อของหนู”
“พ่อพิทย์ ?”
โขมพัสตร์ดีใจ ตื่นเต้น และรีบแกะเอกสารซองนั้นทันที
หน้าตาของขมแปลกไปเมื่อเห็นตัวหนังสือบนกระดาษ
“นี่ไม่ใช่ลายมือพ่อพิทย์นี่คะ จดหมายที่ขมเคยได้จากอาสยาม ลายมือไม่เหมือนอย่างนี้ค่ะ”
ไพลินบอก“ลองอ่านเนื้อความก่อนเถอะจ้ะ”
ขมก้มหน้าก้มตาอ่านจดหมายตามคำสั่ง
สักพักคิ้วก็ขมวด พร้อมกับเอ่ยปากขึ้น
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่พ่อ นี่ใครเขียนจดหมายฉบับนี้คะ ขึ้นต้นก็บอกว่ายินดีด้วยที่ขมรับปริญญา ขมยังไม่จบ ม.แปด เลย”
ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครเอ่ยปากตอบ
โขมพัสตร์จึงก้มหน้าอ่านต่อ
เสียงชวาล จึงค่อยๆดัง...
“พ่อยินดีด้วยที่ขมได้อ่านจดหมายฉบับนี้ เพราะนั่นหมายความว่าขมคงเรียนจบรับปริญญาตรีแล้ว และของขวัญที่พ่อจะให้ขมได้ คงไม่มีอะไรมีค่ามากไปกว่าความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของขมเอง”
สีหน้าของโขมพัสตร์เครียดขึ้นจนเห็นได้ชัด
หนึ่งปีก่อนหน้านี้ชวาลนั่งเขียนจดหมายฉบับนี้ ท่ามกลางบรรยากาศสวนสวย
“ขมรู้มั้ยว่าชื่อพิทย์ รุ้งพราย มีที่มายังไง...มันคือชื่อของตัวละครเอกในนิยายที่แม่แขชอบมาก พ่อก็เลยขอยืมชื่อนี้มาใช้เป็นชื่อชั่วคราวของพ่อ...ส่วนชื่อจริงของพ่อคือ ชวาล สุรบดินทร์”
โขมพัสตร์เงยหน้าจากจดหมายชาติสยามเดินเข้ามาในห้อง
โขมพัสตร์เอ่ยปากพูดกับทุกคนในห้องนี้
“แปลว่านามสกุลของขมคือ สุรบดินทร์เหรอคะ”
ไม่มีใครตอบอีกเช่นเคย
โขมพัสตร์จึงหันไปหาชาติสยาม
“อาคะ นี่ใช่จดหมายพ่อพิทย์จริงๆเหรอคะ”
“จริงจ้ะ อาเป็นคนเอามาส่งให้คุณหญิงเอง”
โขมพัสตร์ก้มหน้าอ่านจดหมายต่อ
“เหตุผลที่พ่อไม่ได้ไปหาขม ไม่ได้ดูแลขมเท่าที่ควร เพราะพ่อป่วยหนัก ห้าปีที่ผ่านมา พ่อต้องใช้เวลากับการตระเวนรักษาตัว ชาติสยามจึงเป็นตัวแทนของพ่อ ในการดูแลขมและสื่อสารกับขม เพราะพ่อไม่อยากให้ขมต้องมารับรู้อาการเจ็บป่วยของพ่อ”
วันต่อมา ในเวลาหนึ่งปีที่แล้วชวาลนั่งอยู่บนเตียงคนไข้เขาเขียนจดหมายด้วยความยากลำบาก
“ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อจะไม่ทิ้งขมไว้เพียงลำพังที่บ้านพุทธชาดเป็นอันขาด แต่ขมรู้มั้ย ที่พ่อทำอย่างนี้เพราะมันคือความปรารถนาของแม่แข ที่สั่งเสียกับพ่อก่อนสิ้นใจ”
รูปแขนภาวางอยู่ข้างตัวชวาล
โขมพัสตร์นั่งอ่านจดหมายพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้น
“เพราะแม่แขเคยอยู่ที่บ้านหลังนี้ เคยเป็นคนสำคัญของที่นี่ แม่แขเป็นคนสวยที่ใครๆที่นี่ต่างหลงรัก ทั้งหน้าตาท่าทาง และเสียงร้องเพลง...ชื่อจริงของแม่แขคือ แขนภา นิติการ”
โขมพัสตร์หยิบรูปแขนภาขึ้นมาดูน้ำตาของเธอไหลพราก ด้วยความสับสน
“ไม่ว่าวันนี้ขมจะรู้สึกกับคนในตระกูลนี้อย่างไร แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย ขมควรจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อพวกเขา พร้อมๆกับที่พวกเขาจะมองขมต่างไปจากเดิม พวกเขาจะมีแต่ความรักและความเมตตาให้กับขม เพราะขมคือสายเลือดของเขา พ่อของขมไม่ใช่ พิทย์ รุ้งพราย...ไม่ใช่ ชวาล สุรบดินทร์ แต่เป็นรังสรรค์ รัตนเดชากร”
โขมพัสตร์เงยหน้าขึ้นจากจดหมายฉบับนี้สายตาของเธอแข็งกร้าวขึ้นมาทันที
“ไม่ ไม่จริง...ไม่ใช่อย่างนี้...อาคะ นี่มันจดหมายอะไรกัน มันเป็นจดหมายปลอมชัดๆ...ลายมือของพ่อไม่ใช่อย่างนี้ จดหมายที่อาเคยส่งให้ขม ไม่ใช่อย่างนี้ พ่อเคยบอกว่าพ่อทำงานมูลนิธิ แล้วนี่มันคืออะไร”
“ขม...จดหมายเหล่านั้นที่อาเคยเอามาให้ขม...อาเป็นคนเขียนเอง”
“อา !”
โขมพัสตร์มองจ้องหน้าชาติสยามด้วยความผิดหวัง ช้ำใจ
“อาทำทุกอย่างตามความปรารถนาของพ่อพิทย์ ซึ่งนั่นก็คือความปรารถนาของแม่แขนภาของขม”
“แล้วความปรารถนาของขมล่ะ มีใครสนใจบ้าง...แม่ของขมคือแม่แข ที่พิการหลังโก่งงอ ไม่ใช่แขนภาคนนี้ และพ่อขมก็คือพ่อพิทย์ ขมจะไปตามหาพ่อพิทย์”
“พ่อพิทย์ไม่อยู่แล้ว ขม...เขาจากเราไปแล้ว”
โขมพัสตร์ก้มหน้ามองตัวหนังสือในจดหมายอีกครั้ง
ชวาลกำลังเขียนตัวหนังสือย่อหน้าสุดท้ายของจดหมายฉบับนี้
“มนุษย์ทุกคน ไม่สามารถกำหนดชะตากรรมตัวเองได้ แม้พ่อปรารถนาจะเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของขมมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชาติกำเนิดของขมได้...วันนี้ขมโตพอแล้ว ถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริงแล้ว ส่วนเวลาของพ่อก็คือเวลาที่ต้องกล่าวคำอำลา แม้วันนี้พ่อจะไม่มีชีวิตอยู่ แต่พ่อก็เชื่อเหลือเกินว่า ชีวิตที่เหลือของขมนับจากนี้ จะประสบแต่ความสุข ความสำเร็จสมปรารถนาของแม่แข เราจากกันชั่วชีวิตเท่านี้นะลูก ชวาล สุรบดินทร์”
ชวาลวางปากกาลง น้ำตาไหลพราก
รูปถ่ายใบหนึ่งที่วางข้างๆจดหมายเป็นรูปถ่ายของชวาลกับโขมพัสตร์ในวัยเด็กเด็กหญิงขม นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของชวาล ที่ใต้รูปถ่าย มีตัวหนังสือเขียนว่า
“ขมในอ้อมกอดของลุง วันที่....พศ. 2500 อยากให้ขมเป็นลูกของลุงจริงๆเหลือเกิน”
โขมพัสตร์ร้องไห้ น้ำตาไหลพรากคุณหญิงรัตนเดชากรเอ่ยปากเสียงนุ่มนวล
“ในที่สุด เราก็ได้คำตอบของสิ่งที่เราสงสัยมานานซะที...ย่าดีใจนะที่ขมเป็นสายเลือดของรัตนเดชากรอีกคนนึง”
โขมพัสตร์ค่อยๆเอ่ยปาก น้ำเสียงเจือปนความแค้นเคือง
“ไม่จริง...พวกคุณโกหก !”
“หลักฐานก็อยู่ในมือเธอแล้ว...เธอยังไม่เชื่ออีกเหรอ ขม” ไพลินว่า
“นี่ไม่ใช่จดหมายจากพ่อพิทย์ พวกคุณอาจจะจ้างใครเขียนข้อความพวกนี้ขึ้นมาก็ได้”
“แล้วหลักฐานพวกนี้ล่ะ ใบเกิดของขม รูปถ่ายของขม แล้วป้าจะไปจ้างใครมาแต่งเรื่อง เขียนเรื่องได้ถึงขนาดนี้” ไพลินว่า
“ขมไม่ต้องการ ขมไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งสิ้น...ขมจะถือว่าไม่เคยอ่าน ไม่เคยเห็นของพวกนี้”
“แต่นี่คือความต้องการของแม่แขนภานะ และพวกเราทุกคนก็รักขม รักแม่แขของขม” คุณหญิงว่า
“ขมไม่เชื่อ ถ้าพวกคุณรักแม่ พวกคุณต้องไม่ปล่อยให้แม่ไปตกระกำลำบากแบบนั้น”
“พวกเราพยายามตามหาแล้ว แต่ไม่เจอ”
“ไม่จริง...พวกคุณก็แค่อยากอวดให้ใครต่อใครเห็นว่ามีความเมตตาต่อคนที่ด้อยกว่า แต่คุณไม่เคยนึกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาเลย...ขมเป็นขมแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าคุณรักขม คุณก็ไม่เห็นต้องหาทางพิสูจน์สายเลือดของขมเลย...พวกคุณทำเหมือนขมเป็นสิ่งของ ตลอดเวลาที่คุณยังเอ็นดูขม ให้ขมอยู่ที่
นี่ ก็เพื่อรอเวลาให้พวกคุณพิสูจน์สายเลือดขมเท่านั้น...ซึ่งถ้าพิสูจน์ไม่ได้อย่างที่คุณต้องการ วันนึงขมก็จะเป็นแค่หมาหัวเน่าตัวนึงเท่านั้นเอง”
“ไม่มีใครคิดอย่างนั้นเลยนะขม” ชาติสยามว่า
“อารู้ได้ยังไง...อาเองก็เถอะ โกหกขมมาเป็นปี อาสนุกกับการหลอกให้ขมเชื่อว่าพ่อยังอยู่ พ่อแข็งแรง ทำงานหนัก...เวลาที่ขมอ่านจดหมายพ่อ อาก็คงแอบหัวเราะเยาะไอ้เด็กโง่คนนี้ อาเคยคิดถึงหัวใจของเด็กคนนี้บ้างมั้ย”
“ขม”
“มิน่าล่ะ อารุ้งถึงทิ้งอาไป เพราะอาเป็นคนโกหกหลอกลวงอย่างนี้นี่เอง”
“ขม”
“ขมเกลียดอา ขมเกลียดทุกคนที่นี่ เกลียดบ้านหลังนี้ เกลียดตระกูลรัตนเดชากร”
โขมพัสตร์ขยับตัววิ่งออกไปจนชนกับร่างของรังสรรค์ที่เพิ่งก้าวเข้ามาทั้งสองจ้องหน้ากัน ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน
“ขมลูกพ่อ...พ่อรักขมนะลูก”
“ฉันไม่ใช่ลูกแก”
“พ่อขอโทษ”
“ไม่...แกไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน...ฉันจะไม่ยกโทษให้แก ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแกที่สุดในโลก”
โขมพัสตร์วิ่งฝ่าร่างของรังสรรค์ออกไป
รังสรรค์ขยับตัวจะวิ่งตาม คุณหญิงรัตนเดชากรเอ่ยปากห้ามไว้
“รังสรรค์ ปล่อยให้ขมอยู่ตามลำพังก่อน”
“แต่ผมเป็นพ่อเขา”
“ก็เพิ่งรู้ว่าเป็น ให้เวลาเขาทำใจซะหน่อยสิ”
รังสรรค์จึงทรุดตัวลงนั่ง
“ผมทำไม่ดีกับเขาไว้มากเหลือเกิน ผมอยากได้โอกาสแก้ตัว”
“ไม่ใช่แกคนเดียวหรอก พวกเราทุกคนต้องแก้ไข และชดใช้ความผิดพลาดที่ทำไว้ในอดีตทั้งหมด” คุณหญิงบอก
โขมพัสตร์ทรุดตัวลงนอนกลางเตียงน้ำตาไหลพร่างพรู โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้ง่ายๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงชาติสยาม
“ขม...นี่อานะ...อาขอคุยด้วยได้มั้ย”
โขมพัสตร์หันไปจ้องประตูห้องแล้วตะโกนใส่
“ขมไม่มีอะไรจะพูดกับคนขี้โกหกอย่างอา”
ชาติสยาม ยืนหน้าประตูห้อง ตะโกนพูดกับขม
“จะให้อาขอโทษอีกกี่พันครั้งอาก็ยอม...แต่ทุกอย่างที่อาทำไป อาทำเพื่อขมและพ่อพิทย์ของขมนะ”
โขมพัสตร์เดินไปตะโกนพูดใกล้ประตูห้อง
“ไม่มีหรอกค่ะ พ่อพิทย์ของขมน่ะ มันเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด...คนตระกูลสุรบดินทร์ ก็ใจร้ายไม่ต่างจากรัตนเดชากรเลย”
“เว้นอาไว้สักคนได้มั้ย...ขม”
โขมพัสตร์นั่งพิงประตูห้องนอนของเธอ
“ไม่...อาสร้างภาพพ่อพิทย์ให้ขมจนสวยหรู อาทำให้ขมรู้สึกตลอดเวลาว่ายังมีพ่อพิทย์อยู่ แต่แล้วอาก็เป็นคนทำลายมันด้วยมือของอาเอง อาไม่ควรเอาจดหมายบ้าๆทั้งหมดนั้นมาเปิดเผยเลย”
“แต่มันเป็นความจริง และเป็นความต้องการของพี่ชวาล”
คุณหญิงรัตนเดชากรเดินมายืนหน้าห้องได้ยินถ้อยคำทั้งหมดที่คนทั้งสองตะโกนคุยกัน
“แต่ขมไม่ได้ต้องการความจริงแบบนี้...ความจริงของขมมีเรื่องเดียว คือแม่แข ที่อยู่อัมพวา”
“แม่แขที่พิการแต่กาย แต่จิตใจสูงส่ง ร้องเพลงเพราะ...พี่ชวาลของอาไม่ควรไปเจอแม่แขวันนั้นเลย....ไม่งั้นขมก็คงจะมีความสุขที่อัมพวา ได้อยู่กับครูสมพรจนถึงทุกวันนี้”
คุณหญิงรัตนเดชากรแตะไหล่ชาติสยาม และเอ่ยปากเบาๆ
“คุณกลับไปเถอะ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”
ชาติสยามพยักหน้ารับคำ แล้วจึงหันไปตะโกนให้ขมได้ยินอีกครั้ง
“ขม...อาเสียใจที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้...แต่อารักขมนะ และอาก็หวังดีกับขมเสมอมา ไม่ว่าขมจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม”
ขมนั่งอึ้ง นิ่งเงียบ
เสียงคุณหญิงรัตนเดชากรดังเข้ามา
“อาชาติสยามกลับไปแล้วนะ ขม...นี่ย่านะ เปิดประตูให้ย่าหน่อยได้มั้ย”
ประตูห้องเปิดออก โขมพัสตร์ยืนอยู่กลางประตู
“คุณหญิง”
“โกรธฉันมากเลยเหรอ ขม”
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดคุณหญิง น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง
มุมหนึ่งในบ้าน รติรสและพจนีย์นั่งนิ่งกลางห้องต่างคนต่างเหม่อมองออกไปไกล สักพักรติรสจึงเอ่ยปาก
“ถ้าเรื่องที่เราได้ยินเมื่อกี้นี้เป็นเรื่องจริง...พี่กับพจน์ เรายังเป็นพี่น้องกันอยู่รึเปล่า”
พจนีย์เอ่ยปากตอบ โดยไม่หันไปมองหน้าพี่สาว
“ก็คงเป็น เพราะเรามีพ่อคนเดียวกัน...แต่พี่รสต้องรู้นะ ว่าแม่บุปผาของพจน์คือเมียหลวง ส่วนแขนภาแม่ของพี่รสคือเมียน้อย ที่แย่งทุกอย่างไปจากแม่ของพจน์”
ทั้งสองยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นต่อไป
คุณหญิงรัตนเดชากรประคองหลานสาวลงนั่งคุณหญิงค่อยๆปาดน้ำตาที่อาบแก้มโขมพัสตร์
อารมณ์เคืองโกรธของเธอ ค่อยๆคลายลงบ้างแล้ว
“ย่าไม่แปลกใจหรอกนะที่หลานจะโกรธพวกเราทุกคน...แต่ย่าอยากจะขออะไรหลานสักอย่างได้มั้ย”
โขมพัสตร์มองหน้าคุณหญิงนิ่ง
“อย่าหนีออกจากบ้านอีกนะ จะโกรธใครแค่ไหน ก็อย่าหนีออกจากบ้านอีกเลยย่าขอร้อง”
“แล้วคุณหญิงจะบังคับให้ขมเรียกคุณรังสรรค์ว่าพ่อด้วยรึเปล่าคะ”
“ย่าคงบังคับเรื่องนั้นไม่ได้หรอก เพราะมันต้องอยู่ที่ใจขมเอง ว่าจะยอมรับได้แค่ไหน”
“ขมไม่มีวันยอม”
“แต่ความจริงก็คือความจริง เราหนีความจริงไม่พ้นหรอก จะชั่วจะดียังไง เขาก็คือผู้ให้กำเนิดขม”
“ผู้ให้กำเนิดขมมีคนเดียวคือ แม่แข...คนเดียวเท่านั้น”
คุณหญิงถอนใจเล็กน้อย และไม่คิดจะโต้แย้งเรื่องนี้
“ตกลง รับปากมั้ย ว่าจะไม่หนีออกจากบ้าน”
“แต่ขมก็จะไม่อยู่ให้เขาเห็นหน้า...ขมอาจจะหายไปในตอนกลางวัน และกลับมานอนตอนค่ำเท่านั้น ถ้าจะทำให้คุณหญิงพอใจ”
“ฉันคงไม่มีทางเลือกสินะ”
“คุณหญิงมีทางเลือกเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว และนี่คือทางที่คุณหญิงเลือกเอง”
“ก็จริง...งั้นเวลาจะไปไหนก็บอกย่าหน่อยนะ ย่าจะได้ไม่ห่วง”
“พรุ่งนี้ขมขอไปหาแม่ที่บ้านสวนแปดริ้วนะคะ”
“ฉันจะให้คนรถขับรถไปส่งก็แล้วกันนะ”
“ขอบคุณ คุณหญิงค่ะ”
โขมพัสตร์พนมมือไหว้อย่างอ่อนช้อย สวยงาม
“ฉันขออีกนิดเถอะนะ เลิกเรียกฉันว่าคุณหญิง แล้วก็เรียกฉันว่า ย่า ได้มั้ย?”
โขมพัสตร์มองหน้านิ่ง โดยไม่เอ่ยปาก
“เรียกได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ คุณหญิง”
โขมพัสตร์ก้มลงกราบคุณหญิงอย่างสวยงาม
เรือนใหญ่ ในเวลาเช้าตรู่รังสรรค์เดินก้าวยาวๆ ตรงไปถามสาวใช้ที่ทำงานอยู่บริเวณนี้
“ขมล่ะ...ตื่นรึยัง”
“ตื่นแล้ว ไปแล้วค่ะ”
“ห๊ะ! ไปแล้ว...ไปไหน ?”
“ไม่ทราบค่ะ”
“ไม่ทราบได้ยังไง...แกเป็นคนใช้อยู่บ้านนี้ เจ้านายออกไปไหนแกไม่รู้อะไรบ้างเลยเหรอ”
“เอ้อ หนูไม่รู้จริงๆค่ะ”
“อะไรวะ”
ไพลินเดินออกมาจากตัวบ้าน
“มาเอะอะอะไรที่นี่แต่เช้า ตารังสรรค์”
“ขมไม่อยู่ ขมหายไปแล้ว พี่ไพรู้บ้างรึเปล่า”
“รู้”
“รู้แล้วทำไมไม่ตามล่ะ...ป่านนี้เตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
“ขมไม่ได้หนีไปไหน เธอขอออกไปผ่อนคลายข้างนอก...คุณแม่เป็นคนอนุญาตและให้คนรถขับรถไปส่ง”
“ไปที่ไหน”
“คุณแม่ไม่ให้บอกใคร”
“โธ่ ! ลูกผมทั้งคน จะไม่ให้ผมรู้อะไรบ้างเลยเหรอ”
“แค่รู้ว่าขมเป็นลูกก็พอแล้ว...ที่เหลือจากนั้นต้องใช้เวลา มันไม่ง่ายนักหรอก ตารังสรรค์”
โต๊ะสวยกลางสวนร่มรื่น บ้านตึกขาว คุณหญิงรัตนเดชากรและคุณหญิงนรราชเสวี นั่งดื่มชาอยู่ที่นั่น
“เมื่อวานนี้ดิฉันต้องขอบคุณคุณหญิงมากนะคะที่ช่วยดึงตัวขมไว้ให้”
“เรื่องเล็กค่ะ ไม่ยากตรงไหน ขมเธอก็สนุกกับการร้อยมาลัยซะด้วย...ว่าแต่ได้ความว่ายังไงบ้างล่ะคะ”
“เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด...ขมคือลูกสาวของตารังสรรค์กับแขนภาจริงๆ”
“เป็นข่าวดีมากๆ...สัญญาระหว่างเราสองตระกูลก็คงจะไม่มีปัญหาแล้วสินะ”
คุณหญิงรัตนเดชากรถอนใจออกมาเบาๆ
“ยังมีอะไรขัดข้องอีกเหรอคะ หรือคุณหญิงไม่เห็นด้วยที่จะให้ตารัฐของฉันแต่งงานกับขมของคุณหญิง”
“ดิฉันน่ะเห็นด้วยเต็มที่ แต่ปัญหาคือ ขมยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเลือดของรัตนเดชากร เธอจึงพร้อมที่จะต่อต้านทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลของดิฉัน”
คุณหญิงนรราชเสวีพลอยหนักใจไปด้วย
“อือม”
“ดิฉันก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่งได้ในที่สุด”
“ดิฉันจะช่วยภาวนาอีกแรงก็แล้วกัน”
บริเวณเนินดอกไม้สวยที่ฝังเถ้าอังคารแม่แข ที่บ้านสวนแปดริ้ว โขมพัสตร์นั่งจ้องมองหลุมนี้ น้ำตาเอ่อ เธอเอื้อมมือแตะผิวดินบนเนินนั้น แล้วจึงเอ่ยปากด้วยเสียงแผ่วเบา
“แม่จ๋า...แม่เห็นหมดแล้วใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับขมบ้าง...มันไม่จริงใช่มั้ยแม่...ทั้งหมดที่นายชวาลพูด มันไม่ได้เกิดขึ้นจริงใช่มั้ย...ขมไม่มีทางที่จะเป็นลูกของคนใจร้ายคนนั้น...ไม่ใช่แน่ๆ”
โขมพัสตร์ทรุดตัวลงไป นอนแนบกับผิวดิน ราวกับกอดสัมผัสแม่แขของเธอ
“แม่จ๋า...คืนนั้นแม่พูดอะไรกับนายชวาลบ้าง ขมอยากรู้จังเลย...ทำไมแม่ไม่พูดกับขม ทำไมแม่ไม่บอกขมด้วยตัวแม่เอง...ขมคิดถึงแม่ ขมอยากได้ยินทุกอย่างจากปากของแม่...แม่ช่วยมารับขมทีได้มั้ยจ๊ะ ให้ขมได้อยู่กับแม่ ดีกว่าอยู่ในดงของคนใจร้ายอย่างนี้...มารับขมไปทีนะ แม่จ๋า”
โขมพัสตร์นอนร้องไห้สะอึกสะอื้น แทบขาดใจ
บุหงาค่อยๆเดินกลับเข้ามาในโถงบ้านเรือนเล็ก เธอเดินตรงไปยังโต๊ะหนังสือของรังสรรค์
ค่อยๆเปิดลิ้นชักโต๊ะ และกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่าง
พจนีย์ก้าวเข้ามา
“น้าบุหงาทำอะไรน่ะ”
บุหงาถึงกับสะดุ้ง ตกใจ
“โธ่ ยายพจน์เอง น้าตกใจหมด”
“ทำไมต้องตกใจคะ...นึกว่าเป็นพ่อเหรอ”
บุหงาได้แต่ฝืนยิ้ม ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
“น้าบุหงาหาอะไรในโต๊ะพ่อเหรอ”
“เอ้อ”
“สมุดบัญชีใช่มั้ยล่ะคะ...จะขโมยตังค์พ่อเหรอ”
“พจนีย์ พูดอะไรอย่างนั้น ขะมง ขโมยอะไร...น้าแค่จะเบิกเงินส่วนของน้าไปใช้บ้างเท่านั้นเอง”
“น้าบุหงาจะไปอยู่ที่อื่นแล้วเหรอคะ”
“ใครบอกพจน์”
“พจน์เห็นน้ากับพ่อทะเลาะกันเมื่อคืนนี้”
“แล้วพจน์ได้ยินรึเปล่า ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร”
“ได้ยินทั้งหมดค่ะ พี่รสก็ได้ยิน”
“แล้วพจน์เชื่อมั้ย?”
พจนีย์นิ่ง
“เชื่ออย่างที่พ่อกล่าวหาน้ามั้ย”
พจนีย์ตัดสินใจเอ่ยปากตอบน้ำเสียงของเธอ เจือความโกรธแค้นลึกๆมิใช่การก้าวร้าวเอาแต่ใจตัวอย่างเคย
“เชื่อค่ะ...พจน์เชื่อว่าพี่รสไม่ใช่ลูกแม่บุปผา...และก็เชื่อว่าแขนภาเป็นเมียน้อยของพ่อ”
“แล้วคิดว่าน้าเป็นคนวางแผนใส่ร้ายนังแขนภารึเปล่า”
“ถ้าเป็นพจน์ พจน์ก็คงทำอย่างนั้น พจน์จะไม่ยอมให้มันมาแย่งทุกอย่างไปจากแม่เป็นอันขาด”
บุหงาตรงเข้าไปกอดพจนีย์
“หลานรักของน้า....ที่แม่ของพจน์ตายไปก็เพราะพ่อนั่นแหละ รู้มั้ย”
รังสรรค์ก้าวเข้ามาสีหน้าดุดันตรงไปกระชากบุหงาออกมาจากพจนีย์
“เธอกลับมาที่นี่อีกทำไม”
“โอ๊ย น้องเจ็บนะคะคุณพี่”
“ออกไปให้พ้นจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้...ที่นี่ไม่มีความสุขให้คนอย่างเธออีกต่อไป”
รังสรรค์ฉุดบุหงาและเดินลากออกไป
พจนีย์วิ่งตามไปตะโกนลั่น
“พ่อ ปล่อยน้าบุหงาเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่ พ่อจะไม่ยอมให้ผู้หญิงน่ารังเกียจคนนี้เหยียบเท้าเข้ามาในบ้านเราอีก”
“พ่อนั่นแหละที่น่ารังเกียจ”
รังสรรค์หยุดการลาก หันมามองผู้เป็นลูก
บุหงาได้โอกาสสะบัดแขนออกจากการจับกุมของรังสรรค์
“พูดอะไรน่ะพจน์ ทำไมว่าพ่ออย่างนั้น”
“พ่อใจร้าย ใจดำ แอบมีเมียน้อย ทำให้แม่เสียใจ จนช้ำใจตาย”
“ใครบอกพจน์อย่างนั้น”
“พจน์เกลียดพ่อ พจน์เกลียดพ่อ”
รังสรรค์หันไปตะคอกใส่บุหงา
“แกพูดอะไรกับลูกฉัน...บอกมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องมีใครพูดอะไร เด็กมันก็เข้าใจได้อยู่แล้ว”
รังสรรค์เงื้อมือตบหน้าบุหงาอย่างแรง
“อีเลว”
“แกตบหน้าฉันเหรอ”
รังสรรค์เงื้อมือตบซ้ำอีกครั้ง
“อีแพศยา”
บุหงาด่ากลับไป อย่างไม่เกรงกลัว
“ไอ้แก่ตัณหากลับ กรรมกำลังตามสนองแกแล้ว รู้ไว้ด้วย ผู้ชายชั่วๆอย่างแกไม่มีวันตายดีหรอก”
รังสรรค์ตรงเข้าไปขย้ำคอบุหงาทันที
“อีกากี”
รังสรรค์และบุหงาปล้ำทำร้ายกันจนล้มกลิ้ง
พจนีย์พยายามเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่ไม่สำเร็จ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ พ่อ...หยุดทำร้ายน้าบุหงาได้แล้ว”
หมู่คนใช้ในบ้าน กรูกันเข้ามาช่วยแยกรังสรรค์กับบุหงาออกจากกันจนได้
รังสรรค์ตะโกนสั่งหมู่คนใช้ ลั่นบ้าน
“พวกแกลากอีนังแพศยาตัวนี้ออกไปจากบ้านฉัน ฉันไม่อยากเห็นหน้าชั่วๆของ
มัน”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ...แล้ววันนึงฉันจะมาเอาคืนแกให้สาสมเลย ไอ้แก่หนังเหี่ยว
ไม่มีน้ำยา”
รังสรรค์หยิบของใกล้ตัวขว้างใส่บุหงา
“ออกไป และอย่าให้มันเข้ามาเหยียบบ้านนี้อีกเป็นอันขาด”
บุหงาสะบัดมือจากคนใช้แล้วเดินเชิดออกไปด้วยตัวเอง
พจนีย์ก้าวเข้าไปจ้องหน้ารังสรรค์ ตาแข็งกร้าว
“พ่อเป็นผู้ชายที่แย่มากๆ...พจน์เกลียดพ่อ”
พจนีย์วิ่งออกจากบ้านไปอีกคน ปล่อยให้รังสรรค์ยืนหายใจหอบอยู่เพียงลำพัง
อ่านต่อตอนที่ 18