xs
xsm
sm
md
lg

ดงผู้ดี ตอนที่ 16 : ตึ่ง! จม.ซองแรก “ชวาล” ระบุถึง “ประมุขบ้านรัตนเดชากร”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดงผู้ดี ตอนที่ 16 : ตึ่ง! จม.ซองแรก “ชวาล” ระบุถึง “ประมุขบ้านรัตนเดชากร”

บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ

เช้าวันใหม่ ณ บ้าน มจ.อรุณี หูโทรศัพท์วางอยู่นอกแป้น พจนีย์ยกมันขึ้นมาแนบหูแล้วจึงพูด

“สวัสดีค่ะ พจนีย์พูดค่ะ”
ที่เรือนใหญ่ บ้านพุทธชาดคุณหญิงรัตนเดชากร นั่งพูดโทรศัพท์อยู่กลางห้องโถง
“บ้านหม่อมเจ้าอรุณี อยู่สบายมั้ย”
พจนีย์ดวงตาเป็นประกาย ตื่นเต้น
“คุณย่า”
“ตกใจเหรอที่ได้ยินเสียงย่า”
“ดีใจค่ะ พจน์คิดถึงคุณย่า คิดถึงทุกคน”
“พ่อเราโทร. หาทุกวัน ยังไม่หายคิดถึงอีกเหรอ”
“เวลาพ่อโทร. มาก็ไม่ได้คุยอะไรมาก แค่ถามว่ามีปัญหาอะไรบ้างมั้ย แล้วก็วางสายไป พจน์ยังไม่ทันได้เล่าอะไรให้พ่อฟังเลย”
“งั้นเล่าให้ย่าฟังก็ได้นี่”
“ย่ามีเวลาเยอะมั้ยล่ะคะ”
“ย่ามีเวลาทั้งวัน แต่ถ้าเราใช้เวลาเล่านานมากเท่าไหร่ เราก็จะได้ยินข่าวดีจากย่าช้ามากขึ้่นเท่านั้น”
“ข่าวดี ?”
“ย่าจะให้พ่อ ไปรับเรากลับบ้านวันนี้”

ณ โถงเรือนเล็ก รังสรรค์ก้าวเข้ามาเบื้องหน้าผู้เป็นแม่
“จริงเหรอครับคุณแม่”
“ฉันจะเดินมาถึงนี่เพื่อพูดจาหลอกเล่นกับแกทำไม...ท่านหญิงอรุณีบอกว่าพจนีย์มีพัฒนาการที่ดีมาก รู้จักระงับอารมณ์ ไม่ใจร้อน ไม่ต่อต้านกฎระเบียบ และมีน้ำใจไมตรีต่อผู้คนรอบตัวมากขึ้น ถือว่าการอบรมบ่มนิสัยครั้งนี้ได้ผลเลิศ จึงเห็นควรให้พจนีย์กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านพุทธชาดเหมือนเดิม”
“ขอบคุณครับคุณแม่”
“แต่ถ้าหลังจากวันนี้ ยังมีเรื่องแบบเดิมเกิดขึ้นอีก ฉันก็จะส่งยายพจน์กลับไปที่นั่นอีกครั้ง แล้วอาจจะอยู่ยาวเป็นปี ดังนั้นแกจะต้องคอยดูแลกำชับลูกสาวให้ดีด้วย”
“ไม่มีปัญหาครับ...ลูกผม มันก็ต้องมีเชื้อดีไม่ต่างจากผม”
“ไอ้เชื้อดีของแกนั่นแหละที่ฉันเป็นห่วง”
“แต่ก็เป็นเชื้อที่ผมได้มาจากแม่นะครับ อย่าลืม”
รังสรรค์ขยับตัวจะเดินออกไป คุณหญิงเอ่ยปากขึ้น
“เดี๋ยวก่อน...เมื่อวานมีโทรศัพท์จากคุณหมอ โทร. ถึงแก”
“โทรหาผม ?”
“ใช่ ชื่อหมอประเสริฐ เขาขอให้แกโทร. กลับไปหาเขาด้วย”
รังสรรค์ถึงกับอึ้งไปนิดนึง
“แกไปหาหมอคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นอะไรมากมายแค่ไหน ทำไมไม่เล่าให้แม่ฟัง”
รังสรรค์ตั้งใจเอ่ยปากตอบด้วยท่าทีและน้ำเสียงปกติ
“ไม่มีอะไรครับ แค่พบปะกันในงานการกุศล แล้วเขาก็ชวนผมไปตรวจสุขภาพ”
“ตรวจซะบ้างก็ดีนี่ เป็นอะไรไปจะได้แก้ไขทัน”
“อ้าว...แม่แช่งลูกตัวเองซะแล้ว”
“ไม่ได้แช่ง !”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่า แม่อย่าห่วงเลย...ผมรีบไปรับพจนีย์ก่อนดีกว่า”

เวลาเดียวกัน คุณหญิงนรราชเสวีนั่งอ่านหนังสืออยู่บริเวณมุมสบายในบ้านตึกขาว
รัฐวางแก้วน้ำมะนาวสวยใสน่าดื่มที่เบื้องหน้าคุณหญิง
“น้ำมะนาว คั้นใหม่ๆสดๆครับคุณยาย”
“จะขออะไรแลกกับน้ำมะนาวแก้วนี้ล่ะ”
“ขอปรึกษาครับ”
“ว่ามา”
“ผมไปพูดกับขมมาแล้ว”
คุณหญิงนรราชเสวีเงยหน้ามองหลานชาย
“พูดเรื่องอะไร ?”
“เรื่องระหว่างเราครับ ผมขอให้เขาเลือกผม”
“แล้วขมเขาว่ายังไง”
“ขมปฏิเสธ เขายังไม่อยากผูกมัด จนกว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัย”
“เป็นคำตอบที่สงวนท่าทีได้ดีมาก”
“ผมก็เลยอยากจะขอความช่วยเหลือจากยาย”
“แก้วนี้แค่ขอคำปรึกษานะ ถ้าจะขอความช่วยเหลือต้องอีกแก้วนึง”
“อีกกี่แก้วก็ได้ครับ ถ้ายายจะช่วยผม”
“ยายจะช่วยอะไรเราได้ ?”
“ยายขอคุณหญิงรัตนเดชากรเพิ่มเติมสัญญาได้มั้ยครับ สัญญาที่ตระกูลเรากับเขาจะเกี่ยวดองกันน่ะครับ”
“เพิ่มยังไง”
“เพิ่มขมไปในสัญญาอีกคนน่ะครับ เพราะถ้าคุณหญิงรัตนฯตกลงเป็นข้อสัญญา ขมก็จะปฏิเสธผมไม่ได้”
“นี่เรากำลังจะให้ยายกับคุณหญิงรัตนฯบีบบังคับขมนะ”
“ไม่ใช่บังคับ แค่ปูทางให้เท่านั้น ขมจะได้มั่นใจในตัวผมมากยิ่งขึ้น”
คุณหญิงนรราชเสวีถอนหายใจนิดๆ

“ยายไม่มั่นใจว่าคุณหญิงรัตนฯเธอจะเห็นด้วยกับเรารึเปล่า จะต้องใช้น้ำมะนาวอีกซักกี่แก้ว ยายก็ไม่รู้”

คุณหญิงรัตนเดชากรดื่มน้ำมะนาวแล้วจึงเอ่ยปากพูด โดยมีคุณหญิงนรราชเสวีนั่งอยู่เบื้องหน้า ในบริเวณสวนร่มรื่น

“การจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาน่ะ ดิฉันไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ถ้ามันเป็นความสุข ความสบายใจของทุกฝ่าย”
“ได้ยินอย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อย”
“แต่พอมันไปเกี่ยวข้องกับตัวขม อันนี้ดิฉันลำบากใจค่ะ เพราะฉันไม่ใช่ผู้ปกครองโดยตรงของขม จะให้ตกปากรับคำเป็นสัญญาว่าจะยกขมให้ใครเห็นจะทำไม่ได้จริงๆค่ะ”
“ดิฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่เจ้าหลานชายดิฉันมันก็รบเร้าอ้อนวอน จนน่าเห็นใจ”
“ที่จริงถ้าเด็กเขารักกัน ก็ไม่น่ากังวลใจอะไรนะคะ”
“เราเป็นผู้ใหญ่ก็คิดได้ แต่เด็กมันไม่คิดน่ะสิคะ พอความรักเข้าตาก็กระวนกระวายไปหมด”
“จริงค่ะ”
“งั้นถามอีกนิดนะคะ ถ้าถึงเวลาจะสู่ขอกันจริงๆ ดิฉันต้องพูดเรื่องนี้กับใครคะ”
คุณหญิงรัตนเดชากร นิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากตอบ
“ดิฉันจะลองถามอาเขาให้ก็แล้วกันค่ะ”
คุณหญิงนรราชเสวีค่อยมีรอยยิ้มขึ้นบ้าง

รถตู้ประจำบ้านแล่นเข้ามาจอดพจนีย์ก้าวลงจากรถมองบ้านหลังนี้เต็มๆตาสายตาของเธออ่อนโยน ต่างไปจากเดิมไม่น้อย
รังสรรค์ก้าวลงจากรถมายืนข้างๆลูกสาว
“พจน์ว่าบ้านเราสวยและน่าอยู่ มากกว่าบ้านใครๆในโลกนี้ทั้งหมด”
“พ่อก็ว่าอย่างนั้นแหละ...พจน์เอากระเป๋าไปเก็บนะ พ่อจะแวะไปหาย่าก่อนแล้วเดี๋ยวเรากินข้าวกันนะลูก”
“ค่ะพ่อ”
รังสรรค์เดินออกไป ขณะที่บุหงาเดินออกมาจากเรือนเธอส่งเสียงและรอยยิ้มมายังหลานสาว
“กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ พจนีย์”
“น้าบุหงา”
“มาให้น้ากอดที...คิดถึงจังเลย”
บุหงาและพจนีย์ กอดกันแน่น
“พจน์ไม่เคยคิดถึงบ้านมากเท่านี้มาก่อนเลยค่ะน้าบุหงา”
“อยู่ที่โน่น มีปัญหากับใครบ้างมั้ย”
“ไม่มีค่ะ ทุกคนดีกับพจน์หมดเลย”
“ไม่เหมือนที่นี่เนอะ ที่นี่มีแต่คนทำให้พจน์หัวเสียได้ทุกวัน”
“ไม่ค่ะ จากนี้ไปพจน์จะไม่ขี้โมโห เจ้าอารมณ์แบบเก่าอีกแล้วค่ะ”
“เหรอ ?”
“พจน์ไม่นึกเหมือนกันว่า จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ถึงขนาดนี้”
“น้าดีใจด้วยจ้ะ”
“น้าบุหงาสนใจอยากไปหา มจ.อรุณีบ้างมั้ยคะ”
“ไม่ดีกว่า น้าไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง...ไปก่อนนะ น้ามีธุระ”
“ธุระอะไรเหรอคะ”
“น้านัดช่างไว้ ให้ไปซ่อมตู้ที่บ้านเพื่อนน่ะ”
“นี่มันจะเย็นแล้วนะคะ”
“ก็ช่างเขาว่างตอนค่ำนี่ เขาอยู่ทำได้ถึงมืดเลยจ้ะ”
บุหงาเดินออกไปจากบ้าน...พจนีย์มองตามผู้เป็นน้า

ชายฉกรรจ์สองคน เดินอุ้มเซฟใบนั้นออกมาจากบ้านเช่า บุหงายืนรออยู่หน้าบ้านนั้น เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น
“มาทางนี้...เร็วๆสิ”
ชาย1 “โธ่ ไม่ได้เดินตัวเปล่านะครับคุณนาย เหล็กก้อนเบ้อเร่อ”
“ฉันก็ไม่ได้ใช้แกฟรีๆเหมือนกัน เร็วเข้า ให้มันเร็วเหมือนตอนรับเงินหน่อย”
บุหงาเดินนำชายฉกรรจ์เลี้ยวไปทางหลังบ้านอย่างทุลักทุเล

บริเวณลานดินหลังบ้านเช่า มีบ่อน้ำบาดาลถูกขุดไว้หลังบ้าน โดยมีแท่งซีเมนต์ก่อล้อมเป็นวงกลม
บุหงาเดินนำชายฉกรรจ์มาที่บ่อน้ำนี้
“วางตรงนี้ก่อน”
ชายทั้งสอง วางตู้เซฟตามคำสั่งทันที
บุหงาชะโงกหน้า มองลงไปดูในบ่อน้ำ แล้วหันมาถามชายฉกรรจ์
“พวกแกว่าลึกมั้ย”
“ผมไม่ลงไปในนั้นนะ”
“ฉันไม่ได้ให้แกลง แค่อยากรู้ว่ามันลึกมั้ย”
“บ่อน้ำบาดาล ไม่มีตื้นอยู่แล้ว”
“ดี ทิ้งลงไป”
ชาย1-2 ไม่คาดคิด ถามให้แน่ใจ “ทิ้ง ?”
“ทิ้งไอ้ตู้เหล็กนี่ลงไปในบ่อ”
“อ้าว ที่จ้างเรามายกนี่ ให้ยกไปทิ้งเหรอ”
“เออ”
“ไม่เอาก็ไม่บอก งั้นผมขอแล้วกัน”
“ขอไปทำไม”
“เผื่อว่าข้างในมีสมบัติ ใครจะรู้”
“แกเปิดได้เหรอ”
“ก็ต้องลองงัดดู แบ่งกันก็ได้นะคุณนาย”
“ไม่ ฉันไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งนั้น ทิ้งลงไปเดี๋ยวนี้ แล้วปิดปากให้สนิท”
ชาย1-2 มองหน้ากัน
“ลังเลเหรอ ? หรือจะให้ฉันถีบพวกแกลงไป”
ชายฉกรรจ์ทั้งสองจึงทิ้งตู้เซฟลงไปด้วยความเสียดาย

เจ้าของบ้านเช่าแอบมองเหตุการณ์นี้อยู่ในมุมลับตา ความสงสัยใคร่รู้ผุดขึ้นในแววตาของมัน

โถงเรือนเล็กบ้านพุทธชาด เวลาค่ำ รังสรรค์ยืนพูดโทรศัพท์กลางโถงบ้าน

“ขอพูดกับนายแพทย์ประเสริฐ สุขสมบูรณ์...ผมรังสรรค์รัตนเดชากร”
ในห้องทำงานหมอ หมอประเสริฐยกโทรศัพท์ขึ้นพูด
“สวัสดีครับคุณรังสรรค์”
รังสรรค์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแสดงความไม่พอใจ
“คุณโทร.หาผมทำไม”
“ผมเป็นห่วงสุขภาพของคุณนะครับ นัดไว้คุณก็ไม่มา ผมก็เลยต้องโทร.มาตามอาการด้วยตัวเอง”
“ผมไม่มีอาการอะไร ผมปกติดีทุกอย่าง”
“แน่นะครับ”
“เฮ้ย คุณเป็นหมอหรือเป็นนักสืบกันแน่ ซักไซ้ผมยังกับผมเป็นผู้ร้ายงั้นแหละ”
“ผมต้องการข้อมูลที่แน่ชัดจากคนไข้ เพื่อวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องแม่นยำ”
“ผมบอกว่าไม่เป็นอะไรก็คือไม่เป็นอะไร เข้าใจมั้ย หมอจะมารู้ดีกว่าตัวผมเองได้ยังไง และถ้ายังอยากรู้เรื่องแบบนี้อีก ก็ไม่ต้องโทร.มา เพราะคุณจะไม่ได้คำตอบอะไรมากไปกว่านี้”
“แต่ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมา หมออาจจะช่วยอะไรคุณได้ไม่ทันนะครับ”
“ไอ้การที่คุณโทร.มาแบบนี้ มันทำให้คนในบ้านผมตกอกตกใจจนช่วยอะไรไม่ทันเหมือนกัน เข้าใจมั้ย...อย่าเอาความหวังดีของหมอมาทำลายความสุขในครอบครัวผมอีกนะ”
รังสรรค์วางโทรศัพท์ลงทันที
และจู่ๆ เขาก็เริ่มปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่

ตอนค่ำ สาวใช้เคาะประตูห้องนอน โขมพัสตร์เปิดออก
“มีอะไรเหรอ”
“คุณชาติสยามให้เอามาให้”
สาวใช้ส่งซองจดหมายให้ขม
“เขาฝากบอกว่า จดหมายที่เขียนวันนั้นเขาส่งไปแล้ว และนี่คือจดหมายตอบจากพ่อพิทย์”
“ขอบใจจ้ะ”
สาวใช้ขยับตัวจะเดินกลับไป
“แล้วอาสยามกลับไปแล้วเหรอ”
“ยัง นั่งคุยอยู่กับคุณหญิง เห็นว่าคุณหญิงท่านมีธุระสำคัญจะปรึกษาด้วย...แต่ฉันไม่รู้นะว่าเรื่องอะไร”
สาวใช้เดินออกไป โขมพัสตร์ยืนครุ่นคิดหน้าประตูห้องนั้น

บริเวณระเบียงสวย เรือนใหญ่ ชาติสยามนั่งประจันหน้ากับคุณหญิงรัตนเดชากรที่นั่น
“คุณหญิงบ้านโน้นเขาก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรหรอก เพียงแต่ว่าอยากจะคุยให้เข้าใจตรงกันซะตั้งแต่วันนี้ ฉันก็บอกท่านไปว่า ฉันไม่ใช่ผู้ปกครองของหนูขม คงจะตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของหนูขมไม่ได้หรอก”
“ผมก็ไม่ใช่ผู้ปกครองโดยตรงของขมเหมือนกัน”
“แต่ขมก็ไม่มีใครอีกแล้วนะ นอกจากเธอ...เธอเป็นคนเดียวที่ขมใกล้ชิดและไว้ใจมากที่สุด”
“แต่ผมตัดสินใจเรื่องของความรักให้เธอไม่ได้หรอกครับ”
“งั้นก็ต้องรอให้ขมโตพอ จนบรรลุนิติภาวะ หรือจบปริญญาตรีนั่นหละค่อยให้เธอตัดสินใจเอง...ฉันจะบอกคุณหญิงนรฯอย่างนี้นะ”
ชาติสยามค่อยๆพยักหน้ารับคำ
“ก็คงต้องยอมรับกันละ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ดวงวิญญาณของตาชวาลก็คงไม่คิดรังเกียจอะไรนายรัฐหรอกนะ”
“นอกจากว่า จะมีอะไรมากกว่านี้ ที่ผมไม่เคยรู้”
“อะไรเหรอ”
ชาติสยามตัดสินใจเอ่ยปาก
“พี่ชวาลฝากกุญแจไว้ดอกหนึ่ง เป็นกุญแจโต๊ะทำงานของเขา และสั่งให้ผมเปิดในวันที่ขมเรียนจบมหาวิทยาลัย”
“โอ๊ย...ทำไมต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วยนะตาชวาลเอ๊ย”
“ผมก็ไม่ทราบเจตนาของพี่เขาเหมือนกัน”
“งั้นรีบไปเปิดดูตอนนี้เลยไม่ดีกว่าเหรอ...เผื่อจะมีอะไรที่เรายังไม่รู้ อย่างที่เธอว่า”
“ผมให้สัญญากับพี่ชวาลไปแล้ว ผมผิดสัญญาไม่ได้หรอกครับ”
“แต่เราไม่ได้ทำร้ายใคร หรือทำให้ใครเสียหายนี่นา ไปแอบเปิดซะเถอะนะพ่อคุณ”
“ผมไม่กล้ารับปากครับ...ขอเวลาผมตัดสินใจอีกทีได้มั้ยครับ ถ้าผมเห็นดีกับวิธีของคุณหญิงเมื่อไหร่ ผมจะรีบมาบอก”

ขมนั่งอ่านจดหมายฉบับนั้นอยู่บนเตียงนอน
เสียงชาติสยามดังออกมาจากจดหมาย
“ขมลูกรัก...สิ่งเดียวที่ทำให้พ่อหมดห่วงก็คือ การได้รู้ว่าขมมีอาชาติสยามคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ เพราะพ่อมั่นใจว่าขมจะปลอดภัยที่สุด เมื่ออยู่ในการดูแลของอาชาติสยาม”

ชาติสยามขับรถกลับบ้าน หน้าตาเคร่งเครียด

“หากมีสิ่งใดที่อาทำแล้วไม่ถูกใจขม ก็ขอให้รู้ว่านั่นเป็นไปเพราะความหวังดีของอา และผ่านการพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วว่า มันคือสิ่งที่เหมาะควรที่สุดสำหรับขม”

เวลาเช้า พจนีย์เดินถือหนังสือออกจากบ้าน ตรงไปทางตึกขาว

“ส่วนการกระทบกระทั่งกับคนในบ้านพุทธชาด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าขมอดทน ไม่ตอบโต้ แต่รู้จักให้อภัยและเมตตากับพวกเขา วันนึงปัญหาเหล่านั้นก็จะบรรเทาลง”

รัฐและรัมภ์ถือหนังสือเรียนมานั่งข้างกันกลางโถงบ้าน
“อย่างน้อยขมก็มีเพื่อนข้างบ้านที่มีไมตรีกับขมไม่ใช่เหรอ ดังนั้นการอยู่ในบ้านพุทธชาดก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะทุกอย่างนี่นา”

พจนีย์เดินเข้ามายังกลางโถงบ้าน รัฐและรัมภ์หันไปมองนิ่ง
พจนีย์จึงเอ่ยปากเสียงนุ่มหู
“ทำไมมองพจน์แบบนี้ล่ะ...ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่คิดถึงกันบ้างเหรอ”
รัมภ์บอก“คิดถึง แต่อาจจะคิดคนละแบบกับที่พจน์ต้องการ”
“รับรองว่าอีกไม่นาน ทุกคนต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะวันนี้พจน์เปลี่ยนไปแล้ว”
รัมภ์โพล่ง“เหรอ”
“ไม่เชื่อใช่มั้ย?”
ไม่มีคำตอบออกจากปากของสองหนุ่ม
“ไม่เชื่อก็คอยดูต่อไป...แต่วันนี้ พจน์ขอความช่วยเหลือพี่ทั้งสองหน่อยได้มั้ย”
รัฐบอก“พี่ไม่ว่าง พี่มีนัดติวหนังสือให้ขม”
“พี่ก็เหมือนกัน”
“เหมาะเลยค่ะ”
“เหมาะยังไง ?” รัมภ์ถาม
พจนีย์วางหนังสือที่ถือมาลงบนโต๊ะกลางห้อง
“อีกไม่นานก็จะถึงเวลาสอบเอ็นทรานซ์แล้ว...พี่รัฐพี่รัมภ์พอจะช่วยติวข้อสอบให้พจน์บ้างได้มั้ยคะ ติวพร้อมๆกับขมเลยไง จะได้เก่งได้เท่าๆกัน”
สองพี่ร้องมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
“ทำไมไม่ให้รสติวให้ล่ะ อยู่ใกล้กันแค่นั้นเอง จะได้ไม่ต้องแบกหนังสือมาถึงนี่” รัฐว่า
“พี่รสไปเข้าค่ายต่างจังหวัดสามวัน พจน์อยากรีบอ่านตั้งแต่วันนี้น่ะ...ไม่งั้นจะไม่ทัน...ขมคงไม่ว่าอะไรมั้งคะ”

โขมพัสตร์เดินออกมาจากเรือนใหญ่ ชาติสยามก้าวเข้ามาเบื้องหน้าโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
“ขม”
“สวัสดีค่ะ”
ทว่าท่าทีของโขมพัสตร์ยังคงเรียบเฉย
“จะไปบ้านตึกขาวเหรอ”
“ค่ะ”
“นัดกับนายรัฐไว้ละซี”
“ค่ะ”
ชาติสยามถอนใจออกมาเล็กน้อย
“ขมไม่ค่อยอยากพูดกับอาเหรอ”
“ขมไม่รู้จะพูดอะไร”
“มีความสุขดีใช่มั้ย”
“จะมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าอาคืนดีกับอารุ้ง”
“อีกไม่นานหรอก”
“ที่ว่าไม่นานคือเมื่อไหร่คะ”
“เมื่อขมมีความสุข ทุกอย่างในชีวิตของขมสมบูรณ์ลงตัว”
“อะไรคือ สมบูรณ์ ลงตัว คะ ?”
“เมื่อขมโตเป็นผู้ใหญ่ มีชีวิตครอบครัวที่สวยสดงดงาม มีคู่หมั้นหมายเป็นคนดีที่ปกป้องคุ้มครองขมได้ดีกว่าอา และถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นนายรัฐ อาก็ยิ่งหมดห่วง เพราะฉะนั้นถ้าขมกับนายรัฐจะตกลงปลงใจกันซะตั้งแต่วันนี้ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
ดวงตาของโขมพัสตร์แข็งกร้าวขึ้นมาเธอเอ่ยปากโดยไม่มีรอยยิ้มให้เห็นแม้แต่นิด
“ถ้าอารำคาญขม ก็บอกตรงๆได้ ไม่เห็นต้องผลักไสขมไปให้คนอื่นเลย”
“อาไม่ได้รำคาญ อาแค่อยากแน่ใจว่า ขมกำลังอยู่บนเส้นทางชีวิตที่เหมาะสม”
“แค่นี้ใช่มั้ยคะ”
ชาติสยามได้แต่เพียงพยักหน้าพร้อมกับถอนใจเบาๆ
“งั้นขมจะไปตึกขาวหละ”
“วันนี้พี่รัฐจะพาไปเที่ยวที่ไหนเหรอ ?”
“ขมจะไปติวสอบเอ็นทรานซ์ติวเสร็จแล้วพี่รัฐจะพาไปไหนขมยังไม่รู้...ซึ่งอาก็คงไม่ต้องห่วงอะไร เพราะพี่รัฐเป็นผู้ชายที่ดีที่สุด และถ้าขมจะรักพี่รัฐ ก็เป็นเพราะหัวใจของขมรัก ไม่ใช่เป็นเพราะใครสั่งให้รัก”
โขมพัสตร์เดินหน้าตึงออกไป

ชาติสยามอยู่ที่บ้าน ยกโทรศัพท์แนบหู
“ฮัลโหล...ว่าไงครับแม่”
โสมวดี ยืนพูดโทรศัพท์กลางบ้านเทพสถิตย์ หน้าตาไม่สู้ดีนัก
“มาหาแม่หน่อยได้มั้ยลูก มีเรื่องด่วนที่ลูกต้องรู้เดี๋ยวนี้”
“เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องบ้านของตาชวาลพี่ชายเราน่ะสิ กำลังจะถูกขายทิ้งแล้วนะลูก”

กลางคืนต่อเนื่องมา ชาติสยามหย่อนตัวลงนั่งเบื้องหน้าผู้เป็นมารดา

“ใครเป็นต้นคิดเรื่องนี้ครับ”
“พี่ๆน้องฝั่งแม่เขาน่ะสิ ตกลงซื้อขาย รับเงินรับทองกันเรียบร้อย เดือนหน้าช่างก็จะเริ่มงานรื้อถอนแล้ว”
“ทำอย่างนี้ได้ยังไง ไม่ใช่บ้านของตัวซักหน่อย”
“มันเป็นบ้านที่ปลูกอยู่รวมกันบนที่ดินมรดกที่ตกทอดมาถึงลูกหลานทุกคน”
“ในเมื่อมันเป็นของทุกคน ทำอะไรก็ต้องนึกถึงพี่ชวาลด้วยสิครับ”
“เพราะนึกถึงน่ะสิ เขาถึงได้รอจนป่านนี้ ถ้าไม่นึกถึงละก้อเขาขายไปนานแล้ว”
“แม่ไม่มีทางยับยั้งได้เลยเหรอครับ”
“แม่เป็นแค่สะใภ้ของตระกูล ออกเสียงอะไรไม่ได้หรอก”
ชาติสยามถอนใจ เหนื่อยหน่าย
“น่าสงสารพี่ชวาลจัง”
“แล้วลูกจะเอายังไงกับกุญแจนี้”
โสมวดียื่นกุญแจดอกนั้นให้ชาติสยาม
ชาติสยามครุ่นคิดชั่วครู่ จึงเอ่ยปาก
“ผมขอยกโต๊ะทำงานพี่ชวาล กับของสำคัญของพี่เขามาไว้ที่บ้านเราก่อนได้มั้ยครับ ถ้าใครพูดจาค่อนขอดหรือมีปัญหาอะไร ผมก็ขอจ่ายเงินซื้อไว้เองเลยก็แล้วกัน...ได้มั้ยครับแม่”
“ก็คงได้มั้ง...ถึงเวลาจ่ายเงิน ก็คงเป็นเงินแม่ใช่มั้ยล่ะลูก”
“แบ่งกันคนละครึ่งก็ได้ครับแม่”
ชาติสยามหอมแก้มเอาใจผู้เป็นแม่

กลางคืน วันเดิม คุณหญิงนรราชเสวีเพิ่งกลับมาจากข้างนอกก้าวเข้ามากลางห้องนั่งเล่น
ขณะที่รัฐ รัมภ์ ขม พจนีย์ นั่งทานอาหารว่างกันอยู่โดยมีหนังสือ ตำราเรียนวางกระจายรอบห้อง
“วันนี้บ้านตึกขาวของยายทำไมถึงได้สดชื่นผิดหูผิดตาไปขนาดนี้”
“อ้าว...งั้นวันที่ผ่านๆมา ผมกับพี่รัฐเป็นตัวการทำให้บ้านเหี่ยวเฉางั้นเหรอครับ” รัมภ์บอก
“ไม่ได้เหี่ยวเฉา แต่ไม่สว่างไสวเหมือนวันนี้ที่มีสาวสวยถึงสองคน”
“พวกเราทำให้บ้านคุณยายรกต่างหาก” พจนีย์ว่า
“รกเพราะท่องหนังสืออย่างนี้ ต้องเรียกว่ารกแบบน่ารัก”
“ขมช่วยเก็บจานไปล้างก่อนดีกว่าค่ะ”
“พจน์ช่วยด้วยค่ะ”
สองสาวต่างพากันยกถ้วยชามออกไป
“อย่างนี้เด็กบ้านเราก็ยิ้มสบายกันเลยสิ” รัมภ์ว่า
“ยายพจนีย์ดูเรียบร้อยผิดตาไปเนอะ” รัฐบอก
“ยายบอกแล้วไง คนเราลองกลับเนื้อกลับตัวได้จะน่ารักมากกว่าเดิมหลายเท่าเลย”
“แต่ไม่น่ารักไปกว่าขมหรอกครับ”
“หายใจหายคอเป็นขมตลอดเวลาเลยนะ” รัมภ์ว่า
“ฉันรักเดียวใจเดียว”
“รักหัวปักหัวปำอย่างนี้ต้องระวังนะ ถ้าอกหักขึ้นมาจะเจียนตายเลยละ ยายเห็นมานักต่อนักแล้ว”
“ไม่มีทาง...ไม่มีทางอกหักครับ”
“ถามยายดีกว่า...ยายชอบใครมากกว่ากัน...รติรส พจนีย์ ขม”
“น่ารักทุกคนนั่นแหละ ถ้าให้เลือก ก็ต้องเลือกคนที่รักเรา”
รัมภ์มองหน้าพี่ชาย
“ได้ยินมั้ยพี่รัฐ”
“ได้ยิน”
“ได้ยินแล้ว ก็รีบไปทำให้เขารักเราซะสิ”
“เออ...ไปเดี๋ยวนี้หละ”

บริเวณครัวของบ้าน สองสาวกำลังช่วยกันล้างจานขนม พจนีย์เอ่ยปากขึ้น
“ขอบใจนะขม”
“ขอบใจ ?”
“ที่เธอให้อภัยฉัน ในสิ่งที่ฉันเคยผิดพลาดไป ที่ฉันเคยทำไม่ดีกับเธอ”
“การให้อภัยไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับดิฉันค่ะ”
“แต่พี่รัฐ พี่รัมภ์ ยังดูเหมือนไม่ไว้ใจฉัน”
“ก็คงต้องให้เวลา ซึ่งดิฉันคิดว่าไม่นานหรอกค่ะ”
“คอยดูนะ ฉันจะดีได้ไม่แพ้เธอเลยหละ ขม”
พจนีย์ยิ้มกว้างให้ขม แล้วเดินออกไป
รัฐเดินเข้ามา เขาส่งผ้าเช็ดมือให้โขมพัสตร์
“ถ้าขมมากินข้าวบ้านพี่ทุกวัน มีหวังเด็กบ้านพี่ตกงานแน่ๆ”
“งั้นขมก็ไม่ควรมากินข้าวที่นี่ค่ะ เด็กๆบ้านพี่รัฐจะได้ไม่เดือดร้อน”
“แต่คนที่จะเดือดร้อนคือพี่และคุณยาย”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย”
“เกี่ยวสิ เพราะเวลาที่ขมมาที่นี่ ทั้งคุณยายและพี่ต่างก็มีความสุข ถ้าขมหายไปพวกเราก็หม่นหมองแย่น่ะสิ”
“พี่รัฐชอบพูดอะไรเกินจริงเรื่อยเลย”
“เรื่องระหว่างขมกับพี่ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงจ้ะ”
รัฐเอื้อมมือประคองสองมือของโขมพัสตร์ และเอ่ยปากเสียงนุ่ม นัยน์ตาซึ้ง
“พี่จะรอจนถึงวันที่ขมพร้อมจะให้คำตอบพี่นะ แต่ถ้าผู้ใหญ่ของเราทั้งสองฝ่ายต่างเห็นดีด้วย ขมก็น่าจะมั่นใจในตัวพี่มากขึ้น ใช่มั้ยจ๊ะ”

โขมพัสตร์ได้แต่มองหน้ารัฐนิ่งโดยไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากเธอ

กลางห้องนั่งเล่น พจนีย์กำลังเก็บหนังสือตำราเรียนที่วางกระจายอยู่ รัมภ์ค่อยๆเดินเข้ามา

“ไม่น่าเชื่อว่า แค่สิบวันที่บ้านท่านหญิงอรุณี จะทำให้พจนีย์เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
“พี่รัมภ์อยากเปลี่ยนแปลงบ้างมั้ยล่ะ”
“พี่ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน”
“พี่จะรู้ได้ยังไง...คนเรามองไม่เห็นตัวเองหรอกค่ะ ต้องให้คนอื่นมองให้ เหมือนที่พี่รัมภ์มองพจน์”
“งั้นพจน์มองเห็นพี่เป็นยังไง”
พจนีย์ตั้งท่าจ้องมองรัมภ์ ก่อนเอ่ยปาก
“พี่รัมภ์เป็นคนดี โอบอ้อมอารี มีน้ำใจ แต่ติดทะลึ่งเป็นระยะๆ”
“เฮ้ย เห็นซะละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ ?”
“พี่รสเล่าให้ฟัง”
“แล้วพี่รสเขาคิดยังไงกับพี่บ้าง เขาเล่าให้พจน์ฟังรึเปล่า”
“เอาตรงๆเลยนะ”
“เออ”
“เท่าที่พจน์เห็นก็คือ ไม่คิดอะไรเลย”
“เหรอ ?”
“เพราะพี่รสปักใจกับใครคนนึงไปแล้ว”
“อือม...”
“แต่ถ้าเป็นพจน์ละก็ไม่แน่”
“ห๊ะ !”
“เพราะพจน์ยังไม่ได้ปักใจกับใครซักคน”
“พี่ว่า พจนีย์คนเดิมกำลังจะกลับมาอีกแล้ว”

กลางบริเวณร่มรื่น คุณหญิงสองคนนั่งดื่มน้ำชาและสนทนากัน
คุณหญิงรัตนเดชากรบอก
“เมื่อวานนี้บ้านคุณหญิง กลายเป็นโรงเรียนกวดวิชาไปเลยสิ ใช่มั้ยคะ”
“ใช่ ครึกครื้นดีค่ะ...ตกค่ำก็กลายเป็นร้านอาหารด้วยนะ”
“ทำเอาบ้านพุทธชาดของฉันเงียบเหงาไปเลย”
“ที่มาวันนี้ ก็ตั้งใจจะมาชื่นชมคุณหญิง ที่สามารถเปลี่ยนพจนีย์ให้เป็นคนละคนไปเลย ทั้งกิริยามารยาท และการเอาใจใส่เรื่องตำรับตำราเรียน...ไม่ต่างจากหนูรติรสเลยนะคุณหญิง”
“เด็กมันมีเชื้อดีเป็นทุน อยู่ที่เราต้องหมั่นขัดเกลาเขา”
“ทีนี้ดิฉันก็มีปัญหาละซี เพราะตัดสินใจลำบาก”
“ยังไงคะ ?”
“เลือกสะใภ้ไม่ถูกน่ะสิคะ...รติรสก็งามถูกใจ พจนีย์ก็กลายเป็นเด็กดี สดใสน่ารัก ส่วนที่มาแรงที่สุดก็คือ ขม ตอนนี้ก็เลยตกที่นั่ง รักพี่เสียดายน้อง”
“อ้อ...เท่ากับว่าเมื่อวานนี้คือการดูตัวว่าที่หลานสะใภ้หรอกเหรอคะ”
“ไม่ใช่...”
“แต่ก็ใกล้เคียงใช่มั้ยล่ะ”
สองคุณหญิงยิ้มหยอกล้อกันพอสมควร
“ถ้าเพียงแต่ขมมีเลือดรัตนเดชากร ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป ความตั้งใจเดิมของสองเราก็ลุล่วงได้”
“ดิฉันก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ แค่จะเอารายละเอียดของพ่อแม่เขา เราก็ยังต้องรอเลย”
“เร่งให้เร็วอีกนิดไม่ได้เหรอคะคุณหญิง”
“มันไม่ได้อยู่ที่ฉันค่ะ มันอยู่ที่อาเขา”

คนงานขนโต๊ะ เก้าอี้ เข้ามาในบ้านเทพสถิต โสมวดียืนสั่งการพร้อมกับหมุนโทรศัพท์ไปด้วย
“ค่อยๆยกนะ อย่าให้เฉี่ยวชนอะไรในบ้านนี้เชียว...เก้าอี้เอาไปเรียงทางโน้นโต๊ะตัวนั้นยกมาทางนี้...”
ชาติสยามยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“ฮัลโหล...ว่าไงครับแม่”
“ช่างเขาขนเฟอร์นิเจอร์ของตาชวาล มาไว้ที่บ้านแม่หมดแล้วนะ แม่ไม่รู้ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน เราจะเข้ามาดูเองรึเปล่า”
“ว่างแล้วผมจะรีบเข้าไปครับ”
“อย่าช้านักนะลูก ไม่งั้นของเกลื่อนเต็มบ้านแม่ รีบๆมาไขกุญแจซะเถอะ จะได้จบๆไป”
“แม่จะบังคับให้ผมผิดสัญญากับพี่ชวาลอีกคนเหรอครับ”
“แม่ไม่ได้บังคับ แต่อยากให้ลูกตัดสินใจให้ดี ไม่ว่าลูกจะเลือกยังไงแม่ก็อยู่ข้างลูกอยู่แล้ว แต่ลูกต้องเลือก จะปล่อยให้คาราคาซังเฉยๆอย่างนี้ไม่ได้นะลูก”
“ผมทราบครับ...มีคนมากมายรอการตัดสินใจของผมอยู่”

คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งคุยกับชาติสยาม
“ขอบใจนะที่มาหาฉัน”
“ด้วยความยินดีครับ”
“รู้มั้ยว่าฉันมีเรื่องอะไรจะปรึกษาเธอ”
“พอจะเดาได้ ว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับขม”
“ใช่”
“ขมเป็นเด็กในความปกครองของคุณหญิง คุณหญิงสามารถตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับขมได้เต็มที่ ซึ่งผมเชื่อว่าต้องเป็นเรื่องที่ดีสำหรับขม และคุณหญิงไม่จำเป็นต้องปรึกษาผมก็ได้ครับ”
“จำเป็นมาก...เพราะกุญแจอยู่ที่เธอ”
“กุญแจ ?”
“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากุญแจดอกนั้นอีกแล้วหละ”
ชาติสยามนิ่ง อึ้งไป
“ถ้าเธอยอมไขลิ้นชักโต๊ะทำงานพี่ชายของเธอ เรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับขมก็จะกระจ่างชัดขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องรออีกสี่ห้าปี”
“เอ่อ...”
“ฉันรู้ว่าเธอรับปากพี่ชายไว้ แต่เธอลองคิดดูซิว่า ข้อดีของการรอเวลาคืออะไร”
ชาติสยามครุ่นคิดอีกครั้ง
“ฉันมองไม่เห็นเลย...ในทางตรงกันข้าม ถ้าทุกอย่างเปิดเผยซะตอนนี้ มันก็จะดีสำหรับทุกคนโดยเฉพาะขม”
“พี่ชวาลอาจจะคิดว่าขมยังเด็กเกินไป”
“นั่นคือความเข้าใจผิดของคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับขมพอ เธอก็เห็นนี่นา ว่าขมโตและเข้มแข็งมากแค่ไหนโตพอที่จะมีคู่หมั้นหมายแล้วด้วยซ้ำเพราะฉะนั้น เราไม่ควรเคลือบแคลงสงสัยในความเดียงสาของเด็กคนนี้อีกต่อไป...ขอร้องเถอะนะพ่อคุณ”
ชาติสยามยังคงไม่เอ่ยปากรับคำ
“หรือเมื่อไขลิ้นชักออกมา แล้วมีอะไรที่มันตะขิดตะขวงใจจนขมไม่ควรรับรู้ เราค่อยมาหาหนทางแก้ไขตอนนั้นกันอีกทีก็ยังได้นี่นา”

ชาติสยามครุ่นคิดหนักขึ้นเรื่อยๆ

รังสรรค์เดินลงบันไดเข้ามาที่กลางโถงบ้าน ขณะที่โขมพัสตร์ยืนอยู่ในห้องนี้ รังสรรค์หายใจแรง หงุดหงิดขึ้นมาทันที

“ทำไมมาเพ่นพ่านอยู่ตรงนี้”
“ดิฉันมารอคุณพจนีย์”
บุหงาในชุดพร้อมออกนอกบ้านเข้ามา
“รอทำไม ?”
“เราจะไปติวหนังสือด้วยกัน คุณพจน์ให้ดิฉันมารอที่นี่”
“แล้วไม่กลัวว่าคุณรังสรรค์จะดุเอาเหรอ”
“มันจะกลัวอะไร้ มันเป็นลูกเทวดา อยากจะเดินไปไหน นั่งๆนอนๆที่ไหนก็ทำได้ไม่มีใครกล้าแตะต้อง...ตกสวรรค์เมื่อไหร่จะกระทืบซ้ำให้หนักเลย”
บุหงาเดินเข้าไปพูดใกล้โขมพัสตร์
“เป็นฉัน ฉันไม่อยู่หรอก”
บุหงาขยับตัวจะเดินออกรังสรรค์รีบเรียกไว้
“บุหงา...เธอจะไปไหน”
“ไปธุระข้างนอกค่ะ คุณพี่อยากได้อะไรก็ใช้ลูกเทวดาคนนี้แล้วกัน น้องไม่ว่างค่ะ”
บุหงาเดินออกไปทันที
รังสรรค์กวาดสายตามองหาเด็กรับใช้ในบ้าน แล้วตะโกนลั่น
“มีใครอยู่แถวนี้มั้ย ฉันต้องการกาแฟ...หายหัวไปไหนกันหมดโว้ย”
โขมพัสตร์ลุกขึ้นจะเดินออกไป
“ถ้าคิดจะไปชงกาแฟให้ฉันละก้อ ไม่ต้อง ฉันไม่ต้องการ”
โขมพสตร์หันมายิ้มเยาะใส่รังสรรค์
“ฉันก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรให้คุณแม้แต่นิด ต่อให้คุณล้มลงตายตรงหน้า ฉันก็ไม่
สนใจ”
“แก”
“ฝากบอกลูกสาวคุณด้วยว่า ฉันมาแล้ว และไปแล้ว ฉันจะไปรอเธอที่ตึกขาวเลยก็แล้วกัน ที่นั่นอากาศดี ไม่มีมลพิษเหมือนแถวนี้”

ขณะที่โขมพัสตร์เดินถือหนังสือตรงไปทางบ้านตึกขาว จู่ๆ ชาติสยาม โผล่เข้ามาขวาง
“หาพี่รัฐเหรอ ?”
โขมพัสตร์ตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่เย็นชาเหมือนเคย
“ค่ะ”
“ทำไมเขาไม่เดินมารับขมที่นี่ล่ะ”
“ขมบอกพี่รัฐว่าจะเดินไปเอง”
“เป็นผู้หญิงเดินมุดรั้วไปหาผู้ชายทุกวันๆอย่างนี้ไม่ค่อยดีนะ”
“ขมไม่ได้ไปคนเดียว คุณพจนีย์ก็ไปด้วย”
“เหรอ”
“คุณพจนีย์ ดีกับขมแล้ว ไม่จงใจกลั่นแกล้งขมเหมือนเมื่อก่อน”
“แปลว่าชีวิตที่บ้านพุทธชาดของขม ก็ต้องดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน”
“งั้นมั้งคะ”
“อาจะได้หมดห่วง”
“ขมไม่มีอะไรให้อาต้องห่วงค่ะ อาควรจะห่วงเรื่องระหว่างอากับอารุ้งมากกว่า”
“เรื่องของอาก็ไม่มีอะไรต้องห่วงเหมือนกัน...บางทีการตัดสินใจของอารุ้งอาจจะถูกก็ได้ การแยกทางกันชั่วคราว ทำให้เรามีเวลาจัดการอะไรต่อมิอะไรรอบๆตัวได้ง่ายขึ้น”
“ถ้าขมไม่เป็นภาระของอาอีกต่อไป อารุ้งจะกลับมาคืนดีกับอามั้ย?”
“ขมไม่ได้เป็นภาระนะ ขมเป็นหลาน...ไม่ว่าจะยังไง หลานก็คือหลาน ไม่มีใครตัดขาดความเป็นอาเป็นหลานของเราได้หรอก”
“นอกจากพ่อพิทย์”
ชาติสยามนิ่งไป
“ที่อาต้องมาดูแลขมก็เพราะอารับปากพ่อพิทย์ไว้ แต่พ่อพิทย์ไม่เคยรู้ว่า ขมเป็นตัวปัญหาของอา”
ชาติสยามยังคงนั่งฟังนิ่ง
“พ่อพิทย์กลับมาเมื่อไหร่ ขมจะเล่าให้พ่อฟังทุกอย่างเอง อาจะได้ไม่ต้องเป็นคนผิดคำสัญญา”
ชาติสยามตัดสินใจเอ่ยปาก
“ขม...ถ้าพ่อพิทย์มีเรื่องอะไรบางอย่าง ที่ขมรับไม่ได้...”
“อะไรคะ ?...มีความจริงอะไรที่ขมยังไม่รู้อีกเหรอคะ ?”
ชาติสยาม มิอาจเอ่ยปากอะไรได้อีก
“ความจริงที่อารุ้งบอกใช่มั้ยคะ”
“อาก็พูดเผื่อไปอย่างนั้นเองแหละ”
“ขมรับได้ทุกเรื่อง ที่เป็นเรื่องจริง...ทุกคนควรมีสิทธิ์ได้รับรู้เรื่องราวความจริงของตัวเอง มากกว่าให้ใครมาแต่งเรื่องหลอกลวงเรา”
พจนีย์เดินเข้ามาพอดี
“สวัสดีค่ะ คุณอาชาติสยาม”
“สวัสดีครับ”
“สนใจจะไปเป็นอาจารย์ติวข้อสอบให้พวกเรามั้ยคะ”
“อย่าเลยครับ สองพี่น้องบ้านโน้นน่าจะทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าผม และเข้ากันได้ดีกับพวกคุณมากกว่า”
“ใช่ค่ะ เราเข้ากันได้ดีมาก โดยเฉพาะ พี่รัฐกับขม”
โขมพัสตร์พูดแล้วเดินจากไปทันที

ชาติสยามยืนเหงาหงอยเพียงลำพัง

ต่อมา ชาติสยามขับรถหน้านิ่ง เครียดจากเหตุการณ์ในอดีตที่ผุดขึ้นมากวนใจเขา

“ในเวลานี้ ผมยังอยากเก็บความสดใสร่าเริงของเธอไว้ ผมอยากประคับประคองให้เธอเติบโต และเข้มแข็งเพียงพอ สำหรับการรับรู้ความจริง” ชวาลว่า

“ถ้าเรายังปิดบังขมอย่างนี้ต่อไป คุณก็ต้องเขียนจดหมายปลอมๆมาบอกขมอย่างนั้นทีอย่างนี้ที...แล้วเมื่อถึงวันที่ความจริงเปิดเผย ขมจะเป็นยังไง” รุ้งกาญจน์เคยว่าไว้

เมื่อชาติสยามหย่อนตัวลงนั่ง เขายังคงหมกมุ่นกับการ ครุ่นคิด เครียด
ขมบอก“ทุกคนควรมีสิทธิ์ได้รับรู้เรื่องราวความจริงของตัวเอง มากกว่าให้ใครมาแต่งเรื่องหลอกลวงเรา”

คุณหญิงรัตนเดชากรขอร้อง “ถ้าเธอยอมไขลิ้นชักโต๊ะทำงานพี่ชายของเธอ เรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับขมก็จะกระจ่างชัดขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องรออีกสี่ห้าปี”
“เอ่อ...”
“ข้อดีของการรอเวลาคืออะไร...ฉันมองไม่เห็นเลย...ในทางตรงกันข้าม ถ้าทุกอย่างเปิดเผยซะตอนนี้ มันก็จะดีสำหรับทุกคนโดยเฉพาะขม...เมื่อไขลิ้นชักออกมา แล้วมีอะไรที่มันตะขิดตะขวงใจจนขมไม่ควรรับรู้ เราค่อยมาหาหนทางแก้ไขตอนนั้นกันอีกทีก็ยังได้นี่นา”

ชาติสยามหมุนโทรศัพท์ที่โถงบ้าน แล้วยกมันขึ้นแนบหู
“แม่ครับ...ดึกไปมั้ยครับถ้าผมจะไปหาแม่ตอนนี้...ผมจะไปไขกุญแจโต๊ะพี่ชวาลครับ”

ชาติสยามเดินตรงเข้าไปในโถงบ้านเทพสถิตย์ เสียงชาติสยามดังเข้ามา
“ผมขอโทษนะครับพี่ชวาล ที่ต้องทำแบบนี้ ทั้งๆที่ผมได้รับปาก เป็นคำสัญญากับพี่ไว้แล้วก็ตาม”

ชาติสยามจุดธูป
“ผมรู้ว่าพี่อยากให้ขมโต และ แกร่งพอที่จะรับมือกับความเสียใจให้ได้ก่อน”

ชาติสยามนั่งถือธูปพนมมือหน้าโต๊ะทำงานตัวนั้น
“แต่พี่ไม่ต้องห่วงครับ ผมมั่นใจว่ามีคนอีกไม่น้อยที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างลูกสาวของพี่ตลอดไป หากเธอต้องการ”

ลูกกุญแจดอกนั้นวางอยู่เบื้องหน้าชาติสยาม ก่อนจะถูกเขาค่อยๆสอดใส่เข้ารูไป ชาติสยามค่อยๆดึงลิ้นชักนั้นออกมา มีกล่องใส่เอกสารและจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่บนนั้น ชาติสยามหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา หน้าซองเอกสารมีข้อความเป็นลายมือเขียนไว้ว่า
“ คุณคือผู้ที่ถูกเลือก “

ชาติสยามเดินอ่านจดหมาย ฉบับนั้น
เสียงของชวาลดังออกมาจากจดหมาย
“ใครก็ตามที่เป็นผู้เปิดจดหมายฉบับนี้ นั่นหมายความว่า คุณคือผู้ที่นายชวาลสุรบดินทร์ ให้ความเชื่อมั่น และไว้ใจอย่างที่สุด เพื่อทำหน้าที่สำคัญในการเปิดเผยความจริงบางอย่าง ที่จะทำให้ชีวิตของคนหลายคนต้องเปลี่ยนไป สิ่งที่วางคู่กับจดหมายฉบับนี้ คือกล่องสำคัญซึ่งบรรจุเอกสาร สามซอง กล่องสำคัญนั้นถูกเปิดออก เราจะเห็นเป็นซองเอกสารสามซองเป็นเอกสารเฉพาะสำหรับคนสามคน”

ชาติสยามหยิบเอกสารซองแรกขึ้นมาดู
“ซองแรก สำหรับนำไปมอบให้ผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดของตระกูลรัตนเดชากรในช่วงเวลาที่ลิ้นชักโต๊ะนี้ถูกไขเปิดออก”
หน้าซองเขียนว่า
“เอกสารลับเฉพาะสำหรับ ประมุขแห่งบ้านพุทธชาด”

ชาติสยามหยิบเอกสารซองที่สองขึ้นมาดู
“ต่อมายังซองที่สอง...คุณต้องนำซองนี้ส่งให้ถึงมือ นายรังสรรค์ รัตนเดชากร แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
หน้าซองเขียนว่า
“เอกสารลับเฉพาะสำหรับ นายรังสรรค์ รัตนเดชากร”

ชาติสยามหยิบเอกสารซองที่สามขึ้นมาดู
“และซองสุดท้าย เป็นเอกสารสำคัญถึงลูกสาวคนเดียวของผม ผู้ที่ผมรักและห่วงใยเป็นที่สุด คุณจะต้องส่งให้ถึงมือเธอด้วยมือของคุณเท่านั้น”
หน้าซองเขียนว่า
“เอกสารลับเฉพาะสำหรับ นางสาวโขมพัสตร์ รุ้งพราย”

ชาติสยามนั่งมองเอกสารทั้งสามซองด้วยสายตาครุ่นคิดและวิตกกังวล
“เมื่อเอกสารทั้งสามซองนี้ ส่งถึงมือผู้รับได้อย่างถูกต้อง คุณจึงมีหน้าที่ยืนยันว่าเราได้พบกัน ในวันที่ผมยังมีสติสัมปชัญญะดีเยี่ยม และทั้งหมดนี้เป็นความต้องการที่แท้จริงของผม...จากนั้นเป็นอันหมดหน้าที่ของคุณ...ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ผมมั่นใจว่าผมเลือกคนไม่ผิด”

บริเวณหน้าเรือนใหญ่ บ้านพุทธชาด เช้าตรู่ เสียงชวาลดังต่อเนื่อง
“และขอโทษพร้อมกับขอบคุณ ที่กรุณารับภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้”

ชาติสยามเดินตรงเข้าไปในโถงบ้าน
“หากชาติหน้ามีจริง ผมคงจะได้เกิดมาใช้หนี้กรรมครั้งนี้ให้กับคุณ ... ชวาล สุรบดินทร์ 25 กันยายน 2505”
ชาติสยามเดินตรงเข้าไปหาสาวใช้ เอ่ยปาก
“ผมมาขอพบคุณหญิงรัตนเดชากร...บอกท่านว่า เรื่องสำคัญมาก”

คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าชาติสยามที่สนามหญ้า หน้าตาคุณหญิงดูตื่นเต้นไม่น้อย
“เธอไขลิ้นชักโต๊ะแล้วเหรอ ?”
“ครับ”
“มีอะไรอยู่ในนั้น ?”
“จดหมายที่พี่ชวาลเขียนถึงผม”
“จดหมาย ?”
“เป็นคำสั่งให้ผมนำเอกสารสำคัญสามชิ้น ส่งให้ถึงมือคนสามคน และผมคิดว่าเอกสารซองแรก น่าจะเป็นของคุณหญิงครับ”
ชาติสยามส่งซองเอกสารชิ้นนั้นให้กับคุณหญิงรัตนเดชากร
คุณหญิงรับมาด้วยความ งุนงง
“ฉันต้องเปิดมันออก ใช่มั้ย”
ชาติสยามค่อยๆพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากตอบ
“ผมคิดว่ามันคือขั้นตอนของการเข้าถึงความจริง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครได้รู้อะไรทั้งสิ้น”
คุณหญิงจึงตัดสินใจแกะซองเอกสารออก
เสียงชวาลค่อยๆดังขึ้น
“ก่อนที่ท่านจะอ่านข้อความในประโยคต่อไป ขอให้ท่านยืนยันกับผู้ส่งจดหมายฉบับนี้ก่อน ว่าท่านคือประมุขของบ้านพุทธชาดอย่างแท้จริง มีศักดิ์และสิทธิ์พอที่จะกำหนดเงื่อนไขในบ้านพุทธชาดได้ด้วยตัวท่านเอง ใช่หรือไม่”
คุณหญิงรัตนเดชากรเงยหน้ามองชาติสยาม
“เขาให้ฉันยืนยันกับเธอว่า ฉันเป็นใหญ่ในบ้านนี้จริง”
“ครับผม ถือว่าท่านยืนยันแล้วครับ”
คุณหญิงก้มหน้าอ่านจดหมายฉบับนั้นต่อ
“จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นด้วยมือของผม นายชวาล สุรบดินทร์ ผมมีความจริงที่จะกราบเรียนให้ท่านได้รับทราบ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่กลับถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสี จนต้องระหกระเหินหนีออกจากบ้าน พร้อมกับข้อกล่าวหาที่ทำให้ชื่อเสียงของเธอต้องมัวหมองด้วยมลทิน...พอจะนึกออกมั้ยครับว่าผมหมายถึงใคร...เธอคือ แขนภา นิติการ ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้น”

คุณหญิงตาลุกวาว พูดอะไรไม่ออก

อ่านต่อตอนที่ 17


กำลังโหลดความคิดเห็น