ดงผู้ดี ตอนที่ 15 : กรรมตามทัน! รังสรรค์เริ่มปวดท้องเข้า รพ.
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
บริเวณร้านกาแฟริมถนน กลางตลาด บุหงานั่งกระสับกระส่าย โดยมีหมึกนั่งสบายๆอยู่ข้างๆ
“นี่มันนานเกินไปแล้วนะไอ้หมึก...ฉันจะต้องนั่งรอ พ่อโชเฟอร์มหาจำเริญคนนี้จนถึงเช้ามั้ย”
“ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันครับ”
“อ้าว !”
“เขาอาจจะติดวิ่งส่งลูกค้าอยู่ก็ได้ คุณบุหงาใจเย็นๆดีกว่าครับ”
“ถ้าฉันใจร้อน ฉันไม่นั่งรอจนมืดอย่างนี้หรอก อีกห้านาทีถ้าไม่มา ฉันกลับละ”
“คุณบุหงาไม่ต้องรอถึงห้านาทีหรอกครับ...เขามาโน่นแล้ว”
ชายร่างใหญ่ ล่ำสัน วัยกลางคนเดินเข้มา หมึกยกมือเรียกให้มันเดินมาที่โต๊ะนี้
“หวัดดี พี่สิน นี่คุณบุหงา”
โชเฟอร์บอก“เมียน้อยเฮียแฟรงกี้เหรอ”
“เฮ้ย พูดจาระวังปากหน่อย”
“ไม่ใช่ก็บอกมา ไม่เห็นต้องอารมณ์เสีย”
“ฉันเป็นเพื่อนแฟรงกี้...ฉันอยากรู้ว่า นายเคยขับรถไปส่งเขาที่บ้านบ้างมั้ย”
“จะรู้ไปทำไม”
“ฉันอยากไปบ้านนั้น”
“มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า”
“แกไม่ต้องรู้หรอก แค่บอกมาว่าเคยไปบ้านมันมั้ย”
“เคย” โชเฟอร์ตอบเสียงห้วน
“พาฉันไปเดี๋ยวนี้เลย”
โชเฟอร์แบมือยื่นไปข้างหน้า
“เอาเงินมาก่อน”
“หน้าเลือดฉิบหาย”
“รถต้องใช้น้ำมัน...หรือจะเดินไป”
บุหงาหยิบเงินในกระเป๋าส่งให้โชเฟอร์
หมึกเอาบ้าง
“แล้วผมล่ะครับ...ผมเดินกลับโรงแรมไม่ไหวนะครับ”
บุหงาส่งเงินอีกจำนวนหนึ่งให้ไอ้หมึก
“พวกแกนี่มัน สิบแปดมงกุฏชัดๆ หวังว่าฉันจะไม่ต้องเจอแกอีกนะ ไอ้ตูดหมึก”
รถแท๊กซี่คันนั้น แล่นเข้ามาจอดกลางซอยเปลี่ยวจนเห็นบ้านเช่าหลังหนึ่ง บุหงาชะเง้อมองไปยังตัวบ้านที่มืดมิดโชเฟอร์เอ่ยปาก
“เขาให้ผมมาส่งแค่ตรงนี้แหละ แล้วเขาก็จะเดินเข้าไปเอง”
“มีใครอยู่กับเขารึเปล่า”
“ผมไม่เคยเห็นใคร มาส่งทีไรก็มีเขาคนเดียวทุกครั้ง”
“บ้านล็อคกุญแจมั้ย”
“ผมจะรู้ได้ไงล่ะครับ”
“แกก็ลงไปดูให้ฉันหน่อยสิ ฉันจ่ายค่ารถให้แกไปตั้งเยอะ”
โชเฟอร์จำใจเปิดประตูรถ เดินตรงไปยังบ้านหลังนั้น
ไม่นานนัก มันเดินตะโกนกลับมาที่รถ
“กุญแจตัวเบ้อเร่อ ล็อกแน่นเลย”
“งัดได้มั้ย?”
“ผมเป็นโชเฟอร์นะครับ ไม่ใช่โจร”
บุหงาส่งเงินก้อนใหญ่ให้
“พอจะเปลี่ยนอาชีพได้รึยัง”
โชเฟอร์มองเงิน น้ำลายไหล
ในที่สุด ประตูบ้านถูกพังล้มลง บุหงายืนตระหง่านอยู่กับโชเฟอร์ในมือมีไฟฉายและอุปกรณ์ที่เพิ่งใช้งัดกุญแจประตูบานนี้
“ถ้ามีใครแจ้งตำรวจตอนนี้ มีหวังเราได้เข้าไปนอนในคุกแน่”
“กลัวเหรอ”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมเป็นโชเฟอร์”
“งั้นก็ไปรอในรถ”
โชเฟอร์ขยับตัวจะเดินออก
“เอาไฟฉายกับกุญแจรถมานี่”
โชเฟอร์ส่งไฟฉายและกุญแจรถให้แต่โดยดี
บุหงากวาดไฟฉายไปรอบๆ แล้วเดินเข้าไปในตัวบ้านหลังนี้
บุหงาเดินส่องไฟฉายสาดไปรอบๆบ้าน สภาพโดยรอบเป็นห้องโล่งๆไม่มีเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งอะไรมากมายนักนอกจากกองหนังสือ อุปกรณ์เครื่องเขียน กล้องถ่ายรูป และเสื้อผ้าบางชุด
บุหงากวาดไฟฉายไปกระทบกับร่างของหญิงคนหนึ่ง ... คุณป้าหน้าตาดุ ยืนถือมีดอีโต้เล็งมาที่บุหงา
บุหงาถึงกับสะดุ้ง
“แกเป็นใคร” ป้าถาม
“แล้วแกล่ะเป็นใคร”
“ฉันเป็นเจ้าของบ้านที่แกกำลังบุกรุกอยู่นี่แหละ”
“นี่ไม่ใช่บ้านแฟรงกี้เหรอ”
“เขาเช่าบ้านฉัน ทีนี้บอกได้รึยังว่าแกเป็นใคร”
“ฉันเป็นเพื่อนแฟรงกี้”
“ท่าทางไม่เหมือนเพื่อน เหมือนจะมาขโมยของมากกว่า”
“ไม่ได้ขโมย ฉันมาหาของของฉันที่อยู่กับแฟรงกี้”
“แล้วทำไมต้องแอบมาตอนดึกๆ ทำไมไม่บอกให้เพื่อนแกหาให้ล่ะ”
“มันตายแล้ว”
“อ้าว”
“ฉันถึงต้องรีบมาหาของของฉันก่อนที่มันจะหายไป”
ป้าเจ้าของห้องเอื้อมมือกดสวิตช์เปิดไฟ ห้องนี้จึงสว่างไสวขึ้น
“เอ้า สว่างๆจะได้หาง่ายๆ...บอกได้มั้ย ของที่ว่าคืออะไร ของมีค่ารึเปล่า”
“สมุดบันทึก”
“สมุดบันทึก ? บันทึกอะไร”
“เอ้อ...มันเป็นบันทึกบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัทฉัน”
“โอ๊ย ของสำคัญอย่างนี้ เขาไม่วางทิ้งไว้กลางบ้านหรอก”
“แล้วจะวางที่ไหนล่ะ”
“ตู้เซฟน่ะสิ”
ป้าเจ้าของบ้านเดินนำบุหงามาที่ซอกมุม ข้างบันได
“ฉันเคยเห็นเขาเอาอะไรต่ออะไรใส่ไว้ในเซฟเต็มไปหมด แต่จะมีสมุดบัญชีรึเปล่า ฉันไม่รู้นะ...โน่นไง”
ป้าชี้ไปที่ตู้เซฟขนาดใหญ่ที่วางซุกตัวอยู่ในมุมนั้น บุหงาเบิกโพลงเป็นประกาย
“เออ ใช่แล้ว เขาเคยบอกฉันเหมือนกัน ว่าเขาเก็บมันไว้ในเซฟ”
บุหงาออกแรงยกตู้เซฟใบนี้
“เฮ่ย...จะเอาไปไหน แกจะเอาของในบ้านนี้ไปไม่ได้นะ”
“ก็ของของฉันอยู่ในนี้”
“แกก็ต้องเปิดเซฟให้ฉันดูที่นี่ ไม่งั้นฉันจะถือว่าแกเป็นขโมย”
บุหงาถอนใจ เหนื่อยหน่ายออกมา
“ฉันว่าแกน่าจะเป็นพวกต้มตุ๋นมากกว่า”
“เปล่านะ”
“ถ้าแกเป็นเพื่อนแฟรงกี้จริง แกก็ต้องมีรหัสเปิดเซฟนี้”
“ฉันลืมไว้ที่บ้าน”
“งั้นก็กลับบ้านไปเอารหัสมา และต้องเปิดต่อหน้าฉันเท่านั้น เพราะฉันต้องปกป้องทรัพย์สินของผู้เช่า เท่าๆกับทรัพย์สินของฉันเอง”
“ได้ พรุ่งนี้ฉันจะมาพร้อมรหัส”
“มาเมื่อไหร่ ก็แวะบอกฉันข้างบ้านนี้ ฉันจะมาเปิดประตูให้ ไม่ต้องงัดเข้ามาแบบนี้อีก”
“ขอบใจ”
ป้าเจ้าของบ้าน แบมือยื่นออกไปเบื้องหน้า
“อะไร”
“ค่าเสียหายที่แกพังประตูรั้วเข้ามา”
บุหงาถอนใจอีกครั้ง อย่างเซ็งๆ
รถชาติสยามจอดอยู่หน้าร้านอาหารหรู ทั้งคู่นั่งนิ่งๆในรถคันนี้
สักพัก รุ้งกาญจน์จึงเอ่ยปาก
“ตกลงคุณจะไปส่งฉันมั้ย...หรือถ้าอยากนั่งเฉยๆ ฉันจะได้เรียกแท็กซี่กลับ”
“ไม่ ผมไม่ยอมให้คุณนั่งแท๊กซี่กลับไปคนเดียว และผมก็ไม่ยอมให้คุณเลิกกับผมด้วย”
“ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้น เมื่อวานคุณบอกว่าเราควรจะห่างกันซักพัก แค่วันถัดมาคุณกลับบอกว่าขอเลิกกัน ทำไมคุณพัฒนาความห่างเหินได้เร็วขนาดนี้”
“ฉันแค่ทำให้มันชัดเจนขึ้น เราจะได้เห็นภาพเดียวกัน เหมือนๆกัน”
“ภาพความแตกแยกของเราน่ะเหรอ”
“ภาพความอิสระค่ะ มันคืออิสรภาพในการใช้ชีวิตของคุณกับฉัน...คุณจะมีอิสระในการดูแลหลานสาวคุณได้ตามแนวทางที่คุณต้องการ ฉันก็จะมีอิสระในการใช้ชีวิตตามแนวทางของฉัน”
“ทำไมอยู่ๆ แนวทางของเรามันถึงได้ต่างกันไปคนละทางแบบนี้”
“คุณต้องถามตัวคุณเองด้วย ไม่ใช่มาถามฉันคนเดียว”
“หรือว่าคุณมีใครใหม่”
“ฉันไม่คิดอะไรสั้นๆอย่างนั้นหรอก ฉันจะไปเที่ยวต่างประเทศซักพักนึง”
“ก็ไปสิ ไม่เห็นต้องเลิกกันเลย”
“ฉันให้โอกาสคุณมองหาอะไรใหม่ๆในขณะที่ฉันไม่อยู่ ยังไม่ดีอีกเหรอ”
“ไม่...ผมจะรอคุณกลับมา แล้วคุณจะเห็นว่า เรื่องของขมจะคลี่คลายและไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป”
“แล้วถ้าฉันไม่กลับมาล่ะ”
“ผมจะตามหาคุณเอง ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลแค่ไหน ผมก็จะตามจนกว่าจะเจอ”
รถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าบ้านพุทธชาด บุหงาก้าวลงจากรถสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้าไปหาเธอ
“คุณบุหงาคะ”
“มีอะไร”
“คุณรังสรรค์ให้ดิฉันมารอคุณบุหงาค่ะ”
“รอทำไม”
“รอบอกคุณบุหงาว่า คืนนี้คุณรังสรรค์จะนอนห้องคุณรติรสค่ะ”
“อือม”
บุหงาพยักหน้ารับรู้ แล้วขยับตัวเดินเข้าบ้าน เพียงไม่กี่ก้าว บุหงาก็หันมาหาสาวใช้อีกครั้ง
“แกรู้จักช่างกุญแจเก่งๆซักคนมั้ย”
“คุณบุหงาจะให้ทำอะไรเหรอคะ”
“ให้ไขกุญแจน่ะสิ จะให้ทำอะไรล่ะ”
“ไม่ต้องใช้ช่างหรอกค่ะ แค่ค้อนกับสิ่วเท่านั้น กุญแจอะไรๆก็ไขได้หมด รับรอง”
รติรสนอนหลับบนเตียง โดยมีรังสรรค์นอนอยู่บนโซฟาในห้องนี้เธอค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น และมองไปยังรังสรรค์
“พ่อ”
รังสรรค์ขยับตัวลุกขึ้นโดยเร็ว
“หือม...จะเอาอะไรเหรอลูก”
“เปล่าค่ะ...รสกลัวว่าพ่อจะนอนไม่สบาย”
“สบาย...สบายมาก”
“พ่อไม่ต้องเฝ้ารสก็ได้นะคะ รสไม่เป็นอะไรแล้ว”
“พ่ออยากดูแลลูกบ้าง...พ่อรู้สึกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อทำอะไรให้ลูกน้อยเกินไป”
“พ่อมีอะไรต้องทำ เยอะแยะนี่คะ”
“เยอะแค่ไหน พ่อก็ไม่ควรทอดทิ้งลูก”
รติรสยิ้ม ชื่นใจขึ้นมาทันที
“ตอนแม่ป่วย พ่อได้เฝ้าแม่มั้ย”
รังสรรค์มองหน้ารติรสนิ่ง ก่อนเอ่ยปากตอบ
“เฝ้าสิ แต่คงไม่มากพอ...ถ้าพ่ออยู่กับแม่วันนั้น แม่คงไม่ปุบปับทิ้งเราไปอย่างนี้หรอก อย่างน้อยพ่อก็น่าจะหยิบยาให้แม่ได้ทัน แต่พ่อกลับทิ้งให้เขาอยู่คนเดียว...”
“โรคที่แม่เป็น เป็นกรรมพันธุ์รึเปล่าคะ”
รังสรรค์มองหน้ารติรสอีกครั้งเขายิ้มให้กับลูกสาวก่อนตอบ
“ไม่หรอก รสจะไม่มีวันเป็นเหมือนที่แม่บุปผาเป็นหรอก พ่อรับรอง”
“รสดีใจที่เกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่นะคะ”
“พ่อก็ดีใจ”
“รสหายป่วยแล้ว พ่อพารสไปหาแม่ได้มั้ยคะ”
“ได้สิลูก”
รังสรรค์โอบกอดลูกสาวด้วยความรัก
เช้าวันต่อมา ชาติสยามเดินเข้ามากลางห้องโถงเรือนใหญ่ สาวใช้เอ่ยปากถาม
“คุณชาติสยามมาพบคุณหญิง หรือคุณไพลินคะ”
“ผมมาหาขม”
“เดี๋ยวดิฉันตามให้นะคะ”
“ไม่ต้องก็ได้ เขามานั่นแล้ว”
โขมพัสตร์เดินลงบันไดบ้านมาเธอมองมาที่ชาติสยาม แล้วหลบตา
ชาติสยามตรงเข้าไปหาผู้เป็นหลาน
“ขม อามีเรื่องจะคุยด้วย”
“ขม ไม่ว่างค่ะ”
“อาคุยไม่นานหรอก”
“ขมต้องรีบไปค่ะ ขมมีนัดกับพี่รัฐ”
“เลื่อนนัดไปหน่อยไม่ได้เหรอ”
โขมพัสตร์เดินเลี่ยงออกจากห้องโถงบ้านชาติสยามรีบเดินตามไป
“ขม...”
โขมพัสตร์เดินออกจากบ้านชาติสยามก้าวยาวๆตามมา
“ขม...ทำไมต้องหนีอาด้วย...ขม...ขม”
บุหงาก้าวมาขวางหน้าชาติสยามไว้
“วิ่งไล่ตามเด็กผู้หญิงอย่างนี้ ดูไม่มีสง่าราศีเลยนะคะ”
“แล้ววิ่งไล่ตามผู้ชายแบบที่คุณทำน่ะ ดูมีราศีมากเลยสินะ”
“มันเป็นความสุขของฉัน มีอะไรมั้ย”
“คุณก็ไม่ควรมาวิจารณ์ความสุขของผม”
“เหรอคะ”
“ผมไม่คิดว่าคุณจะยังกล้ามองหน้าผมเต็มตาได้ด้วยซ้ำ”
“ก็คุณยังกล้ามองหน้าฉันเลย”
“ผมมองด้วยความรังเกียจ”
“แล้วรู้มั้ยว่าฉันมองคุณด้วยความรู้สึกอะไร”
ชาติสยามถอนหายใจแรง แสดงความรังเกียจ อย่างไม่ปิดบัง
“ผมไม่เข้าใจเลยว่าคุณรังสรรค์ชุบเลี้ยงผู้หญิงอย่างคุณให้เป็นเมียออกหน้าออกตาอย่างนี้ได้ยังไง ไร้ยางอายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ”
“แล้วรู้มั้ย ว่าผู้หญิงไร้ยางอายแบบฉัน เหมาะกับผู้ชายแบบไหน”
“อะไรที่เกี่ยวกับคุณ ไม่อยู่ในความสนใจของผมเลยแม้แต่น้อย”
“ทำปากดีไปเถอะ...ซักวันคุณจะไม่เหลือใคร แล้ววันนั้นคุณจะต้องคลานเข่าเข้ามาหาฉัน”
“ฝันไปอีกร้อยชาติ ก็ไม่มีวันเป็นจริง”
ชาติสยามเดินออกไปทันทีที่พูดจบ
บุหงามองตามด้วยความแค้น
รัฐขับรถไปเรื่อยๆด้วยความเร็วปานกลางเขาเหลือบมองดูโขมพัสตร์ที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ
“ขมยังไม่บอกพี่เลยว่า ขมอยากไปไหน”
“ไปไหนก็ได้ค่ะ”
“ขมแค่ต้องการหนีหน้าอาสยามใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“ขมทำแบบนี้ทุกวันไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวโรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้ว ขมก็ต้องไปเรียนหนังสือ พี่ก็ต้องไปมหาลัย”
“วันไหนพี่รัฐไม่ว่าง ขมก็จะหาวิธีเอง”
“พี่ว่า แบบนี้มันไม่ใช่วิธีที่ถูกนะขม”
“แล้วแบบไหนถึงจะถูกล่ะคะ ขมต้องทำยังไงถึงจะไม่เป็นภาระของอาสยามอีกทำยังไงอาสยามจะได้คืนดีกับอารุ้ง...ขมไม่เห็นทางอื่นอีกแล้วค่ะ นอกจากต้องตัดขาดจากอาสยามให้เร็วที่สุด”
รัฐนิ่งไป เขาเลือกที่จะไม่ค้านความคิดเห็นของโขมพัสตร์
“ถ้าขมไม่มีอาสยามแล้ว ขมจะมีใครเป็นที่พึ่งล่ะ”
“ขมก็พึ่งตัวเองไงคะ”
“ขมจำได้มั้ย พี่เคยบอกขมว่า พี่ยินดีทำทุกอย่างเพื่อขม...พี่ทำได้มากกว่าขับรถเล่นอย่างนี้นะ ถ้าขมจะอนุญาต”
“พี่รัฐทำแค่นี้ ขมก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ”
รัฐเหลือบมองโขมพัสตร์อีกครั้ง เขาอยากพูดอะไรอีกมากมาย แต่ยังไม่กล้าเอ่ยปากออกมาในเวลานี้
เช้าวันเดิม รุ้งกาญจน์ยืนแต่งตัวอยู่ ซ่อนกลิ่นเดินเข้ามาหาผู้เป็นหลาน
"เขาโทรมาอีกแล้วนะ"
"แล้วป้าบอกเขาว่ายังไง"
"ป้าบอกให้ฝากข้อความไว้"
"เขาฝากมั้ยคะ"
"เขาฝากบอกว่า หลานสาวกำลังหนีหน้าเขาอยู่"
รุ้งกาญจน์หยุดกิจกรรมการแต่งตัว หันมาหาผู้เป็นป้า
"แปลว่าอะไร ?"
"ก็แปลว่าอากับหลานกำลังงอนกันอยู่น่ะสิ นังเด็กคนนี้มันร้ายจะตาย พอรู้ว่าผู้ชายจะไม่เล่นด้วย ก็ทำมารยาน่าสงสาร หวังจะให้ผู้ชายตามง้อ"
รุ้งกาญจน์หันไปแต่งตัวต่อ
"ป้าว่าถ้าหนูยังคิดจะใยดีกับผู้ชายคนนี้ หนูต้องเคลียร์เรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง เพราะน้ำหน้าอย่างตาชาติสยามมีหวังโดนเด็กนั่นกล่อมอยู่หมัด...แต่ถ้าคิดจะเลิกกับเขาจริงๆก็ ตัดหางปล่อยวัดไปซะตอนนี้เลยแล้วกัน"
วันเดียวกัน บุหงาออกแรงตีค้อนและสิ่วพุ่งเข้ากระแทกตู้เซฟใบนั้นอย่างแรง ป้าเจ้าของบ้านเดินเข้ามา หน้าตาเอาเรื่อง
"ทำอะไรน่ะ"
"เปิดเซฟ"
"คุณนี่มันส่อพิรุธมากไปแล้วนะ เมื่อวานบอกว่าจะกลับไปเอารหัส...เนี่ยเหรอรหัส ค้อนกับสิ่วเนี่ยนะ"
"ฉันหารหัสไม่เจอ"
ป้าเจ้าของบ้าน แทรกตัวเข้าไปขวาง และแย่งค้อนและสิ่วมาจากมือบุหงา
"งั้นฉันก็ไม่อนุญาตให้ทำแบบนี้ ถ้าไม่เชื่อ ฉันจะเรียกตำรวจ"
"ของในนี้มันเป็นของสำคัญของฉันนะ"
"เซฟนี้ก็เป็นของสำคัญของฉันเหมือนกัน ฉันจะปล่อยให้ใครมาทำลายทรัพย์สินของผู้เช่าได้ยังไง...มันผิดจรรยาบรรณ"
"ก็ผู้เช่ามันตายไปแล้ว"
"แต่สัญญาเช่ายังครอบคลุมอยู่ ยังไม่ถึงวันหมดสัญญา"
"แล้วถ้าหมดสัญญาล่ะ"
"ถ้าคุณแฟรงกี้ไม่กลับมา ของเหล่านี้ก็เป็นของฉัน ฉันก็จะเคลียร์ออกเพื่อปล่อยบ้านให้ผู้เช่ารายใหม่"
"สัญญาหมดเมื่อไหร่"
"พรุ่งนี้"
บุหงานิ่งคิดนิดนึง ก่อนเอ่ยปาก
"ฉันขอเช่าต่อได้มั้ย แต่มีข้อแม้ว่า เซฟนี้และของทุกอย่างในบ้านนี้ต้องเป็นสมบัติของฉัน"
ป้าเจ้าของบ้าน ยิ้มยั่วอย่างน่าหมั่นไส้
"แสดงว่ามันสำคัญกับคุณมากจริงๆ"
"ว่าไง"
"จะเช่านานแค่ไหน"
"สองเดือน"
"น้อยไป"
"ต้องเท่าไหร่ ?"
"สองปี จ่ายล่วงหน้าหกเดือน"
"หน้าเลือดไปหน่อยมั้ง"
"ฉันไม่ได้ง้อให้เช่านี่...หลังจากพรุ่งนี้ เซฟนี่ก็เป็นของฉัน ฉันอาจจะหาวิธีเปิดมัน
ได้ก็ได้ ใครจะรู้"
"ตกลงฉันจะเช่าต่อ และแกห้ามแตะต้องเซฟนี้เป็นอันขาด"
"เงินล่ะ"
"พรุ่งนี้สิวะ...ใครจะพกเงินติดตัวมามากมายขนาดนั้น"
"งั้น พรุ่งนี้ขอมัดจำล่วงหน้าสิบเดือนเลยแล้วกัน...ห้ามปฏิเสธ"
รติรสนั่งอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน รัมภ์ค่อยๆเดินเข้ามาหา
"หายดีแล้วใช่มั้ย ถึงได้มานั่งเล่นตรงนี้ได้"
"รสรอพ่อ เราจะไปวัดด้วยกัน พ่อจะพาไปไหว้แม่"
"อือม..."
"รสยังไม่ได้ขอบคุณพี่รัมภ์เลย ถ้าวันนั้นพี่รัมภ์ไม่มาเจอรส รสคงจะหนาวตายอยู่ตรงนั้น หรืออาจจะเป็นปอดบวม หนักกว่านี้แน่ๆ"
"แสดงว่าดวงเราสมพงษ์กัน"
"สมพงษ์แบบนี้ พี่รัมภ์มีแต่จะเดือดร้อน"
"บางทีพี่ก็ชอบเรื่องเดือดร้อนแบบนี้นะ มันตื่นเต้นดี"
"รสคุ้นๆว่า กลางสายฝนวันนั้น พี่รัมภ์พูดอะไรกับรสเยอะแยะเลย แต่จำไม่ได้ จริงๆว่ามันคือเรื่องอะไรบ้าง"
"อยากให้พี่พูดซ้ำเหรอ"
"มันสำคัญมั้ยล่ะคะ"
รัมภ์มองหน้ารติรสเต็มๆตา ก่อนตัดสินใจเอ่ยปาก
"อือม...ให้พี่นึกก่อนนะว่าพูดอะไรไป สงสัยพี่จะลืมไปแล้วเหมือนกัน..."
"งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ...พี่รัฐล่ะคะ"
"ออกไปกับขมตั้งแต่เช้า"
"พี่รัมภ์ก็เลยมาหารส"
"อือม..."
"รสเป็นตัวสำรองเสมอ"
"ก็เหมือนพี่นั่นแหละ...ไม่เคยได้เป็นตัวจริงกับเขาซักที"
เวลาต่อมา รถรัฐแล่นมาจอดหน้าบ้าน ภายในรถ รัฐและโขมพัสตร์ยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งเดิม
"คราวหน้า ถ้าขมไม่สบายใจ หรืออยากหลบหน้าใคร เราไม่ต้องนั่งรถไปไหนก็ได้ แค่มาอยู่ที่บ้านพี่ ก็ปลอดภัยแล้วหละ"
"ค่ะ ขมขอนั่งเล่นที่นี่จนถึงค่ำได้มั้ยคะ"
"ได้สิ ขมจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้...อยู่ตลอดไปยังได้เลย"
รัฐยิ้มแล้วก้าวลงจากรถ โขมพัสตร์ก้าวตามลงไป
สาวใช้ของบ้านตึกขาวเดินเข้ามาหาโขมพัสตร์
"คุณขมคะ มีแขกมาหาค่ะ"
"พูดใหม่อีกทีซิ มาหาฉันหรือขมกันแน่"
"มาหาคุณขมค่ะ"
"เขาเป็นใคร ?"
"เขาบอกว่าเขา ชื่อ รุ้งกาญจน์ค่ะ"
รุ้งกาญจน์ก้าวเข้ามาเบื้องหน้ารัฐและโขมพัสตร์
"ขอฉันคุยกับขมเป็นการส่วนตัวได้มั้ย"
รัฐบอก "ก็คงต้องได้มั้งครับ"
รัฐหันไปพูดกับโขมพัสตร์
"ต้องการให้พี่ช่วยอะไรก็เรียกพี่ได้นะ พี่จะนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นข้างๆนี้หละ"
รัฐค่อยๆเดินออกไป
"อารุ้งมีธุระอะไรกับขมเหรอคะ"
"เธอคิดว่าทำถูกแล้วเหรอ"
"ทำอะไรคะ"
"ก็หลบหน้าอาของเธอแบบนี้น่ะ"
"ขม อยากให้อาสยามมีเวลาอยู่กับอารุ้งมากขึ้น"
"เธอแน่ใจเหรอว่า นั่นคือการแก้ปัญหา ?"
"ขม ไม่ทราบ"
"ไม่ทราบแล้วทำทำไม ทำแล้วได้อะไร ?...เธอยังไม่รู้ต้นตอของปัญหา แต่ดันเลือกวิธีแก้ปัญหาแบบนี้ รู้มั้ยว่ามันยิ่งทำให้อะไรๆมันยุ่งยากขึ้นไปอีก"
"ขมต้องทำยังไงล่ะคะ อารุ้งถึงจะคืนดีกับอาสยามได้"
"ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ แล้วก็ยอมรับความจริงเท่านั้นเอง"
"ขมยอมรับความจริงทุกเรื่องอยู่แล้วนี่คะ"
รุ้งกาญจน์ได้แต่ส่ายหน้า ถอนใจ
"ขมรู้ว่าขมทำให้อาสยามมีเวลาให้อารุ้งน้อยลง ต่อไปนี้ ขมก็จะไม่ทำแบบเดิมอีกแล้ว ขมจะหาทางไปตามหาพ่อให้ได้ ขมจะไปเรียนต่อในเมืองที่พ่อพิทย์อยู่ จะได้ห่างไกลจากอา อาสยามกับอารุ้งจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเพราะขมอีก"
รุ้งกาญจน์ถอนหายใจอีกครั้ง
"คิดอะไรแบบเด็กๆ"
"แล้วผู้ใหญ่เขาคิดยังไงเหรอคะ"
"ฟังอาให้ดีนะ...ยังมีความจริงอีกมากมายที่ขมยังไม่รู้"
"อารุ้งบอกขมสิคะ บอกให้ขมรู้"
"ไม่ใช่หน้าที่ของอา"
"แล้วขมจะรู้ได้ยังไง"
"ขมจะต้องหยุดหนีหน้าอาชาติสยาม แล้วรอให้เขาพูดความจริงกับขม เท่านั้นแหละ ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป และขมก็จะได้โตเป็นผู้ใหญ่ซะที"
โขมพัสตร์มองหน้ารุ้งกาญจน์ ความสับสนปรากฏขึ้นในแววตาของเธอ
รังสรรค์และรติรสนั่งพนมมืออยู่เบื้องหน้าบริเวณที่เก็บกระดูกของบุปผา เสียงในใจของรติรสดังออกมา...
"แม่จ๋า...รสคิดถึงแม่นะ รสสวดมนต์ถึงแม่เสมอ อยากให้แม่มาอยู่ข้างๆรส โดยเฉพาะเวลาที่รสมีปัญหา ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร...ถึงแม้รสจะรู้ว่า แม่ไม่ได้เอ็นดูรสเท่ากับที่เอ็นดูน้อง แต่รสก็ไม่เคยคิดถึงใครอื่นเลยนอกจากแม่ รสรักแม่นะ รักและคิดถึงแม่เสมอ"
รติรสก้มลงกราบ แล้วหันไปพูดกับผู้เป็นพ่อ
"พ่อว่าแม่จะรู้มั้ยว่ารสมา"
"รู้สิ ต้องรู้แน่ๆ คนเป็นแม่เป็นลูกกัน ต้องมีอะไรเชื่อมโยงถึงกันได้อยู่แล้ว"
"รสก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น...แม่จะได้รู้ว่ารสรักแม่มากแค่ไหน"
"รสกลับไปกับนายประหยัดก่อนนะ พ่อต้องไปธุระที่อื่นต่อ"
"ค่ะพ่อ"
รติรสเดินออกไปกับนายประหยัด คนขับรถตู้ประจำบ้าน รังสรรค์หันไปจ้องรูปบุปผา
เสียงในใจรังสรรค์ดังออกมา
"บุปผา...จนถึงวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่า คุณรู้ความจริงมากแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องของรติรส"
รังสรรค์กระเถิบเข้าไปใกล้ที่บรรจุกระดูก เขาเอื้อมมือไปแตะที่รูปบุปผา
"ยกโทษให้ผมด้วยนะ ถ้าการตัดสินใจของผมมันทำให้คุณผิดหวังและช้ำใจ ถึงยังไงผมก็รักคุณ แม้จะมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งในหัวใจของผม แต่ผมก็มีที่สำหรับคุณในหัวใจเสมอมา"
จู่ๆรังสรรค์ก็ชะงัก มีอาการเจ็บที่ท้องด้านขวาอย่างรุนแรง
รังสรรค์ทรุดตัวลง กุมที่ท้องด้วยสีหน้าเจ็บปวดและทรมาน
ต่อมา ... เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลยืนพูดโทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์
"ฮัลโหล ขอสายคุณบุหงา รัตนเดชากรค่ะ"
บุหงาหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้นมาแนบหูแล้วพูด
"ดิฉันบุหงาพูดค่ะ...ว่าไงนะคะ คุณรังสรรค์อยู่ที่โรงพยาบาล ?"
"ค่ะ คุณรังสรรค์ต้องการพบคุณบุหงาด่วน"
"ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ"
"เอ้อ คุณรังสรรค์บอกว่า ให้คุณมาคนเดียว ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น"
"ค่ะ"
บุหงาวางโทรศัพท์ลง หน้าตาเครียด
ภายในห้องตรวจของโรงพยาบาล หมอก้าวเข้ามาเบื้องหน้าบุหงา
"คนไข้มีอาการเสียดแน่นในท้อง สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หมอจะให้ยาเคลือบกระเพาะและยาลดกรดไปทาน 2 สัปดาห์ ถ้ายังไม่ดีขึ้น คงต้องขอนัดส่องกล้อง"
รังสรรค์เปิดม่านเดินออกมาจากบริเวณเตียงตรวจ
"แค่อาหารเป็นพิษนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่เป็นอะไรมากหรอก"
"ถ้าไม่เป็นอะไรมาก แล้วต้องเรียกน้องมาทำไมคะ"
"ก็มาพาฉันกลับบ้านไง...ผมกลับได้แล้วใช่มั้ยหมอ"
"รับยาด้านนอกก่อนนะครับ อีกซักสองสามอาทิตย์ผมจะนัดคุณรังสรรค์มาติดตามดูผลอีกทีนะครับ"
"ใช้คุยทางโทรศัพท์ก็ได้มั้งครับ เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงอยู่แล้ว"
"แต่ยังไงๆหมอก็ต้องขอให้ลดเรื่องการดื่มลงบ้างนะครับคุณรังสรรค์"
รังสรรค์เดินนำบุหงาออกไป โดยไม่รับปากใดๆ
ระหว่างที่เดินออก รังสรรค์หันไปเอ่ยปากสั่งบุหงา
"ห้ามบอกใครว่าฉันมาโรงพยาบาลเป็นอันขาด อย่าลืมนะ"
"ไม่ลืมค่ะ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมบอกใครไม่ได้"
"เขาจะได้รุมสมน้ำหน้าฉันน่ะสิ ว่าเตือนแล้วไม่ฟัง"
"คุณพี่ก็ควรจะเชื่อคำเตือนของคุณแม่กับพี่สาวบ้างนะคะ"
"เหลวไหล ก็เหมือนคำเตือนของหมอนั่นแหละ"
"แล้ววันนี้คุณพี่ไปที่วัดทำไม"
"ไปหาพี่สาวเธอน่ะสิ"
"คิดถึงเหรอ"
"ยายรสคิดถึงแม่"
"โถ เด็กน้อย...ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย"
"อย่าพูดหรือทำอะไร ที่ทำลายความเชื่อของรติรสเป็นอันขาด ไม่งั้นน่าดู" รังสรรค์ปราม
"น้องไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ตราบใดที่ยังใช้เงื่อนไขนี้เพื่อแลกกับอิสระของน้องได้ แต่ถ้าคุณพี่ยินดีเซ็นใบหย่าให้น้อง ทุกอย่างก็จะจบง่ายกว่านี้"
"ไม่มีวัน จนกว่าจะตายจากกันไปข้างนึง"
"น้องไม่ยอมเป็นฝ่ายตายก่อนหรอกค่ะ คุณรังสรรค์"
เวลากลางคืน ชาติสยามนั่งอยู่เพียงลำพัง บริเวณหน้าเรือนนมผ่อน
นมผ่อนเดินเข้ามาดู
"คุณชาติสยาม...ทำไมมานั่งมืดๆอย่างนี้คะ"
"ผมรบกวนคุณป้ารึเปล่าครับ"
"เปล่า ไม่กวนหรอก แต่ป้ามั่นใจว่าคุณคงไม่ได้มาหาป้าหรอก ใช่มั้ยคะ"
"ครับ...คนที่ผมมาหาเขาจงใจหลบหน้าผม"
"แล้วมานั่งซุ่มตรงนี้คิดว่าจะเจอหน้าเขาเหรอ"
"ก็คงไม่เจอครับ ผมแค่ไม่รู้จะไปไหน"
"ดิฉันบอกคุณหญิงให้เอามั้ยคะ"
"อย่ากวนท่านเลยครับ เรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้"
"แต่ไอ้เรื่องไม่เป็นเรื่องนี่ ทำไมมันทำให้คุณดูซึมเศร้าได้ถึงขนาดนี้ เหมือนคนอกหัก ไม่มีผิด"
"ครับ ผมต้องตัดสินใจระหว่างการรับปากกับพี่ชาย กับการรักษาน้ำใจคนรัก"
"ดิฉันคงช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ"
ชาติสยามพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงลุกขึ้นยืน
"ฝากบอกขมด้วยว่า เขาไม่ได้เป็นต้นเหตุของการผิดใจกันระหว่างผมกับรุ้งกาญจน์ เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องหลบหน้าผมครับ"
"จ้ะ ป้าจะบอกให้จ้ะ"
ชาติสยามจึงค่อยๆเดินออกไป
ในเวลาเดียวกัน โขมพัสตร์กับรัฐ ทั้งสองนั่งอยู่บนเก้าอี้สวย โต๊ะอาหารหรู กลางร้านโรแมนติก
"พี่รัฐไม่เห็นต้องพาขมมากินอาหารแพงๆแบบนี้เลย เปลืองตังค์เปล่าๆ"
"พี่เห็นขมเครียดมาหลายวันแล้ว ก็อยากให้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง จะได้สดชื่นขึ้นไง"
"คงไม่สำเร็จหรอกค่ะ"
"ลองดูก็ไม่เสียหลายนี่"
รัฐรินน้ำดื่มใส่แก้วเบื้องหน้าโขมพัสตร์
"คุณรุ้งกาญจน์เขาพูดอะไรกับขมบ้างน่ะ บอกพี่ได้มั้ย"
"อารุ้งให้ขมยอมรับความจริง"
"ความจริงอะไร ?"
"ขมก็ไม่รู้เหมือนกัน อารุ้งบอกว่าให้ขมอยู่เฉยๆ ไม่ต้องหนีหน้าใคร จนกว่าอาสยามจะพูดความจริงกับขม"
"ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเครียดอีกนี่นา ยิ้มหน่อยสิ ขมวดคิ้วอย่างนี้เดี๋ยวจะแก่เร็วนะ"
"ขมขอโทษนะคะ ที่สองสามวันนี้ขมทำให้พี่รัฐต้องลำบาก เป็นภาระของพี่"
"พี่ดีใจและมีความสุขต่างหาก และถ้ามันคือภาระ พี่ก็พร้อมจะรับภาระนี้ไปจนตลอดชีวิต"
โขมพัสตร์ชักสีหน้างุนงงพอสมควรกับสำนวนของรัฐ
รัฐยิ้ม และค่อยๆหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับเอ่ยปากด้วยเสียงนุ่มนวล
"และเพื่อให้ขมมั่นใจในตัวพี่ พี่ขอหมั้นขมด้วยสร้อยเส้นนี้"
รัฐยื่นของในมือให้โขมพัสตร์ มันคือสร้อยคอสวย ระยิบระยับกับแสงไฟในร้าน
โขมพัสตร์อึ้ง วางสีหน้าไม่ถูก
"เอ้อ..."
"รับไว้สิ"
"เอ้อ...ไม่ได้ค่ะ...ขมรับไม่ได้ค่ะ"
"รังเกียจพี่เหรอ"
"เปล่าค่ะ แต่...ขมยังเด็กเกินไป ขมทำอะไรไม่ถูก"
"ขมไม่ต้องทำอะไร แค่รับสร้อยเส้นนี้ไว้ แล้วเมื่อถึงวันที่ขมเรียนจบ พี่จะให้คุณยายมาสู่ขอขมอย่างเป็นทางการอีกที"
"อย่าเพิ่งเลยค่ะ ขม...ขม..."
"ขมมีใครอยู่แล้วเหรอ"
"ขมไม่ได้คิดเรื่องแบบนี้กับใครทั้งนั้น"
"ก็เริ่มต้นคิดกับพี่เป็นคนแรกสิ"
โขมพัสตร์เงียบ พูดอะไรไม่ออก
"แค่สัญญากับพี่ ว่าขมจะพิจารณาพี่เป็นคนแรก ก่อนผู้ชายทุกคน"
"ขมตอบไม่ได้"
"งั้นพี่ฝากสร้อยเส้นนี้ไว้กับขมก่อนก็แล้วกัน ขมมั่นใจในตัวพี่เมื่อไหร่ ค่อยให้คำตอบกับพี่ แล้วพี่จะสวมสร้อยเส้นนี้ให้ขมเอง" รัฐรุก
รัฐดึงมือขมเข้ามาใกล้ แล้ววางสร้อยเส้นนี้ลงบนอุ้งมือของเธอ
ขณะที่รุ้งกาญจน์เดินเข้าบ้าน เธอหยุดชะงัก ซ่อนกลิ่นนั่งอยู่กับบุหงากลางห้องโถงบ้าน
บุหงาโปรยยิ้มให้รุ้งกาญจน์
"ไปตระเวนสมัครงานมาทั้งวันเลยเหรอคะ หรือว่าไปเที่ยวสังสรรค์ประสาสาวสวยรักอิสระ"
"ฉันไม่คิดว่ายังมีเหตุผลอะไรที่คุณควรจะมาเหยียบที่นี่อีก และที่นี่ก็ไม่เคยคิดจะต้อนรับผู้หญิงอย่างคุณ"
"ก่อนที่อารมณ์จะรุนแรงกว่านี้ ลองถามความเห็นป้าคุณก่อนมั้ยคะว่าควรจะต้อนรับฉันมั้ย"
"เขามาดี เขามาเปิดเผยความตลบตะแลงของนายชาติสยาม เพื่อให้เราตาสว่างขึ้น" ซ่อนกลิ่นบอก
"ไม่จำเป็นค่ะ หนูพอจะเดาได้เอง โดยไม่ต้องมีใครมาใส่ไฟเพิ่มเติม"
"ไม่ใช่การใส่ไฟ แต่เป็นข้อมูลใหม่ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน"
"คุณไม่สงสัยเหรอคะว่าทำไมคุณรังสรรค์ถึงเกลียดขมมาก แล้วทำไมรติรสถึงหน้าตาคล้ายกับขม ทั้งๆที่ทั้งสองไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน"
"ไม่มีอะไรเกี่ยวกับฉันแม้แต่นิดเดียว"
"เกี่ยวโดยตรงเลยต่างหาก เพราะนั่นคือสิ่งที่นายชาติสยามรู้ และจงใจปิดบังคุณ"
ซ่อนกลิ่นโพล่ง "ขมคือลูกของนายรังสรรค์"
รุ้งกาญจน์ "ห๊ะ !"
"มันเป็นลูกเมียเก็บของคุณรังสรรค์ แต่เขาคิดว่ามันคือลูกชู้ ส่วนผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านพุทธชาดกำลังเชื่อว่า แท้จริงแล้วขมคือลูกของคุณรังสรรค์นั่นแหละ"
"เพราะฉะนั้น ขมกับนายชาติสยาม ไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องทางสายเลือดแต่อย่างใด เขาหลอกเรามาตลอดนะรุ้ง" ซ่อนกลิ่นว่า
"ขมมันได้นิสัยแบบนี้มาจากแม่มัน มันสนุกกับการคบหาผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว สนุกกับการแอบมีอะไรกันแบบลับๆ จนกว่าจะเบื่อแล้วก็เลิกรากันไป โดยไม่ยึดติดอะไรกัน นั่นคือเหตุผลที่ชาติสยามไม่ยอมบอกความจริงกับคุณ แต่ใครจะรู้ วันนึงเขาอาจจะหลงรักยายขมจนหัวปักหัวปำจนต้องช้ำใจ เมื่อขมทิ้ง
เขาไป เพราะขมยังมีหนุ่มๆข้างบ้านเป็นตัวเลือกอีกถึงสองคน"
"เห็นมั้ยว่ามันร้ายขนาดไหน" ซ่อนกลิ่นว่า
"คุณจะไม่เชื่อฉันก็ได้นะคะคุณรุ้งกาญจน์ เพราะฉันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้ นอกจากความเห็นใจและสงสารหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกัน ก็เท่านั้น"
ต่อมา โขมพัสตร์ค่อยๆ เดินเข้าไปกอดนมผ่อนจากด้านหลัง
"ป้า"
"อยู่ๆ ก็โผล่มากอดป้าแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวอย่างนี้ ป้าหัวใจวายตายจะว่ายังไง"
"ไม่มีทาง ป้านมผ่อนแข็งแรงออก"
"เห็นข้างนอกอย่างนี้ ข้างในเป็นยังไงใครจะรู้"
"งั้นขมไม่ทำแล้ว สัญญา"
"ทำอีกทีสองทีก็ได้ ป้าชอบ"
โขมพัสตร์กอดรัดป้า แน่นมากขึ้น
"ยังไม่ง่วงนอนเหรอ"
"ขมอยากคุยกับป้าค่ะ ได้มั้ยคะ"
"ได้สิ"
"อาสยามมาถามหาขมกับป้าอีกหรือเปล่าคะ"
"มา...ป้าเห็นท่าทีเขา ก็อดสงสารไม่ได้ ป้าว่า มีอะไรก็พูดกันตรงๆดีกว่า หลบ
หน้าอย่างนี้มันทำร้ายจิตใจกันเปล่าๆ"
"อารุ้งบอกว่า อาสยามมีความจริงบางอย่างจะบอกขม ป้ารู้มั้ยคะว่าคืออะไร"
นมผ่อนชะงักไปนิดนึง แล้วจึงส่ายหน้า โขมพัสตร์ถอนหายใจ
"ขมใจคอไม่ดียังไงก็ไม่รู้...ป้าคิดว่าความจริงมันจะทำร้ายเราได้รึเปล่าจ๊ะ"
"ถ้าเรายอมรับมันได้ เราก็จะไม่เป็นอะไร"
"แล้วถ้ามีผู้ชายมาขอหมั้นป้า ป้าจะทำยังไงจ๊ะ"
"ห๊า"
"อันนี้อีกเรื่องนึงจ้ะ"
"มีคนมาขอหมั้นขมเหรอ...ใคร...คุณรัฐใช่มั้ย"
โขมพัสตร์พยักหน้ายอมรับ
"ว่าแล้วเชียว"
"ขมควรจะทำยังไงคะ" โขมพัสตร์ขอความเห็น
"ป้าไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องความรักซะด้วย...ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครมาบอกรักป้าซักที"
"ท่าทีพี่รัฐดูจริงจัง จนขมไม่กล้าพูดอะไร...ขมรู้สึกว่าตัวเองเป็นปัญหากับทุกคนตลอดเวลา"
"ไม่จริงหรอก อย่าคิดอย่างนั้นสิ"
"จริงค่ะ ตั้งแต่ขมมาอยู่ที่นี่ ขมทำให้ทุกคนในบ้านพุทธชาดวุ่นวายไปหมด ตั้งแต่คุณรังสรรค์ คุณพจนีย์ คุณบุหงา แล้วก็ทำให้อาสยามกับอารุ้งทะเลาะกัน แล้วก็มาถึงพี่รัฐอีก"
"ขมรักคุณรัฐมั้ยล่ะ" นมผ่อนอยากรู้
"พี่รัฐดีกับขมมาก...ขมรักพี่รัฐเหมือนพี่ชาย"
"งั้นน้องสาวก็พูดตรงๆกับพี่ชายได้นี่นา และถ้าเขาเสียใจ มันก็เป็นความเสียใจที่เขาต้องยอมรับให้ได้ ดีกว่าให้เราทนฝืนใจตัวเองไม่ใช่เหรอ"
บริเวณสวนและระเบียงบ้านตอนเช้าวันใหม่ รติรสนั่งเล่นอยู่ในมุมสงบ โขมพัสตร์ตรงไปหารติรส
"คุณรสคะ"
"มีอะไรเหรอขม"
"ขมขอปรึกษาคุณรสหน่อยได้มั้ยคะ"
"บอกมาก่อนว่าเรื่องอะไร บางทีฉันอาจไม่เก่งพอจะเป็นที่ปรึกษาให้ใครก็ได้"
"ขมคิดว่าได้ค่ะ เพราะคุณรส สนิทกับคุณรัฐ คุณรสน่าจะให้คำแนะนำที่ดีได้"
"เกี่ยวกับพี่รัฐเหรอ"
"ค่ะ...เมื่อคืนนี้ พี่รัฐเอาสร้อยคอมาให้ขม เพื่อขอหมั้นขม"
รติรสถึงกับอึ้ง เธอพยายามซ่อนความเสียใจ ไม่ให้ขมเห็น
"ฉันดีใจด้วยนะขม พี่รัฐเป็นคนดี โชคดีของเธอแล้วหละ ที่ได้ลงเอยกับคนดีๆอย่างพี่รัฐ"
"ขมยังไม่ได้ให้คำตอบพี่รัฐเลยคะ"
"ทำไมล่ะ"
"ขมยังเด็กเกินกว่าจะคิดเรื่องพวกนี้ แต่พี่รัฐก็ไม่ได้บังคับอะไร แค่ขอให้ขมรับปากว่า ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ ให้นึกถึงพี่รัฐเป็นคนแรก"
"ก็ดีแล้วนี่"
"ขมไม่อยากรับปากค่ะ แต่ขมกลัวพี่รัฐเสียใจ และโกรธขม ขมควรจะทำยังไงเพื่อรักษาน้ำใจพี่รัฐคะ"
"เธอคงต้องถามใจตัวเองให้ดี ว่าพี่รัฐสำคัญกับเธอมากแค่ไหน...ถ้าเธอขาดเขาไม่ได้ เธอก็ควรรับคำขอหมั้นของเขา แต่ถ้าเธอไม่เห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญที่จะฝากชีวิตไว้ด้วย ก็อย่าให้ความหวังกับเขา เพราะทุกคนจะเจ็บปวดและทรมานมาก เมื่อพบว่าตัวเองต้องกลายเป็นผู้ผิดหวัง"
รติรสเดินออกไปทันทีที่พูดจบ
ขมนั่งครุ่นคิด นิ่งๆ
บุหงาเดินเข้ามาด้านหลังขม
"วันนี้ไม่ไปบ้านตึกขาวเหรอ"
"คุณบุหงามีอะไรจะใช้ดิฉันเหรอคะ"
"โอ๊ย ใครจะกล้าใช้เธอ ประมุขของบ้านพุทธชาดออกคำสั่งเด็ดขาด ห้ามเกาะแกะกับเธอขนาดนั้น"
"งั้นดิฉันขอตัวนะคะ"
โขมพัสตร์ค้อมตัว เดินเลี่ยงออกไป
บุหงาเอ่ยปากขึ้น โขมพัสตร์จึงหยุดยืนนิ่ง
"ฉันเป็นห่วงเธอนะ หมู่นี้เห็นเธอเครียดอยู่บ่อยๆ จนต้องหลบไปพักใจที่ตึกขาว"
"คุณบุหงาห่วงดิฉัน ?"
"ฉันก็ห่วงทุกคนนั่นหละ โดยเฉพาะคนที่ถูกปิดหูปิดตา ไม่ให้รับรู้ความจริง"
"คุณบุหงาหมายถึงใครคะ"
"ก็เธอน่ะสิ จะมีใคร ? ยายเด็กโง่เอ๊ย ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย"
"ความจริงอะไรคะ"
"อยากรู้มั้ยว่า เพราะอะไรพ่อพิทย์ รุ้งพราย ถึงไม่เคยโผล่หน้ามาหาเธอที่นี่เลย...มันมีเหตุผลเดียวเท่านั้น...เพราะพ่อที่แท้จริงของเธออยู่ที่นี่ไง"
"ไม่จริง"
บุหงายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แล้วเอ่ยปากต่อ
"ประเด็นสำคัญก็คือ เมื่อพ่อพิทย์ไม่ใช่พ่อแท้ๆของเธอ ดังนั้น อาสยามก็ไม่ใช่อาของเธอ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยด้วยซ้ำ...นั่นจึงเป็นเหตุให้ชาติสยามกับรุ้งกาญจน์มีปัญหากัน...ฉะนั้นถ้าเธอยังหวังดีกับพวกเขา เธอต้องรีบทำอะไรซักอย่าง"
"ทำอะไรคะ"
บุหงาเขี่ยลูกเข้าหาตัว เหมือนหวังดีแต่ประสงค์ร้าย
"ออกไปจากชีวิตพวกเขาซะ ออกไปให้ไกลจากเขา ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย...ถ้าฉันไม่หวังดีกับเธอ ฉันไม่มาเตือนเธออย่างนี้หรอก...จะไปบ้านตึกขาวก็ไปซะซี่...บางทีชายหนุ่มบ้านนั้นอาจช่วยแก้ปัญหานี้ให้เธอได้...ไม่เชื่อก็ลองดูสิ"
โขมพัสตร์เดินมาที่หน้าบ้านตึกขาว
สาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่ โขมพัสตร์เดินเข้าไปหาสาวใช้คนนั้น
"คุณรัฐอยู่มั้ย"
"อยู่ค่ะ มีแขกอยู่"
"งั้นฉันนั่งรอแถวนี้ ฝากบอกคุณรัฐด้วยนะ"
"คุณรัฐสั่งว่า ถ้าคุณขมมา ให้เชิญไปที่ห้องรับแขกเลยค่ะ เพราะแขกของคุณรัฐต้องการพบคุณขมด้วยเหมือนกัน"
โขมพัสตร์ก้าวเข้าไปในห้องโถงรับแขก ชาติสยามอยู่ที่นั่นกับรัฐ เขาก้าวเข้ามาประชิดตัวขมทันที
"ขม ทำไมต้องหนีหน้าอาด้วย"
"พี่รัฐ"
"คุณชาติสยามเขาขอร้องพี่ เขาขอโอกาสคุยกับขมสักครั้ง"
"จะให้เขาอยู่ด้วยก็ได้นะถ้าขมต้องการ"
โขมพัสตร์เงียบ ไม่เอ่ยปากตอบ
"พี่รออยู่ข้างนอกก็แล้วกัน"
รัฐหันไปพูดกับชาติสยาม
"หวังว่าคุณจะไม่พูดอะไรให้ขมเสียใจ นอกจากความจริงเท่านั้นนะครับ"
รัฐเดินออกไป
"ขมทำอย่างนี้ทำไม" ชาติสยามถาม
"ขมไม่อยากเป็นตัวปัญหา"
"คิดอะไรเป็นเด็กๆไปได้"
"อารุ้งก็พูดแบบนี้กับขมเหมือนกัน"
ชาติสยามมีสีหน้าแปลกใจทันที
"ขมคุยกับรุ้งเหรอ"
"อารุ้งมาหาขมที่นี่"
น้ำเสียงของชาติสยามค่อยๆเข้มขึ้น ด้วยความโกรธ
"เขามาพูดอะไรกับขม เล่าให้อาฟังให้หมด"
"อารุ้งบอกให้ขมรอฟังความจริงจากอา"
ความโกรธพลุ่งพล่านในใจชาติสยาม
"อามีความจริงอะไรที่ขมยังไม่เคยรู้อีกมั้ย..อาจะบอกอะไรขมหรือเปล่า"
ชาติสยามถอนหายใจด้วยความยากลำบาก
"ขมรอฟังอยู่ค่ะอา"
ชาติสยามตัดสินใจเอ่ยปากกับขม
"ฟังนะขม...ไม่ว่าใครจะพูดอะไรกับขมก็ตาม เรื่องที่เป็นความจริงมีเพียงเรื่องเดียว คือเรื่องที่ออกจากปากอาเท่านั้น จำไว้"
"อากำลังโกรธอารุ้งอีกแล้วใช่มั้ย...ขมไม่น่าพูดเลย"
"ขมต้องพูด ไม่พูดไม่ได้...เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับขม อาต้องรู้ทุกเรื่อง"
"แล้วขมจะได้รู้เรื่องของตัวเองเท่ากับที่อารู้รึเปล่า"
ชาติสยามเงียบไปอีกครั้ง
"อากำลังปิดบังอะไรขมอยู่ใช่มั้ย"
"ไม่มีอะไรที่อาต้องปิดบังขม"
"แม้แต่เรื่องพ่อพิทย์เหรอคะ"
ชาติสยามชะงัก อึ้ง
"คุณบุหงาบอกว่า พ่อพิทย์ไม่ใช่พ่อแท้ๆของขม"
"ยายนี่ปากมากอีกแล้ว"
"อาสยามก็ไม่ใช่อาแท้ๆของขม...นี่คือสาเหตุที่อากับอารุ้งทะเลาะกัน"
"ขมอย่าไปฟังผู้หญิงคนนี้ได้มั้ย ขมต้องฟังอา ขมต้องเชื่ออา"
"ขมจะเชื่อได้ยังไง ถ้าอาสยามไม่บอกอะไรขมเลย"
"อารอเวลาให้ขมโตขึ้น โตพอที่จะเข้าใจชีวิตมากกว่านี้"
"ขมโตพอแล้ว และขมก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ประวัติความเป็นมาของขม...แต่ถ้าขมไม่สามารถรู้จากคนที่นี่ ขมก็จะไปตามหาความจริงจากที่อื่นเอง"
โขมพัสตร์ขยับตัวจะเดินหนี ชาติสยามจับมือโขมพัสตร์ไว้
"ขม"
"ไม่ต้องมายุ่งกับขมอีก...ขมอยากอยู่คนเดียว"
โขมพัสตร์สะบัดแขน แล้วรีบวิ่งออกไปทันที
รัฐก้าวเข้ามา
"ไหนคุณบอกว่าจะคุยดีๆกับหลานคุณไง"
"ผมไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยสักนิด"
"ผมว่าต้นเหตุที่ทำให้ขมเครียดอยู่ทุกวันนี้ก็คือคุณ...ผมไม่รู้ว่าคุณกับแฟนคุณทะเลาะกันเรื่องอะไร ผมรู้แต่ว่า พวกคุณทำให้ขมเครียด และกล่าวโทษตัวเอง เพราะฉะนั้น พอเถอะครับ จากนี้ไป ปล่อยขมไว้ตามลำพังเถอะครับ ยิ่งพวกคุณผลัดกันมาพูดกับขมคนละทีสองที มันมีแต่จะทำให้ขมเครียด และทุกข์ใจ
มากยิ่งขึ้น" รัฐว่า
รัมภ์ก้าวเข้ามา
"พี่รัฐ ขมขึ้นแท๊กซี่ไปแล้ว ร้องไห้ด้วย"
รัฐปราดเข้าไปพูดใส่หน้าชาติสยาม
"เพราะคุณคนเดียวเลย คุณชาติสยาม"
"คุณไม่ต้องกังวล ผมรู้ว่าขมจะไปไหน ผมจะบอกทางให้ ถ้าคุณคิดว่าคุณปกป้องดูแลขมได้ดีกว่าผม"
"แน่นอน ผมรักขม และจะดูแลขมด้วยชีวิตของผมเอง"
เวลาต่อมา โขมพัสตร์นั่งลำพังที่สวนสาธารณะเดิม เธอครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ
รุ้งกาญจน์บอกเธอว่า "ยังมีความจริงอีกมากมายที่เธอยังไม่รู้"
"แล้วขมจะรู้ได้ยังไง"
"ขมจะต้องหยุดหนีหน้าชาติสยาม แล้วรอให้เขาพูดความจริงกับขม ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป และเธอก็จะได้โตเป็นผู้ใหญ่ซะที"
บุหงาบอกว่า "อยากรู้มั้ยว่า เพราะอะไรพ่อพิทย์ รุ้งพราย ถึงไม่เคยโผล่หน้ามาหาเธอที่นี่เลย...มันมีเหตุผลเดียวเท่านั้น...เพราะพ่อที่แท้จริงของเธออยู่ที่นี่ไง"
ไพลินเคยหลุด "หยุดเดี๋ยวนี้นะรังสรรค์ หยุด อย่าตีลูกสาวตัวเอง"
น้ำตาของเธอไหลพรากออกมา
"ไม่จริง...ไม่จริงใช่มั้ย แม่จ๋า..."
บ่ายวันเดิม ซ่อนกลิ่นเปิดประตูบ้าน หน้าตาของเธอบึ้งตึงอย่างจงใจ
ชาติสยามยืนจ้องหน้าซ่อนกลิ่นที่หน้าประตูนั้น
"คุณกลับไปซะเถอะ ยายรุ้งไม่อยู่"
"ไม่อยู่ได้ยังไง ผมนั่งเฝ้าอยู่หน้าบ้าน เห็นตั้งแต่รุ้งลงจากรถแท๊กซี่ก้าวเข้าไปใน
บ้านเมื่อกี้นี้"
"งั้นยายรุ้งก็ต้องการพักผ่อน และไม่ต้องการให้ใครรบกวน"
"คุณจะกีดกันผมทำไมไม่ทราบ"
"เพราะฉันไม่ต้องการให้หลานฉันคบหากับผู้ชายอย่างคุณ"
"คุณมีสิทธิ์อะไรบังคับรุ้ง"
"เพราะฉันเป็นป้าเขา ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์"
"ถ้าคุณป้ายังยืนยันอย่างนี้ ผมก็ขอโทษ ที่จำเป็นต้องฝ่าฝืน"
ชาติสยามยกมือไหว้ ก่อนผลักซ่อนกลิ่นกระเด็น แล้วเดินเข้าบ้านไป
"ออกมานะ อย่าเข้าไป"
ขาติสยามก้าวเข้ามากลางบ้าน รุ้งกาญจน์ยืนรออยู่แล้ว ซ่อนกลิ่นวิ่งตามมารั้งตัวชาติสยาม
"ฉันบอกให้ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุก"
"ไม่เป็นไรค่ะป้า รุ้งจัดการเอง"
ซ่อนกลิ่นจึงค่อยๆเดินออกไป
"เรายังเป็นคู่รักกันอยู่รึเปล่า"
"สำคัญนักเหรอคะ"
"สำคัญ"
"เป็นกับไม่เป็นต่างกันยังไง"
"ถ้าเรายังรักกันอยู่ อย่างน้อยคุณก็ควรบอกป้าคุณไม่ให้กีดกันผมแบบนี้"
"คุณป้ามีความคิดของตัวท่านเอง ฉันบังคับใจใครไม่ได้ แม้แต่คุณเอง ฉันยังบังคับให้คุณทำอะไรอย่างที่ฉันต้องการไม่ได้เลย"
"ทำไมระหว่างเราถึงได้กลายเป็นแบบนี้...เรารักกันไม่ใช่เหรอ"
"ค่ะ เรารักกัน แต่ฉันทนเห็นคนที่ฉันรักเป็นคนโกหกแบบนี้ไม่ได้"
"ผมบอกแล้วไงว่า ขอเวลาสักพัก"
"สักพักคือแค่ไหนคะ กี่เดือนมาแล้วที่ฉันไม่เห็นคุณทำอะไรซักอย่าง"
"คุณก็เลยทำซะเองใช่มั้ย"
รุ้งกาญจน์นิ่ง ไม่มีคำตอบให้
"คุณแอบไปเจอขมโดยไม่บอกผม"
"ฉันไม่รู้นี่คะว่าการจะไปเจอขมต้องขออนุญาตคุณก่อน"
"ผมไม่ได้พูดอย่างนั้น"
"แต่คุณแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างแรง"
"ก็ในเมื่อมันเป็นเรื่องของผม คุณก็ควรจะปล่อยให้ผมคุยเอง ไม่ใช่แทรกแซงอย่างนี้"
"แทรกแซง ?"
"ผมไม่รู้ว่าคุณพูดอะไรกับขมบ้าง แต่มันอาจจะทำให้กลายเป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้นสำหรับผม"
"ตกลงคุณห่วงใครมากกว่ากัน ระหว่างฉัน ตัวคุณเอง หรือ ขม...คุณแคร์ใครมากกว่ากัน"
"ผมแคร์ทุกคน"
รุ้งกาญจน์จ้องมองชาติสยาม ด้วยความผิดหวัง
"เมื่อก่อนคุณไม่ใช่อย่างนี้...เดี๋ยวนี้คุณไม่กล้าแม้แต่จะพูดว่า แคร์ฉัน"
ชาติสยามถอนหายใจ อึดอัด
"คุณกำลังทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆนะ"
"เพราะฉะนั้นเราจึงควรเลิกกันไงคะ"
"มันไม่เกี่ยวกันเลย"
"เกี่ยวสิ ฉันเบื่อที่จะอธิบายเรื่องนี้กับคุณอีกต่อไปแล้วนะชาติสยาม"
ชาติสยามแสดงออกถึงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
รุ้งกาญจน์ตรงเข้าไปพูดใส่หน้าชาติสยาม
"ฟังนะ ฉันจะพูดกับคุณเป็นครั้งสุดท้าย...เราควรจะเลิกกัน เพื่อให้ต่างคนต่างมีอิสระที่จะได้คิดทบทวนอย่างเต็มที่ ฉันจะหายไปซักพัก และจะกลับมาโดยไม่มีใครใหม่ เราจะมาดูกันว่าเมื่อถึงวันนั้น เรายังต้องการกันและกันอยู่อีกมั้ย"
"ผมยังรักคุณอยู่นะรุ้ง"
"ฉันก็รักคุณค่ะ แต่ความรักของเราเดินทางมาถึงจุดที่ต้องทบทวน เราไม่ควรปล่อยให้ความรักทำร้ายจิตใจเราอย่างนี้...กลับไปเถอะค่ะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก ฉันขอร้อง"
โขมพัสตร์นั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ในสวนเดิม รัฐยื่นผ้าเช็ดหน้าสีสะอาดเข้ามาตรงหน้า
"พี่รัฐมาที่นี่ได้ยังไง"
"นึกไม่ถึงใช่มั้ยล่ะ"
รัฐหย่อนตัวลงนั่งข้างๆขม
"คุณชาติสยามบอกพี่ ว่าขมต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ"
"ขมเคยรับปากอาว่า ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ จะหนีมานั่งที่นี่"
"แสดงว่าขมไม่ได้คิดจะหนีอาสยามจริงๆ"
"ขมแค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆเท่านั้น"
"งั้นพี่ควรจะไปจากตรงนี้ และปล่อยให้ขมอยู่คนเดียวก่อนใช่มั้ย"
"ถ้าพี่รัฐจะนั่งเงียบๆก็ไม่เป็นไรค่ะ"
ทั้งสองคนต่างนั่งเงียบไปพักหนึ่ง รัฐจึงเอ่ยปากออกมา
"ทุกคนเป็นห่วงขมมากนะ โดยเฉพาะอาสยามของขม ถ้าขมไม่หุนหันออกมาซะก่อน บางทีเรื่องยุ่งๆทั้งหมด อาจจะคลี่คลายลงมากกว่านี้"
"ไหนพี่รัฐบอกว่าจะอยู่เงียบๆไงคะ"
"งั้นพี่ไปหาซื้อของกินมาให้ขมดีกว่า ยังไม่ได้กินอะไรใช่มั้ย...อาชาติสยามบอกว่ามีร้านผลไม้อร่อยๆอยู่แถวนี้ด้วย"
รัฐค่อยๆเดินออกไป โดยเหลียวมองโขมพัสตร์เป็นระยะๆ
ตอนเย็น รติรสเดินเข้ามากลางโถงบ้าน รัมภ์ก้าวเข้ามาเรียกเธอ
"สาวสวยคนนี้จะมาหาใครไม่ทราบ พี่รัฐ หรือว่าน้องขม"
"ก็ทั้งสองคนนั่นแหละค่ะ"
"เสียใจด้วยนะ สองคนนั้นออกไปข้างนอกตั้งนานแล้ว รสคงต้องเปลี่ยนใจมาหาพี่แล้วหละ จะได้ไม่ผิดหวัง"
รติรสยิ้ม
"หรือว่าพี่ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าสองคนนั้น"
"รสแค่อยากรู้ว่าพวกเขาสรุปกันว่ายังไง"
"สรุป ? เรื่องอะไร"
"พี่รัมภ์ไม่รู้เหรอคะว่าพี่รัฐขอหมั้นขม"
"ห๊า รวดเร็วขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย พี่ชายเรา"
"ขมมาปรึกษารส รสก็เลยอยากรู้ว่าขมตอบพี่รัฐว่ายังไง...ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องของรสซักหน่อย"
รติรสขยับตัวจะเดินกลับ รัมภ์จึงเอ่ยปากขึ้น
"ถ้าพี่เป็นนายรัฐ พี่จะเลือกรักคนที่เขารักเราดีกว่า"
รติรสหยุด ยืนนิ่ง
"พี่ว่ารสก็ควรจะเลือกอย่างนั้นเหมือนกัน"
"ไม่มีใครรักรสหรอกค่ะ"
"รู้ได้ยังไง...เขาอาจจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล...อาจจะกำลังชั่งใจอยู่ ว่าจะขอหมั้นรสบ้าง ดีมั้ย...ใครจะรู้"
รัมภ์เดินไปยืนจ้องหน้ารติรส
"แปลกนะ ที่เราสองคนมักจะคุยกันแต่เรื่องของขมกับพี่รัฐ"
รติรสก้มหน้านิ่ง
"ซักวันนึง เราต้องหัดคุยเรื่องระหว่างเรากันเองบ้างแล้วหละ...ว่ามั้ย"
แผ่นหลังของชายคนหนึ่งเดินไปยืนข้างๆ โขมพัสตร์ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เมื่อเขาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆขม ที่แท้คือ ชาติสยาม
"หายโกรธอารึยัง"
ไม่มีคำตอบออกจากปากโขมพัสตร์
"ยังงอนอยู่ ?"
โขมพัสตร์ยังคงนิ่งเงียบ
"อาดีใจนะ ที่ขมไม่ลืมที่ของเราสองคน"
"แต่ตอนนี้เป็นที่ของเราสามคนแล้วค่ะ"
"ขมไม่ดีใจเหรอที่นายรัฐเขาตามมา"
โขมพัสตร์ยิ้มแบบแปลกๆ โดยที่ชาติสยามไม่อาจเห็น
"ดีใจค่ะ"
"อาตกลงกับอารุ้งได้แล้วนะ"
โขมพัสตร์หันไปมองชาติสยามด้วยความสนใจ
"ตกลงว่ายังไงคะ"
ชาติสยามปั้นยิ้ม ก่อนเอ่ยปาก
"อารุ้งขอเลิกกับอา"
"อา !"
"เขาต้องการอิสระ เพื่อทบทวนความรู้สึกระหว่างเราอีกครั้ง"
"โธ่..."
โขมพัสตร์ก้มหน้า เสียใจ
"อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ไม่ใช่ความผิดของขมซักหน่อย มันเป็นเรื่องของอากับอารุ้ง เราเลือกที่จะเลิกกันไปซักพัก แล้วถ้าต่างฝ่ายต่างไม่มีใคร เราก็อาจจะกลับมาคบกันใหม่ได้"
"แต่ถ้าไม่มีขมซักคน อาก็ไม่ต้องเลือกแบบนี้"
"ถึงไม่มีเรื่องของขม มันก็อาจจะมีเรื่องอื่นที่ทำให้เราต้องเลิกกันวันนี้ก็ได้ เลิกตอนนี้ ดีกว่าแต่งงานไปแล้วเลิกกัน มันจะยิ่งแย่หนักกว่าอีก"
ทั้งสองนั่งนิ่งสักครู่ ชาติสยามจึงเอ่ยปากพูด
"ระหว่างที่ขมหลบหน้าอา นายรัฐเขาดูแลขมดีมั้ย"
"ดีค่ะ พี่รัฐดีกับขมมาก"
"ได้ยินแบบนี้อาก็สบายใจ"
"สบายใจ ?"
"ขมควรจะมีคนที่ดีกว่าอาคอยเอาใจใส่ดูแลขม และอาคิดว่าอาเจอคนๆนั้นแล้ว"
"หมายความว่ายังไงคะ"
"นายรัฐเขาบอกอาว่า เขารักขม และพร้อมที่จะดูแลขมไปจนตลอดชีวิต"
ขมนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง
"ถ้าขมจะเลือกผู้ชายคนนี้เป็นคู่ครองในอนาคต อารับรองได้ว่าขมเลือกคนไม่ผิดหรอก"
"ขม..."
"เขามาโน่นแล้ว"
รัฐเดินถือของน่ากินมากมาย ตรงมาหาโขมพัสตร์
"ของกินมาแล้วครับ...โทษทีที่หายไปนานหน่อย แต่พี่ซื้อมามากพอสำหรับคนสามคนเลยนะเนี่ย"
"กินกันตามสบายนะ อากลับก่อนละ ขมกลับกับรัฐนะ"
ชาติสยามหันไปพูดกับรัฐ
"ดูแลหลานผมด้วย"
"ด้วยความยินดีครับ"
ชาติสยามจึงเดินออกไปจากสวนนี้
รัฐหย่อนตัวลงนั่งข้างๆโขมพัสตร์
"เราจะนั่งกินกันตรงนี้ หรือเอากลับไปกินที่บ้านดี"
"พี่รัฐคะ"
"หือม..."
"เรื่องที่พี่รัฐถามขมเมื่อวานนี้"
"ขมมีคำตอบให้พี่แล้ว ?"
"ค่ะ"
รัฐยิ้มสดชื่น
"ขมมั่นใจในตัวพี่แล้วใช่มั้ย?"
โขมพัสตร์ค่อยๆเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง
"พี่รัฐเป็นคนดี ดีกับขมมาก และขมไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเจอใครที่ดีได้เท่าพี่รัฐอีก...ไม่ว่าขมจะตัดสินใจยังไง จะตอบพี่ยังไง พี่ก็จะเป็นพี่ชายที่ดีของขมเสมอ"
รัฐค่อยๆหุบยิ้มลงทีละนิด
"ให้พี่เป็นมากกว่าพี่ชายได้มั้ย"
"ขมยังอยากใช้ชีวิตอิสระอยู่ โดยไม่มีอะไรผูกมัด อย่างน้อยก็จนกว่าขมจะเรียนจบมหาวิทยาลัย"
"งั้นพี่ขอรอคำตอบขมวันนั้นอีกทีนะ...ได้มั้ย"
โขมพัสตร์หยิบสร้อยเส้นนั้นออกมา
"ขมขอคืนสร้อยเส้นนี้ให้พี่รัฐนะคะ เผื่อว่าจะมีคนอื่นที่เหมาะสมมากกว่าขม"
ขมส่งสร้อยเส้นนั้นให้รัฐ
คืนนั้น ชาติสยามนั่งดื่มเหล้าอยู่ในมุมมืดที่ไนท์คลับ บุหงาเดินเข้ามานั่งข้างๆ
"นึกแล้ว ว่าวันนึงคุณต้องกลับมานั่งที่นี่ ด้วยอารมณ์แบบนี้ แล้วก็พร้อมที่จะเมาหัวราน้ำอย่างเต็มที่"
ชาติสยามเอ่ยปาก เสียงเมามาย
"คุณไปหารุ้งกาญจน์มาเหรอ"
"ไม่มีข้อห้ามนี่"
"คุณยุให้รุ้งกาญจน์เลิกกับผมใช่มั้ย"
"ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อให้คุณมาสยบแทบเท้าฉัน"
บุหงาเบียดร่างตัวเองเข้าไปใกล้ และกอดลูบไล้เรือนร่างของชาติสยาม
ชาติสยามพยายามเบี่ยงตัวเองออกห่าง แต่ไม่สำเร็จ
"ฉันบอกแล้วไง ไม่มีใครเหมาะสมคู่ควรกับคุณเท่าฉันอีกแล้ว...เราเมากันให้
เต็มที่ แล้วไปใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขไม่ดีกว่าเหรอ"
ชาติสยามสาดเหล้าในแก้วใส่หน้าบุหงาอย่างเต็มแรง
บุหงาถึงกับผงะออก
"เลว...คุณมันเลวที่สุด น่ารังเกียจที่สุด จิตใจคุณทำด้วยอะไรถึงได้สกปรกขนาดนี้"
"แกเอาแต่ด่าฉัน แล้วแกเคยตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างมั้ย คิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระรึไง อยากมีอะไรกับเด็กจนตัวสั่น พอเด็กมันไม่เล่นด้วยก็มานั่งเศร้า อารมณ์ค้างใช่มั้ยล่ะ ฉันอุตส่าห์ยินดีพลีร่างให้แกได้ปลดปล่อยอารมณ์ยังไม่ชอบใจอีกเหรอ"
"หยุดพูดจาต่ำทรามเดี๋ยวนี้นะ"
บุหงาโน้มคอชาติสยามลงมาใกล้ แล้วพูดจายั่วยวนเขาอีกครั้ง
"เชื่อฉันเถอะน่า...ลีลาของกระดังงาลนไฟอย่างฉันน่ะ มันถึงใจกว่าเด็กไร้เดียงสาอย่างนังขมเยอะ ต่อให้ยายรุ้งกาญจน์ก็เถอะ ได้ไม่ถึงครึ่งของฉันหรอก"
บุหงาประกบริมฝีปากของเธอไปบนริมฝีปากของชาติสยาม
ชาติสยามยกร่างของบุหงา ทุ่มลงไปบนโซฟา
เขาชี้หน้าด่าบุหงาอย่างไม่อายใคร
"พอทีเถอะ ถ้ายังไม่หยุดทำอย่างนี้อีก ผมจะไม่เกรงใจอีกต่อไป และผมจะแฉเรื่องเลวร้ายทั้งหมดของคุณ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับนายแฟรงกี้ ผมจะใช้ข้อมูลทั้งหมดที่ผมมี สืบไปจนถึงต้นตอว่าคุณทำความชั่วอะไรไว้บ้าง ทั้งเรื่องในอดีตและปัจจุบัน...ถึงตอนนั้น ลีลาเร่าร้อนแค่ไหน ก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก คุณบุหงา"
ชาติสยามเดินออกไปจากไนท์คลับนี้
บุหงาได้แต่นั่งจุก หัวเปียก กระเซอะกระเซิงไปทั้งร่าง
อ่านต่อตอนที่ 16