ดงผู้ดี ตอนที่ 14 : “รุ้งกาญจน์” บอก "ชาติสยามคะ เราเลิกกันเถอะค่ะ"
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
ต่อมา บุหงาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสะใจกับรุ้งกาญจน์ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
"บอกแล้วว่านังเด็กขมน่ะมันไว้ใจไม่ได้ ทำเป็นตีหน้าซื่อ ร้องห่มร้องไห้ น่าสงสาร อะไรนิดอะไรหน่อยก็หนีออกจากบ้าน"
รุ้งกาญจน์ เอ่ยปากเสียงเรียบ สีหน้านิ่ง
"ถ้าฉันโดนกระทำแบบขม ฉันก็คงหนีไปเหมือนกัน"
"มันจะไม่เหมือนก็ตรงที่ นังขมมันจงใจหนีเพื่อยั่วให้ผู้ชายตาม"
"ฉันอาจจะทำเพื่อหวังผลแบบเดียวกันก็ได้ แต่บังเอิญผู้ชายคนนั้นเขาไม่คิดจะตามฉัน" รุ้งกาญจน์ประชด
"เพราะมารยานังขมมันร้อยเล่ห์เพทุบายมากกว่าเธอน่ะสิ...ดูเถ๊อะ ตัวแค่นี้ยังร้ายได้ขนาดนี้ อีกหน่อยคงมีผัวเป็นร้อยแน่ๆ"
"พอทีเถอะ ฉันอยากนั่งเงียบๆคนเดียว ไม่อยากฟังสำนวนต่ำๆ ทรามๆแบบนี้"
"แหม อุตส่าห์หวังดีตามมาเป็นเพื่อน"
ที่แท้ บุหงาตามรุ้งกาญจน์มาจากบ้านพุทธชาด
"ฉันไม่ได้ร้องขอ"
"แต่ฉันอยากแนะนำ...เราต้องรู้ให้ได้ว่าห้าวันที่ผ่านมา มันไปซุกหัวกันอยู่ที่ไหน"
"เพื่ออะไร ?"
"ประจานไง เราต้องประจานความต่ำทรามของคนคู่นี้ให้ถึงที่สุด จะปล่อยให้มันแอบกินลับหลังเราอย่างนี้ได้ยังไง...บุกไปบ้านนายชาติสยามเลยมั้ยคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ ฉันไปเป็นเพื่อนเธอเอง ไหนๆเราก็พวกเดียวกันแล้ว"
รุ้งกาญจน์ปั้นหน้า ฉงน
"เรา? พวกเดียวกัน ? เหรอ"
"ยังไม่รู้อีก ?"
"ฉันว่าไม่นะ...เราอยู่กันคนละขั้วค่ะ คุณกลับบ้านไปหาสามีคุณดีกว่า...ฉันจะเป็นอย่างที่ฉันเป็น แล้วเขาจะวิ่งมาหาฉันเอง เราจะคุยกันด้วยเหตุผล ซึ่งอาจจะแรงกว่าวิธีต่ำๆแบบคุณก็ได้"
บุหงาหน้าชาไปพอสมควร
คืนนั้น รุ้งกาญจน์เปิดประตูบ้านเดินมา ซ่อนกลิ่นก้าวเข้าไปยืนเบื้องหน้า
"รุ้ง"
"มีอะไรเหรอป้า"
"เขามาที่นี่ นั่งรออยู่ในห้องรับแขก...ต้องการให้ป้าอยู่ด้วยมั้ย"
"ไม่จำเป็นค่ะ"
รุ้งกาญจน์เดินตรงเข้าไปยังโถงกลางบ้าน ชาติสยามนั่งนิ่ง รออยู่แล้ว
รุ้งกาญจน์เดินไปนั่งเบื้องหน้าชาติสยาม โดยไม่พูดอะไร
ชาติสยามจึงเอ่ยปากออกมาก่อน
"รุ้ง...ผมขอโทษ"
"คุณไปไหนมา"
"ผมตั้งใจมาหาคุณ ป้าคุณเปิดประตูให้ผมเข้ามา"
รุ้งกาญจน์เอ่ยปากด้วยเสียงที่ดังขึ้น และมีอารมณ์ไม่พอใจมากขึ้น
"ฉันหมายถึงห้าวันที่ผ่านมา...คุณหายหัวไปไหนมาไม่ทราบ"
"แปดริ้ว"
"แปดริ้ว ?"
"บ้านสวนที่เพื่อนเก่าของผมสร้างไว้ให้ผมนานแล้ว มันอยากให้ผมไปทำสวนด้วยกันตอนแก่"
รุ้งกาญจน์ถอนหายใจ แสดงท่าทีผิดหวังอย่างแรง
"สิบกว่าปีที่เราคบกันมา คุณไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเลย"
"ผมตั้งใจจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์คุณ...มันจะเป็นของขวัญวันแต่งงานที่ผมตั้งใจให้คุณ"
"แต่คุณกลับพาผู้หญิงอื่นไปที่นั่นก่อนฉัน และค้างคืนด้วยกันถึงห้าคืน...มันยังจะเป็นของขวัญที่ฉันภูมิใจได้อีกเหรอคะ...อย่าบอกนะว่า พากันไปซ่อมบ้าน ทาสี ทำสวน ตกแต่งบ้านให้สวยงามเพื่อให้ฉันตื่นเต้นด้วย"
ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากชาติสยาม นอกจากอาการ นิ่ง อึ้ง
รุ้งกาญจน์ยิ่งทวีความผิดหวังมากขึ้นไปอีก
"มีความสุขมากมั้ยคะ อาสยาม"
"รุ้ง...ขมถูกคนบ้านพุทธชาดทำร้าย รังแก จนขมหนีเตลิดเปิดเปิง และจะไม่ยอมกลับมา...ผมแค่พาขมไปหลบที่ไหนซักที เพื่อปรับอารมณ์เขา จนเขายอมกลับไปอยู่บ้าน ก็เท่านั้นเอง"
"แล้วทำไมไม่บอกฉันก่อน"
"ก็คุณหนีผมไป"
"แล้วคุณไม่คิดจะตามหาฉัน เหมือนที่ตระเวนตามหาขมบ้างเหรอ"
"ก็ทุกครั้งที่คุณงอนผม หรือหนีผม คุณไม่เคยต้องการให้ผมตามไปซักครั้ง คุณบอกว่าเมื่อคุณอารมณ์ดีขึ้นคุณจะกลับมาเอง ไม่ต้องตกใจ"
"แล้วคุณก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ? คุณไม่เคยคิดบ้างเหรอว่า ฉันพูดอย่างนั้นเพื่อให้คุณตามง้อฉันมากขึ้น...ไม่เคยคิดเลยใช่มั้ย ?"
"คุณไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นนี่"
"แต่ขมคือผู้หญิงแบบนั้นสำหรับคุณ"
"รุ้ง ผมขอโทษ"
รุ้งกาญจน์เอ่ยปากถามย้ำด้วยคำถามเดิม น้ำเสียงเยือกเย็นขึ้น
"มีความสุขมั้ยคะ"
ชาติสยามตอบไม่ได้
"มีความสุขกับสิ่งที่ทำลงไปมั้ย กับการได้เป็นซุปเปอร์อา ที่แก้ปัญหาให้หลานรัก และสร้างความสุขให้หลานสาวได้ทุกครั้งที่เธอต้องการ...มีความสุขมั้ยคะ"
ชาติสยามยังคง นิ่ง เงียบ
"ฉันคิดว่าเราควรจะห่างกันซักพัก"
"แต่ผม..."
"ฉันต้องการอยู่คนเดียว และเป็นการอยู่คนเดียวอย่างแท้จริง ไม่ใช่อาการงอนแต่อย่างใด"
"รุ้ง ผม..."
"ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าคุณค่ะ เข้าใจนะคะ"
รุ้งกาญจน์เดินออกไปจากห้องนี้ ชาติสยามนั่งซึม
เวลาเดียวกัน โขมพัสตร์นั่งนิ่งอยู่หน้าเรือน นมผ่อนค่อยๆเดินเข้ามานั่งข้างๆ
"นอนไม่หลับเหรอ"
"ค่ะ"
"ย้ายไปอยู่เรือนใหญ่น่ะดีแล้ว จะได้ไม่ถูกใครกลั่นแกล้งอีก...ไม่เห็นจะต้องเครียดเลยนี่นา"
"ขมไม่ได้เครียดเรื่องนั้นค่ะ...ขมรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้อาสยามกับอารุ้งทะเลาะกัน"
"ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราสักนิด"
"เกี่ยวสิป้า ถ้าไม่มีขมก็จะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น...ขมไม่อยากให้อารุ้งเกลียดขมเลย"
"ถ้าเขาจะเกลียดเราด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ก็อย่าไปสนใจเขาเลย ขมเอ๊ย อย่าเอาชีวิตไปยึดติดกับคนอื่นนัก...ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้เข้าเรือนใหญ่แต่เช้ามืด"
นมผ่อนขยับตัวจะเดินเข้าเรือน
ขมตัดสินใจเอ่ยปาก
“ป้านมผ่อน ขมมีอะไรจะสารภาพ”
ผ่อน “อะไรเหรอ ?”
ขม “ขมไม่ได้ไปอัมพวา ไม่ได้ไปกับคณะผ้าป่าของครูสมพร”
ผ่อน “อ้าว...แล้วขมไปอยู่ที่ไหนมา”
ขม “แปดริ้ว”
ผ่อน “แปดริ้ว !”
ขม “อาสยามพาขมไปบ้านสวนที่แปดริ้วจ้ะ”
นมผ่อนถอนหายใจเบาๆ
“เข้าใจละ”
เช้าวันใหม่ ไพลินเดินนำโขมพัสตร์เข้ามาในห้องนอนของเรือนใหญ่ เธอมองไปรอบๆห้อง หน้านิ่ง
"เป็นยังไง น่าอยู่มั้ย"
"ค่ะ"
"แต่หน้าตาท่าทางเราดูไม่ตื่นเต้นเลย เหมือนจะไม่ชอบห้องนี้เอาด้วยซ้ำ"
"ขมไม่เคยมีห้องนอนใหญ่อย่างนี้มาก่อน ยังทำตัวไม่ถูกค่ะ...ถ้าป้านมผ่อนอยู่กับขมด้วยก็คงจะดี"
"เราโตเป็นสาวแล้ว จะอยู่ร่วมห้องกับนมผ่อนตลอดไปได้ยังไง...ไม่ต้องกังวลน่า อีกวันสองวันก็จะชินไปเอง แล้วห้องนี้จะเป็นห้องส่วนตัวที่ให้ความสุขและความอบอุ่นกับขมตลอดไป"
"ตลอดไป ?"
"ก็...จนกว่า พ่อพิทย์จะมารับขมนั่นแหละ"
โขมพัสตร์ยกมือไหว้ไพลินอย่างงดงาม
"ขอบพระคุณคุณไพลินมากค่ะ ที่กรุณาต่อขม"
"อยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกฉันนะ"
ไพลินขยับตัวจะเดินออกไป แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันมาหาขมอีกครั้ง
"ฉันกับคุณแม่คิดว่าจะแวะไปอัมพวาซักวันนึง อยากขอบคุณครูสมพรที่ช่วยดูแลเธอ บางทีเราอาจจะจัดกองผ้าป่าร่วมกับครูซักครั้งนึงก็ได้"
"อ๋อ ค่ะ"
"หรือไม่ก็ชวนเขามาเที่ยวที่นี่ อาจจะให้พักกับขมซักคืนสองคืน ดีมั้ย"
"ค่ะ"
"จะพาอาชาติสยามของเธอมาดูห้องนี้ด้วยอีกคนก็ได้นะ เขาจะได้เห็นกับตาว่า ฉันดูแลเธอดีแค่ไหน"
"ช่วงนี้ อาสยามน่าจะใช้เวลากับอารุ้งเป็นส่วนใหญ่น่ะค่ะ"
"อือม จริง...เดี๋ยวจะผิดใจกันไปเพราะเราซะฉิบ"
ไพลินเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้โขมพัสตร์นั่งซึมเพียงลำพัง
เช้าวันใหม่ ชาติสยามเอื้อมมือกดออดหน้าบ้านรุ้งกาญจน์ ประตูบ้านจึงเปิดออก ซ่อนกลิ่น ยืนหน้านิ่ง ไร้รอยยิ้ม
"ผมมาหารุ้งครับ"
"เมื่อวานก็เจอกันแล้วไม่ใช่เหรอ คุยกันเสียงดังเอะอะลั่นบ้าน จนฉันอายคนแถวนี้จะแย่อยู่แล้ว นี่ยังจะมาคุยต่อวันนี้อีกเหรอ"
"เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องครับ และผมจะปล่อยให้มีอะไรค้างคาใจแบบนี้ไม่ได้"
"แต่ยายรุ้งบอกฉันว่ามันจบแล้ว"
"รุ้งจบ แต่ผมไม่จบครับ"
"เอ๊ะ พูดไม่รู้ฟังนะเรา"
"ป้าก็ไม่ยอมฟังผมเหมือนกัน"
"ทำไมฉันจะต้องฟังผู้ชายเห็นแก่ตัวอย่างคุณด้วย"
"ผมเห็นแก่ตัวตรงไหน"
"ทั้งหมดที่คุณทำกับหลานฉันนั่นหละ คือความเห็นแก่ตัว และที่ยังตามตื๊อหลานฉันอย่างนี้ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวของคุณมากยิ่งขึ้น เขาถึงขนาดไล่ไปแล้ว ไม่อยากพบไม่อยากคุยแล้ว ยังไม่ยอมรับความจริงอีก คุณเป็นคนแบบไหนกัน"
"แบบรักใครรักจริง และจะไม่ยอมเสียคนรักไปง่ายๆไงล่ะครับ"
"โอ๊ย...พูดซะเป็นพระเอกเชียวนะ"
"ใช่ และผมต้องการพูดกับนางเอกของผม ไม่ใช่ป้านางเอกอย่างคุณ"
"เสียใจ ยายรุ้งไม่อยู่ และไม่ต้องถามนะว่าเขาไปไหน เพราะฉันไม่บอก ฉันจะไม่ยอมให้หลานสาวของฉันต้องเจ็บปวดเพราะผู้ชายอย่างคุณอีกเป็นอันขาด"
ชาติสยามนิ่งอึ้ง
"ได้ยินแล้วก็ออกไปจากหน้าบ้านฉันซะที หรือต้องให้พูดซ้ำ"
ชาติสยามขยับตัวจะเดินออก แต่แล้วเขาก็หันมาพูดกับซ่อนกลิ่นอีกครั้ง
"คุณป้าเคยอกหักมั้ยครับ"
ซ่อนกลิ่น ฉงน งุนงงในคำถาม
"ผมว่าไม่เคย เพราะคุณป้าคงไม่เคยมีความรัก แต่ถ้าจะพูดให้ชัด ผมว่าคนอย่างคุณป้าน่ะ ไม่เคยมีใครรักมากกว่า"
"แกว่าฉันเหรอ"
"เปล่าครับ...ผมแค่คิดออกมาดังๆ เมื่อคิดได้อย่างนี้ ผมจึงเข้าใจทุกอย่างที่คุณป้าพูด ก็เท่านั้นเอง"
ชาติสยามเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
ตอนกลางวัน ที่โต๊ะอาหารในมุมลับตา ไอ้หมึกนั่งอยู่ บุหงาเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะตัวนี้
"ได้เรื่องอะไรมาบ้าง เล่าให้หมด เอาเนื้อๆ ไม่ต้องเยิ่นเย้อ ฉันไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับแกนานนัก"
"ผมได้คุยกับพวกโชเฟอร์แท๊กซี่แล้ว มีอยู่สี่คันที่ผลัดกันมารับคุณแฟรงกี้...คันแรก โชเฟอร์สูงวัยหน่อยรับส่งคุณแฟรงกี้จากโรงแรม ไปฟลามิงโก้คลับที่เดียวเท่านั้น"
"คันที่สอง ?"
"คันที่สอง โชเฟอร์เป็นเด็กวัยรุ่น ถนัดเรื่องการพนัน มันจะรับส่งคุณแฟรงกี้เฉพาะวันที่ไปเล่นม้าเท่านั้น"
"คันที่สามล่ะ ?"
"คันที่สามกับคันที่สี่...ยังหาตัวไม่เจอ"
"อ้าวไอ้หมึก ไอ้เวร แกเอาเงินฉันไปตั้งแยะ ได้เรื่องมาแค่นี้ ?"
"โธ่ แค่นี้ก็เลือดตาแทบกระเด็นนะครับ"
"งั้นก็รีบไปซับเลือดซะ แล้วตามหาอีกสองคันให้เจอ แล้วค่อยมาบอกฉัน ไม่ใช่ยังไม่ได้เรื่องอะไรก็เสือกนัดฉันมาอย่างนี้ ไม่เอา เข้าใจมั้ย"
"เข้าใจครับ"
บุหงาขยับตัวลุกขึ้นจะเดินออกไป
ไอ้หมึกรีบเรียกไว้
"เอ้อ คุณบุหงาครับ"
"อะไรอีก ?"
"ผมจำเป็นต้องใช้เงินครับ"
"ฉันให้แกไปตั้งเยอะ"
"ไม่พอครับ"
"ไม่พอ ? มึงเอาไปทำอะไรถึงไม่พอ เอาไปไถ่ที่นารึไง"
"ก็โชเฟอร์พวกนี้มันหัวหมอนี่ครับ...ถ้าเงินไม่ถึง มันไม่มีวันเปิดปากครับ"
บุหงาถอนใจเหนื่อยหน่าย
"โดยเฉพาะไอ้สองคันที่เหลือนี่ มันเรียกเงินเป็นพันๆเลยนะครับ"
"โอ๊ย มากเกินไป !"
บุหงาล้วงหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า
"เอ้า วันนี้ฉันมีติดตัวมาเท่านี้ เอาไปให้มัน บอกมันว่าอย่าโลภมากนัก ไม่งั้นมันจะไม่ได้เลยแม้แต่บาทเดียว"
"ครับ"
ไอ้หมึกรับเงินแล้วเดินออกจากร้าน
ต่อมา ชาติสยามเดินตรงเข้าไปหานมผ่อนที่เตรียมอุปกรณ์ทำครัวอยู่
"สวัสดีครับป้านม"
"คุณชาติสยาม แวะมาหาฉันหรือมาหาใครคะ"
"มาหาป้านมครับ"
"หาฉัน ?"
"ครับ...หลังจากไปหาขม แล้วไม่เจอ"
"ว่าแล้วเชียว"
"คนที่เรือนใหญ่บอกว่าขมออกไปกับหนุ่มๆบ้านตึกขาว แต่ไม่รู้ว่าไปไหน"
"ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน...ไม่รู้ว่าหนุ่มสาวสมัยนี้เขามีที่ไปที่ไหนกันบ้าง คุณน่าจะรู้มากกว่าป้า"
ชาติสยามส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนเอ่ยปาก
"ผมขอนั่งเล่นแถวนี้ซักพักนึงนะครับ"
"เชิญเลยจ้ะ"
ชาติสยามขยับหาที่นั่งที่เหมาะสม นมผ่อนตัดสินใจเอ่ยปาก
"อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ...ป้าถามนิดนึงเถอะ...ทะเลาะกับคนรักเหรอ"
"ครับ"
"เรื่องที่คุณพาขมไปบ้านสวนโดยไม่บอกใครใช่มั้ย"
ชาติสยามถอนใจออกมา
"ขมคิดว่าต้นเหตุมาจากเธอ เธอก็เลยอยากห่างจากคุณสักพัก"
"เหลวไหล ถ้าจะมีใครผิด คนนั้นก็คือผม ไม่ใช่ขม"
ในห้องสมุดใหญ่ โขมพัสตร์นั่งนิ่งซึม มีรัฐ รัมภ์ และรติรส นั่งร่วมโต๊ะล้อมรอบ
ทุกคนมองโขมพัสตร์ด้วยความเป็นห่วง
"เราไปที่อื่นกันดีกว่ามั้ย ที่ที่มันใช้เสียงได้น่ะ จะได้ไม่ต้องนั่งซึมแบบนี้"
รติรสถาม "ขม เป็นอะไรรึเปล่า ?"
โขมพัสตร์ส่ายหน้า
รัฐหันไปพยักหน้าให้สัญญาณกับรัมภ์และรติรส ทั้งสองจึงพากันลุกออกไปจากโต๊ะนี้
รัฐค่อยๆเอ่ยปากถามโขมพัสตร์อย่างนุ่มนวล
"ขม มีเรื่องกังวลใจอะไรบอกพี่ได้มั้ย"
โขมพัสตร์ส่ายหน้าอีกครั้ง
รัฐบอก "ขมชวนพวกเรามาห้องสมุด แต่ขมไม่สนใจจะอ่านหนังสือแม้แต่เล่มเดียว...พี่
เห็นแล้ว อดเป็นห่วงไม่ได้...มีอะไรที่พี่พอจะช่วยขมได้ ขอให้บอกนะ"
โขมพัสตร์หันมามองหน้ารัฐ ก่อนตัดสินใจเอ่ยปาก
"พี่รัฐช่วยขมได้แน่นะ"
"แน่สิ"
"ขมอยากอยู่ห่างอาชาติสยามซักพัก...ถ้าอาสยามมาหาขม พี่รัฐช่วยพาขมไปไหนก็ได้ เพื่อไม่ต้องเจอหน้าอา ได้มั้ยคะ"
รัฐยิ้มรับคำในทันที
"ได้สิ ไม่ยากเลย...แต่ขมบอกพี่ได้มั้ยว่า โกรธอะไรอาชาติสยามเหรอ ?"
"เปล่าค่ะ ขมแค่อยากอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งอาสยามมากนัก...พี่รัฐเต็มใจช่วยขมมั้ย"
"เต็มใจอย่างยิ่งจ้ะ"
อีกมุมหนึ่ง ในห้องสมุด รติรสและรัมภ์นั่งมองไปยังท่าทีและการสนทนาของโขมพัสตร์กับรัฐ
รติรสเอ่ยปากออกมาก่อน
"ขมยอมคุยกับพี่รัฐแล้วนี่"
"ใช่...นายรัฐถึงได้หน้าระรื่นซะขนาดนั้น"
สายตาของรติรสมีความน้อยใจผุดขึ้นมาให้เห็นนิดๆ
"รู้มั้ยแววตานายรัฐที่จ้องมองขม เหมือนอะไร"
"เหมือนอะไร ?"
"เหมือนแววตารสเวลามองพี่รัฐไง"
รติรสหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอรีบปฏิเสธ
"ไม่ใช่ซะหน่อย"
"อย่าเถียงเลย"
"เถียงค่ะ"
"เถียงไปก็ไม่ชนะหรอก เพราะรสไม่เคยเห็นแววตาตัวเองว่าเป็นยังไง พี่ต่างหากเป็นคนที่เห็นอยู่ตลอดเวลา"
"สิ่งที่พี่เห็น กับสิ่งที่รสเป็น อาจจะไม่ตรงกันก็ได้"
"พี่ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะพี่ไม่ชอบเห็นคนช้ำใจ เพราะแอบรักเขาข้างเดียว...ขอโทษนะที่พี่พูดตรงๆ"
รติรสหลบตา ก้มหน้านิ่ง
"ถึงเวลาที่รสต้องเก็บสายตาแบบนั้นไว้ให้คนอื่นบ้างแล้วหละ...ถ้ายังไม่รู้ว่าจะให้ใคร ฝากไว้ที่พี่ก็ได้นะ"
วันเดิม ชาติสยามนั่งซึม บริเวณหน้าบ้านพุทธชาด
รถแท๊กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดไม่ไกลจากชาติสยาม
บุหงาลงจากรถคันนี้ เธอยิ้มดีใจ
"นึกว่าหนุ่มหล่อที่ไหนมานั่งซุ่มรอสาวอยู่แถวนี้...ที่แท้ก็คุณชาติสยามนี่เอง...ว่าแต่มาดักรอใครเหรอคะ คงไม่ใช่บุหงาหรอกนะ"
ชาติสยามถอนใจแสดงอาการเบื่อหน่าย
บุหงาขยับตัวลงนั่งข้างๆเขา
ชาติสยามขยับหนีอย่างไม่เกรงใจ
"ไม่ต้องทำท่ารังเกียจดิฉันมากขนาดนี้ก็ได้นี่คะ"
"ผมไม่ได้ทำท่า"
"ไม่รู้ตัวละซี"
"รู้ครับ รู้ตัวและตั้งใจที่จะแสดงความรู้สึกที่มีต่อคุณอย่างไม่ปิดบัง"
บุหงากระเถิบเข้าใกล้ชาติสยามอีกนิด ด้วยท่วงท่าเซ็กซี่
"ลองเปิดใจกว้างๆหน่อยสิคะ แล้วคุณจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อฉัน"
"ไม่มีวัน"
"คุณรุ้งกาญจน์ยังเปลี่ยนได้เลย"
สยามจ้องหน้าบุหงาด้วยความฉงน
"รุ้งกาญจน์ ?"
"คุณอาจจะแปลกใจ ถ้ารู้ว่าคุณรุ้งกาญจน์มาปรึกษาดิฉันเรื่องคุณ"
"เป็นไปไม่ได้"
"เป็นไปแล้วค่ะ เธออยากระบายความไม่สบายใจที่คุณมีผู้หญิงอื่นมาติดพันและพัวพันมากกว่าเธอ โดยการอ้างตัวว่าเป็นหลาน...โถ ไม่ใช่หลานแท้ๆทางสายเลือดซะหน่อย เป็นใครก็ย่อมคิดไปต่างๆนาๆได้ทั้งนั้น กระทั่งตัวขมเองก็เถอะ ขมก็อาจคิดกับคุณไปไกลได้ไม่แพ้กัน...ระวังนะคะ ถ้าคุณไม่จัดการอะไรๆให้มันจบไปละก้อ มีหวังคุณได้เสียรุ้งกาญจน์ไปแน่ๆ แต่ถ้าไม่รู้จะง้อเธอยังไง ปรึกษาดิฉันได้นะคะ"
"ขอบคุณครับ"
"ด้วยความยินดี"
"ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้สึกอยากกลับบ้านซะที"
เย็นต่อเนื่องมา รัฐและรัมภ์เดินนำโขมพัสตร์และรติรสเข้ามาในห้องโถงตึกขาว
"นั่งเล่นที่นี่ก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปเอาผลไม้มาให้กิน"
รัมภ์ถาม "หรืออยากจะรีบกลับ"
"รส แล้วแต่ขม"
"อีกสักพักดีกว่าค่ะ"
"อยากกลับตอนไหนบอกนะ พี่จะเดินไปส่ง"
บุหงาเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยปากพูด
"กลับพร้อมน้าก็ได้ จะได้ไม่ต้องกวนคุณรัฐกับคุณรัมภ์"
รัฐ-รัมภ์คาดไม่ถึง "คุณบุหงา"
"เห็นฉันแล้วทำไมต้องตกใจ"
"ไม่ได้ตกใจครับ แค่แปลกใจ"
"ฉันมีธุระอยากคุยกับขมน่ะ อยู่บ้านพุทธชาดคงหาโอกาสคุยด้วยลำบาก ก็เลยต้องมาดักรอที่นี่...แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันขออนุญาตคุณยายของคุณทั้งสองแล้ว เหลือแต่เธอนั่นแหละขม จะอนุญาตให้ฉันคุยด้วยได้มั้ย"
ทุกคนมองไปที่โขมพัสตร์ เธอพยักหน้าให้บุหงา
"ขอใช้มุมสงบซักมุมนะคะ หนุ่มๆ"
ในมุมสงบ ร่มรื่นที่บ้านตึกขาว บุหงาและโขมพัสตร์ขยับตัวลงนั่งที่นั่น
"คุณบุหงามีธุระอะไรกับดิฉันเหรอคะ"
"ที่จริงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่ฉันเห็นแล้ว อดเป็นห่วงไม่ได้ ก็เลยต้องเอามาเป็นธุระซะเอง"
"เรื่องอะไรคะ"
"เรื่องระหว่างเธอกับอาชาติสยามและรุ้งกาญจน์แฟนเขา"
สีหน้าของโขมพัสตร์หม่นลงไป ไม่สู้ดีนัก
"วันนี้ฉันได้คุยกับคุณชาติสยาม เขาปรึกษาปัญหานี้กับฉัน ฉันเห็นใจทั้งสามคนเลยนะ มันเป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน และเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้กับทุกคน"
โขมพัสตร์นั่งฟังอย่างสนใจ
"แต่ต้องบอกว่าการตัดสินใจของเธอนั้นถูกต้องแล้ว ที่แยกตัวออกห่างจากฝ่ายชาย เพราะเป็นทางเดียวที่เขาทั้งสองจะกลับมาคืนดีกันได้"
"อีกนานมั้ยคะ"
"เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา ปุปปัปคืนดีกันทันทีเลย คงจะยาก เพราะฉะนั้นถ้าเธอตัดขาดจากอาของเธอได้จริงๆ มันจะ สุดยอดที่สุด"
"ตัดขาดจริงๆ แปลว่าอะไรคะ"
"เลิกคบไง เลิกคบกันไปเลย...พูดอย่างนี้เข้าใจมั้ย ตัดขาดจากการเป็นอาเป็นหลานไปเลยน่ะ"
โขมพัสตร์ถึงกับอึ้ง
บุหงาจึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงคล้ายปลอบโยน
"มันอาจจะยากสักหน่อย แต่เธอต้องใจแข็ง ไอ้แค่หลบหน้า ไม่ยอมเจอสักสี่ห้าวัน ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก...เชื่อฉันนะ เธอต้องใจแข็ง ตัดให้ขาด...ถ้าเขาตามตื๊อเธอก็ไม่ต้องตกใจ ฉันจะช่วยกันเธอออกมาจากเขาเอง...ตกลงมั้ย"
"ค่ะ"
รถแท๊กซี่แล่นมาจอดหน้าบ้าน รุ้งกาญจน์ก้าวลงลงจากรถ
ชาติสยามก้าวเข้ามาประชิดตัวรุ้งกาญจน์
"รุ้ง"
รุ้งกาญจน์มีท่าทีเมินเฉยอย่างเห็นได้ชัด
"เราไม่ได้มีนัดกันนะ"
"ผมต้องการคุยกับคุณ"
"วันนี้ฉันเหนื่อยมาทั้งวัน วันหลังดีกว่า"
"วันไหน เมื่อไหร่ล่ะ ?"
"เมื่อคุณกับฉันมีความเห็นตรงกันเรื่องการเปิดเผยความจริงของขม วันไหนก็วัน
นั้น"
"โธ่ รุ้ง"
ชาติสยามมีท่าทีลำบากใจชัดเจน
"กลับไปซะเถอะ หรือจะรอให้ป้าฉันออกมาไล่"
"คุณไม่เหลือเยื่อใยกับผมเลยเหรอ"
"เยื่อใยไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้เราเจ็บช้ำ...ฉันจะเข้าบ้านละ พรุ่งนี้ฉันมีนัดสัมภาษณ์งานแต่เช้า"
ชาติสยามมีสีหน้าประหลาดใจ
"คุณไปสมัครงานเหรอ ?"
"ใช่ ฉันต้องมองหาความมั่นคงให้ตัวเองบ้าง เผื่อว่าอนาคตจะต้องอยู่ตัวคนเดียว"
"คุณทำเหมือนกำลังจะเลิกกับผม"
"ใกล้เคียงค่ะ"
"แปลว่าอะไร ?"
"ถึงเวลาที่เราควรอยู่ห่างกันได้แล้ว มันน่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องที่สุด"
"ไม่จริง...รุ้ง ผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อะไรที่คุณไม่ชอบ ผมจะปรับปรุงแก้ไขทุกอย่าง บอกมาเลย"
"คุณต้องเปลี่ยนด้วยสำนึกและความเข้าใจของคุณเอง ไม่ใช่ถามฉัน"
ชาติสยามนิ่งอึ้งไป
"เปลี่ยนได้เมื่อไหร่ค่อยมาหาฉันก็แล้วกัน"
รุ้งกาญจน์เดินหายเข้าไปในบ้านของเธอ
ตอนเช้า บุหงายืนหมุนโทรศัพท์ที่มุมหนึ่งในบ้าน เธอเอ่ยปากพูดเมื่อมีสัญญาณจากปลายสาย
"สวัสดีค่ะ ขอพูดกับคุณรุ้งกาญจน์หน่อย"
"มีอะไรเหรอคะคุณบุหงา"
"อุ๊ยตาย...จำเสียงดิฉันได้ด้วย"
"ฉันจำได้ทุกอย่างไม่ใช่เฉพาะเสียง ที่จำแม่นที่สุดก็นิสัย"
"เราเริ่มต้นบทสนทนากันด้วยความเป็นมิตรดีกว่ามั้ยคะ"
"เชิญคุณเริ่มเลย"
บุหงาบอก "ฉันขออาสาเป็นคนแก้ปัญหาให้คุณ"
"ไม่เหมาะมั้ง"
"ลูกผู้หญิงช่วยลูกผู้หญิงด้วยกัน ทำไมจะไม่เหมาะ ฉันอาจจะทำอะไรขัดหูขัดตาคุณไปบ้าง แต่สิ่งที่เด็กขมทำ มันทำให้ฉันเห็นใจคุณไม่น้อย และฉันเชื่อว่า ฉันจะช่วยสะสางปัญหาระหว่างคุณกับชาติสยามได้"
"สำคัญตัวผิดไปหน่อยมั้งคะ"
"ฉันก็แค่จัดฉากให้พวกคุณได้เจอกัน จากนั้นการตกลงกันก็เป็นเรื่องของคุณ"
"ฉันนัดเองไม่ง่ายกว่าเหรอ"
"ถ้าคุณเป็นคนนัด พวกเขาก็จะวางแผนเตรียมตัวรับมือคุณได้ แต่ถ้าฉันนัดให้โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว คุณจะได้เห็นธาตุแท้ของพวกเขาได้ง่ายขึ้น"
"ช้าไปแล้วหละค่ะ ฉันจบเรื่องของฉันไปหมดแล้ว"
"อ้าว !"
"คุณอยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าหวังว่าจะใช้ฉันเป็นเครื่องมือเลย ไม่สำเร็จหรอก"
บุหงาวางโทรศัพท์ลงทันที
"อีบ้า !"
รุ้งกาญจน์วางโทรศัพท์ลง
ซ่อนกลิ่นเดินเข้ามาหา
"มีคนมาหาเธอ รุ้ง"
"รุ้งไม่อยากพบเขา"
"ไม่ใช่ชาติสยาม"
"แล้วใคร ?"
โขมพัสตร์ก้าวเข้าเบื้องหน้ารุ้งกาญจน์ โดยมีรัฐอยู่ข้างๆเธอ
"ขมเองค่ะ...ขมขอคุยกับอารุ้งหน่อยได้มั้ยคะ"
"เชิญ"
ขมยกมือไหว้รุ้งกาญจน์อย่างนอบน้อม
"อารุ้งขา ขมขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด"
"ใครใช้ให้เธอมา"
"ขมมาเองค่ะ ขมรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้อารุ้งกับอาสยามทะเลาะกัน"
"เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกอย่างนั้น ทุกคนมีความคิดของตัวเอง ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครเป็นต้นเหตุของใครนอกจากใจตัวเอง"
"อารุ้งโกรธอาสยามมากเหรอคะ"
รุ้งกาญจน์นิ่ง ไม่มีคำตอบให้
"อย่าโกรธอาเลยนะคะ สงสารอาสยามเถอะค่ะ อาสยามรักอารุ้งมาก อาพูดถึงอารุ้งตลอดเวลา"
"ตลอดเวลาที่อยู่กับเธอที่บ้านสวนแปดริ้วน่ะเหรอ"
"อาสยามพาขมไปแปดริ้วเพราะสงสารและเวทนาขม"
"ใช่ ใครๆก็สงสารเธอทั้งนั้นแหละขม ฉันก็สงสารเธอ...แต่ฉันจะไม่เอาความสงสารคนอื่นมาอยู่เหนือคนที่ฉันรัก ฉันจะไม่มีวันทิ้งเขาไปทั้งๆที่ยังทะเลาะกันอยู่ และฉันจะไม่โกหกเขาเพื่อเอาเวลาไปแก้ปัญหาให้คนอื่น เธอเข้าใจมั้ย"
"ขมขอโทษค่ะ"
"ฉันไม่ชอบฟังคำพูดซ้ำๆ"
"อารุ้งขา อารุ้งไม่เอ็นดูขมแล้วเหรอคะ"
รุ้งกาญจน์นิ่งไม่ตอบ
รัฐจึงเอ่ยปากขึ้น
"เรากลับกันเถอะ ขม"
"ซักวันนึง ขมจะชดใช้ในสิ่งที่ขมทำผิดพลาดไป...ขมสัญญาค่ะ"
สายๆ วันเดิม ชาติสยามเดินงัวเงียมารับโทรศัพท์กลางบ้าน
"ฮัลโหล..."
"ยังไม่ตื่นอีกเหรอจ๊ะพ่อหนุ่ม" บุหงาว่า
"ถ้ารู้ว่าต้องตื่นมาฟังเสียงคุณ ผมขอหลับไม่ตื่นเลยจะดีกว่า"
บุหงาพูดโทรศัพท์หน้าระรื่น
"แล้วคุณจะต้องเสียใจจนวันตาย ถ้าไม่ตื่นมาฟังเหตุผลที่ฉันโทร.มา"
"คุณมีเวลาสามสิบวินาที ก่อนที่ผมจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง"
"ฉันนัดรุ้งกาญจน์ให้คุณแล้วนะ คุณจะได้เคลียร์กันให้จบๆ"
"คุณได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้"
"ฉันจะรอดูว่า เรื่องของคุณกับรุ้งกาญจน์จะจบยังไง เราอาจจะมีอะไรร่วมกันหลังจากนั้นก็ได้...แต่ถ้าคุณไม่สนใจโอกาสที่ฉันหยิบยื่นให้ คุณจะตามตื๊อรุ้งกาญจน์ด้วยตัวเองต่อไปก็ตามใจคุณ"
ชาติสยาม ยืนครุ่นคิด นิ่ง
"ฉันจะโทร. ไปบอกเวลาและสถานที่อีกที ถ้าคุณสนใจ...หมดเวลาสามสิบวินาทีพอดีเป๊ะ ขอบคุณนะคะที่ทนฟัง"
บุหงาวางโทรศัพท์ลงทันที
ไม่นานนัก เสียงโทรศัพท์เครื่องเดิมก็ดังขึ้น บุหงายกโทรศัพท์เครื่องนี้ขึ้นแนบหู
ชาติสยามยืนพูดโทรศัพท์ที่บริเวณเดิม
"ผมต่อเวลาพิเศษให้อีกยี่สิบวินาที บอกเวลาและสถานที่นัดมาเลย"
"ได้ค่ะ"
บุหงาหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา แล้วเริ่มกระบวนการใส่ฟิล์มลงไปในกล้อง
ที่ร้านอาหารในเมือง โขมพัสตร์และรัฐนั่งอยู่ที่นั่น
"กินอะไรหน่อยมั้ยขม นั่งนิ่งๆอย่างนี้นานแล้วนะ"
"ขมกินอะไรไม่ลงค่ะ ขมโกรธตัวเองมากขึ้นทุกวัน จนไม่รู้จะทำยังไง"
"พี่ว่า ขมไม่ควรคิดมาก รอให้อารุ้งใจเย็นลงหน่อย เขาก็คงจะหายโกรธอาสยามเองนั่นแหละ ...กินหน่อยเถอะนะ"
รัฐตักอาหารเบื้องหน้าป้อนให้โขมพัสตร์
รติรสเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับรัมภ์
"โอ้โฮ ท่าป้อนข้าวแบบนี้เหมือนอยู่โรงพยาบาลมากกว่าอยู่ในร้านอาหารนะ"
รัฐหันมามองจ้องหน้ารัมภ์ ส่วนโขมพัสตร์เอาแต่นั่งนิ่งเครียด
"อ้าว...ไม่มีใครขำเหรอ ?"
"คุณรุ้งกาญจน์ว่ายังไงบ้าง ขม"
"อารุ้งไม่ค่อยอยากพูดกับขมเท่าไหร่"
"งั้นพี่ว่าเราไปดูหนังกันให้สบายใจดีกว่า...ใกล้เวลารอบบ่ายสองแล้ว ไปกันเลยดีมั้ย"
"พี่รัมภ์พี่รัฐพี่รสไปดูหนังกันเถอะค่ะ ขมดูไปก็ไม่สนุกหรอก...ขอเดินเล่นรออยู่แถวนี้แล้วกันนะคะ"
โขมพัสตร์เดินออกไปจากร้านอาหารอย่างเซื่องซึม ทุกคนมองตามไปด้วยความเป็นห่วง
รัฐจึงหันมาพูดกับน้องชาย
"นายกับรสไปดูกันสองคนแล้วกันนะ ฉันขอไปดูขมก่อน"
รัฐเดินออกจากร้านตามโขมพัสตร์ไป
"ดูขม มันจะสนุกกว่าดูหนังเหรอ ?" รัมภ์ว่า
"เรากลับกันเถอะพี่รัมภ์"
"อย่าเพิ่งสิ กินอะไรกันก่อนดีกว่า ไหนๆก็ออกมาแล้ว รอสองคนนั่นกลับมาแล้วค่อยดูรอบห้าโมงเย็นก็ได้"
"พวกเขาคงไม่อยากดูหรอกมั้ง"
"งั้นเราก็นั่งดูกันสองคนก็ได้ จะเป็นไรไป...ใช่มั้ย"
ไนท์คลับแห่งหนึ่ง ชาติสยามตามพนักงานเข้าไปในบาร์ที่มืดทึม ตรงไปยังโต๊ะที่อยู่ในมุมลับตา
บุหงานั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง ชาติสยามมีสีหน้าประหลาดใจ
"คุณแน่ใจเหรอว่า รุ้งนัดพวกเราที่นี่"
"ทำไมคะ มีอะไรผิดปกติเหรอ"
"รุ้งไม่เคยชอบสถานที่แบบนี้"
"ก็ไม่แปลกนี่คะ ถ้าเธอจะเปลี่ยนรสนิยมของเธอสำหรับเรื่องพิเศษๆแบบนี้ อย่างน้อยความเงียบสงบก็ช่วยให้เราสามารถแสดงอารมณ์ได้เต็มที่โดยไม่ต้องอายใคร...จะไม่นั่งเหรอคะพ่อหนุ่ม"
ชาติสยามจึงนั่งลง
"รุ้งบอกว่าจะมากี่โมงครับ"
เธอบอกว่าเย็นๆ ไม่ได้เจาะจงเวลาแน่นอนนัก...ก็คงอีกสักพักละค่ะ ดีแล้วที่เรามาก่อนเวลา จะได้ไม่พลาด"
บุหงายกมือเรียกพนักงาน
"ดื่มหน่อยนะคะ เพื่อความกระชุ่มกระชวย"
พนักงานนำเครื่องดื่มมารินให้ชาติสยาม เขาค่อยๆยกแก้วขึ้นดื่ม บุหงามองจ้องด้วยความพึงพอใจ
บนถนนซอกซอยใจกลางย่านชุมชน โขมพัสตร์นั่งบนฟุตบาธ เหม่อลอย ทอดสายตาไปไกล
รัฐเดินเข้ามาหาโขมพัสตร์
"หลบมาอยู่นี่เอง พี่ตามหาแทบแย่"
"พี่รัฐไม่ไปดูหนังเหรอคะ"
"ถ้าขมไม่ดู พี่ก็ไม่อยากดู"
"ทำอย่างนี้ พี่รสพี่รัมภ์ จะว่าขมได้นะคะ"
"ไม่หรอก ดีซะอีกที่พี่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง...พี่
ไปด้วยก็จะเป็นก้างขวางคอเขาเปล่าๆ"
"ก้างขวางคอ ?"
"พี่ว่าพวกเขาสองคน เหมาะสมกันจะตาย ถ้ามีโอกาสได้ใกล้ชิดกันก็จะเป็นคู่ที่น่ารักคู่นึง"
"เหมือนคู่ของอาสยามกับอารุ้ง...ถ้าไม่มีขม ป่านนี้คงแต่งงานมีครอบครัว มีความสุขไปแล้ว ขมเป็นตัวซวยจริงๆ อยู่ใกล้ใคร คนนั้นก็เดือดร้อน"
"แต่พี่ไม่เคยเดือดร้อน ที่อยู่ใกล้ขมนะ"
"อาจจะยังใกล้ไม่พอก็ได้ค่ะ"
"งั้นขมให้โอกาสพี่สิ ให้พี่ได้อยู่ใกล้ชิดขม พี่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ขมไม่ใช่ตัวซวย ขมคือแสงสว่างของพี่ต่างหาก"
รัฐมองโขมพัสตร์ด้วยสายตาที่มีความหมาย ส่วนเธอได้แต่มองหน้ารัฐโดยไม่มีความเห็นใดๆ
แก้วเหล้าของชาติสยามถูกเติมเหล้าโดยบุหงา หน้าของเขาแดงก่ำ มีบุหงานั่งเบียดชิดกายของเขา
ชาติสยามเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่มีความมึนเมาไม่น้อย
"ผมว่านี่มันผิดปกติแล้วหละ รุ้งกาญจน์ไม่เคยผิดเวลาขนาดนี้"
"เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติไงคะ เธออาจจะต้องการจังหวะเวลาที่เหมาะสมเป็นพิเศษ"
"จังหวะ เวลา ?"
"จังหวะที่อารมณ์คุณและเธอได้กันพอดี"
บุหงาเบียดร่างตัวเองเข้าใกล้ชาติสยามเข้าไปอีก เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาท้าทายยิ่งนัก
"ฉันถามตรงๆได้มั้ยคะ ถ้ารุ้งกาญจน์ไม่ยอมคืนดีกับคุณ คุณจะทำยังไง"
"ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า เวลาที่ไม่มีรุ้งจะเป็นยังไง"
"คุณไม่อยากลองมองตัวเลือกอื่นบ้างเหรอ"
"ผมไม่มีตัวเลือก ผมมีรุ้งคนเดียวเท่านั้น"
"ถ้าอย่างนั้น ลองบอกฉันซิ ว่าคุณจะตื๊อเธอยังไง"
"ผมยังไม่รู้เลย...ดูเหมือนว่า วิธีไหนๆก็ไม่ได้ผล"
"งั้นใช้วิธีของฉันมั้ยล่ะ...เราลองมาซ้อมกันดูก่อนเธอมาก็ได้"
"ซ้อม ?"
"สมมุติว่าฉันเป็นรุ้งกาญจน์"
"แล้วไง"
"ก็เริ่มจากมองตาฉัน"
บุหงาใช้มือประคองวงหน้าของชาติสยามให้อยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าเธอ
บุหงามองจ้องเข้าไปในตาชาติสยาม พร้อมกับเอ่ยปากเสียงกระเส่า
"ลองมองฉันสิ มองด้วยความรักทั้งหมดที่คุณมี สายตามีพลังมากกว่าคำพูดอีกนะ คุณรู้มั้ย"
ชาติสยามมองจ้องตาบุหงา
"จากนั้น ก็ใช้มือของคุณสัมผัสลูบไล้ไปตามเรือนร่าง เพื่อถ่ายทอดความรักให้เธอ..."
บุหงาแอบส่งกล้องถ่ายรูปให้บริกรที่ยืนรออยู่ใกล้โต๊ะ
"ขอผมดื่มอีกซักแก้วก่อนดีกว่า อารมณ์มันยังไม่ได้"
ชาติสยามยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด บุหงาจ้องมองท่าทีชาติสยาม และรอคอยด้วยความอดทน
รัมภ์และรติรส ทั้งสองยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม จานอาหารบนโต๊ะว่างเปล่า อาหารหมดเกลี้ยง
รัมภ์ตักอาหารคำสุดท้ายใส่ปากแล้วจึงพูด
"นี่พี่กินคนเดียวหมดเกลี้ยงเลยนะเนี่ย"
"ดีแล้วค่ะ เพราะรสไม่หิว"
"พี่ก็ไม่ได้หิว แต่พี่กินแทนรส เพราะไม่งั้นเราจะนั่งกันนิ่งๆโดยไม่มีอะไรทำ...ซึ่งตอนนี้เราต้องหาอย่างอื่นทำกันแล้ว เพราะพี่อิ่มเหลือเกิน"
"กลับบ้านเลยก็ได้นี่คะ"
"แต่เราต้องรอพวกเขาก่อนไง"
"พวกเขาจะกลับมาร้านนี้อีกเหรอคะ...ป่านนี้อยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้"
"เอาอย่างนี้นะ รสรอพี่อยู่ที่นี่ พี่จะไปตามหาสองคนนั้น แล้วจะกลับมาบอกว่า เราจะเอายังไง จะดูหนังด้วยกันทั้งสี่คน หรืออาจจะดูกันสองคน แค่พี่กับรส"
"หรืออาจจะแยกย้ายกันกลับบ้าน"
"กลับก็กลับด้วยกันสิ พี่ไปส่งรสเอง จะแยกย้ายทำไม บ้านเราติดกันออกอย่างนั้น เหมือนตัวเราติดกันตลอดเวลา"
"ตามใจพี่รัมภ์"
"รอพี่แป๊ปนึงนะ"
รัมภ์หันไปพูดกับพนักงาน
"เดี๋ยวผมมาจ่ายเงินนะครับ ขอไปตามเพื่อนก่อน เดี๋ยวมา"
รัมภ์เดินออกไป รสหันไปหาพนักงานคนนั้น
"ขอกระดาษกับปากกาหน่อยได้มั้ยคะ"
"ครับ"
พนักงานส่งกระดาษและปากกาให้รติรส
รติรสใช้ปากกาเขียนข้อความลงบนกระดาษแผ่นนั้น ข้อความที่รติรสเขียน อ่านได้ความว่า
“รสขอเดินเล่นแถวนี้สักพัก แล้วจะกลับบ้านเองค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ รติรส"
ที่ไนท์คลับ ชาติสยาม ยกแก้วเหล้าดื่มจนหมด บุหงาจ้องมองตาเป็นประกาย
"พร้อมซ้อมรึยังคะ"
"พร้อม"
"หลังจากสื่อสารด้วยสายตาแล้ว ทีนี้ก็มาถึงกายสัมผัส คุณต้องใช้อุ้งมือของคุณลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอ ตั้งแต่ ต้นขา เอว หัวไหล่ ซอกคอ แก้ม ริมฝีปาก บุหงาจับมือของชาติสยามลูบไล้ไปตามอวัยวะดังกล่าว และหยุดลงตรงริมฝีปาก"
บุหงาโน้มหน้าของชาติสยาม เข้ามาชิดติดใบหน้าของเธอ
"จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะ"
"พูด ?"
"พูดตามฉันก็ได้...รุ้งกาญจน์"
"คุณไม่ใช่รุ้ง"
"งั้นเรียกชื่อฉันสิคะ...บุหงา"
"บุหงา"
"บุหงา...ฉันรักคุณ"
ชาติสยามหุบปากนิ่ง ไม่เอ่ยตาม
"พูดไม่ได้เหรอ ?...ถ้าพูดไม่ได้ก็แสดงออกด้วยการกระทำ"
"กระทำ ?"
"จูบฉันสิคะ"
พนักงานคนนั้นหยิบกล้องขึ้นมาเล็ง
"จูบสิ...จูบที่ปากเลย...แบบนี้ไง"
บุหงาดึงชาติสยามเข้ามาจูบอย่างดูดดื่ม
แสงแฟลช วาบขึ้น จากการกดชัตเตอร์กล้องของพนักงาน
ชาติสยามผลักบุหงาออกห่างจากตัวทันที
"โอ๊ย"
"นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เลวที่สุด"
ชาติสยามกระชากกล้องจากพนักงาน แล้วดึงฟิล์มออกมาทำลายทิ้ง
"คิดว่าผมเมาจนไม่รู้เรื่องงั้นเหรอ"
"คุณรู้เรื่อง และคุณกำลังหลงไหลฉัน ต้องการฉัน คุณอย่าปฏิเสธความต้องการของคุณหน่อยเลย"
บุหงาพุ่งเข้าไปสวมกอดชาติสยามอีกครั้ง ชาติสยามผลักบุหงากระเด็นออกไป แรงกว่าครั้งแรก
"ยังไม่หยุดอีกใช่มั้ย"
"ใช่ จนกว่าเราจะได้สิ่งที่เราต้องการด้วยกันทั้งคู่"
"จะบ้าเหรอ ผมไม่เคยต้องการคุณ"
"ไม่จริง ฉันมองตาคุณก็รู้ว่าคุณมีอารมณ์กับฉัน"
"อารมณ์ โกรธ เกลียด ขยะแขยงไง คุณดูไม่ออกเหรอ ว่าผมเกลียดคุณขนาดไหน หรือผมต้องใช้คำที่หยาบคายกว่านี้กับคุณ"
"แกมันไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย"
"ผมเป็นสุภาพบุรุษเฉพาะกับสุภาพสตรีเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ใช่คุณ ไม่ว่าคุณจะเคยใช้วิธีการแบบนี้กับใครมากี่คนแล้วก็ตาม...อย่ามาใช้กับผม มันไม่สำเร็จหรอก"
ชาติสยามเดินออกไปจากไนท์คลับทันที
"ไอ้ผู้ชายเฮงซวย"
พนักงานเดินเข้าไปหาบุหงา
"จะให้ผมถ่ายรูปใครอีกมั้ยครับ"
"ไม่ต้อง"
รติรสนั่งนิ่งอยู่บนทางเดินริมถนนเปลี่ยว สายตาของเธอทอดมองไปไกลอย่างเลื่อนลอย ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดครึ้ม เสียงฟ้าร้องดังโครมครามเข้ามา ตามมาด้วยสายฝนห่าใหญ่กระหน่ำเทลงมากลางถนนสายนี้ รติรสขยับตัวมองไปรอบๆเพื่อหาที่กำบัง...ทว่า ไม่มี
สายฝนสาดกระหน่ำบริเวณหน้าบ้านรุ้งกาญจน์จนทั่ว ชาติสยามก้าวเข้ามา ทั้งเมาและเปียก
เขากดออด พร้อมกับตะโกนลั่น
"รุ้ง...รุ้งกาญจน์ เปิดประตูให้ผมหน่อย ให้ผมได้เข้าไปหาคุณ ให้ผมได้อธิบาย ให้ผมได้ขอโทษคุณได้มั้ย...ผมขอโอกาสอีกครั้งเถอะนะ...รุ้ง ผมรักคุณนะ ได้ยินมั้ย ผมรักคุณ !"
รติรสนั่งซุกตัวอยู่ใต้ร่มเก่าๆ ริมถนนเปลี่ยวที่เดิม สายฝนยังคงหนาตา ทั้งแสงฟ้าแลบ และเสียงฟ้าร้อง โหมกระหน่ำจนน่ากลัว
แสงไฟจากรถแท๊กซี่คันหนึ่ง สาดเข้ามาถึงตัวเธอ และรถแท๊กซี่คันนั้นก็แล่นเข้ามาจอดเบื้องหน้ารติรส
รัมภ์ก้าวลงจากรถ ตรงเข้าไปประคองตัวเธอ
"รส"
"พี่รัมภ์"
"ทำไมมานั่งตากฝนอย่างนี้"
"รสรอเรียกแท๊กซี่ แต่ไม่มีผ่านมาทางนี้เลยซักคัน"
"แล้วรสทิ้งพวกพี่มาทำไม"
"รสไม่ได้ทิ้งใคร รสแค่ไม่อยากเป็นส่วนเกินเท่านั้น"
"ส่วนเกิน ? ส่วนเกินของใคร"
"ส่วนเกินของทุกคน รสไม่มีความสำคัญสำหรับใครเลย ไม่เหมือนขม พี่รัมภ์ กลับไปหาขมเถอะ ปล่อยรสไว้คนเดียวก็ได้ พี่รัมภ์จะได้ไม่เสียโอกาสใกล้ชิดขม"
"ยายเด็กโง่เอ๊ย ยังคิดว่าพี่ต้องการโอกาสนั้นอีกเหรอ...พี่ก็เป็นส่วนเกินไม่ต่างจากรสหรอก ส่วนเกินกับส่วนเกินอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่มีใครเป็นส่วนเกินของใคร"
รติรสมองหน้ารัมภ์เต็มๆตา
"แต่ถ้ารสยังไล่พี่ออกไปอีก พี่ก็จะกลายเป็นส่วนที่ขาดทันที ขาดความรักความอบอุ่นไง"
"พี่รัมภ์ !"
"รสทำให้พี่มีความหมายมากขึ้น ทำให้พี่ไม่เป็นส่วนเกินของใคร เมื่อพี่มีรสอย่าทิ้งพี่ไปอีกคนเลยนะรติรส"
"พี่รัมภ์"
"หือม"
"รสหนาวค่ะ"
รัมภ์กอดรติรสไว้แน่น แล้วประคองไปขึ้นรถแท๊กซี่คันนั้น
ชาติสยามนั่งก้มหน้าก้มตาคร่ำครวญ ฟูมฟาย อยู่หน้าบ้าน ทั้งเมา ทั้งเสียใจ น้อยใจ ปะปนกัน
สายฝนหนาตา โหมกระหน่ำใส่ร่างของชาติสยามอย่างไม่หยุดยั้ง
"รุ้ง ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ นั่งอย่างนี้ จนกว่าคุณจะเปิดประตู ผมยอมตายกลางสายฝน ดีกว่าจะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีคุณ รุ้งกาญจน์...คุณจะใจร้ายกับผมไปถึงไหน รุ้งกาญจน์"
ชาติสยามหงายหลังหมดสติกลางสายฝน
รุ้งกาญจน์เดินออกมาเปิดประตู เธอลากชาติสยามเข้าไปในบ้านของเธอ
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ในเช้าวันอันสดใส
โขมพัสตร์ รัฐ รัมภ์เดินตรงเข้าไปในโถงบ้าน สาวใช้คนหนึ่งตรงเข้ามาขวางทางไว้
"จะไปไหนกัน"
"จะมาเยี่ยมคุณรติรส"
"เยี่ยมไม่ได้"
รัฐถาม "ทำไมไม่ได้"
"เป็นคำสั่งคุณรังสรรค์ค่ะ"
"สั่งว่ายังไง"
"ห้ามเยี่ยมคุณรติรสเด็ดขาด"
"ห้ามใคร" รัฐถาม
"ทุกคน"
"อะไรกัน พวกเราทำอะไรผิดเหรอ ?"
"ไม่ทราบค่ะ คุณรังสรรค์ไม่ได้บอกค่ะ"
รติรสนอนหลับตาอยู่บนเตียง เธอกระสับกระส่าย และมีอาการเพ้อออกมาเบาๆ ด้วยพิษไข้
"ช่วยด้วย...ช่วยด้วย พี่รัฐ พี่รัมภ์"
รังสรรค์นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆเตียง เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
"รส...รส"
"ช่วยด้วย...ขม ขม พี่รัฐ อย่าทิ้งรส...พี่รัฐ"
พลัน รติรสสะดุ้งตื่นขึ้น
"รส...พ่ออยู่นี่"
"พ่อ...หนูอยู่ที่ไหน"
"ที่บ้านเราไงลูก ในห้องนอนของหนู"
"หนูกลับมาบ้านได้ยังไง"
"นายรัมภ์ พาหนูมาส่งเมื่อคืน รสเป็นลมหมดสติ ไข้ขึ้นสูงตั้งแต่เมื่อคืน นี่คุณอาหมอพงษ์เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ แกสั่งยาไว้ให้แล้ว"
"ขอบคุณค่ะพ่อ"
"ทำไมหนูไปเดินตากฝนอย่างนั้น"
"รสแค่ไม่อยากเป็นภาระของใคร...รสกลับบ้านเองคนเดียว พี่ๆเขาจะได้ไปดูแลขมได้สะดวก"
ชาติสยามนอนอยู่บนโซฟา หน้าตายุ่งเหยิง เขาค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
รุ้งกาญจน์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอ่ยปากถาม
"มึนหัวใช่มั้ยล่ะ ถ้าจะดื่มเข้าไปหนักละซี"
"ตกลงผมตื๊อคุณสำเร็จใช่มั้ย"
"ฉันหิ้วคุณเข้ามาข้างใน เพราะไม่อยากให้คุณมาขาดใจตายหน้าบ้านฉันต่างหาก"
"แต่ยอมให้มาขาดใจตายในบ้าน ก็แปลว่ามีใจให้ผมบ้างแล้วหละ"
"อย่าเข้าข้างตัวเองขนาดนั้น...ฉันยังไม่ยกโทษให้คุณง่ายๆหรอก"
"ถ้างั้นผมจะทำอย่างนี้ทุกวัน จนกว่าจะขาดใจไปจริงๆ แล้วคุณจะเสียใจที่ไม่ยอมยกโทษให้ผม"
"ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็กลับบ้านคุณได้แล้ว"
ชาติสยามดึงรุ้งกาญจน์เข้ามากอดไว้แน่น
"ขออยู่อีกหน่อยได้มั้ย"
"จะอยู่ท่านี้เหรอ ?"
"ใช่ ไม่มีท่าไหนทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเท่ากับท่านี้อีกแล้ว"
"ถามฉันบ้างมั้ยว่าฉันรู้สึกยังไง"
"ไม่ถาม เพราะเสียงหัวใจคุณเป็นคำตอบให้ผมอยู่แล้ว"
"คุณคิดเข้าข้างตัวเองตลอดเวลาเลยนะ"
"หัวใจคุณก็อยู่ข้างเดียวกับผมเหมือนกัน"
ชาติสยามเอียงหน้า เอาหูของเขาแนบที่หน้าอกด้านซ้ายของรุ้งกาญจน์
"รู้มั้ยว่าผมทรมานแค่ไหนตอนที่คุณโกรธผม และคิดจะทิ้งผมไป...มันยิ่งทำให้
ผมรู้ว่า ผมขาดคุณไม่ได้"
"งั้นคุณจะผูกมัดฉันด้วยวิธีไหนไม่ทราบ"
ชาติสยามเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างจริงจัง เบื้องหน้ารุ้งกาญจน์
"แต่งงานกับผมนะรุ้ง"
"พูดโดยไม่คิดรึเปล่า"
"ผมคิดมานานแล้ว แต่ยังหาจังหวะเหมาะๆบอกคุณไม่ได้"
"จังหวะนี้เหมาะที่สุดแล้วเหรอคะ"
"ผมรอไม่ได้อีกแล้ว...ผมต้องการใช้ชีวิตกับคุณทุกเวลาทุกนาทีที่เหลืออยู่ของผม"
"ฉันต้องแบ่งเวลาให้หลานสาวคุณด้วยรึเปล่า"
ชาติสยามส่ายหน้า
"ภรรยาต้องมาก่อนหลานสาวสิครับ"
"คุณรู้รึเปล่าว่า การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่นๆ"
"รู้"
"และการแต่งงานก็ไม่ใช่เครื่องมือผูกมัด ไม่ใช่เครื่องป้องกันการสูญเสีย แต่มันต้องเกิดขึ้นเมื่อคนสองคนพร้อมที่จะเป็นของกันและกัน และไว้ใจกันตลอดไปเท่านั้น"
"คุณไม่ไว้ใจผมเหรอ"
"ยังมีบางเรื่องที่คุณทำให้ฉันรู้สึกอย่างนั้น"
"เรื่องขม ?"
รุ้งกาญจน์พยักหน้ารับคำ
"ผมจะจัดการเรื่องทั้งหมดให้จบลงโดยเร็วที่สุด"
"ฉันจะไปอาบน้ำละ"
"ผมอาบด้วย"
"ไม่มีวัน"
รุ้งกาญจน์เดินหายไปทางห้องนอนของเธอ
ชาติสยามตะโกนตามหลังเธอไป
"งั้นคืนนี้เราดินเนอร์กัน แล้วคุยเรื่องนี้กันต่อนะ รุ้ง"
โขมพัสตร์เดินลงบันไดเรือนใหญ่ลงมา รังสรรค์เดินตรงไปหาเธอด้วยหน้าตาดุดัน
เธอก้มหน้าเดินเลี่ยงหนี รังสรรค์คว้าข้อมือโขมพัสตร์ไว้
"จะหนีไปไหน"
"ไม่ได้หนี...แค่ไม่อยากให้คุณเห็นหน้าดิฉัน"
"แต่วันนี้ฉันต้องการเห็นหน้าแก...อยากรู้ว่าแกจะขอโทษฉันยังไงในสิ่งที่แกทำกับลูกสาวฉัน"
"ดิฉันทำอะไร ?"
"แกทำให้รติรสต้องป่วยเป็นไข้หนักอย่างนี้ ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ"
"ไม่ใช่ความผิดของดิฉันซักหน่อย"
"ไม่ใช่ได้ยังไง...แกจงใจแย่งความสนใจของทุกคนไปจากยายรส จนยายรสต้องเดินกลับบ้านคนเดียวด้วยความน้อยใจ เป็นเพราะแกโกรธเกลียดฉัน ถึงได้หาทางแก้แค้นเอาคืนกับลูกสาวฉันอย่างนี้ใช่มั้ย"
"ดิฉันไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลย...ไม่เหมือนคุณ ที่โกรธแค้นพ่อพิทย์ของดิฉันแล้วก็มาแก้แค้นเอาคืนที่ดิฉัน"
"แก !"
รังสรรค์เงื้อมือจะตบโขมพัสตร์
ไพลินเดินเข้ามาตะโกนเสียงดัง
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ รังสรรค์ ! คุณแม่สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ใครเข้ามาทำร้ายขมที่นี่ลืมแล้วเหรอ"
รังสรรค์ชะงัก ลดมือลง
โขมพัสตร์จึงเดินเลี่ยงออกไป
รังสรรค์จึงเอ่ยปากกับไพลิน
"มันทำอะไรกับยายรสไว้บ้าง พี่ไพรู้รึเปล่า"
"ขมมันมัดมือมัดเท้ายายรสแล้วลากไปตากฝนงั้นเหรอ...แกน่ะมันพาลจนไม่มีเหตุผลเลย แก่ป่านนี้แล้ว"
พี่ไพเข้าข้างนังเด็กเหลือขอนี่ตลอดเวลา ผมแค่มาด่าคนที่ทำให้ลูกสาวผมทั้งสองคนต้องเสียใจ พี่ก็ยังมาออกรับแทนมันอีก"
"ระวังเถ๊อะ...มันอาจจะเป็นลูกสาวแกทั้งสามคนก็ได้นะ ตารังสรรค์"
"ไม่มีวัน ฝันไปคนเดียวเถอะ พี่ไพ"
รติรสยังคงนอนซมอยู่บนเตียง โขมพัสตร์เดินเข้ามายืนข้างๆเตียงนอนนี้ รติรสค่อยๆลืมตาขึ้น
"ขม"
"คุณรส เป็นยังไงบ้างคะ"
"เป็นไข้หวัดอย่างแรง นอนพักอีกวันสองวันถึงจะหาย"
"ขมอยากมาเยี่ยมคุณรสตั้งแต่เช้า แต่ว่า คุณรังสรรค์..."
"ห้ามเธอเข้ามาที่นี่ ฉันรู้แล้วหละ...แล้วนี่ขมแอบเข้ามาเหรอ"
"คุณไพลินเป็นคนอนุญาตค่ะ...ขมอยากมาขอโทษคุณรส"
"เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนี่"
"คุณรังสรรค์บอกว่า เป็นเพราะขม คุณรสถึงต้องเดินกลับบ้านคนเดียว"
"ไม่จริงหรอก...ฉันทำอย่างนั้นเพราะฉันเลือกเอง ไม่เกี่ยวกับขม...และถ้ามีใครมาพูดอะไรอีก เธอก็ไม่ต้องคิดมาก...เราเป็นเพื่อนกัน และฉันไม่เคยคิดว่าเธอแย่งชิงอะไรจากฉันไปแม้แต่นิดเดียว อย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด"
"ค่ะ...หายเร็วๆนะคะคุณรส"
"เธอก็เหมือนน้องสาวฉันคนนึง จำไว้นะ"
บ่ายวันนั้น ไอ้หมึกยืนหมุนโทรศัพท์ที่หน้าเคาน์เตอร์โรงแรม สักพัก มันจึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นพูด
"ฮัลโหล...คุณบุหงาใช่มั้ยครับ ผมหมึกครับ...ผมเจอตัวมันแล้วครับ ผมนัดมันไว้เย็นนี้ ถ้าคุณบุหงาสะดวก"
บุหงาเดินเข้าไปนั่งกลางร้านกาแฟกลางตลาดร้านนี้
อาตี๋เจ้าของร้านเดินมาหาเธอทันที
"รับอะไรอาซิ่ม"
"ไม่รับ"
"ไม่รับก็ออกไป เข้ามานั่งในร้านนี้ไม่ได้"
"นั่งแป๊ปเดียว ฉันนัดคนไว้"
"นั่งแป๊ปเดียวก็ต้องสั่งของกิน ถ้าไม่สั่งก็ไปนั่งกับพื้นนอกร้านนู่น"
บุหงาถอนหายใจแรงด้วยความหงุดหงิด
"สั่งก็ได้ มีอะไรบ้างล่ะ"
"มีทุกอย่าง"
"งั้นเอามาซักอย่างนึง อะไรก็ได้"
"ร้อนหรือเย็น"
"เอามาเหอะน่า"
"งั้นเอาโอเลี้ยงนะ"
"เออ"
"หวานหรือขม"
"ไม่เอาขม...ฉันไม่ชอบ"
"ชอบหวานนะ...รอเดี๋ยวเดียว"
อาตี๋เดินตรงไปชงโอเลี้ยง
ไอ้หมึกเดินเข้ามาในร้าน ตรงไปนั่งร่วมโต๊ะบุหงา
"ไอ้หมึก แกนัดฉันกี่โมง...ทำไมแกมาถึงทีหลังฉัน"
"ติดธุระด่วนที่โรงแรมน่ะครับ วันนี้ลูกค้าเยอะก็เลยยุ่งครับ"
"ไหนล่ะ โชเฟอร์แท๊กซี่ ที่แกบอกว่า เจอตัวแล้ว"
"รอสักครู่ครับ เดี๋ยวก็คงมา มันไม่น่าผิดเวลานานนักหรอก"
อาตี๋เอาโอเลี้ยงมาวางเบื้องหน้าบุหงา มันยิ้มทักไอ้หมึกอย่างคุ้นเคย
"วันนี้กินอะไรมั้ย ไอ้หมึก"
"ไม่เอาหรอกแปะ อั๊วอิ่มแล้ว"
"งั้นก็นั่งตามสบายนะ"
บุหงามองท่าทีอาตี๋อย่างเคืองๆ แล้วจึงเอ่ยปากกับไอ้หมึก
"แกเลือกร้านได้แย่มากๆ ไอ้หมึก"
เวลาเดียวกัน รุ้งกาญจน์ในชุดสวยเดินเข้ามาในร้านหรู ชาติสยามเดินนำมาที่โต๊ะสวย
ชาติสยามขยับเก้าอี้ให้รุ้งกาญจน์นั่ง
"ทำไมต้องทำอะไรเป็นทางการขนาดนี้"
"บอกก่อนก็ไม่ตื่นเต้นสิ"
บ๋อยเข็นรถเข็น มีขวดแชมเปญและโถแก้วสวยวางอยู่
บ๋อยเอ่ยปากถามชาติสยาม
"เปิดเลยมั้ยครับ"
"แป๊ปนึง เดี๋ยวผมเรียก"
บ๋อยโค้งอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกไป
"อย่าบอกนะว่าจะมีแหวนแต่งงานซ่อนอยู่แถวนี้"
"คุณรู้ทันผมเรื่อยเลย"
"ตรงข้ามกับคุณที่ไม่เคยรู้ทันรุ้งเลยนะ"
"ผมรู้ ผมจึงไม่ตื๊อคุณเรื่องการแต่งงาน"
ชาติสยามเอื้อมมือหยิบแหวนออกมาจากโถแก้วสวยใบนั้น
"ผมขอเพียงหมั้นคุณไว้ก่อนเท่านั้น ได้มั้ย"
รุ้งกาญจน์มองแหวนวงนั้น สายตาของเธอแฝงความประทับใจอยู่บ้าง ทว่า ความรู้สึกอีกด้านหนึ่งของเธอนั้นชัดเจนกว่า เธอจึงเอ่ยปากด้วยความรู้สึกนั้น
"ต่างกันตรงไหนคะ"
"มันไม่ใช่การผูกมัดไง คุณยังมีอิสระได้เหมือนเดิม"
"งั้นทำไมต้องหมั้นด้วย ?"
"เพื่อผมจะได้มั่นใจว่า ผมยังมีรุ้งอยู่เสมอ"
"มันก็คือการผูกมัดอยู่ดี แต่ไม่ได้ผลหรอกค่ะ เราหมั้นได้ เราก็ถอนหมั้นได้"
ชาติสยามอึ้งไปพอสมควร
"ซึ่งฉันไม่อยากทำอย่างนั้น...ฉันจึงอยากให้เราสองคนพร้อมจริงๆ โดยไม่ต้องเอาเงื่อนไขอื่นมาผูกมัด นอกจากความรักและความเข้าใจ"
"ผมต้องทำยังไง บอกผมหน่อยสิรุ้ง"
"คุณก็เป็นตัวของตัวเองไป ไม่ต้องทำอะไร...และเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน"
"แต่ผมไม่อยากให้ปัญหาระหว่างเรามันคาราคาซังอย่างนี้"
"ไม่ค่ะ มันจะไม่คาราคาซัง เพราะรุ้งมีทางออกให้คุณ"
รุังกาญจน์หันไปยกมือเรียกบ๋อย
"เปิดแชมเปญเลยเหรอครับ"
"เปิดหลังจากฉันพูดประโยคนี้จบ"
"ครับ" บ๋อยบอก
บ๋อยเริ่มขยับขวดเตรียมเปิดแชมเปญ
รุ้งกาญจน์ หันไปยิ้มหวานให้ชาติสยาม และเอ่ยปากอย่างตั้งใจ
"ชาติสยามคะ...เราเลิกกันเถอะค่ะ"
บ๋อยเปิดขวดทันทีที่สิ้นเสียงรุ้งกาญจน์
แชมเปญพุ่งกระจายออกมาจากปากขวด
ชาติสยามแทบช็อก
อ่านต่อตอนที่ 15