ดงผู้ดี ตอนที่ 13 : “ชาติสยาม” พา "ขม" ไปกบดาน 5 คืน!
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
วันเดียวกัน รัฐเดินก้าวยาวๆ จะออกจากบ้านตึกขาว รัมภ์เดินตามมาเรียกพี่ชายไว้
"พี่รัฐจะไปไหน"
"พี่จะไปตามขม"
"ไปตามที่ไหน"
"ไม่รู้ ขับรถไปเรื่อยๆก่อน"
"แล้วจะเจอเหรอ"
"แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ให้นั่งๆนอนๆเฉยๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ"
"ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น"
"แกห้ามฉัน เพื่อแกจะได้ไปตามขมคนเดียวใช่มั้ย แกยังคิดจะเอาชนะฉันอยู่ใช่มั้ยนายรัมภ์...ใช่มั้ย"
รัฐเดินเข้าไปผลักอกรัมภ์อย่างแรง รัมภ์จับมือรัฐไว้
"พี่รัฐ ! พี่เป็นเอามากขนาดนี้เชียวเหรอ"
"เออ...เพราะฉันรักขม"
"ฉันรู้ พี่จะรักก็รักไปไม่มีใครว่า แต่รักจนหน้ามืดตามัว หึงหวงทุกคนไปหมดโดยไม่มีเหตุผลอย่างนี้ไม่ได้...ฉันกำลังจะมาบอกพี่ว่า คุณชาติสยามอาของขมออกไปตามหาขมแล้ว ได้เรื่องยังไงเขาจะส่งข่าวมา เราสามารถรอฟังข่าวที่นี่ได้"
"อาชาติสยามอีกแล้วเหรอ"
"เขาเป็นคนที่ขมสนิทที่สุด แล้วย่อมรู้ดีที่สุดว่าขมน่าจะอยู่ที่ไหน คนที่รักและปรารถนาดีกับขมไม่ได้มีแค่พี่คนเดียวนะ คุณหญิง คุณไพลิน นมผ่อน รติรส ทุกคนรักขมหมด และไม่มีใครคิดจะแย่งขมไปจากพี่...ส่วนฉัน ขอพูดต่อหน้าพี่ตรงนี้เลยว่า ฉันหลีกทางให้พี่"
"หลีกทาง ?"
"ฉันเลือกที่จะรักและเอ็นดูขมเหมือนน้อง และจะเอาใจช่วยพี่เต็มที่ เพื่อให้ขมรับรักพี่ อยากน้อยถ้าฉันได้มีพี่สะใภ้เป็น ขม ฉันก็ดีใจแล้ว"
"ขอบใจว่ะรัมภ์"
รัฐโอบกอดน้องชายด้วยความซาบซึ้งใจ
สมาชิกทุกคนที่เรือนเล็ก นั่งพร้อมกันที่โต๊ะอาหารตัวใหญ่ สาวใช้กำลังตักข้าวใส่จานเบื้องหน้าพจนีย์ เธอเอ่ยปากถามสาวใช้
"นังขมมันกลับมารึยัง"
"ยังค่ะ"
"คุณย่าให้ใครไปตามรึเปล่า"
"ไม่ทราบค่ะ"
"แกนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอ"
"ค่ะ"
รังสรรค์พูดเสียงดังขึ้นมากลางวง
"มันไม่รู้ก็ไม่ต้องไปถามมัน แล้วก็หยุดพูดถึงเด็กคนนี้ได้แล้ว"
ทุกคนในห้อง นิ่งเงียบ รติรสจึงเอ่ยปากขึ้น
"คุณชาติสยามมาคุยกับย่าตั้งแต่เช้า คงกำลังช่วยตามหาขมอยู่"
"พี่รสรู้ก็ไม่บอก"
"ก็ไม่นึกว่าเธอจะอยากรู้นี่นา"
บุหงาบอก "ลองอาสยามเป็นคนออกตามหา เดี๋ยวก็เจอ แล้วไม่นานเธอก็จะกลับมาพร้อมกับอา ตามสูตร"
"สูตรอะไรคะ" พจนีย์ถาม
"สูตรนางเอกหนังไทยไงจ๊ะ ต้องให้พระเอกไปง้อ"
"น้าบุหงายกให้มันเป็นนางเอกเชียวเหรอคะ"
"อือม...แต่นางเอกเรื่องนี้น่าจะตายตอนจบนะ"
สาวใช้อีกคนหนึ่ง เดินมาจากตึกใหญ่
"คุณพจนีย์คะ คุณหญิงให้มาเชิญคุณพจนีย์ไปที่เรือนใหญ่ค่ะ"
"ฉันกินข้าวอยู่ ไม่เห็นเหรอ ?"
"เห็นค่ะ อิ่มแล้วค่อยไปก็ได้ค่ะ"
"ฉันไม่ไป บอกคุณย่าว่าฉันไม่สบาย หายแล้วจะไปหา"
"ไม่ได้ค่ะ คุณหญิงสั่งว่า ถ้าคุณพจน์ไม่ยอมไป ท่านจะมาหาคุณพจน์ที่นี่เองค่ะ"
คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งที่โถงเรือนใหญ่ พจนีย์ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นย่า
คุณหญิงเอ่ยปากหลังจากมองหน้าหลานสาวเต็มๆตา
"ย่าเรียกเรามา เพื่อจะคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้"
"เรื่องขมใช่มั้ยคะ"
"ใช่ เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ"
"หมายถึงพจน์เหรอคะ"
"เราว่าใช่มั้ยล่ะ"
"ย่าจะให้พจน์รับผิดชอบยังไง"
"แสดงว่ายอมรับแล้วว่าเราเป็นคนผิด"
"ยังค่ะ ขอคิดดูก่อน"
"ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ย่าสรุปให้เลยดีกว่า...การถ่ายรูปครอบครัวของเราครั้งนี้ต้องล้มเลิกไป ก็เพราะการพูดจาส่อเสียด ทำร้ายจิตใจขม เป็นจุดเริ่มต้น"
"ใครแตะต้องมันไม่ได้เลยนะ กะอีแค่คนมาขออาศัยแท้ๆ"
คุณหญิงเดินเข้าไปพูดใกล้หน้าพจนีย์
"ถึงเขาจะเป็นแค่ผู้อาศัย ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะมีสิทธิ์ไปด่าทอ ทำร้ายร่างกายเขาได้ตามอำเภอใจ"
"ตกลงพจน์ต้องรับผิดชอบยังไงคะ อย่าบอกว่าพจน์ต้องเป็นคนไปตามหาขมนะ เพราะป่านนี้มันไปถึงไหนๆแล้วก็ไม่รู้"
"การตามหา ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ"
"งั้นหน้าที่ของพจน์คืออะไร"
"บ่มนิสัย"
"ห๊ะ ?"
"ย่าจะส่งเราไปอยู่กับ มจ.อรุณี ที่วังอรุณนิเวศ เพื่อเป็นการอบรมบ่มนิสัย และดัดสันดานที่ไม่ดีให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอยอย่างที่ควรจะเป็น"
"ไม่นะ พจน์ไม่ไป"
"ฉันเรียกเรามารับฟัง ไม่ใช่ให้มาออกความเห็น"
"คุณย่าเป็นเผด็จการ"
"ถ้าการอบรมดูแลบุตรหลานถือว่าเป็นเผด็จการ ย่าก็เต็มใจที่จะเป็นเผด็จการ เพราะมันจะทำให้เธอมีระเบียบวินัย มีมารยาท และรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของการเป็นผู้อาศัยกับเขาบ้าง"
ต่อมา รังสรรค์ลุกขึ้นยืนพูดด้วยความโกรธ
"นี่มันเนรเทศกันชัดๆ ทำอย่างนี้กับหลานสาวตัวเองได้ยังไง"
"พ่อต้องช่วยพจน์ด้วยนะคะ พจน์ไม่อยากไปอยู่ที่อื่น พจน์กลัว"
"ไม่ต้องกลัวลูก ตราบใดที่พ่อยังอยู่ที่นี่ ใครก็ไล่พจน์ไปจากบ้านนี้ไม่ได้"
"แล้วถ้าคุณย่าไม่ยอมล่ะคะ ถ้าคุณย่าบังคับพ่อล่ะค่ะ"
"ถ้าลูกต้องไป พ่อก็จะไปกับลูกด้วย ไม่ต้องห่วง"
วันเดิม ฟ้ามืดแล้ว รถชาติสยามแล่นเข้ามาจอดท่ามกลางความมืด ชาติสยามและโขมพัสตร์นั่งกวาดสายตามองไปรอบๆ
"อาพาขมมาที่ไหนเนี่ย"
"บ้านสวน"
"มืดตึ๊ดตื๋อ ไม่เห็นมีบ้านซักหลัง"
"ถ้าจำไม่ผิด มันต้องอยู่แถวนี้หละ"
"บ้านใครคะ"
"บ้านอา"
โขมมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที
"บ้านอา ?"
"คิดว่าใช่นะ...เราลงไปช่วยกันหาดีกว่า"
ชาติสยามหยิบไฟฉายในรถ เปิดประตูเดินออกจากรถ โขมพัสตร์ตามชาติสยามไปติดๆ
ชาติสยามเดินถือไฟฉายนำหน้าโขมพัสตร์ ทั้งสองเดินไปถึงบริเวณหน้าบ้านสวนแปดริ้วในที่สุด
"นี่ไง เรามาถูกจนได้...แสดงว่าความจำอายังดีอยู่ แม้ในความมืด"
"แน่ใจเหรอคะว่านี่บ้านอา...ท่าทางอาเหมือนจะย่องมาปล้นบ้านเขาอย่างนั้นแหละ"
"เฮ้ย พูดจาไม่เป็นมงคลเลย ตามอามา"
ชาติสยามเดินนำขม ขึ้นบันไดบ้านหลังนี้
บนระเบียงบ้านสวนแปดริ้ว
ทั้งสองค่อยๆก้าวย่าง ไปตามแสงสว่างจากกระบอกไฟฉายในมือ
"ถามจริงๆ อาเคยมาอยู่บ้านนี้มั้ยเนี่ย"
"ตอบตรงๆนะ นี่เป็นครั้งแรกที่อามา หลังจากสร้างบ้านเสร็จ"
"ไม่มาอยู่ แล้วสร้างทำไม"
"เพื่อนสนิทอา เขาสร้างให้"
"ให้ฟรีๆเลยเหรอ ?"
"เขาเป็นเศรษฐีเจ้าของสวน เขาอยากให้อามาใช้ชีวิตที่นี่"
"แล้วเขาสร้างให้แต่บ้าน แต่ไม่ต่อไฟให้เหรอ"
"ต่อสิ แต่ยังหาไม่เจอ...มันน่าจะอยู่แถวนี้..."
ชาติสยามกวาดไฟฉายไปรอบๆ จนเจออะไรบางอย่าง
"นี่ไง เจอแล้ว..."
"สวิตช์ไฟเหรอคะ"
"ตะเกียง"
"โธ่"
"จุดตะเกียงก่อน แล้วแสงตะเกียงจะพาเราไปหาสวิตช์ไฟเอง"
ชาติสยามหยิบไม้ขีดข้างตะเกียงขึ้นมาจุด
"เอาละ เตรียมพบกับความสวยงามของบ้านสวนแปดริ้ว ท่ามกลางแสงตะเกียงได้ ณ.บัดนี้"
ชาติสยามแหย่ไม้ขีดที่ไส้ตะเกียง แล้วยกตะเกียงขึ้น แสงสว่างจากตะเกียงปะทะกับใบหน้าของชายแก่หน้าตาดุดันคนหนึ่ง ชายนั้นถือปืนลูกซองจ่อ ประชิดตัวทั้งสองคน
อาและหลาน ร้องดังลั่นบ้าน
"เฮ้ย !"
"คิดจะปล้นบ้านข้าเหรอ"
"ตาพูน"
ชายแก่คนนั้น ลดปืนลงเมื่อเห็นหน้าชาติสยาม สีหน้าและน้ำเสียงของเขาคลายความดุดันลง
เขาคือตาพูน คนดูแลสวนนี้
"อ้าว คุณชาติสยามหรอกเหรอ นึกว่าโจรห้าร้อย"
"ผมก็นึกว่าตาพูนเป็นผีเปรตเหมือนกัน"
"ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ"
"เราหาสวิตช์ไฟไม่เจอค่ะ" โขมพัสตร์บอก
"สวิตช์ไฟอยู่นี่"
ตาพูนเดินไปที่สวิตช์ไฟ แล้วกดปุ่มเปิด
แสงสว่างกระจ่างทั่วบ้านจนเห็นความสวยงามของบ้านสวนหลังนี้
"โอ้โห...บ้านสวยจริงๆด้วย"
ตาพูนถาม "นี่ใครล่ะเนี่ยะ"
"หลานผมเอง"
"หนูชื่อขมค่ะ"
"เอ...พาหลานมาดึกๆอย่างนี้พิกลอยู่นะคุณชาติสยาม...หลานแท้ๆหรือเปล่าหรือว่าฉุดใครมา"
"หลานแท้ๆสิ...เธอตกรถ ไปเข้าค่ายกับเพื่อนๆไม่ทัน ผมเลยพามาที่นี่ เพราะบรรยากาศที่นี่ไม่ต่างจากค่ายลูกเสือเท่าไหร่"
"จริงครับ อยู่ที่นี่ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ก็เหมือนเข้าค่ายนั่นแหละ อยู่ได้ก็เก่ง"
"ฟังดูเหมือนลำบากเลยนะลุง"
"มันไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่เมืองกรุง แต่ถ้าชอบชีวิตลูกทุ่งละก้อ รับรองอยู่แล้วจะหลงรักเลยหละ...เหมือนเถ้าแก่ผมไง ถ้าไม่ติดที่ต้องตามลูกเมียไปอยู่เมืองนอก แกจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนเลย แถมยังสร้างบ้านให้คนที่แกรักใคร่ชอบพอ ไม่รู้กี่หลังต่อกี่หลัง แต่ยังไม่มีใครมาอยู่ซะที"
โขมพัสตร์ว่า "รวมทั้งหลังนี้ด้วย ?"
"ครับ ตามสบายเลยนะ จะนอนห้องไหนก็เลือกเอา ตั้งแต่บ้านเสร็จ ผมก็ทำความสะอาดรอคนมาพักอาศัยนานแสนนาน วันนี้ได้เปิดบ้านให้เจ้าของตัวจริงซะที...ต้องการอะไรก็ตะโกนบอกนะครับ ผมจะไปสวดมนต์ต่อละ"
"ขอบคุณครับ"
ตาพูนเดินออกไป
โขมพัสตร์หันมาถามชาติสยาม
"ลุงแกไม่ได้นอนที่นี่เหรอคะอา"
"แกมีบ้านของแกอยู่ท้ายสวน...ทีนี้ก็เป็นเรื่องของเราแล้วหละ..มาเลือกห้องนอนกัน"
สองอาหลานกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วหันมามองหน้ากัน
"หรือจะนอนรวมกันกลางห้องโถงดี"
"ดีค่ะ"
ชาติสยามจึงตะโกนออกไป
"ตาพูน ผมขอยืมที่นอนหน่อยสิครับ"
รุ่งขึ้น พจนีย์นอนตะแคงตัวนิ่งบนเตียง แววตาโรยรา รติรสเดินเข้ามาในห้องนอนนี้
"พจน์ ยังไม่ตื่นอีกเหรอ...พจน์"
พจนีย์พลิกตัวไปหาพี่สาว
"ตื่นแล้ว"
"ทำไมตาบวมอย่างนี้ล่ะ...เมื่อคืนโดนย่าดุเหรอ"
"นิดหน่อย"
"ไม่นิดหน่อยมั้ง เห็นเดินร้องไห้กลับมาซะดึกเลย...มีอะไรรึเปล่า ปรึกษาพี่ได้นะ"
พจนีย์ถอนใจ แสดงอาการเบื่อหน่าย
"ไม่มีอะไร"
"แน่นะ"
"อือม..."
"แล้วทำไมย่าให้มาถามว่า พจน์จัดกระเป๋ารึยัง...พจน์จะไปไหนเหรอ"
คุณหญิงรัตนเดชากรเปล่งเสียง ตวาดลั่นใส่หน้ารังสรรค์
"แกจงใจขัดคำสั่งฉันเหรอ"
"ก็มันเป็นคำสั่งที่โหดร้ายทารุณ อยู่ๆคุณแม่จะไล่ลูกสาวผมออกจากบ้าน ผมจะยอมได้ยังไง"
"ใครบอกแกว่านี่คือการไล่ออกจากบ้าน...มันเป็นการส่งลูกสาวแกไปอบรมมารยาท"
"ลูกผม ผมอบรมเองก็ได้ ไม่เห็นต้องส่งไปอยู่กับยายหม่อมเจ้าทึนทึกที่ไม่มีลูก ไม่มีผัวคนนั้นเลย"
"แกอบรมลูกมากี่ปีแล้วล่ะ...นิสัยลูกสาวแกมันดีขึ้นมั้ย"
พจนีย์และรติรสค่อยๆเดินเข้ามาที่มุมห้อง
"ถ้าอย่างนั้นก็ไล่ผมไปด้วยอีกคนเลยสิครับ"
"ฉันก็อยากจะทำอย่างนั้น แต่ติดตรงที่ไม่มีหม่อมเจ้าคนไหนยอมรับแกไปอบรม เพราะแกมันไม้แก่ ดัดยากซะแล้ว"
"ก็คงต้องโทษแม่ที่เลี้ยงผมมาไม่ดี"
"ก็อาจจะจริง...และนั่นคือความผิดพลาดเรื่องเดียวในชีวิตฉัน"
"แต่ความผิดพลาดเรื่องที่สองกำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้"
"ฉันกำลังทำสิ่งที่เหมาะสมต่างหาก ไม่ว่ายุคใดสมัยใด คนทำผิดต้องถูกว่ากล่าวตักเตือน และมีบทลงโทษได้ ไม่เช่นนั้นจะอยู่ในสังคมกับคนอื่นได้ยังไง แต่ถ้าแกคิดว่าการพยายามปลูกฝังให้บุตรหลานเป็นคนดี มีสำนึกที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ผิด แกจะตัดขาดความเป็นแม่ลูกกับฉันตั้งแต่วันนี้ ฉันก็ยินดี และจะไม่ท้วงติงอะไรเลย"
คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวจะเดินออกไป
พจนีย์วิ่งเข้าไปหาผู้เป็นย่า
"เดี๋ยวก่อนค่ะคุณย่า...พจน์ยอมแล้วค่ะ พจน์จะไปอยู่บ้าน มจ.อรุณีค่ะ อยู่นานแค่ไหนก็ยอมค่ะ"
"พจนีย์" รังสรรค์คิดไม่ถึง
"พจน์ไปได้ค่ะพ่อ พ่อไม่ต้องห่วง พจน์ไม่อยากเห็นพ่อกับย่าทะเลาะกัน ไม่อยากให้พ่อกับย่าตัดขาดกัน...คุณย่าขา คุณย่าจะทำโทษพจน์ยังไง พจน์ยอมทั้งนั้น ย่าอย่าดุอย่าด่าพ่อเลยนะคะ...สงสารพ่อเถอะนะคะคุณย่า"
โขมพัสตร์นอนหลับตาบนเบาะนุ่มสบาย แล้วค่อยๆลืมตาขึ้น ด้วยแสงแดดที่ส่องพาดลงบนใบหน้า
เธอลุกขึ้น สูดอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอด แล้วจึงเดินออกจากห้องนี้
โขมพัสตร์เดินไปตามระเบียงทางเดินของบ้าน พร้อมกับชื่นชมความงามของบรรยากาศบ้านสวน
จู่ๆ ตาพูนก็โผล่เข้ามาประจันหน้าเธอ
"จ๊ะเอ๋ ตื่นแล้วเหรอครับ"
"ตาพูน ! โผล่มาแต่ละที ขมตกใจ หัวใจจะวาย"
"ขวัญอ่อนจริงนะแม่คุณ"
"ก็ถ้าตาพูนไม่โผล่มาด้วยท่าแบบนี้ ขมก็คงไม่ตกใจหรอก"
"เห็นใจผมเถ๊อะ...อยู่เฝ้าสวนนี่คนเดียวมาก็หลายปี นานๆจะมีใครมาให้แหย่ให้คุยเล่นบ้าง"
"งั้นขมจะพยายามไม่ตกใจก็แล้วกัน"
"หิวหรือยังล่ะ"
"เกือบแล้วหละ"
"แสดงว่าตื่นเพราะหิว งั้นเชิญทางนี้เลยครับ กับข้าวหน้าตาดี รอคุณหนูอยู่ครับ"
ตาพูนเดินนำโขมพัสตร์ไปทางเรือนครัว
ตาพูนเดินนำหน้าโขมพัสตร์เข้ามาในบริเวณครัว มีอาหารหลายจานวางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นอาหารที่ทำจากปลาทุกจาน
"โอ้โห ปลา ปลา ปลา ปลา ปลา..."
ชาติสยามก้าวเข้ามา ถือกับข้าวอีกหนึ่งจานในมือ ทำจากปลาเช่นกัน
"และนี่ก็ปลา...น่าทานมั้ยล่ะ"
"หน้าตาดีอยู่หรอกค่ะอา แต่ว่าทำไมต้องมีแต่ปลาคะ"
"อ้าว ที่นี่จังหวัดฉะเชิงเทรา เขาเรียกที่นี่ว่าแปดริ้วเพราะอะไรรู้มั้ย ?"
"เพราะปลาที่นี่ตัวใหญ่มาก แร่เป็นริ้วๆได้แปดริ้ว ถ้าที่อื่นอาจจะแค่สี่ห้าริ้ว"
"เก่งมาก" ตาพูนบอก
"เราก็เลยต้องกินปลาทีละแปดจานอย่างนี้เหรอคะ"
"อันนี้ต้องถามตาพูน เพราะตาพูนทำมาให้อย่างนี้"
"นึกว่าอาทำเอง"
"อาแค่ตักใส่จานเท่านั้นแหละ"
"ผมอยากเลี้ยงต้อนรับคุณชาติสยามน่ะครับ ไม่รู้จะต้อนรับด้วยอะไร ก็ต้องอาศัยของดีที่นี่นั่นแหละ"
"เอ้า งั้นรีบกินกันเลย เดี๋ยวจะได้ไปซ่อมบ้านกัน"
"อ้าว บ้านใหม่ๆต้องซ่อมแล้วเหรอ"
ตาพูนบอก "เฉพาะระเบียงครับ จะว่าซ่อมก็ไม่เชิง เรียกว่ายังไม่เสร็จมากกว่า เถ้าแก่เขาอยากให้คุณชาติสยามเลือกเองว่า จะทำระเบียงแบบไหน มันก็เลยยังไม่เรียบร้อย"
"อ๋อ"
"กินเยอะๆนะครับ จะได้มีแรง...ผมขอตัวออกไปทำสวนก่อนนะครับ"
ตาพูนเดินออกไป
ชาติสยามและโขพัสตร์ตักข้าวตักปลากินอย่างเพลิดเพลิน
ทั้งสองยืนมองระเบียงริมน้ำที่ยังไม่เสร็จ
"สวยจัง"
"ผุๆพังๆอย่างนี้ก็สวยแล้วเหรอ"
"ขมอยู่กับ เพิงไม้ ผุๆพังๆมาตั้งแต่เล็กๆ เห็นแบบนี้ทีไร ก็ฝังใจ ถึงตอนเด็กๆเสมอ ตอนนั้นอะไรๆก็ดูสวยไปหมดแหละค่ะ"
"อือม งั้นก็ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยไว้อย่างนี้ดีมั้ย"
"อาขี้เกียจละซี...ใช่มั้ยล่ะ"
"เปล่า อาจะวางแผนจัดเวลา ว่าเราทำอะไรได้บ้าง ในเวลาที่มีอยู่"
"เรามีเวลาเยอะแยะ เพราะขมจะไม่ไปไหนอีกแล้ว"
"เฮ่ย ไม่ได้...ขมต้องเรียนหนังสือ"
"อีกตั้งเกือบเดือน โรงเรียนถึงจะเปิด"
"แต่อาต้องกลับไปสอนหนังสือนะ"
"อาก็กลับไปสิคะ ขมอยู่กับตาพูนก็ได้"
"ไม่กลัวแล้วเหรอ"
"ชินแล้ว"
"เอาอย่างนี้ดีกว่า...เราทดลองอยู่ ซักห้าวันก่อน"
"หลังจากนั้นล่ะ"
"ค่อยตัดสินใจกันใหม่"
"ก็ยังดี"
"งั้นห้าวันนี้ ขมต้องช่วยอาทำงาน เริ่มจากซ่อมระเบียง"
"ได้เลย อาชอบแบบไหนบอกมา"
"เอาแบบที่ขมชอบด้วยสิ จะได้เป็นระเบียงอาหลาน ดีมั้ย"
"ดีค่ะ"
"งั้นไปหาตาพูนกัน"
โขมพัสตร์ปั้นหน้าเป็นคำถาม
"ไปขอยืมอุปกรณ์ไง ไป"
พจนีย์ก้มลงกราบคุณหญิงรัตนเดชากรที่สนามหน้าบ้านพุทธชาด
"พจน์จะพยายามปรับปรุงตัวเอง ให้เป็นเด็กดีอย่างที่คุณย่าปรารถนา"
ผู้เป็นย่าลูบหัวหลานสาวด้วยความเมตตา
"ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวเราเอง เข้าใจใช่มั้ย"
"ค่ะ"
พจนีย์ขยับเดินไปหารติรส รัฐ และ รัมภ์ ยืนอยู่ที่นั่นด้วย
"เราไม่เคยห่างกันเลยนะพี่รส"
"ใช่...ดูแลตัวเองดีๆนะ ยายพจน์"
สองพี่น้องกอดกัน น้ำตาของพจนีย์ไหลพรากออกมา
รัมภ์เอ่ยปากเพียงเบาๆกับพี่ชาย
"ร้องไห้เหมือนจะไปตาย"
พจนีย์ผละจากพี่สาวหันมาพูดกับรัฐและรัมภ์
"ฝากพี่รสด้วยนะ พี่รัฐ พี่รัมภ์"
พจนีย์ขยับตัวเดินไปกราบรังสรรค์
"พ่อ พจน์ไปนะคะ"
"พ่อจะโทรไปหาลูกทุกวันนะ มีปัญหาอะไรจะได้ช่วยกันได้"
"พ่อก็อย่าทะเลาะกับย่าอีกนะ...แล้วพจน์จะกลับมาเป็นคนใหม่ ที่ย่า พ่อ และทุกคนต้องภาคภูมิใจ คอยดูสิ"
พ่อลูกกอดกัน ร้องไห้อีกครั้ง
พจนีย์จึงก้าวขึ้นรถตู้ประจำบ้าน รถตู้คันนี้เคลื่อนออกจากบ้านไป
นมผ่อนค่อยๆเดินเข้าไปใกล้คุณหญิง แล้วจึงเอ่ยปากพูด
"คุณหญิงคะ คุณชาติสยามส่งข่าวเรื่องขมมาบ้างรึยังคะ"
"ยังเลย ฉันก็กังวลใจอยู่ไม่น้อย"
"ไม่รู้จะไปถึงอัมพวาจริงรึเปล่า ญาติก็ไม่มี ถ้าหากโดนใครหลอกไปจะว่ายังไง"
"อย่าเพิ่งฟุ้งซ่านไปเลยนมผ่อน"
"อิฉันสังหรณ์ใจว่า ไปครั้งนี้ หนูขมคงจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วละค่ะ"
รัมภ์เอ่ยปากพูดพอได้ยินกันสามคน
"ถ้าพี่เป็นขม พี่จะไม่กลับมา"
"รสก็เหมือนกัน"
"แต่ฉันจะยอมให้ขมหายไปเฉยๆอย่างนี้ไม่ได้...ฉันจะตามหาจนกว่าจะเจอ และจะไม่ปล่อยให้ขมต้องทนทุกข์อย่างนี้ต่อไปอีก"
"พี่รัฐจะทำยังไง"
"ฉันมีวิธี ถึงวันนั้น แกก็จะรู้เอง"
รติรสเหลือบมองรัฐ โดยที่รัฐไม่เห็น
ชาติสยามเลื่อยไม้กระดานอย่างขมักเขม้น โขมพัสตร์ร้องเพลงเชียร์อยู่ข้างๆ
"อาสยามสู้ๆ อาสยามสู้ตาย อาสยามไว้ลาย สู้ตายสู้สู้ ๆ ๆ ๆ"
"หยุดร้องแล้วมาช่วยกันจับไม้ ดีกว่ามั้ย"
"เดี๋ยวสิคะอา กำลังมัน"
ชาติสยามหยุดการเลื่อยไม้ หันมาพูดกับหลานสาว
"ขมมัน แต่อาเมื่อย ทั้งเลื่อยทั้งจับ มันไม่ถนัด เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่เสร็จจะว่ายังไง"
"ไม่เสร็จก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่เกินเดือนนึงหรอกน่าอา"
"อาโดนไล่ออกจากงานแน่นอน"
"อาเก่งออกอย่างนี้ ทั้งเก่งทั้งหล่อ ไม่มีใครกล้าไล่อาหรอก"
"คิดแบบนี้ ตกงานมานักต่อนักแล้ว...เอ้า อยากร้องก็ร้องต่อไป ตามสบาย"
ชาติสยามลงมือเลื่อยไม้ต่อ
"อา...ถ้าอาทำระเบียงเสร็จเร็วแล้วเวลาที่เหลือเราจะทำอะไรกันล่ะ"
"เยอะแยะ"
"แล้วพอครบห้าวันล่ะ...ตกลงกันตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า"
ชาติสยามหยุดเลื่อยไม้อีกครั้ง เขาหันมาพูดจริงจังกับหลานสาว
"เมื่อครบห้าวัน อาจะพาขมกลับไปยังที่ที่พ่อพิทย์ต้องการให้ขมอยู่"
"อายังไม่ได้ถามความเห็นของขมเลยนะ"
"ความเห็นของอาถูกต้องที่สุด เพราะมันคือเจตนาของพ่อพิทย์"
"นึกแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้"
ชาติสยามยักไหล่ โดยไม่มีคำพูดโต้ตอบ
"เท่ากับการหนีออกจากบ้านของขม ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะสุดท้ายก็ต้องกลับไปตกนรกที่เดิมอยู่ดี"
"อย่าคิดว่าเป็นนรกสิ คิดซะว่ามันเป็นสถานที่ฝึกความอดทนให้เรา"
"อดทน ?"
"ใช่ เราจะได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นๆ"
"ขอขมฝึกความอดทนที่อื่นได้มั้ย ที่บ้านอาก็ได้ หรือไม่ก็บ้านอารุ้ง อาขออารุ้งให้หน่อยสิ อารุ้งจะใช้งานขมหนักแค่ไหน ขมก็จะอดทน"
"แล้วพ่อพิทย์จะว่ายังไง"
"ขมจะเขียนจดหมายไปขอพ่อพิทย์เอง เขียนคืนนี้เลย...นะอานะ นะ คุณอาสุดหล่อของขม"
วันเดียวกัน สาวใช้คนหนึ่งเดินตรงเข้าไปหาบุหงา
"คุณบุหงาคะ มีโทรศัพท์ถึงคุณบุหงาค่ะ"
"ใครโทรมา ?"
"จากโรงแรม"
"โรงแรมอะไร"
"หนูจำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ"
บุหงาถอนหายใจด้วยความรำคาญหนึ่งที
โรงแรมที่พักของแฟรงกี้ พนักงานโรงแรมคนเดิมยืนพูดโทรศัพท์ที่หน้าเคาน์เตอร์
"คุณบุหงาใช่มั้ยครับ...ผมโทรมาแจ้งว่า เด็กยกกระเป๋าคนนั้นกลับมาแล้วครับ"
ณ โถงเรือนเล็ก บ้านพุทธชาด บุหงายืนพูดโทรศัพท์ หน้าตามุ่งมั่น
"นัดมันให้ฉันด่วนเลย"
"ได้ครับ...อ้อ มันชื่อ ไอ้หมึก นะครับ"
ณ ที่นัดหมาย ... ในเวลาต่อมา
ห้องอาหารแห่งหนึ่ง ไอ้หมึกก้าวเข้ามาที่หน้าโต๊ะอาหารกลางร้าน บุหงานั่งรออยู่ที่นั่น
"สวัสดีครับ ผมหมึกครับ"
"นั่ง"
"คุณบุหงาใช่มั้ยครับ"
"อือม"
"มีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ"
"แกสนิทกับนายแฟรงกี้ใช่มั้ย"
"เอ...ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าจะเรียกว่าสนิทได้รึเปล่า...แต่คุณแฟรงกี้แกชอบเรียกใช้ผมให้ทำนู่นทำนี่ เวลาแกมาพักที่โรงแรมน่ะครับ"
"ทำอะไรบ้าง"
"วิ่งซื้อข้าว ซื้อน้ำ ซื้อเหล้า บุหรี่น่ะครับ...บางทีก็ให้หาผู้หญิงให้ ก็มีเหมือนกัน"
"ฉันอยากรู้ว่า เขามีบ้านพักที่ไหนอีกมั้ย นอกจากที่โรงแรมนี้"
"อุ้ย ผมไม่สนิทขนาดนั้นครับ แต่คิดว่าน่าจะมีนะครับ เพราะแกรวยจะตาย"
"งั้นมีใครที่สนิทกับเขามากกว่าแกอีกมั้ย"
"ไม่น่าจะมีครับ...แต่ถ้าเรื่องบ้านพัก พวกแท๊กซี่อาจจะรู้ก็ได้ มีแท๊กซี่เจ้าประจำ
อยู่สี่ห้าคัน ที่ผมเรียกให้แกบ่อยๆ"
"ตามแท๊กซี่พวกนั้นมาเจอฉันได้มั้ย"
"โอ๊ย...ยากมากครับ"
บุหงาหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาเปิดนับเงิน
หมึกมองจ้องที่เงินนั้น ตาเป็นประกาย
"แต่ก็น่าจะลอง"
บุหงายื่นเงินจำนวนหนึ่งให้มัน
"ขอเร็วที่สุดเลยได้มั้ย"
"เอ้อ..."
บุหงาส่งเงินเพิ่มให้อีกจำนวนหนึ่ง หมึกยิ้มรับเงินนั้นโดยเร็ว
"ผมจะรีบตามให้เร็วที่สุดเลยครับ"
คุณหญิงรัตนเดชากร ยกโทรศัพท์ขึ้นพูด
"ว่ายังไงคุณชาติสยาม ได้เรื่องอะไรบ้างรึเปล่า รู้มั้ยว่าฉันใจจดใจจ่อ นั่งรอโทรศัพท์คุณอยู่ทั้งวันเลยนะ"
ชาติสยาม ยืนพูดโทรศัพท์ในร้านค้ากลางตลาดแปดริ้ว
"ผมตระเวนหาจนทั่วแล้วครับ"
"เจอมั้ย"
"ไม่เจอใครซักคนเลยครับ"
"อ้าว"
โขมพัสตร์ยืนซื้อของอยู่ด้านหลังชาติสยาม
"คนแถวนี้บอกว่า พวกครูไปงานผ้าป่ากัน เป็นไปได้ว่าขมจะตามไปกับคณะของครูสมพรด้วย"
"เหรอ แล้วคุณจะตามคณะผ้าป่าไปมั้ย"
"ผมกลัวว่าจะสวนกันน่ะครับ ก็เลยคิดว่าจะรออยู่แถวนี้ เห็นเขาว่า อีกสองสามวัน คณะผ้่าป่าก็กลับมาแล้วครับ ถ้าไม่เจอตัวขม ค่อยหาทางตามต่อครับ"
"ขอให้เจอทีเถอะ เจ้าประคุณเอ๊ย...ถึงขมจะไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาอะไรกับฉัน แต่ฉันก็รักและเอ็นดูขมไม่ต่างจากลูกหลานคนนึง"
"ผมทราบครับ และสัญญาว่าจะไม่ยอมให้มีอันตรายเกิดขึ้นกับขมเป็นอันขาด"
ชาติสยามวางโทรศัพท์ลง พร้อมกับผ่อนลมหายใจยาวๆ
โขมพัสตร์เดินเข้ามาหาเขา พร้อมกับชูถุงให้ดู
"ได้ของครบแล้วค่ะอา...กลับบ้านกันเถอะ"
ต่อมา ... ตาพูนหย่อนปลาตัวใหญ่ลงไปในกระทะที่มีน้ำมันเดือดท่วม
ชาติสยามโผล่หน้าเข้ามาบอก
"ได้ยินเสียงก็น่ากินแล้ว ตาพูน"
"ต้องกิน แล้วจะรู้ว่า อร่อยกว่าฟังเสียงเยอะ"
ชาติสยามเดินตรงไปยังระเบียง โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายอยู่ตรงนั้น
ชาติสยามชะโงกหน้าดูท่าทีของหลานสาว
"จดหมายฉบับนี้มันเศร้ามากเลยเหรอ ถึงได้หน้าเครียดขนาดนั้น"
"ขมคิดไม่ออกว่าควรจะเขียนยังไง กลัวพ่อไม่เข้าใจขม"
ชาติสยามจึงหย่อนตัวลงนั่งข้างๆเธอ
"เขียนตามความรู้สึกจริงๆ พ่อน่าจะเข้าใจ"
"อาช่วยขมได้มั้ยคะ"
"ช่วยยังไง ?"
"ขมจะอ่านจดหมายให้อาฟัง แล้วอาลองสมมุติว่าตัวเองเป็นพ่อขมนะ ดูซิว่า พ่อจะเห็นด้วยมั้ย ถ้าตรงไหนไม่ดี จะได้ช่วยกันแก้ไง"
"ได้"
โขมพัสตร์ยกจดหมายที่เธอกำลังเขียน ขึ้นมาอ่าน
"ฟังนะคะ...พ่อพิทย์ที่รักของขม พ่อต้องเดาไม่ถูกแน่ๆเลยว่าขมเขียนจดหมายฉบับนี้ที่ไหน ที่แปดริ้วค่ะ"
"ไม่ต้องบอกนะว่าอาพามา เดี๋ยวพ่อโกรธ"
โขมพัสตร์บอกกับชาติสยาม "บอกไปแล้วนี่..."
" อาสยามพาขมมาเที่ยวที่นี่ เพราะขมหนีออกจากบ้านพุทธชาด"
"อย่างนี้อาก็ซวยน่ะสิ"
โขมพัสตร์อ่านจดหมายต่อ "ขมไม่มีที่พึ่งที่ไหนนอกจากอาชาติสยาม และอาก็เป็นที่พึ่งได้จริงๆ อาทำให้ขมรู้สึกปลอดภัย กว่าที่บ้านพุทธชาดมาก"
"อย่าชมอามากเดี๋ยวพ่อหมั่นไส้"
โขมพัสตร์บอกกับชาติสยาม "ขมก็ว่างั้นแหละ งั้นเล่าเรื่องนี้เลยดีกว่า..."
" พ่อคะ ขมพาแม่มาที่นี่ด้วยค่ะพ่อ ที่นี่ร่มรื่นน่าอยู่ จนขมอยากจะพรวนดิน ปลูกต้นไม้
สวยๆ แล้วเอาเถ้ากระดูกของแม่ฝังไว้ที่นี่ พ่อว่าดีมั้ยคะ ขมยังไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของบ้านเลย แต่เขียนบอกพ่อก่อน"
"อนุญาตครับ"
โขมพัสตร์หันมายิ้มให้ชาติสยาม และก้มหน้าอ่านจดหมายต่อ
"ถ้าพ่อกลับมาเมื่อไหร่ ขมจะพาพ่อมาหาแม่ที่นี่นะคะ...มาถึง เรื่องสำคัญแล้วค่ะพ่อ ขมอยากขออนุญาตพ่อย้ายออกจากบ้านพุทธชาดได้มั้ยคะ ในเมื่อพ่อไว้ใจอาชาติสยามให้ดูแลขม พ่อก็ย่อมไว้ใจให้ขมอยู่บ้านอาชาติสยามได้ ใช่มั้ยคะ ขมเชื่อว่าพ่อจะต้องอนุญาตแน่ๆ"
"อาว่ามันเป็นการบังคับไปนะ ควรจะเป็นการขอความเห็นดีกว่า"
"ยังไงคะ"
"ก็ต้องให้พ่อพิทย์เป็นคนตัดสินใจไง"
"งั้นอาว่ามาเลย ขมเขียนตาม"
ชาติสยามสูดหายใจเต็มปอด แล้วจึงพูด
โขมพัสตร์ก้มหน้าเขียนตามคำพูดของอา
"พ่อคะ นับจากนี้ไปเป็นเวลาเกือบห้าปี ขมจึงจะจบปริญญาตามที่พ่อต้องการ"
โขมพัสตร์เงยหน้าขึ้นพูดกับชาติสยาม
"ขมอาจจะไม่เรียนนะอา"
"พ่อว่ามันนานไปมั้ยคะ...ถ้าขมหางานทำตั้งแต่ตอนนี้เลย พ่อว่าจะดีกว่ามั้ย"
"ค่อยยังชั่ว"
โขมพัสตร์ก้มหน้าเขียนจดหมายตามคำบอกของอาอีกครั้ง
"เพราะขมมีความสุขได้ทั้งสองทาง พ่อเห็นด้วยกับทางไหน ขมก็เอาทางนั้น"
โต๊ะกินข้าวบนชานเรือนสวย เวลาต่อมา ทั้งสามคนนั่งกินข้าวด้วยกันที่นั่น
เสียงขมตามความในจดหมายดังเข้ามา
"แต่ในระหว่างนี้ ขมต้องอดทนกับการถูกรังแกมากมาย หากขมหนีออกมาจากบ้านพุทธชาดได้ ขมก็จะมีสมาธิกับการศึกษาเล่าเรียนอย่างที่พ่อปรารถนา พ่อช่วยหาทางออกให้ขมที ขมยินดีจะทำตามคำแนะนำของพ่อทุกประการ"
ที่มุมสวย โขมพัสตร์นั่งอ่านจดหมายที่เพิ่งเขียน โดยมีชาติสยามนั่งอยู่ข้างๆ
"รัก จาก ขม"
โขมพัสตร์ลดกระดาษจดหมายลง แล้วเอ่ยปากกับผู้เป็นอา
"พ่อจะเห็นด้วยกับขมเหรอ ?"
"ใครจะรู้ แต่อย่างน้อยพ่อพิทย์จะมีความสุขที่ขมใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์"
"เพี้ยง ขอให้พ่อเลือกทางเดียวกับที่ขมต้องการเถอะ"
"ทางที่พ่อเลือก จะเป็นทางที่ดีที่สุดของขม อารับรอง"
"อารู้ใจพ่อได้ถึงขนาดนี้เชียว...ดีจัง"
ชาติสยามส่งยิ้มกว้างให้หลานสาว
วันเดียวกัน รุ้งกาญจน์เดินมากลางโถงบ้าน เธอกวาดตามองไปรอบๆ
โสมวดีเข้ามาทางด้านหลังรุ้งกาญจน์
"มาหาใครคะ"
รุ้งกาญจน์หันหน้ามาตามเสียงเรียก
"สวัสดีค่ะคุณแม่"
"หนูรุ้งกาญจน์ใช่มั้ยเนี่ย"
"ค่ะ"
"ขอโทษนะที่ต้องถามก่อน กลัวทักคนผิด"
"ไม่เป็นไรค่ะ เพราะชาติสยามไม่ยอมพาหนูมากราบคุณแม่เป็นเรื่องเป็นราวซักที"
"นั่นสิ...แต่เขาก็ไม่ได้มีใครอื่นนอกจากหนูอีกนะ อย่าเข้าใจลูกชายแม่ผิดล่ะ"
"ค่ะ แล้วนี่เขาไม่อยู่เหรอคะ"
"ไม่อยู่ แล้วก็ฝากบ้านไว้กับแม่ ก็เลยต้องมาทำความสะอาดให้เขา ยังกับเป็นคนใช้อย่างนั้นแหละ"
"แล้วเขาจะกลับดึกมั้ยคะ"
"อ้าว หนูไม่รู้เหรอ ? เป็นแฟนกันยังไง ทำไมถึงไม่รู้ล่ะ"
"เรางอนกันนิดหน่อยค่ะ"
"มิน่าล่ะ ถึงได้ปุปปัปรีบไปต่างจังหวัด"
รุ้งกาญจน์มีสีหน้าฉงนขึ้นมาทันที
"ไปที่ไหนคะ ?"
"อ้าว หนูไม่รู้เหรอ ?"
"ไม่รู้ค่ะ"
"แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน"
ที่บ้านสวนแปดริ้ว ชาติสยามตอกตะปูตัวสุดท้ายบนไม้กระดาน ระเบียงนี้ได้ถูกซ่อมแซมจนเสร็จ สวยงาม โขมพัสตร์ตบมืออยู่ข้างๆ
"สุดยอดเลย อาชาติสยามของขม สวยงามไม่มีที่ติ ในเวลาแค่สองวัน"
"นี่ยังไม่เรียบร้อยดีนะ จะให้สมบูรณ์ต้องทาสีซะหน่อย"
"อย่าเพิ่งรีบทาได้มั้ยอา ทาช้าๆหน่อย"
"ช้ายังไงก็ต้องเสร็จภายในห้าวันนี้แหละ อย่าคิดลากยาวไปกว่านี้เลย ไม่สำเร็จหรอก"
"รู้ทันเรื่อยเลย"
"เรามีเวลาครึ่งวัน กว่าตาพูนจะซื้อสีมาให้ อยากทำอะไรสนุกๆมั้ย"
"อะไรเหรออา"
"เดี๋ยวก็รู้"
กลางลำน้ำใหญ่ ชาติสยามและโขมพัสตร์นั่งนิ่งบนเรือ โดยมีคันเบ็ดสองอันอยู่ในมือเขาและเธอ
สักพัก โขมพัสตร์จึงเอ่ยปาก
"ไม่เห็นสนุกเลย"
"ชู่ย์ย์...อย่ายุกยิกสิ เดี๋ยวปลาหนีหมด"
"ก็มันไม่สนุกจริงๆนี่ ขยับตัวก็ไม่ได้ คุยดังก็ไม่ได้ นั่งมาตั้งชั่วโมงนึงแล้วนะอา ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย"
"มันเป็นหนึ่งวิธีของการฝึกความอดทน"
"อดทนเพื่อทำบาปเนี่ยนะ"
"เพื่อทดสอบสมาธิ และความนิ่ง ระหว่างเรากับปลา ว่าใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน"
"ถ้าขมเป็นปลา ขมว่ายหนีไปที่อื่นนานแล้ว"
"หนีจากตรงนี้ก็อาจไปติดแหติดอวนที่อื่นได้ เพราะฉะนั้นทางเดียวที่ปลาจะรอดคือ อยู่อย่างรู้เท่าทัน มีสติมองให้ออกว่าอันไหนคือเหยื่อ อันไหนคือเบ็ด...ขมก็เหมือนกัน ถ้าขมอยู่อย่างรู้เท่าทันผู้คนรอบตัว ขมก็จะมีชีวิตที่เป็นสุขได้ในทุกๆที่"
"ยกเว้นบ้านพุทธชาด"
"ถ้าสติ อยู่เหนืออารมณ์ ก็ไม่ต้องมีข้อยกเว้น"
พลันคันเบ็ดของชาติสยามเกิดการกระชากดึง
ชาติสยามยกคันเบ็ดขึ้นเหนือน้ำ ปลาตัวเขื่องติดเบ็ด
"อุ๊บ...นี่ไง เจ้าปลาที่พลาดท่าเพราะอารมณ์อยู่เหนือสติ"
"สงสารมันน่ะอา"
ชาติสยามค่อยๆแกะเบ็ดออกจากปากปลา และปล่อยมันลงน้ำตามเดิม
"อย่าหลงไปกินเบ็ดใครเข้าอีกล่ะ เจ้าปลาโง่"
เวลาต่อมา นมผ่อนเดินตรงเข้าไปหาคุณหญิงรัตนเดชากร
"คุณหญิงขา คุณรุ้งกาญจน์มาขอพบคุณหญิงค่ะ"
"ขอพบฉัน ? เรื่องอะไร"
"เธอมาถามหาขม พอรู้ว่าขมหนีออกจากบ้านไป เธอก็เลยมาขอพบคุณหญิงค่ะ"
คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งบนเก้าอี้สวย ที่ระเบียงพร้อมกับรุ้งกาญจน์
"ขมหายไปจากบ้านได้สองวันแล้ว ตาชาติสยามกำลังช่วยตามหาอยู่"
"ตามหาที่ไหนคะ"
"ที่ที่ขมเคยไปก็ไม่เจอ เขาจึงเชื่อว่า ขมน่าจะไปที่อัมพวา บ้านเกิดของเธอ เพราะมีครูที่เธอนับถืออยู่ที่นั่น ชาติสยามเขาอาสาเป็นคนไปตามเอง เขาไม่ได้บอกหนูเหรอ"
"หนูไปต่างจังหวัดเพิ่งกลับมาน่ะค่ะ ก็เลยไม่รู้เรื่อง"
"หนูลองตามไปที่นั่นสิ จะได้ช่วยกันตามหาขมอีกแรง"
"อือม...ถ้าหนูเสร็จธุระ อาจจะตามไปค่ะ"
"งั้นถ้าเขาโทร. มาที่นี่ ฉันจะบอกเขาให้นะ"
"อย่าดีกว่าค่ะ หนูขอโผล่ไปแบบไม่ให้เขารู้ตัวดีกว่า เซอร์ไพรส์ไงคะ"
"เด็กสมัยนี้นี่ชอบจริงๆนะไอ้เซอร์ไพรส์เนี่ยะ...ฉันละไม่เอาเด็ดขาด หัวใจจะวายทุกที"
บ้าน มจ.อรุณี ที่เครื่องโทรศัพท์กลางบ้าน หูของมันวางอยู่นอกแป้น
พจนีย์ก้าวเข้ามายกหูโทรศัพท์ขึ้นแนบแก้มแล้วพูด
"ฮัลโหล พ่อเหรอคะ...พจน์คิดถึงพ่อค่ะ"
รังสรรค์ยืนพูดโทรศัพท์ หน้าตาเป็นกังวลพอสมควร
"พ่อก็คิดถึงลูกนะ หนูเป็นยังไงบ้าง อยู่ได้มั้ย กินได้ นอนหลับรึเปล่า"
"ไม่เลวร้ายอย่างที่พจน์กังวลเลยค่ะ มจ.อรุณีเข้มงวดมากก็จริง แต่ท่านก็มีเหตุผล ท่านสอนพจน์หลายเรื่องเลยค่ะ ทั้งเรื่องมารยาท เรื่องงานบ้านงานเรือน แล้วก็สอนให้พจน์สวดมนต์ด้วยนะคะ"
"ได้ยินอย่างนี้พ่อค่อยสบายใจหน่อย...แต่ถ้าเมื่อไหร่มีปัญหา หรือโดนใครรังแกบอกพ่อนะลูก พ่อจะไปรับหนูกลับบ้านทันที"
"ไม่ต้องหรอกค่ะพ่อ พจน์จะอดทนอยู่ที่นี่ จนมจ.อรุณียอมรับว่า พจน์ปรับปรุงตัวได้แล้ว ถึงวันนั้นพจน์ก็ได้กลับบ้านเอง"
รังสรรค์น้ำตาซึมออกมานิดๆ
"เข้มแข็งนะลูก"
"พ่อก็เหมือนกันนะคะ อย่าทะเลาะกับย่า อย่าโกรธเคืองใครอีกเลยนะพ่อ มันเป็นทุกข์ เป็นภัยกับตัวเองนะคะ...ฝากพี่รสด้วยนะพ่อ พจน์เป็นห่วงพี่รสค่ะ พจน์รู้ว่าพ่อไม่รักพี่รสเท่าที่ควร สงสารพี่รสเถอะนะคะพ่อ"
รังสรรค์ถึงกับอึ้งไป เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวคนเล็ก
"จ้ะลูก...พ่อรักลูกนะ"
"พจน์ก็รักพ่อค่ะ"
รังสรรค์ค่อยๆวางโทรศัพท์ลง
เขาเดินไปยังผนังบ้านมุมหนึ่ง และยืนจ้องมองกรอบรูปที่แขวนอยู่ มันคือรูปถ่ายของ รติรสในวัยเด็ก
ใบหน้าและท่วงท่าคล้ายคลึงแขนภาไม่น้อย
คืนนั้น รติรสนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น รังสรรค์เปิดประตูก้าวเข้ามามองลูกสาว
"อ่านหนังสือเหรอลูก"
"ค่ะ"
"ขยันจัง"
"พ่อเป็นคนสอนรสเอง ตั้งแต่รสเด็กๆ"
"เหรอ ?"
"พ่อบอกว่า หนังสือน่ะ อ่านเข้าไปเถอะ มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ"
รังสรรค์ขยับตัวลงนั่งข้างๆลูกสาว
"พ่อจำไม่ได้ว่าเคยพูดอย่างนั้น"
"พ่อมีเรื่องต้องทำ ต้องจำ มากมายนี่คะ"
"แต่พ่อก็ไม่ควรลืมเรื่องราวที่เกี่ยวกับลูก...แม้แต่เรื่องเดียว"
"งั้นทีหลังรสจะคอยเตือนพ่อก็แล้วกัน ดีมั้ยคะ"
รังสรรค์พยักหน้า ยิ้มๆ
"พ่อเพิ่งโทร.ไปหาพจนีย์ เขาฝากบอกว่าคิดถึงลูก"
"รสก็คิดถึงเขาเหมือนกัน...อยากแวะไปเยี่ยม แต่คุณย่าห้ามเด็ดขาด รสก็ได้แต่เอาใจช่วยให้น้องเข้มแข็งอดทน และผ่านการอบรมไปได้ด้วยดี"
"ถ้าพจนีย์เรียบร้อยได้สักครึ่งหนึ่งของรสก็คงจะดี"
"แต่ก็มีหลายอย่างที่รสทำได้ไม่ดีเท่าพจน์นะคะ"
รังสรรค์ยิ้มอีกครั้ง
เขาเหลือบไปเห็นรูปถ่ายบนโต๊ะ เป็นรูปรติรสที่สวมเสื้อผ้าเหมือนแขนภาในวันนั้น
รังสรรค์ตาเป็นประกาย รติรสสังเกตุเห็นท่าทีของผู้เป็นพ่อ
"ถ้าพ่อไม่ชอบ รสเอาไปทิ้งก็ได้นะคะ"
"ทำไมพ่อจะไม่ชอบรูปลูกสาวพ่อล่ะ"
"ก็ มันเหมือนผู้หญิงที่พ่อเกลียดนี่คะ"
รังสรรค์ส่ายหน้าช้าๆ
"คนในรูปนี้คือลูกสาวที่พ่อรัก...เก็บไว้ให้ดีนะ ลูกใส่ชุดนี้แล้วสวยมาก"
รังสรรค์ค่อยๆเดินออกไปจากห้อง
กลางดึก ชาติสยามนั่งเขียนจดหมายบนระเบียง เสียงข้อความที่เขาเขียน ดังออกมา ...
"ขมลูกรัก...พ่อตกใจมากเมื่อรู้ว่าลูกหนีออกจากบ้านพุทธชาดอีกครั้ง...แต่ก็ใจชื้นขึ้นมา เมื่อรู้ว่าอาชาติสยามดูแลขมได้เป็นอย่างดี ขมจำไว้นะ ว่าขมจะปลอดภัยที่สุด เมื่ออยู่กับอาชาติสยาม เชื่อพ่อนะลูก
กลางดึก ชาติสยามค่อยๆห่มผ้าให้โขมพัสตร์ที่นอนหลับสนิท
"พ่อไม่เคยรู้ว่าชาติสยามมีบ้านที่แปดริ้ว แต่อ่านจากจดหมายของขม พ่อก็เดาได้ว่าบ้านหลังนี้ต้องสวยงามน่าอยู่แน่ๆ เสียดายที่พ่อไม่มีโอกาสเห็นอย่างที่ขมเห็น"
ตอนกลางวัน ชาติสยามและโขมพัสตร์ช่วยกันถางหญ้า ปรับผิวดิน
"พ่อจึงดีใจเมื่อรู้ว่า ขมเลือกที่นี่ให้เป็นที่ของแม่ ดวงวิญญาณของแม่จะต้องดีใจและเป็นสุข กับสิ่งที่ขมทำ"
กลางดึก ชาติสยามนั่งเขียนจดหมายอยู่ที่เดิม
"ส่วนเรื่องที่ขมขอพ่อไปอยู่บ้านอาชาติสยามนั้น..พ่อตอบตรงๆได้เลยว่า ไม่สมควร จนกว่าขมจะเรียนจบมหาวิทยาลัย วันนั้นขมจะโตพอที่จะเลือกได้เองว่า ควรจะอยู่ที่ไหน แต่วันนี้ขอให้เชื่อการตัดสินใจของพ่อเถอะนะลูก รัก จาก พ่อพิทย์"
เช้ารุ่งขึ้น ไอ้หมึกยืนพูดโทรศัพท์อยู่ที่เคาน์เตอร์โรงแรม
"ฮัลโหล ผมหมึกพูดครับ...ผมมีความคืบหน้าเรื่องรถแท๊กซี่มาบอกคุณบุหงาครับ หวังว่าคุณบุหงาคงจะอยากรู้"
บุหงายืนหลบมุมพูดโทรศัพท์
"บอกมาเลยสิ ไม่ต้องอารัมภบทนาน"
"มีแท๊กซี่สี่คัน ที่ผลัดกันมารับคุณแฟรงกี้"
"แล้วไง"
"ต้องมีอย่างน้อย หนึ่งคันในสี่คันนี้ที่เคยไปส่งคุณแฟรงกี้ที่บ้าน"
"แล้วรู้รึยังล่ะว่าคันไหน"
"ยังครับ"
"ก็ไปถามให้รู้เรื่องแล้วค่อยมาบอกสิวะ"
"ผมนึกว่าคุณบุหงาอยากทราบความคืบหน้าทุกระยะ"
"เออ แต่ที่ฉันอยากรู้ที่สุดคือ บ้านมันอยู่ที่ไหน ฉันไม่ได้อยากรู้ว่าแท๊กซี่มีกี่คัน คันไหนพามันไปไหน แกก็ไปตามมาจนเจอแล้วมาบอกฉัน ทำได้มั้ยW
"ไม่ได้ครับ"
"ทำไมไม่ได้"
"ผมไม่มีตังค์ครับ...แท๊กซี่พวกนี้อยู่ๆจะไปคุยกับมันเฉยๆ มันไม่ยอมบอกครับต้องใช้เงิน"
"ไอ้เวรเอ๊ย...งั้นแกรออยู่ที่นั่นแหละ เดี๋ยวจะเอาเงินไปให้ แล้วอย่าทำให้ฉันเสียเงินเปล่าล่ะ ไม่งั้นแกตายแน่ ไอ้หมึก"
ในหลุมดิน มีผ้าขาวสะอาดรองอยู่ก้นหลุม กลีบดอกไม้สวยงามมากมายถูกโปรยลงไป
โขมพัสตร์ค่อยๆวางห่อผ้าใส่เถ้ากระดูกแม่แขลงไปในหลุมนั้น
"แม่จ๋า ขมพยายามอย่างที่สุดที่จะให้แม่ได้อยู่ในที่ที่เหมาะสม ที่ที่สวยงาม ที่แบบที่แม่ชอบ"
อาหลานค่อยๆช่วยกันกลบหลุมนี้
"แม่ชอบดอกไม้ แม่ชอบผืนดิน แม่ชอบธรรมชาติ ขมไม่อาจหาที่ไหนดีเท่าที่นี่อีกแล้ว หวังว่าแม่จะพอใจกับสิ่งที่ขมทำนะแม่"
โขมพัสตร์นั่งพนมมือที่ปากหลุม ชาติสยามนั่งอยู่ด้านหลังเธอ
"ขมรักแม่ และจะรักตลอดไป...เสียดายที่วันนี้ไม่มีพ่ออยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะสมบูรณ์กว่านี้มาก แต่ก็ยังดีที่มีอาชาติสยามเป็นตัวแทนของพ่อ"
ชาติสยามและขมช่วยกันทาสีระเบียงนั้น
"อาชาติสยามน่ารักมากจ้ะแม่ ช่วยขมทุกอย่าง...ขมเชื่อว่าถ้าแม่ได้เจออา แม่จะต้องชอบอา...เหมือนที่ขมชอบ ขมรับรอง"
ชาติสยามและโขมพัสตร์ช่วยกันป้ายสีสุดท้ายบนระเบียง สภาพของคนทั้งสองเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยสี
"เรียบร้อย เสร็จซะที...ถึงเวลาชื่นชมผลงานของเราแล้ว"
ชาติสยามดึงขมออกมายืนห่างจากระเบียงและมองมันอย่างชื่นชม
ตาพูนเดินพูดเข้ามา
"สวยที่สุด ทั้งสวนนี้ไม่มีระเบียงบ้านไหนสวยเท่านี้อีกแล้ว ผมรับรอง และนี่คือของที่ระลึกจากตาพูนครับ"
ตาพูนส่งไอสครีมกะทิให้ชาติสยามและโขมพัสตร์คนละถ้วย
"อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับ ขอชักภาพเป็นที่ระลึกหน่อยเถอะ เพราะไม่รู้ว่า อีกนานแค่ไหนคุณชาติสยามจะมาที่นี่อีก...เดี๋ยวผมจะแก่ตายซะก่อน"
"ไม่มีทางหรอก ตาพูนหนังเหนียวจะตาย"
ตาพูนหยิบกล้องรุ่นโบราณออกมา เล็ง...
"ตาพูนขา วันหลังขมขอกลับมาเที่ยวที่นี่อีกได้มั้ยคะ"
"ผมมันแค่คนเฝ้าบ้านครับ ต้องขอกับเจ้าของบ้าน ที่ยืนข้างๆคุณหนูนั่นแหละครับ"
โขมพัสตร์หันไปถามชาติสยาม
"ขมขอนะคะอา"
"คิดดูก่อน !"
"รบกวนอากับหลานอยู่นิ่งๆสักนิดได้มั้ยครับ ผมถ่ายเสียไปสี่ห้ารูปแล้ว เหลืออีกรูปเดียวเอง"
"งั้นถ่ายเลยตาพูน"
"หนึ่ง สอง สาม"
ภาพคู่ของชาติสยามกับโขมพัสตร์ในจังหวะกดชัตเตอร์กล้อง
รถแท๊กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน บุหงาก้าวลงจากแท๊กซี่คันนี้ เธอรีบเดินตรงเข้าบ้าน
คุณหญิงรัตนเดชากรเข้ามาขวางหน้าบุหงา
"สวัสดีค่ะคุณแม่"
"ไปไหนมา"
"มีธุระข้างนอกนิดหน่อยค่ะ คุณแม่มีอะไรด่วนจะใช้ดิฉันเหรอคะ"
"ฉันมาขอกระดาษโน้ตแผ่นนั้นคืน"
บุหงาชะงักนิดนึง
"กระดาษโน้ต ?"
"กระดาษโน้ตที่ตำรวจได้มาจากนายแฟรงกี้น่ะ ฉันถามตารังสรรค์แล้ว เขาบอกว่าเอามาให้เธอดู"
"อ๋อ เศษกระดาษแผ่นนั้นเอง...ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่คิดว่าเป็นของสำคัญก็เลยไม่ได้เก็บเอาไว้...เอ ไม่แน่ใจซะด้วยสิ ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน"
คุณหญิงมีท่าทีไม่พอใจขึ้นมาทันที
"ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ?"
"ค่ะ"
"ไม่รู้ได้ยังไง เธอจงใจเอากระดาษแผ่นนั้นไปชัดๆ หรือว่ากระดาษแผ่นนั้นมันมีอะไรพิเศษระหว่างเธอกับแฟรงกี้ที่ไม่มีใครรู้"
"ทำไมคุณแม่พูดอย่างนี้ล่ะคะ"
"ฉันก็พูดไปตามเนื้อผ้า ข้อบ่งชี้เป็นยังไง ฉันก็พูดอย่างนั้น ถ้าไม่ถูก ก็แย้งมาสิ"
"ดิฉันเป็นเด็ก ไม่อยากโต้แย้งผู้ใหญ่ค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นก็รีบหากระดาษมาคืนฉันโดยด่วน ก่อนที่ฉันจะคิดกับเธอในทางที่ไม่ดี แค่นั่งแท๊กซี่ออกไปไหนต่อไหนทุกวันอย่างนี้ มันก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว...ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังหน่อย ระมัดระวังตัวไว้บ้างนะ แม่บุหงา"
ที่โต๊ะหนังสือ รังสรรค์นั่งดูรูปรติรส บุหงาเดินเข้ามาด้วยท่าทางหงุดหงิด
รังสรรค์หันไปมองเมียของตน
"ออกไปไหนมาครึ่งค่อนวัน"
"โอ๊ย คนบ้านนี้นี่เป็นยังไงนะ จะออกไปไหนมาไหน เป็นตั้งแถวซักเรียงตัว ยังกับน้องเป็นนักโทษงั้นแหละ"
"ฉันถามเพราะไม่รู้จะพูดอะไรก็เท่านั้น ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ อย่ามาทำหงุดหงิดใส่ฉัน ฉันไม่ชอบ"
"ขอโทษค่ะ น้องกำลังหัวเสีย"
"เรื่องอะไร ?"
"ก็คุณแม่ของคุณพี่น่ะสิคะ หมู่นี้จู้จี้วุ่นวายมากๆ"
รังสรรค์หันไปมองบุหงาเป็นเชิงถาม
"ตั้งแต่เรื่องไล่บี้ยายพจนีย์ จนเมื่อกี้ก็มาไล่บี้เอากับน้อง"
"บี้เรื่องอะไร"
"ก็มาถามหาเศษกระดาษอะไรก็ไม่รู้กับน้อง ไม่เห็นจะมีราคาค่างวดอะไรเลย"
"กระดาษโน้ตของนายแฟรงกี้ใช่มั้ย"
"นั่นแหละ...มันสำคัญอะไรนักหนา ถึงขนาดต้องนั่งจดนั่งจำว่าเอาไปไว้ที่ไหน"
"มันคือหนึ่งในหลักฐานของคดี เธอก็ต้องพยายามนึกหน่อยสิ"
สาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับเอ่ยปากเสียงดัง
"เจอแล้วค่ะ คุณรส เจอแล้วค่ะ"
"เจออะไร"
"ขมค่ะ...ดิฉันจะมาบอกคุณรสว่า คุณชาติสยามเจอตัวขมแล้ว"
ตอนค่ำ คุณหญิงพูดโทรศัพท์หน้าตาตื่นเต้น
"เป็นข่าวดีที่สุดเลย พ่อคุณเอ๊ย แล้วเจอตัวที่ไหนล่ะ"
ชาติสยาม ยืนพูดโทรศัพท์ในร้านค้ากลางตลาดแปดริ้ว
"ที่อัมพวานี่แหละครับ ขมไปกับคณะป่าผ่าของครูสมพรจริงๆครับ เพิ่งกลับมาเมื่อครู่นี้เอง ผมคิดว่าจะพากลับไปบ้านพุทธชาดพรุ่งนี้ครับ"
"แล้วเขาปลอดภัยดีใช่มั้ย"
"ครับ"
"ไม่ป่วยไข้อะไรใช่มั้ย"
"ครับ"
"บอกเขาว่า กลับมาคราวนี้ฉันจะแก้ปัญหาทั้งหมดอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดซะที
อ้อ ฝากสวัสดีครูสมพรด้วยนะ"
"ครับ"
ชาติสยามวางโทรศัพท์ลง ถอนใจโล่งอกพอสมควร
คุณหญิงรัตนเดชากรวางโทรศัพท์ลง แล้วหันไปพูดกับนมผ่อนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
"ชาติสยามจะพาขมมาส่งพรุ่งนี้...ฉันจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีกแล้วนมผ่อน ฉันรับรอง"
โขมพัสตร์นั่งฟังชาติสยามเล่า ทั้งสองนั่งข้างกันสบายๆ
"คุณหญิงฝากสวัสดีครูสมพร"
"เหรอคะ"
"แต่เราคงไม่ต้องรีบร้อน เพราะอยู่กันคนละจังหวัด"
"แต่ถ้าเราไปบ้านครูคืนนี้แล้ว..."
"ไม่เอา...อย่าหาทางเลี่ยงอีกเลย ยังไงๆก็ต้องกลับบ้านพุทธชาดพรุ่งนี้แหละ"
"แล้วขมจะมีโอกาสกลับมาที่บ้านสวนอีกมั้ยคะ อายังไม่รับปากขมเลย"
"บ้านอาก็เหมือนบ้านหลาน ทำไมหลานจะมาบ้านอาไม่ได้ล่ะ...แม่แขก็อยู่ที่นี่
ด้วยทั้งคน"
"วันนึงถ้าขมมีตังค์ ขมขอมาปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆบ้านอาได้มั้ยคะ"
"อายกบ้านหลังนี้ให้ขมเลยดีกว่ามั้ย"
"อุ๊บอิ๊บ ให้แล้วให้เลย อย่ากลับคำนะอา"
"อาเคยทำอย่างนั้นเหรอ"
โขมพัสตร์กอดชาติสยามด้วยความดีใจ
รุ่งขึ้น รถชาติสยามแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ทั้งคู่ก้าวลงจากรถ
"Welcome Home"
"ที่นี่แค่ที่พักชั่วคราว ที่นี่ไม่ใช่บ้านขมค่ะ"
ชาติสยามเดินนำหน้าขมเข้าไปในบ้านหลังนี้
ชาติสยามเดินนำโขมพัสตร์ตรงเข้าไปในห้องหนังสือ คุณหญิงรัตนเดชากรนั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงาน
"ไม่ต้องกราบเหมือนคราวก่อน ไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ฉันเห็นเธอกลับมาอย่างปลอดภัย ทุกคนที่นี่ก็ดีใจแล้ว"
"ถึงอย่างไร ดิฉันก็ต้องขอโทษคุณหญิงอยู่ดี เพราะเคยสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก แต่ดิฉันก็ผิดสัญญาจนได้"
"คนสมัยนี้ ผิดสัญญากันเยอะแยะไป เรื่องใหญ่กว่านี้ด้วยซ้ำ"
"พ่อพิทย์ของดิฉันก็คนนึง"
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะลงโทษเธอ ในสิ่งที่เธอทำ"
"ได้ค่ะ"
"ฉันขอสั่งให้เธอย้ายมาอยู่ที่นี่ ที่เรือนของฉัน...ฉันจะให้เวลาเธอเก็บข้าวของสัมภาระหนึ่งวัน หลังจากวันนี้ เธอจะอยู่ในการดูแลของฉันและไพลิน คนบ้านอื่นไม่มีสิทธิ์มาข้องเกี่ยว หรือออกคำสั่งกับเธอได้อีกต่อไป...มีอะไรติดขัดตรงไหนมั้ย"
โขมพัสตร์นิ่งไปนิดนึง เธอเหลือบมองชาติสยามก่อนเอ่ยปาก
"เมื่อเป็นบทลงโทษ ดิฉันก็ไม่อาจปฏิเสธค่ะ"
"ดี"
โขมพัสตร์ก้มลงกราบคุณหญิงอย่างอ่อนน้อม
"ขอบพระคุณคุณหญิงค่ะ"
คุณหญิงผ่อนลมหายใจสบาย และมีรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า
"ไปเที่ยวกับคณะผ้าป่าสนุกมั้ยล่ะ ไปวัดอะไร เล่าให้ฉันฟังบ้างสิ"
โขมพัสตร์มองหน้าชาติสยาม เหมือนขอความช่วยเหลือ
ชาติสยามจึงเอ่ยปากเป็นคำถามนำ
"วัดป่าที่เมืองกาญจน์ใช่มั้ย ค้างกันตั้งสามคืนนี่"
"ค่ะ คุณครูสมพรจัดผ้าป่าได้สนุกมากค่ะ สนุกจนลืมชื่อวัดเลย"
"เหรอ แล้วพอเจอหน้าอาเรา ตกใจมั้ยล่ะ เซอร์ไพรส์มั้ย"
"ค่ะ มากเลยค่ะ"
"แล้วพ่อชาติสยามล่ะ มีเซอร์ไพรส์บ้างรึเปล่า"
ชาติสยามมีสีหน้า งุนงงพอสมควร
"ผมเหรอครับ ?"
"อือม...ไม่มีใครโผล่ไปหาที่นั่นหรอกเหรอ"
"ใครครับ ?"
"แฟนสาวของเธอไงล่ะ เขาว่าเขาจะโผล่ไปเซอร์ไพรส์ที่อัมพวา...นี่หากันไม่เจอรึไง ทำไมดูไม่ตื่นเต้นเลย"
"เอ้อ..."
รุ้งกาญจน์เดินเข้ามาพร้อมเอ่ยปากเสียงดัง
"ชาติสยามเขาเป็นคนใจแข็งค่ะ ไม่ตื่นเต้นตกใจอะไรง่ายๆหรอก จริงมั้ยคะ สยาม"
ชาติสยามและโขมพัสตร์หันไปมองรุ้งกาญจน์ อึ้ง คาดไม่ถึง
"เอ้อ...ครับ"
"ดิฉันโผล่ไปทักทายเขาแค่ครู่เดียวแล้วก็รีบไปธุระต่อน่ะค่ะ...นี่ของฝากสำหรับคุณหญิง จากอัมพวาค่ะ...เข้าใจว่าชาติสยามคงจะยุ่ง จนไม่มีเวลาซื้อของฝากใคร...ดิฉันเลยอาสาทำหน้าที่นี้แทน"
รุ้งกาญจน์ส่งถุงของฝากให้คุณหญิง
"ขอบคุณจ้ะ แม่คุณ ช่างน่ารัก รู้ใจคนแก่ดีเหลือเกิน"
"ดิฉันลากลับเลยนะคะ ต้องไปธุระต่ออีกหลายที่...กลับก่อนนะคะ ชาติสยาม อาไปก่อนนะขม"
โขมพัสตร์ยิ้มหน้าเจื่อน
รุ้งกาญจน์ขยับตัวจะเดินออก ชาติสยามรีบขยับตัวตาม
"รุ้ง"
"ไม่ต้องตามมาหรอกค่ะ อยู่กับหลานเถอะ รุ้งไปเองได้"
รุ้งกาญจน์ใช้มือแตะที่แก้มชาติสยามเบาๆก่อนเดินจากไป
โขมพัสตร์มองชาติสยามด้วยความเป็นห่วง
อ่านต่อตอนที่ 14