xs
xsm
sm
md
lg

ดงผู้ดี ตอนที่ 12 : “ไพลิน” หลุด! “รังสรรค์” อย่าตีลูกสาวตัวเอง!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดงผู้ดี ตอนที่ 12 : “ไพลิน” หลุด! “รังสรรค์” อย่าตีลูกสาวตัวเอง!

บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ

เช้าวันรุ่งขึ้น ภาสกรหมุนหมายเลขที่แป้นเครื่องโทรศัพท์ยกหูโทรศัพท์ขึ้นพูดที่หน้าเคาน์เตอร์โรงแรมที่พักแห่งนี้

“ฮัลโหล ฉันภาสธรนะ ไปตามคุณแม่มาพูดสายหน่อย...เดี๋ยวนี้เลยสิ”

ครู่ต่อมา ไพลินยกโทรศัพท์แนบหูกลางโถงบ้านเธอเอ่ยปากพูดทันที
“ทำไมต้องโทรมาเช้าขนาดนี้ ให้แม่กินข้าวกินปลาให้เสร็จก่อนไม่ได้รึไง”
“ก็ทีคุณแม่ยังโทร.มาฝากข้อความไว้ซะดึกดื่นขนาดนั้น”
“อ้อ นี่จงใจแกล้งแม่เหรอ”
“ ไม่ได้แกล้งครับ แต่ผมต้องรีบบอกแม่ว่า ผมไม่ขอจัดงานวันเกิด”
“กลัวอะไร”
“ไม่ได้กลัวแต่อาย”
“มีอะไรให้อาย”
“ก็แม่จัดงานวันเกิดให้ผมแต่ละที ทำเหมือนกับผมเป็นเด็กเบบี๋งั้นแหละปีนี้ผมขอฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆที่ทำงานดีกว่าครับ”
“ไม่ได้ เพราะคุณยายจะถือเอาฤกษ์วันเกิดของลูกปีนี้ จัดงานทำบุญบ้านซะด้วยเลย”
“ทำบุญก็ส่วนทำบุญสิครับแม่ ผมก็ลางานไปร่วมทำบุญด้วยได้ แต่นี่แม่จะให้ผมลางานล่วงหน้าตั้งสองอาทิตย์ เพื่อไปเตรียมจัดงานวันเกิด แบบนี้ไม่ไหวครับ”
“ต้องไหว เพราะแม่นัดทุกคนในครอบครัวมาถ่ายรูปหมู่ตระกูลเรา เพื่อเอาไว้ติดในงานทำบุญด้วย”
“โอ้โฮ นี่แม่วางแผนล่วงหน้าโดยไม่ถามผมก่อนเลยนะครับ”
“เซอร์ไพรส์ไง ห้ามร้องโอดครวญเด็ดขาด แค่ทำตามที่แม่สั่งก็พอ”
ภาสธรจำใจรับคำผู้เป็นแม่
“ครับแม่”
เขาวางโทรศัพท์ลง ถอนใจ

ต่อเนื่องมา ที่โต๊ะอาหารใหญ่กลางบ้านไพลินขยับตัวลงนั่งข้างๆคุณหญิงรัตนเดชากร
คุณหญิงเอ่ยปากด้วยความอยากรู้
“ตาภาสว่ายังไง เขายอมมาถ่ายรูปกับเรามั้ย”
“ต้องยอมสิคะ ถ้ามากันไม่ครบคน เราก็คงหาเหตุจับคนของเราแต่งตัวไม่ได้”
“แล้วถ้าผลไม่เป็นอย่างที่เราคิดล่ะ”
“ก็ถือซะว่าได้ทำบุญบ้านก็แล้วกันคะคุณแม่ ยังไงก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว”
“แน่ใจนะว่า เราจะหาเสื้อผ้าที่เหมือนกับรูปได้”
“เราจะตัดใหม่เลยค่ะ ด้วยช่างฝีมือดี ลูกให้นมผ่อนนัดช่างไว้แล้ว”

รูปแขนภาใบนั้น ซึ่งเต็มไปด้วยรอยต่อของชิ้นส่วนรูปที่ถูกฉีกขาดถูกยื่นเข้ามาให้ช่าง ช่างตัดเสื้อหยิบรูปใบนี้ขึ้นมาดูใกล้ๆ หน้าตาฉงนนมผ่อนและไพลิน ชะโงกมองตามอยู่ข้างๆ
“ไม่มีรูปอื่นที่ชัดกว่านี้เหรอ”
“ไม่มีละ มีรูปนี้รูปเดียวเท่านั้น” นมผ่อนว่า
“ทำได้ไหมล่ะ”
“รูปไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่เลยค่ะ เพียงแต่ว่าชุดแบบนี้ ดิฉันตัดมานักต่อนักแล้วไม่น่ามีปัญหา”
“งั้นก็รีบจัดการเลย หาผ้าที่ใกล้เคียงที่สุด ให้ใส่แล้วเหมือนชุดในรูปให้ได้”
“ตัดให้ใครใส่คะ”
“รติรสหลานสาวฉัน”
“อ้อ สบายมาก ขนาดตัวของเธอ ดิฉันยังจดไว้อยู่”
“ขอสองชุดนะ”
“อีกชุดเป็นของใครคะ ถ้าเป็นหนูพจนีย์ก็ต้องให้ใหญ่กว่าหน่อย”
“เอาเท่ากันเลยค่ะ ขนาดทุกส่วนเท่ากัน แบบก็เหมือนกันนี่หละ” ไพลินว่า
“ค่ะ”
“กี่วันเสร็จล่ะช่าง” นมผ่อนถาม
“เร่งๆหน่อยก็ ขอสี่วันแล้วกันจ้ะ”
“เสร็จแล้วก็เอามาส่งไว้ที่นมผ่อนนะ”
“ได้ค่ะ”
ช่างยกมือไหว้ แล้วเดินออกไป
ไพลินเอ่ยปากกับนมผ่อนอย่างมุ่งมั่น
“อาทิตย์หน้า เราจะต้อนรับการกลับมา ของ แขนภา นิติการ”

วันเดียวกัน ชาติสยามยืนถือดอกไม้อยู่หน้าประตูบ้านรุ้งกาญจน์ ซ่อนกลิ่นเปิดประตู
“สวัสดีครับคุณป้า”
“ฉันบอกยายรุ้งให้แล้วนะ ว่าเมื่อคืนคุณแวะมาหา”
“รุ้งคงไม่ได้หลับอยู่ใช่มั้ยครับ”
“ไม่หลับ...แต่ไม่อยู่”
ชาติสยามถอนใจ ผิดหวังพอสมควร
“งั้นผมขอนั่งรอที่นี่ได้มั้ยครับ”
“จะไหวเร้อ...เพราะต้องนั่งรออีกหลายวันเลยนะกว่ายายรุ้งจะกลับ”
“รุ้งไปไหนเหรอครับ ?”
“เชียงใหม่...จะตามไปมั้ยล่ะ”
ชาติสยามนิ่งอึ้งไม่ตอบ แต่ส่งดอกไม้ให้กับซ่อนกลิ่น
“ผมฝากดอกไม้ไว้ที่นี่แล้วกันครับ”
“ดอกแค่เนี้ยะ...อยู่ได้กี่วันกันเชียว เดี๋ยวก็เหี่ยวหมด”
“เหี่ยวก็ไม่เป็นไร...แค่ให้เขาได้เห็นก็พอ”
ชาติสยามขยับตัวจะเดินออกซ่อนกลิ่นรีบเอ่ยปาก
“ เด็กผู้หญิงคนนั้นรออยู่ในรถเหรอ”

“ผมมาคนเดียว หลานสาวผมไปโรงเรียนครับ”

รติรสเดินออกมาจากอาคารเรียนมองไปเบื้องหน้าตาเป็นประกาย เห็นรัฐยืนรออยู่หน้าอาคารนี้ รัฐยิ้มให้รติรสพร้อมกับเอ่ยปาก

“รส พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“คุยเรื่องรสหรือคุยเรื่องขมดีคะ”
“ทั้งสองเรื่องนั่นแหละ...อือม...เอาเรื่องไหนก่อนล่ะ”
“เรื่องขมก็ได้ค่ะ พี่รัฐคงอยากคุยเรื่องนี้มากกว่า”
รติรสขยับตัวเดิน รัฐเดินตามและเอ่ยปากคุยไปด้วย
“รสว่ามันจะน่าเกลียดมั้ย ถ้าอยู่ๆพี่โผล่ไปรับขมที่โรงเรียน”
รติรสเก็บความรู้สึกน้อยใจซ่อนเร้นไว้ลึกๆ
“มันก็อยู่ที่เจตนาค่ะ ถ้าพี่รัฐมีเจตนาที่ดี มันก็ไม่น่าเกลียด”
“เจตนาพี่ดีอยู่แล้ว แต่กลัวว่าคนอื่นที่เห็นอาจจะไม่คิดอย่างนั้น เขาจะมองว่าพี่ทำรุ่มร่ามน่าเกลียดรึเปล่า”
“พี่รัฐต้องมั่นใจตัวเองสิคะ คนอื่นก็คือคนอื่น เราห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่เราป้องกันคำครหาเหล่านั้นได้นะ”
“ด้วยวิธีไหนคะ”
“รสไง”
“รส ?”
“ถ้าพี่มีรสไปด้วย ก็จะดูไม่น่าเกลียด”
“นี่คืออีกหนึ่งเรื่อง ที่พี่รัฐจะคุยกับรสใช่มั้ยคะ”
“จ้ะ รสพอจะไปเป็นเพื่อนพี่เย็นนี้ได้มั้ย”
“ที่แท้ก็เอารสไปบังหน้าเท่านั้นเอง”
“ไม่บัง เราเดินไปด้วยกัน เคียงข้างกันเลย ไม่มีใครบังใครหรอก”
รติรสค่อยๆพยักหน้ารับคำ
“ค่ะ...รสมีเรียนอีกวิชานึง พี่รัฐรอรสแล้วกันนะคะ”
“จ้ะ พี่ไปนั่งรอแถวหน้าคณะนะ”
รัฐเดินออกไปอย่างมีความหวัง
รติรสมองตาม ด้วยความน้อยใจ

บริเวณอาคารเรียน หน้าโรงเรียนมัธยม พจนีย์เดินออกมาพร้อมๆกับหมู่นักเรียนมากมาย
รัฐและรติรสยืนรออยู่หน้าอาคารนี้ พจนีย์เดินตรงไปหาคนทั้งสอง
“อุ๊ยตาย ลมอะไรหอบเอาพี่สาวและพี่ชายมาถึงนี่คะ อย่าบอกนะว่าจะมารับพจน์”
“รับด้วยก็ได้นะ ไม่มีปัญหา”
“อย่าดีกว่า พจน์นั่งรถตู้นายประหยัดคนเดียวสบายกว่า เพราะพจน์ไม่ชอบเป็นส่วนเกินของใคร ไม่เหมือนพี่รสหรอก”
“เรื่องอะไรมาแขวะพี่ล่ะ ยายพจน์”
“หรือไม่จริง พี่รัฐเขาตั้งใจจะมารับขม พี่ยังจะมาแทรกกลางเขาอีก”
รติรสหน้าเสียรัฐรีบเอ่ยปาก
“พี่เป็นคนชวนรสมาเอง”
“งั้นก็คงชวนมาเป็นตัวสำรองสินะ เผื่อจะวืดจากยายขม”
“พูดจาไม่น่าฟังเลย”
“งั้นเอาเรื่องที่น่าฟังมั้ย เรื่องนั้นคือ คุณสองคนมาช้าไป เป้าหมายของคุณไม่อยู่ซะแล้ว”
“ขมกลับไปแล้วเหรอ”
“ช่าย...ไปกับคนที่เธอพอใจจะไปด้วย เดาได้มั้ยว่าใคร”
“คุณชาติสยาม ?”
“ถูกต้อง คุณอากำมะลอของนังขมนั่นแหละ...ป่านนี้ไปสวีท อี๋อ๋อออดอ้อนกันถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้”
รัฐหน้าเสีย
“เชิญพี่รัฐอีอ๋อกับตัวสำรองได้ตามสบายเลย หรือถ้าพี่รสอยากจะเล่นตัวบ้าง ก็ไม่เลวนะ จะกลับรถตู้นายประหยัดพร้อมพจน์ก็เดินตามมา”
พจนีย์เดินร่าเริงออกไป
รัฐและรติรสต่างกระอักกระอ่วน

เย็นวันเดิม โต๊ะอาหารสวยในร้านแห่งหนึ่ง โขมพัสตร์และชาติสยามนั่งอยู่ที่นั่น
ชาติสยามนิ่ง ซึม ไม่พูดไม่จา
“เมื่อวานก็ซึม วันนี้ก็ซึม สองวันติดกันแล้วนะอา อย่างนี้ไม่ไหวนะ...สนใจวิธีแก้
ซึมแบบของขมมั้ย”
ชาติสยาม นิ่ง ไม่มีคำตอบออกจากปาก
“ไปเชียงใหม่เลย ตามไปเซอร์ไพรส์เลย รับรองว่าอารุ้งจะหายโกรธ หายงอน”
“โกรธอีกเป็นสองเท่าน่ะสิ”
“ทำไม”
“นิสัยอารุ้ง เวลาหนีไปเที่ยวคนเดียวแบบนี้ เธอจะไม่ชอบให้ใครตามเด็ดขาด”
“แสดงว่าอายังไม่รู้จักนิสัยผู้หญิงดีพอ”
“เราเป็นเด็กจะรู้อะไร”
“ขมโตแล้วนะ”
“มีแฟนด้วยรึเปล่า ?”
โขมพัสตร์ปั้นยิ้มใส่ผู้เป็นอา
“ไม่บอก”
“ต้องเป็นผู้ชายข้างบ้านแน่ๆ...นายรัฐใช่มั้ย”
ขมยิ้มกว้างมากขึ้น
“ก็ไม่เลวนะ”
“แสดงว่านายรัฐเขาง้อเราทุกครั้ง ที่เรางอน ?”
“ขมยังไม่เคยงอนใครต่างหาก”
“งั้นอย่ามารู้ดีกว่าอา...เดี๋ยวอารุ้งกลับมาจากเชียงใหม่ ก็อารมณ์ดีเอง”
“ถ้าอย่างนั้นอาก็ต้องซึมอีกหลายวันน่ะสิ”
“อาแก้อาการซึมด้วยเรื่องนี้ดีกว่า”
“เรื่องไหน ?”
“เรื่องเรียนของขมไง เราจะมาเลือกโรงเรียนที่ชอบด้วยกัน พร้อมกับวางแผนการสอบ และการขอทุนดีมั้ย”
“แต่ขมคิดว่าขมจะไม่ไปเรียนต่อแล้วค่ะ”
“อ้าว ได้ยังไง”
“ขมอยากมีข้อต่อรองกับพ่อบ้าง”
“ต่อรองอะไร ?”
“ถ้าพ่อไม่กลับมาหาขม ขมก็จะไม่เรียนต่อ”
“เฮ่ย”
“ขมจะแกล้งพ่อบ้าง...พ่อชอบเห็นเรื่องส่วนรวมสำคัญกว่าลูก ขมก็อยากลองใจพ่อว่า เรื่องเรียนของลูกจะสำคัญพอให้พ่อกลับมาหาขมมั้ย”
ชาติสยามถึงกับอึ้งไป
“ถ้าพ่อพิทย์ ยังไม่กลับมาตอนนี้ล่ะ”
“ขมก็จะไม่เรียน”
“แต่เราจะจบม.แปด แล้วนะ ถ้าไม่เรียนจะทำอะไร อยู่บ้านเฉยๆเหรอ”
“ไม่มีทาง ให้อยู่ที่นี่เฉยๆ ขมไม่เอาแน่”
“แล้วจะเอาอะไร ?”
“ก็ไปเป็นครูโรงเรียนครูสมพรไงคะ”
ชาติสยามถอนหายใจ คล้ายผิดหวัง

“อาไม่ต้องซึมเศร้ากับอนาคตของขมขนาดนั้นหรอกค่ะ ขมยังมีเวลาคิดอีกเยอะตอนนี้มาช่วยกันคิดเรื่องของอาดีกว่า...ไม่ไปเชียงใหม่แน่นะ”

ค่ำวันเดิม รติรสนั่งนิ่ง ทอดสายตาเหม่อลอยไปไกล รัมภ์เดินมานั่งข้างๆรติรส

“ไปเรือนนมผ่อนมาละซี”
“อือม”
“เจอขมมั้ย”
“หึ...เจอแต่พี่รัฐ”
“แล้วไม่ไปนั่งเป็นเพื่อนพี่รัฐล่ะ”
“เขาไม่ได้ต้องการเพื่อน”
“แล้วคิดว่ารสต้องการเพื่อนเหรอ”
รัมภ์ถอนใจออกมาดังๆ
“คงเป็นพี่เองละที่ต้องการเพื่อน”
ทั้งสองคนต่างหันมามองหน้ากัน
“พี่รัฐเขาขอให้ช่วยอะไรก็หัดปฏิเสธเขาบ้างก็ดีนะ”
รติรสหันไปจ้องหน้ารัมภ์เต็มๆตา แล้วจึงเอ่ยปาก
“เพื่อนเขาไม่เหน็บแนมเพื่อนกันอย่างนี้หรอกค่ะ”

ระเบียงเรือนเล็ก บ้านพุทธชาดรังสรรค์นั่งดื่มเหล้า ตามลำพังคุณหญิงรัตนเดชากรเดินเข้าไปหาบุตรชาย
“ใจคอจะกินเหล้าเอาเป็นเอาตายทุกวันอย่างนี้ใช่มั้ย”
“ถ้าการกินเหล้าในบ้านของผมมันทำให้คุณแม่ไม่สบอารมณ์ละก้อ ผมไปกินนอกบ้านก็ได้นะครับ”
“กินที่ไหนผลลัพธ์มันก็ไม่ต่างกันหรอก ตับแกจะแข็งตายเข้าซักวัน”
“คุณแม่จะมาจับผิดอะไรผม ก็ว่ามาเลยครับ”
“ฉันแค่อยากจะมาดูว่า นายรังสรรค์ หนุ่มหล่อที่สาวๆทั่วพระนครเคยหมายปองทุกวันนี้ยังเหลือเค้าความสมาร์ทแบบนั้นบ้างรึเปล่า”
“เห็นแล้วเป็นยังไงครับ”
คุณหญิงยิ้มแบบเวทนา
“อย่าให้พูดดีกว่า”
“หน้าคุณแม่ตอนนี้ มันชัดกว่าคำพูดซะอีก”
คุณหญิงขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถเล็กน้อย
“ฉันให้เวลาแกหนึ่งสัปดาห์ ช่วยทำตัวให้ดูดีขึ้นกว่านี้ได้มั้ย”
“เพื่ออะไรครับ”
“แม่จะทำบุญบ้านในวันเกิดตาภาสธร แม่อยากถ่ายรูปครอบครัวเป็นที่ระลึกติดบ้านในวันทำบุญ จะได้อวดแขกเหรื่อที่มาในวันนั้น”
“ทำบุญเงียบๆบ้างไม่ได้เหรอ ไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นเลย”
“แล้วมันเสียหายตรงไหน แม่อายุปูนนี้ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ขอภาคภูมิใจกับครอบครัวของเราหน่อย ขอมีรูปถ่ายครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาบ้าง ไม่ได้รึไง”
“รูปครอบครัวของเราที่แม่ภาคภูมิใจน่ะ ต้องมีใครบ้างครับ ถึงจะครบอย่างที่แม่ต้องการ”
คุณหญิงเดินเข้าไปพูดใส่หน้าบุตรชาย
“แกไม่รู้จริงๆเหรอว่ามีใครบ้าง ลองนั่งนับดูก็แล้วกัน ดูซิว่า แกจะนับได้เท่ากับที่ฉันนับมั้ย”

รัฐ รัมภ์ เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารคุณหญิงนรราชเสวีนั่งประจำที่ของตนอยู่แล้วคุณหญิงเอ่ยปากสีหน้ายิ้มแย้ม
“หลานทั้งสองของยาย มีชุดหล่อเป็นพิเศษบ้างรึยัง”
“ชุดหล่อน่ะมีอยู่แล้วครับ แต่ไอ้เป็นพิเศษของคุณยาย มันต้องแค่ไหนเหรอครับ”
“ก็แบบที่ใครเห็นเป็นต้องชื่นชม มองกี่ทีๆก็ไม่มีเบื่อน่ะ”
“ต้องขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ขนาดนั้นสิ เพราะเราจะต้องแต่งตัวไปถ่ายรูปหมู่กับครอบครัวรัตนเดชากร”
“ในโอกาสอะไรครับ” รัฐถาม
“คุณหญิงบ้านโน้นจะทำบุญบ้าน ท่านอยากจะถ่ายรูปหมู่ครอบครัวและคนสนิท ซึ่งก็คือ ยายกับหลานทั้งสอง”
รัมภ์บอก“โอ๊ย...เราสองคนคงเห็นเป็นตัวเล็กๆอยู่มุมภาพเท่านั้นแหละครับ ไม่ต้องหล่อเป็นพิเศษก็ได้มั้งครับคุณยาย”
“อ้าว แล้วไม่คิดจะถ่ายรูปคู่บ้างเหรอ สาวบ้านโน้นกับหนุ่มบ้านนี้ไง”
สองคนพี่น้องมองหน้ากัน
“ถึงเวลาละก้อ อย่าแย่งกันก็แล้วกัน...ท่านจะสลับคู่กันถ่ายให้ได้ครบทุกคู่ ทุกคน ยายรับรอง”

กลางคืนต่อเนื่องมา พจนีย์รื้อค้นตู้เสื้อผ้าเสื้อผ้ามากมายถูกดึงออกมาจากตู้ และโยนลงบนเตียงนอน แต่ว่าเป็นตู้และเสื้อผ้าของรติรส
รติรสเดินเข้ามาเห็น เธอร้องทัก
“ยายพจน์ ทำอะไรกับเสื้อผ้าของพี่น่ะ”
“จะเลือกดูว่ามีตัวไหนสวยถูกใจพจน์บ้างมั้ย”
“เธอก็ไปเลือกเสื้อของเธอสิ นี่มันตู้เสื้อผ้าของพี่นะ”
“ของพี่ของน้องก็เหมือนกันน่า ยืมไปใส่ถ่ายรูปหน่อยไม่ได้หรือไง หวงเหรอ”
“ไม่ได้หวง แต่พี่ก็อยากเลือกไว้ใส่บ้างนี่”
“ก็เลือกเอาจากที่เหลือแล้วกัน...เพราะถึงยังไง พี่รสก็ถ่ายรูปไม่ขึ้นเหมือนพจน์หรอก...ไปหละ”
พจนีย์หอบเสื้อผ้าออกไปจากห้อง
รติรสเซ็งหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงของเธอ
ไพลินเดินเข้ามาในห้องนี้
“ป้าไพลินขา รสขอไม่ถ่ายรูปได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้ รสคือคนสำคัญคนนึงของงาน...ป้าเตรียมชุดพิเศษไว้ให้รสแล้ว”
ไพลินประคองหน้ารติรสขึ้นมาจ้อง

“หน้าตาอย่างนี้แหละ เหมาะกับชุดไทยเรือนต้นเป็นที่สุด”

เวลาเดียวกัน ชาติสยามเดินถือเหล้าและน้ำแข็งมาวางให้ภาสธร

“ถ้าแม่นายรู้ว่า มาหลบอยู่ที่บ้านฉัน จะพาลเกลียดขี้หน้าฉันไปด้วยมั้ยเนี่ย”
“ไม่รู้หรอกน่า อย่าห่วง”
“แล้วนายโกรธอะไรแม่วะ ถึงขนาดไม่อยากเจอหน้า”
“ไม่ได้โกรธ แต่เซ็ง อยู่ๆก็สั่งให้ฉันลางานสองอาทิตย์ เพื่อมาถ่ายรูปครอบครัว”
“ก็ดีนี่”
“มันไม่แค่นั้นน่ะสิ ฉันรู้เลยว่า พอถ่ายเสร็จ แม่ก็จะอัดรูปแจกไปตามที่ต่างๆเพื่อนไม่รู้กี่รุ่นๆจะได้รับแจกหมด พร้อมทั้งแนบโฆษณาสรรพคุณลูกชายว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้...ฉันอายว่ะ เป็นแก แกไม่อายเหรอ”
“ไม่อาย”
“งั้นแกไปถ่ายแทนฉันเลย”
“บ้า”
“อย่างน้อยก็ไปยืนเป็นเพื่อนข้างๆฉัน”
“เฮ้ย ฉันไม่ใช่คนในครอบครัวแก”
“แต่แกเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัวนี้ แกต้องถ่ายด้วย ขนาดบ้านคุณหญิงนรยังมาถ่ายด้วยเลย...น่า แม่จะได้มีคนให้คุยอวดเยอะหน่อย”
“ไม่เอา”
“ไหนว่าไม่อายไง...เอานะ พารุ้งกาญจน์มาถ่ายด้วยเลย”
“รุ้งเขาไม่อยู่ เขาไปเชียงใหม่”
“งั้นก็เอาหลานแกมาถ่ายด้วยก็ได้”
“ไปให้วงแตกละซี”
“เออว่ะ ลืมไป”

รุ่งขึ้น บริเวณสนามบ้านพุทธชาดช่างภาพกำลังเตรียมจัดกล้องและฉากสำหรับถ่ายภาพหมู่ครอบครัวโดยมีไพลินและคุณหญิงรัตนเดชากรยืนกำกับงานอยู่
คุณหญิงนรราชเสวี เดินนำรัฐและรัมภ์เข้ามา
ไพลินหันไปทักทายทันที
“สวัสดีค่ะคุณหญิง...แหม สองหนุ่มที่ตามหลังมานี่ หล่อจริงๆเลยนะคะ”
“จะได้สมน้ำสมเนื้อกับสาวสวยบ้านนี้ไงคะ เราจะเริ่มถ่ายกันซักกี่โมงคะ”
“รอให้ทุกคนพร้อมก่อนดีกว่า จะได้เริ่มจากรูปหมู่เลย” คุณหญิงรัตนเดชากรบอก
รังสรรค์เดินเข้ามากับบุหงา
คุณหญิงนรราชเสวีหันไปเห็น
“น่าน...พระเอกมาแล้วนั่น”
รังสรรค์และบุหงาเดินตรงไปยังคุณหญิง และกล่าวคำทักทาย
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
“แหม สวยหล่อเหมือนวันแต่งงานเลยนะ น้องชายน้องสะใภ้คุณไพลินนี่”
คุณหญิงรัตนเดชากรบอก“คงจะเหมือนกว่านี้ ถ้าไม่มีกลิ่นเหล้าหึ่ง”
พจนีย์เดินเข้ามา จงใจประดิษฐ์ น้ำเสียงและท่าทีให้ดูอ่อนหวานเป็นที่สุด
“สวัสดีค่ะ คุณย่า คุณหญิง...พี่รัฐ พี่รัมภ์”
พจนีย์พุ่งเข้าไปคล้องแขนรัฐและรัมภ์
“ใครจะถ่ายคู่กับพจน์ก่อนดีคะ”
รัฐบอก “คุณหญิงย่าให้ถ่ายหมู่ก่อน”
พจนีย์ปั้นท่าเซ็กซี่ใส่สองหนุ่ม
“ระวังจะอดใจไม่อยู่นะ”
รัมภ์บอก“เกือบแล้วหละ”
“นั่นไง”
“เกือบวิ่งไปอ้วกแล้ว”
“บ้า”
“หนูพจน์นี่สวยเก๋จริงๆ คู่กับตารัฐก็ดูงามสง่า คู่กับตารัมภ์ก็ดูสดใสน่ารัก”
รัมภ์บอก“แต่ถ้าจะให้สวยที่สุด ต้องถ่ายเดี่ยวคนเดียวเลยครับคุณยาย”
พจนีย์ชักสีหน้าใส่รัมภ์ทันที
รังสรรค์เดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่
“เริ่มถ่ายกันเถอะครับ ทุกคนมาครบแล้วนี่ ตาภาสธรมานั่นแล้ว”
ภาสธรเดินเข้ามา
คุณหญิงรัตนเดชากรว่า“นับยังไงของเรานะตารังสรรค์ ครบที่ไหนกัน...ยังมีลูกสาวของเธออีกคนนึงลืมแล้วเหรอ”
รังสรรค์ได้แต่นิ่งไปเฉยๆ

นมผ่อนเดินไปนั่งข้างๆโขมพัสตร์ที่กำลังเขียนจดหมายอยู่
“ป้านมผ่อน ยังไม่ไปถ่ายรูปกับพวกเขาอีกเหรอจ๊ะ”
“ป้า ไม่ได้เป็นลูกหลานในตระกูลเขานี่ ไม่ได้มีความสำคัญอะไรซักหน่อย”
“แต่ป้านมผ่อนเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านนี้ คุณไพลินบอกว่ามีความสำคัญไม่น้อยหน้าใคร”
“ก็ให้เขาถ่ายเจ้านายกันไปก่อน บ่าวอย่างนมผ่อน ทีหลังก็ได้”
“ไม่ต้องแอบ ไปอยู่ด้วยกันตรงนั้นเลย”
“ไม่ละ เดี๋ยวโดนดุอีก”
“เถอะน่า เชื่อป้าเถอะ จะไม่มีใครดุขมอีกต่อไป ตอนนี้รีบล้างหน้าล้างตา หวีผมให้ดี แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนี้นะ”
นมผ่อนยื่นเสื้อผ้าชุดนั้นให้ขม
“เปลี่ยนเสื้อผ้า ?...ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยจ๊ะ”
“เป็นคำสั่งคุณไพลิน และสั่งว่าให้เร่งมือเข้า อย่าถามโน่นถามนี่มากนัก”

ทุกคนในบริเวณนี้ ต่างรอคอยความพร้อมเพรียง เพื่อเริ่มการถ่ายรูปไพลินหันไปมองไกลๆ
“ยายรสมาแล้ว”
รติรสเดินเข้ามาอย่างงามสง่าในเครื่องแต่งกายที่เหมือนชุดของแขนภาในอดีต ไม่มีผิด
ทุกคนหันไปมอง ต่างตะลึงในความสวย
ช่างภาพหันไปกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปทันที

พจนีย์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“เอาชุดอะไรมาใส่เนี่ย”
รัมภ์บอก“สวยจัง”
คุณหญิงนรราชเสวีหันไปพูดกับคุณหญิงรัตนเดชากร
“งามเหลือเกิน เป็นสาวเต็มตัวแล้วนะคะ หลานสาวคุณหญิง”

รังสรรค์หันไปถามไพลิน
“ใครเลือกชุดนี้ให้ยายรส”
“ทำไม ตะลึงเลยเหรอ”
“พี่ใช่มั้ย...พี่เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการเรื่องนี้ใช่มั้ย”
“ช่างเขาบอกว่าคนจะใส่ชุดนี้ได้ ต้องสวยจริง ไม่งั้นแต่งยังไงก็ไม่ขึ้น เธอไม่ดีใจ
เหรอที่มีลูกสาวสวย”
“แต่ไม่จำเป็นต้องสวยด้วยชุดแบบนี้”

รติรสเดินตรงไปยังกลุ่มของคุณหญิงพจนีย์ตรงเข้าไปขวางหน้ารติรส
“รู้รึเปล่า ว่าแต่งตัวได้แปลกแยกจากคนอื่นมาก...จงใจใช่มั้ย กลัวไม่เด่นใช่มั้ยพี่รส”
“ป้าไพลินเป็นคนบอกให้ใส่”
พจนีย์ชักสีหน้า งุนงง
คุณหญิงรัตนราชเสวี เดินเข้าไปหาหลานสาว
“เห็นหลานสวยอย่างนี้ ย่าขอถ่ายรูปคู่ก่อนแล้วกันนะ...ช่างภาพ”
ช่างภาพขยับตัวตั้งกล้องตามคำสั่งคุณหญิง
พจนีย์เอ่ยปากเสียงดัง
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีชุดเหมือนกับแบบนี้อีกชุดนึง แต่พี่รสเอาไปซ่อนไว้ไม่ให้พจน์ใส่ใช่มั้ย”
“พี่ไม่รู้”
“งั้นก็ถ่ายคู่ไม่ได้หรอกค่ะคุณย่า มันไม่เข้ากันเลย”
“คุณย่าไม่ได้หมายถึงเธอจ้ะ ยังไม่ใช่คู่รติรสกับพจนีย์” ไพลินบอก

“อ้าว แล้วจะให้ใครคู่ใครล่ะคะ”

ครู่ต่อมา นมผ่อนประคองโขมพัสตร์เข้ามา
 
เครื่องแต่งกายของเธอเหมือนชุดของแขนภาในอดีตไม่มีผิด โดยเฉพาะสร้อยคอที่สวมใส่ เป็นสร้อยเส้นเดียวกันกับในอดีตยิ่งทำให้ท่วงท่าหน้าตาของเธอไม่ต่างจากแขนภาแม้แต่น้อย
ทุกคนหันไปมองขม พวกเขาตะลึงมากกว่าตอนที่เห็นรติรสเดินเข้ามา
ภาสธรเอ่ยปากพูดกับไพลิน
“หลานสาวนายชาติสยามนี่สวย เหมือนนางในวรรณคดีเลยนะแม่”
บุหงากระซิบเบาๆกับผู้เป็นสามี
“พี่สาวคุณพี่พยายามจะทำให้คุณพี่นึกถึงใครบางคนรึเปล่าคะ”
รังสรรค์ถึงกับอุทานชื่อผู้หญิงคนนั้นออกมาเบาๆ
“แขนภา”
โขมพัสตร์เดินไปจนถึงกลุ่มคุณหญิงรัฐ รัมภ์เดินตรงเข้าไปรับ โขมพัสตร์ยกมือไหว้คุณหญิงนรราชเสวีอย่างอ่อนช้อย สวยงาม
“ขมนี่ยิ่งโตก็ยิ่งสวยแฮะ...บ้านนี้มีแต่ผู้หญิงสวยจริงๆนะคะคุณหญิง”
คุณหญิงรัตนเดชากรยิ้มพอใจ แล้วจึงหันไปสั่งช่างภาพ
“ช่างภาพ ถ่ายรูปคู่สองสาวนี้ให้ที”
ช่างภาพตั้งกล้อง และจัดท่ารติรสเข้าคู่กับโขมพัสตร์ทันที
พจนีย์จึงกรีดร้องขึ้นมากลางวง
“อะไรกันคะคุณย่า พจน์เป็นหลานแท้ๆ แต่คุณย่ากลับเอานังเด็กกาฝากมาถ่ายรูปคู่พี่รส ย่าทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
คุณหญิงรัตนเดชาสกรบอก“ย่าต้องการภาพผู้หญิงในชุดที่เหมือนกัน เก็บไว้ดูก็เท่านั้น”
“แล้วทำไมย่าเอาไปให้นังนี่ใส่ ทำไมไม่ให้พจน์ใส่”
“เราเคยอยากใส่ชุดไทยแบบนี้ด้วยเหรอ ไปรื้อเสื้อผ้าพี่สาวมากี่ชุด ยังไม่พอใจอีกเหรอ” คุณหญิงว่า
“พี่รสฟ้องย่าใช่มั้ย”
“เปล่านะ”
ไพลินสั่งช่างภาพอีกครั้ง
“ถ่ายได้เลย”
ช่างภาพเริ่มกดชัตเตอร์กล้องพจนีย์ตรงเข้าไปกระชากกล้องจากมือช่างภาพ
“ไม่ พจน์ไม่ให้ถ่าย”
พจนีย์ตรงเข้าไปชี้หน้าโขมพัสตร์
“แกคงไปอี๋อ๋อคุณย่าฉัน อยากเสนอหน้าเป็นผู้ดีเทียบชั้นกับพวกเราใช่มั้ย ไปขโมยสร้อยใครมาใส่เนี่ย บอกมาซะดีๆ”
รติรสปราม“ยายพจน์”
“คุณไพลินจัดให้ทั้งหมด” โขมพัสตร์บอก
“ไม่เชื่อ”
“หลบไปพจนีย์” ไพลินบอก
“พจน์ไม่หลบ คนที่ควรจะหลบและควรจะออกไปให้พ้นจากที่นี่ จากบ้านหลังนี้คือมัน ไม่ใช่พจน์ ออกไป ถอดเสื้อผ้า เครื่องประดับออกมาให้หมด”
พจนีย์กระชากเสื้อผ้าของโขมพัสตร์อย่างแรง จนฉีกขาด
“พจนีย์” รติรสปรามอีกครั้ง
“จะออกรับแทนมันอีกเหรอ หรือพี่รสมีความสุขที่ได้จับคู่กับมัน ถูกชะตากันมากสินะ เกิดมาหน้าตาเหมือนกันนี่ หน้าเหมือนผู้หญิงที่พ่อเกลียดทั้งคู่เลย ไอ้พวกหมาหัวเน่า”

รังสรรค์ หน้าเครียด จ้องมองโขมพัสตร์เขม็ง
คุณหญิงรัตนเดชากรบอก“ก้าวร้าวเกินไปแล้วนะพจนีย์”
“แล้วอีนี่มันไม่ก้าวร้าวเหรอ ทำท่าชูคอเป็นกิ้งก่าได้ทองอยู่ในบ้านเรา ทั้งๆที่มันไม่มีสกุลรุนช่องอะไรเลย แค่อีเด็กพ่อทิ้ง พ่อรังเกียจ อยู่บ้านไหนก็เป็นเสนียดของบ้านนั้น เราจะยังไปเกลือกกลั้วกับมันอีกเหรอคะ”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะพจนีย์”
“ไม่หยุด จนกว่าอีหน้าด้านคนนี้จะถอดเสื้อผ้าออกมาให้หมด”
พจนีย์กระชากเสื้อโขมพัสตร์จนล้มลง
รัฐ รัมภ์วิ่งเข้าไปประคอง
“ขม”
“คุณพจนีย์อยากได้ชุดนี้นักใช่มั้ยคะ ฉันถอดให้เองค่ะ”
“ใส่จนพอใจแล้วละซี”
“มิได้ค่ะ ดิฉันไม่ได้พอใจที่จะใส่เลย แต่เป็นเพราะเกรงใจ”
“ตอแหล”
“ดิฉันอดทนอยู่ในดงผู้ดีของพวกคุณก็เพราะเห็นแก่ความเมตตาของคุณหญิงและคุณไพลิน แต่เมื่อคุณต้อนรับฉันซะขนาดนี้ ฉันก็คงไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว...ขอโทษคุณหญิงนะคะ ดิฉันไม่ขอถ่ายรูปกับคนในตระกูลนี้ ดิฉันไม่ใช่คนในดงนี้ค่ะ”
โขมพัสตร์ถอดเครื่องประดับออกวางเบื้องหน้าพจนีย์
“และถ้าคุณพจนีย์คิดว่าตัวเองเหมาะกับชุดนี้ ก็ตามมาค่ะ ฉันจะใส่ให้คุณด้วยตัวฉันเอง เดี๋ยวนี้เลย”
โขมพัสตร์เดินออกไปรัฐรีบก้าวยาวๆตามเธอไป
คุณหญิงนรราชเสวีถาม“ตารัฐ จะไปไหน”
“ถ้าขมไม่ถ่าย ผมก็ไม่ถ่ายครับ”
รติรสเดินออกไปอีกทางรัมภ์เดินตามเธอไป
“ตกลง เอายังไงดีครับ ผมทำตัวไม่ถูก” ช่างภาพถาม
ไพลินและคุณหญิงหันไปมองดูท่าทีของรังสรรค์

หน้าตารังสรรค์บ่งบอกถึงความไม่พอใจ

โขมพัสตร์เดินเข้ามากลางห้องนอนปิดประตู และถอดเสื้อผ้าออก
เสียงรัฐดังเข้ามา
“ขม ขม”
“พี่รัฐตามมาทำไม ไปถ่ายรูปกับพวกเขาเถอะค่ะ”
“ไม่ พี่จะไม่ถ่ายรูปกับใครทั้งนั้น นอกจากขมคนเดียว”
น้ำตาของโขมพัสตร์ค่อยๆไหลออกมา
“ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกค่ะ มีแต่จะทำให้พี่รัฐเสียหายเปล่าๆ ที่มาเกลือกกลั้วกับเสนียดอย่างขม”
รัฐยืนตะโกนพูด
“ขมอย่าไปสนใจคำพูดของพจนีย์เลยนะ เขาเป็นเด็กนิสัยเสียพูดจาอะไรไม่เคยคิด เอาแต่ใจตัวเองอย่างเดียว ใครๆก็เห็น”
“มันจริงอย่างเขาว่าค่ะ ขมเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ แม่ก็ตาย พ่อก็ทิ้ง”
“แต่ขมมีพี่นะ พี่จะไม่มีวันทอดทิ้งขม ไม่ว่าใครจะว่ายังไง พี่จะอยู่เคียงข้างขมเสมอ”
ประตูห้องนอนเปิดออก
โขมพัสตร์เดินออกมาในชุดเสื้อผ้าของตัวเอง เธอส่งชุดไทยชุดนั้นให้รัฐ
“ขมฝากพี่รัฐเอาชุดไปคืนเขาด้วยนะคะ แล้วพี่ก็ถ่ายรูปกับเขาเถอะค่ะ อย่าให้เขาหาเรื่องด่าว่าขมได้อีกเลย”
“แต่...”
“ขมขออยู่คนเดียวนะคะ”
รัฐค่อยๆเอื้อมมือปาดน้ำตาที่แก้มของขม
“ค่ำๆพี่จะแวะมาหาใหม่นะ”
รัฐเดินออกไป

โขมพัสตร์ทรุดตัวลงร้องไห้มากยิ่งขึ้น

รติรสนั่งหลบมุมอยู่บริเวณระเบียง น้ำตาของเธอไหลออกมาเป็นทาง

รัมภ์หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
“โกรธ เสียใจ น้อยใจ ผิดหวัง อันไหนคือสาเหตุของการร้องไห้”
รติรสไม่เอ่ยปากตอบ เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ แต่ไม่สำเร็จ
“ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร...เอานี่ไปก็แล้วกัน”
รัมภ์ยื่นผ้าเช็ดหน้าของเขาให้เธอ
“ผ้าเช็ดหน้าใหม่ พี่ยังไม่ได้ใช้...ปล่อยให้น้ำตาไหลแบบนี้หมดสวยแย่”
“ขอบคุณค่ะ”
“เสร็จแล้วกลับไปถ่ายรูปกันนะ คุณป้าไพลินรออยู่”
“รสไม่อยากถ่ายแล้วค่ะ”
“งั้นพี่จะถ่ายคู่กับใครล่ะ ทั้งขมทั้งรส ไม่ยอมถ่ายทั้งคู่”
“ยายพจน์คงอยากถ่ายกับพี่ๆ”
“งั้นพี่ก็ไม่ถ่าย...นั่งร้องไห้ตรงนี้ดีกว่า”
“ไม่มีเหตุผล”
“แล้วเหตุผลของรสล่ะ”
“รสไม่อยากถูกบันทึกว่า มีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่พ่อเกลียด”
“พี่ว่าคุณป้าไพลินคงต้องรีบทำบุญบ้านเร็วๆแล้วหละ”

บุหงาและพจนีย์เดินเข้ามาที่ระเบียง เรือนเล็กอีกมุมหนึ่งในบ้านพุทธชาดท่าทางและอารมณ์ของพจนีย์ ยังเต็มไปด้วยความชิงชังในตัวโขมพัสตร์
“พจน์ถามน้าบุหงาจริงๆนะ ชุดที่นังขมกับพี่รสใส่น่ะ สวยนักเหรอคะ”
“นานาจิตตัง !”
“พจน์ว่ามันโบราณ เชยจะตาย”
“แต่มันเรียกร้องความสนใจจากพ่อของพจน์ได้มากเลยนะ”
“นั่นน่ะสิคะ มันต้องมีอะไรฝังใจคุณพ่อซักอย่าง ไม่งั้นคุณป้าไม่จงใจทำแบบนี้หรอก...คิดแล้วโกรธแทนคุณพ่อจริงๆ”
“แต่พจน์ก็โต้ตอบกลับไปได้หนักไม่แพ้กันนะ”
“ยังน้อยไปค่ะ พจน์น่าจะได้ตบมันซักสองสามที”
“ไม่ตบน่ะดีแล้ว เดี๋ยวต้องขึ้นโรงพักอีกที ไม่สนุกแน่”
“แต่แปลกนะคะ พอนังขมกับพี่รสแต่งตัวแบบนั้นแล้ว หน้าตาท่าทาง ทั้งคู่ยิ่งเหมือนกันราวกับเป็นพี่น้อง พจน์ซะอีกที่ไม่มีความเหมือนพี่รสเลยสักนิด”
บุหงาคิดอะไรบางอย่างในใจที่พจนีย์ไม่อาจรู้ได้

ไพลินเดินเข้าไปหาคุณหญิง
“คุณแม่เห็นหน้านายรังสรรค์มั้ยคะ พอขมเดินเข้ามาเท่านั้นหละ ถึงกับตะลึงไป
เลย”
“ฉันก็ตะลึง ตะลึงทั้งความสวยของขม ตะลึงทั้งการอาละวาดของยายพจนีย์...คราวหน้าคราวหลัง ไม่เอาแล้วนะ วิธีการแบบนี้”
“แต่มันก็คุ้มนะคะคุณแม่ อย่างน้อยก็ทำให้ทุกคนได้เห็น และเชื่ออย่างที่เราเชื่อ”
“แน่ใจเหรอว่าเขาจะเชื่อ”
รังสรรค์เดินเข้ามาเอ่ยปากเสียงเข้ม
“สนุกนักใช่มั้ยครับที่ทำแบบนี้”
“ฉันไม่ได้ทำเพราะความสนุก ฉันต้องการพิสูจน์ให้แกเห็น”
“เห็นอะไร พิสูจน์อะไร”
“ก็เห็นว่า ทั้งรติรสและขมหน้าตาเหมือนกัน และเหมือนแขนภาไม่มีผิด”
“แล้วไง...ใครหน้าเหมือนนังแขนภา ต้องแปลว่าเป็นลูกผมทุกคนงั้นเหรอ...คิดอะไรโง่ๆ”
“ต้องคิดอย่างแกใช่มั้ยถึงจะฉลาด ที่ยัดเยียดลูกแขนภาให้เป็นลูกของบุปผาน่ะคือความคิดที่ฉลาดแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ เพราะรติรสจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ ที่รู้ว่าแม่ของเธอคือหญิงชั่วช้าคนนั้น”
คุณหญิงบอก“ยิ่งด่าเขาเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าตัวเราเท่านั้น อย่าลืมว่าแขนภาคือเหยื่อความมักมาก
ของเรานะ ตารังสรรค์”
“ไม่จริง...คนที่มักมากคืออีแขนภาต่างหาก ต่อให้รติรสกับนังขมมีแม่คนเดียวกัน แต่การถือกำเนิดก็ต่างกัน คนนึงเกิดจากความรักของพ่อ แต่อีกคนนึงถูกเบ่งออกมาจากท้องของผู้หญิงที่หลงผิด มัวเมาในกิเลศ คบชู้สู่ชายไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แล้วจะให้ผมรับว่านังเด็กนั่นเป็นลูกผมน่ะเหรอ...ไม่มีวันหรอก”
คุณหญิรัตนเดชากรและไพลิน นิ่งอึ้งไป
“และหวังว่า เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้จะไม่ลามไปจนถึงหูลูกสาวของผมนะครับ...ไม่เช่นนั้น ผมก็พร้อมที่จะไปจากตระกูลนี้โดยที่แม่กับพี่ ไม่ต้องออกแรงไล่”
รังสรรค์เดินจากไปทันทีที่พูดจบ

ค่ำวันเดิมภาสธรเดินเข้ามากลางบ้านโดยมีชาติสยามเพื่อนสนิทนั่งรอฟังอยู่
“จริงอย่างที่แกว่าเลยเพื่อนเอ๊ย...วงแตกจริงๆ”
“ดีแล้วที่ฉันไม่ไป ไม่งั้นจะกระเจิงมากกว่านี้”
“เพราะแกคงจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหลานแก ?”
“ใช่”
“แล้วฉันควรจะอยู่ข้างใครวะ ระหว่างหลานแก กับน้องฉัน”
“แค่นี้เลือกไม่ถูกก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว”
“โอเค. เลือกความถูกต้อง”
“เออ”
“แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่ะ ว่าแม่ฉันพยายามจะทำอะไร ถึงได้จับขมกับรติรสมาแต่งตัวเป็นคู่แฝดแบบนั้น”
“แม่แกฉลาด และคิดอะไรมากกว่าที่แกคิดเยอะ นายภาสธร”
ชาติสยามครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่ภาสธรไม่อาจเข้าใจ

วันเดิม คุณหญิงนรราชเสวี และหลานชายทั้งสองคนนั่งอยู่ในโถงบ้านตึกขาวบรรยากาศโดยรวม ดูมีความเคร่งเครียดพอสมควร
“ยายไม่เห็นด้วยที่เราสองคนแสดงท่าทีรังเกียจพจนีย์อย่างนั้น ถึงยังไงเธอก็เป็นหลานสาวของคุณหญิงรัตนเดชากร หนึ่งในคนที่ยายหมายมั่นปั้นมือที่จะเกี่ยวดองทั้งสองตระกูลเข้าด้วยกัน”
“ยายก็เห็นว่านิสัยพจนีย์เป็นยังไง” รัฐว่า
“เพราะเธอยังเด็ก เราจึงต้องให้โอกาสเธอ ไม่ใช่ตัดขาด...คนเราเมื่อมีสำนึกรู้ถูกรู้ผิด รู้จักกลับตัวได้ จะยิ่งมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นนะลูก”
รัมภ์บอก“แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราสองคน จะต้องยอมถูกจับคลุมถุงชนกับเธอนะครับ”
“ยายไม่ได้จับคลุมถุงชน ยายขอแค่ให้เราใช้เวลาค่อยๆเรียนรู้ดูใจกันไป ได้มั้ย”
รัมภ์จึงค่อยๆเอ่ยปาก
“ครับ”
“แต่ผมยอมไม่ได้ครับ” รัฐบอก
“ทำไม”
“เพราะคนเดียวที่ผมจะรักและลงเอยด้วยคือ ขมเท่านั้น”
คุณหญิงนรราชเสวี ลุกขึ้นยืนพูดเสียงแข็งขึ้น
“ไม่ได้นะ ยายจะปล่อยให้เราไปเออออกับเด็กที่ยังไม่รู้ชัดเรื่องหัวนอนปลายเท้าได้ยังไง และนั่นไม่ได้อยู่ในสัญญาที่ยายรับปากไว้”
“ผมไม่ได้ต้องการทำตามสัญญา ผมต้องการทำตามความรัก”
“แล้วเด็กคนนั้นเขารักเราเหรอ”
“ผมจะทำให้เขารักผมได้ ถ้าไม่มีนายรัมภ์มาเป็นคู่แข่ง”
รัมภ์หันมาจ้องมองท่าทีของพี่ชาย
“ถ้ายายต้องการเวลา ก็ให้เวลาสำหรับเจ้ารัมภ์ไป ส่วนผมไม่มีเวลาให้ใครนอกจากขมเท่านั้น ผมต้องการปกป้องขมครับ”
“จะไปปกป้องเขายังไง”
“ผมจะขอให้ขมมาอยู่ที่นี่”
“โอ๊...ไปกันใหญ่แล้ว”

“ถ้าคุณยายขอให้ขมมาอยู่ที่นี่ ก็จะเป็นการป้องกันไม่ให้ขมถูกคนที่โน่นกลั่นแกล้ง นี่คือสิ่งที่เราควรทำในฐานะเพื่อนมนุษย์ไม่ใช่เหรอครับ”

กลางคืนต่อมา โขมพัสตร์เอ่ยปากด้วยความตกใจ

“พี่รัฐว่ายังไงนะคะ ให้ขมไปอยู่ที่ตึกขาวเหรอ ?”
“คุณยายพี่สงสารและเห็นใจที่ขมถูกรังแก น่ะ...คุณยายอยากยื่นมือเข้ามาช่วย”
“ต้องฝากกราบขอบคุณคุณยายด้วยนะคะที่เมตตาขม แต่ขมคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“มันจะยิ่งทำให้คนอื่นมองขมด้วยความสับสนขึ้นไปใหญ่ ที่อยู่ๆก็ไปอยู่ที่บ้านพี่รัฐ ในสถานะอะไรก็ไม่รู้”
“ขมอยากรู้มั้ยล่ะ สถานะอะไร”
“อย่างเก่งก็สาวใช้”
รัฐส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ ไม่มีอะไรเหมาะสมที่ขมจะย้ายไปอยู่ที่นั่นหรอกค่ะ”
“มีอยู่หนึ่งสถานะที่พี่อยากให้ขมเป็น ขึ้นอยู่กับขมว่าจะยอมรับได้มั้ย”
“อะไรคะ”
รัฐเอื้อมมือไปกุมมือขมไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก บุหงาก็ก้าวเข้ามา พูดเสียงดัง
“ตายจริง ฉันมาขัดจังหวะ โรแมนซ์ของหนุ่มสาวคู่นี้รึเปล่า”
โขมพัสตร์ผละตัวห่างออกจากรัฐ
“คุณบุหงามีอะไรจะใช้ขมเหรอคะ”
“ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคุณรังสรรค์ สามีฉัน”
ขมหน้าเสียลงไป
“คุณรังสรรค์จะใช้ให้ขมทำอะไรเหรอคะ”
“คุณรังสรรค์ต้องการพบเธอที่เรือนเล็ก ส่วนจะใช้ให้ทำอะไรรึเปล่า ฉันไม่รู้”
“ผมไปด้วย”
“เสียใจพ่อหนุ่ม เธอไม่เกี่ยว คุณพี่เรียกขมคนเดียวเท่านั้น”
“แต่ผมไม่ไว้ใจสามีคุณ เดี๋ยวก็จะหาเรื่องขมอีก”
“คุณกำลังกล่าวหา เจ้าของบ้านหลังนี้ ที่คุณเหยียบย่างเข้ามานะคะ ถ้าฉันฟ้องคุณหญิง คุณอาจจะโดนไล่ออกไปก็ได้”
“คุณบุหงาไม่ต้องไปฟ้องหรอกครับ ผมจะไปบอกคุณหญิงเอง ขมรอพี่อยู่ตรงนี้อย่าเพิ่งไปไหนนะ”
“คิดจะขัดคำสั่งคุณรังสรรค์เหรอ”
โขมพัสตร์หันไปพูดกับรัฐ
“ขมไปได้ค่ะพี่รัฐ ไม่เป็นไรหรอก พี่รัฐกลับไปเถอะ”
โขมพัสตร์ค่อยๆเดินตามบุหงาออกไปรัฐยืนตัดสินใจชั่วขณะ

รังสรรค์ และพจนีย์นั่งอยู่ในที่โถงเรือนเล็ก ขมเดินตามบุหงาเข้ามาเธอหยุดยืนก้มหน้านิ่ง ไม่ไกลจากรังสรรค์นัก
“คุณรังสรรค์มีธุระอะไรกับดิฉันเหรอคะ”
“ฉันอยากรู้ว่า เธอมีสำนึกอะไรบ้างมั้ย กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน”
โขมพัสตร์เงยหน้ามองพจนีย์ ฝ่ายพจนีย์แสยะยิ้มใส่ขม
“ตอบ”
“ค่ะ”
“ค่ะ อะไร ?”
“สำนึกค่ะ”
“งั้นก็ขอโทษลูกสาวฉันซะ”
โขมพัสตร์หันไปจ้องหน้ารังสรรค์
“ลูกสาวคุณควรจะขอโทษดิฉันก่อน เพราะเธอเป็นคนเริ่มต้นหาเรื่องดิฉัน”
รังสรรค์ลุกขึ้น ตวาดเสียงดัง
“เนี่ยเหรอที่แกว่าแกสำนึก”
โขมพัสตร์ตัดสินใจเอ่ยปากตอบโต้ เสียงกร้าว
“ดิฉันสำนึกในส่วนของดิฉันที่อาจจะมีท่าทีแข็งกร้าว แต่คุณเคยสำนึกในความถ่อยเถื่อนของคุณบ้างมั้ย”
“อีขม !”
“ฉันจะไม่ยอมถูกตบข้างเดียวอีกต่อไป”
“งั้นฉันจะตบแกให้ครบทุกข้างเลยอีขม”
พจนีย์เงื้อมือตบขมเต็มแรงขมเงื้อมือตบโต้ตอบ แรงไม่แพ้กันเกิดเป็นการชุลมุนกลางโถงเรือนเล็ก

รัฐวิ่งเข้ามาที่โถงเรือนใหญ่ ตะโกนเสียงดัง
“คุณป้าไพลินครับ คุณป้าไพลิน”
สาวใช้ในบริเวณนั้น จึงเดินเข้าไปหา
“มีอะไรเหรอคะ คุณรัฐ”
“คุณไพลินอยู่ไหน บอกท่านที เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

รังสรรค์กระชากร่างของโขมพัสตร์ออกมาจากการกอดรัดพจนีย์พร้อมๆกับที่บุหงาดึงร่างพจนีย์ออกมาเช่นกัน
รังสรรค์เหวี่ยงร่างโขมพัสตร์ไปกระแทกผนังห้อง
“บังอาจมากเกินไปแล้วนะนังขม มึงกล้าตบลูกสาวกูเหรอ”
“แล้วลูกสาวคุณทำอะไรกับฉันบ้าง คุณไม่เห็นเหรอ”
“ลูกสาวฉันจะทำอะไรกับแกก็ได้ทั้งนั้น เพราะพจนีย์เป็นเจ้าของบ้านนี้ ส่วนแกไม่ได้เป็นอะไรในนี้เลยนอกจากตัวซวย”
“ใช่ค่ะพ่อ มันคือเสนียดจัญไรของบ้านพุทธชาด”
น้ำตาของโขมพัสตร์ไหลออกมาด้วยความเคียดแค้น
“แกอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว ก่อเรื่องมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว”
“ฉันไม่ได้ก่อ”
“มึงนั่นแหละตัวก่อเหตุ ตัวสร้างเรื่อง ตัวอวดดี ตัวปัญหา ขนาดเขาจะถ่ายรูปครอบครัว มึงยังเสนอหน้ามาเสือกกับเขาด้วย”
“ดิฉันไม่ได้เสนอหน้า คุณไพลินเธอ...”
“อย่าเถียง ถ้ามึงไม่แส่ไปออเซาะกับเขา เขาจะจับมึงแต่งตัวอย่างนี้ทำไม...อยากรู้มั้ยว่ามึงแต่งแล้วหน้าตาเหมือนใคร”
รังสรรค์จิกหัวขม กระชากมายืนหน้ากระจก
“ดูหน้ามึงให้ชัดๆ แล้วจำไว้ว่า หน้ามึงมันเหมือนอีผู้หญิงดอกทองคนนึงที่ทำเรื่องชั่วช้าที่นี่ หน้าตามันเป็นอย่างนี้แหละ”
“ปล่อยนะ ขมเจ็บ”
“แล้วมึงคิดว่ากูไม่เจ็บเหรอที่มึงตบหน้าลูกสาวกู”
รังสรรค์เหวี่ยงขมออกไปจนล้มร่วงกับพื้น
“ออกไปจากบ้านนี้ได้แล้ว...กูจะไม่ทนเห็นหน้ามึงที่นี่อีกต่อไป...ไป...ไปรอพ่อมึงที่อื่นเลยไป”
“สมน้ำหน้า”
“ขอบคุณที่ไล่ฉัน เพราะฉันอยากไปให้พ้นจากที่นี่นานแล้ว”
“ก็รีบไปสิ จะมัวมายืนอ้อยอิ่งอีกทำไม”
“ถ้าพ่อพิทย์รู้ว่าคุณเป็นปีศาจร้ายอย่างนี้ พ่อก็คงไม่เอาฉันมาฝากไว้หรอก”
“งั้นก็รีบไปบอกพ่อพิทย์ของมึงเลยว่า กูนี่แหละปีศาจร้ายของพวกมึง”
“ฉันบอกแน่ แล้ววันนึงเวรกรรมจะตามเอาคืนกับพวกคุณ จำไว้เลย”
“มึงแช่งพ่อกูเหรอ”
พจนีย์วิ่งเข้าไปตบโขมพัสตร์อีกครั้ง
โขมพัสตร์เงื้อมือจะตบโต้ตอบรังสรรค์กระชากเธอออกมา แล้วรัวมือตบโขมพัสตร์ด้วยความรุนแรง
ไพลินวิ่งเข้าหน้าตาตื่นเข้ามา โดยมี รัฐ รัมภ์ รติรส ตามเข้ามาด้วย
ไพลินตะโกนลั่น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะรังสรรค์ หยุด ฉันบอกให้หยุด อย่าตีลูกสาวตัวเอง”
รังสรรค์หยุด ยั้งมือ จ้องมองหน้าโขมพัสตร์
โขมพัสตร์ปาดเลือดที่มุมปาก แล้วหันไปมองหน้าไพลิน
พจนีย์เอ่ยปากพูดด้วยความงุนงง
“ป้าพูดอะไรน่ะ ใครเป็นลูกใคร”
ไพลินตรงเข้าไปดุใส่หน้ารังสรรค์
“รู้ตัวบ้างมั้ยว่ากำลังทำอะไรลงไป มีพ่อคนไหนทำร้ายลูกสาวตัวเองได้ถึงขนาดนี้บ้างมั้ย”
“ไม่ ไม่จริง เขาไม่ใช่พ่อหนู...พ่อหนูไม่เลวแบบนี้หรอก”
ขมวิ่งร้องไห้ออกไป
รัฐวิ่งตามโขมพัสตร์ไป
“พี่ไพพูดอะไรออกมา รู้มั้ยว่า มันเป็นอัปมงคลต่อวงศ์ตระกูลของเรา”
รังสรรค์เดินเข้าห้องของตนทันที

โขมพัสตร์วิ่งตรงเข้าไปในห้องนอน และปิดประตูรัฐวิ่งตามหลังมาหยุดที่หน้าประตูห้อง ตะโกนเรียก
“ขม...ขม”
ขมนอนร้องไห้บนเตียงนอน
“ขม คุยกับพี่ก่อนได้มั้ย”
ขมไม่เอ่ยปากตอบแต่อย่างใด
นมผ่อนวิ่งเข้ามา ด้วยความเป็นห่วง
“ขม”
“เธอปิดประตูล็อคห้องเงียบเลยครับป้า”
“ขม ให้ป้าเข้าไปหน่อยนะ”
โขมพัสตร์เอ่ยปากตะโกนตอบทั้งน้ำตา
“ขมไม่มีอะไรจะคุย ปล่อยขมไว้คนเดียวเถอะค่ะ ขมอยู่ได้”
นมผ่อนหันไปพูดกับรัฐ
“ปล่อยแกไว้สักพัก อาจจะดีกว่านะคะ”
รัฐเดินเข้าไปใกล้ประตูห้องก่อนตะโกนพูด
“ขม พี่กลับก่อนนะ อย่าลืมที่พี่บอกล่ะ พี่อยู่ข้างขมเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”
รัฐหันมาพูดกับนมผ่อน
“ฝากดูขมด้วยนะครับป้า พรุ่งนี้ผมจะแวะมาใหม่”
ในห้องนอนขมกระเถิบตัวเข้าไปใกล้โกศใส่เถ้ากระดูกแม่เธอวางมือกราบและเอ่ยปากพูด
“แม่จ๋า มันไม่จริงใช่มั้ยแม่...ไม่มีทางที่ขมจะมีพ่อเลวๆอย่างนายรังสรรค์แน่ๆใช่มั้ยจ๊ะ...ขมควรจะทำยังไง...ขมไม่อยากมีชีวิตแบบนี้...ขมคิดถึงแม่จ้ะ”

ที่โถงเรือนใหญ่ บ้านพุทธชาดพจนีย์ปราดเข้ามาขวางหน้าไพลิน
“คุณป้าคะ พจน์ขอคุยหน่อยได้มั้ยคะ”
“คุยอะไร”
“พจน์อยากรู้ว่า ป้าคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น อยู่ๆจะให้นังขมมาเป็นลูกของพ่อรังสรรค์ได้ยังไง พ่อไม่มีทางเอาผู้หญิงพิการ สติไม่ดีอย่างแม่นังขมมาเป็นเมียหรอก”
“ถ้าป้าไม่พูดอย่างนั้นแล้วพ่อเราจะหยุดทำร้ายขมมั้ย”
“ป้าเป็นคนพูดไปเรื่อย หาสาระไม่ได้อย่างนี้เองเหรอ”
ไพลินดุ “พจนีย์”
“ขอโทษนะคะถ้าพจน์พูดแรงไปหน่อย”
“คนที่พูดเรื่อยเปื่อย ไม่มีสาระและไม่มีสัมมาคารวะ ก็คือเธอนั่นแหละพจนีย์ส่วนสาระสำคัญในคำพูดของป้านั้น ก็คือการทำให้ขมไม่ต้องเจ็บตัว”
“แล้วป้าคิดถึงผลเสียบ้างมั้ยคะ...ยิ่งป้าพูดอย่างนี้ก็จะยิ่งทำให้นังเด็กกาฝากนั่นมันได้ใจ ตีตนขึ้นมาเสมอพวกเรา...ป้าอยากให้เป็นอย่างนั้นใช่มั้ย บอกมาเลยดีกว่า”
“ทุกคนล้วนมีความอยากที่ต่างกัน แต่นั่นไม่สำคัญไปกว่าความเป็นจริง และความจริงที่ป้าเห็นวันนี้ก็คือ เธอกับพ่อของเธอนั้นโหดร้ายทารุณ ไร้มนุษยธรรมอย่างที่คนในตระกูลนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน”

“ก็ยังดีกว่า จะยอมให้คำพูดพลั้งปากของป้าเป็นจริง เพราะนั่นจะเป็นเรื่องเสื่อมเสียของตระกูลรัตนเดชากรมากยิ่งกว่าค่ะ”

รัมภ์และรติรสเดินมาด้วยกัน รัมภ์เอ่ยปากในเชิงปรึกษา

“รสรู้มั้ยว่าคุณย่าของรสกับคุณยายของพี่สนิทกันมาก”
“ค่ะ คุณย่าเคยเล่าให้ฟัง”
“ทั้งสองท่านมีสัญญาระหว่างกันด้วยนะ รู้มั้ย”
“ค่ะ”
“เพราะฉะนั้น ถ้าคำพูดของป้าไพลินเป็นจริง คนที่ดีใจที่สุดอีกคนนึง ก็คือพี่รัฐ”
“แล้วพี่รัมภ์ล่ะ ?”
“น้องชายก็คงต้องดีใจกับพี่ชายด้วยเป็นธรรมดา”
“เหมือนที่รสก็จะดีใจกับขมเช่นกัน”
พจนีย์เดินเข้ามาหาคนทั้งสอง
“ฝันหวานไปเถอะค่ะ พจน์คาดคั้นกับป้าไพลินมาแล้ว ป้ายอมรับว่า พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้มีมูลแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นอย่าเพ้อเจ้อให้เสียเวลาไปหน่อยเลย”

คืนนั้น บุหงาขยับตัวลงนอนข้างๆรังสรรค์ทั้งสองมองเพดานห้องนิ่งบุหงาเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อน
“มีอะไรอยากสารภาพกับน้องมั้ยคะ”
“ฉันไม่ใช่ผู้ต้องหา ทำไมต้องสารภาพ”
“คำพูดของพี่ไพลินมันพาดพิงคุณพี่ตรงๆเลยนะคะ”
“ฉันไม่ยอมรับข้อกล่าวหานั้น”
“แต่ท่าทีคุณพี่ดูลังเล เหมือนไม่แน่ใจนี่คะ”
รังสรรค์เสียงแข็งขึ้นมาทันที
“ถ้ายังไม่หยุดพูดเรื่องนี้ ฉันจะออกไปกินเหล้าละ”
บุหงาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนเอ่ยปาก
“น้องไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะคะ ไม่ว่าคุณพี่จะมีลูกกับผู้หญิงคนนั้นซักกี่คนน้องแค่กังวลว่าถ้าลูกกับแม่เชื้อไม่ทิ้งกัน มันอาจจะมีเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงมาถึงคุณพี่ได้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลานหลอกๆกับอาปลอมๆคู่นั้น”

รุ่งขึ้น ชาติสยามยืนถือโทรศัพท์แนบหู เอ่ยปาก
“สวัสดีครับ ผมชาติสยามครับ”
ซ่อนกลิ่นยืนพูดโทรศัพท์
“ถ้าไม่บอกชื่อเกือบจะจำไม่ได้แล้วนะ เพราะไม่ได้ยินเสียงซะหลายวัน”
“รุ้งกาญจน์กลับมารึยังครับ”
“เพิ่งนึกได้เหรอว่ารุ้งไม่อยู่”
“ทำไมพูดอย่างนั้น”
“ก็เห็นเพิ่งสนใจโทรมาถาม นึกว่ามัวแต่ใส่ใจหลานสาวอยู่คนเดียว”
ชาติสยามรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงแดกดันของซ่อนกลิ่น
“ผมรู้สึกว่าคุณป้ากำลังกีดกันผมจากรุ้ง”
“ที่เธอห่างจากรุ้ง ก็เพราะเธอทำตัวเธอเอง ฉันไม่เกี่ยวด้วย”
ชาติสยามถอนหายใจ เซ็งๆ
“ถ้ารุ้งเขากลับมาเมื่อไหร่ ช่วยบอกผมด้วยได้มั้ยครับ”
“ถ้าฉันตอบปฏิเสธล่ะ...เธอจะว่ายังไง”
“ผมก็คงรู้สึกไม่ดีกับคุณป้า เท่านั้นหละครับ”
ชาติสยามวางโทรศัพท์แล้วเดินออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด

ชาติสยามเดินออกมาจากบ้านมีร่างเล็กๆ นั่งคุดคู้ พิงกำแพงนั้น โดยมีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมวางข้างกาย โขมพัสตร์นั่นเอง
ชาติสยามพุ่งเข้าไปหา ด้วยความตกใจ
“ขม...ขม”
โขมพัสตร์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นอา
“อา”
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ ?”
“ช่วยขมด้วยค่ะอา...ขมไม่อยากอยู่บ้านนั้นอีกแล้ว”
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดชาติสยามแน่น เท่าที่เธอพอจะมีแรง

เช้า วันเดียวกันนมผ่อนเดินเข้าไปที่โต๊ะอาหาร หน้าตาไม่สู้ดี
คุณหญิงรัตนเดชากร และ ไพลิน นั่งกินอาหารอยู่ที่นั่น
“คุณหญิงขา คุณไพลินขา เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
ไพลินถาม“เรื่องอะไร”
“ขมค่ะ”
คุณหญิงถาม“ทำไม ?”
“ขมหายตัวไปอีกแล้วค่ะ”

ชาติสยามประคองโขมพัสตร์ลงนั่งตรงตำแหน่งสบายๆที่เหมาะสม
“นั่งตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวอาจะหาอะไรให้กิน แล้วเราค่อยคุยกันว่า เกิดอะไรขึ้น”
“ขมไม่หิวค่ะอา”
“งั้นก็อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา หลับซักงีบหนึ่งก่อนแล้วกัน”
“ขมไม่ง่วง”
“งั้นก็เล่ามาเลยว่าเกิดอะไรขึ้น มาอยู่หน้าบ้านอาได้ยังไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ขมเดินมาจากบ้านพุทธชาด”
“เดินมา”
“อารุ้งเล่าให้ฟังว่าบ้านอาอยู่ซอยนี้ ขมก็เลยเดินมาเรื่อยๆ”
“ตั้งแต่กี่โมง”
“ห้าทุ่ม...อยากรู้มั้ยว่าทำไมขมถึงหนีออกมา”
“เดาได้ไม่ยาก แล้วมีใครรู้รึเปล่าว่าขมเดินออกจากบ้านมา”
“ไม่มีใครเห็น”
“เดี๋ยวซักพักก็จะต้องมีโทรศัพท์มาตามที่นี่แน่ๆ เชื่ออามั้ย”
สิ้นคำพูด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“สายนี้แหละ”
โขมพัสตร์กระเถิบเข้าไปจับแขนชาติสยาม คะยั้นคะยอ
“อาอย่าบอกว่าขมอยู่ที่นี่ได้มั้ยคะ...นะอา ขมไม่อยากกลับไปอีกแล้ว เขาทั้งด่าทั้งตบขม และไล่ขมออกจากบ้านด้วย...แต่คุณป้าไพลินกลับมาบอกว่าขมเป็นลูกเขา”
สยามถึงกับอึ้งไป
“ห๊ะ”
“ขมสับสนไปหมดแล้ว ขมรู้แต่ว่าขมเกลียดทุกคนที่บ้านนี้ค่ะอา ช่วยขมด้วยนะ”
ชาติสยามเครียด เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากปากขม
เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอยู่อย่างนั้น...

ไพลินยืนถือหูโทรศัพท์เอ่ยปากพูดเมื่อมีเสียงรับที่ปลายสาย
“ชาติสยามใช่มั้ย...นี่ฉันไพลินพูดนะ...ขมหนีออกจากบ้านอีกแล้วหละ”
“เหรอครับ”
“ตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืน หอบเสื้อผ้าไปด้วย พวกเราทุกคนที่นี่เป็นห่วงมาก แต่ก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหน...พ่อชาติสยามพอจะมีหนทางตามขมกลับมาได้มั้ย”
ชาติสยาม ยืนถือโทรศัพท์แนบหู หน้าตาลังเล
“เอ้อ...”
ชาติสยามหันไปมองหน้าโขมพัสตร์ที่อยู่ข้างๆ เธอแสดงสีหน้าวิงวอนขอความเห็นใจ
"ผมจะพยายามตามหาดูครับ อาจจะลองไปที่เดิมที่ขมมักจะไป...ถ้าเจอขมเมื่อไหร่ ผมจะรีบส่งข่าวนะครับคุณป้าไพลิน"
ชาติสยามวางโทรศัพท์ลง ขมยิ้มดีใจ
"ขอบคุณค่ะอา"
"คุณไพลินพูดออกมาจริงๆเหรอว่า ขมเป็นลูกนายรังสรรค์ ?"
"ค่ะ ไม่จริงใช่มั้ยคะ"
ชาติสยามยื่นหน้าเข้าไปพูดกับโขมพัสตร์อย่างจริงจัง
"ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แต่ขมคือลูกของพ่อพิทย์ จำไว้นะ พ่อพิทย์คือพ่อของขม"
"ค่ะ แต่พ่อพิทย์ก็ไม่อยู่กับขม ชีวิตขมเหลือแต่เพียงอาคนเดียวเท่านั้น อาอย่าทิ้งขมไปอีกคนนะคะ"
"อาจะไม่มีวันทิ้งขมไปไหน...อาสัญญา"
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดอาด้วยความซาบซึ้งใจ

ตอนกลางวัน ชาติสยามเดินตรงเข้าไปกลางห้องโถง นมผ่อนยืนรออยู่
"คุณชาติสยาม"
"สวัสดีครับ นมผ่อน คุณหญิงกับคุณไพลินล่ะครับ"
"รออยู่ข้างในค่ะ กำลังกระวนกระวายใจกันมากเลย"

คุณหญิงรัตนเดชากรก้าวเข้ามาเบื้องหน้าชาติสยาม มีไพลิน และนมผ่อน อยู่ร่วมในห้องนี้ด้วย
"เป็นยังไงบ้าง พ่อชาติสยาม"
"เอ้อ ผมพยายามไปทุกที่ที่ขมเคยไปแล้ว"
"เจอมั้ย"
"ไม่พบเลยครับ"
"โธ่ แม่คุณเอ๊ย"
"เป็นเพราะฉันเอง...ฉันไม่น่าเผลอพูดออกไปอย่างนั้นเลย เด็กคงจะรับความจริงไม่ได้"
ชาติสยามปั้นหน้า เหมือนไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
"ความจริงอะไรเหรอครับ ?"
"ช่างเถอะ มันเป็นสิ่งที่เราคาดคะเนกันเท่านั้น ไม่มีใครพิสูจน์ได้...เอาเรื่องนี้ก่อนดีกว่า เราจะตามหาขมยังไง ปล่อยให้ไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกเพียงลำพังอย่างนี้ ไม่ดีแน่ๆ"
"แจ้งตำรวจดีมั้ยคะ ให้เขาช่วยตามหา"
"เอ้อ อย่าเพิ่งเลยครับ เดี๋ยวจะเป็นข่าวใหญ่โต ผมคิดว่ายังมีอีกที่นึง ที่มีความเป็นไปได้ว่าขมจะไปที่นั่น"
"ที่ไหนเหรอ"
"อัมพวาครับ...บ้านเดิมของขม ขมผูกพันกับที่นั่นไม่น้อย โดยเฉพาะกับคุณครูสมพร"
"อือม ขมอาจจะไปขออยู่กับครูที่นั่นก็ได้"
"เราไปตามกันเลยมั้ย" ไพลินว่า
"ให้ผมไปเองดีกว่าครับ อารมณ์ขมเป็นแบบนี้ ผมเกรงว่า ถ้าเราแห่กันไป แกก็จะหนีหายไปอีก ให้ผมไปตามหาแกเอง แล้วค่อยๆพูดกับขมน่าจะดีกว่าครับ"
คุณหญิงรัตนเดชากรและไพลินมองหน้ากัน ยอมรับในความคิดเห็นของชาติสยาม
"ถ้าเจอตัว ก็ฝากบอกขมด้วยว่า ที่ฉันพูดไปน่ะ อย่าถือสาอะไรเลย ก็แค่เพราะรักเหมือนลูกเหมือนหลานเท่านั้น"
"ครับ ผมจะบอกให้ตามนั้นเลยครับ"

โขมพัสตร์นั่งซึมนิ่งอยู่เพียงลำพังที่สวนสาธารณะ มันเป็นบริเวณสนามหญ้า ใกล้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม
ชาติสยามค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
"ทุกคนเป็นห่วงขมมากเลย รู้มั้ย"
"แล้วอาล่ะคะ อาห่วงขมรึเปล่า"
"ไม่ห่วง แล้วจะทำอย่างนี้เหรอ"
"ถ้างั้น อาก็จะไม่ส่งขมกลับไปที่บ้านนั้นอีกใช่มั้ย"
"ตอนนี้ยัง"
โขมพัสตร์ยิ้มสดชื่นขึ้นมาทันที
"เท่านี้ขมก็มีความสุขแล้วค่ะ แล้วเราจะไปไหนกันดี"
"อาบอกเขาว่า ขมน่าจะไปที่อัมพวา บ้านครูสมพร"
"อาเดาใจขมเก่งจัง ขมกำลังจะขอให้อาพาไปส่งที่นั่นพอดี"
"เหรอ ?"
"แล้วขมก็จะอยู่ที่นั่นเลย จะไม่กวนอาอีก อาก็กลับมาทำงานเป็นอาจารย์เหมือนเดิม คิดถึงขมเมื่อไหร่ อาก็ไปหาขมที่นั่น"
"อาไปลางานมาแล้ว...ห้าวัน"
"งั้นอาก็อยู่กับขมได้สิคะ"
"แต่ครูสมพรจะยอมให้อาอยู่ด้วยเหรอ"
"ขมขอครูให้เอง"
"แล้วถ้าคนที่บ้านพุทธชาดตามมาล่ะ เราจะทำยังไง"
"ก็หนีไปที่อื่น"
"แล้วถ้าเขามาตอนเราไม่รู้ตัวล่ะ งั้นเราต้องหาใครมาเฝ้ายามไว้ให้ด้วยรึเปล่า"
โขมพัสตร์พยายามครุ่นคิด
"หาใครดีล่ะ ?"
"อามีวิธีที่ดีกว่านั้น"
"วิธีไหน ?"
"เราอย่าไปบ้านครูสมพรเลย"
"แล้วจะไปที่ไหนกันล่ะคะ"

"ถึงแล้วจะรู้เอง...ถ้าเชื่ออาก็ไปกับอา...รับรองไม่มีใครตามหาเราเจอแน่"

อ่านต่อตอนที่ 13


กำลังโหลดความคิดเห็น