ดงผู้ดี ตอนที่ 11 : หมอเผยแล้ว! “รติรส” ถูกสับเปลี่ยน - “ชวาล” ตายแล้ว!
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
บุหงาเดินเข้ามาถึงกลางโถงบ้าน เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ซ่อนกลิ่นเดินถืออาหารอ่อนๆ เข้ามา ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน
“คุณเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไง”
“ประตูบ้านไม่ได้ล็อก”
“ก่อนจะถึงประตูบ้าน มันมีออดอยู่หน้ารั้ว ไม่ได้ล็อกเหมือนกัน ทำไมไม่กดคะ”
“จะให้ดิฉันออกไปกดก่อนมั้ยคะ”
“บอกมาเลยดีกว่า ว่ามาหาใคร เผื่อจะผิดบ้าน”
“ดิฉันมาหาคุณรุ้งกาญจน์ค่ะ”
“คุณชื่ออะไร”
“บุหงาค่ะ คุณคือคุณป้าซ่อนกลิ่นใช่มั้ยคะ เราเคยคุยกันแล้วครั้งนึง ตอนที่ฉันโทร. มาเตือนเรื่องแฟนหนุ่มของหลานคุณป้าน่ะค่ะ”
รุ้งกาญจน์เดินออกมาจากห้องของเธอพอดี
“วันนี้จะมาเตือนอะไรฉันอีกเหรอคะ”
บุหงาขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้ารุ้งกาญจน์ในมุมสงบ
“ฉันตั้งใจมาเยี่ยมต่างหาก...ยังไงๆเราก็ลูกผู้หญิงเหมือนกัน มีเรื่องร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้น ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
“ห่วงว่าฉันจะไม่ตายน่ะสิ”
“ดูพูดเข้า”
“หรือห่วงว่าฉันจะเปิดเผยชื่อตัวการที่จ้างวานไอ้หมอนั่น”
บุหงาปั้นหน้าไร้เดียงสาขึ้นมาทันที
“คุณรู้ด้วยเหรอคะว่ามันเป็นใคร”
“ก็คงรู้พอๆกับคุณนั่นแหละ”
บุหงายังคงวางท่าทีราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์
“เข้าใจผิดแล้วละค่ะ”
“ที่ถูกคืออะไรล่ะคะ ?”
“มีคนพยายามโยงเอาเรื่องที่ฉันเคยพาตำรวจไปจับไอ้แฟรงกี้ มาเป็นเหตุให้เชื่อว่าฉันต้องมีอิทธิพลเหนือแฟรงกี้ ถึงขั้นอาจจะเป็นผู้จ้างวานให้มันลงมือทำร้ายคุณ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นจินตนาการที่ไร้เหตุผลที่สุด”
“เพราะเราสองคนรักใคร่กันดี จึงไม่มีเหตุที่คุณจะทำอย่างนั้นกับฉันเหรอคะ ?”
ทั้งสองจ้องตากัน โดยไม่อาจปิดบังความรู้สึกแท้จริงของตนได้
บุหงาจึงเอ่ยปากเสียงเข้มขึ้น
“เพราะฉันไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการตายของคุณต่างหาก”
“คุณอาจจะหวังผล แค่ให้ฉันโดนข่มขืนเท่านั้น”
“เพื่ออะไรล่ะ ?”
“ฉันเดาว่า คุณอยากได้บางสิ่งบางอย่างที่เป็นของฉัน”
“แล้วคิดว่าฉันจะได้มันมั้ย”
“ไม่มีทาง”
“ก็ต้องคอยดูกันต่อไป แต่ขอออกความเห็นหน่อยนะ ระหว่างที่เรากำลังยื้อแย่งของรักกันอยู่ เราทั้งคู่อาจจะเสียของนั้น ให้กับหอกข้างแคร่ตัวน้อยๆ โดยไม่รู้ตัวก็ได้”
“นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งจินตนาการที่ไร้เหตุผลเช่นกัน”
วันเดียวกัน โขมพัสตร์เดินออกมาจากอาคารเรียนหน้าโรงเรียนมัธยมหญิงชาติสยามยืนยิ้มรออยู่หน้าอาคารนั้น
โขมพัสตร์รีบวิ่งไปหาอาสยามด้วยความดีใจ
“อา...จะมารับขมก็ไม่บอกล่วงหน้าด้วย ถ้าหากขมทำข้อสอบเสร็จเร็ว กลับบ้านไปก่อน ก็คลาดกันน่ะสิ”
“ไม่มีทาง เพราะอามารอตรงนี้ตั้งแต่ขมเพิ่งเข้าห้องสอบ แล้วคนเก่งๆก็มักจะออกจากห้องสอบเป็นคนสุดท้าย อารู้”
“แล้ววันนี้อาไม่ไปเฝ้าอารุ้งเหรอคะ”
“อารุ้งค่อยยังชั่วแล้ว อาก็เลยแวบมาฉลองวันสอบเสร็จให้ขมก่อน”
“ไชโย...ฉลองยังไงคะ”
“ก็กินสิ กินกันไปคุยกันไป เพราะอามีหลายเรื่องที่ต้องคุยกับขม”
“ที่ไหนดี”
“ที่นี่แหละดีที่สุด”
โขมพัสตร์และชาติสยามนั่งกินอาหารอย่างเพลิดเพลิน บนโต๊ะในสวนหย่อมของโรงเรียน
มันเป็นอาหารในห่อหรือกระทง ที่ชาติสยามเป็นผู้ซื้อมา
“อร่อยถูกปากมั้ย”
“ถูกจนเลอะไปหมดแล้วค่ะอา”
ชาติสยามใช้ผ้าเช็ดแก้มโขมพัสตร์ตรงที่เลอะคราบอาหาร
“มูมมามเป็นเด็กเลยนะ”
“ก็ขมยังเด็กอยู่นี่คะ”
“กินอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเปลืองตังค์อา”
“งั้นคราวหน้าทำกินกันเองดีกว่า จะได้ประหยัดขึ้นไปอีก”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ประหยัดเวลาเอาไว้คุยเรื่องอื่นที่น่าสนใจกันดีกว่า”
“อาจะคุยอะไรกับขม”
ชาติสยามสูดลมหายใจลึกๆก่อนเอ่ยปาก
“อยากไปเมืองนอกมั้ย”
“ห๊ะ !”
“หูไม่ดีเหรอ ?”
“หูดีค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าอาพูดผิดรึเปล่า”
“งั้นฟังใหม่ อยากไปเมืองนอกมั้ย”
ชาติสยามค่อยๆพูดชัดๆทีละคำ
โขมพัสตร์มีอาการตื่นเต้น ตาเป็นประกาย
“ไปหาพ่อพิทย์เหรอ”
“ไปเรียน...เรียนต่อปริญญาตรีไง”
“โอ๊ย...ขมจะเอาปัญญาที่ไหนไปเรียน”
“ปัญญาที่ขมมีก็พอแล้ว น้อยซะที่ไหนล่ะ...อย่างอื่นอาจัดการให้เอง”
โขมพัสตร์ค่อยๆตั้งสติ นิ่ง คิด
“แล้วพ่อพิทย์...”
“พ่อพิทย์นั่นแหละตัวดี เขาอยากให้ขมมีโอกาสเรียนให้สูงที่สุด”
ชาติสยามหยิบกระดาษแข็งแผ่นหนึ่งให้ขมมันคือโปสการ์ดที่มีลายมือของเขาอยู่บนนั้น
“โปสการ์ดจากพ่อพิทย์ เพิ่งส่งมาถึงอาเมื่อวานนี้”
ขมหยิบโปสการ์ดนั้นมาอ่าน สีหน้าและแววตาตื้นตัน
เสียงชาติสยามดังออกมา
“ขมลูกรัก งานของพ่อยุ่งมากๆ พ่ออยากจะเขียนข้อความถึงลูกให้ยาวเท่าๆกับความคิดถึงของพ่อ แต่ก็ทำได้แค่เขียนโปสการ์ดใบนี้เท่านั้น พ่อรู้ว่าหนูกำลังจะเรียนจบมัธยมแล้ว...พ่อจึงอยากย้ำกับหนูอีกครั้ง ว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของโลกยุคใหม่”
ชาติสยามมองท่าทีของหลานสาว
“หนูต้องไม่ทิ้งโอกาสที่จะเล่าเรียนนะ เรียนให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ แม้พ่อจะอยู่ไกลแสนไกล แต่พ่อก็จะสนับสนุนทุกอย่าง ผ่านทางอาชาติสยาม จงเชื่อคำแนะนำของอา โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา สัญญานะขม...รัก พ่อพิทย์”
โขมพัสตร์นิ่งไป น้ำตาไหลเอ่อออกมาน้อยๆ
“เฮ้ย...ไปเรียนต่อ ไม่ใช่ไปรบ ไม่ต้องทำหน้าตกอกตกใจขนาดนั้น”
“ขมรักพ่อค่ะ อา”
โขมพัสตร์เอนกายไปซบที่อกของชาติสยาม
ชาติสยามโอบประคองเธอไว้ด้วยความรู้สึกที่มากกว่าสงสาร
ที่กระทรวงมหาดไทย รังสรรค์นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะของเขา
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญ”
ประตูห้องเปิดออก
ผู้ที่เดินผ่านประตูเข้ามาคือ ไพลิน
“พี่ไพลิน มีอะไรรึเปล่าครับ ถึงได้มาหาผมถึงที่นี่”
“มีเรื่องอยากจะคุยกับเธอหน่อย”
“รอคุยที่บ้านตอนเย็นไม่ได้เหรอครับ”
“ฉันกับคุณแม่ร้อนใจ และเห็นตรงกันว่าควรจะคุยก่อนที่เธอจะเมา”
“ผมไม่ได้เมามายจนไม่มีสติจะคุยซักหน่อย”
รังสรรค์หยุดทำงาน และแสดงท่าทีให้ความสนใจพี่สาว
“เอ้า...มีอะไรก็ว่ามาเลยครับ พี่ไพ”
“ตำรวจเจอกระดาษแผ่นนี้ในกระเป๋าสตางค์คนร้ายที่ฉุดรุ้งกาญจน์”
ไพลินส่งกระดาษแผ่นนั้นให้รังสรรค์
“รู้มั้ยว่ามันคืออะไร มีความหมายว่าอะไร”
รังสรรค์อ่านข้อความในกระดาษแล้วนิ่งไปเขาพยายามรักษาท่าทีให้เป็นปกติมากที่สุด
“ผมไม่ทราบครับ ไม่ทราบจริงๆ”
“แน่ใจนะว่า เธอไม่ได้มีส่วนกับการเป็นถุงเงินของนายแฟรงกี้”
รังสรรค์ตอบ“ผมไม่เคยรู้จักหมอนี่มาก่อน”
“แต่เมียเธอรู้จัก”
รังสรรค์อึ้งไปอีกนิดนึง
“พี่ก็ต้องไปถามบุหงาเอง”
“ฉันถามแน่...แต่ฉันเลือกถามเธอก่อน เผื่อว่าเธอจะไม่อยากให้เมียเธอตกอกตกใจ ก็เท่านั้น”
รถชาติสยามแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านชาติสยามหันไปพูดกับโขมพัสตร์
“พรุ่งนี้ อาจะมารับขมไปบริติชเคานซิลนะ เราจะไปขอดูข้อมูลโรงเรียนที่อังกฤษ ไง ดีมั้ย”
“ค่ะ...อารอขมแป๊ปนึงได้มั้ยคะ ขมจะเขียนจดหมายถึงพ่อ ฝากอาส่งให้น่ะค่ะ”
“ได้สิ”
โขมพัสตร์เปิดประตูลงจากรถ
รถรังสรรค์แล่นมาจอดข้างๆรถชาติสยาม
โขมพัสตร์จึงหยุด ยืนก้มหน้านิ่ง
รังสรรค์ลงจากรถ หน้าตาชิงชัง
“เทียวเข้าเทียวออกบ้านคนอื่นไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจเจ้าของบ้านเขาบ้างเลยรึไง”
ชาติสยามก้าวออกมาจากรถ เอ่ยปากตอบไม่สะทกสะท้าน
“คุณหญิงท่านอนุญาตให้ผมเข้าออกบ้านนี้ได้ ถ้าคุณรังสรรค์มีปัญหา คงต้องไปคุยกับคุณหญิงเองมั้งครับ หรือว่าช่วงนี้ แม่กับลูก ไม่ค่อยได้คุยกัน”
“ตระกูลสุรบดินทร์ไม่ได้สอนนายเหรอว่า การพูดจาโอหังแบบนี้ ไม่ใช่มารยาทที่ดี”
“ทั้งสองตระกูลสั่งสอนมาไม่ต่างกันหรอกครับ ถ้าผมจะโอหังก็เป็นนิสัยส่วนตัวของผม เหมือนนิสัยส่วนตัวของคุณรังสรรค์ก็ต่างจากคุณหญิงรัตนเดชากรอย่างสิ้นเชิง”
รังสรรค์จ้องหน้าชาติสยามสายตากร้าว ก่อนเดินเข้าบ้าน
ขมเงยหน้ามองตามหลังรังสรรค์ไป
“ขมเกลียดเขาที่สุดในโลก...ถ้าการไปเมืองนอกคือการหลุดพ้นจากที่นี่ได้ ขมก็ยินดีจะไปตั้งแต่วันนี้เลยค่ะอา”
ตอนค่ำ ชาติสยามก้าวเข้ามากลางโถงบ้านซ่อนกลิ่นนั่งอ่านหนังสืออยู่ในโถงนั้น
ชาติสยามเดินตรงเข้าไปหาเธอ
“รุ้งเป็นยังไงบ้างครับ”
“หลับไปสักพักแล้ว คงเพราะฤทธิ์ยาน่ะ”
“งั้นผมขอนั่งรอแถวนี้นะครับ”
ชาติสยามขยับตัว เลือกที่นั่งที่เหมาะสม
ซ่อนกลิ่นจึงตัดสินใจพูด
“ไม่นึกเลยนะ ว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับยายรุ้ง”
“ครับ”
“ฉันเลี้ยงดูยายรุ้งมาตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ของเธอจากไป...ฉันไม่เคยเห็นยายรุ้งต้องเจ็บตัวมากเท่านี้มาก่อน”
“ผมเสียใจครับ”
“ฉันเคยมั่นใจมาตลอดว่า คุณจะดูแลรุ้งกาญจน์ได้ดีไม่แพ้ฉัน...ฉันไม่อยากจะเปลี่ยนความเชื่อนี้หรอกนะ...แต่”
“ผมจะไม่ยอมให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่ๆ ผมสัญญา”
“คุณสัญญาไม่ได้หรอก เพราะมันไม่ได้เป็นเพราะคุณ”
“หมายความว่าไงครับ ?”
“เรื่องร้ายๆนี้เกิดขึ้น ตั้งแต่ผู้หญิงคนใหม่ก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ”
“ผู้หญิงคนใหม่ ?”
“ใช่”
“ผมไม่มีใครนะครับ...นอกจาก...”
“หลานคุณ”
ชาติสยามนิ่ง รอฟังคำพูดต่อไปของซ่อนกลิ่น
“ฉันไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพี่ชายมากนัก...แต่ถ้ามีอะไรที่ทำให้หลานสาวของฉันเดือดร้อน ฉันก็พร้อมที่จะขัดขวางสุดชีวิตเหมือนกัน...คุณต้องเลือกต้องตัดสินใจตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าระหว่าง รุ้งกาญจน์หลานฉัน กับขมหลานคุณ ใครมีความหมายกับคุณมากกว่ากัน”
ชาติสยามนิ่ง ไม่มีคำตอบให้กับซ่อนกลิ่น
ซ่อนกลิ่นจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“เมื่อสักสองชั่วโมงที่แล้ว ท่านหญิงโสมวดีแม่คุณโทร. มา...ท่านบอกว่ามีโทรศัพท์ด่วนถึงคุณ จากกรุงลอนดอน”
“พี่ชวาล ?”
“ฉันไม่รู้ แม่คุณไม่ได้บอกว่าใคร บอกแต่ว่า ให้คุณโทรกลับไปที่เบอร์นี้ ด่วนที่สุด”
ซ่อนกลิ่นส่งกระดาษโน้ตให้ชาติสยาม
มีหมายเลขโทรศัพท์ที่ประเทศอังกฤษเขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น
“ใช้โทรศัพท์ที่นี่ ก็ได้นะ ฉันไม่คิดเงิน”
“ขอบคุณครับ”
ชาติสยามเดินไปที่โทรศัพท์เขากดหมายเลขโทรศัพท์ ติดต่อ โอเปอเรเตอร์
“ผมจะขอโทร.ไปประเทศอังกฤษครับ ผม ชาติสยาม สุรบดินทร์ ครับ”
โรงพยาบาลในกรุงลอนดอน พยาบาลยกโทรศัพท์ขึ้นพูด
“คุณชาติสยามใช่มั้ยคะ...ดิฉันชื่อศจีเป็นคนไทยที่ทำงานที่โรงพยาบาลนี้คุณชวาลขอให้ดิฉันโทรหาคุณค่ะ”
ชาติสยามหน้าตาไม่สู้ดีนัก
“เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชวาลเหรอครับ”
“คุณชวาลต้องการพบคุณด่วนที่สุดค่ะ...และขอให้เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างคุณกับเขาเท่านั้น ห้ามบอกใครเด็ดขาด”
แววตาของชาติสยามเต็มไปด้วยความกังวล
กลางดึกที่ห้องหนังสือ บ้านเทพสถิตย์ชาติสยามกำลังเก็บของสำคัญเกี่ยวกับการเดินทาง ใส่ลงในกระเป๋า หม่อมเจ้าหญิงโสมวดีเดินเข้ามาหา
“ลูกจะเดินทางเมื่อไหร่”
“เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ”
“พี่ชวาลของเราเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ผมยังไม่รู้รายละเอียดครับ...แต่ดูเหมือนว่า จะไม่ค่อยดีนัก”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“โรงพยาบาลในกรุงลอนดอน”
“มีใครไปกับลูกรึเปล่า”
“ผมไปคนเดียวครับ พี่ชวาลต้องการให้เรื่องนี้เป็นความลับที่สุด”
“แล้วหนูรุ้งว่ายังไงบ้าง”
สี่ชั่วโมง ก่อนหน้านี้รุ้งกาญจน์เอ่ยปากพูดกับชาติสยาม น้ำเสียงจริงจัง
“ทำไมคุณต้องไปคนเดียว...ทำไมไม่ให้เราไปด้วยกันทั้งหมด รวมทั้งขมด้วยเรื่องจะได้จบ”
“พี่ชวาลสั่งว่า ห้ามบอกใครเด็ดขาด ที่ผมเล่าให้รุ้งฟังนี่ก็ถือว่าขัดคำสั่งของพี่ชวาลมากแล้ว”
“คุณควรจะบอกพี่ชายคุณว่า มันเป็นคำสั่งที่ไม่เข้าท่า ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย”
ชาติสยามถอนหายใจก่อนเอ่ยปากตอบ
“เมื่อถึงที่นั่นแล้วผมจะบอก”
“รุ้งขอสมมุติหน่อยได้มั้ยคะ...สมมุตินะ รุ้งไม่มีเจตนาจะแช่งหรือพูดอะไรให้เป็นลางไม่ดีแต่อย่างใด แต่ที่ต้องสมมุติ ก็เพื่อให้คุณเห็นภาพ”
“ตามสบายเลยครับ”
ท่าทีของรุ้งกาญจน์ คล้ายจะหงุดหงิด อารมณ์เสียมากขึ้น
“สมมุติว่าคุณไปไม่ทันล่ะ ถ้าพี่ชายคุณตายตั้งแต่ก่อนคุณจะไปถึง คุณจะทำยังไง โอกาสสุดท้ายของขมก็จะหลุดลอยไปด้วย เพราะไอ้คำสั่งบ้าๆนั่น คุณยินดีที่จะให้เป็นอย่างนั้นเหรอคะ”
ไม่มีคำตอบจากปากชาติสยาม นอกจากการก้มหน้านิ่ง
“พรุ่งนี้ รุ้งพาขมไปทำพาสปอร์ต ขอวีซ่า แล้วรีบบินตามไปเลยก็ได้นะคะ”
ชาติสยามยังยืนยันคำเดิม
“ให้ผมขออนุญาตพี่ชวาลก่อนดีกว่า ผมจะทำทันทีที่เจอหน้าพี่ชวาล ผมสัญญา”
รุ้งกาญจน์แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ
“คำขอของคุณจะหมดความหมายทันที ถ้าสถานการณ์เป็นไปอย่างที่รุ้งสมมุติ...คุณเลือกเอานะคะสยาม จะให้รุ้งพาขมตามไป หรือจะปิดหูปิดตาเธอตามคำสั่งของพี่ชายคุณ”
“คุณรู้คำตอบของผมอยู่แล้ว”
รุ้งกาญจน์ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าหาว่ารุ้งไม่เตือนก็แล้วกัน”
เวลาเช้า โขมพัสตร์เดินออกมาจากเรือนนมผ่อนรุ้งกาญจน์นั่งรออยู่บริเวณหน้าเรือน
โขมพัสตร์เดินตรงไปหาเธอ
“สวัสดีค่ะ อารุ้ง...อาสยามไม่ได้มาเหรอคะ”
“จ้ะ วันนี้อารับหน้าที่แทน เพราะอาสยามต้องไปธุระด่วนที่ภูเก็ต”
“ภูเก็ต ?”
“อือม เขาฝากให้อาพาขมไปดูข้อมูลโรงเรียนที่อังกฤษน่ะ”
“ลำบากอารุ้งเปล่าๆ อารุ้งน่าจะนอนพักไม่ดีกว่าเหรอคะ เรื่องของขมไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย”
“ไม่ได้หรอก อะไรที่เกี่ยวกับขม เป็นเรื่องเร่งด่วนของชาติสยามทั้งนั้น”
“เราก็ไม่ต้องบอกให้อารู้ไงคะ”
“อย่าเลย อาไม่ชอบโกหกใคร...แต่อาจะขออนุญาตคุณหญิงให้ขมไปนั่งเล่นบ้านอาบ้าง เราจะได้มีเวลาคุยเรื่องโรงเรียนกันเยอะๆ จนกว่าอาสยามจะกลับจากภูเก็ต ดีมั้ย”
“ดีค่ะ”
โขมพัสตร์ยิ้มสดใสขึ้นมาทันที
โต๊ะอาหารสวยในร้านแห่งหนึ่ง บุหงาขยับตัวลงนั่งตรงข้ามรังสรรค์ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมต้องให้น้องนั่งแท๊กซี่ออกมาหาคุณพี่ด้วยคะ ดูลึกลับชอบกล มีอะไรก็คุยที่บ้านได้นี่คะ”
“ฉันไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องนี้”
“โธ่ บ้านตั้งใหญ่โต มีที่หลบคุยกันได้ตั้งเยอะแยะ”
“ไม่ต้องออกความเห็นในเรื่องที่ฉันไม่ได้ถามได้มั้ย”
บุหงานิ่งสงบลง เมื่อถูกรังสรรค์ ดุ
“ค่ะ งั้นอยากคุยอะไรคุณพี่ก็พูดมาก่อนแล้วกัน”
“ตำรวจเจอสิ่งนี้ในกระเป๋าสตางค์แฟรงกี้”
รังสรรค์ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้บุหงา
“บอกซิว่ามันคืออะไร”
บุหงามองกระดาษโน้ตนิ่งเก็บอาการตกใจไว้ให้มิดชิดที่สุด
“น้องจะไปรู้ได้ยังไง น้องไม่เกี่ยวอะไรด้วยซักหน่อย”
“ถ้าไม่ใช่เธอ ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่เกี่ยวข้องกับไอ้แฟรงกี้คนนี้”
บุหงาถอนใจนิ่ง
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ ว่าทำไมตระกูลรัตนเดชากรถึงเป็นถุงเงินของมัน...มันกำความลับอะไรในครอบครัวของฉันบ้าง บอกมาให้หมด”
บุหงาเสียงดังขึ้นมาบ้าง
“น้องไม่รู้ คนที่ควรจะรู้คือคุณพี่ คุณพี่มีความลับอะไรบ้างล่ะ...หรือคุณพี่ลืมไปหมดแล้ว”
“อย่ามาย้อนฉันนะ”
“ไม่ได้ย้อน น้องแค่เตือนสติคุณพี่ ด้วยความเป็นจริง...แต่ก็ช่างเถอะ มันตายซะได้ก็ดี ทุกอย่างก็จบ ไม่เห็นจะต้องไปสนใจอะไรกับกระดาษแผ่นเดียว”
รังสรรค์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้บุหงา
“แล้วถ้ามันมีบันทึกที่มากกว่ากระดาษแผ่นนี้ล่ะ จะว่ายังไง”
บุหงาค่อยๆครุ่นคิดตามคำพูดของรังสรรค์
ก่อนหน้านี้ เมื่อแปดปีกว่า แฟรงกี้ขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าบุหงา หน้าตาของมันตื่นเต้น แปลกใจ
“คุณบุปผานี่ พี่สาวยูไม่ใช่เหรอ ?”
“ใช่ มีปัญหารึเปล่า”
แฟรงกี้ยิ้มหน้าตากวน
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไอ ปัญหาอยู่ที่ยู ถ้ายูกล้า ไอก็จัดให้”
“พี่บุปผาป่วยออดๆแอดๆ หลายโรค โดยเฉพาะโรคหัวใจ หมอบอกว่าเธอคงอยู่ได้อีกไม่นาน”
“ยูรอไม่ได้ ?”
“ฉันแค่อยากช่วยให้พี่บุปผาได้พักผ่อนเร็วขึ้น อยู่ต่อไปก็มีแต่จะช้ำใจที่ต้องทนเห็นสามีที่รักปันใจไปให้หญิงอื่นที่สวยกว่า สดกว่า”
“และหญิงคนนั้นก็คือน้องสาวของตัวเองซะด้วย”
“ฉันทำหน้าที่เมียที่ดีแทนพี่บุปผาต่างหาก”
“โอเค...งั้นนี่คือสิ่งที่ยูต้องการ”
แฟรงกี้หยิบตลับเล็กๆออกมาจากกระเป๋ายื่นให้บุหงา
บุหงาเปิดตลับ เป็นยาเม็ดเล็กๆจำนวนหนึ่ง
“หน้าตามันเหมือนยาอมใต้ลิ้นของคนเป็นโรคหัวใจ แต่มันจะให้ผลตรงข้าม”
บุหงาหยิบยาเหล่านั้นขึ้นมาจ้องมองแล้วจึงเอ่ยปาก
“พี่บุปผาจะทรมานมั้ย”
“แค่ชั่วไม่กี่อึดใจ”
“เท่าไหร่”
“ยังไม่คิดเงินตอนนี้ เงินขาดมือเมื่อไหร่ไอจะมาขอยูทีหลัง”
“ถ้าถึงตอนนั้นฉันทำเป็นลืมล่ะ”
“ไม่เป็นไร เพราะไอจะทำบันทึกเตือนความจำเก็บไว้ ซึ่งยูต้องเซ็นชื่อในบันทึกของไอด้วย”
แฟรงกี้ส่งสมุดบันทึกให้บุหงาเซ็นชื่อ
กระดาษหน้านั้นเป็นกระดาษลวดลายแบบเดียวกันกับกระดาษโน้ตแผ่นที่ตำรวจค้นพบ
บุหงาเดินออกมาจากร้านนั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยรังสรรค์เดินนำหน้าเธอ
เขาเอ่ยปากพูดโดยไม่หันหน้าไปหาผู้เป็นเมีย
“เธอกลับแท๊กซี่เองนะ เพราะฉันต้องไปทำงานต่อ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
หน้าตาของบุหงา ยังคงเต็มไปด้วยความกังวล
ต่อมา บุหงาเข้าไปในห้องพักของแฟรงกี้ ... บุหงากวาดตามองไปรอบๆ
เธอตรงไปเปิดลิ้นชัก โต๊ะ ตู้ เพื่อค้นหาสมุดเล่มนั้น
พนักงานคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องนี้เอ่ยปากเสียงดังทันที
“คุณทำอะไรน่ะ ตกลงจะมาเช่าห้องหรือจะมาขโมยของกันแน่”
“ไม่ได้ขโมย...ไอ้แฟรงกี้ต่างหากที่ขโมยของมีค่าของฉันมา มันอาจจะซุกอยู่ที่ไหนซักแห่งในห้องนี้ก็ได้”
“โอ๊ย ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ตำรวจยกพวกมาเก็บหลักฐานไปเกลี้ยงหมดแล้วอยากได้อะไรก็ไปถามตำรวจสิครับ ไม่ใช่แอบมารื้อค้นอย่างนี้...ไป ออกไปเดี๋ยวลูกค้าคนอื่นเขาตกใจหมด”
บุหงาเดินเข้าไปใกล้พนักงาน
“งั้นถามอะไรหน่อยสิ นายแฟรงกี้มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ นานรึยัง”
พนักงานตั้งท่า เล่นตัว
“ผมต้องตอบด้วยเหรอ”
บุหงาหยิบเงินในกระเป๋าส่งให้
พนักงานรับไว้ แล้วเปิดปากพูด
“เกือบสามเดือนแล้ว”
“ก่อนหน้านั้นเขาอยู่ที่ไหน”
“ไม่ทราบ”
“ตั้งใจคิด ให้มันคุ้มค่าเงินหน่อย”
“อันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ ให้มากกว่านี้ก็ไม่ทราบอยู่ดี”
“มีใครที่นี่ทราบบ้างมั้ย”
พนักงานค่อยๆคิด
“มีเด็กยกกระเป๋าคนนึงที่ค่อนข้างสนิทกับแฟรงกี้ มันอาจจะรู้ก็ได้”
“เรียกมาสิ”
“มันลากลับบ้านนอก ไปบวชน้องชายครับ”
บุหงาหยิบกระดาษในห้องมาเขียนเบอร์โทรศัพท์ ส่งให้พนักงาน
“ถ้ามันกลับมาเมื่อไหร่ ให้โทรหาฉันที่เบอร์นี้”
พนักงานยืนนิ่ง บุหงาจึงส่งเงินให้อีกจำนวนหนึ่งมันจึงยิ้มรับกระดาษแผ่นนั้น
“ผมจะบอกให้ทันทีที่เจอมันครับ”
ณ โรงพยาบาลในกรุงลอนดอน ชาติสยามเดินตามพยาบาลคนนั้นไปบนทางเดินยาว
ในห้องพักคนไข้ พยาบาลเปิดประตู ชาติสยามเดินผ่านประตูเข้ามา
บนเตียงคนไข้ มีร่างของชวาลนอนนิ่งอยู่บนนั้นอุปกรณ์ที่ติดตามตัว ทำให้คาดเดาได้ว่า ถึงวาระสุดท้ายของเขา! ชาติสยามยืนอึ้งข้างเตียงนี้
“พี่ชวาลครับ พี่ชวาล...”
“คุณชวาลตอบอะไรคุณไม่ได้หรอกค่ะ นอกจากกะพริบตา...เขาจะกะพริบตาให้รู้ว่าเขาได้ยินคุณ” พยาบาลบอก
ชาติสยามก้มหน้าลงไปพูดใกล้ๆหูชวาล
“ผมชาติสยามครับ...ผมมาหาพี่ตามที่พี่ต้องการแล้วครับ”
ชวาลเขาค่อยๆกะพริบตา
ชาติสยามหันไปถามพยาบาล
“พี่ชวาลเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“หลังกลับจากเมืองไทยครั้งล่าสุดได้ไม่นาน...หัวใจหยุดเต้นไปสองครั้ง แต่หมอช่วยกลับมาได้ พอเขารู้ตัวว่าอาการไม่สู้ดี เขาก็ให้ดิฉันโทรหาคุณ...เขาเกรงว่าคุณอาจจะมาไม่ทัน ก็เลยเตรียมสิ่งนี้ไว้ให้”
พยาบาลส่งกระดาษจดหมายให้ชาติสยาม
ชาติสยามเปิดมันออกดู เป็นลายมือของชวาลบนกระดาษนั้นเสียงจากตัวหนังสือดังขึ้น
“ชาติสยามน้องรัก...ผมอยากกล่าวคำว่าขอโทษด้วยปากของตัวเองดังๆ แต่ผมคงไม่มีโอกาสทำอย่างนั้นได้ เพราะถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ นั่นก็แปลว่า ลมหายใจสุดท้ายของผมใกล้จะหมดลงแล้ว
บนเตียงคนไข้ก่อนหน้านี้สี่วัน
ชวาลนั่งเขียนจดหมายบนเตียงคนไข้
“ผมขอโทษที่ฝากภาระหนักอึ้งไว้กับคุณโดยที่ไม่ยอมอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่าง แต่ขอให้เชื่อผมเถอะ ไม่ว่าจะมีใครสงสัยในตัวขมมากแค่ไหน”
ภาพชวาลหย่อนตัวลงนั่งโอบประคองโขมพัสตร์ในวันแรกที่เขาพาลูกสาวมาที่บ้านพุทธชาด
“ขมก็จะเป็นดวงใจที่มีค่าที่สุดของใครอีกหลายคน ในวันที่ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย”
ภาพโขมพัสตร์นั่งเคียงข้างชวาลบนรถไฟคันนั้นหน้าตาของเธอร่าเริง แจ่มใส
“ในเวลานี้ผมยังอยากเก็บความร่าเริงสดใสของเธอไว้ ผมอยากประคับประคองให้เธอเติบโต และเข้มแข็งเพียงพอ สำหรับการรับรู้ความจริง”
ในห้องพักคนไข้ชาติสยามยังคงนั่งอ่านจดหมายฉบับนี้
“ผมจึงมีภารกิจสุดท้ายที่อยากขอร้องคุณ ขอให้คุณช่วยเก็บเรื่องราวของผมไว้เป็นความลับ จนกว่าขมจะเรียนจบมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นคุณคือผู้ที่จะต้องอธิบายทุกอย่างให้เธอเข้าใจ”
ชวาลนั่งเขียนจดหมายฉบับนี้
“พยาบาลจะมอบกุญแจหนึ่งดอกให้คุณ มันคือกุญแจโต๊ะทำงานที่เมืองไทยของผม ในลิ้นชักนั้นจะมีคำแนะนำสำหรับคุณในการเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด”
ชาติสยามนั่งอ่านจดหมายอยู่ที่เดิม
“ทุกคนที่เกี่ยวข้องและผูกพันกับขม ไม่ว่าจะเป็นใคร พวกเขาจะเข้าใจและเมตตาขมตลอดไป...หวังว่าผมจะได้รับความกรุณาจากคุณอีกครั้งนะครับและมันจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของผม...ชวาล สุรบดินทร์”
ชาติสยามเงยหน้าขึ้นมาจากจดหมายฉบับนั้นแววตาแสดงออกถึงความสะเทือนใจ
พยาบาลคนเดิมส่งกุญแจดอกนั้นให้ชาติสยาม
“คุณชวาลฝากสิ่งนี้ให้คุณค่ะ”
ชาติสยามรับกุญแจ แล้วจึงก้มหน้าลงไปใกล้ๆชวาล
“ผมจะทำตามความปรารถนาของพี่ทุกข้อครับ ผมสัญญา”
ชวาลกะพริบตา แทนคำตอบ
ยามเช้าวันหนึ่ง ที่หน้าบ้านพุทธชาดสาวใช้ที่เดินตรงไปยังระเบียง โดยมีชายสูงวัยหนึ่งคนเดินตามหลัง
รติรสกำลังก้าวลงมาจากระเบียงนั้น
“คุณรสขา...ผู้ชายคนนี้มาขอพบคุณรังสรรค์ค่ะ”
“พ่อไม่อยู่นี่”
“เขาอยากจะฝากของให้คุณรังสรรค์ค่ะ”
รติรสเดินผ่านหน้าสาวใช้ไปยังชายสูงวัยคนนั้นเธอเอ่ยปากอย่างสุภาพ อ่อนหวาน
“สวัสดีค่ะ”
ชายสูงวัยยิ้มอ่อนโยน
“หนูเป็นลูกสาวคุณรังสรรค์เหรอ”
“ค่ะ”
“ลูกสาวคนโตรึเปล่า”
“ใช่ค่ะ”
แววตาของชายสูงวัยเป็นประกาย ราวกับได้พบคนสำคัญในชีวิต
“หนูสวยเหมือนแม่”
“คุณลุงรู้จักแม่หนูด้วยเหรอคะ”
“ลุงเป็นคนทำคลอดหนูเอง”
“เหรอคะ”
“ฝากของสิ่งนี้ให้พ่อหนูด้วยนะ”
ชายคนนั้นส่งกล่องโล่ห์สวยงาม ให้กับรติรส
“ลุงเป็นประธานมูลนิธิ ปิติการุญ เรามีโล่ขอบคุณมามอบให้คุณรังสรรค์”
“พ่อทำบุญกับลุงเหรอคะ”
“ใช่ครับ...พ่อหนูเป็นคนใจบุญ มาก...ลุงกลับละ”
ชายคนนั้นค่อยๆเดินออกจากบ้านไป โดยไม่หันหน้ากลับมาแม้แต่น้อย
ไพลินเดินเข้ามา
“ใครน่ะยายรส”
“คุณลุงเขาเอาโล่ห์มาให้พ่อค่ะ...เขาบอกว่าเขาเป็นคนทำคลอดหนู”
“คนบ้า พูดเพ้อเจ้อรึเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกันคะ...เขายังบอกอีกด้วยว่า หนูหน้าเหมือนแม่”
ไพลินฉุกคิด สงสัยขึ้นมาทันที
ไพลินเหลือบมองที่โล่ห์อันนั้น
เธอดึงนามบัตรที่ติดที่กล่องออกมาดู ปรากฏชื่อ นพ.นิรันดร์ วิทยภาคี
เมื่อทราบเรื่อง คุณหญิงรัตนเดชากรหน้าตาตื่นเต้นพอสมควร เอ่ยปากถามลูกสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
“หมอนิรันดร์ใช่มั้ย”
ไพลินเหลือบมองนามบัตรนั้นอีกครั้งก่อนตอบ
“หมอนิรันดร์วิทยภาคี ค่ะ”
“เขาเป็นหมอทำคลอดยายรสจริง ไม่ได้เพ้อเจ้อ”
“แต่ก็เป็นคนเดียวที่บอกว่ายายรสหน้าเหมือนแม่...เขาจะพูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้นเองเหรอคะ”
“ถ้าเขาพูดตามความรู้สึกของเขาจริงๆล่ะ”
“เขาอาจจะจำหน้าบุปผาไม่ได้ หรือไม่ก็...”
คุณหญิงพูดแทรกขึ้น“จำหน้าผู้หญิงอีกคนนึงได้ดี”
คุณหญิงรัตนเดชากรและไพลินมองหน้ากัน ครุ่นคิดมากขึ้น
“อาจจะมีอะไรบางอย่างที่หมอรู้มากกว่าเรา”
“แต่นายรังสรรค์อาจจะรู้เท่าๆกับหมอ” ไพลินว่า
รุ้งกาญจน์กำลังจัดอาหารบนโต๊ะ โขมพัสตร์คอยช่วยเป็นลูกมืออยู่ใกล้ๆ
“โชคดีของขมนะ ที่ป้าซ่อนกลิ่นซื้อกับข้าวมา ไม่งั้นต้องทนกินฝีมืออาอีกวันนึง”
“ใครว่าทนคะ ขมกินแล้วกินอีก กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่มต่างหาก”
“อันนั้นก็ไม่ดีเหมือนกันจ้ะ จะอ้วนโดยไม่ทันรู้ตัว”
ซ่อนกลิ่นเดินเข้ามาที่โถงเอ่ยปากพูดกับรุ้งกาญจน์เบาๆ
“มีโทรศัพท์ทางไกลถึงรุ้งจ้ะ”
“กินก่อนเลย ไม่ต้องรออานะ ขม”
รุ้งกาญจน์เดินไปยังที่ตั้งโทรศัพท์ เธอยกหูโทรศัพท์แล้วขยับตัวหลบมุม เอ่ยปากพูดเบาๆ
“ฮัลโหล เป็นยังไงบ้างคะ”
ห้องพักในกรุงลอนดอนชาติสยามนั่งถือโทรศัพท์แนบหู หน้าตาไม่สู้ดี
“ผมมาไม่ทันครับ”
“ขมอยู่ที่นี่ค่ะ จะให้รุ้งบอกขมมั้ยคะ”
“อย่า อย่าเพิ่ง...ผมรับปากพี่ชวาลไว้ อย่าให้ผมต้องผิดสัญญาเลย”
“จนตัวตายแล้วยังต้องให้สัญญาอะไรอีกคะ”
“อย่าเพิ่งโกรธผมเลยรุ้ง...ผมกำลังสับสน”
“ก็เพราะคุณไม่ยอมรับความจริงไงคะ...ถ้าทุกคนเดินไปบนเส้นทางของความจริง ก็จะไม่มีอะไรให้สับสนเลย”
“พี่ชวาลห่วงความรู้สึกของขม”
“มันเป็นข้ออ้างที่ รุ้งไม่เคยเห็นด้วย...จะกลับเมื่อไหร่คะ”
“ให้เสร็จธุระทางนี้ก่อน พี่ชวาลบริจาคร่างให้กับโรงพยาบาลที่นี่ ก็มีเพียงแค่พิธีทางศาสนาเล็กๆเท่านั้น คงใช้เวลาไม่นาน”
“กลับมาแล้วก็ยังต้องโกหกกันต่อไปอีกใช่มั้ยคะ”
ชาติสยามถอนหายใจ สับสนจนตอบไม่ถูก
“ผมไม่รู้...”
“แต่สิ่งที่คุณต้องรู้และรู้มาตลอดก็คือ รุ้งไม่ชอบการโกหก รุ้งจะผิดหวังมาก ถ้าคนที่รุ้งรัก เลือกที่จะโกหกมากกว่าพูดความจริง”
“รุ้ง...ผมคิดถึงคุณนะ”
“กลับมาแล้วค่อยคุยกันค่ะ หวังว่าจะไม่ทำให้รุ้งผิดหวังนะคะ”
รุ้งกาญจน์เดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร โขมพัสตร์เอ่ยปากทันที
“อาสยามใช่มั้ยคะ”
“จ้ะ”
“ว่าแล้วเชียว...อาสยามต้องคิดถึงอารุ้งจนทนไม่ไหวแน่ๆ ใช่มั้ยคะ”
“เขาโทร.มาเยาะเย้ยพวกเรา ที่ไม่ได้เล่นน้ำทะเลแบบเขาต่างหาก”
“เขาก็พูดไปอย่างนั้นแหละค่ะ รับรองว่าไม่สนุกเหมือนเล่นด้วยกันกับเราหรอก”
“อาก็ว่างั้น”
“อากินข้าวเถอะค่ะ ขมไปปอกผลไม้ให้นะคะ”
โขมพัสตร์เดินออกไป
รุ้งกาญจน์มองตามด้วยความสงสารไม่น้อย
เวลากลางคืน รังสรรค์นั่งครุ่นคิดอยู่กลางห้อง
ประตูห้องนอนเปิดออก รติรสยืนอยู่กลางประตู
“พ่อคะ รสเข้าไปได้มั้ยคะ”
“เข้ามาสิลูก”
รติรสเดินยิ้มไปนั่งข้างๆพ่อ
“ยิ้มอะไร”
“รสภูมิใจที่เป็นลูกพ่อค่ะ”
“เพิ่งจะมาบอกพ่อวันนี้นี่นะ จนอายุ 18 แล้วเพิ่งจะภูมิใจเหรอ”
“รสภูมิใจมาตลอดค่ะ แต่วันนี้ดีใจเป็นพิเศษ เพราะพ่อได้โล่จากมูลนิธิปิติการุญค่ะ”
รติรสส่งโล่นั้นให้รังสรรค์
“พ่อต้องบริจาคไปเยอะแน่ๆ ประธานมูลนิธิถึงเอาโล่มาให้ด้วยตัวเอง”
“ประธานมูลนิธิ ?”
“ค่ะ เขาเป็นหมอที่ทำคลอดรสกับมือด้วยนะคะ”
รังสรรค์ถึงกับสะดุ้ง
“เขาพูดอย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ...โลกกลมจริงๆเลยนะคะพ่อ”
รติรสหอมแก้มพ่อแล้วเดินออกไป
รังสรรค์มีอาการเครียดมากยิ่งขึ้น
รุ่งขึ้น ที่ห้องทำงานของหมอนิรันดร์ในมูลนิธิปิติการุญ
เลขาของเขาก้าวเข้าไปรายงาน
“คุณหมอคะ มีโทรศัพท์สายนอกถึงคุณหมอค่ะ”
“จากไหน”
“คุณรังสรรค์ รัตนเดชากรค่ะ”
ที่ห้องทำงานในกระทรวงมหาดไทย รังสรรค์ยืนขึ้น พูดโทรศัพท์ หน้าตาดุ
“คุณไปที่บ้านผมทำไม”
หมอ หย่อนตัวลงนั่งพูดโทรศัพท์
“มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของมูลนิธิเรา ซึ่งถือเป็นการให้เกียรติต่อผู้มีอุปการะคุณ...แต่ถ้าหากเป็นความผิด ผมก็ต้องกราบขอโทษด้วยครับ”
“มันไม่ผิดหรอกที่คุณมา แต่มันผิดที่คุณพูดสิ่งที่ไม่ควรกับลูกสาวผม”
“ลูกสาวคุณเล่าว่ายังไง”
“คุณบอกเขาว่าคุณเป็นคนทำคลอดเขา”
“เท่านั้น ?”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณพูดอะไรมากกว่านั้นรึเปล่า”
“ถ้าคุณเชื่อในตัวลูกสาวคุณ คุณก็ต้องเชื่อว่าผมพูดแค่นั้นจริงๆ...และไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะผมไม่คิดว่ามีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปที่บ้านคุณอีก”
“ให้มันจริงเถอะ แล้วอย่าลืมด้วยว่าคุณไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น เพราะถ้าเรื่องนี้ปูดขึ้นมา ความผิดของคุณก็ไม่ได้น้อยกว่าผม และจะมาอ้างว่าทำเพราะถูกบังคับ หรือจำเป็นต้องใช้เงิน มันก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น”
หมอนิรันคร์วางโทรศัพท์ลง หน้าตาหนักใจ
เลขาคนเดิมเดินเข้ามา
“คุณหมอนิรันดร์คะ มีคนมาขอพบค่ะ”
“ใคร”
“เธอบอกว่า มาจากบ้านพุทธชาดค่ะ”
ไพลินก้าวเข้ามาในห้องรับรอง เบื้องหน้าหมอนิรันดร์
“ดิฉัน ไพลิน พงษ์รพี ลูกสาวคุณหญิงรัตนเดชากร เป็นคนเดียวในตระกูลที่ไม่ได้ฝากครรภ์กับคุณหมอ”
“คุณไพลินไปคลอดที่เชียงใหม่นี่ครับ”
“ใช่ ฉันใช้ชีวิตที่นั่นอีกหลายปี ก็เลยไม่ได้อยู่ในวันที่คุณหมอทำคลอดท้องแรกของบุปผา น้องสะใภ้ฉัน”
“ถึงอยู่ คุณไพลินก็ไม่ได้สิทธิ์เข้าห้องคลอดหรอกนะครับ”
“แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลเราทุกคน ต่างรู้ดีว่า ไม่ได้มีบุปผาเพียงคนเดียวที่คลอดบุตรในวันนั้น ยังมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่มีความสำคัญต่อตระกูลไม่แพ้กัน”
หมอค่อยๆเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้นออกมา
“แขนภา...ภรรยาลับๆของคุณรังสรรค์”
“ความจำคุณหมอยังดีอยู่นี่คะ ถ้าเช่นนั้นก็น่าจะจำเหตุการณ์วันนั้นได้ทั้งหมดใช่มั้ยคะ”
หมอนิรันดร์ ถอนใจเฮือกใหญ่
18 ปีก่อนหน้านี้ ตรงบริเวณทางเดินหน้าห้องคลอด
รังสรรค์เดินก้าวยาวๆตามประชิดตัวหมอ
“หมอต้องช่วยผมนะ”
“ผมทำไม่ได้”
“ต้องได้สิหมอ”
รังสรรค์กระชากแขนหมอ
“ต้องการค่าตอบแทนเท่าไหร่บอกผมมาเลย”
หมอนิรันดร์หย่อนตัวลงนั่งพูด
“ผมยอมทำตามคำร้องขอของคุณรังสรรค์ แม้ผมจะมีทางเลือกอื่น แต่ผมกลับ
เลือกทางที่ไม่ถูกต้อง”
มุมหนึ่งในโรงพยาบาล18ปีก่อนหน้านี้
รังสรรค์ส่งเงินปึกใหญ่ให้หมอนิรันดร์
“วันนั้น มีทารกหนึ่งคนเสียชีวิตระหว่างการคลอด”
รังสรรค์ส่งเด็กทารกให้บุปผา
“น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทารกที่มีชีวิตอยู่ เขาจะได้อยู่ในฐานะลูกที่ได้รับการยอมรับ นั่นคือเหตุผลที่ใช้สนับสนุนการตัดสินใจของผม”
ห้องพักคนไข้ อีกห้องหนึ่งแขนภาร้องไห้ ปิ่มว่าจะขาดใจ
“โดยที่ผมไม่เคยคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงอีกหนึ่งคน ที่เธอต้องกลายเป็นผู้สูญเสีย”
ห้องรับรอง ปัจจุบัน
“สิ่งที่ผมพูดในวันนี้ แม้จะมีผลผูกพันในทางที่เสียหายกับผม ผมก็จะยอมรับมันในทุกกรณี...ผมขอโทษในสิ่งที่ผมได้ทำลงไปครับ คุณไพลิน”
“มันอาจจะช้าไปสักหน่อย แต่ก็ขอบคุณ ที่กรุณาเล่าความจริงกับฉัน”
ต่อมา รติรสเดินตรงเข้าไปนั่งข้างๆคุณหญิง กลางโถงบ้าน
“คุณย่าเรียกหารส มีอะไรเหรอคะ”
“เรียกมาดูหน้าหลานกันลืม”
รติรสยิ้ม ทรุดตัวลงบนตักผู้เป็นย่า
“คุณย่า”
“บ้านเราอยู่ติดกันแค่นี้ แต่ย่าแทบจะไม่ค่อยได้เจอหน้าหลานย่าเลย”
“ขอโทษค่ะ ต่อไปรสจะมาเยี่ยมคุณย่าให้บ่อยกว่านี้”
คุณหญิงรัตนเดชากรใช้สองมือประคองวงหน้าของหลานสาว
“ไหน มาให้ย่าดูหน้าใกล้ๆหน่อยซิ”
“คุณย่าลืมหน้าหนูจริงๆเหรอคะ”
“ยัง...ยังจำได้อยู่ จำได้ตั้งแต่วันแรกที่หนูคลอดออกมาจากท้องแม่เลยหละ”
“วันแรกกับวันนี้ รสเปลี่ยนไปมากมั้ยคะ”
“ไม่เปลี่ยน หน้าสวยๆอย่างนี้ เคยสวยยังไงก็สวยอย่างนั้น สวยเหมือนแม่จริงๆ”
คุณหญิงประคองหน้ารติรส พินิจ
“รสไม่เคยได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากแม่เลย พ่อก็ไม่เคยพูด”
รังสรรค์ก้าวเข้ามาสีหน้าเข้ม
“ยายรส มากวนอะไรคุณย่า”
“เปล่าค่ะ คุณย่าเรียกรสมาหาเอง”
“จะมาตามลูกสาวกลับเหรอตารังสรรค์...หรือมีเหตุอะไรที่ต้องห้ามหลานไม่ให้มาหาย่า”
“ผมจะห้ามอย่างนั้นได้ยังไง แค่กลัวว่ายายรสจะท่องหนังสือสอบไม่ทัน เท่านั้นเอง”
รติรสมองหน้าย่า
“งั้นก็ไปเถอะ...วันหลังย่าค่อยเรียกมาดูหน้าใหม่นะ”
รติรสค่อยๆเดินออกไป
รังสรรค์เดินเข้าไปพูดใกล้ๆผู้เป็นแม่
“ผมมั่นใจว่าคุณแม่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่...คุณแม่ไม่ได้เรียกยายรสมาหาเพราะคิดถึงเฉยๆหรอก”
“เรานี่มันชอบกลจริง แม่คิดถึงหลานเข้าหน่อย ก็ต้องระแวงเป็นอื่น”
“เพราะคุณแม่ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน”
“ก็มันเป็นความคิดถึงที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทันทีที่ฉันรู้ว่า หมอนิรันดร์มาที่นี่”
รังสรรค์หน้าตึงขึ้นมาทันที
“ก็แค่หมอหน้าเลือดคนนึง ที่ทิ้งอาชีพหมอมาตั้งมูลนิธิไถเงินชาวบ้าน”
“เราก็เป็นคนนึงที่ยอมให้เขาไถไม่ใช่เหรอ”
“ตัดรำคาญไปอย่างนั้นเอง...แต่ไม่ว่าหมอคนนี้จะพูดอะไร ก็ด้วยเจตนาหวังเงินเสมอ เพราะฉะนั้นคุณแม่ ไม่ควรเชื่อคำพูดเขาเป็นอันขาด”
ตอนบ่าย โขมพัสตร์นั่งเปิดดูอัลบั้มรูปเก่าๆ ของรุ้งกาญจน์
รุ้งกาญจน์เดินเข้ามาวางของว่างน่าทานให้กับโขมพัสตร์
“แทนที่ขมจะช่วยดูแลอารุ้ง กลายเป็นว่าอารุ้งต้องมาเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีก”
“ไม่เป็นไร นี่บ้านอา อาต้องบริการแขก ไม่ใช่ให้แขกบริการอา”
รุ้งกาญจน์มองไปที่รูปในอัลบั้ม
“นั่นรูปที่อังกฤษตอนที่อากับอาสยามคบกันใหม่ๆ ดูอาสยามสิ ยังยืนเขินอยู่เลย”
“นี่รูปอารุ้งตอนเด็กๆเหรอคะ”
“ใช่”
“อารุ้งมีรูปตอนเด็กๆเยอะจัง”
“พ่ออาชอบถ่ายรูป อาก็เลยชอบเต๊ะท่าให้พ่อถ่าย”
“ดีจัง ขมไม่เคยมีรูปถ่ายแบบนี้เลย”
“พออาสยามกลับมา เราถ่ายรูปด้วยกันมั้ยล่ะ”
“ดีค่ะ ขมจะได้มีรูปอารุ้งเก็บไว้ดูทุกวันทุกคืน”
“อาไปเก็บของในครัวก่อนนะ”
รุ้งกาญจน์เดินออกไป โขมพัสตร์มองรูปชาติสยามในอัลบั้มอย่างชื่นชม
รุ้งกาญจน์เข้ามาเก็บของในครัวซ่อนกลิ่นเข้ามาพูดใกล้ๆผู้เป็นหลาน
“รุ้ง ป้าถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
“อะไรคะ”
“หนูคิดยังไงกับเด็กคนนี้”
“ขมน่ะเหรอ”
“ใช่”
“เธอเป็นเด็กที่น่าสงสารคนนึง และเมื่อเป็นหลานของชาติสยาม รุ้งก็ยิ่งสงสาร
เธอมากยิ่งขึ้น”
“เรารู้ตื้นลึกหนาบางเด็กคนนี้มากแค่ไหน”
รุ้งกาญจน์วางมือจากกิจกรรมที่ทำอยู่ หันไปมองหน้าป้า
“หมายความว่ายังไงคะ”
“หมายความอย่างที่ถามนั่นแหละ เพราะคนสมัยนี้มองหน้าไม่รู้ใจ หลานแท้ๆรึก็ไม่ใช่ ถ้าเขาคิดอะไรไม่ดีกับเราจะว่ายังไง”
“แค่ไหนคือคิดไม่ดีของป้า”
“เขาอาจจะอยากแย่งชิงของรักของหวงของเราก็ได้ใครจะรู้”
“มีใครมาพูดอะไรกับป้าเหรอคะ ?”
“คนที่เขาเป็นห่วงเราน่ะสิ”
“ป้าไม่ต้องสนใจคนพวกนั้นค่ะ โดยเฉพาะคนที่ชื่อบุหงา เพราะนั่นหละคือคนที่รุ้งต้องระวัง”
ชาติสยามเดินถือกระเป๋าเดินทางเข้ามากลางบ้านเขาทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง
โสมวดีเดินเข้าเฟรมมาทักลูกชาย
“กลับมาถึงก็นั่งซึมเลยเหรอ ลูกชายฉัน...เหนื่อย หรือว่ามีเรื่องไม่สบายใจ”
“ทั้งสองอย่างครับ”
“เล่ามา แม่พร้อมที่จะรับฟัง”
ชาติสยามถอนใจแรงๆออกมา
“เริ่มที่พี่ชวาลของเรานั่นแหละ...เขามีอะไรถึงให้เราไปหาเขาด่วนอย่างนั้น”
“พี่ชวาลต้องการสั่งเสียผมเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต”
“พุทโธ่พุทถัง”
“ผมไม่รู้จะทำยังไงดี คำขอสุดท้ายของพี่ชวาลคือ ขอให้ผมดูแลขมต่อไปโดยต้องไม่บอกความจริงจนกว่าขมจะจบปริญญาตรี”
“ความจริงอะไรที่ไม่ยอมให้บอก”
“ความจริงที่พี่ชวาลไม่เคยทำงานมูลนิธิ ความจริงที่พี่ชวาลต้องหายหน้าไปเพราะป่วยเรื้อรัง และความจริงที่พี่ชวาลได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว”
ชาติสยามก้มหน้า ซึมเศร้า
โสมวดีโอบไหล่ลูกชายเพื่อให้กำลังใจ
“ค่อยๆคิดไปก็แล้วกัน ลูกแม่เฉลียวฉลาดไม่น้อยหน้าใคร ตั้งสติให้ดีและทำในสิ่งที่เหมาะสมก็แล้วกัน แม่เห็นด้วยกับทุกการตัดสินใจของลูก”
“ผมฝากสิ่งนี้ไว้กับแม่ได้มั้ยครับ...ผมกลัวจะทำหาย”
ชาติสยามส่งกุญแจดอกนั้นให้กับแม่
“อะไรเนี่ย”
“กุญแจโต๊ะทำงานพี่ชวาล...แกสั่งให้ผมไปเปิด ในวันที่จะเล่าความจริงให้ขมฟัง”
“ทำไมต้องยุ่งยากขนาดนี้ด้วยนะ ชวาลเอ๊ย”
“พี่เขาไม่อยากให้มีอะไรไปกระทบจิตใจขมก่อนเรียนจบน่ะครับ”
“มีใครรู้เรื่องนี้บ้าง”
“ตอนนี้ก็มีแค่ผมกับแม่...แต่ผมเชื่อว่าคุณหญิงรัตนเดชากรคงอยากรู้เรื่องนี้ด้วยอีกคน”
คืนนั้น คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าชาติสยาม
“อยู่ๆก็มาหาฉันกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ อย่าบอกนะว่าจะมาเอาตัวขมไปเมืองนอกเดี๋ยวนี้เลย”
“ผมคงจะไม่พาขมไปเมืองนอกแล้วหละครับ”
“อ้าว เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาซะงั้น...ดีนะที่ยังไม่มีใครเอ่ยปากบอกขมมัน ไม่งั้นอาจจะเสียใจหนีออกจากบ้านอีก...แล้วที่มานี่มีเรื่องอะไรล่ะ”
“ผมเพิ่งกลับมาจากอังกฤษครับ”
คุณหญิงพิจารณาท่าทีของชาติสยามแล้วจึงเอ่ยปาก
“แสดงว่ามีอะไรที่นั่น ที่ต้องรีบมาบอกฉัน ?”
“ครับ...ความหวังที่คุณหญิงจะได้ฟังรายละเอียดจากปากพี่ชวาลนั้น ได้สูญสิ้นไปแล้วครับ”
“ทำไม ?”
“พี่ชวาลสิ้นใจแล้วครับ”
“ตายจริง...แล้วขมรู้เรื่องนี้รึยัง”
“ยังครับ...พี่ชวาลขอไว้ อย่าให้ขมรู้จนกว่าเธอจะเรียนจบปริญญาตรี”
คุณหญิงถอนใจออกมาบ้าง
“เราทุกคนก็ต้องอยู่กับความคลุมเครือนี้ไปจนกว่าจะถึงวันนั้นน่ะเหรอ”
“ครับ”
“เวรกรรมของขมมันจริงๆ”
ต่อมา ชาติสยามขยับตัวลงนั่งในรถของเขา เหม่อมองทอดสายตาออกไปนิ่งๆรถแท๊กซี่คันใหม่แล่นผ่านรถชาติสยามเข้าไปจอดหน้าบ้านนี้
โขมพัสตร์และรุ้งกาญจน์ก้าวลงจากรถแท๊กซี่คันนั้น
โขมพัสตร์รีบวิ่งไปที่รถของชาติสยาม รุ้งกาญจน์คงยืนอยู่ข้างๆรถแท๊กซี่
“อาสยาม...อากลับมาแล้วเหรอคะ มีอะไรมาฝากขมกับอารุ้งรึเปล่า”
“เอ้อ...อามัวแต่ทำงานยุ่งน่ะ”
“ทำงานยุ่งหรือเล่นน้ำทะเลยุ่ง”
“เอ้อ”
“ทะเลที่ภูเก็ตกับที่หัวหิน ที่ไหนสวยกว่ากันคะ”
ชาติสยามตอบไม่ถูก งง เขาหันไปมองที่รุ้งกาญจน์
รุ้งกาญจน์จึงเอ่ยปากแทน
“อาว่า อาสยามคงยังเมาคลื่นไม่หาย เพราะต้องนั่งเรือออกไปสัมมนาที่เกาะน่ะจ้ะ”
เมื่อถูกทางแล้ว ชาติสยามจึงสวมรอยต่อ
“ใช่...ยืนแล้วยังโคลงเคลงอยู่เลย”
“แต่อาสยามก็ยังมาที่นี่ก่อนไปหาอาที่บ้านอีกนะ แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับขม มากกว่าอา
ขม เรื่องอะไรคะอา”
“อา อยากบอกขมว่า...”
ชาติสยามเหลือบตาไปมองรุ้งกาญจน์
รุ้งกาญจน์รอฟังคำพูดของชาติสยาม
“อา...ขอบคุณ ที่ขมช่วยดูแลอารุ้ง”
“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร”
รุ้งกาญจน์มองชาติสยาม อย่างผิดหวังเธอจึงตัดสินใจเอ่ยปาก
“รุ้งกลับก่อนนะคะ แท็กซี่รออยู่”
“ผมไปส่งคุณเอง”
“ไม่ต้องค่ะ คุณอยู่คุยกับหลานคุณเถอะ”
รุ้งกาญจน์ก้าวเข้าไปนั่งในรถแท๊กซี่
รถแท็กซี่จึงเคลื่อนตัวออก
โขมพัสตร์รีบไปเกาะแขนชาติสยาม
“อารุ้งเขางอนอาน่ะ...อารีบไปง้อสิคะ ไปเร็ว ขมจะเข้าบ้านละ”
ชาติสยามขยับตัววิ่งตามไปที่หน้าประตูบ้าน
รถแท็กซี่คันนั้นกำลังเลี้ยวออกจากบ้าน ชาติสยามวิ่งไปขวางหน้ารถไว้
โชเฟอร์รีบเหยียบเบรก แล้วโผล่หน้าออกมาพูด
“คุณทำอะไรน่ะ”
“ผมจะคุยกับแฟนผม...”
ชาติสยามเกาะหน้าต่างรถ พูดกับรุ้งกาญจน์
“รุ้ง ลงมาคุยกันก่อน”
“จะพูดอะไรก็พูดมาเลยค่ะ รุ้งขี้เกียจลง”
“ทำไมรุ้งต้องโกรธผมด้วย”
“ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอคะ”
“การที่ผมรักษาสัญญากับพี่ชายผม มันเป็นความผิดมากเลยเหรอ”
“ไม่มีเหตุผลอะไรในโลกนี้ ที่ทำให้การโกหกกลายเป็นความชอบธรรมขึ้นมาได้หรอกค่ะ”
“คุณก็ยึดมั่นแต่เรื่องนี้ คุณไม่มีความเห็นใจบ้างเลยเหรอ ไม่คิดบ้างเหรอว่า ผมต้องโกหกเพื่ออะไร”
“จะเพื่ออะไรมันก็ผิดทั้งนั้น เพราะวันนึงเรื่องที่คุณโกหกไว้ มันก็จะย้อนกลับมาพัวพันเป็นปมที่ยุ่งเหยิงจนแก้ไม่ออก”
“ผมไม่ได้จะโกหกตลอดไป แค่ประวิงเวลาไว้”
“นานแค่ไหน”
“จนกว่าขมจะเรียนจบปริญญาตรี”
“งั้นรอให้ถึงวันนั้นค่อยมาคุยกับรุ้งใหม่แล้วกัน ระหว่างนี้ก็เชิญสนุกกับการสร้างเรื่องราวต่อไปเถอะค่ะคุณชาติสยาม...ไปได้ค่ะโชเฟอร์”
รถแท๊กซี่เคลื่อนออกไปด้วยความเร็ว
โขมพัสตร์เพิ่งเดินออกมาจากบ้าน
“ขม ทำไมยังไม่เข้าบ้าน”
“ขมเป็นห่วงอา ขมไม่อยากให้อาสยามกับอารุ้งทะเลาะกัน”
“ขมได้ยินด้วยเหรอว่าอาทะเลาะกัน”
“ไม่ได้ยินค่ะ แต่ดูท่าทางอาก็รู้ว่ากำลังเถียงกันอยู่”
ชาติสยามหย่อนตัวลงนั่งกับพื้นตรงนั้น
“ถ้าอายังไม่อยากกลับบ้าน หรืออยากหาคนคุยด้วย ขมยินดีนะคะ...ขมจะไปขออนุญาตคุณหญิงเอง”
กลางห้องโถงใหญ่เวลาต่อมา
ไพลินขยับตัวลงนั่งเบื้องหน้าคุณหญิง หน้าตาทั้งสองไม่ค่อยผ่องใสนัก
“เวรกรรมจริงๆ ขมเอ๊ย แม่ก็ตายตั้งแต่เล็กๆ พ่อก็มาด่วนตายไปอีกคน ทั้งๆที่ยังไม่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน”
“แต่อาเขาขอให้ปิดไว้ก่อนจนกว่าขมจะเรียนจบปริญญานะ”
“นั่นก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่ ว่าความจริงที่จะเปิดเผยวันนั้นคืออะไร”
“แม่ก็ไม่ทันได้ถามพ่อชาติสยามซะด้วยสิ”
“ลูกมั่นใจว่า ความจริงก็คือ แม่แขคือแขนภานั่นเอง”
“แล้วพ่อล่ะ พ่อของขมคือใครกันแน่ นั่นต่างหากที่เราอยากรู้”
“หน้าตาที่คล้ายกันของขมกับรติรส อาจมาจากการที่เป็นลูกพ่อแม่เดียวกันก็ได้”
“นั่นคือความเชื่อของเรา แต่คนอื่นจะเชื่ออย่างนี้มั้ย”
“เราก็ต้องหาทางทำให้เขาเชื่อให้ได้สิคะ”
โต๊ะเล็กๆ กลางตลาดโต้รุ่งแห่งหนึ่ง ชาติสยามและโขมพัสตร์นั่งอยู่ที่นั่น
เธอนั่งจ้องหน้าชาติสยามที่นั่งนิ่ง เซ็ง
“อาไม่พูดอะไรเลย ยี่สิบนาทีแล้วนะคะ”
“อีกห้านาทีอาจะไปส่งขมที่บ้านนะ”
“งั้นห้านาทีต่อจากนี้ ขมจะเป็นคนพูดเอง ถ้ามีประโยคไหนที่ขมพูดผิด อาก็ค้านได้นะคะ ถ้าอาไม่แย้ง ขมก็จะถือว่าการวิเคราะห์และตัดสินใจของขมถูกต้อง”
ชาติสยามได้แต่นิ่งเงียบ
โขมพัสตร์กระแอม ก่อนเอ่ยปาก
“นี่คือการทะเลาะกันครั้งแรกระหว่างคุณชาติสยามและคุณรุ้งกาญจน์”
ชาติสยามเงียบ
“อาจะช่วยพยักหน้าสักนิดก็ดีนะคะ”
ชาติสยามจึงพยักหน้ารับรู้
โขมพัสตร์ยิ้ม และพูดต่อ
“การทะเลาะกันนั้นมีสาเหตุมาจากการไม่เข้าใจกัน”
ชาติสยามพยักหน้าอีกครั้ง
“เมื่อไม่เข้าใจกัน ฝ่ายหญิงจึงมีอาการที่เรียกว่า งอน ทางแก้คือฝ่ายชายต้องรีบ
ไปง้อโดยด่วน เพราะผู้หญิงจะใจอ่อนเสมอเมื่อถูกผู้ชายง้อ”
ชาติสยามวางหน้านิ่งเงียบ
“ไม่พยักหน้าเหรออา”
“อารุ้งไม่ใช่คนขี้งอน ตั้งแต่คบกันมาเธอไม่เคยงอนเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“อ้าว งั้นอาการที่เป็นอยู่นี้ คืออะไรล่ะคะ”
“โกรธ โกรธมาก...แบบที่อาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะโกรธได้ถึงขนาดนี้”
โขมพัสตร์นิ่ง ซึมลงไปบ้าง
“เกี่ยวกับขมรึเปล่าคะ”
“ทำไมถามอย่างนั้น”
“ขมเห็นคุณป้าซ่อนกลิ่นมองขมแปลกๆ...เขาอาจจะคิดว่าขมเป็นตัวการเข้ามาแทรกระหว่างอากับอารุ้ง ทำให้อามีเวลาให้อารุ้งน้อยลงกว่าที่เคยมี”
“อย่าคิดอย่างนั้น”
“แต่ขมเชื่อว่าใช่...เพราะฉะนั้น ขมจะไปขอโทษอารุ้งให้เองค่ะ”
“เฮ่ย ไม่ต้อง แฟนอา อาต้องขอโทษเอง”
“งั้นก็รีบไปตอนนี้เลยสิคะ”
“รอให้ใจเย็นลงซะหน่อยดีกว่ามั้ง”
“นานไปมีแต่จะโกรธมากขึ้นนะอา เชื่อขมเถอะ...ขมไปเป็นเพื่อนอาก็ได้นะ สนมั้ยคะ”
เวลาดึกต่อเนื่องมา ชาติสยามยืนกดออดหน้าบ้านรุ้งกาญจน์โดยมีโขมพัสตร์ยืนอยู่ข้างๆ
สักพักประตูบ้านจึงเปิดซ่อนกลิ่นยืนอยู่กลางประตูนั้น
“มาทำไมกันดึกดื่นป่านนี้ พ่อคุณ”
“ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับรุ้งน่ะครับ”
“เมื่อหัวค่ำยังคุยกันไม่พอเหรอ”
“เอ้อ เราเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะครับ”
“ใครเป็นฝ่ายผิดล่ะ เธอหรือหลานฉัน”
“เอ้อ...ผมอยากขอโทษรุ้งน่ะครับ”
“แปลว่าเธอยอมรับว่า เป็นฝ่ายผิด”
“ก็ไม่เชิงครับ”
“ยังไง ?”
“คือ...ผมยอมรับว่ารุ้งไม่ผิด และผมอยากปรับความเข้าใจกับเธอครับ”
“ตกลงจะมาปรับความเข้าใจ หรือจะมาขอโทษกันแน่”
ชาติสยามถอนหายใจอึดอัด แล้วตัดสินใจพูดสรุป
“ให้ผมเข้าไปหารุ้งได้มั้ยครับ”
“เสียใจ รุ้งกาญจน์หลับไปนานแล้ว”
“งั้นก็...ฝากบอกรุ้งด้วยนะครับว่าผมมาหา”
“แค่นี้ใช่มั้ย”
“ครับ”
โขมพัสตร์จึงตัดสินใจเอ่ยปากสำทับ
“อาสยามเป็นห่วงอารุ้งมากนะคะ”
ซ่อนกลิ่นมองหน้าโขมพัสตร์ ด้วยสายตาคมกริบ
“เราจะรู้ดีกว่าอาอีกเหรอ”
“ค่ะ”
“กลับกันไปเถอะ ดึกป่านนี้แล้ว ถึงจะเป็นอาเป็นหลานกัน ก็ไม่ควรกระเตงกันไปไหนต่อไหนแบบนี้”
“ครับ”
ชาติสยามและโขมพัสตร์พากันเดินกลับออกไป
ซ่อนกลิ่นปิดประตูบ้านรุ้งกาญจน์ยืนฟังอยู่หลังประตูนั้นนั่นเอง
“ขอบคุณมากค่ะป้า”
“เขาไม่ได้ยอมรับซะทีเดียวว่าเขาผิด”
“รุ้งรู้อยู่แล้วค่ะ ชาติสยามเขาเป็นแบบนี้หละ”
“ยังไงก็ นึกถึงคำเตือนของป้าไว้บ้างก็ดีนะรุ้งกาญจน์”
รถชาติสยามแล่นมาจอดหน้าบ้านพุทธชาดชาติสยามเอ่ยปากกับหลานสาวของเขา
“ขอบใจนะที่อยู่เป็นเพื่อนอาจนดึกดื่น”
“อาต้องขอบคุณคุณหญิงค่ะ ที่อนุญาตให้ขมอยู่เป็นเพื่อนอาได้”
“แล้วอาจะขอบคุณท่านอีกที”
โขมพัสตร์ยิ้มบางๆ แล้วตัดสินใจเอ่ยปาก
“อาคะ ช่วงนี้ อาไม่ต้องแวะมาหาขมบ่อยนักก็ได้นะคะ”
“อาบอกแล้วไงว่า ที่อาผิดใจกับอารุ้ง ไม่ใช่เพราะขมเป็นต้นเหตุ”
“จะใช่หรือไม่ก็ช่างเถอะค่ะ แต่ขมอยากให้อามีเวลาให้อารุ้งเยอะๆ...อารุ้งเขารักอามากนะคะ ขมไม่อยากเห็นอารุ้งผิดหวัง เสียใจ”
“แล้วที่อาผิดหวังเสียใจ ขมไม่สงสารเหรอ”
“ไม่เหมือนกันนี่คะ อาเป็นผู้ชาย”
“เอ๊า...ผู้ชายเสียใจไม่เป็นเหรอ”
“โอ๋...อย่าเพิ่งน้อยใจสิคะ...ก็อาเป็นคนเข้มแข็ง เป็นคนดีมีเหตุผล อาจะไม่ผิดหวังเสียใจอะไรง่ายๆหรอก ขมรู้”
“ที่รู้มาน่ะ ผิด ทั้ง หมด”
ชาติสยามใช้มือขยี้หัวผู้เป็นหลานอย่างเอ็นดู
“ถ้าไม่มีขมซักคน ป่านนี้อาคงได้แต่งงานไปแล้วหละ”
“อันนี้ก็เกินไป...ไป เข้าบ้านได้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อนค่ะอา...ขมมีอะไรให้อาดู”
“อะไร ?”
ขมส่งตุ๊กตาของขวัญวันเกิดให้ชาติสยามดูที่จี้ห้อยคอตุ๊กตา มีรูปชาติสยามอยู่ในนั้น
“เฮ้ย เอารูปอามาจากไหน”
“ขมขอมาจากอารุ้ง...อารุ้งมีรูปอาเยอะแยะเลย แต่ขมชอบรูปนี้ อาหน้าตลกดี”
ชาติสยามยิ้ม
“ทีนี้ อาไม่ต้องมาหาขมบ่อยๆก็ได้ เพราะขมจะมีอาอยู่ข้างๆตลอดเวลา เห็นมั้ยคะ”
“ไปได้แล้ว ไป”
“สวัสดีค่ะ”
ขมลงจากรถ แล้วเดินเข้าบ้านไป
ชาติสยามมองตามหลังผู้เป็นหลานสาว
ความรู้สึกสดชื่นแบบแปลกๆค่อยๆก่อตัวขึ้น
คืนเดียวกัน ไพลินยืนพูดโทรศัพท์ในบ้าน
“ฮัลโหล...ดิฉันขอฝากข้อความให้นายภาสธร พงษ์รพีหน่อยค่ะ บอกเขาว่าให้โทร.กลับมาหาคุณแม่ของเขาด่วนเลยนะคะ เกี่ยวกับเรื่องทำบุญวันเกิดเขาน่ะค่ะ”
ไพลินวางหูโทรศัพท์ลง
คุณหญิงรัตนเดชากร ยืนอยู่ด้านหลังลูกสาว
“จะได้เรื่องเหรอ แม่ไพ”
“ต้องได้สิคะคุณแม่...ถ้าไม่ได้ครั้งนี้ ก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้วหละค่ะ”
อ่านต่อตอนที่ 12