xs
xsm
sm
md
lg

ดงผู้ดี ตอนที่ 10 : “แฟรงกี้” ทำร้าย “รุ้งกาญจน์” ที่วังตะไคร้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ดงผู้ดี ตอนที่ 10 : “แฟรงกี้” ทำร้าย “รุ้งกาญจน์” ที่วังตะไคร้

บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ

ต่อเนื่องมา แฟรงกี้เปิดประตูเข้าไปในห้องพักของเขา โทรศัพท์ที่ตั้งอยู่กลางห้องเปล่งเสียงสัญญาณโทร.เข้าดังลั่น แฟรงกี้ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบแก้ม

“ฮัลโหล...วาว...ฮอทจริงๆบ้านนี้ บ่ายๆผัวขอนัดคุย ตกค่ำเมียโทร.มาคุยบ้างไม่น้อยหน้ากันจริงๆ ผัวเมียคู่นี้”
บุหงายืนถือโทรศัพท์ที่โต๊ะหนังสือ เรือนเล็กหน้าตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ฉันอยากรู้ว่าแกพูดอะไรกับผัวฉัน”
รงกี้ หน้าตาเปื้อนยิ้ม
“กลัวจนตัวสั่นละซี”
“อย่าโอ้เอ้ บอกมาให้หมดว่าแกพูดอะไรกับเขาบ้าง”
“ไม่ได้พูดอะไรเลย”
“ไม่เชื่อ”
“จริง...อย่ากลัวน่า Don’t worry ไอแค่หาเงินใช้นิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“ถ้าฉันจับได้ว่าแกโกหกฉันละก้อ”
“ไว้ใจเถอะน่า ไอไม่ใช่คนปากโป้ง ถ้าไม่ถูกเบี้ยวเรื่องเงิน”
“ฉันจะฆ่าแก ถ้าแกทำอย่างนั้น ไอ้แฟรงกี้”
บุหงากระแทกหูโทรศัพท์ลงบนแป้นอย่างแรง
สาวใช้เดินตรงมายังบุหงา
“คุณบุหงาขา คุณหญิงให้มาเชิญไปพบค่ะ”
“ไปบอกท่านว่าฉันอาบน้ำอยู่ แล้วจะไปหาพรุ่งนี้”
“ไม่ได้ค่ะ บอกอย่างนั้นไม่ได้ เพราะท่านรอคุณบุหงาอยู่ที่ห้องโถงแล้วค่ะ”

คุณหญิงรัตนเดชากรหน้าตาจริงจังก้าวเข้ามานั่งรอแล้วที่โถงเรือนเล็ก บ้านพุทธชาด
บุหงานั่งสงบนิ่งเบื้องหน้า ผู้เป็นแม่ผัว
“เธออยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว บุหงา”
“ตั้งแต่พี่บุปผาเสีย...ก็ แปดปีได้แล้วค่ะ”
“นานพอดูนะ”
บุหงาตัดสินใจเอ่ยปากโพล่งขึ้นมา
“คุณแม่จะพูดอะไรก็พูดเลยเถอะค่ะ ดิฉันยังมีธุระอื่นที่ต้องทำอีก”
คุณหญิงรัตนเดชากรเอ่ยปากเสียงดุทันที
“ไม่มีธุระเรื่องไหนสำคัญกว่าเรื่องที่ฉันกำลังจะพูดกับเธออีกแล้ว”
“ค่ะ”
“รู้ตัวใช่ไหมว่าเธออยู่บ้านนี้ ในฐานะอะไร”
“ค่ะ”
“คนทั่วทั้งเมืองรู้ว่าเธอเป็นเมียตารังสรรค์ ทุกคนต่างยกย่องเธอเสมอเท่าสะใภ้เอกของบ้านนี้ ตารังสรรค์ก็ไม่เคยทำอะไรให้เธอต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ใช่หรือไม่”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วทำไมระยะหลังนี่ พฤติกรรมของเธอถึงได้แปลกไป มันห่างไกลจากคำว่าสะใภ้ที่ดีอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ...ฉันจึงต้องการให้เธอปรับปรุงตัวใหม่ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตระกูลรัตนเดชากรของฉัน...เข้าใจที่ฉันพูดมั้ย”
บุหงาค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดด้วยเสียงสุภาพ แต่หนักแน่นในความหมาย
“ค่ะ ขอบคุณที่คุณแม่กรุณาเตือนสติดิฉัน แต่คุณแม่ช่วยพิจารณาพฤติกรรมของลูกชายคุณแม่ด้วยได้มั้ยคะ ว่าที่ผ่านมาเขาทำอะไรไว้บ้าง หรือว่าศักดิ์ศรีของตระกูลนี้มันยิ่งใหญ่จนคุณแม่เองยังต้องปิดหูปิดตา ทำเป็นไม่เห็นพฤติกรรมของลูกชายตัวเอง”
“พฤติกรรมอะไร ?”
“ดิฉันต้องสาธยายให้ครบทุกเรื่องรึเปล่าคะ เอาแค่เรื่องปล่อยให้ลูกชายซุกซ่อนเมียเก็บไว้ในบ้านโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แค่นี้ก็น่าอายแล้วหละค่ะ”
“เธอ !”
“ดิฉันพูดแทงใจดำคุณแม่เหรอคะ...ถ้าคุณแม่ยังสอนลูกชายคุณแม่ไม่ได้ ก็อย่าพยายามสอนคนอื่นเลยค่ะ เปลืองน้ำลายเปล่าๆ”
บุหงาเดินออกไปจากห้องโถงนี้ทันที
คุณหญิงรัตนเดชากร ยืนตาขวางแต่เพียงลำพัง

เช้ารุ่งขึ้น ภาสธร วางอาหารเช้าหน้าตาดี เบื้องหน้าไพลิน
“โจ๊ก เจ้าอร่อยจาก เยาวราชครับ...ผมออกไปต่อคิวซื้อมาตั้งแต่ตีห้า เพื่อคุณแม่โดยเฉพาะนะครับ”
“มาอิหรอบนี้ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนแน่ๆ ไม่งั้นไม่มีทางแหกขี้ตาขึ้นมาแต่มืดหรอก”
“ไม่มีอะไรซักหน่อย แค่ผมจะไม่อยู่บ้านสี่ห้าวัน ก็เลยนึกถึง”
“นึกถึงแม่ ?”
“นึกถึงเงินติดกระเป๋าซักสามสี่พัน”
“นั่นไง”
“ผมต้องเอาไปเลี้ยงเจ้าหน้าที่ที่นั่น ไหนจะตชด.ที่จะนำทางให้ผมอีก”
“ ไปไหน”
“ปราจีนบุรีครับ ไปเซอร์เวย์เส้นทางทำถนน”
“แล้วไปกับใคร มีผู้หญิงไปด้วยรึเปล่า”
“ไม่มี ผมไม่มีนิสัยแบบนั้น”
“ก็หัดมีซะบ้างสิ แม่จะได้มีลูกสะใภ้กับเขาซะที”
“อ้าว เป็นงั้นไป”
“เพื่อนๆเราเขามีคู่มั่นหมายกันแล้วทั้งนั้น แต่งงานกันไปแล้วก็เยอะ เรายังทำตัวเป็นโสดอยู่ได้ เดี๋ยวก็โดนคนล้อเอาว่าเป็นพวกลักเพศหรอก”
“งั้นผมปรึกษานายชาติสยามก็ได้ ว่าจะแวะไปหามันอยู่ เพิ่งรู้ว่ามันพาแฟนสาวกับหลานไปเที่ยววังตะไคร้พอดี”

พจนีย์เดินเข้ามาทันได้ยินประโยคนี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉาตาร้อน

ต่อมา พจนีย์ขยับตัวลงนั่งข้างบุหงา

“น้าบุหงา รู้เรื่องนังขมรึยังคะ”
“นังขม ? ทำไม มีอะไรอีกเหรอ”
“มันได้ไปเที่ยววังตะไคร้ กับอาของมัน”
“ไปกันสองคนอีกแล้วเหรอ”
“ไปครบทั้งสามคนเลย ทั้งอา ทั้งหลาน และแฟนอาอีกคนนึง...นี่พวกมันคงไปเลี้ยงฉลองที่เล่นงานพวกเราที่โรงพักได้แน่ๆ น่าหมั่นไส้จริงๆ”
บุหงา ครุ่นคิด

โทรศัพท์เครื่องเดิมที่กลางห้องพักแฟรงกี้ดังขึ้น
แฟรงกี้ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาพูด
“มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ คุณนายบุหงา”
บุหงา ยืนหลบมุมพูดโทรศัพท์ เสียงไม่ดังนัก
“แกรู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน”
“เฉพาะคนพิเศษเท่านั้นที่จะรู้เบอร์นี้ และต้องเป็นคนพิเศษที่กำลังร้อนใจ อยาก
ให้ไอแก้แค้นใครบางคน น้ำเสียงถึงได้ร้อนรนอย่างนี้”
“แกชักจะรู้ดีเกินไปแล้วนะ”
“ผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย”
“ใช่ มันไปเที่ยววังตะไคร้ แกจัดการมันหน่อยได้มั้ย ต้องการเงินเท่าไหร่บอกมา”
“ถ้าเงินถึง งานก็ถึง ไม่มีปัญหา”
“เฉพาะมันคนเดียวเท่านั้นนะ คู่รักของมัน แกอย่าแตะต้อง”
“รู้น่า...เพราะยูอยากจะเก็บผู้ชายคนนั้นไว้แตะต้องคนเดียวใช่มั้ยล่ะ”
“แค่นี้นะ งานเสร็จแล้วส่งข่าวบอกฉันด้วย”
บุหงาวางโทรศัพท์ลงทันที นัยน์ตากร้าว

โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมาย ... เธอนั่งอยู่บนเบาะด้านหลังในรถชาติสยาม
รุ้งกาญจน์นั่งอยู่บนเบาะด้านหน้าคู่กับชาติสยามที่เป็นผู้ขับรถคันนี้
รุ้งกาญจน์เหลือบมองดูขมแล้วเอ่ยปาก
“เขียนจดหมายถึงพ่อเหรอจ๊ะ ขม”
“ค่ะ ขมบอกพ่อว่า กำลังจะไปเที่ยวน้ำตก”
“แล้วรู้รึยังว่าที่น้ำตกวังตะไคร้มีอะไรบ้าง”
“ยังค่ะ เดี๋ยวไปเห็นแล้วค่อยเขียนต่อ”
“อาบอกให้ก่อนก็ได้...เราจะได้อยู่บ้านพักกลางป่า อยู่กับธรรมชาติ สายลมเสียงนกร้อง” ชาติสยามบอก
รุ้งกาญจน์ต่อ“และมีน้ำตกให้เล่น”
“น้ำตกไม่เหมือนน้ำทะเลนะ ไม่มีคลื่น ไม่มีหาดทราย และไม่มีม้าให้ขี่”
“แต่มีแคมป์ไฟได้จ้ะ” รุ้งกาญจน์ว่า
“และเราก็มีกีตาร์ เก่าๆติดมาด้วยหนึ่งตัว เพราะฉะนั้น ทุกคนเตรียมเลือกเพลงไว้ได้เลย”

บริเวณกองไฟตอนกลางคืน
ชาติสยามนั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงอย่างสนุกโดยมีรุ้งกาญจน์ร่วมร้องอยู่ข้างๆด้วย
ทั้งคู่ร้องเพลง “หัวใจขายขาด”
“ใครจะซื้อหัวใจเปล่าเปลี่ยว...ดีทีเดียวแต่ว่าอกหัก...ดวงใจช้ำรัก ขายขาด...ฮู้ฮู”
เสียงโขมพัสตร์ดังเข้ามาคลอไปกับเสียงเพลง
“พ่อจ๋า...พ่อเคยมาเที่ยววังตะไคร้มั้ยจ๊ะ...ขมได้มาแล้วนะพ่อ อาสยามกับอารุ้งพาขมมา”

โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายบนระเบียงสวย
ด้านล่างของระเบียงชาติสยามและรุ้งกาญจน์นั่งร้องเพลงหน้ากองไฟอยู่
เสียงขมดังต่อเนื่อง
“ที่นี่ บรรยากาศดีจังเลย อากาศก็เย็นกว่าอยู่กรุงเทพฯซะอีก โชคดีของขมที่มีอาดีๆแบบนี้...แต่จะดีกว่านี้มาก ถ้าตื่นเช้าขึ้นมาแล้ว ขมได้เจอพ่อ เหมือนตอนที่พ่อไปหาขมที่หัวหินน่ะ...แต่ครั้งนี้คงไม่เป็นอย่างนั้น เพราะงานของพ่อคงเยอะมากๆใช่มั้ยคะ”
รุ้งกาญจน์ตะโกนเรียกโขมพัสตร์
“ขม...มานั่งด้วยกันสิ”
โขมพัสตร์หันไปตะโกนตอบแล้วเขียนจดหมายต่อ
“แป๊ปนึงค่ะอารุ้ง”
“พรุ่งนี้ เราจะเล่นน้ำตกกัน แล้วขมจะเขียนจดหมายเล่าให้พ่อฟังนะคะว่า เราสนุกกันแค่ไหน”
ชาติสยาม ตะโกนเรียกหลานสาวบ้าง
“ขม มาร้องเพลงกับอา เร็ว”
โขมพัสตร์รีบเขียนตัวหนังสือบรรทัดสุดท้ายในจดหมายฉบับนี้
“ขมต้องไปก่อนละ อาสยามจะให้ขมร้องเพลงให้ได้เลยค่ะพ่อ”

หน้ากองไฟกองนั้นชาติสยาม เอ่ยปากราวกับเป็นพิธีกรในงานเลี้ยง
“มาถึงช่วงเวลาสำคัญของคืนนี้แล้วครับ คุณรุ้งกาญจน์กำลังจะได้ฟังเสียงเพลง
ที่เพราะที่สุด ที่คุณไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“อา...พูดเกินไปแล้ว”
“เพราะนักร้องของเราคนนี้ไม่เคยยอมร้องเพลงให้ใครฟัง นอกจากคนที่เธอรักและเคารพเท่านั้น”
“จริงรึเปล่าจ๊ะ”
“จริงค่ะ”
“และนี่คือเพลงโปรดของเธอ”
“เพราะขมร้องเพลงนี้เป็นอยู่เพลงเดียว”
ชาติสยามทำท่ากระซิบ “เอ๊า อย่าพูดอย่างนั้นซี่”
โขมพัสตร์ทำท่ากระซิบตอบ “ก็จริงนี่อา”
ชาติสยามตะโกนลั่น “เอาละครับ...เตรียมตบมือดังๆให้เธอได้เลยครับ”
ชาติสยามกรีดนิ้วลงไปบนกีตาร์แล้วโขมพัสตร์ก็อ้าปากร้องเพลง “นกขมิ้น”
“ค่ำคืน ฉันยืนอยู่เดียวดาย เหลียวมองรอบกาย มิวายจะหวาดกลัว...มองนภามืดมัว สลัวเย็นย่ำ...ค่ำคืนเอ๋ย...ฮือม ฮือม ฮือมฮือมฮือมฮือม”
โขมพัสตร์ร้องเพลงอย่างตั้งใจชาติสยามมองหลานสาวอย่างมีความสุข

รุ้งกาญจน์มองโขมพัสตร์อย่างชื่นชม พร้อมกับสังเกตท่าทีชาติสยามไปด้วย

ดึกต่อมา รุ้งกาญจน์หย่อนตัวลงนั่งข้างๆชาติสยาม บนระเบียงสวย

“หลับแล้วเหรอหลานสาวผม”
“สนิทเลย”
“งั้นตอนนี้ก็เป็นเวลาของเราแล้วหละ”
ชาติสยามโอบกอดรุ้งกาญจน์ด้วยความรัก
“เป็นเวลาที่เราควรจะนอนพักค่ะ ไม่งั้นพรุ่งนี้จะไม่มีแรงเล่นน้ำตก”
“โธ่ แรงผมเหลือๆเลยรุ้ง”
“แต่รุ้งไม่เหลือแบบคุณนี่คะ”
“งั้นเอาแรงผมไป...พรุ่งนี้รุ้งอยู่เฉยๆเลยนะ ผมจะลากห่วงยางให้รุ้งนั่งไปตลอด
ทางน้ำตกเลย ดีมั้ย”
“แบบนั้นคุณก็สนุกคนเดียวน่ะสิ รุ้งจะไปสนุกอะไรล่ะ”
“โอเค...งั้นหมดกาแฟแก้วนี่แล้วค่อยนอนแล้วกัน นะ”
“ให้สองแก้วเลยค่ะ”
“ตาค้างไม่หลับกันพอดี”
ชาติสยามหอมแก้มรุ้งกาญจน์อย่างนุ่มนวล
ทั้งสองมองทอดสายตาออกไปยังแมกไม้เบื้องหน้า สูดอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอด
รุ้งกาญจน์จึงเอ่ยปากขึ้น
“สยามคะ”
“หือม”
“จดหมายที่ขมเขียนจะถึงมือพี่ชวาลมั้ยคะ”
ชาติสยามถอนหายใจ ตอบไม่ถูก
“ไม่ว่าจะยังไง ขมก็จะได้รับจดหมายตอบจากพ่อพิทย์แน่”
“แน่ใจนะคะว่าเราไม่ควรบอกความจริงกับเธอ เรื่องอาการป่วยของพ่อเขา”
“พี่ชวาลยังไม่ต้องการเช่นนั้น”
“วันนึง ถ้าเราแต่งงานกัน รุ้งอยากให้ขมอยู่กับเราค่ะ ได้มั้ยคะ”
“ผมดีใจที่สุดเลย ที่ได้ยินรุ้งพูดอย่างนี้”
ชาติสยามโอบกอดรุ้งกาญจน์กระชับ และหอมแก้มเธออีกครั้ง
รุ้งกาญจน์คิดอะไรบางอย่างในใจ โดยที่ไม่มีใครรู้

โต๊ะอาหารกลางโถงบ้านตอนเช้า รังสรรค์และบุหงานั่งกินอาหารเช้าที่โต๊ะนี้สีหน้าของทั้งสองนิ่งเฉย แทบจะไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำ
รังสรรค์เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ฉันรู้สึกว่าหมู่นี้เธอดูเครียดๆไปนะ”
“ก็ไม่ต่างจากคุณพี่หรอกค่ะ”
“แต่เราคงจะเครียดกันคนละเรื่อง”
“ก็คงอย่างนั้นค่ะ”
“แม่ฉันเรียกเธอไปอบรมใช่มั้ย”
“ใช่”
“เธอก่อเรื่องกับรุ้งกาญจน์ติดๆกันถึงสองวัน คุณแม่ท่านรับไม่ได้”
“คุณพี่ไม่ต้องกังวลค่ะ มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน เรื่องระหว่างน้องกับนังรุ้งกาญจน์ จะจบลงวันนี้หละ”

ทั้งสามยืนอยู่กลางน้ำตกในมือของพวกเขาถือยางในรถยนต์ที่สูบลมแน่น คนละเส้น
ชาติสยามบอก“นี่คือเกมแรกของเราวันนี้ ล่องแก่ง...เราจะนั่งห่วงยางลอยไปตามน้ำตก เราจะ
ไหลคดเคี้ยวไปกับน้ำ จากต้นน้ำตรงนี้ ลงไปจนถึงแอ่งน้ำใหญ่ตีนเขาด้านล่างทุกคนต้องจับห่วงยางให้ดี อย่าให้ตกเป็นอันขาด”
“ถ้าตกล่ะคะอา”
“ก็ปีนขึ้นไปนั่งใหม่สิ”
“ใครถึงแอ่งน้ำข้างล่างก่อน ชนะ”
“ขมยังไม่เคยเล่นมาก่อนเลย ที่โหล่แน่ๆ”
“งั้นรอบแรก เราไปพร้อมๆกันก่อน ถือเป็นรอบซ้อม”
“ค่อยยังชั่ว”
รุ้งกาญจน์บอก“ขมไปกับอาสยามนะ อารุ้งล่วงหน้าไปก่อนละ จะไปดูเส้นทางให้”
รุ้งกาญจน์โยนห่วงลงน้ำแล้วจึงกระโดดขึ้นไปนั่ง ไหลไปกับลำน้ำ
“อารุ้ง รอขมด้วย”
“อารุ้งเขาพวกโลดโผน เขาไม่รอใครอยู่แล้ว...ไป เราไปกัน”
ชาติสยามและขม โยนห่วงลงน้ำ และล่องตามรุ้งกาญจน์ไป

ชายป่า ใกล้น้ำตกแฟรงกี้เดินลัดเลาะไปตามแนวป่าริมลำธารสายนี้ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ หน้าตาน่ากลัว
รุ้งกาญจน์ บนห่วงยางกลางลำน้ำเธอไหลไปตามลำน้ำ อย่างร่าเริง แจ่มใส
ชาติสยามคอยประคองให้ห่วงยางของขม ลอยอยู่ในแนวกลางลำน้ำ

หน้าตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความสุข สดชื่น

บริเวณทางแยกของลำธาร ห่วงยางของรุ้งกาญจน์ไหลแยกไปทางหนึ่ง สักพักห่วงยางของขมและชาติสยามไหลและแยกไปอีกทางหนึ่ง

แฟรงกี้ก้าวเข้ามาริมตลิ่งนี้มันมองไปยังลำน้ำด้านที่ห่วงยางของรุ้งกาญจน์ไหลเข้าไปแฟรงกี้รีบเดินลุยน้ำไปตามทางแยกนั้น หน้าตาดุดันเป็นที่สุด
ห่วงยางของรุ้งกาญจน์ไหลผ่านแนวไม้ที่รกขึ้นเรื่อยๆจนไปหยุดตรงร่องน้ำแคบ ที่ห่วงยางไม่สามารถไหลผ่านไปได้
รุ้งกาญจน์พ่นลมหายใจแรง เซ็งขึ้นมาทันที
เธอกระโดดลงจากห่วงยาง แล้วเดินลากห่วงลุยน้ำกลับไปยังทางเก่า
แฟรงกี้ก้าวออกมาจากป่ามันหยุดยืนเบื้องหน้ารุ้งกาญจน์ และยิ้มเยือกเย็น
รุ้งกาญจน์มองหน้าแฟรงกี้ ไม่ไว้ใจนัก
เธอค่อยๆเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่เป็นปกติ
“ขอโทษนะคะ ถ้าเลี้ยวไปทางนี้ จะไปโผล่ลำน้ำอีกด้านได้รึเปล่าคะ”
“ได้”
“ขอบคุณ”
“แต่คุณจะไปทางนั้นไม่ได้ เพราะผมไม่อนุญาต”
รุ้งกาญจน์ฉวยโอกาส เหวี่ยงห่วงยางฟาดใส่แฟรงกี้และ เตะ ต่อยมันสองสามหมัด
แฟรงกี้ปัดป้องได้ มันพุ่งโถมเข้าใส่ร่างรุ้งกาญจน์จนล้มลงไปในน้ำ
แฟร้งกี้ล็อกคอรุ้งกาญจน์ พร้อมกับชักมีดออกมาขู่
“ไปกับผมซะดีๆ ดาร์ลิ้ง แล้วคุณจะไม่เจ็บตัว”

อีกด้านหนึ่ง ห่วงยางของโขมพัสตร์และชาติสยาม ลอยเข้ามาถึงแอ่งน้ำใหญ่ เธอมองไปรอบๆ หน้าตายังสนุกสนานอยู่
“อารุ้งล่ะคะ”
“สงสัยเดินสำรวจเส้นทางใหม่ละมั้ง”
“งั้นขมขอลองอีกรอบ ตั้งแต่ต้นใหม่ได้มั้ยคะ”
“ติดใจละซี...แต่ รออารุ้งก่อนดีกว่าจ้ะ”

แฟรงกี้ลากรุ้งกาญจน์ลัดเลาะไปตามป่า
“บอกได้มั้ยว่าจะพาฉันไปไหน...ฉันอาจจะเดินไปกับนายดีๆ โดยไม่ต้องกระชากอย่างนี้ก็ได้”
“เธอนี่ช่างพูดดีเหมือนกัน แต่บังเอิญฉันชอบการฉุดกระชากมากกว่า...ได้อารมณ์ดี”

เวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่บ้านพักเดินนำภาสธรเข้ามาหน้าบ้านหลังนี้ มี ตชด.สองนายเดินตามหลังภาสธรเข้ามาด้วย
เจ้าหน้าที่บอก“นี่หละครับ คุณชาติสยามกับเพื่อนๆมาพักที่บ้านหลังนี้หละครับ”
“ไม่เห็นมีใครซักคนเลย”
“คงจะไปเล่นน้ำตกกันน่ะครับ”
“งั้นผมรออยู่แถวนี้หละ ขอบคุณนะครับ”
เจ้าหน้าที่เดินกลับออกไป
ภาสธรหันไปพูดกับ ตชด.ที่ตามมาด้วย
“นั่งเล่นก่อนนะครับ หรือจะเล่นน้ำกันดี”
ตชด.1 บอก “ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวเราต้องไปลงพื้นที่กันอีก ช่วงนี้พวกลักลอบตัดไม้เยอะอยู่”
“เดี๋ยวผมหาอะไรเย็นๆในบ้านมาให้ดื่มรอเวลาก่อนแล้วกันครับ อยากให้เจอเพื่อนผมหน่อย เผื่ออนาคตมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้”
ภาสธรเดินขึ้นไปในบ้านพักหลังนั้น

บริเวณอ่างน้ำใหญ่ ปลายน้ำตก ห่วงยางของรุ้งกาญจน์ลอยตามน้ำเข้ามาอย่างเดียวดาย
ห่วงยางนั้นลอยเข้าไปหาโขมพัสตร์ เธอรีบเอ่ยปากกับผู้เป็นอา
“อา...นั่นของอารุ้งใช่มั้ยคะ”
ชาติสยามหันไปมองที่ห่วงยาง สีหน้าเป็นกังวล

แฟรงกี้ลากรุ้งกาญจน์ฝ่าชายป่าออกมายังลานดินรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่บนลานดินนั้น
แฟรงกี้เหวี่ยงร่างของรุ้งกาญจน์ไปกระแทกกระโปรงรถคันนี้
“จะพาฉันไปนั่งรถเล่นเหรอ”
“นอกจากช่างพูดแล้วยังมีจินตนาการสุดยอดอีกต่างหาก น่าชื่นชมจริงๆ”
“มีรางวัลให้มั้ยล่ะ”
“ขึ้นไปนั่งในรถก่อนแล้วค่อยเอารางวัล”
แฟรงกี้เปิดประตูรถ แล้วเหวี่ยงร่างรุ้งกาญจน์เข้าไปในนั้น
“ไม่บอกใบ้ซะหน่อยเหรอว่าจะขับรถไปไหน”
“ไปที่ ที่เธอจะต้องติดใจแน่ๆ รับรอง”
รุ้งกาญจน์โน้มคอแฟรงกี้เข้ามาใกล้ๆแล้วเอ่ยปากเสียงเซ็กซี่
“จะต้องขับรถไปให้เสียเวลาทำไม ถ้าอยากให้ฉันติดใจก็เอาซะที่นี่เลยก็ได้”
“ในรถเหรอ”
“อือม...ในรถนี่แหละ ได้อารมณ์จะตาย”
“วาว...ถูกใจแฟรงกี้จริงๆ อีหนูเอ๊ย”
แฟรงกี้กดร่างรุ้งกาญจน์ลงไปบนเบาะรถ
มันกระโดดขึ้นคร่อมรุ้งกาญจน์แล้วจูบไซ้ที่ซอกคอของเธอทันที
รุ้งกาญจน์เอื้อมมือไปคว้าไขควงในรถที่เธอหมายตาไว้ แล้วจ้วงแทงที่เอวมันสุดแรงเลือดพุ่งกระฉูดออกมาเป็นลิ่ม
“อ๊ากกกกก...”
รุ้งกาญจน์ใช้สองเท้าถีบแฟรงกี้กระเด็นร่วงลงนอกรถแล้ววิ่งข้ามร่างของมันกลับเข้าไปในป่า
แฟรงกี้ประคองร่างตัวเองลุกขึ้นเปิดลิ้นชักรถ หยิบปืนกระบอกดำทมิฬ ออกมา ตะโกนลั่น
“อยากตายนักใช่มั้ย อีเหี้ย”

แฟรงกี้เหน็บปืนที่เอว แล้วก้าวยาวๆตามเข้าไปในป่าทันที

ชาติสยามและโขมพัสตร์เดินย้อนลำธารกลับมายังบริเวณบ้านพัก ทั้งสองช่วยกันตะโกนเรียกหารุ้งกาญจน์ไปด้วย

“รุ้ง รุ้งกาญจน์”
“อารุ้ง”
“รุ้งกาญจน์...ได้ยินผมมั้ย”
ภาสธรเดินเข้าไปหาเพื่อนของเขา
“คนรักหายตัวไปเหรอวะ”
“ไอ้ภาส”
“สงสัยจะมัวขลุกอยู่แต่กับหลาน จนคนรักงอนทิ้งไปละซี”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะเว้ย รุ้งหายไปจริงๆ”
โขมพัสตร์บอก“อารุ้งนั่งห่วงยางล่องไปตามน้ำ แล้วอยู่ๆอารุ้งก็หายไปเหลือแต่ห่วงยางเปล่าๆ
ลอยกลับมาค่ะ”
ภาสธรตกใจทันที
“ตายห่าละมึง ไอ้หยาม”

รุ้งกาญจน์วิ่งลัดเลาะไปตามแนวชายป่าแฟรงกี้วิ่งไล่ตาม ด้วยร่างที่ชุ่มเลือด
รุ้งกาญจน์ทรุดตัว หมอบหลบอยู่ข้างโพรงไม้แฟรงกี้วิ่งเลยผ่านหน้าเธอไป
รุ้งกาญจน์เป่าปากโล่งใจสักพักเธอจึงค่อยๆมุดตัวออกมาจากจากโพรงนั้นรุ้งกาญจน์หมุนตัวจะย้อนกลับไปทางเดิมจึงเห็นว่า แฟรงกี้ ยืนรอดักขวางเธออยู่ตรงนั้น
“จ๊ะเอ๋”
แฟรงกี้ยกมือตบหน้ารุ้งกาญจน์เต็มแรง จนร่างของรุ้งกาญจน์กระเด็น ร่วงลงกับพื้น
“เจ้าเล่ห์มากนักนะ อยากเจ็บตัวใช่มั้ย”
แฟรงกี้เงื้อเท้าเตะเข้ากลางลำตัวรุ้งกาญจน์
“ต้องเจ็บตัวก่อนถึงจะมีอารมณ์หรือไง”
แฟรงกี้กระชากหัวรุ้งกาญจน์ขึ้นมา ตบซ้ำไปอีกครั้ง
“เบาะรถนิ่มๆไม่ชอบ ชอบขรุขระแบบในป่าเหรอ”
แฟรงกี้ก้าวเข้าไปขึ้นคร่อมรุ้งกาญจน์
“ได้ แฟรงกี้จัดให้ได้”
แฟรงกี้กระชากเสื้อรุ้งกาญจน์ออก
รุ้งกาญจน์รวบรวมกำลังที่เหลือ เตะผ่าหมากแฟรงกี้
แฟรงกี้ลอยข้ามหัวรุ้งกาญจน์ไป
ต่างฝ่ายต่างชันตัวลุกขึ้น
รุ้งกาญจน์คว้าท่อนไม้ใกล้ตัวฟาดไปที่หน้าแฟรงกี้เต็มแรง เลือดสาดกระจาย
แฟรงกี้ ถีบรุ้งกาญจน์จนกระเด็นไปกระแทกหินก้อนใหญ่
แฟรงกี้ดึงปืนออกมาจากเอว ของมัน
“กูหมดอารมณ์กับมึงแล้วเว้ย อีเวร ไปเกิดใหม่ซะเถอะ”
แฟรงกี้ขยับนิ้วเพื่อเหนี่ยวไกปืน
พลัน เสียงปืนดังขึ้น!
กระสุนสองนัด แหวกอากาศมาจากทิศทางตรงข้ามมันพุ่งตรงเข้าใส่กลางหน้าอกของแฟรงกี้
ร่างของแฟรงกี้ร่วงลงทันที
ผู้ที่ลั่นไกปืนนั้นคือ ตชด. ที่มากับภาสธรนั่นเอง
ชาติสยามและภาสธรวิ่งตรงไปหารุ้งกาญจน์
ชาติสยามประคองรุ้งกาญจน์ไว้ในอ้อมแขนของเขา
“รุ้ง...คุณปลอดภัยแล้ว ปลอดภัยแล้วครับรุ้ง”

เย็นวันเดิม ไพลินก้าวเข้ามาที่โถงพร้อมโทรศัพท์แนบหู ฟังเรื่องราวคร่าวๆ หน้าตาตื่นเต้น ตกใจไม่น้อย
“ตายจริง เกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอตาภาส...แล้วตอนนี้หนูรุ้งเป็นยังไงบ้าง ขมล่ะ ชาติสยามล่ะ...จ้ะ จ้ะ...แม่จะบอกคุณยายให้นะ”
ไพลินวางโทรศัพท์ลง
พร้อมๆกับที่คุณหญิงรัตนเดชากรเดินเข้ามา
“ว่าไงแม่ไพ เกิดอะไรขึ้น ตาภาสเป็นอะไร”
“ตาภาสไม่เป็นอะไรค่ะ เขาโทร.มาส่งข่าว”
“ข่าวอะไร”
“คนร้ายฉุดรุ้งกาญจน์ แต่เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะยิงหนูรุ้ง”
“ห๊า”
“ตอนนี้ทุกคนปลอดภัยแล้วค่ะ ส่วนคนร้ายอาการสาหัส น่าจะไม่รอด”

บนสถานีตำรวจท้องที่ นายตำรวจเดินตรงเข้ามาหาชาติสยามและภาสธรที่นั่งรออยู่
“โอเคครับ ทุกอย่างเรียบร้อย คดีไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก พยานในที่เกิดเหตุก็ให้ปากคำชัดเจน พวกคุณจะไปที่โรงพยาบาลเลยก็ได้นะครับ”
“ขอบคุณครับ”
“เอ้อ...ผมมีข้อมูลบางอย่างของคนร้ายที่คุณอาจจะสนใจ”
“ข้อมูลอะไรเหรอครับ” ชาติสยามว่า
“คนร้ายไม่เคยมีประวัติ ฉุดคร่าอนาจารใครมาก่อนก็จริง แต่ล่าสุดเพิ่งถูกจับคดีค้าของเถื่อน และถูกปล่อยตัวชั่วคราวออกมา ซึ่งผู้แจ้งเบาะแสนำจับวันนั้นก็คือ คุณบุหงา รัตนเดชากร ดูเหมือนจะเป็นคนในครอบครัวของคุณนะครับ คุณภาสธร”

ชาติสยามและภาสธรมองหน้ากัน

โทรศัพท์เครื่องใหญ่ในบ้านดังขึ้น รังสรรค์ที่เพิ่งกลับเข้าบ้านเดินตรงไปยกหูโทรศัพท์เครื่องนั้น

“ฮัลโหล ใช่ครับ...คุณบุหงาไม่อยู่ ผมรังสรรค์เป็นสามีเธอ มีอะไรฝากผมไว้ได้”
บุหงาเดินเข้ามาทางด้านหลังของรังสรรค์เธอเพิ่งกลับเข้าบ้านมาเช่นกัน
“แฟรงกี้เหรอครับ”
บุหงาชะงัก เมื่อได้ยินรังสรรค์เอ่ยชื่อนี้
เธอจ้องมองที่รังสรรค์ทันที
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะบอกเธอให้ สวัสดีครับ”
รังสรรค์วางโทรศัพท์ลง
บุหงาเอ่ยปากทันทีเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของรังสรรค์
“เกิดอะไรขึ้น ?”
“ตำรวจโทร.มาบอกว่า แฟรงกี้ไปก่อเรื่องที่นครนายก”
บุหงาวางท่าทางตัวเองเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร แต่ในใจเธอนั้น ลุ้นระทึก
“เรื่องอะไร”
“ลักพาตัว พยายามข่มขืนและฆ่า เหยื่อของมันคือใครรู้มั้ย”
“ใคร ?”
“รุ้งกาญจน์คนรักของชาติสยาม”
บุหงาถามโพล่งทันที“ตายมั้ย”
“รุ้งกาญจน์ไม่เป็นไร แต่แฟรงกี้ถูกวิสามัญ”
บุหงาอึ้งด้วยความผิดคาด

บุหงารีบตั้งสติ จัดอารมณ์ของตัวเองใหม่
“ตายซะได้ก็ดี ไถเงินฉันดีนัก”
“ตำรวจต้องการคุยกับเธอ”
“เกี่ยวอะไรกับน้อง”
“นั่นคือคำถามของตำรวจ พวกเขาต้องการข้อมูลแฟรงกี้จากเธอ”
“ทำไมคุณพี่ไม่บอกตำรวจด้วยล่ะคะว่า เพิ่งไปคุยกับมันมา คุณพี่น่าจะมีรายละเอียดลึกซึ้งกว่าน้องด้วยซ้ำ”

ประตูบ้านรุ้งกาญจน์ถูกเปิดออกชาติสยามประคองรุ้งกาญจน์เดินตรงเข้าไปในโถงบ้าน
สภาพของเธอผ่านการรักษาเบื้องต้นจากโรงพยาบาลท้องถิ่นมาบ้างแล้ว
โขมพัสตร์และภาสธรเดินตามหลังเข้ามา
ซ่อนกลิ่นผู้เป็นป้าเดินเข้ามาต้อนรับ
ไพลินนั่งรออยู่กลางโถงบ้านนี้ด้วยซ่อนกลิ่นเอ่ยปากทันทีที่เห็นสภาพของหลานสาว
“โถ ยายรุ้งหลานป้า...บาดเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่าลูก”
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะป้า”
“ป้าเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ ก็มารู้ข่าวร้ายจากคุณไพลินพอดี หัวใจป้าจะวายตาย”
“ผมขอโทษครับที่ดูแลรุ้งได้ไม่ดีพอ”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณค่ะ รุ้งขอไปนอนพักก่อนนะคะ เวียนหัวชอบกล”
“งั้นเดี๋ยวผมไปรับหมอมาที่นี่นะ”
“ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณทุกคนนะคะ”
“มาป้าพาไปเอง”
ซ่อนกลิ่นเข้าไปประคองรุ้งกาญจน์ เธอเหลือบไปมองหน้าโขมพัสตร์
“นี่ขมใช่มั้ย...”
“ค่ะ”
“ขอตัวก่อนนะคะคุณไพลิน สวัสดีทุกคนค่ะ”
ซ่อนกลิ่นและรุ้งกาญจน์เดินไปทางห้องนอน

ชาติสยามมองตามไป
“เธอไม่ต้องไปส่งขมหรอกนะ ชาติสยาม...อยู่เฝ้าแฟนเธอที่นี่เถอะ”
“ขมกลับกับคุณไพลินได้ค่ะอา”
ชาติสยามพยักหน้ารับคำ
“ผมอยู่เป็นเพื่อนนายสยามก่อนนะครับแม่”
ทุกคนเดินออกจากบ้านนี้ไปภาสธรเอ่ยปากกับเพื่อนรัก
“เราไม่ควรบอกรุ้งเรื่องน้าบุหงาเหรอวะ”

“ฉันยังไม่อยากให้รุ้งคิดมาก ถึงแม้สัญชาตญาณฉันจะบอกว่าน้าแกเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม”

บุหงานั่งซึม นิ่งบนระเบียงบ้านเรือนเล็กหลังนี้

พจนีย์เดินมานั่งข้างๆผู้เป็นน้า
“น้าบุหงารู้เรื่องแฟนสาวของนายชาติสยามรึยังคะ”
“รู้อะไรๆเร็วเหลือเกินนะ พจนีย์”
“ทั้งป้าทั้งย่า พูดกันลั่นบ้าน จะไม่รู้ได้ยังไง...แต่ไม่มีใครรู้เหมือนที่พจน์รู้หรอก”
“อะไร ?”
“ก็เรื่องที่นายแฟรงกี้คนนี้เป็นแฟนเก่าของน้าบุหงาไง”
“อย่าพูดไปเชียวนะ”
“แล้วก็เรื่องที่น้าบุหงารู้จากพจน์ว่าคุณรุ้งกาญจน์จะไปวังตะไคร้...พจน์ยังจำสีหน้าน้าบุหงาวันนั้นได้เลย”
“เรื่องนี้ก็ห้ามพูดเป็นอันขาด”
“พจน์รู้น่า น้าไม่ต้องห่วงหรอก พจน์ยังจำคำที่น้าสอนได้เลย ทำผิดอย่าให้ใครจับได้ ถ้าถูกจับได้ก็อย่ายอมรับ...เราสองคนต้องเป็นพวกเดียวกันไปจนตลอดชีวิตแล้วหละค่ะน้าบุหงา”
พจนีย์ยิ้มเบิกบานให้น้า แต่บุหงามิได้ร่าเริงด้วย

ในห้องนอน หมอสูงวัยกำลังตรวจรุ้งกาญจน์ชาติสยามและซ่อนกลิ่น นั่งอยู่ข้างๆ
หมอเงยหน้าจากการตรวจพร้อมกับเอ่ยปาก
“มีไข้เล็กน้อย อาจจะเพลียจากอาการแผลอักเสบ...หมอทางโน้นเขาก็จัดยาให้ดีแล้วนะ หนูก็กินยาตามนั้น ไม่กี่วันก็ดีขึ้นเองแหละ”
“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ ที่กรุณามาให้ถึงนี่”
“ดูแลกันมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก ก็ต้องดูแลกันต่อจนกว่าจะแก่กันไปข้างนึงนั่นแหละ เนอะ”
หมอหันไปยิ้มให้กับรุ้งกาญจน์
“เชิญคุณหมอทานน้ำ ก่อนนะคะ...ทางนี้ค่ะ”
ซ่อนกลิ่นเดินนำหมอออกไปจากห้อง
ชาติสยามกระเถิบเข้าไปกุมมือรุ้งกาญจน์ไว้แน่น
“รุ้ง”
“ทำหน้าเศร้าทำไม...รุ้งยังไม่ได้จะตายซักหน่อย”
“แต่ผมนี่หละที่จะตาย...เราหมั้นกันเถอะรุ้ง ให้ผมได้ดูแลรุ้งมากกว่านี้เถอะ”
“หมั้นเพื่อดูแลรุ้ง ?...รุ้งจ้างมือปืนคุ้มกันก็ได้ จะได้ไม่ต้องหมั้นให้ยุ่งยาก”
“โธ่...รุ้งไม่รักผมเหรอ”
“รักสิคะ แต่สยามพร้อมแล้วเหรอ”
“พร้อมมาก” ชาติสยามว่า
“อย่ารับปากชุ่ยๆ”
“ไม่ได้ชุ่ย ผมรักรุ้งมากที่สุด คุณก็รู้”
“แล้วขมล่ะคะ คุณรักขมมากที่สุดรึเปล่า”
ชาติสยามเลือกหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดก่อนเอ่ยปาก
“ไม่เท่ารุ้งหรอก มันคือความสงสารและเป็นห่วงมากกว่า”
“ในเมื่อคุณยังมีใจที่ต้องห่วงคนอื่นอยู่ คุณจะทิ้งความรักความห่วงใยที่มีให้เขาเพื่อมาดูแลรุ้งคนเดียวทำไม...ให้มันจบเป็นเรื่องๆดีกว่าค่ะ...เพราะถ้าเราจะเดินหน้าความสัมพันธ์ระหว่างเรามากกว่านี้ รุ้งก็ไม่อยากให้คุณมีที่ว่างในหัวใจให้ใครอีกเลย”
“ผมนึกว่าคุณจะรักและเอ็นดูขมเหมือนผมซะอีก”
“เพราะเอ็นดูไงคะ รุ้งถึงอยากให้สยามทำให้มันจบโดยเร็ว ไม่ต้องกระอักกระอ่วนใจอย่างทุกวันนี้”
“ผมจะจบมันยังไง ในเมื่อพี่ชวาล...”
รุ้งกาญจน์เอ่ยปากสวนออกมา
“ถ้าคุณยังเป็นอา ที่ต้องแอบสวมรอยเป็นพ่อพิทย์ในจดหมาย แบบนี้มันไม่มีวันจบหรอกค่ะ...ให้พ่อลูกได้เจอกันเถอะนะคะ พ่อจะป่วยแค่ไหน ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะปิดบังความจริงกับลูกได้”
ชาติสยามครุ่นคิดนิ่ง
“คุณไม่เชื่อรุ้งใช่มั้ย”

รติรสนั่งอยู่คนเดียวเพียงลำพังรัมภ์เดินถือกล่องขนมมายืนข้างๆรติรส
“นั่งเล่นคนเดียวไม่เหงาเหรอ”
“แล้วพี่รัมภ์ล่ะ ไม่เหงาเหรอ เดินเล่นคนเดียวแบบนี้”
“พี่ใจแข็ง พี่ทนได้”
“แล้วพี่รัฐล่ะ”
“รายนั้นน่ะอ่อน อ่อนไหว อ่อนแอ อ่อนปวกเปียก”
“งั้นพี่รัมภ์ก็ควรจะอยู่เป็นเพื่อนเขาสิคะ”
รัมภ์ขยับตัวลงนั่งข้างๆรติรส
“เขาอยู่ในที่ที่เขาอยากอยู่แล้ว”
“ที่ไหน ?”
“ให้ทาย”
“เรือนนมผ่อน”
“ถูกต้อง แต่เขาไม่ได้ไปหาป้านมผ่อนหรอกนะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน แล้วนั่งนิ่งๆซักพัก
รติรสจึงเอ่ยปากขึ้น
“พี่รัมภ์ไม่คิดจะไปแถวนั้นบ้างเหรอ มานั่งตรงนี้ทำไม”
“พี่ก็อยากมาหาคนเหงาๆ เอาขนมชั้นมาฝากเขา เอาไว้ให้กินแก้เหงา”
รัมภ์ส่งกล่องขนมชั้นให้รติรส
“ที่จริงพี่จะเอาไปฝากขม แต่ไปไม่ทันพี่รัฐ...อย่าว่ากันนะ”
“ขอบคุณที่บอกให้รู้”
ทั้งสองต่างนั่งนิ่งๆกันต่อไป โดยไม่มีใครแตะต้องขนมชั้น

กลางคืนต่อเนื่องมา ชาติสยามขับรถเพียงลำพังกลางดึกสายตามองตรงไปเบื้องหน้า ค่อนข้างมีความเครียด

บ่ายที่ผ่านมารุ้งกาญจน์เอ่ยปากกับชาติสยามด้วยน้ำเสียงจริงจังและมีเหตุผล
“ถ้าเรายังปิดบังขมอย่างนี้ต่อไป คุณก็ต้องเขียนจดหมายปลอมๆมาบอกขมอย่างนั้นทีอย่างนี้ที คอยหาเหตุผลมาอ้าง หลบเลี่ยงไปเรื่อยๆ แล้วคุณคิดมั้ยว่า เมื่อถึงวันที่ความจริงถูกเปิดเผย ขมจะเป็นยังไง”
ชาติสยามนิ่งอึ้ง จำนน
“เธอคงจะดีใจสินะ ที่รู้ว่าทุกคนช่วยกันปิดบังเธอมาตั้งห้าปี ตั้งแต่วันที่พ่อของเธอยังไม่ป่วยมาก จนอาการหนักอย่างทุกวันนี้ เธอคงจะดีใจสินะ ที่ไม่ต้องรับรู้ทุกข์สุขที่แท้จริงของผู้เป็นพ่อ...แต่ถ้าเป็นรุ้ง รุ้งไม่ดีใจด้วยแน่ๆ”
ชาติสยามถอนหายใจ ยังคงพูดอะไรไม่ออก
“เชื่อรุ้งเถอะค่ะ พี่ชวาลกำลังต้องการกำลังใจจากขม เช่นเดียวกับที่ขมก็ต้องการพ่อของเธอ”
“แต่พี่ชวาลไม่อยากให้ขมเห็นพ่อของเขาในสภาพทุรนทุราย”
“คุณบอกรุ้งเองว่าเวลาของพี่ชวาลเหลืออยู่ไม่มากนัก...ถ้าเราไม่ให้ขมเจอพ่อตอนนี้ แล้วจะให้เจอเมื่อไหร่คะ หรือว่าพวกคุณตัดสินใจกันแล้ว ว่าจะไม่ให้โอกาสขมได้เจอหน้าพ่ออีกเลย”
ชาติสยามเหมือนจะยอมจำนนต่อเหตุผลของรุ้งกาญจน์

“ให้ขมได้พบพ่อตอนที่ยังมีเวลาเหลือเถอะค่ะ...แล้วทุกอย่างจะจบลงด้วยดี เชื่อรุ้งเถอะ”

รุ่งขึ้น ไพลินเดินเข้ามากลางโถงบ้าน ชาติสยามนั่งรออยู่อย่างสงบนิ่ง

“มีอะไรด่วนเหรอ ถึงมาหาป้าแต่เช้าอย่างนี้”
“ผมจะมาขออนุญาตคุณไพลิน พาขมไปพบพี่ชวาลครับ”
ไพลินมีอาการตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที
“ที่ไหน? จะไปพบกันที่ไหนแล้วนัดกันไว้แล้วเหรอ”
“ยังครับ ผมยังไม่ได้บอกพี่ชวาล เพราะพี่เขาเดินทางไปหลายๆที่ ก็เลยยังไม่แน่ใจว่าจะนัดเจอได้ที่ไหน แต่อยากจะขออนุญาตคุณป้าไพลินก่อน”
“ฉันอนุญาตอยู่แล้ว พ่อลูกพลัดพรากกันมาตั้งหลายปี...ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะห้ามเลยซักนิด”
“ขอบคุณครับ แต่คุณไพลินอย่าเพิ่งบอกขมได้มั้ยครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมไม่อยากให้แกคาดหวังมากไป เดี๋ยวจะผิดหวังเหมือนที่ผ่านมา”
“ก็อย่าทำให้ผิดหวังสิ ตามตัวตาชวาลให้เจอนะ ฉันเอาใจช่วย”
“ขอบคุณครับ”

ชาติสยามเดินออกมาจากเรือนใหญ่บุหงาเดินลงจากระเบียงเรือนเล็กตรงมาหาเขา
เธอเอ่ยปากออกมาลอยๆ
“ถ้าจะมาหาหลานสาวละก้อ คงช้าไป เธอไปโรงเรียนแล้วค่ะ”
ชาติสยามเดินเลี่ยงหนีไปอีกทาง โดยไม่พูดอะไร
บุหงาเดินตามไปใกล้ๆ
“เดี๋ยวค่ะ ดิฉันขอคุยหน่อยได้มั้ยคะ”
“ผมไม่คิดว่าเรามีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกัน”
“คุณโกรธฉัน เพราะคิดว่าฉันส่งคนไปทำร้ายคุณรุ้งกาญจน์ใช่มั้ยคะ”
ชาติสยามมองหน้าบุหงานิ่งรอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นบนใบหน้าเขา
“ผมไม่ปรักปรำใครโดยไม่มีหลักฐานหรอกครับ”
“ฉันไม่ได้ทำนะคะ จะให้ฉันไปสาบานที่ไหนก็ได้ คุณต้องเชื่อดิฉันนะคะ”
“ผมไม่เชื่อ ใครทั้งนั้น...ใครทำอะไรไว้ก็ขอให้เป็นเรื่องของเวรกรรมและกฎหมายบ้านเมืองก็แล้วกันครับ”
บุหงาจับแขนชาติสยาม ดึงรั้งเข้ามาหาตัว
“คุณยังไม่ได้ฟังความรู้สึกที่แท้จริงของฉัน แล้วจะเดินหนีฉันไปง่ายๆอย่างนี้ไม่ได้”
“คุณจะเอาอะไรมาห้ามผมล่ะ”
บุหงาตั้งใจโปรยยิ้มเซ็กซี่
“เสน่ห์ของคุณใช้กับผมไม่ได้หรอกครับ ขึ้นบ้านไปหาผัวคุณดีกว่า”
ชาติสยามเดินหนีจากบุหงาไปทิ้งให้บุหงายืนหงุดหงิดเพียงลำพัง

เวลาต่อเนื่องมา คุณหญิงรัตนเดชากรเดินก้าวเข้ามาในร้านอาหารหรูเธอตรงไปที่โต๊ะที่ดูดีที่สุด
นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั่งอยู่ที่นั่นเขาลุกขึ้นต้อนรับทันทีที่คุณหญิงเดินมาถึง
“สวัสดีครับคุณหญิง”
“สวัสดี มีอะไรจะสอบปากคำฉันเป็นการส่วนตัวเหรอคะ ถึงต้องนัดพบในที่แบบนี้”
“ผมยังไม่อยากให้เรื่องนี้ระแคะระคายไปถึงหูคนทั่วไปน่ะครับ โดยเฉพาะพวกนักข่าว”
“เรื่องอะไร...ใหญ่โตขนาดไหนกันเชียว”
“ลูกน้องในทีมของผม ที่ทำคดีคุณรุ้งกาญจน์ ตรวจพบสิ่งหนึ่ง ในกระเป๋าคนร้ายที่ตายไป และมันพาดพิงถึงท่านครับ”
“มันคืออะไร”
“นี่ครับ”
ตำรวจส่งกระดาษชิ้นหนึ่งให้คุณหญิง
ลักษณะกระดาษเหมือนถูกฉีกออกมาจากสมุดที่น่าสนใจคือข้อความที่ปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้น
มีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกาหมึกซึมว่า“ตระกูลรัตนเดชากร...ถุงเงินที่ไม่มีวันกินหมด...แฟรงกี้ 1952”
คุณหญิงอ่านข้อความแล้ว ถึงกับอึ้ง
“คุณหญิงพอจะทราบมั้ยครับ ว่ามันมีความหมายว่าอะไร”

คุณหญิงไม่อาจตอบคำถามข้อนี้ได้

อ่านต่อตอนที่ 11


กำลังโหลดความคิดเห็น