ดงผู้ดี ตอนที่ 9 : รังสรรค์พบแฟรงกี้ "คำขู่ - ความลับ" หายนะเริ่มแล้ว
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
เย็นวันเดิม นายตำรวจเดินเข้ากลางห้องสอบสวนในสถานีตำรวจ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายนั่งรวมกันอยู่ในห้องนี้ นายตำรวจคนนั้นอ่านรายงานที่ถืออยู่ในมือให้คู่กรณีฟัง
“ทะเลาะวิวาทกันหน้าโรงภาพยนตร์ ฝ่ายหนึ่งกล่าวหาว่าถูกล้วงกระเป๋าขโมยทองและเงินสด อีกฝ่ายหนึ่งปฏิเสธ ผู้กล่าวหาลงมือตบตี ผู้มาใหม่เข้ามาขวางและโต้ตอบด้วยการตบตีเช่นกัน...จากนั้นก็ตะลุมบอนกันจนเละ”
ระหว่างที่ตำรวจพูด คู่กรณีมีสีหน้าต่างกันไป
โขมพัสตร์และพจนีย์ ดูตื่นกลัวกับการขึ้นโรงพักไม่น้อยรุ้งกาญจน์ควบคุมสติได้ดีบุหงาดูหงุดหงิดร้อนรนใจ ส่วนหญิงชายคู่นั้นนั่งก้มหน้านิ่ง
นายตำรวจเงยหน้ากวาดตามองทุกคนในห้อง
“นี่มันไม่ใช่พฤติกรรมที่ผู้ดีควรกระทำเลยนะครับ คุณบุหงา รัตนเดชากร”
“ก็เขามาด่าดิฉันก่อน”
“อ้าว ก็ใส่ความเด็ก วางแผนจัดฉากปรักปรำเด็กว่าเป็นขโมย จะไม่ให้ด่าได้ยังไง คดีอาญาชัดๆ”
“ฉันไม่รู้เรื่องด้วย”
“หันไปดูหน้าเจ้าของสร้อยทองสิคะ แล้วจะรู้ว่าใครรู้เรื่องนี้บ้าง”
บุหงาหันไปจ้องชายหญิงคู่นั้น
“แกซัดทอดฉันเหรอ”
หญิง1 “เอ้อ”
บุหงากระชากคอผู้หญิงคนนั้น ด้วยโทสะ
“ฉันถามว่าแกซัดทอด ใส่ความฉันเหรอ”
“บอกไปเลยว่าเขาจ้างเท่าไหร่”
บุหงาตวาดใส่รุ้งกาญจน์ “หุบปาก”
“สารภาพอาจมีลดโทษนะ”
“ถ้าแกไม่หุบ ฉันหุบให้”
บุหงาหันมาเงื้อมือหมายจะตบรุ้งกาญจน์
นายตำรวจเอ่ยปากห้ามทันที
“หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้...ตบกันหน้าโรงหนังยังไม่พอ จะมาต่อกันที่โรงพักนี่อีกเหรอต่อหน้าต่อตาตำรวจเลยนะครับ เดี๋ยวจับขังทั้งหมู่เลยดีมั้ย”
ทุกคนจึงหยุดการตบตี นั่งก้มหน้านิ่ง
“ผมจะบอกให้ว่าคดีนี้ ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย เรามีประวัติของสองคนนี้อยู่” ตำรวจชี้ไป
ที่ชายหญิงคู่นั้น “คงจะสืบสวนหาความจริงได้ไม่ยาก แต่เบื้องต้นผมต้องเปรียบเทียบปรับทุกคน ข้อหาวิวาทกลางที่สาธารณะ เชิญคุณรุ้งกาญจน์พาเด็กออกไปรอผู้ปกครองข้างนอกก่อนครับ ผมขอแยกคู่กรณีเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายอีก”
“ได้ค่ะ”
โขมพัสตร์กับรุ้งกาญจน์เดินออกไปจากห้องนี้
ฝ่ายบุหงากระเถิบเข้าไปใกล้ตำรวจ เอ่ยปากด้วยเสียงออดอ้อน
“คุณตำรวจคะ ค่าปรับกรณีวิวาท ดิฉันยินดีจ่ายค่ะ ส่วนข้อหาจ้างวานปรักปรำทำร้ายเด็กนั่น”
“จะสารภาพเหรอครับ”
“เอ้อ ความจริงก็คือ ฉันแค่สร้างเรื่องขึ้นเพื่ออบรมสั่งสอนเด็กในบ้านน่ะค่ะ ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่สองคนนี่ทำเกินกว่าเหตุเอง”
หญิง1บอก “เราก็ทำตามที่คุณจ้าง”
“ยังอีก”
บุหงาดุใส่ชายหญิงคู่นั้นแล้วจึงหันไปอ้อนตำรวจอีกครั้ง
“เอ้อ ดิฉันพอจะขอเจรจายอมความได้มั้ยคะ เพื่อเห็นแก่ ชื่อเสียงของคุณหญิงรัตนเดชากร”
นายตำรวจผู้นั้นได้แต่เพียงยิ้ม
ด้านนอก โขมพัสตร์ขยับลงนั่งข้างๆรุ้งกาญจน์
“ถ้าวันนี้ขมไม่ได้อารุ้งช่วย คงแย่แน่ๆ...ขอบคุณอารุ้งมากๆนะคะ”
“คราวหน้าถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้ แล้วไม่มีอาอยู่ด้วยละก้อ ขมต้องตั้งสติให้ดีเชื่อมั่นในความถูกต้องของตัวเอง อย่าไปกลัวเกรงอะไรนะ”
“ค่ะ”
รุ้งกาญจน์ค่อยๆลูบศีรษะโขมพัสตร์อย่างเอ็นดู
“อารุ้งต้องมาเหนื่อยกับขมแท้ๆ”
“แค่นี้เรื่องเล็ก...หลานสาวชาติสยามก็เหมือนหลานอารุ้งเหมือนกัน”
“แล้วผู้ปกครองของขมที่ต้องมาโรงพักคือใครคะ”
“ก็อาสยามน่ะสิ จะมีใครล่ะ”
รังสรรค์เดินเข้ามาหน้าตาดุดัน
“ขยันสร้างเรื่องเสื่อมเสียให้ตระกูลฉันเหลือเกินนะ เด็กคนนี้”
รุ้งกาญจน์และโขมพัสตร์หันไปมองจ้องรังสรรค์
“ทำไมพูดอย่างนั้นคะ”
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้”
“คุณควรจะฟังข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ก่อนจะได้รู้ว่า ใครกันแน่ที่ขยันสร้างเรื่องเสื่อมเสียให้ตระกูลของคุณ”
“เธอเป็นคนนอกอย่าแส่มายุ่งเรื่องในครอบครัวฉัน”
“ฉันไม่เคยคิดอยากจะยุ่งกับตระกูลของคุณแม้แต่น้อย ถ้าพวกคุณจะไม่แส่มาพาดพิงถึงหลานสาวของชาติสยามคนนี้”
“โอ๊ย นังเด็กเทวดา ใครก็แตะไม่ได้ ขนาดตบตีเมียฉัน ลูกฉัน ยังต้องเอาอกเอาใจมันขนาดนี้”
“คุณนี่เป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ไม่ได้จริงๆ ขมตัวแค่นี้จะไปตบตีคนของคุณถึงสองคนได้ยังไง”
“งั้นก็เธอละสิ ที่เป็นคนลงมือ”
รุ้งกาญจน์ยิ้มเยาะให้อย่างไม่ปฏิเสธ
“ฉันรังเกียจความอยุติธรรม และการเอารัดเอาเปรียบ”
รังสรรค์กระเถิบตัวเข้าไปชิดรุ้งกาญจน์
“นี่ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงละก้อ”
“จะทำไมเหรอคะ สำหรับฉันแล้ว ผู้หญิงกับผู้ชายไม่แตกต่างกัน ถ้าคุณอยากจะใช้กำลังทำร้ายผู้ชายยังไง ก็เชิญเลย ไม่ต้องเกรงว่าฉันเป็นผู้หญิง”
“ท้าฉันเหรอ คิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ”
“คุณกล้าอยู่แล้ว...โดยเฉพาะเรื่องหน้ามืดตามัว ไร้เหตุผล คุณกล้าทำอยู่แล้ว ฉันรู้”
“อยากเจ็บตัวก็เอา”
รังสรรค์เงื้อมือขึ้น หมายตบหน้ารุ้งกาญจน์เต็มแรง
ทันใดนั้น มือของชาติสยามก็เข้ามาจับมือรังสรรค์ไว้
“แต่ผมไม่ยอมให้คุณทำอย่างนั้นแน่”
รังสรรค์หันไปจ้องหน้าชาติสยาม
“คิดว่าจะห้ามฉันได้เหรอ”
“ก็ห้ามอยู่นี่ไง”
รังสรรค์สะบัดมือออก แล้วชกที่หน้าชาติสยามหนึ่งหมัด
ชาติสยามตอบโต้กลับไปด้วยหมัดที่หนักกว่า รังสรรค์ถึงกับล้มคว่ำ
รังสรรค์คว้าของหนักใกล้ตัวทุ่มใส่ชาติสยาม
ชาติสยามจับรังสรรค์เหวี่ยงจนกระเด็น
เจ้าหน้าที่เข้ามาแยกคู่กรณีออกจากกัน
นายตำรวจคนเดิมตะโกนดุ เสียงดังลั่น
“พวกคุณโกรธอะไรกันนักหนา ผมเพิ่งห้ามข้างในหยกๆ นี่ออกมาชกต่อยกันข้าง
นอกอีก นอนในกรงซักคืนสองคืนจะใจเย็นขึ้นบ้างมั้ย”
รังสรรค์และชาติสยามจ้องหน้ากันนิ่ง แววตากร้าว
ต่อมาในรถ รังสรรค์ขับรถโดยมีบุหงานั่งเบาะด้านข้าง และพจนีย์นั่งเบาะตอนหลัง
บุหงาเอ่ยปากพูดขึ้นท่ามกลางความหงุดหงิด ตึงเครียดของทุกคน
“คุณพี่ไม่น่าไปลงไม้ลงมือกับคุณชาติสยามเลย...คดีเก่ากำลังจะยอมความจบเรื่องอยู่แล้วเชียว หาเรื่องสร้างคดีใหม่ให้ต้องเสียเวลาพรุ่งนี้อีกวัน ไม่เข้าท่าจริงๆ”
“แล้วที่เธอทำไปน่ะมันเข้าท่านักเหรอ...เธอเพิ่งทำให้ชื่อเสียงของฉันและวงศ์ตระกูลของฉันต้องเสื่อมเสีย ยังมีหน้ามาแขวะฉันอีก ไม่รู้ตัวบ้างเลยรึไง”
“คุณพี่มาว่าน้องได้ยังไง น้องทำทุกอย่างตามความต้องการของพจนีย์ คุณพี่ถามพจนีย์ก็ได้”
“อย่ามาโทษลูกสาวฉันนะ”
“พ่อคะพจน์”
“เงียบ ไม่ต้องพูด...” รังสรรค์พูดกับบุหงา “เราเป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า แทนที่จะชี้นำอะไรที่มันดีๆ กลับพากันทำเรื่องผิดๆแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหน...เวลาคนเขาด่าน่ะเขาไม่ได้ด่าเฉพาะเด็กหรอก เขาด่าถึงโคตรเหง้าเหล่ากอทั้งหมด เข้าใจมั้ยบุหงา...มีความคิดบ้างมั้ย”
“ทำดีไม่เคยได้ดี ซวยวันยังค่ำ...ถามจริงๆเถอะ คุณพี่ไม่คิดจะอบรมลูกสาวตัวเองบ้างเลยใช่มั้ยคะ”
รังสรรค์เงียบ พจนีย์จึงเอ่ยปาก
“ถึงบ้าน แล้วพจน์จะไปขอโทษมันเอง...จะขอโทษให้หนักเลย”
รังสรรค์เหลือบมองดูพจนีย์
กลางคืนต่อมา ประตูบ้านถูกเปิดออก
รุ้งกาญจน์เดินนำโขมพัสตร์และชาติสยามเข้ามาในบ้านหลังนี้
โขมพัสตร์ดูจะตื่นเต้นนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในบ้านหลังนี้
“เชิญตามสบายนะคะ บ้านกิจจานุรักษ์ยินดีต้อนรับทุกคน โดยเฉพาะ ขม”
“ขมนอนที่นี่ได้เหรอคะ”
“ได้สิ อาขออนุญาตคุณหญิงให้แล้ว ท่านเห็นด้วย ดีกว่ากลับไปมีเรื่องกันที่บ้านพุทธชาดอีก”
“จะไม่กวนอารุ้งเกินไปเหรอคะ”
“ไม่เลยซักนิด บ้านนี้มีแค่อากับป้าของอาอยู่กันสองคนเท่านั้น และอาทิตย์นี้ป้าก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด มีขมมาอยู่ด้วยยิ่งดี อาจะได้ไม่เหงา...อาพาขมไปดูห้องนอนดีกว่า ตามมาเลย”
รุ้งกาญจน์เดินนำหน้าโขมพัสตร์ไปยังห้องนอนห้องนั้น
ชาติสยามมองตาม ยิ้ม สบายใจ
รถรังสรรค์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านรติรสวิ่งตรงไปที่รถ พอดีกับที่พจนีย์เปิดประตูรถก้าวออกมา
“พจน์ เป็นยังไงบ้าง ที่โรงพักน่ากลัวมั้ย...พี่อยากจะไปหาพจน์ด้วย แต่พ่อไม่ให้ไป”
พจนีย์หันไปหารังสรรค์ที่เพิ่งก้าวลงจากรถพร้อมๆกับบุหงา
“นี่รู้กันทั้งบ้านแล้วใช่มั้ยคะพ่อ”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะปิดใครได้ยังไง”
“นังขมกลับมารึยัง” บุหงาถาม
“ยังค่ะ ป้าไพลินบอกว่าขมไปนอนบ้านคุณรุ้งกาญจน์”
“นกรู้จริงนะนังนี่”
บุหงาเดินเข้าบ้านไปในทันที
“พจน์ตบตีกับเขาด้วยรึเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ย”
“ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดีหรอก พี่รสดีใจใช่มั้ยล่ะที่พจน์โดนอย่างนี้”
“ทำไมพูดอย่างนั้น”
“อิจฉาพจน์มานานแล้วนี่ สะใจละซีคราวนี้”
รังสรรค์เอ่ยปากเสียงเข้ม ตำหนิพจนีย์
“พจนีย์ พูดจากับพี่สาวให้ดีหน่อย...แล้วก็รีบไปที่เรือนใหญ่เลย คุณย่ารออยู่”
พจนีย์เดินมากลางโถงเรือนใหญ่ บ้านพุทธชาด คุณหญิงรัตนเดชากรนั่งรออยู่อย่างน่าเกรงขาม
“คุณย่าเรียกพจน์ทำไมคะ...มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ถ้าไม่รู้ว่าย่าเรียกมาทำไม ก็กลับไปซะเถอะ”
พจนีย์ยักไหล่นิดๆ แล้วขยับตัวจะเดินออกไป
คุณหญิงตะโกนไล่หลังผู้เป็นหลานสาว
“แล้วก็เก็บเสื้อผ้าออกไปจากพุทธชาดซะเลยนะ ที่นี่ไม่นิยมเลี้ยงดูคนที่ไม่มีสมอง”
พจนีย์หันกลับมามองจ้องหน้าคุณหญิงย่า
“คุณย่า !”
“รู้รึยังว่าฉันเรียกเธอมาทำไม”
พจนีย์แสดงท่าทีถอนใจก่อนเอ่ยปาก
“พจน์แค่จ้างคนไปตบหน้านังขม คุณย่าถึงกับไล่พจน์ออกจากบ้านอย่างนี้เลยเหรอคะ”
“แค่ ?...เธอใช้คำว่า “แค่” เหรอ”
“ก็พจน์หมั่นไส้มัน มันเป็นแค่เด็กที่ถูกพ่อทิ้ง แต่ทุกคนเอาใจมันเหลือเกิน จนหลังๆนี้มันกล้าเถียงพ่อหน้าดำหน้าแดง พจน์ก็ต้องสั่งสอนมันบ้าง”
“เธอมีดีอะไรถึงจะไปสั่งสอนเขา ที่เธอเชิดหน้าชูตาอยู่ในบ้านนี้ได้ ก็เพราะเธอเป็นลูกนายรังสรรค์ นอกนั้นแล้วเธอมีอะไรที่ดีงามกว่าเด็กที่ถูกพ่อทิ้งอย่างขมบ้าง”
พจนีย์ถึงกับอึ้ง หน้าหงาย เมื่อได้ยินผู้เป็นย่าตักเตือนเธออย่างนี้
น้ำตาของเธอค่อยๆไหลเอ่อล้นออกมา
“คุณย่า !”
“ถ้าคิดจะเอาชนะใคร ก็ต้องชนะด้วยความสามารถ ด้วยศักดิ์ศรี และคุณงามความดี ไม่ใช่ใช้กำลัง จำไว้...ไปได้”
พจนีย์เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
คุณหญิงรัตนเดชากรมองตามด้วยความหนักใจ
รติรสเดินไปตามระเบียงบ้านจนเห็นพจนีย์นั่งร้องไห้อยู่ รติรสค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งข้างผู้เป็นน้อง
“คนดีไม่ควรมานั่งกับคนเลวให้เสียราศี”
“เราเป็นพี่น้องกันนะพจน์ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสายเลือดของเราได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ก็รักน้องสาวคนนี้เสมอ”
“ยิ่งพูดพี่ก็ยิ่งเป็นนางเอก ส่วนพจน์ก็เป็นได้แค่ตัวอิจฉาแย่ๆคนนึง”
“ตัวอิจฉาก็กลับใจได้นี่...”
“จะพยายาม”
รติรสเอื้อมมือโอบไหล่ผู้เป็นน้อง
“พี่ไม่ได้รักนังขมมากกว่าพจน์ใช่มั้ย”
“ไม่มีทาง เราสองคนลูกพ่อแม่เดียวกันนะ”
“อือม”
“จะขอโทษขมมั้ย”
“ก็คงงั้น”
“ในฐานะพี่สาว พี่ขอแนะนำว่า ถ้าพจน์ไม่ชอบหน้าเขา พจน์ก็อย่าไปยุ่งกับเขาต่างคนต่างอยู่ ก็จะไม่มีปัญหา”
“ในฐานะน้องสาว พจน์ก็ขอเตือนพี่ว่า นังขมคือตัวอันตราย...วันนึงมันจะแย่งของรักของหวงทุกอย่างของพี่ไป เชื่อพจน์สิ”
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เหนือบ้านรุ้งกาญจน์
โขมพัสตร์เดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังพื้นที่ห้องครัวรุ้งกาญจน์กำลังทำกับข้าวอยู่ที่นั่น
เธอทักทายขมด้วยน้ำเสียงสดใส
“ตื่นเร็วจังเลย ขม เมื่อคืนก็นอนดึกออก”
“ขมตื่นเพราะกลิ่นอาหารของอารุ้งน่ะค่ะ”
“อ้าว”
“หอมน่ากินจังค่ะ”
“ไปนอนต่ออีกหน่อยเถอะ เสร็จแล้วอาไปเรียก”
“ไม่เอา ขมช่วยอาดีกว่า”
รุ้งกาญจน์ส่ง อะไรบางอย่างที่ไม่ยากนักให้โขมพัสตร์ช่วย
“อารุ้งทำกับข้าวเองทุกวันเหรอคะ”
“เฉพาะวันที่ป้าไม่อยู่...เดี๋ยวก็รู้ว่าจะกินได้มั้ย”
“กินเสร็จแล้ว เราก็จะไปบ้านพุทธชาดกัน”
“เย็นๆค่อยไปไม่ได้เหรอคะ ขมยังไม่อยากกลับไปที่นั่นเลย”
“ไม่ได้ ต้องรีบไป เพราะขมจะต้องไปจัดกระเป๋าเสื้อผ้า เพื่อมาอยู่ที่นี่ต่ออีกอาทิตย์นึงไง ไม่เอาเหรอ”
“จริงเหรอคะ อาสยามรู้รึยัง”
“เขาจะเป็นคนขออนุญาตคุณหญิงเอง”
“ไชโย”
ขมกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
“แล้วอาสยามจะมากินข้าวเช้ากับเรามั้ยคะ”
“เขาต้องไปเคลียร์เรื่องที่โรงพักก่อนจ้ะ”
ชาติสยามเดินออกมาจากโรงพัก ตรงมาที่รถของเขาบุหงาเดินเข้ามายืนชิดติดประตูรถ
“คุณบุหงา”
“ดิฉันมาเซ็นชื่อจ่ายค่าปรับน่ะค่ะ คุณชาติสยามก็คงเหมือนกันใช่มั้ยคะ”
“ครับ ผมเรียบร้อยแล้ว”
“เอ้อ จะเป็นการรบกวนมั้ยคะ ถ้าดิฉันจะขอติดรถคุณชาติสยามไปด้วย”
“อือม”
“คือ คุณรังสรรค์ส่งดิฉันไว้ที่นี่ แล้วก็ทิ้งไปเลย ดิฉันไม่ค่อยคุ้นแถวนี้ด้วยสิ”
“คุณบุหงาจะไปไหนล่ะครับ”
“ไปไหนก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณชาติสยาม”
“ห๊ะ”
“เอ้อ หมายความว่า คุณชาติสยามไปทางไหน ดิฉันก็ไปลงแถวนั้นแล้วนั่งแท็กซี่กลับก็ได้ค่ะ”
“เชิญครับ”
บุหงาขยับตัวเข้าไปนั่งในรถชาติสยาม หน้าตาเบิกบานทันที
“เราจะไปไหนกันดีคะ”
“บ้านสามีคุณไงครับ ดีที่สุด”
ชาติสยามขับรถหน้านิ่ง บุหงายังคงมีรอยยิ้มอย่างไม่ลดละ
“คุณชาติสยามคะ”
“ครับ”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...ดิฉันยังไม่มีโอกาสได้อธิบายเลย”
“ไม่จำเป็นครับ ผมได้อ่านรายละเอียดทั้งหมดในบันทึกประจำวันของตำรวจเรียบร้อยแล้ว”
“แต่มีความจริงที่ไม่มีใครรู้มากกว่านั้นนะคะ”
“งั้นเหรอ ?”
“ดิฉันไม่ได้มีเจตนาแกล้งขม หรือคิดจะทำร้ายขมเลยนะคะ”
“คุณให้การรับสารภาพกับตำรวจไปแล้วนะครับ”
“ดิฉันทำเพื่อปกป้องพจนีย์ต่างหาก”
“คุณจะบอกผมว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะคุณพจนีย์ ?”
“ค่ะ เธอได้นิสัยรุนแรงมาจากพ่อเธอเต็มๆเลย”
“ฟังดูเหมือนคุณกำลังซัดทอดเธอ มากกว่าปกป้องเธอนะครับ”
“มันเป็นความจริงค่ะ เพราะอยู่ต่อหน้าคุณชาติสยาม ดิฉันพูดอย่างอื่นไม่ได้นอกจากความจริงเท่านั้น”
“ขอบคุณที่บอกครับ”
“และความจริงจากหัวใจดิฉันอีกเรื่องนึงก็คือ”
บุหงาเอื้อมมือไปแตะที่มือชาติสยามอย่างแผ่วเบา
ชาติสยามเอ่ยปากเสียงเข้ม
“อย่าถูกตัวผมขณะขับรถครับ นี่คือความจริงจากใจของผม”
ต่อมา โขมพัสตร์กำลังพับเสื้อผ้าห้าหกชุดใส่ลงในกระเป๋า นมผ่อนยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“หมู่นี้ได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านบ่อยจังนะจ๊ะ”
“อยู่มาตั้งสี่ห้าปี ก็เพิ่งจะได้ไปไหนๆบ้างก็ไม่กี่วันนี้เองจ้ะป้า”
“ไปแล้วไม่ไปลับนะ...อย่าทิ้งให้ป้าเหงาอยู่ที่นี่คนเดียวนะล่ะ”
“อาทิตย์เดียวจ้ะป้านมผ่อน นานกว่านี้เกรงใจอารุ้งแย่...เอ หรือขมจะขออนุญาตอารุ้ง เอาป้านมผ่อนไปอยู่ด้วยกัน ดีมั้ย อารุ้งรออยู่หน้าบ้านนี่เอง”
“พูดเป็นเล่น”
“จริง อารุ้งจะต้องดีใจ”
“จ้างก็ไม่เชื่อ”
“ถึงเชื่อก็ไม่ไปหรอก ขมรู้...ป้ารักที่นี่จะตาย ป้าไม่มีวันทิ้งคุณหญิงไปไหนหรอก...ใช่มั้ยล่ะ”
โขมพัสตร์กอดนมผ่อนอย่างสนิทสนมกลมเกลียว
รถชาติสยามแล่นมาจอดหน้าบ้านพุทธชาด ในรถ บุหงายังคงนั่งนิ่งไม่ขยับตัวออกจากเบาะ
เธอเอ่ยปากเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ที่จริงไม่ต้องรีบมาส่งดิฉันที่นี่ก็ได้นะคะ เรายังนั่งรถเล่นกันได้อีกตั้งนานสำหรับคุณชาติสยามแล้ว ดิฉันว่างทั้งวันค่ะ”
“แต่ผมไม่ว่างครับ ถึงว่างผมก็คงเลือกทำอย่างอื่น ที่ไม่ใช่นั่งรถเล่นกับคุณบุหงา”
บุหงาเหลือบมองไปในบ้านเห็นไกลๆว่า รุังกาญจน์เดินเข้ามา เธอมองมายังรถชาติสยาม
บุหงาหันไปส่งเสียงออดอ้อนกับชาติสยามอีกครั้ง
“แหมจะรีบตัดรอนน้ำใจดิฉันทำไมคะ”
“เชิญลงจากรถผมเถอะครับ”
บุหงาจับชายกระโปรงของเธอยัดไปเกี่ยวกับก้านเหล็กที่ใช้ดึงพนักเบาะ
“อุ๊ย กระโปรงติดน่ะค่ะ คุณชาติสยามช่วยหน่อยได้มั้ยคะ กระโปรงดิฉันติดอะไรก็ไม่รู้”
บุหงาแอ่นร่างของเธอให้ชาติสยามดูชายกระโปรง
“ได้ครับ”
ชาติสยามลงจากรถเดินอ้อมมาที่ประตูด้านบุหงา
บุหงาปรายตายิ้มเยาะไปที่รุ้งกาญจน์
รุ้งกาญจน์เพ่งตามองมาที่บุหงา
ชาติสยามยืนข้างประตูรถแล้วเอ่ยปากเรียกรุ้งกาญจน์
“รุ้ง ช่วยคุณบุหงาหน่อยสิ กระโปรงเธอติดประตูรถน่ะ”
บุหงาหน้าเสีย
ชาติสยามก้มลงไปพูดกับบุหงา
“รุ้งกาญจน์คนรักของผมจะมาช่วยดูให้นะครับ ผมจะรีบไปกราบคุณหญิง”
“ค่ะ”
ชาติสยามเดินออกไป รุ้งกาญจน์จึงเดินมาแทนที่พอดีเธอเกาะประตูรถพูดกับบุหงา
“จะให้ฉันกระชากประตูหรือกระชากกระโปรงดีคะ”
“อย่ายุ่งดีกว่า ฉันทำเองได้”
“แต่เมื่อกี้เห็นทำท่าแอ่นไปแอ่นมา เหมือนจะเป็นจะตาย...จำมาจากดาวยั่วในหนังใช่มั้ยคะ”
“แกคงคิดว่าแกเป็นนางเอกล่ะสิ”
“อย่างน้อยก็ผู้ช่วยนางเอกละวะ”
“แต่ฉากจบของผู้ช่วยนางเอกมักอกหักนะ ขอบอก”
“แล้วฉากจบของดาวยั่วล่ะ เป็นยังไงรู้มั้ย”
“ก็ได้ตบหน้าพวกนางเอกน่ะสิ”
บุหงาเงื้อมือตบรุ้งกาญจน์
รุ้งกาญจน์ตบตอบ...ทั้งคู่ต่างยืนซัดฝ่ามือกันคนละทีสองที
ต่อมา ในรถชาติสยามที่กำลังวิ่งรุ้งกาญจน์นั่งหน้าใสไร้ร่องรอยอยู่ข้างๆส่วนโขมพัสตร์ ยื่นหน้ามาจากเบาะหลัง ยิ้มแย้ม อารมณ์ดี
“คุณไปเรียนมวยมาจากอีสานจริงๆเหรอ”
“กระบี่กระบองด้วยค่ะ”
“ทำไมต้องลงทุนขนาดนั้น”
“ผู้เฒ่าที่นั่นสอนให้ฟรี ไม่เสียเงินเลยซักบาท”
“ผมไม่ได้หมายถึงเงิน ผมหมายถึงร่างกาย ผู้หญิงสวยๆจะมาเสี่ยงกับการใช้กำลังแบบนี้ทำไม”
“แต่ขมว่าเรียนแล้วได้ผลนะอา ดูสิอารุ้งไม่มีริ้วรอยอะไรเลย แต่คุณบุหงาน่ะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง”
โขมพัสตร์และรุ้งกาญจน์หัวเราะชอบใจ
ใบหน้าบุหงา หน้าตายับเยินจากการดวลตบกับรุ้งกาญจน์ เธอเดินเข้ามากลางโถงบ้าน พร้อมตะโกนสั่งสาวใช้ใกล้ตัว
"ไปเอาน้ำเย็นแก้วใหญ่ๆมาให้ฉัน และก็หยิบล่วมยาในตู้มาให้ฉันด้วย"
บุหงาเดินจนถึงบริเวณรับแขกแล้วชะงัก เห็นแฟรงกี้นั่งเอนตัวเอกเขนกอยู่ที่นั่น
"แก"
"ทำไมกระเซอะกระเซิงถึงขนาดนี้ล่ะดาร์ลิ้ง ไปฟัดกับใครมา"
"ตอบฉันมาก่อนว่าแกขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง"
"สาวใช้คนเมื่อกี้แหละพามา...ยูอย่าไปว่ามันนะ เพราะไอบอกมันว่า ยูสั่งไว้ และห้ามบอกใครทั้งนั้นด้วย"
"แกคิดว่าที่นี่เป็นบ้านแกเหรอ ถึงได้ทำอะไรตามใจอย่างนี้"
"ไม่ใช่บ้านไอ...แต่เป็นบ้านลูกหนี้ของไอ ซึ่งก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่...วิธีที่จะไล่ไอไปไวๆ ก็คือ รีบจ่ายเงินมา"
บุหงาหยิบเงินปึกใหญ่จากในกระเป๋าส่งให้แฟรงกี้
"ฉันสวดมนต์ภาวนาทุกคืน ขอให้แกตายไวๆ"
"งั้นยูน่าจะใช้งานไออีกสักครั้งก่อน ที่ไอจะตาย"
"ฉันไม่มีอะไรต้องใช้แกอีกแล้ว"
"แน่เหรอ...สาวสวยนักบู๊ที่เพิ่งซัดยูซะกระเจิงคนนั้นน่ะ ยูไม่อยากเอาคืนเหรอ"
บุหงาจึงค่อยๆครุ่นคิด
"รับรอง ถ้าแฟรงกี้จัดให้ละก้อ จะแสบเข้าไปถึงทรวงเลยหละ...สนใจใช้บริการก็บอกนะ...ไม่ได้ผล ยินดีคืนเงินทุกบาททุกสตางค์"
เวลาเดียวกัน รังสรรค์เดินออกมาจากห้องประชุม ปะปนไปกับหมู่นักวิชาการหลายสาขา คณะครูสองสามคนเดินตามมาส่งรังสรรค์
"ขอบคุณคุณรังสรรค์มากนะครับ ที่ให้การสนับสนุนโครงการของโรงเรียนเล็กๆอย่างเรา"
"กระทรวงมีนโยบายสนับสนุนงานวิชาการทุกระดับครับ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเยาวชนครับ...เจอกันอีกทีวันงานนะครับ"
ทุกคนยกมือไหว้ร่ำลา และเดินแยกย้ายกันไป
ชายสูงวัยผมสีดอกเลาคนหนึ่งเดินเข้ามาหารังสรรค์
"สวัสดีครับคุณรังสรรค์"
"สวัสดีครับ"
ชายชราจ้องมองรังสรรค์ จนรังสรรค์รู้สึกแปลกๆ
"มีอะไรรึเปล่าครับ"
"ผมไม่คิดว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีก"
"ผมเคยรู้จักคุณเหรอครับ"
"ผมคือคนที่ทำคลอดลูกสาวคุณ...ทั้งสองคน"
รังสรรค์ถึงกับอึ้งอย่างเห็นได้ชัด
มุมสงบเงียบไร้ผู้คนของสถาบันเดิม รังสรรค์และชายสูงวัยนั่งทอดสายตาไปไกลอยู่ในบริเวณนี้
"หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เคยทำคลอดให้ใครอีกเลย...ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยนอนหลับได้เต็มตาเลยซักคืน ผมกลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆอย่างไม่มีความสุข"
"คุณกำลังจะโทษว่าเป็นความผิดของผม ?"
"ผมคิดอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ เพราะทุกคนมีสิทธิ์เลือกและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง...ฉะนั้น กรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นการจงใจกระทำของผู้ก่อกรรมทั้งสิ้น"
"แล้วหมอมาทำอะไรที่นี่"
"ผมมางานสัมนางานเดียวกับคุณรังสรรค์นั่นแหละครับ...ผมทำงานให้มูลนิธิเพื่อเด็กกำพร้า เราให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเยียวยาสตรีทุกคนที่มีปัญหาจากการแท้งบุตร...คุณอยากอุปการะมูลนิธิเราบ้างมั้ยครับ"
รังสรรค์คิดตาม
"ถ้าคุณมีปัญหาเช่นเดียวกับผม...ผมขอแนะนำว่าการทำบุญกับเด็ก จะช่วยเยียวยาจิตใจเราได้มากทีเดียวครับ"
เวลาเดียวกัน รติรสเดินออกมาจากตึกเรียน เมื่อมาถึงหน้าตึก รัฐยืนรออยู่แถวนั้นและส่งยิ้มให้รติรส
" พี่รัฐ มาทำอะไรหน้าคณะนี้คะ"
"พี่มารอรสน่ะสิ"
"รอรส !"
"ใช่...รสมีเรียนต่อรึเปล่า"
"วันนี้มีเรียนถึงห้าโมงเย็นค่ะ"
"เรียนเสร็จแล้วพี่ขอคุยด้วยได้มั้ย คุยเสร็จก็กลับบ้านกับพี่ไง"
"หน้าตาพี่รัฐเหมือนมีเรื่องสำคัญ"
"ถ้าไม่สำคัญพี่ไม่มากวนรสหรอก...พี่คิดดูแล้ว ไม่มีใครช่วยพี่ได้นอกจากรสคนเดียวเท่านั้น"
"เรื่องอะไรคะ"
"เรื่อง ขม"
รติรสอึ้งไปนิดนึง
"ขม...แล้วเกี่ยวอะไรกับรสคะ"
"รสเป็นคนเดียวที่โน้มน้าวให้ขมหันมาสนใจพี่ได้"
ความน้อยใจค่อยๆก่อตัวขึ้นในจิตใจของรติรส แต่เธอพยายามวางท่าทีให้เป็นปกติที่สุด
"เหรอคะ"
"ใช่ ขมเชื่อทุกอย่างที่รสแนะนำ ซึ่งก็จะทำให้พี่อยู่ในสายตาของขมได้"
"รส...เอ้อ...รสไม่แน่ใจค่ะ"
"แล้วเราค่อยคุยกันเย็นนี้...เรียนเสร็จแล้วรอพี่ตรงนี้นะ"
"ค่ะ"
รัฐเดินกลับไปยังตึกคณะของตน
บ่ายต่อเนื่องมา รังสรรค์เดินตรงไปที่โต๊ะหนังสือของเขา เปิดลิ้นชัก มองหาสมุดบัญชีธนาคาร
บุหงาเดินเข้ามาเห็นท่าทีของสามี สีหน้าของบุหงาไม่ค่อยดีนัก
เธอรวบรวมสติ แล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงและท่วงท่าที่เป็นปกติ
"คุณพี่กลับเร็วจัง"
"วันนี้มีสัมนาอย่างเดียว เสร็จแล้วก็กลับเลย"
"น้องเอาน้ำเย็นๆให้นะคะ"
บุหงาขยับตัวจะเดินออกไปทางครัว
รังสรรค์เอ่ยปากเรียก เสียงห้วน
"บุหงา"
บุหงาถึงกับชะงัก
"เห็นสมุดบัญชีธนาคารของฉันมั้ย"
"อ๋อ...อยู่ที่น้องเองค่ะ"
"ทำไมไปอยู่ที่เธอ"
"น้องไปเบิกค่าใช้จ่ายในบ้านน่ะค่ะ แล้วลืมเอามาเก็บ ยังอยู่ในกระเป๋าอยู่เลย นี่ไงคะ"
บุหงาหยิบสมุดบัญชีธนาคารทั้งหมดออกมาจากกระเป๋า ชูให้ผู้เป็นสามีดู
"สามเล่มเลยเหรอ"
"ค่ะน้องถือติดไปน่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่าใช้เล่มไหน...คุณพี่จะถอนเท่าไหร่คะ พรุ่งนี้ น้องไปเบิกที่ธนาคารให้ก็ได้"
"ไม่ต้อง เธอไปเตรียมเหล้า น้ำแข็งให้ฉันดีกว่า เอาสมุดบัญชีมานี่"
"ค่ะ"
บุหงาจำใจส่งสมุดบัญชีให้รังสรรค์
รังสรรค์รับมาเปิดดู หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยความฉงน คิ้วขมวดเข้าหากัน
"ทำไมเดือนนี้ค่าใช้จ่ายเยอะนัก"
"เอ้อ" บุหงาอ้ำอึ้ง
"เบิกจากทุกบัญชี บัญชีละสามหมื่น สามครั้ง ค่าใช้จ่ายอะไรของใครกันแน่"
"เอ้อ"
รังสรรค์เดินเข้าไปจ้องหน้าบุหงาใกล้ๆ
"เธอติดการพนันเหรอ"
"ไม่ใช่ค่ะ"
"แล้วเอาเงินไปทำอะไร"
บุหงาตัดสินใจเลือกวิธีที่จะเอ่ยปากเรื่องนี้
"น้องเอาไปให้ แฟรงกี้"
รังสรรค์โกรธจัด เลือดขึ้นหน้า
"ไอ้หมอนี่มันเป็นอะไร ทำไมเธอต้องให้เงินมันขนาดนั้น มันขู่กรรโชกเธอเหรอ หรือว่ามันเป็นชู้ของเธอ"
รังสรรค์กระชากไหล่บุหงา
"น้องทำเพื่อคุณพี่นะคะ"
"เพื่อฉัน ?...เป็นชู้กับมันเพื่อฉันน่ะเหรอ"
"น้องไม่ได้เป็นชู้กับมัน แต่เราเป็นหนี้บุญคุณมัน"
"เป็นหนี้มัน ?"
"แฟรงกี้คือคนที่ช่วยตามสืบจนรู้ว่า เมียเก่าของพี่มีชู้ไง"
รังสรรค์ชะงัก อึ้ง
"เธอรู้ได้ยังไง"
"พี่บุปผาเล่าให้ฟังก่อนตาย...แฟรงกี้ขอเงินจากพี่บุปผา แลกกับการไม่เปิดเผยความลับของตระกูลรัตนเดชากร"
"ความลับอะไร"
"น้องไม่รู้ รู้แต่ว่า พี่บุปผาต้องหาเงินให้มันทุกเดือนๆ พอพี่บุปผาตาย ภาระก็ตกมาอยู่ที่น้อง"
"ทำไมเธอไม่เคยบอกฉัน"
"เพราะน้องไม่อยากให้คุณพี่ไม่สบายใจ อะไรที่น้องตัดสินใจได้เลย น้องก็ทำเองเลย"
"ด้วยวิธีขโมยเงินจากบัญชีของฉัน ?"
"เงินส่วนตัวน้องมีไม่พอนี่คะ"
รังสรรค์ครุ่นคิดอีกนิด ก่อนพูดต่อ
"แน่ใจนะว่า ไม่ได้เอาอย่างอื่นเข้าแลกกับมัน"
"อย่างอื่นของคุณพี่คืออะไร"
"ตัวเธอไง"
"ดูถูกน้องเกินไปแล้วนะคะคุณพี่"
"เสียตัวให้มันด้วยรึเปล่า"
"ถ้าพูดอย่างนี้ ก็อย่าอยู่ด้วยกันให้เสียเวลาเลย...หย่ากันดีกว่า"
บุหงาสะบัดมือหนีจากรังสรรค์
รังสรรค์ตามไปกระชากแขน เหวี่ยงบุหงา จนกระเด็นไปกระแทกโต๊ะ ตู้
รังสรรค์ปราดเข้าไปพูดใส่หน้าบุหงา
"วันใดที่เธอคิดจะหย่ากับฉัน...เพียงแค่คิดเท่านั้น เธอจะไม่มีโอกาสหายใจอีกต่อไป"
บุหงาตอบโต้ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวไม่แพ้กัน
"วันใดที่คุณพี่ใช้ความรุนแรงกับน้อง วันนั้นความลับของคุณพี่ ก็จะถูกขุดคุ้ยออกมาแฉเช่นกัน และเสียงมันก็จะดังจนไปถึงหูของคนที่พี่ไม่อยากให้เธอรู้...พอจะจำได้มั้ยคะว่ามันคือความลับเรื่องอะไร"
สิบเจ็ดปีก่อนหน้านี้ สาวร่างบางคนหนึ่ง นั่งข้างๆ รถเข็นเด็ก เธอคือบุปผาที่หน้าตาซึมเศร้า
บุหงาในวันนั้น หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ผู้เป็นพี่สาว ก้มหน้าไปแหย่เล่นกับทารกในรถเข็นนั้น
"ลูกสาวพี่บุปผานี่ น่ารักน่าชังดีจังนะคะ"
"เหรอ"
"โตขึ้นสวยไม่แพ้แม่แน่ๆ"
"ฉันกลัวว่าโตมาแล้วหน้าจะไม่เหมือนฉันมากกว่า"
"ไม่เหมือนแม่ก็เหมือนพ่อ ไม่เห็นต้องกังวล"
"มีทารกสองคนลืมตาดูโลกพร้อมกันในวันนั้น หนึ่งคนคือคนนี้ อีกหนึ่งคนตาย...พี่ไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของพี่"
รังสรรค์จ้องหน้าบุหงา แววตาเครียด
"เธอรู้ ?"
"พี่บุปผารู้อะไร น้องก็รู้อย่างนั้น เราไม่เคยมีความลับต่อกัน และถ้าคุณพี่ยังอยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ คุณพี่ก็อย่าบีบบังคับจนน้องหมดหนทางก็แล้วกัน"
"เธออยากจะทำอะไรก็ทำไป ฉันจะไม่ยุ่ง...แต่ถ้ารติรสรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่ เธอตาย"
รติรสนั่งเหม่อลอยอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางความมืดในบริเวณหน้าอาคารเรียน
รถของรัมภ์แล่นเข้ามาจอด หน้าอาคารนี้ รัมภ์ลงจากรถ เดินตรงเข้าไปหารติรส
"รส ทำไมมานั่งคนเดียวมืดๆอย่างนี้"
"รสก็ไม่รู้เหมือนกัน"
"ไม่รู้ ?"
"แล้วพี่รัมภ์ไปไหน ทำไมขับรถมาถึงนี่ได้"
"พี่นัดเพื่อนมาซ้อมบาสที่โรงยิมที่นี่ พี่เห็นรสนั่งอยู่ไกลๆ พี่ก็เลยแวะเข้ามาดู"
"เห็นแล้วก็ไปได้แล้วละค่ะ"
"รสรอใครเหรอ ?"
"ช่างเถอะค่ะ"
"งั้นพี่นั่งรอเป็นเพื่อน"
รัมภ์ขยับตัวลงนั่งข้างๆรติรส
"เสียเวลาซ้อมบาสของพี่เปล่าๆ"
"บาสซ้อมวันหลังก็ได้ แต่โอกาสที่จะได้นั่งกับสาวตามลำพังยามค่ำแบบนี้ มีไม่
บ่อยนัก"
รติรสค่อยๆยิ้มออกมาได้
"พี่รัมภ์เพ้อเจ้อไปเรื่อย...เก็บเอาคำพูดแบบนี้ไปพูดกับขมเถอะค่ะ"
"แปลว่ารสอยากฟังคำพูดแบบนี้จากปากคนอื่นที่ไม่ใช่พี่..."
รติรสนิ่ง ไม่เอ่ยปากตอบ
"รอเขาอยู่เหรอ"
น้ำตาบางๆหยดออกมาจากสองตาของรติรสโดยไม่ทันตั้งตัว
รติรสปาดน้ำตาแล้วขยับตัวลุกขึ้น
"ไม่รอแล้ว กลับบ้านเลยดีกว่า"
"กลับกับพี่แล้วกัน ดึกแล้ว"
"แล้วเพื่อนๆพี่ล่ะ ที่นัดกันซ้อมบาสน่ะ"
"อยากฟังประโยคเมื่อกี้จากปากพี่อีกทีมั้ยล่ะ"
รติรสยิ้มสดชื่นขึ้นมาบ้าง
รัฐเดินเข้ามากลางโถงบ้านตึกขาว รัมภ์นั่งรอนิ่งๆอยู่มุมหนึ่ง และเอ่ยปากทักพี่ชาย
"ไปไหนมา กลับซะดึก"
"อย่ารู้เลย"
"ทำไมรู้ไม่ได้"
"เพราะนายเป็นคู่แข่งฉัน"
"อย่าบอกนะว่าไปหาขม"
"เออ...ฉันเพิ่งรู้ว่าขมอยู่ที่บ้านคุณรุ้งกาญจน์ ก็เลยขับรถไปวนหาดู"
"แล้วเจอมั้ย ได้คุยกับขมมั้ย"
"เจอบ้าน แต่ไม่กล้าเข้าไป"
"เหรอ...แล้ววันนี้พี่ลืมอะไรรึเปล่า"
"ลืม? ลืมอะไร"
"อย่างนี้เรียกว่าลืมสนิทจริงๆ"
รัฐเพิ่งนึกขึ้นได้ ตกใจแทบช็อก
"เฮ่ย...ตายโหง...เดี๋ยวฉันมานะ"
รัฐขยับตัวจะออกจากบ้านอีกครั้ง
รัมภ์จึงเอ่ยปากขึ้นมาลอยๆ
"ถ้าจะไปมหาลัยละก้อ ไม่ต้องหรอก เขากลับบ้านแล้ว"
รัฐชะงัก หันมาหาน้องชาย
"แกรู้ได้ยังไง"
"ฉันเป็นคนขับรถมาส่งเขาเอง"
รัฐถอนใจออกมาแรงๆ
"ขอบใจว่ะ"
รัมภ์เดินเข้าไปพูดใส่หน้าพี่ชายด้วยความผิดหวัง
"พี่ปล่อยให้ผู้หญิงบอบบางอย่างรติรส นั่งรออยู่คนเดียวจนค่ำมืดอย่างนั้นได้ยังไง ถ้าฉันไม่บังเอิญไปที่นั่น เธอจะทำยังไง"
"ก็มันลืมนี่หว่า ตั้งใจซะที่ไหนล่ะ"
"เพราะพี่ไม่เคยตั้งใจ ไม่เคยมีความรับผิดชอบต่อคนอื่นเลย...พี่มันเห็นแก่ตัว พี่ทำร้ายจิตใจคนที่ มอบหัวใจให้กับพี่ พี่เป็นผู้ชายที่แย่มากว่ะ"
"อะไรของนายวะ ไอ้รัมภ์...ใครมอบหัวใจให้ฉัน"
"พี่ไม่รู้จริงๆเหรอ ว่ารติรสเขาชอบพี่มาก ชอบมานานแล้วด้วย"
"ไม่จริง ไม่มีทาง"
"โง่จริง หรือแกล้งโง่วะ"
"นายอย่ามาใช้วิธีแบบนี้ดีกว่า นายจะเขี่ยฉันให้พ้นทาง เพื่อจะจีบขมง่ายๆ ใช่มั้ย นายก็เลยหาทางยัดเยียดรติรสให้ฉัน"
"มันยัดเยียดกันได้ง่ายๆอย่างนั้นเหรอ ?"
"เพราะฉะนั้นนายก็จะยัดเยียดฉันให้กับรติรสไม่ได้เหมือนกัน...จำเอาไว้"
รุ้งกาญจน์เปิดประตูบ้าน สีหน้าแปลกใจ พจนีย์ยืนนิ่งอยู่กลางประตู
"มาถึงนี่เชียวเหรอคุณพจนีย์...ตั้งใจมาหรือว่าหลงทางมาคะ"
"ฉันจะมาขอโทษ ขม"
"คุณป้าหรือคุณย่าบังคับให้มาล่ะ"
บุหงาโผล่หน้าเข้ามาแทรกด้านหลังพจนีย์
"จะเรื่องมากไปถึงไหน"
"อ้อ คุณน้าก็มาด้วย"
"คนเขาจะมาขอโทษกัน ก็ให้เขาได้ขอโทษสิจะได้จบ จะยื้ออะไรกันนักหนา"
"แล้วคุณน้า จะขอโทษด้วยมั้ยคะ จะได้พร้อมกันทีเดียวทั้งสองคน"
"ถ้าไม่ยอมให้เข้าบ้าน ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้รับคำขอโทษ"
"ฟังดูเหมือนเป็นคำขู่มากกว่าเจตนาขอโทษนะคะ"
"เรากลับกันเถอะพจนีย์ น้าว่าเปล่าประโยชน์"
"น้ากลับก่อนก็ได้ค่ะ พจน์จะรอจนกว่า จะได้ขอโทษขม"
"อย่างนี้ค่อยน่าฟังขึ้นมาหน่อย...ขมกินข้าวอยู่ข้างใน เดินตรงไปก็เจอเลย"
รุ้งกาญจน์ขยับตัว เปิดทางให้ พจนีย์เดินเข้าไปในบ้านเพียงคนเดียว
พจนีย์เดินตรงไปจนถึงโต๊ะอาหาร เห็นโขมพัสตร์นั่งกินข้าวอยู่ พจนีย์หย่อนตัวลงนั่งตรงข้าม
ทั้งสองต่างไม่มองหน้ากันและกัน
พจนีย์จึงเอ่ยปากก่อน
"คุณย่าให้ฉันมาขอโทษเธอ"
โขมพัสตร์เพียงแต่พยักหน้ารับรู้
"ไม่ต้องยกโทษให้ฉันหรอกนะ ฉันไม่ต้องการ แค่ฟังไว้เฉยๆ เผื่อมีใครถามจะได้บอกได้ว่า ฉันมาขอโทษแล้ว"
บริเวณม้านั่งในสวนภายนอกบ้าน รุ้งกาญจน์และบุหงาขยับตัวลงนั่งที่นั่น
"คุณกับฉัน คุยกันตรงนี้ดีกว่า ที่กว้างดี เผื่อว่าจะต้องใช้กำลัง"
"ฉันไม่ทำอะไรโง่ๆซ้ำซากแบบนั้นหรอก"
"ยอมรับสติปัญญาตัวเองแล้วใช่มั้ยคะ"
"ฉันว่าเธอ ชักจะโอหังอวดดีเกินตัวไปหน่อยแล้วนะคะ"
"เป็นปัญหากับอวัยวะส่วนไหนของคุณเหรอ"
"ตอนนี้ยัง แต่ฉันคิดว่าผู้ชายอย่างคุณชาติสยามไม่น่าจะทนคบผู้หญิงอย่างนี้ได้นาน"
"แต่ถ้าผู้ชายอย่างชาติสยามจะเลิกกับผู้หญิงโอหัง เขาก็คงไม่หันมาหาผู้หญิงมีตำหนิอย่างคุณหรอก"
"ด่าฉันเหรอ"
"คิดเอาเอง เท่าที่สติปัญญาจะมีก็แล้วกัน"
"โถแม่อวดฉลาด แม่หลงตัวเอง ที่แท้ก็โง่จนไม่รู้ว่าแฟนหนุ่มของตัวกำลังจะหันไปคว้าเอาเด็กสาวที่ใครๆเข้าใจว่าเป็นหลาน มาร่วมหอลงโรงแทน"
" จินตนาการของคนโง่ๆนี่ มันน่ารำคาญจริงๆ"
"สงสัยว่าระหว่างเรา น่าจะเหมาะกับการใช้กำลังมากกว่า"
"ถ้ายังไม่เข็ดก็เอาเลย"
บุหงาเงื้อมือตบ รุ้งกาญจน์จับมือนั้นบิดหัก
บุหงาใช้มืออีกข้างตบรุ้งกาญจน์จนล้มคว่ำ แล้วลงไปนั่งคร่อมทับรุ้งกาญจน์
รุ้งกาญจน์ถีบบุหงาจนกระเด็น
ชาติสยามวิ่งเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกัน
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ"
"คุณชาติสยาม"
"นี่คุณกล้าเข้ามาทำร้ายคนรักของผมถึงในบ้านเชียวเหรอ...ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ออกไปให้พ้น !"
"คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ"
"ไม่ผิดหรอก ผมทนมานานแล้ว ที่ผมสุภาพกับคุณมาตลอดก็เพราะเห็นว่าคุณเป็นน้าสะใภ้ของภาสธรเพื่อนผม เป็นภรรยาเจ้าของบ้านที่ขมอาศัยอยู่"
"นั่นหละค่ะเรื่องที่คุณควรจะรู้...ฉันกำลังคิดจะหย่ากับเขาค่ะ"
ชาติสยามหันไปมองบุหงาหน้านิ่ง
"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็จะได้ไม่ต้องเกรงใจคุณอีกต่อไป...ไป ออกไปได้แล้ว"
เช้าวันเดิม รติรสเดินออกมาจากตัวบ้าน รัฐยืนยิ้มรอเธออยู่ รติรส ควบคุมท่าทีตัวเองให้ดูเป็นปกติ
"รส"
"มีอะไรเหรอคะพี่รัฐ"
"พี่มารับรส ไปมหาลัยด้วยกัน"
"ไม่เป็นไรค่ะ รสไปกับน้าประหยัดเหมือนทุกวันดีกว่า"
"แต่วันนี้พิเศษหน่อยน่า เถอะนะ พี่อยากแก้ตัว ที่ทิ้งให้รสรอพี่จนค่ำ"
รัฐขับรถ พร้อมกับเอ่ยปากคุยไปด้วย
"พี่ขอโทษนะ เมื่อวานพี่มัวแต่เครียดหลายเรื่อง เลยลืมว่านัดรสไว้"
"ไม่เป็นไรค่ะ รสก็เรียนเลิกช้า นึกว่าพี่รัฐคงรอไม่ได้เหมือนกัน"
"แปลว่าไม่ได้โกรธพี่ ?"
รติรสยิ้มให้รัฐแทนคำตอบ
"แล้วพี่รัฐยังมีอะไรจะปรึกษารสอีกรึเปล่าค่ะ"
"มีสิ มี"
"เรื่อง ขมใช่มั้ยคะ"
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน พี่มีเรื่องด่วนกว่านั้น"
"เรื่องอะไรคะ"
"เรื่องรส"
"รส ?"รติรสตกใจพอสมควร
"พี่ถามจริงๆ รสมีใครอยู่ในใจรึเปล่า"
"เอ้อ"
"รสแอบชอบใครอยู่รึเปล่า บอกพี่ได้มั้ย"
"เอ้อ"
"เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กนะ มีอะไรเราก็พูดกันได้หมดทุกเรื่อง ถ้ารสแอบชอบใครอยู่ซักคน พี่ก็อยากจะมีส่วนได้รับรู้ด้วย...ได้มั้ย"
รติรสตัดสินใจเอ่ยปากตอบ
"ไม่มีค่ะ"
"แน่นะ"
รติรสมองหน้ารัฐ เธอพยายามซ่อนความรู้สึกแท้จริงไว้ลึกๆ
"ค่ะ รสไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นกับใคร"
"นั่นไง...พี่ก็ว่าอย่างนั้น ไอ้รัมภ์นี่มันมั่วจริงๆ"
"พี่รัมภ์? ทำไมคะ"
"มันมาบอกพี่ว่ารสแอบชอบผู้ชายอยู่คนนึง พี่ว่าแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะรสไม่มีทางชอบพี่แบบนั้นแน่ๆ ใช่มั้ยจ๊ะ"
"เอ้อ...ค่ะ"
"แต่ถ้าวันไหน รสแอบชอบใครจริงๆ รสต้องบอกพี่ก่อนเจ้ารัมภ์นะ พี่จะได้ไปบลั๊ฟมันบ้าง...สัญญาได้มั้ย"
"ค่ะ สัญญาค่ะ"
รติรสมองทอดสายตาออกไปนอกรถ ร่องรอยของความผิดหวังเสียใจเจืออยู่ในดวงตาคู่นั้น
โถงเรือนเล็กบ้านพุทธชาด โทรศัพท์กลางบ้านดัง
รังสรรค์ที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน ยกหูโทรศัพท์ขึ้นพูด
"ฮัลโหล ใช่...ฉัน รังสรรค์พูด"
รังสรรค์เครียดขึ้นมาทันที ระหว่างที่ฟังเสียงจากปลายสายอีกด้าน
บุหงาเพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน
"นายคือแฟรงกี้ใช่มั้ย"
บุหงาชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ เธอหาที่ยืนเพื่อเงี่ยหูฟัง
"ได้ ไม่มีปัญหา"
รังสรรค์วางโทรศัพท์ลงบนแป้น แล้วจึงพลิกหน้าหันไปเห็นบุหงา
"ไปไหนมา"
"ไปธุระกับพจนีย์"
"ธุระ ?"
"ตามคำสั่งของคุณหญิงรัตนเดชากร"
"ฉันไปอาบน้ำก่อนละ"
"จะให้น้องหยิบเหล้าให้อีกมั้ยคะ"
"ไม่ละ เดี๋ยวฉันจะออกไปธุระข้างนอก"
รังสรรค์เดินเข้าห้องไป ทิ้งให้บุหงายืนครุ่นคิด
วันเดียวกัน บนโต๊ะอาหารสวย ท่ามกลางความสงบเงียบในร้าน
ชาติสยามและคุณหญิงรัตนเดชากรนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้
สีหน้าของคนทั้งสอง เต็มไปด้วยความหนักใจ
"ทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฉันฟัง มันทำให้ฉันรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก"
"ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นครับ"
"ถึงเธอจะมีเจตนาดูถูกคนในตระกูลของฉัน ก็ไม่ผิดอะไร เพราะสิ่งที่บุหงาทำนั้น มันน่าอับอาย เสื่อมเสียชื่อเสียงจริงๆ...ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้"
"คุณหญิงไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะไม่นำเรื่องนี้ไปโพนทะนาที่ไหนเด็ดขาด ผมตั้งใจเรียนให้คุณหญิงทราบ เพื่อว่าในอนาคต หากมีอะไรพาดพิงมาถึงผม คุณหญิงจะได้เข้าใจผมอย่างถูกต้อง"
"เข้าใจ และ ขอบใจมากนะ ชาติสยาม"
"ยังมีอีกเรื่องนึงครับ"
"ว่ามา"
"ไหนๆคุณหญิงก็อนุญาตให้ขมออกมาพักที่บ้านรุ้งกาญจน์แล้ว ผมอยากจะขออนุญาตพาขมไปพักผ่อนต่างจังหวัด เพื่อให้สุขภาพจิตของเธอดีขึ้น ได้มั้ยครับ"
"ได้สิเธอเป็นอาเขา...เธอไม่ต้องขออนุญาตฉันก็ได้"
"ไม่ได้ครับ เพราะขมยังเป็นเด็กในบ้านท่าน จะทำอะไรก็สมควรที่จะได้รับอนุญาตจากท่านซะก่อน"
"ฉันอนุญาต...จะไปที่ไหนกันล่ะ"
"วังตะไคร้ครับ"
รังสรรค์เดินตรงเข้าไปในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ร่มรื่นและเงียบสงบ แฟรงกี้โผล่ออกมาจากที่ซ่อนตัว เอ่ยปากเรียกชื่อ
"คุณรังสรรค์...ผมแฟรงกี้ครับ"
"ทำไมต้องซ่อนตัวให้มันลึกลับขนาดนี้"
"ผมจำเป็นต้องเซฟตัวเองหน่อย เพราะเชื่อใจใครทีไร โดนหักหลังทุกที"
"มีอะไรอยากจะบอกฉันก็พูดมา ฉันไม่อยากอยู่ในที่แบบนี้นานนัก"
"แหม...ง่ายไปมั้งครับ มาถึงปุ๊ป จะให้บอกทุกอย่างปั๊ป"
"ถ้ายุ่งยากกว่านี้ ฉันไม่เอาด้วย อย่าลืมว่านายเป็นคนอยากบอกนะ ฉันไม่ได้เป็นคนเรียกร้องขอฟัง"
"แต่ถ้าคุณได้ยินเรื่องเหล่านี้จากปากของคนอื่น นั่นก็แปลว่า หน้าตาและชื่อเสียงของคุณ ได้พังย่อยยับไปแล้ว"
"นายกำลังจะบอกฉันว่า นายมีความลับของฉัน"
"ถูกต้อง ฉลาดมาก ฉลาดทั้งผัวทั้งเมีย"
"เมียฉันเกี่ยวข้องกับความลับนี้ด้วยมั้ย"
"มีทั้งเกี่ยว และ ไม่เกี่ยว"
รังสรรค์ครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยปาก
"เอาละ ฉันอยากรู้ขึ้นมาแล้ว...ฉันต้องทำยังไง"
"ผมหากินกับการขายข่าวมาทั้งชีวิต ทุกอย่างที่ออกจากปากผม ต้องมีค่าตอบแทนเสมอ"
"เท่าไหร่"
"มันขึ้นอยู่กับว่า คุณอยากรู้กี่เรื่อง...ผมตีราคาตามจำนวนเรื่อง"
"เอาทุกเรื่อง ตีราคาเหมามาเลยแล้วกัน"
"แบบนั้นไม่ใช่การทำธุรกิจที่ดี...เอาอย่างนี้ คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าผมรู้อะไรมาบ้าง แต่คุณมั่นใจได้ว่าทุกเรื่องที่ผมรู้จะไม่มีวันหลุดไปถึงหูใคร...ถ้าเหมาแบบนี้ ราคาจะได้ย่อมเยาว์หน่อย"
"และนายก็จะได้ต่อรองฉันได้เรื่อยๆใช่มั้ย"
"ถูกต้อง ฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆนะคุณเนี่ย"
"ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกไม่ได้ลักไก่ฉัน"
"คุณต้องเชื่อใจผม"
"เชื่อได้เหรอ"
"ถามเมียคุณดู ผมหากินกับอาชีพนี้มาได้ทั้งชีวิต เพราะผมไม่เคยทำให้ลูกค้าผิดหวัง..."
"ถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ"
"ผมไม่เคยนัดพบใคร ที่จะปฏิเสธข้อเสนอของผม"
"ฉันอาจเป็นรายแรก"
"เสียใจครับ คุณไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ผมรู้ มันร้ายแรงเกินกว่าที่คุณจะเสี่ยง...ผมถือว่าได้เตือนคุณแล้วนะครับ คุณรังสรรค์ รัตนเดชากร"
รังสรรค์รู้สึกได้ว่าการข่มขู่ครั้งนี้ คือหายนะที่เขาต้องระวัง
อ่านต่อตอนที่ 10