ดงผู้ดี ตอนที่ 8 : “บุหงา-พจนีย์-รุ้งกาญจน์-โขมพัสตร์” ตบกันฝุ่นตลบ
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
ค่ำวันเดิม ณ โถงเรือนใหญ่บ้านพุทธชาด คุณหญิงรัตนเดชากรยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบแก้มแล้วเอ่ยปากพูด
“เป็นยังไงบ้าง ได้ความว่ายังไง ผู้หญิงในรูปใช่แม่แขของขมรึเปล่า”
ชาติสยาม ยืนพูดโทรศัพท์มุมหนึ่งในบ้านครูสมพร
“ไม่มีใครกล้ายืนยันอย่างนั้นครับ...ส่วนใหญ่ก็บอกว่า หน้าคล้ายกัน แต่สวยกว่ามาก ไม่น่าจะใช่แม่ของขม”
คุณหญิงมีสีหน้าผิดหวังพอสมควร ไพลินนั่งใจจดใจจ่ออยู่ไม่ไกลจากคุณหญิงนัก
“เหรอ...แล้วมีใครรู้รายละเอียดความเป็นมาของแม่แขบ้างมั้ย”
“ไม่มีเลยครับ คนเก่าแก่ที่สุดแถวนี้ บอกว่าเห็นแม่แขครั้งแรก เธอก็พิการหลังค่อมเดินโซเซอุ้ม
ทารกมานอนอยู่ในตลาด”
“ทารกนั่นก็คือขมเหรอ”
“ครับ”
“งั้นก็เหลว ไม่ได้อะไรเลย”
“ได้ครับ เราได้ความสดชื่นและพลังชีวิตของขมกลับมา...กลับไปบ้านพุทธชาดครั้งนี้ ขมน่าจะมีกำลังใจมากขึ้น”
“ก็ยังดี...ตกลงต้องค้างกันที่นั่นใช่มั้ย”
“ครับ...คุณครูที่นี่ เต็มใจจัดที่ให้เราพักครับ เขาดีใจที่ได้เจอขม”
“ฉันว่า คนที่จะให้ข้อมูลเรื่องนี้ได้มากที่สุด มีเพียงคนเดียวเท่านั้น...พี่ชายของเธอนั่นแหละ ชาติสยาม”
ชาติสยามนิ่งไปนิดนึง ก่อนเอ่ยปาก
“เท่านี้นะครับ”
ชาติสยามวางหูโทรศัพท์ทันทีที่พูดจบ
คุณหญิงรัตนเดชากรวางโทรศัพท์ลง แล้วจึงหันไปหาไพลิน
“เราไม่ได้เรื่องอะไรจากที่นั่นเลยเหรอคะ”
“ฉันต้องหาทางคาดคั้นความจริงจากปากตาชวาลให้ได้ซักวันนึง”
ค่ำต่อเนื่องมา โกศใส่เถ้ากระดูกถูกยื่นเข้ามาเบื้องหน้าโขมพัสตร์ เธอรับเอาโกศนั้นมากอดไว้แนบอก น้ำตาคลอ
ครูสมพร ผู้ยื่นโกศนั้นเอ่ยปาก
“ในที่สุด แม่แขก็จะได้กลับไปอยู่กับขมซะที...ครูรอวันนี้มานานแล้ว รู้มั้ย”
“ขมอยากจะมาหาแม่ใจจะขาด แต่ไม่รู้ว่าจะมายังไง จนได้เจอกับอาสยามนี่หละค่ะ”
“ขมอยากเอาอังคารของแม่ไปลอยที่ไหนล่ะ”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ แต่ขมจำได้ว่าแม่ไม่ชอบน้ำ แม่พูดอยู่บ่อยๆว่า แม่เคยจมน้ำ...แม่ชอบดอกไม้มากกว่า ขมอาจจะพาแม่ไปฝังไว้ที่ไหนซักแห่งที่ล้อมรอบด้วยดอกไม้สวยๆ แม่คงจะมีความสุขที่ได้อยู่ตรงนั้น”
ชาติสยามเดินเข้ามา
“อาโทร. บอกคุณหญิงให้แล้วนะ ว่าเราจะค้างที่นี่คืนนึง”
“ท่านไม่ว่าอะไรใช่มั้ยคะ”
“ท่านยังบอกด้วยว่าให้พาขมไปหาอาหารอร่อยๆกิน”
โขมพัสตร์ยิ้ม ดีใจ
“ครูสมพรไปด้วยกันมั้ยคะ”
“ไม่ละ ครูต้องตรวจข้อสอบเด็ก แล้วก็จะเตรียมที่นอนไว้ให้ขมกับอาไง”
“งั้นผมขออนุญาตซื้ออาหารมากินที่นี่ได้มั้ยครับ ครูจะได้กินด้วยกันได้”
“งั้นเดี๋ยวครูให้เด็กที่บ้านพาไปตลาดก็แล้วกัน”
ต่อเนื่องมา รังสรรค์เดินนำหน้าบุหงาตรงเข้าไปหาคุณหญิงผู้เป็นแม่
“คุณแม่รู้รึเปล่า ว่านายชาติสยามยังไม่พานังเด็กนั่นกลับมาบ้านเลย ดึกดื่นป่านนี้แล้ว”
“เพราะมันดึกแล้วน่ะสิ ฉันเลยให้เขาค้างซะที่นั่น”
“ค้างคืน...ตายจริงคุณแม่ขา ใครเห็นเข้าจะคิดยังไง ผู้หญิงกับผู้ชายนอนค้างอ้างแรมกันอย่างนี้ เป็นอาเป็นหลานแท้ๆรึก็ไม่ใช่ ดิฉันละกลัวจริงๆ เกรงจะเสื่อมเสียถึงรัตนเดชากรนะคะ” บุหงาว่า
“ชาติสยามเขาเป็นผู้ใหญ่พอ ฉันไว้ใจเขา”
“แล้วจะไว้ใจขมได้เหรอคะ”
คุณหญิงหันไปจ้องหน้าบุหงา ด้วยสายตาดุ
“เธอกำลังคิดอะไรอยู่ บุหงา...ขมเป็นเด็ก และเป็นเด็กดี ดีกว่าหลายๆคนที่ฉันรู้จัก”
บุหงานิ่งอึ้งไป
“ตกลงคุณแม่ให้เขาไปไหน และไปค้างที่ไหน ทำไมต้องปิดเป็นความลับด้วย”
“ไม่ใช่ความลับอะไรเลย แต่แม่ไม่นึกว่าเราจะสนใจเรื่องของเด็กที่เรารังเกียจขนาดนี้”
“เฮ้อ ผมนี่มันทำอะไรไม่เคยถูกซักอย่าง อยู่บ้านนี้เหมือนเป็นคนนอกคอก”
“ฉันไม่เคยสร้างคอกในบ้านพุทธชาด แต่ถ้ามีใครในบ้านนี้ แอบไปทำผิดธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม...คนๆนั้นนั่นแหละ ที่สร้างคอก สร้างกำแพงเพื่อปิดบังความผิดของตัวเอง ไม่ใช่แม่”
รังสรรค์และบุหงา ต่างอึ้งหน้าชาไปพอสมควร
“ตกลงคุณแม่จะไม่บอกใช่มั้ย ว่ามันไปที่ไหนกัน”
“อยากรู้ก็ได้...แม่ให้คุณชาติสยามพาขมไปที่บ้านเดิมในวัยเด็กของขม...แม่ให้เขาตามหาประวัติแม่แข ของขม...อยากรู้อะไรเพิ่มเติมอีกมั้ย...ถ้าไม่มีอะไรแม่จะไปสวดมนต์ละ”
คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวเดินออกไป
รังสรรค์ขยับตัวตามไปขวางหน้าผู้เป็นแม่
“ผมรู้นะว่าคุณแม่คิดจะทำอะไรอยู่”
“รู้ ? งั้นก็เลือกเอา ว่าจะช่วยแม่คิด...หรือจะห้ามแม่คิด”
“ผมไม่ยุ่งเรื่องนี้หรอก แต่จะบอกให้แม่รู้ไว้ว่า ความคิดของแม่มันเป็นจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นจริง โดยเฉพาะกับผู้หญิงเลวๆคนนั้น ไม่มีวันที่มันจะได้รับความเห็นใจจากผมเป็นอันขาด”
บริเวณมุมที่สวยงามของบ้านครูสมพร ทั้งสามนั่งกินอาหารกันอย่างอร่อยถูกปากและสนุกสนาน
“วันนี้น้ำหนักทุกคนต้องขึ้นมาอีกสองกิโลเป็นอย่างน้อย กินกันเยอะขนาดนี้”
“ต้องโทษอาสยาม ซื้อแต่ของอร่อย”
“งั้นต้องโทษเด็กบ้านครูสิ เพราะเขาเป็นคนพาอาไป”
“โทษปากเรากันเองดีกว่า” สมพรว่า
ทั้งสามคนหัวเราะกันตามสมควร
“ขมคิดบ้างรึยังว่าเรียนจบ ม.8แล้ว จะทำอะไรต่อ”
“อาบอกว่าพ่อพิทย์อยากให้ขมเรียนให้สูงที่สุด”
“ดีแล้ว เชื่อคำพ่อเถอะขม มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน”
“ขมไม่รู้จะเอาทรัพย์เป็นแสนๆไปทำอะไร”
“งั้น เอามาให้ครูกู้ก็ได้...มาสอนหนังสือที่โรงเรียนครูไง”
โขมพัสตร์มองหน้าชาติสยาม
“ค่อยๆคิดก็ได้ ไม่รีบ...เดี๋ยวครูเอาผลไม้กับขนมหวานมาให้นะ”
ครูสมพรเดินเข้าบ้านไปชาติสยามลุกขึ้นยืน บิดตัวเล็กน้อย
“เราไปเดิน ให้กระเพาะย่อยกันหน่อยดีมั้ย”
“ดีค่ะ”
สองอาหลาน เดินออกมาจากบ้านทั้งคู่ต่างมองทอดสายตาไปไกลๆ
“ท้องฟ้าบ้านครูสวยจังเลยนะอา”
“ไม่ว่าที่ไหนๆ มันก็ท้องฟ้าเดียวกันนั่นแหละ แต่ต่างจังหวัด แสงไฟเมืองน้อย
กว่ากรุงเทพฯ เราก็เลยเห็นดาวได้ชัดอย่างนี้แหละ”
“แม่แขชอบดูท้องฟ้ามากๆเลย แต่แม่ไม่ได้ดูดาวนะคะ แม่ดูพระจันทร์...โดยเฉพาะพระจันทร์คืนวันเพ็ญ แม่จะเอาขมนอนบนตัก แล้วชวนให้ขมมองหากระต่ายบนดวงจันทร์ ขมก็เลยได้มองหน้าแม่พร้อมๆกับมองพระจันทร์...ตอนนั้นขมแยกไม่ออกเลยว่า แม่กับพระจันทร์ใครสวยกว่ากัน”
“อาเดาว่าเป็นแม่”
“แต่แม่บอกว่าพระจันทร์สวยกว่า และพระจันทร์จะสวยที่สุดถ้าเราได้ดูพร้อมกับคนที่เรารัก...ขมเชื่อว่าแม่ต้องเคยทำอย่างนี้กับคนที่แม่รักแน่ๆ...คนๆนั้นก็คงจะเป็นพ่อพิทย์ของขมนั่นเอง...และวันสุดท้ายของแม่ แม่ก็ได้เจอพ่อตอนที่แม่กำลังร้องเพลงที่แม่รักที่สุด เพลงเกี่ยวกับพระจันทร์”
“ร้องให้อาฟังได้มั้ย”
โขมพัสตร์ส่ายหน้า
“ขมตั้งปณิธานไว้ว่า ขมจะไม่ร้องเพลงนี้ เพราะร้องยังไงก็ไม่มีวันเพราะได้เท่าแม่...ขมอยากจดจำแต่เสียงร้องของแม่ไว้เท่านั้น”
“ขออาฟังสักนิดไม่ได้เหรอ”
“เพลงยาวนะ...ถ้าขมร้องตอนนี้ อาอาจจะต้องนั่งฟังจนถึงเช้า”
“งั้นร้องแบบเร็วๆสิ”
“เพลงเถานะอา...ร้องแบบเร็วๆได้ยังไง”
“ว้า”
“ขมท่องเนื้อเพลงบางท่อนให้อาฟังก็ได้ เอามั้ยคะ”
“ก็ยังดี”
โขมพัสตร์เอ่ยปากพูดเนื้อเพลงออกมาเป็นบทกลอน
“โอ้ว่าแสงโสมส่อง ผ่องทั่วนภากาศ แจ่มใสไพลาศสุกสะอาดลออตา ผ่องแผ้วแพร้วรัศมี สาดรังสีสว่างหล้า ใสสดหมดเมฆา อวดอาภาเมื่อคืนเพ็ญ”
โขมพัสตร์ค่อยๆหลับตา นึกถึงผู้เป็นแม่
“โอ้แขของข้อยเอย อย่าเพิ่งคล้อยเคลื่อนคลาอย่าด่วนแฝงเมฆา อยู่ให้ข้าชมเอย”
ชาติสยาม เขานั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน แล้วจึงเหลือบมองเข้าไปในบ้าน
ครูสมพรเดินถือเค้กออกมาจากบ้านเธอค่อยๆก้าวมายืนด้านหลังโขมพัสตร์
“ถึงแม้ไม่สมใจหวัง ขอพอตั้งตาชม ให้ชื่นอารมณ์ หายตรมอุราเอยเบิ่งแสงโสมส่อง แสงผุดผ่องพอตา ชูชื่นชีวา ของข้าคงเอย...”
เมื่อโขมพัสตร์ลืมตา เค้กก้อนใหญ่ในมือครูสมพรถือรออยู่เบื้องหน้า
“สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะขม”
“ครู !”
“ครูดีใจที่เห็นขมโตขึ้น และได้อยู่ในที่ที่ดี ที่เหมาะสมสำหรับขม”
โขมพัสตร์เหลือบมองชาติสยามที่ยิ้มและพยักหน้าให้เธอ
“ครูขออวยพรให้ขม พบแต่ความสุข และเจริญก้าวหน้าได้เท่าที่ใจขมปรารถนานะ”
“ขอบคุณค่ะครู...นี่คือเค้กวันเกิดก้อนแรกในชีวิตขม”
“ต้องขอบคุณอาของขม เขาเป็นคนเตรียมการทุกอย่าง”
โขมพัสตร์มองหน้าชาติสยามด้วยความซาบซึ้ง
“เป่าเทียนเถอะ ก่อนที่เค้กจะละลาย”
โขมพัสตร์ก้มหน้าลงไปเป่าเทียนอย่างมีความสุข
“และนี่ของอา..”.
ชาติสยามหยิบของบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา
“อาเคยให้ตุ๊กตาขมตัวนึง ซึ่งถูกทำลายไปแล้ว วันนี้อาก็เลยมีตัวใหม่ ให้เป็นของขวัญวันเกิดขม”
ชาติสยามแบมือออกมันคือตุ๊กตาตัวเล็กที่ผูกห้อยด้วยจี้น่ารัก
โขมพัสตร์ดีใจ ตาเป็นประกาย
“เปิดดูสิ ว่าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ห้อยอะไรอยู่”
ขมเปิดจี้อันนั้นออก เห็นเป็นรูปขม ฝังอยู่ในจี้นั้นมันคือรูปที่ชวาลเคยให้ไว้กับชาติสยาม
“รูปขม ?”
“อยากรู้มั้ยว่าใครเป็นคนถ่ายรูปนี้”
ขมมองหน้าชาติสยาม ด้วยความอยากรู้
“พิทย์ รุ้งพราย”
“พ่อ”
“เขาแอบตามดูความเป็นไปของขม โดยขมไม่รู้ตัว”
น้ำตาของเธอ ไหลเอ่อออกมาด้วยความตื้นตัน
“ทำไมต้องแอบ”
“เพราะพ่อพิทย์ไม่อยากเห็นขมเสียใจ ตอนที่เขาต้องกลับไปทำงาน”
“ขมอยากมีรูปพ่ออยู่ในนี้ด้วยจัง”
ชาติสยามนิ่งไป พูดอะไรไม่ออก
“ขมจะรอถ่ายรูปพ่อ ในวันที่พ่อกลับมา...งั้นตอนนี้ขมขอรูปอาก่อนได้มั้ยคะ”
“งั้นขมคงต้องแอบถ่ายเอาเองละจ้ะ...”
ขมโผเข้าไปกอดชาติสยามอย่างอบอุ่นและมีความสุข
บุหงาเปิดสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองใช้นิ้วมือชี้ไล่ไปตามรายชื่อบนหน้ากระดาษและหยุดตรงชื่อ “ซ่อนกลิ่น กิจจานุรักษ์” บุหงาครุ่นคิด
ที่บ้านรุ้งกาญจน์โทรศัพท์กลางบ้านหลังนี้ดังขึ้นสาวใหญ่วัยประมาณห้าสิบเดินเข้ามา พร้อมอุปกรณ์ทำครัวในมือชื่อของเธอคือ ซ่อนกลิ่น เป็นป้าของรุ้งกาญจน์
เธอยกโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นแนบหู
“สวัสดีค่ะ”
“ที่นั่นที่ไหน”
“ก็คุณโทรไปที่ไหนล่ะคะ”
ในเรือนเล็ก บ้านพุทธชาดบุหงายืนพูดโทรศัพท์ หน้านิ่ง น้ำเสียงกระด้าง
“ฉันโทร. มาบ้านคุณซ่อนกลิ่น กิจจานุรักษ์”
“คุณโทรมาถูกที่แล้วค่ะ จะพูดกับใครคะ”
“ฉันขอพูดกับรุ้งกาญจน์หน่อย เขาอยู่บ้านนี้ใช่มั้ย เป็นหลานซ่อนกลิ่นใช่มั้ย”
“ตอนนี้ไม่อยู่ค่ะ จะสั่งอะไรไว้มั้ยคะ”
“ขอพูดกับป้าเขาก็ได้ ตามเขามาพูดหน่อยสิ”
“ไม่ต้องตามหรอกค่ะ เขากำลังพูดอยู่นี่แหละค่ะ”
บุหงาสะดุ้งเล็กน้อย
“อ้าวเหรอ”
“เออสิ...มีอะไรกับฉันเหรอ”
“ขอโทษค่ะ ไม่นึกว่าคุณนายซ่อนกลิ่นจะรับโทรศัพท์เอง”
“บ้านนี้ไม่เคยมีคนรับใช้...บอกมาว่าคุณเป็นใคร แล้วจะพูดอะไรก็พูดเลย”
“เอ้อ...ดิฉันเป็นผู้หวังดีคนนึง”
“ชื่อ ?”
“ชื่อไม่สำคัญค่ะ...เรื่องที่ฉันตั้งใจจะพูดสำคัญกว่า”
“แต่ถ้าฉันฟังแล้วไม่เข้าหู ฉันจะวางโทรศัพท์ไปทำครัวละนะ”
“งั้นสั้นๆก็แล้วกัน ฝากเตือนหลานสาวคุณป้าด้วยว่า คนรักของเธอกำลังนอกใจเธอ”
“รู้ได้ยังไง”
“เขาพาเด็กผู้หญิงคนนึงไปนอนค้างแรมด้วยกันที่ต่างจังหวัด เด็กที่เขาอ้างกับใครๆว่าเป็นหลาน แต่ก็ไม่ใช่หลานแท้ๆของเขาซักนิด...ในฐานะที่เป็นลูกผู้หญิงด้วยกัน ฉันจึงอดสงสารรุ้งกาญจน์ไม่ได้ กลัวจะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าโดยไม่รู้ตัว...อ้อ เด็กคนนี้ชื่อ”ขม”นะ คุณป้าต้องจับตาดูมันให้ดี อีนี่มันขมสมชื่อ
มันคือตัวร้ายที่ลูกผู้หญิงทุกคนต้องระวัง...เท่านี้แหละ เชิญคุณป้าทำครัวต่อได้ตามสบาย”
ซ่อนกลิ่นวางโทรศัพท์ลง สีหน้าครุ่นคิดไม่น้อย
กลางโถงบ้านเรือนใหญ่ บ้านพุทธชาด
คุณหญิงรัตนเดชากรขยับตัวลงนั่ง เบื้องหน้าชาติสยามมีถุงของฝากจากชนบทจำพวกผลไม้สวน วางอยู่บนโต๊ะ
คุณหญิงเอ่ยปากหน้าตายิ้มแย้ม
“ขอบใจมากนะพ่อคุณ ขับรถไกลๆก็เหนื่อยแล้ว ยังอุตส่าห์ลำบากหาของฝากมาให้ฉันอีก”
“ไม่ลำบากเลยครับ คุณครูที่นั่นเป็นธุระจัดหาให้ทุกอย่าง ผมแค่นำมาส่งให้คุณหญิงเท่านั้นเอง”
“แต่เธอก็ต้องมาเสียเวลากับเรื่องของฉันตั้งสองวัน”
“เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับขม ถือเป็นความรับผิดชอบของผมอยู่แล้วครับ”
คุณหญิงเปลี่ยนท่าทีและน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้น
“ตกลงเราถึงทางตันแล้วใช่มั้ย? เราไม่มีทางรู้เลยใช่มั้ยว่าแม่แขของขมคือใคร”
ชาติสยามได้แต่ถอนหายใจนิดๆ
“ฉันว่าเธอก็คงรู้เหมือนที่ฉันรู้ ว่าคนคนเดียวที่จะให้ความกระจ่างเรื่องนี้ได้คือใคร”
ชาติสยามนิ่ง ไม่เอ่ยปากตอบอะไร
“ถ้าฉันมีโอกาสได้พบตาชวาล พี่ชายเธอสักครั้งเดียว เรื่องทุกอย่างก็จะกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที”
ชาติสยามจึงตัดสินใจเอ่ยปาก
“พี่ชวาลทำงานให้กับมูลนิธิระหว่างประเทศ งานของพี่เขาต้องเดินทางตลอดเวลา...ผมจนใจจริงๆครับ เพราะผมเองก็ไม่อาจติดต่อพี่เขาได้เหมือนกัน”
“ถ้าเขาติดต่อมาหาเธอเมื่อไหร่ ช่วยบอกฉันด้วยได้มั้ย...ขอร้องละ”
ชาติสยามพยักหน้าช้าๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“ผมเอารูปคุณแขนภาฝากขมไปคืนนมผ่อนแล้วนะครับ”
“เธอไม่รับปากฉันเรื่องพี่ชายเธอเหรอ ?”
“ผมรับปากได้เฉพาะเรื่องที่ผมมั่นใจเท่านั้นครับ...ต้องขอโทษคุณหญิงจริงๆ”
โขมพัสตร์เดินถือโกศเข้ามาที่หน้าเรือนนมผ่อน
นมผ่อนทักทาย
“กลับมาหน้าตาสดใสเชียวนะ ได้เที่ยวสนุกเลยละซี”
“มากกว่าความสนุกค่ะป้า ขมได้เจอคุณครูที่มีพระคุณกับขม แล้วก็ได้เจอแม่ด้วย”
โขมพัสตร์ชูโกศให้นมผ่อนดู
“พ่อพิทย์มารับขมเมื่อไหร่ ขมจะชวนพ่อเอาเถ้ากระดูกของแม่แข ไปฝังด้วยกันในสวนดอกไม้ที่ไหนซักที่นึง”
“งั้นวันนี้ก็เอาไปเก็บไว้ที่หัวนอนก่อนสิ”
“จ้ะ...ป้าจ๋า อาสยามฝากมาคืนป้าจ้ะ”
โขมพัสตร์ส่งรูปภาพใบนั้นให้นมผ่อน
“แปลกนะ อยู่ๆก็มีคนหน้าเหมือนแม่แข ชื่อก็คล้ายกันด้วย”
รังสรรค์ก้าวเข้ามาหน้าตาดุดัน
“กลับมาแล้วเหรอนังตัวดี”
ขมหันไปมองรังสรรค์นิ่ง
“งามหน้ามากนะ อยู่ๆก็หาเรื่องไปนอนค้างอ้างแรมกับผู้ชายสองต่อสองถึงต่างจังหวัด นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ดีเขาทำกัน รู้บ้างรึเปล่า”
“แล้วการพูดจาดูถูกคนอื่นเสียๆหายๆ ทั้งๆที่ไม่มีมูลแม้แต่นิดเดียว นี่คือสิ่งที่ผู้ดีควรกระทำเหรอคะ”
“ทำไมจะไม่มีมูล เขารู้กันทั้งบ้านว่าแกไปนอนกกกับไอ้ชาติสยาม”
“ไม่ได้กกค่ะ เรานอนกันคนละห้อง แล้วเราก็เป็นญาติกันด้วย”
“ญาติข้างไหนกันวะ แกกับไอ้ชาติสยามมันก็แค่ญาติกำมะลอ หลอกๆขึ้นมาแกมันแร่ดอยากจะมีอะไรกับไอ้หมอนั่นก็บอกมาเถอะ”
โขมพัสตร์หน้าชา เอ่ยปากเสียงสั่นเครือ
“ทำไมต้องว่าดิฉันถึงขนาดนี้ด้วย ดิฉันไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสีย ผิดทำนองคลองธรรมสักนิด”
“ใครจะเชื่อแก ไอ้พวกเชื้อไม่ทิ้งแถว แกมันได้เลือดแม่มาเต็มๆ เลือดร่านสำส่อน เลือดชั่วๆแบบนี้น่ะเก็บไว้กับตัวให้ดีเถอะ อีขม”
โขมพัสตร์ยืนตัวสั่น พูดอะไรไม่ออก
นมผ่อนก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้
รังสรรค์ยังคงพ่นคำพูดด่าทอขมไม่หยุดปาก
“แล้ววิ่งโร่กันไปถึงบ้านเก่าบ้านเกิด นี่คงจะรู้ประวัติแม่แกแล้วสินะ ว่าก่อเรื่องฉาวโฉ่ไว้ขนาดไหน”
“ไม่จริง คนที่คุณรังสรรค์ด่าทอเสียๆหายๆ นั่นไม่ใช่แม่แขของขม”
“งั้นแม่แกเป็นใคร เป็นอีบ้าใบ้มาจากไหน สืบความได้เรื่องมารึยัง หรือรู้แค่ว่าเป็นเมียไอ้พิทย์ เมียจริง หรือ เมียน้อย เมียกก เมียเก็บก็ไม่รู้”
โขมพัสตร์ก้มหน้า กัดปาก ตัวสั่น
นมผ่อนค่อยๆเอื้อมมือแตะที่ไหล่โขมพัสตร์เพื่อให้กำลังใจ
รังสรรค์เหลือบไปเห็นรูปถ่ายในมือเธอ
“นั่นรูปใคร”
นมผ่อนสะดุ้ง ช็อก
รังสรรค์กระชากรูปจากมือเธอมาจ้องมอง ตาลุกวาว
“แกเอารูปนี้มาจากไหน”
“ของป้านมผ่อน ดิฉันเอามาคืนป้านมผ่อน”
รังสรรค์ตวาดใส่นมผ่อนเสียงกร้าว
“แกบังอาจเก็บรูปนังแพศยาคนนี้ไว้เหรอ”
“อิฉัน...แค่อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก อิฉันไม่ได้...”
“เพราะแกจงใจขัดคำสั่งฉัน มันถึงได้มีแต่เรื่องอัปมงคลในบ้านหลังนี้ มันเป็นเพราะรูปอีกาลกินีตัวนี้นี่เอง”
รังสรรค์ฉีกรูปใบนี้จนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โขมพัสตร์พุ่งเข้าไปยื้อแย่งรูปจากมือรังสรรค์
“อย่านะคะ คุณทำอย่างนี้ไม่ได้”
“ทำไมฉันจะทำไม่ได้”
“มันไม่ใช่ของของคุณ”
“ฉันจะฉีกมันให้หมด”
“คุณทำลายของของคนอื่นไม่ได้”
“อีนี่มันทำลายชีวิตฉันแค่ไหน แกรู้มั้ย”
“อย่าค่ะ”
“ออกไปให้พ้น”
รังสรรค์เหวี่ยงร่างขมกระเด็นออกไปถูก โกศ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
โกศ ลอยกลางอากาศ ผงเถ้ากระดูก กระจายออกจากโกศนั้น
โขมพัสตร์พุ่งเข้าไป ไขว่คว้าเถ้ากระดูกที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
รังสรรค์ก็พลอยยืนอึ้งไปด้วย
โกศตกกระทบพื้น แตกกระจาย
โขมพัสตร์ทรุดตัวลงกับพื้น
เธอพยายามโกยเอาเถ้ากระดูกที่อยู่บนผิวดิน รวมไว้ในมือของเธอ เธอพร่ำพรรณนา น้ำตาที่ไหลพรากเกินกว่าจะห้ามได้
“แม่จ๋า...ขมขอโทษ...ขมดูแลแม่ไม่ดี ขมไม่ได้ตั้งใจจ้ะแม่”
รังสรรค์ขว้างเศษรูปในมือ กระจายทั่วพื้น
“อย่าได้มีใครคิดฝ่าฝืนคำสั่งฉันอีกนะ จำไว้”
รังสรรค์เดินจากไป
นมผ่อนทรุดตัวลงข้างๆโขมพัสตร์ น้ำตาไหลด้วยความสะเทือนใจไม่แพ้กัน
เธอหันไปหานมผ่อน พร้อมกับแบมือให้ดูเถ้ากระดูกที่เธอโกยเอาไว้ได้
“ป้าจ๋า...แม่แขของขม เหลือเพียงเท่านี้เอง”
“ประคองแม่ไว้ก่อนนะขม ป้าจะไปหาผ้าขาวมาให้นะ”
นมผ่อนรีบเดินเข้าไปในบ้านเหลือเพียงโขมพัสตร์ที่นั่งร้องไห้ ปิ่มว่าจะขาดใจ
ห่อผ้าขาว ถูกวางลงบนหิ้งเหนือที่นอนมันคือผ้าที่ห่อผงเถ้ากระดูกของแม่แข เท่าทีเธอจะโกยเก็บมาได้ โขมพัสตร์พนมมือพูดกับผ้าห่อนี้นมผ่อนยืนสะเทือนใจอยู่ด้านหลัง
“แม่จ๋า...แม่อยู่ในห่อผ้าแบบนี้ไปก่อนนะจ๊ะ ถ้าเป็นไปได้ ขมจะพยายามหาโกศใบใหม่ ที่เหมาะสมมาเปลี่ยนให้นะแม่ แม่อย่าโกรธขมเลยนะ...ให้อภัยขมด้วยนะจ๊ะแม่”
“ไม่ใช่ความผิดของขมหรอก”
“แต่ถ้าขมไม่เถียงเขา ถ้าขมเดินเลี่ยงเข้าบ้านเลย ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้”
โขมพัสตร์หยิบเศษรูปที่ถูกฉีกขาดขึ้นมาดู
“ขมจะพยายามต่อรูปพวกนี้ ให้เหมือนเดิมให้มากที่สุดนะจ๊ะป้า”
“โถ แม่คุณ...ช่างมันเถอะ ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก มันก็แค่รูปภาพใบนึงเท่านั้นเอง ไม่ได้มีค่าอะไร”
“แต่มันเป็นสมบัติของป้า ป้าอุตส่าห์เก็บสะสมไว้ตั้งหลายปี จะบอกว่าไม่มีค่าได้ยังไง”
รติรสเดินเข้ามา
“ขม”
“คุณรส”
“พ่อให้ฉันเอานี่มาให้เธอ”
รติรสส่งถ้วยเบญจรงค์ที่อยู่ในมือให้กับขม
“พ่อไม่ได้บอกว่าให้เอามาใช้ทำอะไร...พ่อบอกว่า เธอจะรู้และใช้ได้เอง”
“คุณรสเอาไปคืนคุณรังสรรค์เถอะค่ะ ดิฉันไม่ต้องการ”
“ถ้าเธอรังเกียจพ่อฉัน ก็ถือว่าฉันเป็นคนให้เธอก็แล้วกัน เพราะฉันรู้แล้วว่า มันควรจะใช้สำหรับอะไร”
รติรสดึงมือขมมารับถ้วยเบญจรงค์ใบนั้นและทั้งสองคนช่วยกันประคองห่อผ้าใส่ลงไปในถ้วยใบนี้
ค่ำต่อเนื่องมา รังสรรค์นั่งดื่มเหล้าเพียงลำพังที่ระเบียงห้อง หน้าตาแดงก่ำ บุหงาเดินเข้ามา
“เด็กในบ้านลือกันให้แซ่ดว่าคุณพี่ไปหาเรื่องนังขมถึงหน้าเรือนนมผ่อน จริงรึเปล่าคะ”
รังสรรค์กระดกเหล้าเข้าปาก ไม่ตอบ
“คุณพี่ทำแบบนี้ ใครๆก็จะยิ่งสงสาร เห็นใจนังขมมัน คุณพี่ก็จะกลายเป็นตัวร้ายตัวโกง ตัวอิจฉา เป็นปีศาจในสายตาของคนในบ้านพุทธชาดมากยิ่งขึ้น...คุณพี่ทำทำไม”
“หยุดพูดซะทีได้มั้ย”
“แล้วก็มาพาลลงกับน้อง น่าเบื่อจริงๆ...วันๆมีแต่หงุดหงิด เอาแต่นั่งกินเหล้าระวังเถอะ จะเป็นโรคตับแข็งโดยไม่รู้ตัว”
“ตับมันจะแข็ง ก็ตับฉัน เธอไม่เกี่ยว”
“น้องชักสงสัยแล้วว่า นังเด็กคนนั้นอาจจะมีความหมายอะไรเป็นพิเศษกับคุณพี่มากกว่าที่ใครๆรู้ก็ได้”
“เธอจะพูดอะไร”
“เด็กคนนี้อาจเป็นลูกผู้หญิงที่พี่รังเกียจ ซึ่งผู้หญิงคนนี้เคยเป็นเมียเก่าของคุณพี่และเด็กคนนี้ก็อาจเป็นลูกของคุณพี่กับมัน”
รังสรรค์กระชากแขนบุหงา บีบแน่น
“ฉันบอกให้หยุดพูด ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ หรือต้องให้ฉันลงไม้ลงมือกับเธอ”
“เอาสิ อยากทำอะไรน้องก็ทำเลย น้องจะได้ฟ้องหย่าคุณพี่ซะเลย”
“เพื่อจะไปหาผู้ชายคนใหม่ใช่มั้ย”
“นั่นเป็นเรื่องของอนาคต”
“งั้นก็ลืมได้เลย...เธอจะไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้น”
“ทำไม”
“เพราะเพียงแค่คิด เธอก็จะตายด้วยมือของฉัน ก่อนที่จะทำอะไรได้”
ทั้งสองจ้องหน้ากัน เครียด
ค่ำเดียวกัน ชาติสยามและภาสธร นั่งตรงระเบียงสวยเหล้าชั้นดีราคาแพงวางอยู่เบื้องหน้าภาสธร
เขายกเหล้าขึ้นดื่มแล้วจึงเอ่ยปาก
“ใจคอแกจะปล่อยให้เพื่อนนั่งดื่มคนเดียวอย่างนี้เหรอวะ”
“อือม”
“โธ่ ฉันจะออกทำงานต่างจังหวัดทั้งที เพื่อนจะไม่ดื่มเลี้ยงส่งหน่อยเหรอวะ”
“ก็แค่ไปๆมาๆ ไม่ได้ปักหลักอยู่ที่ไหนเป็นปีๆซะหน่อย ต้องเลี้ยงส่งด้วยเหรอ”
“เออ เดี๋ยวนี้เรื่องของเพื่อนสำคัญไม่เท่าเรื่องของหลานใช่มั้ย”
“ไอ้นี่ก็พูดไปเรื่อย”
“แม่กับยายฉันพูดไปเรื่อยยิ่งกว่านี้อีก เดี๋ยวนี้ไม่มีวันไหนไม่พูดเรื่องหลานแกเลย”
ชาติสยามถอนใจ
“ฉันรู้สึกว่าพวกเขาคาดเดาอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่ยังต้องการการยืนยันและคนที่จะยืนยันเรื่องทั้งหมดได้ก็คือพี่ชายแก”
“นี่เขาใช้ให้แกมาเกลี้ยกล่อมฉันเหรอวะ”
“เปล่า ฉันสงสัยของฉันเองว่า ทำไมแกไม่ถามพี่แกให้รู้เรื่อง มันจะได้จบไอ้ปริศนาคาราคาซังนี้ซะที”
“ฉันเป็นคนรักษาสัญญา แกไม่รู้เหรอ”
“รู้ แต่ทุกสัญญามันแก้ไขได้ทั้งนั้น ถ้าคู่สัญญาเห็นพ้องต้องกัน และฉันคิดว่าในกรณีนี้ มันจะเกิดประโยชน์กับหลานแกมากกว่า ถ้าพี่ชายแกยอมเปิดปาก”
ชาติสยามครุ่นคิดหนัก
ต่อเนื่องมา ชาติสยามนั่งเขียนจดหมายใต้แสงไฟจากโคมบนโต๊ะทำงานเสียงของเขาดังออกมาตามข้อความนั้น
“พี่ชวาลที่เคารพยิ่ง ผมจำเป็นต้องเขียนจดหมายถึงพี่ ด้วยเหตุผลสองประการประการที่หนึ่ง ผมอยากรู้ความคืบหน้าเรื่องสุขภาพของพี่ ผมเฝ้าภาวนาทุกคืนหวังให้สุขภาพของพี่แข็งแรง เอาชนะโรคร้ายกลับมาเป็นปกติให้จงได้ เพราะนั่นหมายถึงความสุขความสมบูรณ์ของครอบครัวพี่ก็จะกลับคืนมา ประการที่
สองก็คือ สถานการณ์ของลูกสาวพี่”
ในห้องนอนโขมพัสตร์ เธอนั่งสวดมนต์ บนเตียงนอนเบื้องหน้าเธอคือถ้วยเบญจรงค์ ที่บรรจุเถ้ากระดูกของแม่แข
“เธอยังคงถูกรังแกจากเพื่อนของพี่อย่างสม่ำเสมอ แม้ประมุขของบ้านพุทธชาดจะคอยปกป้องแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก คุณหญิงพยายามเหลือเกินที่จะสืบหาที่มาที่ไปของแม่แข แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะคนเดียวที่จะคลี่คลายความสงสัยทั้งหมดได้ ก็คือพี่เท่านั้น”
ชาติสยามเดินอ่านทบทวนข้อความในจดหมายที่เขาเขียน
“ผมเคารพการตัดสินใจของพี่ และผมเคร่งครัดกับคำสัญญาที่ให้กับพี่ไว้ แต่พี่ลองพิจารณาอีกครั้งเถอะครับ บางทีการเปิดเผยความจริงอาจจะเป็นผลดีกับขมมากกว่า”
ฝ่ายรังสรรค์ยังคงนั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง
“เธอจะได้ไม่ถูกรังแก และแม่แขของเธอก็จะได้ไม่ถูกพูดถึงอย่างเสียๆหายๆอีกต่อไป”
ชาติสยามขยับตัวลงนั่งเขียนข้อความบรรทัดสุดท้ายลงไปในจดหมายฉบับนี้
“ผมยินดีที่จะบินไปหาพี่ หรือพาทุกคนไปหาพี่ ถ้าพี่พร้อมที่จะเปิดเผยความจริงทั้งหมด ฝากพี่พิจารณาด้วยนะครับ...ชาติสยาม สุรบดินทร์”
ค่ำต่อเนื่อง รังสรรค์ยกแก้วเหล้ากรอกใส่ปาก หน้าตาแดงก่ำเสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้น
รังสรรค์เดินโซเซไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาพูด
“ฮัลโหล...ฮัลโหล...ว่าไง จะพูดกับใคร”
บุหงาเดินเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ เธออาศัยหลืบมุมตู้เพื่อบังกาย และแอบมองจ้องไปยังผู้เป็นสามี
รังสรรค์ตะคอกเสียงใส่ลงไปในโทรศัพท์
“เฮ้ย ดึกดื่นป่านนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะโทร.มาแกล้งชาวบ้านเล่นนะเว้ย ถ้าไม่พูดอะไรจะวางแล้วนะ...ไอ้บ้า”
รังสรรค์กระแทกหูโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด แล้วตะโกนลั่นบ้าน
“มีใครอยู่แถวนี้มั้ย เอาเหล้าขวดใหม่ในตู้มาให้ฉันหน่อย เพิ่งจะกี่โมงกี่ยามเองมุดหัวนอนกันหมดแล้วเหรอ”
รังสรรค์เดินเมาออกไป
บุหงามองตามผู้เป็นสามีไป
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งเธอรีบก้าวยาวๆไปรับโทรศัพท์เครื่องนั้นและเอ่ยปากเสียงแผ่วเบา
“นั่นแกใช่มั้ย...ฉันนึกแล้วว่าต้องเป็นแก แฟรงกี้”
ที่ห้องพักแฟรงกี้ เขานอนพูดโทรศัพท์ หน้าตายิ้ม
“ถ้านึกได้ แล้วทำไมไม่รีบมารับโทรศัพท์เร็วๆ ปล่อยให้ผัวแก่ของยูมาพูดสายกับไอได้ยังไง”
“ก็ใครใช้ให้แกโทร.มาดึกดื่นป่านนี้ล่ะ”
“แหม...ความคิดถึงมันเลือกเวลาได้ที่ไหนล่ะจ๊ะดาร์ลิ้ง”
“พูดเรื่องของแกมาเร็วๆ”
“ฉันต้องการเงิน”
“ยังไม่ถึงสองเดือนเลย”
แฟรงกี้เดินพูดโทรศัพท์ไปรอบๆห้อง
“ก็เงินมันหมดแล้วนี่ จะให้รอถึงสองเดือนไอก็เหี่ยวตายสิ”
“ฉันยังไม่มีเงิน”
“ยูก็หามาจากคนที่มีสิ...ยูทำได้อยู่แล้ว ไอเชื่อฝีมือยู เพราะยูคงไม่อยากให้เรื่องราวมหัศจรรย์ของยูเปิดเผยออกมามากกว่านี้ จริงมั้ย”
บุหงาสูดหายใจลึกๆ เอ่ยปากด้วยเสียงเข้ม
“เท่าไหร่”
“เท่าที่ยูมี”
“ฉันจะพยายาม แล้วอย่าเสือกโทร.มาดึกดื่นอย่างนี้อีก ความอดทนของฉันก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะเว้ย”
บุหงาวางโทรศัพท์ลงทันที
รังสรรค์ถือเหล้าขวดใหม่เข้ามาด้านหลังบุหงา
บุหงาหันไปเห็นผู้เป็นสามี เธอถึงกับสะดุ้ง
“ใคร” รังสรรค์ถามเสียงห้วน
“เพื่อน”
“แฟรงกี้ใช่มั้ย...มันโทร.มาทำไม ดึกๆดื่นๆ”
บุหงาเลือกใช้ท่าทีหงุดหงิด รำคาญใจ ในการตอบคำถามของรังสรรค์
“มันโทร. มาปรึกษาปัญหาของมัน”
“เล่ามาให้ละเอียด” รังสรรค์คาดคั้น
“คุณพี่หายเมาแล้วค่อยพูดกันใหม่ดีกว่า น้องเหม็นเหล้า”
บุหงาตัดบทเดินหนีเข้าห้อง
รังสรรค์ตะโกนตามหลังไป
“แล้วเมื่อก่อนทำไมไม่เหม็น...บุหงา กลับมาพูดกันก่อน โธ่เว้ย !”
เช้ารุ่งขึ้น ที่สนามหญ้า โขมพัสตร์นั่งทอดสายตาไปไกลเพียงลำพังในมือของเธอมีตุ๊กตาตัวเล็กที่เป็นของขวัญจากชาติสยามถือติดตัวไว้
รัฐเดินเข้ามาด้านหลัง หน้าตาเบิกบาน
“ขม”
โขมพัสตร์หันไปมองเฉยๆ ไม่ยิ้มแย้มด้วย
“ทำไมหน้าบึ้งอย่างนั้นล่ะ...ยังไม่หายโกรธพี่อีกเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“คุณยายยกเลิกคำสั่งกักบริเวณพี่แล้ว พี่ก็มุดรั้วเข้ามาหาขมได้เหมือนเดิม...ขมไม่ดีใจกับพี่เลยเหรอ”
โขมพัสตร์พยักหน้าแต่เพียงน้อย
“ขมมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ บอกพี่ได้มั้ย เผื่อพี่จะช่วยได้”
“เรื่องของขม ใครก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ”
“ได้สิ พี่ช่วยคลายความเครียดให้ขมได้นะ ด้วยการพาขมไปกินไอศกรีมอร่อยๆ”
โขมพัสตร์ส่ายหน้า
“หรือก๋วยเตี๋ยวเรือรสแซ่บ...หรือดูหนังตลกซักเรื่อง หรือทำทั้งสามอย่างภายในวันเดียว”
“พี่รัฐไปเองเถอะค่ะ...ชวนพี่รสไปก็ได้ ขมไม่มีอารมณ์”
รติรสเดินถือหนังสือนิตยสารราคาแพงเข้ามา ไม่ไกลจากทั้งคู่นัก เธอหยุดยืนนิ่งเมื่อได้ยินการสนทนาของทั้งสอง
“ถ้าขมไม่มีอารมณ์ พี่ก็ไม่มีอารมณ์เหมือนกัน พี่จะสนุกได้ยังไงถ้าขมไม่สนุกด้วย”
“ถ้ามีคุณรสไปด้วย พี่ก็สนุกได้”
“ไม่จริง...ไม่มีใครสำคัญสำหรับพี่เท่าขมอีกแล้ว รติรสหรือใครก็แทนที่ขมไม่ได้”
รติรสเกิดความความรู้สึกน้อยใจผุดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“งั้นขมขอไม่ไปไหนนะคะ”
“งั้นพี่ขอนั่งอ่านหนังสือนิ่งๆตรงนี้ได้มั้ย...นะ”
รติรสค่อยๆเดินออกไปจากเฟรมอย่างเหงาหงอย
หนังสือนิตยสารราคาแพงเล่มนั้น ถูกโยนลงบนพื้นรติรส ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งข้างหนังสือเล่มนั้น
รัมภ์เดินเข้ามายืนข้างๆ
“หนังสือเล่มตั้งแพง เอามาโยนแบบไม่ใยดีอย่างนี้เลยเหรอ”
“รสอ่านหมดแล้ว”
“งั้นก็เอาไปบริจาคให้คนที่ไม่มีจะอ่านสิ”
“รสกะจะเอาไปให้ขม เผื่อขมเขาชอบ จะได้เอาไว้อ่านแก้เหงา”
“แล้วมานั่งเงียบๆอยู่ตรงนี้ขมจะรู้ได้ไง เขาก็เหงาแย่สิ”
“ขมเขาไม่เหงาแล้วหละ...แต่ถ้าพี่รัมภ์ยังเป็นห่วงอยู่ ก็ไปคุยกับเขาสิ”
“พี่ไปไม่ทันพี่รัฐน่ะ ปล่อยให้เขาคุยไปก่อน ถึงตาพี่บ้างเขาจะได้ไม่มาแทรก”
ทั้งสองต่างนั่งนิ่งๆ ไม่มีใครเอ่ยปากอะไรอีก
บุหงาก้าวเข้ามาที่หน้าโต๊ะหนังสือของรังสรรค์กวาดตามองไปรอบๆ แล้วจึงค่อยๆเปิดลิ้นชักโต๊ะ เธอหยิบสมุดบัญชีธนาคารออกมาจากลิ้นชักนั้นสามเล่ม
พจนีย์เดินเข้ามาด้านหลังบุหงา
“น้าบุหงา !”
บุหงาหันมาหาพจนีย์ เธอพยายามควบคุมตัวเองให้เป็นปกติ
“ทำอะไรที่โต๊ะพ่อน่ะ หาอะไรเหรอคะ”
“เปล่านี่”
“นั่นมันสมุดบัญชีธนาคารของพ่อไม่ใช่เหรอ”
“ใช่...น้าจะเอาไปเบิกเงินค่าใช้จ่ายในบ้าน”
“เอ๊ะ ทุกทีพ่อจะใช้น้าประหยัดไปเบิกไม่ใช่เหรอคะ...ทำไมคราวนี้...” พจนีย์สงสัย
“น้าจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว ก็เลยจะทำเอง”
“ใช่เหรอคะ...”
พจนีย์ยิ้ม แสดงท่าทีเหมือนรู้ทันผู้เป็นน้า
“พจน์ว่า น้าคงอยากได้เสื้อผ้าสวยๆซักชุดสองชุดแล้วไม่กล้าบอกพ่อละมั้ง”
บุหงารู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
“รู้ทันจริงนะ”
“ก็เรามันคอเดียวกันนี่คะ”
“อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อนะ”
“ได้ค่ะ...แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“ข้อแลกเปลี่ยน ?”
“น้าบุหงาต้องช่วยพจน์เรื่องนึง ซึ่งพจน์เชื่อว่าน้าบุหงาทำได้ ไม่ยาก”
“เรื่องอะไร ?”
“เรื่องนังขม...พจน์หมั่นไส้มันมาก”
บุหงาฉีกยิ้มใสๆ ไร้ความกังวลใจใดๆทั้งสิ้น
สาวใช้เดินตรงเข้าไปหานมผ่อน
“ป้านมผ่อน ขมล่ะ”
“นั่งอ่านหนังสืออยู่หลังบ้านน่ะ มีอะไรเหรอ”
“คุณบุหงาให้มาตาม บอกว่ามีธุระจะให้ขมไปเป็นเพื่อนข้างนอก”
“ไปไหน”
“ซื้อเสื้อผ้า รึไงเนี่ย...ป้าตามขมให้ที ด่วนเลยนะ”
บ่ายวันเดิมบุหงาพาโขมพัสตร์เดินเข้ามาหน้าโรงภาพยนตร์บุหงาหันไปสั่งความกับขม
“รอฉันอยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะไปเบิกเงินที่ธนาคารทางโน้นแป๊ปนึง อย่าไปไหนนะ”
“ไปเบิกเงินคงจะไม่นานจนถึงค่ำ เหมือนตอนไปเรียนทำขนมเค้กนะคะ”
“เออ ไม่ต้องมาเหน็บแนมฉัน...เอ้านี่สตางค์ เก็บไว้เผื่ออยากจะซื้ออะไรกิน”
บุหงายื่นเงินปึกใหญ่ให้ขม
“ทำไมให้ตั้งเยอะขนาดนี้”
“เยอะแล้วไม่ดีรึไง...ไม่ใช้ก็เก็บไว้ ฉันกลับมาแล้วค่อยเอามาคืน”
บุหงาเดินออกไป
โขมพัสตร์เก็บเงินปึกนั้นใส่กระเป๋าสะพายของเธอ เธอขยับตัวเดินนิดๆ เพื่อเลือกตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการยืนรอชายแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งมาชนขมอย่างแรงชายคนนั้น หย่อนสร้อยทองคำลงไปในกระเป๋าถือ
ทันทีที่ชายคนนั้นวิ่งหลุดไป เสียงโวยวายก็ดังมา
“นั่นไง มันอยู่นั่น”
ชายหญิงคู่หนึ่งชี้มือมาที่โขมพัสตร์
หญิง1 “นั่นแหละ อีหัวขโมย มันขโมยทองจากกระเป๋าของฉัน”
ทั้งสองชายหญิงวิ่งตรงมาถึงตัวโขมพัสตร์ พร้อมตะโกนลั่น
“เอาสร้อยทองของฉันมาเดี๋ยวนี้นะ”
“สร้อยทองอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ แกแอบขโมยทองในกระเป๋าฉัน”
โขมพัสตร์ตกใจกับท่าทีของชายหญิงคู่นี้
“ไม่มี ไม่รู้เรื่อง”
“งั้นกล้าให้ฉันค้นตัวมั้ย”
“ค้นเลย ค้นดูได้เลย”
ผู้คนในละแวกนั้น เริ่มเข้ามามุงดู อย่างสนใจ
หญิง1 ดึงกระเป๋าสะพายของขมมาเปิด จึงเห็นสร้อยทองวางซุกอยู่ในนั้นมันชูให้ทุกคนดู
“นี่ไงสร้อยของฉัน...แก อีผู้ร้ายปากแข็ง”
“ฉันไม่รู้เรื่องด้วยนะ ฉันไม่รู้ว่ามันมาอยู่ในนี้ได้ยังไง”
“ก็แกล้วงกระเป๋าฉันไงล่ะถามได้ แล้วยังขโมยเงินฉันด้วยนี่ไง”
หญิง1หยิบเงินในกระเป๋าชูให้ทุกคนดู
“เปล่านะ เงินนั่นคุณบุหงาให้ฉันมา”
“บุหงง บุหงา อะไร ไม่รู้เว้ย...ลากตัวมันไปโรงพักเลยดีกว่า”
โขมพัสตร์ค่อยๆถอยตัวห่างออกมาด้วยความกลัว
ชาย1 รีบคว้าตัวเธอล็อกไว้
มุมลับตามุมหนึ่ง พจนีย์โผล่หน้าออกมาจากหลืบมุมลับตาจ้องมองไปที่โขมพัสตร์อย่างสะใจ
บุหงาก้าวเข้ามาใกล้ๆพจนีย์
“อย่างนี้ใช่มั้ยที่หลานพจน์ต้องการ”
“ใช่เลยค่ะ น้าบุหงานี่สุดยอดจริงๆ”
ด้านหลังรุ้งกาญจน์ก้าวเข้ามามองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเข้าใจ
ชายคนนั้น ล็อกตัวโขมพัสตร์และพยายามลากตัวออกไปจากบริเวณนี้ เธอออกแรงขืนตัวไว้สุดกำลัง
ชาย1 “ไปกับฉันดีๆน่า จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”
“ไม่นะ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะรอคุณบุหงาที่นี่”
หญิง1 บอก “เดี๋ยวคุณบุหงาก็ตามไปโรงพักเองหละ ไม่ต้องห่วง”
“ไม่”
โขมพัสตร์ออกแรงสะบัดมือจนหลุดจากการล็อกของชาย1
หญิง1 บอก“จับมันเร็ว”
“อย่านะ”
โขมพัสตร์ขยับตัววิ่งหนี
ชาย1ตามไปกระชากแขนไว้ได้อีกครั้ง
“ตบมันเลย” หญิง 1 บอก
ชาย1 หันไปมองหญิง1
“เอางั้นเลยเหรอ ไม่ต้องก็ได้มั้ง”
“งั้นฉันตบเอง”
หญิง1 ปราดเข้าไปเงื้อมือตบอย่างแรง โขมพัสตร์พยายามเอี้ยวตัวหลบ
หมู่ไทยมุง เชียร์กันสนุก
มุมลับตาบุหงามีท่าทีไม่พอใจนัก
“มันทำเกินคำสั่งนี่หว่า”
“แต่ก็สะใจดีนะน้าบุหงา”
“น้าให้มันลากไปตบในที่ลับตา ไม่ใช่กลางผู้กลางคนอย่างนี้”
โขมพัสตร์กำลังจะถูกตบซ้ำ
รุ้งกาญจน์ปราดเข้ามาขวางและจับมือหญิง1ไว้
“สองรุมหนึ่ง ถือว่าไม่ยุติธรรม...มันต้องสองต่อสอง ถึงจะสมน้ำสมเนื้อ”
เธอใช้กระเป๋าฟาดไปที่ชาย1 และถีบหญิง1 จนกระเด็นออกไป
“อารุ้ง !”
“อาเพิ่งเรียนมวยมาจากอีสาน กำลังอยากลองวิชาพอดี”
มุมลับตาบุหงาหน้าตาเคียดแค้น
“นังรุ้งกาญจน์”
รุ้งกาญจน์คว้าไม้ใกล้ตัวเงื้อสูง
“อย่าเข้ามานะ ใครทำอะไรเด็กคนนี้ ฉันฟาดไม่เลี้ยงแน่”
หญิง1 บอก “แกจะไปช่วยมันทำไม มันเป็นหัวขโมยนะ”
“เขาจะเป็นอะไรก็ช่าง พวกเธอไม่มีสิทธิ์มาทุบตีเขาอย่างนี้ ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจสืบสวนหาความจริงดีกว่า”
“แกเป็นใคร เป็นผู้ปกครองมันเหรอ”
“เปล่า แต่อีกไม่นานผู้ปกครองของเด็กคนนี้ก็จะมา ซึ่งก็น่าจะเป็นคนเดียวกับผู้จ้างวานพวกแก”
บุหงาเดินเข้ามาพร้อมกับพจนีย์ทั้งสองวางสีหน้าหงุดหงิด
“กล่าวหาอะไรฉันอยู่ไม่ทราบ คุณรุ้งกาญจน์”
“นี่ไง พูดถึงก็มาพอดี”
พจนีย์ถาม“ก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกล่ะ นังขม”
“เด็กคนนี้ขโมยสร้อยทองกับเงินของฉัน”
“ตายจริง !”
พจนีย์จงใจแสดงท่าทีตกใจจนเกินจริง
โขมพัสตร์รีบแสดงความบริสุทธิ์ของเธอกับบุหงา
“นั่นคือเงินที่คุณบุหงาให้ดิฉันไงคะ ส่วนสร้อยทองนั่น ต้องมีคนแอบเอามาใส่ในกระเป๋าดิฉันแน่ๆ”
“เอางี้ ได้สร้อย ได้เงินคืนไปแล้ว ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกันแล้วกัน จะได้จบ ดีมั้ย”
บุหงาจ้องตาหญิง1 คล้ายเป็นคำสั่งหญิง1 เข้าใจสัญญาณนั้น
“ก็...แล้วแต่คุณค่ะ”
“เอ ยอมกันง่ายๆแบบนี้ เหมือนรู้ใจกันมาก่อนงั้นหละ...งั้นก็ จ่ายค่าจ้างวานกันตรงนี้เลยดีมั้ย”
บุหงาหันไปจ้องหน้ารุ้งกาญจน์ ตาเขม็ง
“แกกำลังหมิ่นประมาทฉันนะ”
“ไม่ใช่ ก็เถียงมา !”
บุหงาตัดสินใจที่จะไม่ต่อปากต่อคำด้วย เธอรีบคว้ามือโขมพัสตร์
“กลับบ้านได้แล้วขม”
รุ้งกาญจน์คว้ามือบุหงาไว้
“ยังกลับไม่ได้ จนกว่าตำรวจจะมา เรื่องนี้จะได้กระจ่าง ว่าใครจ้างวานใคร”
“ คู่กรณีเขายอมความกันแล้ว ตำรวจไม่เกี่ยว”
“ต้องเกี่ยว เพราะฉันแจ้งตำรวจท้องที่ไปแล้ว รออีกแป๊ปเดียวเท่านั้น”
“แกชักจะวอนหาเรื่องมากไปแล้วนะ”
“นั่นคือความสามารถพิเศษของฉัน”
“งั้นก็รับมือกับความสามารถพิเศษของฉันให้ดี”
บุหงาเงื้อมือตบหน้ารุ้งกาญจน์ทันทีรุ้งกาญจน์ตั้งรับไม่ทัน ถึงกับเซไป
บุหงาทะยานเข้าไปตบซ้ำ
รุ้งกาญจน์ตั้งหลักได้ เงื้อมือตบโต้ตอบเกิดเป็นการตบตีชุลมุน ท่ามกลางฝูงชน
พจนีย์พุ่งเข้าไปช่วยบุหงาตบตีรุ้งกาญจน์ โขมพัสตร์ทะยานเข้าไปดึงร่างของพจนีย์ออกมา
รุ้งกาญจน์ได้ที ตะลุยตบแหลกชายหญิงคู่นั้นได้แต่ยืนนิ่งอึ้งบุหงาตะโกนลั่น
“แกสองคน มาช่วยฉันตบมันสิ มัวยืนดูบ้าอะไรอยู่”
ชายหญิงทั้งสองจึงพุ่งเข้ามาตบรุ้งกาญจน์ตามคำสั่ง
โขมพัสตร์พยายามช่วยต่อสู้ป้องกันรุ้งกาญจน์สุดชีวิต
สักพักเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายวิ่งเข้ามา
“หยุด ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้”
เจ้าหน้าที่พยายามแยกคู่กรณี เพื่อคลี่คลายสถานการณ์แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล
การตบตียังคงดำเนินต่อไปฝุ่นตลบอบอวลทั่วลานหน้าโรงภาพยนตร์
อ่านต่อตอนที่ 9