ดงผู้ดี ตอนที่ 7 : “ขม” กลับอัมพวา กราบกระดูก “แม่แข”
บทประพันธ์ : บุษยมาส
บทโทรทัศน์ : สามัญ
เช้าวันใหม่ชาติสยามแต่งตัวหล่อเดินเข้ามากลางโถงบ้านภาสธรนั่งเอกเขนก รออยู่แล้ว
"สอนหนังสือในมหาลัยต้องแต่งตัวหล่ออย่างนี้เลยเหรอ"
"เนี่ยเหรอวะหล่อ นี่ธรรมดาที่สุดแล้วนะ ดูเป็นอาจารย์จะตาย"
ภาสธรแซว "หวังจะให้นิสิตติดใจอาจารย์หนุ่มคนนี้ละซี"
"บ้า ฉันมีรุ้งกาญจน์คนเดียวก็พอแล้ว ไม่มีเวลาไปเอาใจคนอื่นอีกหรอก"
"แต่ที่ฉันเห็น ยังมีอีกคนนึงนะ...ขมไง"
"นั่นหลาน"
"ก็หลานคนนี้ไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้แกไปเที่ยวใต้กับรุ้งกาญจน์ไม่ได้"
"ไม่เกี่ยวเลย...เอ้า มีอะไรก็ว่ามา ฉันจะไปมหาลัยแล้ว"
ภาสธรเดินไปยืนประจันหน้าชาติสยามจนใกล้
"ฉันอยากรู้จัก พิทย์ รุ้งพราย พี่ชายแก"
"โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร"
"ก็เรื่องนี้แหละ ที่ทำให้ทั้งแม่ทั้งยายรุมซักฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย"
"ฉันตอบแกได้ง่ายๆเลยเพื่อน"
"ตอบว่า..."
"ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น"
"ไอ้บ้า !"
"แกจะเป็นคนที่สองที่ได้รู้เรื่องราวของเขาต่อจากฉัน ในไม่กี่วันข้างหน้านี้แหละฉันสัญญา"
"แล้วฉันจะตอบแม่ว่ายังไง"
"แล้วแต่แก...ไปแล้ว"
ชาติสยามขยับตัวเดินออกจากบ้าน
"เฝ้าบ้านให้ด้วยนะ แล้วถ้าจะไปก็ปิดบ้านด้วยเว้ย"
"เออ !"
บุหงาเดินเข้ามากลางร้านอาหารที่บรรยากาศมืดทึมเธอเดินตรงไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ในมุมลับตา
แฟรงกี้ นั่งรออยู่ที่นั่นบุหงาเอ่ยปากน้ำเสียงห้วน
"แกออกมาได้ยังไง"
"นี่คือประโยคทักทายกันของคนรักเก่าเหรอ"
บุหงาไม่มีอารมณ์พูดเล่นด้วย เธอถามย้ำคำถามเดิมทีละคำ
"ฉันถามว่า แกออกมาจากคุกได้ยังไง"
" เข้าได้ก็ออกได้ ไม่เห็นแปลก...ไม่เชื่อลองเข้าไปด้วยกันซักครั้งมั้ยล่ะ"
"เสียใจ...ฉันไม่มีความผิดอะไรที่ต้องเข้าคุก"
แฟรงกี้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้บุหงา
"จะให้บอกมั้ยว่า ยูมีความผิดอะไรบ้าง"
บุหงาจ้องหน้าแฟรงกี้นิ่ง
"ฆ่าคนตาย...โทษหนักกว่าขนของเถื่อนเยอะ"
"ออกมาแล้ว จะไปไหนก็ไปสิ ไปให้พ้นๆฉันซะทีเถอะ"
"ก็อยากจะไปอยู่...แต่มันยังตัดใจไม่ได้"
แฟรงกี้ยื่นมือไปจับมือบุหงา และลูบไล้เล่นบุหงาชักมือของเธอหนี
"ไม่ต้องกังวลหรอกน่า คราวนี้ไอจะไม่ล่วงเกินยูให้ระคายเคืองไปถึงผัวแก่ของยูอีกแล้ว...สัญญา"
"งั้นแกต้องการอะไรอีก"
"เงิน"
"ก็ไอต้องเอาไปจ่ายค่าทนาย และก็ใครต่อใครอีกเต็มไปหมด กว่าจะปิดคดีได้...ตอนนี้ไอไม่เหลืออะไรเลยนะ"
"จะเอาเท่าไหร่ ?"
"เยอะ เพราะไอต้องตั้งตัวใหม่"
"เยอะของแกน่ะ เท่าไหร่ ?"
"ทั้งหมดที่ยูมี"
"บ้าเหรอ"
"แบ่งจ่ายเป็นงวดๆก็ได้"
"แกคิดว่าฉันมีเงินเก็บมากมายนักเหรอ"
"เปล่า ไอต้องการเงินของรัตนเดชากรต่างหาก"
บุหงานิ่ง อึ้งไป
"ตระกูลผัวยูใหญ่โตขนาดนัั้น มันต้องมีเงินมากพอที่ยูจะขโมยมาให้ไอใช้บ้างแหละ ไม่เห็นจะยาก"
"เกินไปแล้ว"
"ไม่...ไม่เกิน...ถ้าเทียบกับสิ่งที่ยูทำกับไอ และสิ่งที่ยูทำกับพี่สาว หรืออยากให้ไอป่าวประกาศ"
"แกจะพูดอะไรก็พูดไป เพราะจะไม่มีใครเชื่อคนขี้คุกอย่างแกหรอก"
"ก็อาจจะจริง แต่ถ้ามีรูปนี้ประกอบด้วยล่ะ..."
แฟรงกี้ โยนรูปถ่ายปึกหนึ่งลงบนโต๊ะบุหงาหน้าซีดมองจ้องที่รูปเหล่านั้น
รูปปึกนั้น เป็นภาพบุหงากับแฟรงกี้ ขณะเริงรักกันในบังกะโล
"พอจะมีน้ำหนักขึ้นบ้างรึยัง" แฟรงกี้ถาม
"ไอ้เลว ไอ้ชาติชั่ว"
แฟรงกี้รวบเอารูปปึกนั้นมาเก็บไว้
"วันนี้มีติดตัวมาเท่าไหร่ ส่งมาให้หมด"
"นี่มันปล้นกันชัดๆ"
"แล้วแต่ยูจะเรียก"
บุหงาหยิบเงินในกระเป๋า ส่งให้แฟรงกี้
"อย่าเขียนจดหมายมาหาฉันที่บ้านอีกเป็นอันขาด"
"ได้...งั้นนัดล่วงหน้าเลยแล้วกัน งวดต่อไปไอให้เวลายูสองเดือน...จดลงในปฏิทินได้เลยนะดาร์ลิ้ง"
ต่อมา โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายอยู่ในบริเวณร่มรื่นที่ขาของเธอยังมีเฝือกห่อหุ้มอยู่
เสียงโขมพัสตร์ดังออกมาจากตัวหนังสือเหล่านั้น
"พ่อจ๋า เดือนที่ผ่านมา ขมนอนไม่ค่อยหลับเลยจ้ะพ่อ...พ่อเป็นเหมือนขมมั้ยจ๊ะขมรู้สึกว่าเวลามันช่างเดินช้าเหลือเกิน แต่ป้านมผ่อนไม่คิดอย่างนั้น ป้าชอบพูดคำว่า เผลอแป๊ปเดียวๆ...ขมก็เลยไม่แน่ใจว่าเวลาของขมกับของป้านมผ่อนมันเดินตรงกันหรือเปล่า แต่หวังว่าเวลาของขมกับพ่อคงจะเดินตรงกันนะจ๊ะ"
หน้าบ้านพุทธชาด บ่ายวันหนึ่งโขมพัสตร์ก้าวลงจากรถชาติสยามมือของเธอถือซากเฝือกที่หมอเพิ่งผ่าออกมาด้วย
ชาติสยามและรุ้งกาญจน์ก้าวลงจากรถตามมานมผ่อน รัฐ รัมภ์ รติรส ยืนเรียงแถวปรบมือต้อนรับ
"ขมถอดเฝือกแล้วนะพ่อ อาสยามกับอารุ้งกาญจน์คอยดูแลขมอย่างดี พ่อต้องให้รางวัลอาทั้งสองด้วยนะจ๊ะ...บรรยากาศในบ้านพุทธชาดก็เหมือนจะดีขึ้นเพราะไม่ค่อยมีใครคอยหาเรื่องขมเหมือนเมื่อก่อน คงสงสารที่เห็นขมใส่เฝือก"
มั้ง
อีกมุมหนึ่ง บริเวณเรือนนมผ่อน โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายฉบับใหม่ ถึงผู้เป็นพ่อ
"พ่อจ๋า...ขมมีเรื่องจะสารภาพกับพ่อจ้ะ คุณหญิงและคุณไพลินรู้แล้วว่าพ่อจะมารับขม...ขมไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญากับพ่อนะ พ่อยกโทษให้ขมได้มั้ยจ๊ะ"
บ้านพุทธชาด ค่ำวันหนึ่ง ไพลินก้าวเข้ามาพูดกับขมที่นั่งอยู่เบื้องหน้า คุณหญิงรัตนเดชากรนั่งร่วมด้วย
"พ่อจะมารับเราแล้วเหรอ"
"เอ้อ..."
"นมผ่อนบอกฉัน" ไพลินว่า
"ค่ะ พ่อจะมารับในวันเกิดขม"
"มาแล้วพามาหาฉันด้วยนะ ฉันอยากรู้จักพ่อพิทย์ของขม"
โขมพัสตร์ยังคงนั่งเขียนจดหมายอยู่ที่เดิม
"คุณหญิงคงดีใจไปกับขมด้วย ท่านอยากรู้จักพ่อมากๆเลย...ขมจะพาพ่อไปกราบคุณหญิงก่อนกลับนะจ๊ะ...ถึงเวลานั้นจริงๆ ขมคงจะคิดถึงคุณหญิงกับคุณไพลินไม่น้อย รวมทั้งอีกสองสามคนที่นี่"
ห้องนอนโขมพัสตร์ตอนกลางคืน เธอและนมผ่อนนั่งคุยกัน ท่ามกลางแสงไฟบางๆในห้องนอน
"ขมไม่อยู่ ที่นี่คงจะเงียบเหงาไปเยอะเลยหละ"
"ป้าก็จะได้ไม่หนวกหู ไม่รำคาญไง"
"ถ้าเลือกได้ ป้าก็อยากจะเลือกรำคาญแบบเดิมมากกว่า"
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดนมผ่อนด้วยความรัก
"แล้วขมจะมาเยี่ยมป้าจ้ะ...ป้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ"
"ขมก็เหมือนกันนะลูก"
"ขอบคุณป้านมผ่อนมากนะ ที่ดูแลขมมาโดยตลอด"
ทั้งสองยังคงกอดกัน น้ำตาริน
ที่สนามบ้านพุทธชาด เสียงขมดัง
"พี่รัฐ กับ พี่รัมภ์ ก็เป็นอีกสองคนที่ขมคงจะคิดถึง"
ทั้งสองยืนคุยกับโขมพัสตร์ บริเวณสวนบ้านพุทธชาด
"พรุ่งนี้ พี่สองคนขอเลี้ยงต้อนรับขาข้างใหม่ของขมได้มั้ย" รัฐว่า
"ขาเดิม"
"เพิ่งถอดเฝือก ก็ต้องถือว่าเป็นขาใหม่ไง"
"แล้วพี่จะเลี้ยงอะไรคะ"
"ก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิต" รัมภ์ว่า
"พี่จะมารับตอนกลางวันนะ"
วันใหม่ โขมพัสตร์นั่งเขียนจดหมายบนเก้าอี้สบายหน้าเรือน
"จดหมายถึงพ่อฉบับนี้จะเป็นฉบับสุดท้ายแล้วหละจ้ะ ขมจะส่งให้ถึงมือพ่อด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องฝากอาสยาม ขมคิดถึงพ่อพิทย์มากๆเลยนะ ยิ่งใกล้วันเกิด ยิ่งตื่นเต้นบอกไม่ถูก อยากกอดพ่อแน่นๆจังเลย"
ขมพับจดหมายฉบับนั้นใส่ซองรัมภ์เดินมาหาขม
"เสร็จรึยังจ๊ะขม"
"เสร็จนานแล้วค่ะ ไปได้เลย"
"พี่ขอเปลี่ยนโปรแกรมหน่อยนะ...พี่จะพาขมไปดูหนังก่อน แล้วค่อยหาก๋วยเตี๋ยวเรือกินกัน"
"ได้เลยค่ะ"
รัมภ์เดินไป
"พี่รัฐล่ะ"
"อ๋อ...พี่รัฐติดธุระที่มหาลัยน่ะ...ภาระเลี้ยงฉลองให้ขม จึงตกเป็นของพี่คนเดียว"
"ไหวเหรอคะ ไม่มีพี่รัฐช่วยเป็นเจ้ามือแบบนี้"
"ไหวซี่ ตัวแค่นี้จะกินซักกี่ชามกัน...ไป ไปขึ้นรถพี่กันเลย"
วันหนึ่ง จดหมาย air mail จากกรุงลอนดอนถึงเมืองไทย หน้าซองเขียนชื่อชาติสยาม สุรบดินทร์และที่อยู่ เป็นภาษาอังกฤษชาติสยามหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาแกะซองออกอ่านทันที
รุ้งกาญจน์เดินถืออาหารว่างเข้ามาให้แฟนหนุ่มของเธอ
"จดหมายใครคะ ถึงได้รีบร้อนเปิดขนาดนั้น"
"พ่อของขมW
พลันสีหน้าของชาติสยาม เปลี่ยนไป เมื่อเห็นข้อความในจดหมายฉบับนี้รุ้งกาญจน์สังเกตเห็นได้โดยไม่ยาก
"เกิดอะไรขึ้นเหรอ ?"
ชาติสยามส่งจดหมายนั้นให้รุ้งกาญจน์อ่าน
ชาติสยามเดินครุ่นคิดอยู่กลางบ้าน เครียด
"แล้วขมจะทำใจได้มั้ยเนี่ยะ"
"ผมจะลองคุยดู"
"คุยกับขม ?"
"กับพี่ชายผม"
"รู้เหรอว่าเขาอยู่ที่ไหน"
"เขาให้เบอร์ไว้ท้ายจดหมาย เขาให้ผมโทร.ไปหาเขา"
รัฐเดินตรงไปยังนมผ่อนที่อยู่บริเวณนั้น
"ขมล่ะครับป้า"
"ไม่อยู่ค่ะ"
"อ้าว...ผมกับรัมภ์นัดไว้ว่าจะพาขมไปเลี้ยงบ่ายนี้นี่ครับ"
"ป้าก็ไม่รู้ว่ายังไง...แต่คุณรัมภ์เป็นคนมารับขมไปตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ"
รัฐหน้าเครียดขึ้นมาทันที
"ไอ้รัมภ์"
รัมภ์และโขมพัสตร์นั่งคู่กันในโรงภาพยนตร์สายตาของเธอจ้องมองที่จอหนังแต่สายตาของรัมภ์กลับจดจ่ออยู่กับโขมพัสตร์
สักพักรัมภ์ก็เอ่ยปากขึ้น
"หนังจบแล้ว เราไปกินอาหารฝรั่งกันเอามั้ย"
"ไม่เอาก๋วยเตี๋ยวเรือแล้วเหรอ"
"ก็เห็น พระเอกนางเอกกิน แล้วมันน่ากินน่ะ"
"ตามใจพี่รัมภ์ค่ะ"
รัมภ์ยังคงจ้องมองขมไม่วางตา จนขมรู้สึกได้
"พี่รัมภ์จ้องจับผิดอะไรขม ไม่ดูหนังเลย"
"พี่ดูหลายรอบแล้ว พี่อยากรู้ว่าขมจะสะดุ้ง ตกใจ ฉากเดียวกับพี่มั้ย"
"ขมจะตกใจเพราะพี่รัมภ์พูดเสียงดังนี่แหละ คนอื่นเขาจะรำคาญนะคะ เสียมารยาทด้วย"
ที่อพาร์ทเม้นท์ กลางกรุงลอนดอนโทรศัพท์กลางห้องดังขึ้น ชวาลยกหูโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้น เอ่ยปากพูด
"มีอะไรจะตำหนิพี่รึเปล่า ชาติสยาม"
ชาติสยาม ยืนพูดโทรศัพท์กลางบ้านสีหน้าและอารมณ์ของเขา หงุดหงิด ผิดหวังไม่น้อย
"ผมพยายามจะไม่ทำอย่างนั้นครับ...แต่จะให้ผมเข้าใจทุกอย่างที่พี่ทำ ก็คงจะไม่ได้เหมือนกัน...ผมเข้าใจความรู้สึกของขมดี...ขนาดผมเป็นแค่น้อง ผมยังรู้สึกเสียใจ ช้ำใจได้ขนาดนี้ แล้วคนที่เป็นลูกสาวพี่จะเป็นยังไง...พี่หายไปห้าปีอยู่ๆก็โผล่มาสัญญาว่าจะมารับในวันเกิด แล้วพี่ก็ผิดนัด ด้วยการเขียนจดหมายบอกผมสั้นๆว่ามาไม่ได้แล้ว...แค่เนี้ย...แล้วจะให้ผมทำยังไงต่อครับในเมื่อ ผมซึ่งป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของพี่มากที่สุด มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจพี่ได้ ผมต้องทำยังไงเหรอครับ...ถ้าพี่ไม่สงสารลูก ก็ตามใจพี่เถอะ...แต่ถ้าพี่ยังต้องการให้ลูกสาวเคารพรักในตัวพี่ พี่ต้องทำมากกว่านี้ครับ...เริ่มจากการพูดความจริงทั้งหมดกับผม ก่อนที่มันจะสายไป"
บ่ายวันเดิมรถรัมภ์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน โขมพัสตร์นั่งเบาะหน้ารัมภ์เป็นผู้ขับ
"ขอบคุณพี่รัมภ์นะคะ ที่เลี้ยงทั้งหนัง เลี้ยงทั้งอาหารฝรั่ง"
"ที่ขมกินแล้วหน้าเบ้"รัมภ์ว่า
"ก็ขมชอบอาหารไทยมากกว่านี่คะ"
"งั้นคราวหน้า เมนูเป็นข้าวแกงกับน้ำพริกนะ"
"ได้เลยค่ะ แต่คราวหน้า เราไปพร้อมกันทั้งพี่รัฐ คุณรส คุณพจนีย์ด้วยนะคะ ขมไปกับพี่รัมภ์สองคน มันแปลกๆยังไงไม่รู้ ไม่สนุกเหมือนไปหลายๆคน"
"แต่พี่สนุกและมีความสุขมากเลย เวลาไปกับขมสองคน"
"พูดยังกับว่าขมเป็นแฟนพี่รัมภ์งั้นแหละ...ไปละค่ะ"
ขมเปิดประตูก้าวออกจากรถ
รัมภ์รีบพูดตามหลังเธอไปอีกหนึ่งประโยค
"เอ้อ ถ้ามีใครถามเรื่องวันนี้ ?"
"ห้ามบอก เหรอคะ ?"
รัมภ์ยิ้มเจื่อนๆ ยักไหล่ในความหมายว่าไม่มีปัญหา แล้วเขาก็ขับรถคันนี้ออกไป
โขมพัสตร์เปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าบ้านพุทธชาด รติรสก้าวเข้ามาคุยด้วย
"ขมไปเที่ยวกับพี่รัมภ์มาเหรอ"
"ค่ะ...พี่รัมภ์พาไปดูหนังผีค่ะ...เสียดายคุณรสกับพี่รัฐน่าจะไปด้วยกัน"
"ก็ขมออกไปตั้งแต่เช้าไม่รอใครเลยนี่นา"
"พี่รัมภ์บอกว่า พี่รัฐกับคุณรสไม่ว่างนี่คะ พี่รัมภ์ก็เลยอาสาพาขมไปเลี้ยงแทนทุกๆคน"
"เขาพูดอย่างนั้นเหรอ ?"
"ค่ะ พี่รัมภ์บอกอย่างนั้น"
สาวใช้บ้านตึกขาวเข้ามาหน้าตาตื่นเอ่ยปากทันที
"คุณรสขา ช่วยด้วยค่ะ คุณรัฐกับคุณรัมภ์ ทะเลาะกันเสียงดังลั่นเลย คุณหญิงก็ไม่อยู่ ดิฉันกลัวว่าจะมีเรื่องกันน่ะค่ะ"
ที่บ้านตึกขาว รัฐยืนประจันหน้ารัมภ์ ด้วยอารมณ์รุนแรงทั้งสองฝ่าย
"แกโกหกขม...หลอกพาขมไปเที่ยวตัดหน้าฉัน"
"ถ้าไปด้วยกันเป็นกลุ่ม ฉันก็ไม่ได้ใกล้ชิดขมน่ะสิ พี่รัฐชอบแย่งขมไปคุยคนเดียว"
"ฉันไม่ได้แย่งเว้ย ขมชอบคุยกับฉันมากกว่าแก"
"รู้ได้ยังไง"
"รู้ก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นแกจะมาใช้วิชามารอย่างนี้กับฉันไม่ได้"
"วิชามารที่ไหน...นี่มันเรื่องของเทคนิคใครเทคนิคมัน เราต่างคนก็ต่างหาวิธีจีบกันเอาเองสิ...ถ้าขมรังเกียจฉัน เขาจะยอมไปกับฉันทำไม"
"เขาเกรงใจเว้ย แกอย่าหลงผิดคิดไปเองหน่อยเลย"
"ถ้างั้นพี่รัฐจะมากังวลอะไรกับฉัน"
"ฉันไม่ได้กังวล"
"หวงเหรอ..."
"เออ"
"เสียใจ ขมไม่ใช่ทรัพย์สินของพี่...ถ้าพี่จะหวงก็ไปหวงรติรสโน่น เขาแอบชอบพี่อยู่ รู้บ้างรึเปล่า"
"ไม่รู้และไม่สน"
"ตามใจ"
"รับปากมาก่อนว่าแกจะไม่จีบขมด้วยวิธีนี้อีก"
"ไม่รู้และไม่สนเหมือนกัน"
รัฐตรงเข้าไปกระชากคอรัมภ์
"ถ้าแกไม่เชื่อฉัน"
"จะทำไม"
"ฉันจะชกแก"
"ก็ชกตอนนี้เลยสิ ช้าทำไม"
รัฐเหวี่ยงร่างของรัมภ์จนล้มกลิ้งแล้วทั้งสองคนก็ตะลุมบอนกัน จนข้าวของกระจุยกระจาย
โขมพัสตร์และรติรสวิ่งตามสาวใช้เข้ามายังที่เกิดเหตุ
โขมพัสตร์-รติรสว่า"พี่รัฐ พี่รัมภ์ หยุดเถอะค่ะ อย่าทะเลาะกันค่ะ พอเถอะค่ะ"
ทั้งสองพยายามเข้าแยกสองพี่น้องออกจากกันแรงเหวี่ยงของรัฐและรัมภ์ กระแทกร่างของโขมพัสตร์จนเซไปกระแทกของแข็งในบริเวณนั้นรัฐและรัมภ์ต่างตกใจ วิ่งเข้าไปหา
รัฐ-รัมภ์โพล่ง"ขม"
"พี่สองคนคงไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องขมใช่มั้ยคะ"
รัฐและรัมภ์ได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออกคราบเลือดเกรอะกรังเต็มร่างของทั้งสอง
ค่ำวันนั้น คุณหญิงนรราชเสวี หน้าตาดุหลานชายทั้งสอง นั่งนิ่ง สลดอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นยาย
"ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า...ยายผิดหวังจริงๆ ยายเลี้ยงดูเราทั้งสองมาด้วยกัน โตมาด้วยกัน กำพร้าพ่อแม่เหมือนๆกัน...แล้วทำไมไม่รักกัน ไปเอานิสัยเจ้าอารมณ์ หุนหัน ลงไม้ลงมือแบบนี้มาจากไหน จนหนูขมปากแตกถลอกปอกเปิกอย่างนั้น"
"ขอโทษครับ" ทั้งสองว่า
"ขอโทษขมรึยัง"
"ขอโทษแล้วครับ"
"ขอโทษคุณหญิงรัตนหรือยัง"
"ยังครับ"
"บอกความจริงมา ว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไร"
รัฐและรัมภ์มองหน้ากัน
"เราชอบขมเหมือนกันครับ"
"แล้วขมเขาชอบเรามั้ย?...รู้รึเปล่า ว่าเขาชอบใคร ?"
หลานทั้งสองก้มหน้านิ่ง ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปาก
"ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ไม่ใช่เรื่องที่เราจะตัดสินความรักด้วยความรุนแรงยายขอสั่งห้าม ไม่ให้เราไปบ้านพุทธชาดหนึ่งเดือน"
รัฐและรัมภ์ เงยหน้าสะดุ้ง ตกใจ
"และยายจะเป็นคนขอโทษคุณหญิงเอง"
เย็นต่อมา โขมพัสตร์นั่งเก็บเสื้อผ้า และของใช้เพื่อใส่ลงในกระเป๋านมผ่อนค่อยๆเดินมานั่งข้างๆ
"อีกตั้งสามวัน กว่าจะถึงวันเกิด จะรีบเก็บเสื้อผ้าไปไหน"
"ก็เตรียมๆไว้น่ะจ้ะ ถึงวันนั้นจะได้ไม่ฉุกละหุก"
"แล้วพ่อพิทย์ของขม เขาจะมารับขมที่นี่เองหรือเปล่า หรือว่าอาสยามพาไปส่ง"
"ขมอยากให้พ่อพิทย์มาเองจ้ะ จะได้พาพ่อไปกราบคุณหญิงกับคุณไพลินด้วยป้านมผ่อนก็จะได้คุยกับพ่อขมซะที"
"ป้าก็หวังอย่างนั้น"
สาวใช้จากเรือนใหญ่เดินเข้ามา
"ขม คุณหญิงให้มาเรียกไปที่เรือนใหญ่"
"มีเรื่องอะไรเหรอ ?"
"คุณชาติสยาม กับคุณรุ้งกาญจน์ มาหา"
โขมพัสตร์เดินเข้ามากลางโถงบ้าน ชาติสยาม รุ้งกาญจน์ คุณหญิงรัตนเดชากร และไพลินอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
ชาติสยามพยายามยิ้มให้ขมอย่างอบอุ่น
"อา ทำไมมาซะค่ำเลย"
“มีเรื่องสำคัญที่อาต้องคุยกับขม”
คุณหญิงเปิดทาง“คุยกันตามสบายนะ ฉันจะไปนั่งอ่านหนังสือทางโน้นหน่อย”
คุณหญิงรัตนเดชากร และไพลิน พากันลุกออกไปจากห้องนี้
“ทำไมอามาที่เรือนนี้ ไม่ไปหาขมที่เรือนป้านมผ่อน”
“อามีบางเรื่องที่ต้องคุยกับคุณหญิงก่อนน่ะ”
“เรื่องอะไร ? อ๋อเรื่องที่พ่อจะมารับขมใช่มั้ย”
ความอึดอัด ลำบากใจ ค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชาติสยาม
“เอ้อ ขม...”
ขมเริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติในห้วงอารมณ์ของชาติสยาม โขมพัสตร์หันไปถามรุ้งกาญจน์
“มีอะไรเหรอ อารุ้ง”
“พูดความจริงเถอะค่ะ สยาม”
ไม่ทันที่ชาติสยามจะเอ่ยปาก”
ขมก็คาดเดาเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง
“พ่อพิทย์จะไม่มาใช่มั้ยคะ ?”
“พ่อของขมจำต้องเลือกทำ ในสิ่งที่จำเป็นที่สุด”
“ทิ้งลูกสาวไว้ที่อื่น...โกหกลูก...ไม่รักษาสัญญากับลูกตัวเอง...เนี่ยเหรอคะความจำเป็นของคนเป็นพ่อ ?”
ชาติสยามและรุ้งกาญจน์ อึ้ง พูดไม่ออก
“ในที่สุด ขมก็เป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ”
“อ่านจดหมายฉบับนี้ แล้วขมอาจจะเข้าใจพ่อพิทย์มากยิ่งขึ้น”
ชาติสยามส่งจดหมายหนึ่งฉบับให้ขมขมรับจดหมายฉบับนั้นมาเปิดอ่าน
ชาติสยามมองหน้าหลานสาวด้วยความเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง
วันนั้น ที่อพาร์ทเม้นท์ กรุงลอนดอนชวาลพูดโทรศัพท์ ด้วยเสียงเศร้าสะเทือนใจ
“พี่อาจจะไม่รอด โรคลิ้นหัวใจตีบรุนแรง มันรักษาไม่ได้ง่ายๆอย่างที่ใครๆคิด พี่จะแบกร่างกายที่เจียนตายไปหาขมได้ยังไง”
ชาติสยาม ถือโทรศัพท์แนบหู หน้าตาหม่นหมองรุ้งกาญจน์ นั่งอยู่ ไม่ไกลนัก
“พี่ควรจะบอกอะไรขมให้ละเอียดกว่านี้...มากกว่านี้”
“เธอใกล้ชิดขมมากกว่าพี่ซะอีก เธอน่าจะบอกเขาได้ดีกว่า...ทำหน้าที่แทนพี่ทีได้มั้ย”
ชาติสยามครุ่นคิดชั่วครู่ จึงเอ่ยปากตอบ
“งั้นผมขออนุญาตเขียนจดหมายแทนพี่ได้มั้ยครับ”
“ได้”
“ผมจะบอกเขาว่างานมูลนิธิสำคัญมาก มันเป็นงานช่วงสุดท้าย ที่พี่ต้องอยู่กับความเป็นความตายของผู้คนในถิ่นธุรกันดาร พี่ทิ้งคนเหล่านั้นไม่ได้...”
โขมพัสตร์นั่งอ่านจดหมายฉบับนั้นที่โถงเรือนใหญ่ บ้านพุทธชาด
เสียงชาติสยามดังต่อเนื่องเข้ามา
“ถ้าขมเป็นพ่อ ขมก็จะตัดสินใจแบบเดียวกับพ่อ พ่อเชื่อเช่นนั้น...ความดีของขมความมีมนุษยธรรม และ ความเสียสละต่อส่วนรวมในตัวของขม ที่ถ่ายทอดมาจากพ่อ จะทำให้ขมตัดสินใจแบบเดียวกับที่พ่อทำ...”
น้ำตาของขมค่อยๆไหลซึมออกมาจนท่วมหน้า
“ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ความเป็นพ่อลูกก็จะยังคงอยู่ และเมื่อถึงวันนั้น วันที่พ่อสามารถกลับไปหาขมได้ ขมก็จะภูมิใจในตัวพ่อ ดีกว่าจะให้พ่อทิ้งทุกอย่างไปเพราะเห็นแก่เรื่องส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม”
ชาติสยาม มองท่าทีของหลานสาวด้วยความสงสาร และ เห็นใจ
“พ่อรักลูกยิ่งกว่าทุกสิ่ง ยิ่งกว่าชีวิตของพ่อด้วยซ้ำ จะให้พ่อขอโทษสักกี่พันครั้งก็ได้ จนกว่าลูกจะเข้าใจ และรักพ่อเหมือนดังเดิม”
โขมพัสตร์ลดจดหมายในมือลง และร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“ขมรักพ่อค่ะอา...ขมรักพ่อ”
ชาติสยามกระเถิบตัวเข้าไปโอบกอดโขมพัสตร์ไว้จนแน่น
อีกมุมหนึ่ง คุณหญิงรัตนเดชากร มองไปที่โขมพัสตร์ แล้วเอ่ยปากพูดโดยมีรุ้งกาญจน์ ไพลิน และนมผ่อน ร่วมเป็นวงสนทนาอยู่ด้วย
“เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เด็กมันอุตส่าห์มีความหวังว่าจะได้ไปอยู่กับพ่อ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังอีกเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา”
“มันยิ่งน่าสงสัยว่า พี่ชายตาสยามนี่ มีเจตนาจะทิ้งลูกคนนี้ไปเลยรึเปล่า” ไพลินว่า
“สยามเขาเชื่อว่าไม่ใช่อย่างนั้นแน่ๆค่ะ” รุ้งกาญจน์บอก
“ขมคงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้รับความรักจากพ่อแม่เท่าที่ควร...บางทีฉันก็อยากจะให้แม่ไพลินรับเลี้ยงเป็นลูกซะเลยด้วยซ้ำ”
“ขมคงจะไม่ยอมหรอกค่ะ เขารักแม่เขาจะตาย”
รุ้งกาญจน์บอก“เราตามหาญาติข้างแม่ของขมไม่ได้เหรอคะ”
“โธ่ แม่แขของเขาคือใคร พวกเรายังไม่รู้เลย ได้แต่เดาๆเอา”
“เดาว่าเป็นใครคะ”
ไพลินถอนใจนิดๆ เหมือนไม่อยากจะเอ่ยชื่อใครออกมา
“ถ้าเรามีรูปแขนภาซักใบก็ดี จะได้ให้ขมดู ว่าคนนี้ใช่แม่ของเขามั้ย”
นมผ่อนตัดสินเอ่ยปาก
“ดิฉัน มีค่ะ...”
ทุกคนหันไปมองที่นมผ่อน
“ดิฉันแอบเก็บไว้หนึ่งใบ โดยที่คุณรังสรรค์ไม่รู้”
ต่อเนื่องมา ...รูปถ่ายสมัยโบราณรูปแขนภา ในชุดสวยงาม ของคืนวันงานนมผ่อนเป็นผู้ยื่นรูปนี้ให้คุณหญิงดู
“วันที่คุณรังสรรค์สั่งเผารูปแขนภาทั้งหมด ดิฉันแอบซ่อนรูปนี้ไว้ ไม่ให้ใครเห็น...ยังไงก็อย่าให้คุณรังสรรค์รู้นะคะ ไม่งั้นดิฉัน...”
“ฉันอยู่ตรงนี้ทั้งคน นมไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ”
คุณหญิงส่งรูปใบนี้ให้ชาติสยามและรุ้งกาญจน์ดู แล้วถาม
“คนนี้ใช่ภรรยาของพี่ชายเธอรึเปล่า”
“ผมตอบไม่ได้ครับ เพราะผมไม่เคยเห็น” ชาติสยามบอก
“มีส่วนเหมือนขมเหมือนกันนะคะ” รุ้งกาญจน์ว่า
ชาติสยามพยักหน้าเห็นด้วย
“เราเรียกขมมาดูมั้ยคะ ว่าคนนี้ใช่แม่แขของเธอหรือเปล่า”
นมผ่อนบอก“ร้องไห้จนเพลียหลับไปแล้วค่ะ”
“ป่วยการถาม ขมบอกว่าแม่ของเธอ พิการ หลังโกงโค้งงอ เธอก็คงบอกว่าไม่ใช่อย่างเก่งก็แค่หน้าเหมือน”ไพลินบอก
“แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะ” รุ้งกาญจน์ถาม
ไพลินมองหน้าคุณหญิงรัตนเดชากร
คุณหญิงจึงเอ่ยปาก
“เขาเคยอยู่ที่นี่ แล้วก็หนีออกจากบ้านนี้ไป พร้อมเรื่องราวที่ยังคงเป็นปริศนาจนทุกวันนี้”
“ปริศนา ?” ชาติสยามสงสัย
ไพลินบอก“เธอถูกกล่าวโทษว่า ขโมยของมีค่าของตารังสรรค์ไป และที่หนักกว่านั้นคือ ผู้หญิงคนนี้แอบคบชู้สู่ชาย กับคนในตระกูล สุรบดินทร์”
ชาติสยามตกใจ“ห๊ะ !”
“คนๆนั้นคือ ชวาล สุรบดินทร์”
ชาติสยามตกใจเป็นทวีคูณ
“เห็นใจคนแก่คนเฒ่าเถอะนะ พ่อสยาม...ถ้าเธอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่วยเล่าให้ฉันฟังบ้างเถอะ”
ชาติสยามจึงตัดสินใจเอ่ยปากพูด
“พิทย์ รุ้งพราย กับ ชวาล สุรบดินทร์ คือ คนเดียวกันครับ”
นมผ่อนโพล่ง“คุณพระช่วย”
“แต่ผมเชื่อว่า คนอย่างพี่ชวาล ไม่มีวันทำอะไรล่วงเกิน หรือผิดศีลธรรมประเพณีกับผู้หญิงที่ไม่ใช่เมียแน่นอน”
เมื่อสิบแปดปีก่อนหน้านี้ ชวาลก้าวเข้ามากลางโถงบ้านพุทธชาด ตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าดุดัน
“ผมไม่มีวันทำเรื่องเลวทรามแบบนั้นกับแขนภา...ความรู้สึกที่ผมมีต่อแขนภาคือความรัก ไม่ใช่ความใคร่ แบบน้องชายของคุณ”
ไพลินบอก“แต่ตารังสรรค์เขามีหลักฐานยืนยัน”
“หลักฐานที่มันจงใจสร้างขึ้นมา เพื่อใส่ความเราสองคนน่ะสิครับ”
“ถ้าอย่างนั้น แขนภาจะหนีไปทำไม”
“ต้องถามว่า แขนภาทนอยู่ที่นี่มาได้ยังไงตั้งสามสี่ปี...อยู่ก็อยู่อย่างทาส รองรับอารมณ์ผู้เป็นนาย เมื่อตัดสินใจหนีไปมีชีวิตเยี่ยงคนทั่วไป ก็ถูกใส่ร้ายว่าคบชู้และเป็นหัวขโมย...ผมไม่เข้าใจเลยว่าคุณหญิงกับคุณไพลินคิดอะไรอยู่ แทนที่จะออกตามหาแขนภา กลับหมกมุ่นกับข่าวโคมลอยที่หามูลความจริงไม่ได้”
“งั้นเธอก็หาหลักฐานมาแสดงความบริสุทธิ์ของแขนภาสิ” คุณหญิงว่า
“ไม่จำเป็นครับ...ผมจะไม่พยายามเปลี่ยนใจพวกคุณ เพราะมันไม่มีค่าหรือประโยชน์อันใดกับแขนภาเลยแม้แต่นิด...ผมจะตามหาเธอ และผมจะขอเธอแต่งงาน...ไม่ว่าเธอจะผ่านเรื่องเลวร้ายมาแค่ไหน ผมก็ยินดี ที่จะครองชีวิตคู่กับเธอ ให้เกียรติเธอ ให้เป็นศรีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผมไม่ใช่เป็นเมียเก็บซุกซ่อนไว้ในบ้านอย่างนี้...และไม่ต้องห่วงนะครับ เมื่อไหร่ที่เราสอง คนแต่งงานกัน ผมและแขนภาก็จะไม่มีวันกลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกเลย” ชวาล สุรบดินทร์ว่า
คืนนั้น ที่บ้านรุ้งกาญจน์ เธอวางเครื่องดื่มบนโต๊ะ เบื้องหน้าคือชาติสยาม
“ไม่เปลี่ยนใจแน่เหรอ”
“เอ๊ะ สยามนี่ เอะอะก็จะให้รุ้งเปลี่ยนใจเรื่อยเลย...เดี๋ยวรุ้งเกิดโลเลเปลี่ยนใจขึ้นมาจริงๆ จะว่ายังไง”
“ผมหมายถึงเรื่องไปเที่ยวอีสานของรุ้ง...ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราซักหน่อย”
“ก็นั่นแหละ...ถ้ารุ้งเปลี่ยนใจเรื่องเที่ยวได้ อีกหน่อยรุ้งก็เปลี่ยนใจเรื่องอื่นได้เหมือนกัน”
“เอา...ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน”
รุ้งกาญจน์ กระเถิบตัวเข้าไปนั่งเบียดชิดชาติสยามและโอบกอดเขาด้วยความรัก
“สยามควรจะรักรุ้งอย่างที่รุ้งเป็น ไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงรุ้งนะคะ”
“ผมรู้...ผมก็เสี่ยงถามไปอย่างนั้นเอง เห็นคุณได้ไปเที่ยวมาแล้วหลายต่อหลายที่ เผื่อจะนึกเบื่อขึ้นมาบ้าง”
“รุ้งไม่เคยเบื่อการท่องเที่ยวค่ะ”
“แต่ผมสิ เบื่อ เบื่อที่ไม่ได้ไปเที่ยวกับรุ้งเลย”
“คุณต้องสอนหนังสือ และต้องดูแลหลาน ไหนจะต้องไปตามหาแม่ขมอีก”
“ผมอยากให้รุ้งไปด้วยนี่”
“อย่าเลยค่ะ ไปกันสองคน อาหลานเถอะค่ะ”
“งั้นเมื่อรุ้งกลับมา เราจะพูดเรื่องสำคัญของเรากันนะ”
“เรื่อง ?”
“งานหมั้นของเราไงล่ะ”
ทั้งสองกอดกันอย่างรักใคร่
ในโรงเรียนหญิง กลุ่มนักเรียนนั่งกระจัดกระจายกัน อันเป็นปกติก่อนถึงเวลาครูเข้าห้อง
พจนีย์อยู่ในกลุ่มนักเรียนห้องนี้ โขมพัสตร์เดินถือเอกสารเข้ามายืนกลางห้อง
“ครูกัลยาให้มาประกาศผลสอบวิชาภาษาไทยของห้อง ง.”
โขมพัสตร์หยิบกระดาษข้อสอบขึ้นมาเรียงตามรายชื่อ เพื่อเตรียมประกาศพจนีย์มองด้วยความหมั่นไส้เอ่ยปากกับพรรคพวกใกล้ตัว เสียงดังถึงหน้าห้อง
“รู้สึกมั้ยว่า ห้องมันร้อนๆยังไงก็ไม่รู้...อยู่ๆก็ร้อนขึ้นมาเฉยๆ”
เพื่อนว่า“เหรอ ?”
“น่าจะเป็นเพราะคนไฟแรงสูงเดินเข้ามาในห้อง”
โขมพัสตร์อ่านประกาศคะแนนสอบ โดยไม่สนใจเรื่องอื่น
“วิชาภาษาไทย คะแนนเต็มยี่สิบ...สายสุดาได้ 17 คะแนน”
“ใครรู้บ้างว่าไฟแรงสูงหมายถึงอะไร”
“พรรณราย 18 คะแนน”
เพื่อนถาม“เสน่ห์เหรอ ?”
“เสนียดต่างหาก”
“ธิดารัตน์ 19 คะแนน”
“พวกนี้มันชอบยั่วให้ผู้ชายชกกัน”
โขมพัสตร์ชะงักเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของพจนีย์
“ทำไมล่ะ”
“มันร่านไง อยากได้ผู้ชายทีละเยอะๆ ยิ่งผู้ชายที่เป็นพี่น้องกัน มันยิ่งชอบ มันจะเอาทั้งพี่ทั้งน้องเลย...ถ้าพูดแบบไม่เกรงใจ ต้องเรียกว่าสำส่อน แพศยา...อุ๊ยพูดแล้วกระดากปาก ไม่อยากพูดออกมาเลยอ้ะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ”
โขมพัสตร์สูดหายใจลึกๆแล้วอ่านประกาศคะแนนสอบต่อไป
“คนอื่นๆได้ 15 คะแนนทุกคน ยกเว้น...”
“ยกเว้นใคร นังร่าน”
โขมพัสตร์ประกาศด้วยเสียงที่ดังชัดเจนกว่าเดิม
“นางสาวพจนีย์ รัตนเดชากร ได้แค่สามคะแนน ครูกัลยาสั่งให้ทำรายงานเพิ่มเย็นนี้”
นักเรียนทุกคนในห้องหัวเราะขำ สนุก
พจนีย์เดินเข้าไปประชิดตัวโขมพัสตร์
“นังขมแกประจานฉัน”
“ฉันไม่ได้ประจาน...ฉันทำหน้าที่ ตามที่ครูกัลยาสั่ง...คุณอายเหรอคะ งั้นเอาไปดูให้เห็นกับตาตัวเองมั้ย ว่าสามคะแนนที่ได้มาน่ะ มันน่าภาคภูมิใจแค่ไหน”
นักเรียนในห้อง หัวเราะดังมากขึ้น
“แกจงใจประกาศชื่อฉันฉันดังกว่าชื่อคนอื่น”
“ก็จะได้สมน้ำสมเนื้อกับที่คุณด่าฉันปาวๆอยู่นี่ไง”
“งั้นฉันจะด่าแกให้ดังกว่านี้อีก ให้ได้ยินไปทั้งโรงเรียนเลย...นังร่าน นังแพศยาเลวเหมือนแม่ไม่มีผิด”
โขมพัสตร์ชักสีหน้าโกรธทันทีที่พจนีย์พาดพิงถึงแม่
“อย่าด่าแม่ฉันนะ”
“จะด่า มีอะไรมั้ย ใครๆเขารู้กันทั้งบ้าน ว่าแม่แกมันสำส่อน”
“พจนีย์ !”
“แม่สำส่อนยังไง แกก็สำส่อนยังงั้นหละ อีขม”
ขมพุ่งเข้าไปขย้ำคอพจนีย์ เพื่อให้หยุดพูด
พจนีย์เงื้อมือตบโขมพัสตร์
โขมพัสตร์เงื้อมือตบตอบเกิดการชุลมุนอุตลุด จนครูวิ่งเข้ามาในห้อง
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้...ใครเป็นคนเริ่มก่อน”
วันเดิม ที่สนามหญ้า บ้านพุทธชาด รังสรรค์เงื้อมือตบหน้าโขมพัสตร์ จนร่างสั่นสะท้าน ร่วงลงกับพื้น
“แกกล้าทำร้ายลูกสาวฉันเชียวเหรอ” รังสรรค์ว่า
“ลูกสาวคุณทำร้ายดิฉันก่อน”
“แกกระชากคอฉัน”
“ฉันแค่ต้องการปิดปากคุณ”
“เรื่องอะไรแกต้องไปปิดปากพจนีย์”
“ก็เขามาด่าแม่ดิฉัน”
“แม่แกมันเป็นอะไร ใหญ่โตแค่ไหนกันเชียว ถึงด่าไม่ได้”
“แม่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร...แต่แม่เป็นแม่ที่ดี เป็นคนดี เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ยอมให้ใครมาด่าแม่ฉันเป็นอันขาด”
“ฉันจะด่า มีอะไรมั้ย แม่แกมันเบ่งแกออกมา แล้วก็ทิ้งๆขว้างๆ ไม่ต่างกับพ่อแกเลวพอกันทั้งคู่”
“คุณรังสรรค์”
“ทำไม”
โขมพัสตร์กัดฟัน ตัวสั่นพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ โดยไม่เอ่ยปากอะไรออกมา
พจนีย์ยืนยิ้มสะใจใกล้ๆผู้เป็นพ่อ
“ขอโทษ พจนีย์เดี๋ยวนี้”
“ไม่ค่ะ”
“ทำไมไม่”
“ดิฉันไม่ผิด ทำไมดิฉันต้องขอโทษ”
รังสรรค์กระชากแขนโขมพัสตร์
“แกต้องขอโทษ เพราะแกผิด ยังไงๆแกก็เป็นคนผิด”
“ไม่”
“ฉันบอกให้ขอโทษ”
“ไม่ ฉันไม่ผิด”
“ไม่เหรอ...”
รังสรรค์เงื้อมือตบหน้าขมอีกครั้ง ขมเซล้มไปไกลกว่าเก่า
“จะขอโทษมั้ย”
“ไม่”
“ยังจะไม่อีกเหรอ”
รังสรรค์หยิบไม้ใกล้มือ เงื้อสูง เพื่อจะฟาดขม
นมผ่อนวิ่งเข้ามาขวาง
“อย่าค่ะ...คุณรังสรรค์ อย่าทำขมเลยนะคะ”
“ถอยไปนะนมผ่อน”
“ขอร้องเถอะค่ะ แค่นี้ ขมก็เจ็บพอแล้ว”
“ไม่พอ ฉันบอกให้ถอยไป”
รังสรรค์เหวี่ยงขมออกไป แล้วเงื้อเท้าเตะโขมพัสตร์จนเซไปตามแรงเตะของรังสรรค์ตัวรังสรรค์เองก็ล้มกลิ้งลงไปด้วย
“พ่อ”
พจนีย์วิ่งตรงเข้าไปประคองรังสรรค์
นมผ่อนวิ่งตรงเข้าไปประคองโขมพัสตร์
รังสรรค์ขยับตัวลุกขึ้นได้ สืบเท้าเข้าไปจะเตะซ้ำ
ไพลินก้าวยาวๆเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ รังสรรค์”
“จะมาเข้าข้างมันอีกคนเหรอ พี่ไพลิน”
“เธอจำที่คุณแม่สั่งไม่ได้แล้วเหรอรังสรรค์ คุณแม่สั่งห้ามทำร้ายขมเป็นอันขาดถ้าไม่อยากให้ตัดลูกตัดแม่กัน...นมผ่อน พาขมไปที่เรือนใหญ่ รออยู่ที่นั่นจนกว่าคุณแม่จะกลับมา พจนีย์เข้าบ้านไป”
นมผ่อนประคองโขมพัสตร์ออกไป
พจนีย์เดินแยกเข้าบ้านตามคำสั่งผู้เป็นป้า
“เด็กเวรคนนี้มันเป็นลูกเทวดาหรือไง ใครๆถึงต้องเอาอกเอาใจมันนัก”
ไพลินเดินเข้าไปพูดใกล้ๆรังสรรค์
“อย่าพูดเพ้อเจ้อน่า ไม่มีใครเป็นลูกเทวดา เธอก็รู้...และวันนี้ ฉันกับคุณแม่ก็รู้แล้วด้วยว่า พิทย์ รุ้งพรายคือใคร”
รังสรรค์ นิ่ง หน้าตึงทันที
“แล้วยังไง”
“ฉันกำลังค้นหาความจริงอยู่ว่า แม่ของ ขม จะใช่ แขนภาหรือเปล่า...ถ้าใช่ละก้อ...”
“ก้ออะไร ?”
“เธอก็น่าจะรู้ ว่าฉันคิดอะไรอยู่ !”
ต่อมา นมผ่อนประคองโขมพัสตร์ลงนั่ง หยาดน้ำตายังเกรอะกรังเต็มหน้าโขมพัสตร์ ส่วนรอยแผลแตกที่มุมปากนั้น ถูกเช็ดคราบเลือดออกไปบ้างแล้ว
“มีเจ็บมีแตกตรงไหนอีกมั้ย...ป้าจะได้ทายาให้”
“เจ็บในนี้จ้ะ” โขมพัสตร์ชี้ไปที่หัวใจ “ในหัวใจ ยาอะไรก็ทาไม่ถึงหรอกป้า”
“แม่คุณเอ๊ย”
“ขมอดทนเต็มที่แล้วนะป้า...แต่ไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหน”
โขมพัสตร์ร้องไห้โฮขึ้นมาอีก...นมผ่อนจึงโอบกอดไว้
“พ่อพิทย์จะรู้บ้างมั้ย ว่าได้ส่งลูกมาอยู่ร่วมชายคากับปีศาจร้ายอย่างนี้”
“อยู่ซะที่เรือนนี้เถอะ ขม...เชื่อป้าเถอะ”
ต่อมา รังสรรค์ขยับตัวลงนั่งที่โต๊ะหนังสือ ยกเหล้ากรอกใส่ปาก หน้าตาเครียด
ระเบียงบ้าน บ่ายที่ผ่านมาไพลินก้าวเข้ามาเบื้องหน้ารังสรรค์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ที่คาดคั้นเอาความจริง
“ที่แกไม่ยอมบอกใครว่าพิทย์ รุ้งพราย คือ ชวาล สุรบดินทร์ ก็เพราะไม่อยากให้ใครๆรู้ว่าทำไมแกถึงเกลียดขมนักหนาใช่มั้ย”
“พี่อย่าเดาดีกว่า”
“ที่แกเกลียดขม ทำร้ายขมอยู่ทุกวันนี้ เพราะแกเชื่อว่า ขมคือลูกของชวาลกับแขนภาใช่มั้ย”
“ผมบอกว่า อย่าเดาไง”
รังสรรค์โต้ตอบด้วยน้ำเสียงดุดันและดังขึ้นไพลินจึงยกระดับเสียงและอารมณ์ของตนขึ้นมาทัดเทียมน้องชาย
“แล้วถ้าขมเป็นลูกของสองคนนั้นจริงๆ แกเอาสิทธิ์อะไรไปเกลียดชังเขา ทุบตีเขาอย่างนี้”
“สิทธิ์ของผู้เสียหายไง...มันสองคนมาเล่นชู้ เล่นรักกันในบ้านผม ในห้องนอนผมจะให้ผมยกย่อง เชิดชูพวกมันงั้นเหรอ”
“แล้วถ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกแขนภาล่ะ เท่ากับว่า แกกำลังทำบาปทำกรรมกับเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย”
“น้ำหน้าอย่างไอ้ชวาล ไม่มีทางหาเมียที่ไหนได้ นอกจากหญิงชั่วๆอย่างอีนั่นเท่านั้นแหละ”
“ขมอาจจะเป็นลูกของแขนภาจริงก็ได้ แต่ถ้าพ่อของขมไม่ใช่ชวาลล่ะ”
รังสรรค์อึ้งไปนิดนึง
“ถ้าไม่ใช่ชวาล ก็ต้องเป็นชายโฉด ชายชั่วที่ไหนซักคน หญิงชั่วๆอย่างนั้นมันจะคบชู้ทีละกี่สิบกี่ร้อยคน ใครจะไปรู้”
“เพราะไม่มีใครรู้ไง ฉะนั้นแขนภาอาจจะไม่เคยมีชู้เลยก็ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น...ขมก็อาจจะ”
“พี่กำลังจะยัดเยียดให้ผมยอมรับอะไร ?”
“ขมอาจจะเป็นลูกแก”
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้” รังสรรค์ปฏิเสธ
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อขมหน้าตาเหมือนรติรสจะตาย”
รังสรรค์นิ่งอึ้งอีกครั้ง ก่อนเอ่ยปากตอบ
“คนเราจะมีหน้าตาเหมือนกันไม่ได้เหรอ”
“ได้ และจะเหมือนมากขึ้น ถ้าพวกเขามีพ่อคนเดียวกัน”
นึกแล้ว รังสรรค์กระดกเหล้าเข้าปากอีกหนึ่งแก้วหน้าตาของเขายิ่งเครียดมากขึ้นรังสรรค์หยิบล็อกเก็ตอันนั้นขึ้นมาดู
เมื่อสิบแปดปีก่อนหน้านี้
แขนภานอนร้องไห้บนเตียงคนไข้รังสรรค์ก้มหน้าเอ่ยปากด้วยเสียงนุ่มนวล
“แขนภา”
“ลูกของเรา...ลูกไม่อยู่กับเราแล้วค่ะ...คุณรังสรรค์” แขนภาบอก
“ทำใจเถอะนะ แข อย่าร้องไห้ไปเลย”
“แขยังไม่ทันได้ให้นมเขาเลยสักครั้ง เขาก็มาด่วนจากไปซะแล้ว”
“มันเป็นเรื่องบุญเรื่องกรรมที่ใครก็ห้ามไม่ได้...ถือซะว่าเขาไปอยู่ในที่ที่สบายก็แล้วกัน”
“แขกลัวค่ะ คุณรังสรรค์”
“กลัวอะไร”
“ถ้าเรามีลูกด้วยกันอีกคน เขาจะตายเหมือนลูกคนนี้รึเปล่าคะ”
“ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดสิ...ไม่ว่าเราจะมีลูกด้วยกันอีกหรือไม่ ผมก็จะรักคุณตลอดไปนะ แขนภา”
รังสรรค์ก้มหน้าลงไปจูบแขนภาอย่างอบอุ่น
แขนภากำล็อกเก็ตอันนั้นไว้แน่น
ค่ำเดียวกัน คุณหญิงรัตนเดชากร ค่อยๆเชยคางโขมพัสตร์ขึ้นดูร่องรอยของบาดแผลไพลินอยู่ไม่ไกลจากผู้เป็นแม่
“ทำกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ...คำสั่งฉันไม่มีความหมายอะไรเลยเหรอเนี่ย”
“ดูเหมือนว่าใครก็เอาเขาไม่อยู่ค่ะคุณแม่”
“ย้ายมาอยู่เรือนนี้มั้ย” คุณหญิงถาม
โขมพัสตร์เอ่ยปากตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
“ไม่ค่ะ...ดิฉันจะไม่หนี จะอดทน ไม่ยอมแพ้เขาง่ายๆ...ถ้าเขาเกลียดขมได้ขมก็จะเกลียดเขาตอบ ก็เท่านั้น”
“อย่าคิดอย่างนั้นเลย ไม่ดีหรอก”
“ทำไมคะ ทำไมขมจะเกลียดคุณรังสรรค์บ้างไม่ได้”
คุณหญิงขยับตัวลงนั่ง ค่อยเรียบเรียงคำพูดเพื่ออธิบายโขมพัสตร์
“เอาเข้าจริงๆแล้ว ฉันก็ห้ามความรู้สึกใครไม่ได้หรอก แม้แต่ลูกตัวเอง...แต่ฉันไม่อยากให้เธอบ่มเพาะความคิดแบบนี้ไว้ในใจ เพราะวันนึง เมื่ออะไรๆมันเปลี่ยนไป เราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในสิ่งที่ผ่านมา”
“ขมไม่มีอะไรจะต้องเสียใจกับคุณรังสรรค์อยู่แล้ว...ไม่มีวัน” โขมพัสตร์ยืนกรานอย่างมั่นใจ
คุณหญิงและไพลินมองหน้ากัน ต่างถอนใจกันคนละนิด
“งั้นก็ไปนอนพักซะ...พรุ่งนี้อาของเธอจะมารับแต่เช้า”
“รับ ไปไหนคะ”
“ฉันขอให้เขาพาเธอไปเที่ยว ไปเปลี่ยนบรรยากาศนอกบ้านบ้าง...ไม่ดีเหรอ ?ถือเป็นของขวัญวันเกิดที่ฉันพอจะให้เธอได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเขม่นเธอไงล่ะ”
โขมพัสตร์ยิ้มขึ้นมาได้บ้าง
รุ่งขึ้น รถชาติสยามแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพุทธชาด เป็นจังหวะเดียวกับที่รังสรรค์เดินลงมาจากระเบียงบ้าน
ชาติสยามก้าวลงจากรถ
“มาที่นี่ทำไมตั้งแต่เช้า มีธุระอะไรไม่ทราบ”
“ผมมาหาหลานสาวผม”
“ที่นี่บ้านพุทธชาดนะ ไม่ใช่บ้านสุรบดินทร์ ที่คนในตระกูลสุรบดินทร์จะเข้าๆออกๆได้ไม่เป็นเวล่ำเวลาอย่างนี้”
“ไม่ทราบว่าคนบ้านพุทธชาดเขาคุยกันบ้างมั้ยครับ หรือว่าเอาแต่พูดจาแดกดันประชดประชันกันอย่างเดียว จนไม่รู้ว่าประมุขของบ้านสั่งการอะไรไว้บ้าง”
“นายจะบอกว่าแม่ฉันสั่งให้นายมาที่นี่งั้นเหรอ”
“ถ้าลูกกับแม่รู้จักคุยกันดีๆ ก็คงไม่มีคำถามแบบนี้กับผม”
โขมพัสตร์เดินเข้ามา ชาติสยามจึงเดินแยกไปหาหลานสาว
“ไป ขม...เราไปกันเลยเถอะ ข้างนอกกำลังอากาศดี ดีกว่าในนี้มากเลย”
โขมพัสตร์ยิ้ม ก้าวขึ้นรถ
รถชาติสยามเคลื่อนออกไปจากบ้านพุทธชาด บุหงาเพิ่งเดินลงมาจากระเบียงบ้านบุหงามองตามรถคันนี้ไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นั่น เขาไปไหนกันน่ะคะ คุณพี่”
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
“ถ้าไปทำอะไรไม่ดีไม่งามกันสองคน ใครรู้เข้าจะเสียมาถึงเรานะคะ”
“ไปบอกแม่ฉันอย่างนี้ด้วยได้มั้ย”
ทางด้านพจนีย์ก้าวเข้ามา หน้าตาเอาแต่ใจ
“คุณย่าเรียกนายสยามนั่นมารับขมออกไปข้างนอกเหรอคะ”
“เราเป็นเด็ก ไปเรียกเขาว่านายสยามได้ยังไง...เขาไม่ใช่คนสวนคนรถนะ เขาเป็นอาของขม”
“อาไม่แท้ซักหน่อย จะไว้ใจได้ยังไง”
“ทำไมจะต้องไม่ไว้ใจ”
“ก็ขมน่ะชอบยั่วผู้ชายจะตาย...คุณย่ายังไม่รู้ว่า มันยั่วพี่รัฐพี่รัมภ์จนชกต่อยกันมาแล้ว”
“สองคนนั่นเขาแย่งกันเอาอกเอาใจขมต่างหาก”
“มันบอกคุณย่าอย่างนั้นเหรอ”
“ขมไม่ได้บอก แต่คุณยายรัฐรัมภ์เป็นคนมาบอกย่า และก็ขอโทษย่าแทนหลานเขาด้วย...ไม่เกี่ยวกับขมซักนิด”
พจนีย์หน้าเจื่อนลงไปนิดนึง
“งั้นย่าให้คุณชาติสยามเขาพาขมไปไหน บอกได้มั้ยคะ”
“ย่าก็ให้เขาพาไปเที่ยว ที่ไหนก็ได้ ตามใจขม”
“อย่างนั้นเลย”
“เป็นของขวัญวันเกิดของเขา”
“ของขวัญ ?”
“ใช่...เพราะขมไม่ยอมรับของขวัญอะไรจากย่าเลย ไม่เหมือนเรา ที่คอยจะเอาแต่ของแพงๆ”
พจนีย์ถอนหายใจเบาๆ ขัดใจที่ไม่สามารถหาเรื่องใส่ความขมได้
ต่อมา ในรถชาติสยาม เขาขับรถไปพร้อมกับเหลือบตามองแผนที่ไปด้วย
โขมพัสตร์นั่งอยู่ข้างๆเขา มองท่าทีผู้เป็นอาแล้วจึงเอ่ยปากถาม
“อายังไม่บอกขมเลยว่าจะพาขมไปไหน นั่งมองแต่แผนที่”
“บอกไปขมจะรู้จักเร้อ เราไม่ได้ออกไปไหนเลย อยู่แต่ในบ้านพุทธชาดน่ะ”
“อย่างน้อยขมก็รู้จักสวนสาธารณะแห่งนึงหละ...แล้วขมก็ได้ top วิชาภูมิศาสตร์ด้วย ขมอาจจะบอกทิศทางอาได้โดยไม่ต้องใช้แผนที่เลย”
ชาติสยามยิ้ม พับแผนที่เก็บ แล้วเอ่ยปากอย่างสนุก
“ที่ที่อาจะพาขมไป มันอยู่นอกเมือง”
“ไกลแค่ไหน”
“ประมาณ 80 กิโลเมตร”
“ยังอยู่ในภาคกลาง ?”
“เอียงไปทางใต้”
“ติดน้ำทะเลมั้ย?”
“อือม...แค่น้ำกร่อย ไม่ถึงกับน้ำเค็ม”
“จังหวัด สมุทรสาคร”
“ไกลกว่านั้น”
“จังหวัดสมุทรสงคราม”
“อื่อ ฮื้อ”
“สมุทรสงคราม มีนาเกลือ มีสวนมะพร้าว ลำใย ลิ้นจี่ มีตลาดน้ำด้วย...อาจะพาขมไปที่ไหนล่ะ”
“อัมพวา”
สีหน้า แววตา และน้ำเสียงของขม ดูตื่นเต้นขึ้นมาก
“ห๊ะ ! จริงเหรอ”
“จริงสิ”
“ขมเคยอยู่แถวนั้น”
“เหรอ แล้วโรงเรียนสมพรอนุกูลล่ะ รู้จักมั้ย”
“โรงเรียนครูสมพร อารู้จักที่นั่นด้วยเหรอ ?”
“พ่อพิทย์เคยเล่าให้อาฟังว่าเจอขมที่นั่น”
“ขมไม่ได้กลับไปหาครูอีกเลย”
“วันนี้เราจะไปที่นั่นกัน ในวันเกิดของขม”
โขมพัสตร์โผเข้าไปกอดชาติสยาม
“อาน่ารักจังเลย”
“จะน่ารักกว่านี้มาก ถ้าให้อาจอดรถก่อน แล้วค่อยกอด”
ทางเดินในชุมชนริมน้ำ โขมพัสตร์ดึงแขนชาติสยาม เธอมองไปรอบๆตัวด้วยแววตาแจ่มใสเบิกบานยิ่ง
“ไม่น่าเชื่อเลยว่า ขมจะได้กลับมาที่นี่อีก ได้มายืน มาเดิน มาวิ่งบนผืนดินที่ขมคุ้นเคยตั้งแต่เกิด”
โขมพัสตร์วิ่งไปรอบๆอย่างสนุกสนานราวกับเป็นเด็กน้อย
“เมืองไม่เคยหนีเราไปไหน มีแต่มนุษย์เรานั่นแหละ ที่ทิ้งแผ่นดินถิ่นเกิด...ถ้าทุกอย่างที่นี่พูดได้ มันคงจะบอกว่า ดีใจที่ขมกลับมาหามัน”
“มาทางนี้ค่ะอา”
อยู่ๆโขมพัสตร์ก็ฉุดชาติสยามวิ่งไปอีกทางหนึ่ง
โขมพัสตร์ขมจูงชาติสยามวิ่งมายังเพิงร้างเล็กๆ ท้ายตลาด ที่เคยเป็นบ้านพักอาศัยของเธอ
“นี่ไงอา บ้านเก่าของขม”
“เหรอ”
ขมบรรยายชีวิตในวัยเด็กของเธออย่างไม่กระดาก
“ขมกับแม่อยู่ที่นี่ตั้งแต่จำความได้...ไม่น่าเชื่อเลย ตอนขมเด็กๆ ขมรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่มาก แต่พอมาดูตอนนี้ ทำไมมันเหลือหลังเล็กนิดเดียว”
“ก็ขมโตขึ้นไง”
“แต่ถึงจะเล็กแค่ไหน ขมก็มีความสุขมากกว่าบ้านหลังใหญ่ๆของคนรวยๆทั้งหลาย โดยเฉพาะ...”
“บ้านพุทธชาด !”
“ถูกต้อง”
โขมพัสตร์ชี้ให้ชาติสยามดูบริเวณต่างๆที่เธอเคยใช้ชีวิตที่นี้
“ขมนอนตรงนี้กับแม่ แม่จะร้องเพลงกล่อมขมทุกคืน บางทีร้องไปร้องมาแม่ก็เผลอหลับก่อนขมอีก ขมก็เลยต้องร้องเพลงต่อจากแม่...เรานอนกอดกันทุกคืนเลย...ขมคิดถึงแม่จังเลยค่ะอา”
เสียงขลุ่ยคุ้นหูดังมาจากที่ไกลๆดวงตาขมเป็นประกาย
“อามานี่กันเร็ว”
โขมพัสตร์จับมือชาติสยาม แล้วลากเขาออกไป
อีกมุมหนึ่งขลุ่ยเลาเก่าๆ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเสียงที่ได้ยิน
ผู้เป่าขลุ่ยนี้ เป็นชายชราตาบอด ผอมเกร็งคนเดิม
โขมพัสตร์ลากชาติสยามวิ่งเข้ามายังลุงตาบอดคนนี้ เธอทรุดตัวลงนั่งข้างๆลุง
“ลุง...ลุงจำขมได้มั้ย”
ลุงดึงขลุ่ยออกจากริมฝีปาก
“ขมมากมั้ยล่ะ ถ้าขมมากก็จำได้ ถ้าขมน้อยหน่อยก็ไม่ค่อยจะจำ”
“ขมที่สุดในตลาดนี้น่ะ”
ลุงเผยอยิ้มออกมา
“ไอ้ขม ลูกแม่แข”
“ลุงจำได้ด้วย”
“ข้าจำคนที่เสียง เสียงเอ็งไม่เปลี่ยนเลย”
“ลุงอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนเลยเหรอ”
“จะให้ลุงไปไหนล่ะ สังขารลุงก็เป็นอย่างนี้ เขาให้อาศัยนั่งอยู่แถวนี้ได้ก็บุญโขแล้ว...ตั้งแต่เอ็งย้ายไป แถวนี้ก็ไม่มีเสียงเพลงอีกเลย นอกจากเสียงขลุ่ยของลุงเท่านั้น”
ลุงเป่าขลุ่ยหนึ่งท่อนแล้วหยุดนิ่งมันเป็นดนตรีท่อนนำเข้าเพลงนกขมิ้น
“รออะไรล่ะ”
โขมพัสตร์มองหน้าชาติสยาม
ชาติสยามพยักหน้าให้พองาม
โขมพัสตร์จึงเอ่ยปากร้องเพลงออกมา โดยมีเสียงขลุ่ยของลุงคอยบรรเลงรับ
“ค่ำคืน ฉันยืนอยู่เดียวดาย เหลียวมองรอบกาย มิวายจะหวาดกลัว...มองนภามืดมัว สลัวเย็นย่ำ
ค่ำคืนเอ๋ย....ฮือมฮือมฮือมฮือมฮือมฮือม...”
ชาติสยามจ้องมองท่วงท่าของโขมพัสตร์ทั้งปลาบปลื้มยินดี เอ็นดู และหลงใหล ระคนกันไปโดยไม่รู้ตัว
“ยามนภาคล้ำไป ใกล้ค่ำ ยินเสียงร่ำคำบอก เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ยเจ้าดอกขจร นกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำแล้วจะนอนไหนเอยเอ๋ย ...เล่านกเอย”
ครูสมพรก้าวเข้าจ้องมองอยู่สักพัก จึงเอ่ยปากเสียงดัง
“ขม...ขมใช่มั้ย”
ขมหยุดร้องเพลง หันไปมองตามทิศทางของเสียงนั้น
“ครูสมพร”
โขมพัสตร์รีบวิ่งเข้าไปกอดครูสมพรทันทีชาติสยามมองด้วยความตื้นตันใจไปกับหลานสาว
ร้านกาแฟในตลาดเดิมครูสมพร และ ขมนั่งหันหน้าเข้าหากัน สีหน้าตื่นเต้น ดีใจ
“ไม่ได้เจอกันนาน โตขึ้นจนครูเกือบจะจำขมไม่ได้แน่ะ”
“แต่ขมจำครูแม่นเลยค่ะ ครูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”
“คนแก่ก็อย่างนี้แหละ แก่ยังไงก็อย่างนั้น”
“ครูไม่แก่ซักหน่อย”
“แต่สิ่งที่ขมไม่เคยเปลี่ยนก็คือความน่ารัก และเสียงที่สดใสน่าฟัง ถ้าแม่แขยังอยู่ เขาคงภูมิใจ”
“ขมก็อยากให้แม่อยู่จนถึงวันนี้ และตลอดไป”
ชาติสยาม ถือเครื่องดื่มมาวางให้ที่โต๊ะ
“ครูขา นี่อาชาติสยามอาของขมค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“ไปยังไงมายังไงถึงพาขมมาที่นี่ได้คะ”
“พ่อของขมเคยเล่าให้ฟังว่า มาเจอขมกับแม่ที่นี่น่ะครับ วันนี้มีโอกาส ก็เลยพาขมกลับมาเยี่ยมบ้านเก่า”
“ขมอยากไหว้แม่ค่ะครู...วันนั้นพ่อรีบพาขมไปกรุงเทพฯ ขมไม่ได้อยู่งานศพแม่เลยซักวัน กระดูกแม่ขมก็ยังไม่ได้ไหว้”
“ทุกอย่างของแม่แข ยังอยู่ที่นี่ เพื่อรอวันขมกลับมา...ครูจะพาขมไปเอง”
ต่อเนื่องมา โขมพัสตร์ก้มลงกราบบริเวณที่เก็บกระดูกของแม่แขครูสมพร และ ชาติสยามนั่งอยู่ด้านหลังขม
ตรงใต้ช่องเก็บกระดูกนั้น มีเพียงชื่อแม่แข ไม่มีรูปถ่ายติดไว้แต่อย่างใด
เสียงในใจของขมดังออกมา
“แม่จ๋า ขมคิดถึงแม่มาก ขมอาจจะเป็นลูกที่ไม่ดีนัก ที่ทิ้งแม่ไปโดยไม่กลับมาหาแม่เลย แต่ขมคิดถึงแม่จริงๆนะ ขมเชื่อว่าวันนึงพ่อจะพาขมมาหาแม่ แต่พ่อก็ทิ้งขมไปอีกคน ทุกวันนี้ขมอยู่โดยไม่มีทั้งพ่อและแม่ ขมได้แต่สวดมนต์ถึงแม่และขอเอาความรักของแม่เป็นเกราะคุ้มภัยให้กับขม ขมรักแม่นะ”
ชาติสยามหันไปพูดกับครูสมพรเบาๆ พอได้ยินกันสองคน
“เราไม่มีรูปแม่แขของขมเลยเหรอครับ”
“เรามีแต่รูปที่ถ่ายเป็นหมู่ ก็เลยคิดว่า ไม่ใส่รูปดีกว่า เขียนไว้แค่ชื่อก็พอ”
“ผมขอรบกวนคุณครูสมพรสักเรื่องนึงได้มั้ยครับ”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“คุณครู พอจะรู้จักผู้หญิงในรูปนี้มั้ยครับ”
ชาติสยามส่งรูปถ่ายใบนั้นให้ครูสมพรมันคือรูปของแขนภาที่ได้มาจากนมผ่อน
ครูสมพรหรี่ตาเพ่งดูรูปนั้น
“ผู้หญิงคนนี้ ใช่แม่แข แม่ของขมรึเปล่าครับ”
ครูสมพรถึงกับอึ้ง เธอจ้องมองรูปภาพในมือนิ่ง แขนภาในภาพถ่ายช่างงดงามอร่ามตายิ่งนัก
อ่านต่อตอนที่ 7